X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องราวของเรากับนาง

ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทนำ

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทนำ

 

ฤดูใบไม้ผลิหิมะตกในยามค่ำคืน ปลิวลงมาราวกับผงแป้งสีขาวโพลน

บนคูน้ำที่ไหลเข้าเมืองลั่วหยางมีเกล็ดหิมะโปรยปราย ลมตะวันออกในช่วงพลบค่ำพัดเอาดอกเหมยที่ผลิบานเป็นครั้งที่สองร่วงหล่นลงมามากมาย เนื่องจากยังมีน้ำแข็งลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ เวลานี้มันจึงนอนนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีวี่แววว่าจะจมลงไป

เมืองจินยงทางตะวันตกเฉียงเหนือมีแสงไฟสว่างไสว เขาเป่ยหมางที่อยู่เบื้องหลังมีหิมะปกคลุมยอดเขาหนาแน่นจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด

สองฟากของถนนถงถัวปลูกต้นอวี๋กับต้นหยาง ไว้ตามทาง ใต้ร่มเงาไม้มืดครึ้มนั้นรถม้าที่มีม่านกั้นคันหนึ่งเคลื่อนผ่านทางนี้ไปอย่างเงียบๆ

ชายหนุ่มที่บังคับรถม้าซ่อนใบหน้าไว้ใต้หมวกสานไม้ไผ่ ดูเหมือนกำลังนอนหลับอยู่

ทันใดนั้นเสียงกระพรวนทองแดงที่ไม่เป็นจังหวะเสียงหนึ่งก็ดังมาจากบนทางที่หนาวเย็นเงียบสงบ จากไกลเข้ามาใกล้ พร้อมกับเสียงสวบสาบของเท้าที่เปลือยเปล่าเหยียบลงบนพื้นหิมะ

คนบังคับรถม้าชักกระบี่ออกจากฝัก ดันหมวกสานไม้ไผ่ขึ้น มองไปตามถนนหลวงที่กว้างขวาง

หิมะฤดูใบไม้ผลิในรัชศกซิงชิ่งปีที่สิบสองโปรยปรายอย่างเงียบสงบ

กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยซึมลึกเข้ากระดูก สะกิดเส้นขน เส้นผม และผิวเนื้อของผู้คนตลอดเวลา

ยามวิกาลเช่นนี้คนที่กำลังวิ่งหายใจหอบเหมือนจะอาเจียนเอาหัวใจกับปอดออกมา ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งร้อนรน เกิดเป็นเสียงกระพรวนทองแดงที่ทำให้รู้สึกน่าเวทนา

คนบังคับรถม้าดึงสายบังเหียนสีแดงไว้แน่น หันหน้าไปพูดเสียงเบาว่า “คุณชาย เป็นหญิงผู้หนึ่งขอรับ”

คนในรถม้าไม่มีการตอบสนองใด

ลมที่พัดมาพลิกเปิดม่านรถม้าขึ้นมุมหนึ่ง เผยให้เห็นข้อมือที่วางพาดอยู่บนหน้าตัก รอยแส้ที่ฟาดจนหนังเปิดรอยหนึ่งปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดบนข้อมือนั้น

“จะให้ขวางไว้หรือไม่ขอรับ”

เสียงไอดังออกมาจากในรถม้า จากนั้นก็เป็นคำพูดสองคำที่เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก

“ไม่ต้อง”

ฝีเท้าม้าหยุดลงในทันใด หางม้าตวัดเกล็ดหิมะ รอคนที่ตื่นตระหนกหวาดกลัววิ่งใกล้เข้ามาตรงหน้าอย่างอดทน

หญิงผู้นั้นมีผมดำขลับดกหนายาวลงมาถึงข้อพับเข่า เวลานี้เรือนผมของนางไร้ซึ่งปิ่นปักผม จึงสยายปลิวพลิ้วไปตามสายลมราวภูตผีวิญญาณ กระพรวนทองแดงบนข้อเท้ากระทบกันไปมาตามฝีเท้าของนางที่ล้มลุกคลุกคลาน บางครั้งก็ครูดไปบนพื้น เสียงผสมปนเปวุ่นวายไปหมด

