บทที่ 5 สามีของแดไง
ไฟในห้องดับไปนานแล้ว เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมไฟนอกบ้านซึ่งส่องเข้ามาพอให้สายตาที่เคยชินกับความมืดมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
จิรปริยาพลิกตัวเป็นครั้งที่สี่…หญิงสาวพยายามผ่อนลมหายใจออกให้เบาที่สุดเพื่อรบกวนคนข้างๆ ให้น้อยที่สุด แต่เธอรู้…ว่าเป็นไปได้ยาก
ดวงตากลมโตแหงนมองเพดานเล่นระดับอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจขยับตัวเตรียมก้าวขาลงจากเตียง ทว่าขณะเท้าขวากำลังจะแตะพื้น เสียงจากคนที่เธอคิดว่าหลับไปนานแล้วก็ดังขึ้นจนร่างเพรียวสะดุ้งโหยง เผลอกระแทกเท้าลงพื้นจนร้องลั่น
“โอ๊ยยย!”
หญิงสาวกระตุกขากลับขึ้นมานอนกอดอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานบิดเบ้ ริมฝีปากอิ่มส่งเสียงโอดโอยดูน่าสงสาร นั่นคือภาพที่นับนิรันดร์เห็นหลังจากไฟสว่างขึ้น หนุ่มหน้าสวยคว้าข้อเท้าของอีกฝ่ายซึ่งบาดเจ็บอยู่แต่แรกแล้วมาดูด้วยสีหน้าห่วงใย
“เจ็บมั้ยน่ะ”
“โอ๊ยยย ถามมาได้! ก็เจ็บน่ะสิ!” คนเจ็บแยกเขี้ยว มือยังคลำรอบข้อเท้าตัวเองป้อยๆ พลางส่งค้อนตาขุ่นให้คนที่เริ่มจะเปลี่ยนจากห่วงใยเป็นขำกับท่าทางของเธอ “ไม่ต้องมาขำเลย! ก็เพราะคุณนั่นแหละที่อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา”
ถ้าเขาไม่ส่งเสียงขึ้นในความมืด เธอจะตกใจจนเผลอลงทิ้งน้ำหนักลงเท้าขวาจนกระแทกพื้นไหมล่ะ!
“อ้าว ผมผิดซะงั้น” คนผิดโดยไม่รู้ตัวโคลงศีรษะ “ก็จะถามว่าแดจะไปไหน ขายิ่งไม่ค่อยดีอยู่แท้ๆ”
“ฉันไม่ได้ขาเป๋นะ!”
จิรปริยาไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะเธอกำลังพาลหรืออย่างไร พอได้ยินคำว่า ‘ขายิ่งไม่ค่อยดี’ จึงจินตนาการไปว่าเขากำลังว่าเธอขาเป๋! เลยอดไม่ได้จะเชิดปากแว้ดเสียงแหลม
“ก็ไม่ได้ว่าเป๋มั้ยล่ะ” นับนิรันดร์กะพริบตาปริบ มองอาการของภรรยาครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา เริ่มรู้ว่าเธอกำลังพาลจึงไม่ใส่ใจ เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“แล้วจะไปไหน ไปห้องน้ำอีกแล้วเหรอ”
“รู้ได้ไงเนี่ย” หญิงสาวเบิกตากว้าง ก่อนจะนึกได้ว่าถ้านับนิรันดร์ไม่ได้หลับเขาคงรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกหลังดับไฟที่เธอจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
“ครั้งที่สี่แล้วนี่”
โอเค เขาไม่ได้หลับจริงๆ ด้วย
“นับด้วยเหรอเนี่ย” หญิงสาวพึมพำอย่างทึ่งๆ ก่อนจะเดินเขยกไปเข้าห้องน้ำตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก และเมื่อกลับมาล้มตัวนอนอีกครั้งสามีก็ปิดไฟจนทั้งห้องกลับมาอยู่ในความมืดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตอนนี้ยังเหลือแสงเรืองๆ จากหลอดไฟที่เปิดเมื่อครู่