ร่างกายท่อนล่างของนางมีเพียงกางเกงชั้นในตัวบางที่ขาดรุ่ย เปิดเปลือยขาที่เรียวงามราวแท่งหยกคู่หนึ่ง ตรงหัวเข่ามีบาดแผลมากมายคล้ายเพิ่งผ่านการถูกทารุณอย่างไร้ความเมตตามา สองตาแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งแตก ร่างกายที่เหมือนถูกหักกระดูกนี้โผตัวล่องลอยมาทรุดลงตรงหน้าม้า

เจ้าม้าไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด มันก้มหน้าลง พ่นลมหายใจที่ร้อนผ่าวพลางถูไถใบหน้าของนางเบาๆ

“ช่วยข้าด้วย…”

เสียงนั้นช่างปลุกเร้าอารมณ์เสียจริง

“คุณชาย ช่วยข้าด้วย…”

คนบังคับรถม้ากระตุกสายบังเหียนสีแดงดึงหัวม้ากลับมา เจ้าม้ายกขาหน้าขึ้นทันที เตะหิมะบนพื้นจนกระเด็นเข้าปากและจมูกของนาง

เดิมทีนางก็หายใจหอบจนหัวใจและปอดแทบจะฉีกอยู่แล้ว เวลานี้จึงสำลักกว่าเดิมจนตัวงอ ไหล่ตก กระดูกปีกผีเสื้อตรงแผ่นหลังนูนขึ้นดันเสื้อตัวบาง ท่าทางทั้งดูเย้ายวนและเยียบเย็น งดงามอย่างเป็นธรรมชาติ

“คุณชาย ขอร้องท่านล่ะ…ช่วยข้าด้วย…”

คนบังคับรถม้าตกตะลึง รีบดึงสายตาตนเองกลับมาจากเรือนร่างของหญิงสาวแล้วมองไปทางด้านหลังนาง

บ้านเรือนริมทางเริ่มสว่างไสวด้วยแสงไฟ และเสียงเกล็ดปลาบนชุดเกราะกระทบกันบนหลังม้าก็ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา เจ้าม้าหน้ารถเริ่มกระสับกระส่าย คนบังคับรถม้ายกแขนขึ้นกระชับสายบังเหียนเพื่อควบคุมม้าให้อยู่นิ่งแล้วก้มหน้าตะโกนถาม

“ผู้ใดไล่ตามเจ้า!”

“ข้า…ข้าไม่รู้…” นางพูดพลางคลานไปข้างหน้าหลายก้าว ยื่นมือไปจับขาม้าเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองคนบังคับรถม้าอย่างน่าเวทนา “หากพวกเขาจับข้าได้ข้าคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว ขอร้องท่านช่วยข้าด้วย…ข้า…ข้าวันหน้าจะตอบแทนท่านอย่างดี ปรนนิบัติท่าน…”

เจ้าม้าถอยหลังอีกหนึ่งก้าว ลากตัวของนางให้ขยับเคลื่อนมาข้างหน้า ทำให้ไหล่นางทรุดต่ำลงทันที สะโพกกระดกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสื้อบางสีขาวไหลเลื่อนจากแผ่นหลังลงมาถึงช่วงเอว…

ลมเย็นเยือกหอบเกล็ดหิมะสีขาวพัดใส่ผิวงามที่เนียนลื่นของหญิงสาว นางตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นสั่นเครือ “ได้โปรดช่วยข้า…ด้วย…”

“พานางขึ้นมา”

เสียงคนในรถม้ายังคงฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์เช่นไร

คนบังคับรถม้าตกใจ กระชับสายบังเหียนในมือแน่นทันทีแล้วหันไปเอ่ยว่า “แต่วันนี้ท่าน…”

“หุบปาก!”

คำพูดดุดันสองคำที่ดังขึ้นฉับพลันฟังดูเย็นเยือกจนน่ากลัว

คนบังคับรถม้าไม่กล้าพูดอะไรอีก เก็บกระบี่กลับเข้าฝักแล้วพลิกตัวลงมา ใช้เพียงมือเดียวก็ยกตัวหญิงสาวขึ้นจากพื้นได้แล้ว

ภายในรถม้ามืดมาก นอกจากเค้าโครงของชายผู้หนึ่งแล้วก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย แต่นางได้กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงทะลวงผ่านจมูกเข้าลำคอไปถึงกระเพาะ ทำให้นางแทบจะอาเจียนออกมา

“อยากมีชีวิตรอดหรือ”

เสียงดังมาจากความมืดสลัว

“ใช่…”

“เช่นนั้นก็อย่าส่งเสียง”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด มือข้างหนึ่งก็จับเข้าที่เอวแล้วยกหญิงสาวที่มีเนื้อหนังน้อยจนน่าเวทนาขึ้นมาอย่างไร้ความสงสาร ก่อนจะกดตัวนางลงบนขา ร่างกายของหญิงสาวร้อนขึ้น ปากเสียการควบคุม ส่งเสียงครางตกใจในลำคอราวกับสัตว์ที่บาดเจ็บ

“เมื่อครู่ข้าพูดว่าอะไร”

เสียงนั้นประหนึ่งคมมีดวาดผ่าน น่ากลัวจนนางสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ข้า…”

“อยากถูกโยนออกไปหรือ”

“ข้าไม่กล้าๆ ข้าไม่ส่งเสียงแล้ว ไม่ส่งเสียงแล้ว อย่าโยนข้าออกไปเลย…”

เพราะกลัวว่าจะถูกโยนออกไปจริงๆ นางจึงพูดพลางจับข้อมือของคนผู้นั้นเอาไว้ทันที แต่กลับถูกสัมผัสเหนียวเหนอะของผิวที่แตกจนเนื้อเปิดทำให้ตกใจ

คนผู้นั้นชักแขนกลับอย่างแรงแล้วโยนผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่หน้าของนาง “อุดปากไว้”

ผ้าเช็ดหน้านั้นเปื้อนเลือด พอเข้าปากแล้วเลือดก็ไหลลงท้องของนางทันที

นางกลับไม่กล้าพูดอะไร อดกลั้นกับความปั่นป่วนของอวัยวะภายใน ค่อยๆ ยัดผ้าผืนนั้นใส่ปากเข้าไปทีละนิดจนหมด

แสงไฟข้างนอกค่อยๆ ใกล้เข้ามายิ่งขึ้น เสียงคนบังคับรถม้าดังลอยเข้ามา “คุณชาย คนที่ไล่ตามนางคือทหารในกองทัพกลางขอรับ”

“ใครเป็นผู้นำ”

คนนอกรถม้าเงียบเสียง เหมือนกำลังแยกแยะตัวคน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ข้าน้อยไม่รู้จักขอรับ”

เพิ่งสิ้นเสียงพูด รถม้าก็ถูกล้อมไว้ทันที

ตอนที่แสงไฟส่องสว่างเข้ามาในมุมหนึ่งของรถม้า นางจึงรู้ถึงที่มาของกลิ่นคาวเลือดเหล่านั้น

หิมะในต้นฤดูใบไม้ผลิแผ่ไอเย็นทะลวงเข้ากระดูก ชายหนุ่มตรงหน้ากลับสวมเพียงเสื้อตัวบาง บนนั้นมีรอยเลือดที่ยังไม่แห้งปื้นใหญ่ ข้อมือที่ถูกนางจับเมื่อครู่วางห้อยลงตรงหน้านาง บนข้อมือมีบาดแผลจากแส้รอยหนึ่ง เห็นแล้วน่าตกใจ

นางตื่นกลัวอย่างยิ่ง กำลังจะเงยขึ้นไปมองหน้าของบุรุษผู้นี้ กลับได้ยินเสียงตะคอกเบาๆ ของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะ

“อย่าเงยหน้า หลับตาลง”

ตามด้วยเสียงที่ทำให้นางตัวสั่นดังเข้ามาจากนอกตัวรถม้า

“พวกข้ารับคำสั่งให้ตามล่ามือสังหารที่พยายามจะลอบปลงพระชนม์ ในรถม้าคือผู้ใด รีบออกมารับการตรวจค้น!”