จิรปริยาหลับตาลง พยายามบังคับให้ตัวเองหลับ ซึ่งปกติสำหรับเธอมันไม่เคยยาก หญิงสาวรักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ เธอสามารถนอนวันหนึ่งได้มากกว่าสิบชั่วโมงด้วยซ้ำถ้ามีเวลามากพอ และหนึ่งในความสามารถพิเศษที่โศภิษฐาเคยจิกว่า ‘มันไม่ควรเรียกว่าความสามารถพิเศษ แต่ควรเรียกอย่างตรงตัวว่าความเกียจคร้าน’ ก็คือการที่เธอสามารถนอนหลับได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ รถเมล์ ห้องสมุด หรือกระทั่งโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ทั้งที่นอนอยู่บนเตียงกว้างแสนสบายในห้องแอร์เย็นๆ มีผ้าห่มและหมอนนุ่มฟูเหมือนอยู่ในโรงแรมห้าดาวแท้ๆ เธอกลับหลับไม่ลงเสียอย่างนั้น
ผู้หญิงความจำเสื่อมที่บอกตัวเองว่าเธอมาจากอดีตถอนหายใจ เผลอยกมือหนึ่งขึ้นวางก่ายหน้าผาก ดวงตาเปิดขึ้นมองเสาเตียงอีกครั้ง
ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่โรงพยาบาลเธอหลับมากเกินไป เพราะแปลกที่ หรือ…
หัวใจที่ทำงานในระดับปกติมาตลอดเผลอเต้นแรงเกินพอดีจนกลัวเหลือเกินว่าในความเงียบของค่ำคืน เพื่อนร่วมเตียงจะได้ยินเข้า
หรือเพราะ ‘เขา’ กันแน่ที่ทำให้เธอตาแข็ง นอนไม่หลับแบบนี้
“นอนไม่หลับเหรอ”
ระหว่างที่จิรปริยากำลังคิดว่าเธอควรลองนับแกะดี หรือลุกออกจากห้องไปหาอะไรทำจนกว่าจะง่วงแล้วค่อยกลับมานอนดี นับนิรันดร์ก็ส่งเสียงเอ่ยถามจนคนใจลอยเกือบสะดุ้ง
“ฮะ? อื้อ นอนไม่หลับอะ”
“หาอะไรทำกันมั้ยล่ะ”
“หะ…หาอะไรทำ!”
คำชวนสั้นๆ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งจนลุกขึ้นมานั่ง อวัยวะใต้อกซ้ายทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง พวงแก้มร้อนผ่าวยามคิดถึงสิ่งที่เขาน่าจะชวนเธอทำเพื่อฆ่าเวลา
นับนิรันดร์เป็นสามีของเธอ เธอนอนไม่หลับ เขาชวนหาอะไรทำ งั้นก็…
จิรปริยาหลับตาปี๋ สะบัดหน้าจนเส้นผมพลิ้วในอากาศ ปฏิเสธเสียงสั่น
“ไม่! ไม่ทำ จะนอนแล้ว!”
ราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาสีอำพันพราวระยับเปล่งประกายในความมืด นิ้วเรียวยาวๆ ยื่นมาดีดจมูกรั้น หนุ่มหน้าสวยโคลงศีรษะขณะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ตกใจอะไรของแด ผมก็แค่จะชวนแดคุยเองนะ ไง ไม่คุยเหรอ จะนอนแล้วเหรอ”
“คะ…คุย คุยงั้นเหรอ”
คนคิดไปไกลกะพริบตาปริบ รีบไถลตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่ายเพื่อซ่อนสีหน้า แม้จะรู้ดีว่ามืดๆ แบบนี้เขาคงมองไม่เห็นมันก็ตาม
“อื้อ คุย เรื่องของเราไง เผื่อแดอยากรู้ อยากถามอะไรที่แดลืมไป…เรื่องตลอดสิบกว่าปีมานี้”
“อ๋อ อืม…ก็ดี” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะเริ่มถามอะไร
“งั้นเรื่องแรกเลยนะ” ชายหนุ่มที่รู้นิสัยภรรยาเป็นอย่างดีเอ่ยขึ้น เขารู้ว่าถ้ารอให้เธอเปิดปาก คืนนี้คงมีเพียงความเงียบกับเสียงถอนหายใจและเสียงพลิกตัวจนกว่าจะหลับกันไปจริงๆ “พี่ไทม์”
“ฮะ?” ความสงสัยทำให้จิรปริยาพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ เลยได้เห็น…ว่าเขาเองก็นอนหันหน้ามามองเธออยู่เช่นกัน แม้ในห้องจะมีเพียงแสงสลัวทว่าดวงตาซึ่งเริ่มชินกับความมืดก็ยังมองเห็นริมฝีปากบางขยับยิ้ม หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ ข่มหัวใจที่เต้นระรัว “คุณเรียกชื่อตัวเองทำไม”
“ผมไม่ได้เรียกชื่อตัวเอง” นับนิรันดร์หัวเราะเบาๆ อธิบายคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนมากขึ้น “แดต่างหาก แดเรียกผมว่าพี่ไทม์”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ตั้งแต่ก่อนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเริ่มต้นขึ้น เธอซึ่งเริ่มรู้จักเขาผ่านสื่อต่างๆ เคยเรียกเขาแบบนั้น