คนบังคับรถม้าเอ่ยว่า “ในรถคือใต้เท้าราชเลขาธิการจาง”

คนเป็นผู้นำได้ยินเช่นนั้นก็ดึงสายบังเหียนหยุดม้าแล้วประสานมือทำความเคารพอยู่บนหลังม้า

“ใต้เท้าจาง คนที่พวกข้าน้อยตามไล่ล่าในคืนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา พวกข้าน้อยไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ แต่มือสังหารกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย บังเอิญมาเจอรถม้าของท่าน ด้วยภาระหน้าที่ติดตัวจำเป็นต้องตรวจค้น ขอล่วงเกินแล้ว”

พอพูดจบเขาก็พลิกตัวลงจากหลังม้า มือถือคบไฟเดินตรงมาที่หน้ารถม้า

ไอร้อนของเปลวไฟลอดผ่านม่านรถม้า อังเข้ามาทางแผ่นหลัง นิ้วมือกับนิ้วเท้าของหญิงสาวงอแน่นยิ่งขึ้น ลนลานซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของชายหนุ่ม

เขาก้มหน้ามองนางปราดหนึ่ง มือกดลงบนบั้นท้ายของนางไม่เบาไม่หนักเกินไป

“อย่าขยับ”

เสียงพูดนี้ไม่ได้จงใจลดเสียงเบา คนนอกรถม้าก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกัน

คนเป็นผู้นำชะงักฝีเท้า “ขอเรียนถามใต้เท้าจาง ในรถม้ามีผู้ใดอยู่อีกหรือขอรับ”

ภายในรถม้าไม่มีเสียงตอบรับใด บรรยากาศตึงเครียด ฉายความกดดันขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

คนเป็นผู้นำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่จนใจเพราะมีพระบัญชาติดตัว จำต้องเดินขึ้นหน้าไป

คบไฟเข้าใกล้ม่านรถม้า เนื้อผ้าไหมนั้นไม่อาจต้านแสงที่ลอดผ่านได้ ส่องผ่านทั้งด้านในด้านนอก สะท้อนเงาร่างคนในรถม้าบนผืนผ้าได้อย่างชัดเจน

ไหล่ที่ผอมบางเย้ายวนของหญิงสาวขยับไหวระริกท่ามกลางแสงไฟ มองจากช่วงไหล่ลงต่ำ สายรัดเอวที่คลายออกเลื่อนลงมากองยุ่งเหยิงอยู่ที่เอวและหน้าท้อง ต่ำลงไปคือบั้นท้ายที่แทบจะเปลือยเปล่า กระดกขึ้นแตะบนตักของชายหนุ่มอย่างไม่รู้กาลเทศะโดยมีมือข้างหนึ่งทาบอยู่บนนั้น

ภาพหยาบโลนวาบหวามนี้ ต่อให้มีผ้ากั้นหนึ่งชั้นก็ยังมองออกว่าหญิงผู้นั้นเป็นหญิงงามชั้นเลิศผู้หนึ่ง

คนเป็นผู้นำถือคบไฟยืนอึ้งงันอยู่กับที่ มองจนตะลึงค้างไป

“เห็นชัดเจนหรือยัง”

เสียงพูดเย็นชาดึงสติที่ล่องลอยไปไกลตามแรงปรารถนาของทุกคนกลับมา

“ใต้เท้าจาง…ล่วงเกินแล้ว”

“มีภารกิจติดตัวนั้นไม่ว่ากัน ขอแค่เห็นชัดเจนแล้วก็พอ” เขาตบผิวเนื้อที่ร้อนแดงเพราะความเขินอายใต้ฝ่ามือนั้นอย่างไม่ใส่ใจ “เจียงหลิง”

คนบังคับรถม้าประสานมือตอบรับ “ขอรับคุณชาย”

“ควักลูกตา”

จากนั้นเสียงร้องน่าเวทนาก็ดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นรอบข้าง แม้แต่คนที่เป็นผู้นำเองยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกคนบังคับรถม้าผู้นั้นควักลูกตาเสียแล้ว เขาโยนคบไฟทิ้งทันทีแล้วยกมือปิดตา ร้องอย่างเจ็บปวดใจแทบขาดพลางกลิ้งไปบนพื้นหิมะ เส้นเลือดเขียวบนหลังมือปูดนูน ตัวกระตุกราวกับตะแกรงร่อน