“ผมอายุมากกว่าแดอยู่หลายปี แดเลยเรียกผมว่าพี่ไทม์”
“พี่ไทม์” หญิงสาวเอ่ยทวน แม้จะรู้สึกแปลกๆ คล้ายจะ…เขินนิดหน่อย แต่เหตุผลที่เขาให้ประกอบกับนิสัยส่วนตัวที่มักจะเรียกคนอายุมากกว่าว่า ‘พี่’ จิรปริยาเลยไม่เห็นความจำเป็นต้องคัดค้าน เธอพยักหน้า “อ่าฮะ โอเค ฉันเรียกคุณว่าพี่ไทม์ งั้นเดี๋ยว…กลับไปเรียก…พี่…ไทม์เหมือนเดิมก็ได้”
แม้จะสะดุดตะกุกตะกักไปบ้าง ทว่าสุดท้ายเธอก็ยังคงเรียกชื่อเขาออกมาด้วยน้ำเสียงเก้อเขิน หากจิรปริยาจะยอมสบตากัน…บางทีเธออาจจะมองเห็นประกายความสุขในดวงตาสีอำพัน นับนิรันดร์ยิ้มกว้าง น้ำเสียงก็ฟังดูสดชื่นขึ้น
“ไม่ใช่แค่พี่ไทม์ แดยังแทนตัวเองว่า ‘แด’ ด้วย” สามีที่ไม่ได้สูญเสียความทรงจำบอกต่อ นั่นทำให้หญิงสาวเผลอทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“ฮะ? แทนตัวเองว่าแดเนี่ยนะ?” เธอส่ายหน้า แค่คิดตามก็รู้สึกจักจี้แปลกๆ แล้ว “แต่ฉัน…เอ้อ นั่นแหละ ไม่เคยแทนตัวด้วยชื่อกับใครเลยนะ”
กับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เธอก็แทนตัวเองว่า ‘หนู’ จนเคยชิน ส่วนกับเพื่อนฝูงนี่ค่อนข้างหลากหลาย สมัยเฮ้วจัดๆ ช่วง ม.ต้น ถึงขั้นเคยใช้สรรพนาม ‘ข้า’ ‘เอ็ง’ หรือ ‘กู’ ‘มึง’ คุยกันเลยด้วยซ้ำ
ยังดีว่าพอโตขึ้นเริ่มคุยกันสุภาพขึ้นหน่อย อย่างสรรพนามล่าสุดที่ใช้กันก็เป็น ‘ฉัน’ กับ ‘แก’
แต่นั่นแหละ ยังไงเท่าที่จำได้จิรปริยาก็ไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อกับใครเลยจริงๆ
“ใช่ แดไม่เคยแทนตัวแบบนั้นกับใคร” นับนิรันดร์ช่วยยืนยันอีกเสียง ดวงตาสีอำพันอบอุ่นอ่อนหวานยามหวนถึงความหลัง “แต่แดใช้กับผมไง” เขายิ้มกว้าง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างไม่ปิดบัง “เพราะแดบอกว่าตัวเองเป็นดวงใจของผม”
เหตุผลนั้นทำให้เจ้าของชื่อเบิกตากว้าง หัวใจกระแทกรัวจนเริ่มเจ็บหน้าอก
หญิงสาวรู้มาตลอดว่าชื่อเล่นของตัวเองแปลว่า ‘ดวงใจ’ ทั้งยังภาคภูมิใจกับความหมายของชื่อจริงและชื่อเล่นที่บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นความรักของพ่อแม่ ทว่า…
“ไม่เลี่ยนไปหน่อยเหรอ” จิรปริยาทำหน้าคล้ายพะอืดพะอม ฟังแค่นี้ก็เดาได้เลยว่าตัวเธอในตอนมีความรักคงเป็นผู้หญิงคลั่งรักคนหนึ่ง ซึ่งคำตอบก็เป็นเสียงหัวเราะของสามี
“น่ารักดีออก” เขาว่าทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทอดเสียงอ่อนลง “มันคงจะดี…ถ้าแดกลับไปพูดเหมือนเดิม”
น้ำเสียงเศร้าๆ ของชายหนุ่มทำให้หัวใจคนฟังอ่อนยวบอย่างประหลาด ถ้าหากไม่นับเรื่องความไม่ชินและที่มาแสนหวานเลี่ยน จิรปริยาก็คิดว่าเธอน่าจะทำให้เขาได้
“อ่า ดะ…แดจะพยายามแล้วกัน” เธอให้คำมั่น
“ขอบคุณครับ”
คำตอบที่คาดเดาไว้อยู่แล้วทำให้นับนิรันดร์คลี่ยิ้มกว้าง มือหนาเลื่อนไปลูบเรือนผมยาว ทว่าพอเธอสะดุ้งตกใจเขาก็ชักมือออก แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “จริงสิ แดรู้มั้ย…ชื่อกันและกันมาจากไหน”
หัวข้อเกี่ยวกับลูกชายทำให้หญิงสาวปัดความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะสัมผัสของเขาทิ้งไปแล้วเริ่มคาดเดา
“อืม…แดตั้งมั้ง” เธอเป็นคนชอบอ่านนิยายและยังชอบตั้งชื่อแปลกๆ ไว้มากมาย ถึง ‘กันและกัน’ จะไม่ใช่ชื่อที่แปลกอะไร แต่ก็ไม่ได้โหลขนาดมองไปทางไหนก็เจอ
“ใช่ แดเป็นคนตั้ง” ดวงตาสีอำพันฉายแววรำลึกความหลังอันเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเขา “แดบอกว่า ‘เราจะได้มีกันและกันตลอดไป’…”
“เราจะได้มีกันและกันตลอดไป” เธอทวนคำ โพรงอกอุ่นวาบกับประโยคนั้น ในสมองที่ปราศจากความทรงจำสิบสองปีมานี้คล้ายปรากฏภาพเลือนรางขึ้นมาจนวูบหนึ่งเธอเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองมาจากอดีตจริงอย่างที่คิด
หรือว่าเธอแค่ความจำเสื่อมไปจริงๆ อย่างที่ทุกคนบอก
“แล้วชื่อจริงล่ะ ชื่ออะไร”
นับนิรันดร์สบตาเธอ ตอบกลับทั้งรอยยิ้ม
“กันตกาล”
“กันตะกาน…ชื่อแปลกดีจัง” มือเรียวขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ “สะกดยังไงเหรอ”
“ก ไก่ ไม้หันอากาศ น หนู ต เต่า ก ไก่ สระอา ล ลิง…‘กันตะ’ ที่มาจาก ‘กันต์’ แล้วก็ ‘กาล’ ที่มาจากกาลเวลา”
“กันตกาล” คนตั้งซึ่งเผลอลืมไปแล้วพึมพำ “ผู้เป็นที่รักแห่งกาลเวลา”
“หรือ ‘กาลเวลาอันที่เป็นที่รัก’…อีกความหมายที่แดตั้งให้ลูก” พ่อของลูกอธิบายเพิ่มเติม “แดบอกว่าทั้งชื่อผมและชื่อแดมีความหมายเกี่ยวกับเวลาและความรัก ก็เลยอยากให้ชื่อของลูกมีความหมายแบบเรา”
‘ไทม์’ ชื่อเล่นของเขาทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ ถอดความหมายเป็นภาษาไทยตรงตัวว่า ‘เวลา’ ส่วนชื่อของเธอ ‘จิรปริยา’ มีความหมายว่า ‘ผู้เป็นที่รักตลอดไป’ เมื่อต้องตั้งชื่อลูกของเธอกับเขา ภรรยาถึงได้เสนอชื่อนี้ขึ้นมา และแน่นอนว่า…เขาตามใจเธอ ทั้งคู่คุยกันอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่จิรปริยาลืมไปแล้วทั้งนั้น จวบจนกระทั่งเธอเริ่มหาวออกมา แต่ก่อนที่สติจะหลุดลอยไป หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่คาใจอยู่ และหากสติเต็มร้อยบางทีเธอก็อาจจะไม่กล้าถามมันออกมา
“พี่ไทม์…เราแต่งงานกันเพราะอะไรเหรอ”
ดวงตากลมโตปรือลงเกือบครึ่งประกอบกับความมืดภายในห้องทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของชายหนุ่ม ร่างสูงสง่าชะงักงัน ภาพความทรงจำวันเก่าปรากฏขึ้นในสมอง
‘แดบอกว่า…แดจะไม่แต่งงานกับพี่ไทม์’
คำปฏิเสธของเธอในวันนั้น ทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างที่ส่งผลมาจนถึงวันนี้
หนุ่มหน้าสวยคลี่ยิ้มบาง แววตาเศร้าหมองขณะยื่นมือไปลูบกลุ่มผมยาวคล้ายจะกล่อมให้ภรรยาหลับสบายมากขึ้น
“มนุษย์มีเหตุผลมากมายในการแต่งงาน แต่สำหรับเรา…แดคิดว่าถ้าไม่ได้รักกัน แดจะแต่งงานกับผมมั้ยล่ะ”
และแน่นอนว่าคำตอบคือ ‘ไม่’
ไม่ใช่แค่ไม่รักกัน ต่อให้รักกันแต่หากมันยังไม่มากพอ…เธอก็จะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด
นั่นคือเหตุผลที่จิรปริยาปฏิเสธเขาในวันนั้น และกว่าจะมีวันนี้ได้…นับนิรันดร์จำได้ดีว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากมายเพียงใดจึงได้มีเธอเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูก เป็นผู้หญิงที่มาเติมเต็มคำว่า ‘ครอบครัว’ ซึ่งเขาไม่เคยมี
“ง่วงก็นอนเถอะ” นับนิรันดร์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และคล้ายกับว่าสัมผัสจากเขามีเวทมนตร์ที่ช่วยให้เธอผ่อนคลาย ไม่นานนักหญิงสาวก็จมลึกสู่ห้วงนิทรา ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปประทับริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มของภรรยา เว้าวอนเอ่ยขอเสียงแผ่วเบา
“ฝันถึงผมบ้างนะแด”
ถ้าหากลืมตาขึ้นมาแล้วจำไม่ได้…อย่างน้อยที่สุดแค่ฝันถึงเขาบ้างก็ยังดี
“หนาว…”
ดวงตาสีอำพันเปิดขึ้นหลังได้ยินประโยคนั้น ไม่ใช่เสียงของเธอที่ปลุกให้เขาตื่น แต่เป็นการที่มือเรียวดึงรั้งผ้านวมผืนหนาไปครองไว้คนเดียว
นับนิรันดร์เลิกคิ้ว พลิกตัวนอนหนุนแขนมองหญิงสาวที่ค่อยๆ หดคองอเข่าขึ้นมากอดแล้วเอาผ้านวมคลุมทับจนลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศเข้าไปไม่ถึง
นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกกันว่า ‘ขดตัวเหมือนทารกในครรภ์แม่’
ริมฝีปากบางขยับยิ้มรับอรุณ คนที่เล่นละครมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องอดขำออกมาไม่ได้
ดูเอาเถอะ นางเอกคนอื่นเวลาหนาวเขากลิ้งมากอดพระเอกหาไออุ่น แต่เธอหนาวแล้วดันยึดผ้าห่มไปครองคนเดียวแบบไม่แบ่งปัน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับอุณหภูมิสิบเก้าองศาเซลเซียสแม้ว่าบนตัวของเขาจะมีเพียงชุดนอนตัวบางๆ เพียงชุดเดียว มือเรียวยื่นไปดึงรั้งผ้านวมออกจนภรรยาที่ยังอยู่ในห้วงนิทรานิ่วหน้าพลางพึมพำเหมือนคนไม่พอใจก่อนจะคว้าผ้านวมกลับไปคลุมไว้ตามเดิม และขดตัวลงเข้าไปใต้ผ้าให้ลึกยิ่งขึ้น
นับนิรันดร์ยิ้มขำ อดจะแกล้งเธออีกครั้งไม่ได้ เขาคว้าเอาสมาร์ตโฟนมาบันทึกวิดีโอเพื่อเก็บเอาไว้ดูเหมือนทุกครั้ง ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงมือเรียวที่เย็นเฉียบต่างไปจากเวลาปกติ ริมฝีปากก็เหยียดยิ้มหยันให้กับอีกความต่างระหว่างเขากับเธอ
ภรรยาของเขาค่อนข้างผิวบางจึงขี้ร้อนขี้หนาวง่ายเป็นพิเศษ แตกต่างจากชายหนุ่มที่อุณหภูมิเพียงสิบเก้าองศาจากเครื่องปรับอากาศไม่สามารถทำอะไรเขาได้ นั่นอาจเพราะที่ที่นับนิรันดร์เกิดและเติบโตมามีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอด ก่อนมาเมืองไทย…เขาไม่เคยรู้จักฤดูร้อน ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกยามโดนแสงอาทิตย์สาดส่องจนเหงื่อออก
ระหว่างคิดถึง ‘บ้านเก่า’ ที่จากมา แววตาอ่อนโยนซึ่งใช้มองภรรยาเมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า คล้ายกับว่าอากาศหนาวในอดีตยังตกตะกอนมาถึงปัจจุบัน เคลือบชั้นดวงตาและผิวหน้าจนเย็นยะเยือกดุจสวมหน้ากากน้ำแข็ง และทุกความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าแววตานั้นก็เกิดขึ้นโดยที่นับนิรันดร์ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
ไม่ใช่แค่ความหนาวเย็นที่เขาคุ้นเคย ตั้งแต่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ สิ่งที่เขาคุ้นชินด้วยมากที่สุด สิ่งที่เปรียบเสมือนเงาข้างตัวก็มีเพียงความโดดเดี่ยวอ้างว้าง นับนิรันดร์ไม่เคยเข้าใจว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร จนกระทั่งเขาได้มาที่นี่…ประเทศเล็กๆ ที่ร้อนระอุแถบเส้นศูนย์สูตร ได้พบกับผู้คนมากมายซึ่งทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ดีขึ้นกว่าเก่า และที่สำคัญที่สุด…
ชายหนุ่มผู้มีรกรากอยู่แดนไกลยืดมือข้างซ้ายจนสุดแขน เครื่องประดับชิ้นเดียวซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่มีเจ้าของแล้วเด่นชัดในสายตา รวมถึงทำให้อุ่นวาบในหัวใจจนหลุดยิ้มออกมา
ได้พบกับเธอ…ผู้หญิงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เขา ‘เลือก’ จะสร้างครอบครัวด้วย
ขณะนอนมองผู้หญิงคนนั้นอย่างใจลอย นับนิรันดร์ก็แทบสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆ เธอก็เด้งตัวลุกพรวดขึ้นมา ดวงตาครึ่งปิดครึ่งเปิด
“อะไรแด เป็นอะไร เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
เขาถามอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ว่าภรรยาฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นหรือว่าเจ็บแผลอะไรตรงไหน
“ปวดฉี่จัง” เธอพึมพำโดยไม่หันมามองคนถามสักนิด ร่างเพรียวทิ้งขาลงข้างเตียงจนชายหนุ่มแทบผวาด้วยจำได้ว่าเธอเจ็บข้อเท้าอยู่ หากจิรปริยากลับเดินโซเซไปยังห้องน้ำโดยไม่บ่นอะไร ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมาทิ้งตัวนอนคลุมโปงตามเดิม
นับนิรันดร์กะพริบตาปริบอยู่นานถึงได้เข้าใจว่าเมื่อครู่ภรรยาคงละเมอตื่นมาเข้าห้องน้ำ หนุ่มหน้าสวยโคลงศีรษะ เผลอหลุดหัวเราะออกมาจนคนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนสะดุ้งพรวดลุกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าหวานงัวเงียหันมามองเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แถมประโยคที่หลุดออกจากปากเธอ…ถ้าเป็นเวลาอื่นเขาคงเจ็บปวดเสียใจ แต่ตอนนี้กลับทำให้เขาเปล่งเสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม
“อะไร! หัวเราะอะไร แล้ว…คุณเป็นใครน่ะ มาอยู่ในห้องนอนฉันได้ไง!”
สีหน้าตกใจแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้เขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร หากเมื่อครู่นับนิรันดร์ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเผลอเผยสีหน้าอย่างคนอ้างว้างโดดเดี่ยวออกมา ในเวลานี้เขาก็ยังไม่รู้ตัวอีกเช่นเดิมว่าน้ำแข็งในดวงตาละลายไปพร้อมกับประกายรักใคร่เอ็นดูที่ผุดขึ้นมาแทนที่ รอยยิ้มบนริมฝีปากบางไม่ได้ดูเย็นชาอีกต่อไป ทว่ามันเป็นยิ้มซึ่งออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่เกิดขึ้นเพราะเธอ
ยิ้ม…ซึ่งเติมเต็มความเป็นมนุษย์ที่เขาเคยขาดหาย
ชายหนุ่มขยับตัว ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดหน้าหวาน แกล้งงับปลายจมูกรั้นเร็วๆ ก่อนถอนใบหน้าออกมา ยืนยันสถานะตัวเองอีกครั้งด้วยแววตาเป็นประกายรักใคร่หวงแหน
“ผมเหรอ ก็เป็นสามีของแดไงคะ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 65)
Comments
comments
No tags for this post.