สภาพของเขาน่าเวทนายิ่งนัก ทำให้ทุกคนหวาดกลัว หลังจากตกตะลึงอยู่นานมากถึงมีคนลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปดูอาการ

คบไฟไปถึงหน้ารถม้า ส่องเงาร่างชายหนึ่งหญิงหนึ่งบนม่านรถเป็นเงาเลือนราง

เสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งดังออกมาจากในรถม้า

ทุกคนเงียบเสียงทันที ทหารหนึ่งในนั้นถึงขั้นโยนคบไฟในมือไปไกลให้กลิ้งไปบนพื้นหิมะ ส่องสว่างใบหน้าที่เจ็บปวดอย่างยิ่งของชายคนที่เป็นผู้นำ

“เจ็บเหลือเกิน…เจ็บ…”

เสียงร้องเจ็บปวดของเขาแทบไม่เป็นประโยค แม้แต่ลมหายใจยังไม่อาจควบคุมได้ ลมภายในถูกพ่นออกจนหมด ทว่าสูดลมกลับเข้าไปไม่ได้เลยสักเฮือกอยู่นาน เลือดที่ไหลออกจากหลุมดวงตาประหนึ่งงูสีแดงสองตัวที่น่ากลัว ไหลเลื้อยลงบนพื้นหิมะ

ทุกคนทำอะไรไม่ถูก อาวุธที่ถือติดมือสั่นจนเกิดเสียง ในชั่วขณะนั้นไม่มีผู้ใดกล้าขวางรถม้าอีก

คนในรถม้าดึงแขนเสื้อมาปิดรอยแผลจากแส้บนข้อมือ อาศัยแสงไฟก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่อยู่บนตัก

นางกัดผ้าเช็ดหน้าในปากแน่น เสื้อบางไหลเลื่อนมาอยู่ตรงเอว เผยให้เห็นบังทรงสีแดงสด

เขายกมือขึ้น ตอนที่ฝ่ามือยกออกจากบั้นท้ายของหญิงสาว สองขาของนางสั่นระริก กระพรวนบนข้อเท้ากระทบกันเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง

“ลงไป”

นางไม่กล้าอยู่ที่เดิม แทบจะกลิ้งลงไปข้างเท้าของเขาแล้วหลับตาโขกศีรษะ “ข้าขอขอบคุณคุณชาย…ในบุญคุณที่ช่วยชีวิต”

“เหตุใดจึงไม่ลืมตา”

“ข้า…ไม่เห็นอะไรเลย”

เขาหัวเราะเย็นชา โน้มตัวมาบีบปลายคางของหญิงสาว ใช้แรงอย่างมากจนแทบจะยกนางขึ้นมาทั้งตัว

นางจับมือของเขาไว้ทันที “อย่าฆ่าข้าเลย…ข้าไม่กล้าพูดออกไปแน่นอน…ข้าไม่กล้าพูดอะไรจริงๆ”

“คนเป็นเชื่อใจไม่ได้”

“เช่นนั้น…” นางตกใจจนวิญญาณลอยไปไกล ตัวสั่นราวกับกระด้งฝัดข้าว “คุณชายจะตัดลิ้นของข้า หรือ…หรือเอาเหล็กร้อนนาบคอข้าให้เป็นใบ้ก็ได้…”

นางคลายมือออก ปล่อยให้ตนเองถูกเขายกตัวไว้เหมือนกระต่ายผอมตัวหนึ่ง “ข้า…ข้าไม่อยากตาย ข้าจะตายไม่ได้…”

บุรุษผู้นั้นบีบคางนางแน่นขึ้น

“ตายไม่ได้? ในเมื่อมาเป็นหญิงคณิกา ยังมีอะไรให้เป็นห่วงอีกหรือ”

ใครจะรู้ว่าหญิงผู้นั้นกลับพูดเสียงดังขึ้นทันใด “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา! พี่ชายยังรอข้ากลับบ้านอยู่”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.พ. 68

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: