บทนำ
ในตระกูลผู้มีอันจะกินมักมีบางเรื่องที่คนทั่วไปไม่สามารถทำความเข้าใจได้ บางครั้งแม้แต่คนในตระกูลเองก็ยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ
เรื่องน้ำเน่าเช่นการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อแย่งชิงสมบัติมหาศาล หรือเรื่องของเด็กที่เกิดในตระกูลร่ำรวยถูกบังคับให้เดินในเส้นทางที่ตัวเองไม่ได้เลือก เพื่อพ่อแม่จะได้อวดกับสังคมได้ว่าลูกตัวเองดีกว่าใครนั่นก็ด้วย แต่ในกรณีของบ้านสามพี่น้องตระกูลบริพัตรเมธานนท์นั้น…ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
บิดามารดาของสามพี่น้องต่างให้ความสำคัญเรื่องสายสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันดี แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูเหมือนไม่รักกันเลยก็ตาม สมบัติมหาศาลก็ไม่อาจสร้างความร้าวฉานได้ ถ้าจะสร้างปัญหาให้…ก็คงจะเป็นการเกี่ยงกันรับสมบัตินั้นมากกว่า ส่วนการเลือกทางเดินในชีวิตนั้นแม้จะมีการบังคับกะเกณฑ์บ้างเป็นธรรมดาของพ่อแม่ที่รักลูก แต่ไม่ถึงกับหักหาญน้ำใจ ดูเหมือนว่าครอบครัวมหาเศรษฐีครอบครัวนี้จะเป็นครอบครัวที่มีความสุขดีเลยทีเดียว
ทว่าก็ยังมิวายมีเรื่องน้ำเน่าจนได้…
พฤกษ์เป็นศัลยแพทย์ฝีมือดี เขามีชีวิตเป็นเหมือนความฝันของคนค่อนประเทศ เกิดในตระกูลร่ำรวย หน้าตาหล่อเหลา ไอคิวสูงปรี๊ดจนสามารถสอบติดคณะแพทย์มหาวิทยาลัยชื่อดังได้ง่ายดาย
‘สอบแพทย์น่ะเหรอ แกะถุงแกงร้านหน้าปากซอยยังยากกว่า’
เขาเกิดมาเพื่อเสวยสุขบนโลกใบนี้โดยแท้ กระทั่งเมื่อได้รับรู้เรื่องสัญญาที่บิดากับคุณหญิงสมปรารถนามีต่อกัน ความสุขของเขาก็มีอันต้องหมดสิ้นไป
สัญญาที่ว่านั่นคือการต้องแต่งงานกับผู้หญิงซึ่งเขามองเธอเป็นน้องสาวมาตลอดอย่างพริ้มเพรา
แน่นอนว่าพฤกษ์ปฏิเสธทันทีอย่างไม่คิดถึงหน้าของอีกฝ่าย ปัญหามากมายตามมาก่อนจบลงด้วยการที่พิชญ์ น้องชายคนรองผู้สุขุมลุ่มลึกและมีอุปนิสัยโอนอ่อนผ่อนตามยอมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวแทนเขา อะไรๆ เหมือนจะลงตัว ทว่าพิชญ์กลับไปมีความรักกับผู้หญิงอีกคน และเป็นความรักที่ทำให้ชายหนุ่มผู้ไม่เคยมีปัญหากับความต้องการของบิดาเกิดดื้อด้านขึ้นมา
อย่างที่เคยได้ยินว่า…อานุภาพของความรักทำลายล้างทุกอย่าง
พิชญ์ยกเลิกการหมั้นพร้อมเปิดตัวพัฒน์นรีอย่างเอิกเกริก แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้สร้างความขุ่นเคืองให้คุณหญิงสมปรารถนาอย่างมาก ทั้งยังส่งผลกระทบต่อห้างอินฟินิตี้วันจนแทบต้องปิดกิจการกันไปเลย
ถ้าจะให้เล่าตั้งแต่เริ่มก็คงต้องใช้เวลาสามวันสามคืน สรุปก็คือคนที่เคยปฏิเสธว่าที่คู่หมั้นผู้สูงส่งต้องกลับคำ ยอมรับการถูกคลุมถุงชนเสียเองเพื่อให้น้องชายได้รักกับผู้หญิงที่ตัวเองเลือก
คิดดูแล้วกันว่าเขารักน้องชายมากเพียงใด เขาเสียสละให้ได้…แม้ว่ามันจะไม่เคยซาบซึ้งเลยก็ตาม
‘นายไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้หนึ่ง ฉันกำลังติดต่อนายหน้าหาทำเลใหม่ให้’ พิชญ์ยืนยันหัวชนฝา เขาจะไม่ยอมให้ใครต้องมารับผิดชอบสัญญาอะไรนี่อีกแล้ว
‘แกคิดว่าแกฉลาดอยู่คนเดียวหรือไงสอง ฉันแต่งงานกับพริ้ม ง่ายที่สุดแล้ว’
‘หนึ่ง อย่าเลย’
‘ฉันมีวิธีของฉัน รับรองว่ายายพริ้มทำอะไรฉันไม่ได้’
‘นั่นแหละที่ฉันกลัว ที่ฉันห้ามก็เพราะว่าเป็นห่วงพริ้มนั่นแหละ’
พฤกษ์หัวเสียกับคำพูดจริงจังนั่นแทบบ้า
‘ไอ้น้องบ้าเอ๊ย! มีหัวใจบ้างมั้ยวะ นี่พี่นะโว้ย!’
ความคิดของศัลยแพทย์หนุ่มหยุดลงเมื่อร่างระหงในชุดเดรสสีชมพูอ่อนพอดีตัวนั่งลงตรงหน้า เธอถอดแว่นตาสีชาออกเผยให้เห็นดวงตากลมโตและขนตาหนาเป็นแพที่ถูกปัดให้งอนขึ้นด้วยมาสคาร่า เธอสวยหากว่ามองแวบแรก แต่เมื่อพินิจดูแล้วชายหนุ่มก็คิดในใจคนเดียวเงียบๆ ว่า
ไม่ชอบ
“สวัสดีค่ะ” พริ้มเพรายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ประดิษฐ์มาแล้ว
แต่พฤกษ์รับไหว้ด้วยท่าทีอิหลักอิเหลื่อ เขากับพริ้มเพราห่างเหินกันมานานมาก ปีๆ นึงคุยกันแทบนับคำได้ แต่ตอนนี้ดันต้องมาแต่งงานกัน
เหอะ! คงจะบันเทิงตายล่ะ
“จริงๆ ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนี้ก็ได้นะ”
พริ้มเพราไม่อินังขังขอบกับท่าทีเป็นปรปักษ์ของเขา ไม่ว่าจะไหว้หรือไม่ไหว้ พฤกษ์ก็หาเรื่องไม่พอใจได้ตลอดนั่นแหละ หญิงสาววางสีหน้านิ่งเฉยเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พฤกษ์แสดงออกเช่นนี้กับเธอ อันที่จริงเธอรู้จักเขามานานมากพอที่จะรู้ว่าเขาเป็นคน ‘พูดดีๆ’ ไม่เป็น
“พี่หนึ่งนัดพริ้มมามีเรื่องอะไรคะ”
พฤกษ์เหลือบตามองคนตรงหน้าทั้งที่ไม่อยากมอง พริ้มเพรากับเขาเคยสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง เพราะครอบครัวรู้จักกันดี ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ คุณหญิงสมปรารถนาและพ่อของเขาเพียรพยายามให้เขากับพริ้มเพราได้ใกล้ชิดกัน ซึ่งเขาไม่เคยเอะใจเลยว่านั่นเพราะผู้ใหญ่ต้องการจับเขากับพริ้มเพราคลุมถุงชน
ก่อนหน้าที่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของพฤกษ์กับพริ้มเพราจะพังลง เขารักและเอ็นดูเธอมาก เธอน่ารัก ผมหยิกเป็นลอน ผิวขาวจัด และดวงตากลมใสเหมือนตุ๊กตา
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ทำให้เขาได้เข้าใจคำว่า ‘ไม่น่าโตขึ้นมาเลย’
เด็กหญิงที่เคยร่าเริงคนเก่ากลับโตขึ้นเป็นหญิงสาวสวยสง่า ตุ๊กตาน่าฟัดก็แปรเปลี่ยนเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ไม่ควรยื่นมือไปจับต้อง อาจเป็นเพราะการอบรมมารยาทอย่างเคร่งครัดราวกับตั้งโปรแกรมหุ่นยนต์โดยยายของเธอ
“ลองเดาดูสิ”
“เรื่องของพี่สองกับคุณแก้ม”
“ถูกแค่ส่วนนึง” เขาบอกเสียงเรียบ แต่ในใจตั้งคำถามมากมาย พริ้มเพราไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือกับการที่คู่หมั้นของตัวเองกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
เขาคิดว่าการพบกันครั้งนี้จะต้องเห็นพริ้มเพราที่ดูเป็นทุกข์มากๆ แต่นี่…เธอกลับนิ่งเฉย
“แล้วที่ถูกทั้งหมดมันคืออะไรล่ะคะ”
พริ้มเพราไม่อยากเดาต่อ แต่ถ้าให้เดาจริงๆ เธอก็คิดว่าพฤกษ์คงต้องการให้เธอยกเลิกงานแต่งงานระหว่างเธอกับพิชญ์เพื่อหลีกทางให้ชายหนุ่มได้รักกับพัฒน์นรีโดยสะดวก เขาคงไม่รู้ว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมาพูดซ้ำ เพราะเธอตกลงยินยอมไปตั้งแต่ที่พิชญ์พาพัฒน์นรีมาหาถึงภูเก็ตแล้ว
“น่าแปลกนะ ทำไมเธอถึงดูไม่เสียใจเลยกับเรื่องที่ไอ้สองกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น หรือว่าที่ทำอยู่ก็แค่…หน้าชื่นอกตรม น้ำตาคงตกในสินะ”
“พี่หนึ่งอ่านนิยายรักประโลมโลกมากเกินไปหรือเปล่าคะ” สำนวนถึงได้น้ำเน่าขนาดนี้
พฤกษ์หน้าตึงขึ้นเมื่อถูกยอกย้อน เป็นน้องเป็นนุ่ง เห็นเขาไม่ยุ่งหน่อยชักเหิมเกริม
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รักไอ้สอง แล้วยอมแต่งงานกับมันตั้งแต่แรกทำไม”
“เป็นคำสั่งของคุณยาย”
“ถ้ายายเธอสั่งให้ไปตาย เธอจะไปใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“พริ้มเพรา!” พฤกษ์กดเสียงต่ำลงอย่างคนที่เริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ ขณะภายในใจเขากำลังปะทุด้วยแรงโกรธ ส่วนคนต้นเหตุยังวางเฉยได้อย่างน่าชื่นชม “ช่างเถอะ เธอมันคนไม่มีหัวใจอยู่แล้ว”
วูบหนึ่งดวงตาหวานวาววับอย่างขุ่นเคือง แต่พฤกษ์ไม่ทันได้เห็นเสียด้วยซ้ำเพราะเขาเองก็แทบไม่อยากมองหน้าเธอ
“เธอก็รู้ใช่มั้ยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ลำพังเรื่องเงินฉันคิดว่าไอ้สองมันไม่ได้เสียดายสักเท่าไหร่ คนที่จะต้องเดือดร้อนไปกับมันต่างหากที่น่าเป็นห่วง อินฟินิตี้วันเป็นแหล่งรายได้ของคนนับพัน ถ้าต้องปิดตัวไปเธอก็น่าจะรู้ว่าอีกหลายชีวิตต้องเดือดร้อน ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการรายย่อย แต่พวกพนักงานตัวเล็กๆ ก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”
“…”
“ยายของเธอเองก็คงจะโกรธแค้นพ่อฉันมาก ฉันก็พอเข้าใจความรู้สึกของท่านอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยว่าการยัดเยียดหลานสาวให้แต่งงานกับฉันหรือกับไอ้พิชญ์มันเป็นการแก้แค้นตรงไหน” อันที่จริงเขารู้เพราะเดาไม่ยาก คุณหญิงสมปรารถนาแค่เพียงอยากมีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจหมื่นล้านของตระกูลของเขาที่นางมีส่วนช่วยผลักดันในอดีตนั่นเอง
หน้าเลือด! คนแบบนั้นแม้ว่าจะใกล้ตายเต็มทนก็ยังมิวายคิดเรื่องผลประโยชน์ ส่วนได้ส่วนเสีย ยอมแลกทุกอย่างแม้ต้องเบียดเบียนความสุขของทุกคนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
พริ้มเพราไม่แสดงความรู้สึกใดๆ อีกตามเคย เธอไร้หัวใจจริงๆ อย่างที่พฤกษ์ว่า ต่อให้เขาใช้ถ้อยคำรุนแรงกว่านี้เธอก็มั่นใจว่าตัวเองจะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
“ฉันยอมตกลงแต่งงานกับเธอ”
คราวนี้พริ้มเพราที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดีมาตลอดต้องเบิกตากว้าง เธอยอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่พฤกษ์บอกยิ่งกว่าตอนที่พิชญ์มาขอถอนหมั้นเสียอีก
“หมายความว่าไงคะ”
“เธอน่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ” พฤกษ์ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่เขาก็เลวไม่ถึงขั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ช่างเห็นแก่ตัวอย่างน่าละอาย “ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปนิดที่มาพูดเรื่องสำคัญขนาดนี้กับเธอโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรเลย เธอกับสองใช้เวลาดูใจกันมาระยะหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตคู่ร่วมกันในอนาคต แต่น้องชายฉันมันรักผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว ฉันรู้ว่าเธออาจต้องการเวลาเหมือนที่เธอกับไอ้สองเคยมีเวลาศึกษานิสัยใจคอซึ่งกันและกัน แต่ก็เห็นนี่ว่าการจะดูใจกันหรือไม่ ก็ไม่ได้การันตีว่าคนสองคนจะแต่งงานกันได้ ฉะนั้น ฉันก็จะขอเธอแต่งงานแบบนี้แหละ ง่ายๆ แบบนี้เลย”
“เพื่ออะไรคะ เพียงแค่ต้องการให้คุณยายขายที่ให้เท่านั้นเหรอคะ”
“มันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นอีกล่ะ” ชายหนุ่มตอบแบบไม่ถนอมน้ำใจคนฟัง “ในเมื่อยายของเธออยากให้เธอเป็นสะใภ้ตระกูลบริพัตรเมธานนท์มากชนิดที่ว่าหลานสาวจะแต่งงานกับใครก็ได้ ฉันเองก็อยากช่วยธุรกิจของครอบครัว เราสองคนต่างได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
พฤกษ์ไม่ใช่คนใจเย็น เขาอยู่ขั้วตรงข้ามกับพิชญ์ แต่วันนี้เขาคงต้องฝึกตัวเองให้ใจเย็นลงมากๆ
ถึงพริ้มเพราจะแสดงความเฉยชาต่อการถูกคลุมถุงชนอย่างไร แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง เขาควรให้เกียรติเธอ
“ขอโทษนะถ้าฉันใช้คำพูดไม่ดีเท่าไหร่ แค่ไม่อยากอ้อมค้อมให้เสียเวลา ถ้าหากว่าเธอยังยินยอมที่จะแต่ง…” พริ้มเพรานิ่งเงียบซ้ำดวงตายังอ่อนแสงลง หัวใจด้านชาของนายแพทย์หนุ่มกลับอ่อนไหวอย่างที่ไม่ควรจะเป็น “หรือเธอมีคนรักอยู่แล้ว”
“เปล่าหรอกค่ะ ถ้าพี่หนึ่งเห็นว่าสมควร พริ้มก็ไม่ติดขัดอะไร”
แม้ว่าการตอบรับของพริ้มเพราไม่ได้ทำให้พฤกษ์แปลกใจเท่าใดนัก แต่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ การแต่งงานคือเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต แต่พริ้มเพราทำราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ตอบรับง่ายดายเหมือนสั่งอาหารสักจาน
…ในสมองของเธอคงมีแค่เรื่องผลประโยชน์ เห็นชัดว่าเธอเย็นชากับทุกสิ่ง
…เลือดเย็นเหมือนยายของเธอนั่นแหละ
“ถ้าอย่างนั้นวันเสาร์นี้ฉันจะพาพ่อไปที่บ้านเธอ เจรจาสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว ครั้งนี้ยายของเธอจะต้องขายที่ให้มารีรินทร์กรุ๊ปแบบไม่มีข้อแม้”
การตกลงเรื่องแต่งงานที่เจรจากันแค่เรื่องผลประโยชน์ทำให้พริ้มเพราต้องเบือนหน้ามองทางอื่น เธอยังมีความรู้สึกดีๆ ให้พฤกษ์ แม้ว่ามันจะเหลือน้อยมากแล้วก็ตาม
“ได้ค่ะ พริ้มจะเคลียร์ตัวเองให้ว่างวันเสาร์นี้”
“ดี” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความขุ่นใจ รู้สึกเหมือนกำลังดีลงานหรือเจรจาร่วมทุนอะไรสักอย่างก็มิปาน “แต่เราควรตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนเพื่อจะได้พูดให้ตรงกัน เช่นว่าทำไมเธอถึงเลือกมาแต่งงานกับฉัน เรารักกันมาตลอด หรือว่าฉันเข้ามาดูแลเธอในวันที่เจ็บจากไอ้สอง แบบไหนที่ยายของเธอจะเชื่อมากกว่ากัน”
พริ้มเพรานิ่งไปอีกหลายวินาทีอย่างใช้ความคิด ก่อนช้อนดวงตาแข็งกร้าวหยิ่งยโสขึ้นมองเขา
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ขอแค่พริ้มได้แต่งเข้าตระกูลบริพัตรเมธานนท์คุณยายก็พอใจแล้ว ท่านไม่สนใจรายละเอียดพวกนั้นหรอก”
บทที่ 1
สมรส
“เฮียสองคนแต่งงานกันไปหมดแล้ว เหลือผมเป็นหนุ่มโสดอยู่คนเดียวในบ้าน”
พุฒกล่าวขึ้นขณะนอนมองท้องฟ้าอยู่ที่พื้นสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์บริพัตรเมธานนท์ พฤกษ์ซึ่งนอนอยู่ข้างกันทำหน้าเมื่อย ขณะที่พิชญ์มีรอยยิ้ม
สามพี่น้องนอนราบกับเสื่ออเนกประสงค์ดวงตามองไปยังท้องฟ้ากว้างที่ความจริงไม่ค่อยเห็นดาวสักเท่าไหร่ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“ตอนฉันสองคนยังไม่แต่งงาน แกว่างมาเจอมากนักนิ” พฤกษ์กล่าวประชด เพราะธรรมดาแล้วสามคนพี่น้องล้วนมีงานยุ่งรัดตัวกันถ้วนหน้า พฤกษ์ทำงานประจำเป็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ไม่ต้องถามก็น่าจะเดาได้ว่าอาชีพหมอจะมีเวลาว่างสักแค่ไหน
พิชญ์น้องชายคนรองยิ่งยุ่งหนักมากไปใหญ่ ชายหนุ่มรับผิดชอบกิจการศูนย์การค้าของครอบครัวซึ่งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ต้องควบคุมคนนับร้อยนับพันชีวิต ภาระหนักอึ้งประหนึ่งแบกโลกไว้บนบ่า การถามหาเวลาว่างจากพิชญ์ไม่ต่างจากการถามให้ถูกด่า ยิ่งพักหลังมานี้คนที่ไม่เคยมีปัญหากับการ ‘มี’ หรือ ‘ไม่มีเวลา’ ชักเริ่มมีปัญหาขึ้นมาแล้ว เลขาฯ ส่วนตัวอย่างวริษฐ์ยังแอบบ่นให้ได้ยินว่าพิชญ์ปฏิเสธนัดลูกค้าจนเลขาฯ อย่างเขาหน้าแหกแล้วแหกอีก ที่เป็นแบบนี้เพราะรองประธานหนุ่มหลงภรรยาหนักมาก เลิกงานเป็นต้องกลับบ้านไม่เคยเถลไถลเลยสักวัน
ส่วนพุฒน้องชายคนเล็กที่บ่นกระปอดกระแปดเรื่อง ‘เหงา’ ก็พอกัน ชายหนุ่มไปค้าแข้งที่ประเทศอังกฤษร่วมสิบสองปีแล้ว ต้องฝึกซ้อมอย่างจริงจังตลอดฤดูกาล จะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อมีโอกาสพิเศษเท่านั้น
เช่นครั้งนี้…วันที่พี่ชายคนโตของตระกูลกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์
ส่วนศัลยแพทย์อย่างพฤกษ์ อย่าพูดถึง ‘เวลา’ ให้เสียเวลาเลย แค่จะกินข้าวสักคำยังต้องรีบ สรุปว่าการรวมตัวกันให้ครบสามคนแบบพร้อมหน้าพร้อมตานั้นยากยิ่ง
“อีกไม่นานก็ว่างแล้วเฮีย ไม่เตะบอลไปตลอดหรอก”
“กลับมาบ้านสิ มีอะไรให้ช่วยทำอีกเยอะ” พิชญ์บอกกับน้องชายคนเล็ก กิจการพันล้านของครอบครัวที่เขาดูแลอยู่คนเดียวต้องการผู้ช่วยด่วนมาก เพราะเขาเองก็อยากจะมีเวลาอยู่กับภรรยาให้มากขึ้น
“เรื่องนั้นขอคิดดูก่อนได้มั้ยเฮียสอง ยังไม่ได้คิดอะไรเลย”
“เออ! อย่าให้นานเกินไปล่ะ”
“ผมสงสารสาวๆ ที่โน่น ถ้าย้ายกลับไทยถาวรพวกเธอคงช้ำใจตาย”
“ใช้คำว่า ‘พวกเธอ’ เลยเหรอวะ” พฤกษ์ที่นอนหนุนแขนตัวเองหันมามองน้องชายคนเล็ก “โม้เกินไปหรือเปล่า”
“เฮียจะแต่งงานอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย” พุฒเปลี่ยนเรื่องยิ้มๆ แม้จะบอกว่าเหงา แต่เขาค่อนข้างมีความสุขกับความโสดของตัวเอง
พฤกษ์กลอกตาเป็นเลขแปด บ่งบอกว่าเขาหมั่นไส้ความหลงตัวเองของน้องชายเพียงใด ถึงอย่างไรพฤกษ์ก็กล้ายืนยันว่าในบรรดาลูกชายตระกูลบริพัตรเมธานนท์ เขาหล่อมากที่สุด
“ไม่ต้องพูดเลยทั้งเรื่องขี้โม้ของแกแล้วก็เรื่องแต่งงานของฉัน”
“เอาน่า…ยังไงก็ยินดีด้วยนะเฮีย” พุฒบอกกับพี่ชายคนโต แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เหมือนกับงานแต่งงานทั่วไป
เจ้าบ่าวคงไม่ยินดีแน่นอนอยู่แล้ว
พฤกษ์ยิ้มเยาะให้กับคำยินดีนั้น แต่ไม่พูดอะไร
ถึงอย่างไร…พริ้มเพราก็เป็นเจ้าสาวของเขาตั้งแต่แรก เขาแค่รับผิดชอบในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
พิชญ์ไม่พูดอะไรแต่ก็ใช่ว่าไม่รู้ พฤกษ์เกลียดการถูกบังคับทุกกรณี แม้ว่าจะทำหน้าระรื่นมาบอกว่าการแต่งงานกับพริ้มเพราครั้งนี้เป็นความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย พิชญ์ก็ไม่เคยคิดเชื่อเลย แต่อย่างน้อยเขาก็หวังว่าผลลัพธ์ของการแต่งงานอย่างไม่เต็มใจนี้จะออกมาในทิศทางที่ดี
พริ้มเพราอาจดูเหมือนเป็นหญิงสาวที่น่าอิจฉา แต่ลึกๆ เธอน่าสงสาร หากจะมีผู้ชายสักคนที่ปกป้องดูแลเธอได้ คนคนนั้นคือพี่ชายของเขา พฤกษ์เท่านั้นที่เหมาะสม
“นอนได้แล้วมั้ง พรุ่งนี้เจ้าบ่าวต้องตื่นแต่เช้า” พิชญ์บอกทั้งพยายามข่มใจไม่พูดเรื่องการอยากกลับบ้านไปนอนกอดเมีย เขารู้ว่าตัวเองค่อนข้างจะหลงเมียหนักมากจนเกินลิมิตของคนทั่วไป แต่ช่วยไม่ได้ บางครั้งคนเราก็ต้องมีบางสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่บ้าง แม้ว่าคนอย่างเขาจะควบคุมสถานการณ์วิกฤตมานับร้อยนับพันเหตุการณ์ได้ด้วยมันสมองของเขาก็ตาม
…แต่เรื่องนี้มันเหนือการควบคุมจริงๆ
“รีบนอนทำไมวะ ดาวยังสวยอยู่เลย” พฤกษ์บอกเสียงนิ่งทำให้น้องชายอีกสองคนต้องเลื่อนสายตากลับไปเพ่งมองท้องฟ้าอีกครั้ง
“ไหนวะ” พิชญ์ขมวดคิ้ว นอนมองหาดาวมาร่วมชั่วโมง แต่กลับเห็นเพียงแค่ไฟวิบวับของเครื่องบิน ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ นั้นสว่างเกินกว่าจะเห็นดาว
“คนไร้หัวใจอย่างแกมองไม่เห็นหรอก”
“บ้าเปล่าวะ” ประโยคนี้พิชญ์ไม่ได้พูดกับ ‘คนมีหัวใจ’ แต่ข้ามไปถามความเห็นกับน้องชายคนเล็กที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“คนมีความรักก็งี้แหละเฮีย มองอะไรก็สวยงามไปหมด”
สิ้นสุดคำพูดน้ำเน่าชวนอาเจียน ว่าที่เจ้าบ่าวก็ลุกพึ่บ ก่อนยันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่รอฟังเสียงพูดตามหลังมา
“อ้าว! ไม่ดูแล้วเหรอ ดาวน่ะ”
งานแต่งงานระหว่างทายาทเศรษฐีพันล้านจัดขึ้นอย่างสมฐานะ อันที่จริงเรียกว่าจัดขึ้นอย่างสมกับความหน้าใหญ่ใจโตของคุณหญิงสมปรารถนามากกว่า พฤกษ์มองหญิงสูงวัยที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดราตรีสีน้ำเงินยาวกรอมเท้าด้วยความรู้สึกแกนๆ
อายุปูนนี้แล้ว
หญิงชราวัยใกล้เลขเจ็ดดูเหมือนจะไม่ยอมแก่ง่ายๆ ในสังคมที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ดี’ มีคนจำพวกนี้อยู่มาก อย่างน้อยก็มารดาของเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอมให้ริ้วรอยแห่งวัยมากล้ำกราย
เมื่อวานในกรุ๊ปไลน์ครอบครัวยังเม้าท์มอยว่าพักตร์อุษาไปเข้าคอร์สขัดผิวรอบที่สามในสัปดาห์แล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสาวของเขาจะเตรียมตัวมากเท่ามารดาของเขาไหม นี่ยังไม่นับรวมเรื่องไปฉีดโบท็อกซ์เมื่อต้นเดือนนั่นด้วย
อย่างว่า…อะไรที่ฝืนธรรมชาติเกินไปมันไม่น่าดูเอาเสียเลย
เมื่อเห็นว่าบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างแข่งขันกันอวดเสื้อผ้าหน้าผม กระเป๋า รองเท้า และเครื่องเพชรอย่างเอาเป็นเอาตาย หมอหนุ่มผู้รักความสมถะจึงทำได้แค่เมินสายตาจากภาพนั้นเพื่อไม่ให้สุขภาพจิตเสียไปมากกว่านี้ ภาพในสายตาของชายหนุ่มจึงตัดมาที่คนข้างกาย
เจ้าสาวของเขาสวมชุดราตรีสีขาว ตัดเย็บอย่างประณีต พฤกษ์เห็นว่าที่หน้าอกของเธอปักด้วยคริสตัลเม็ดเล็กๆ เป็นร้อยเป็นพันเม็ด ชายหนุ่มมีนิสัยชอบสังเกตมาแต่ไหนแต่ไร อาชีพของเขาก็ถูกฝึกฝนให้จดจำทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แม้กระทั่งจุดสีดำเส้นผ่านศูนย์กลางแค่ศูนย์จุดหนึ่งไมครอนในปอดคนไข้ก็ไม่เคยเล็ดลอดสายตา ดังนั้นเวลาไม่กี่วินาทีเขาจึงจดจำลูกไม้บนแขนเสื้อเจ้าสาวได้ทั้งหมดจนเกิดคำถามขึ้นในใจเงียบๆ ว่า…
จะจำไปทำบ้าอะไรวะ?!
ผิวขาวนวลที่โผล่พ้นออกมาจากลวดลายของผ้าลูกไม้ตั้งแต่ข้อมือเรื่อยมายังหัวไหล่นั้นหยุดสายตาของเขาได้อยู่หมัด พริ้มเพราสวยมากเมื่ออยู่ในชุดเจ้าสาว อันที่จริงไม่ได้เป็นเพราะชุด…แต่เพราะเธอเป็นคนสวยอยู่แล้ว ผิวของหญิงสาวขาวละเอียดจนขนาดมองใกล้ๆ ยังไม่เห็นรูขุมขน การที่เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพริ้มเพรา นับเป็นอะไรที่ผู้ชายหลายคนต้องอิจฉา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่า…เขาไม่มีวันรักเธอลง
สามปีก่อน…
เหมือนทุกปีที่ครอบครัวบริพัตรเมธานนท์ต้องเดินสายมอบของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ บ้านปัถมธาดาก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่ละเลยไม่ได้เด็ดขาด คุณหญิงสมปรารถนาผู้เป็นประมุขของบ้านคือผู้มีพระคุณ นพอนันท์สอนลูกๆ มาเสมอว่าการที่ทุกคนใช้ชีวิตสบายอยู่บนกองเงินกองทองได้ก็เพราะความเมตตาจากคุณหญิงท่าน
พฤกษ์พอจะเข้าใจถึงเรื่องธรรมเนียมประเพณีและค่านิยมพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรมีนั่นคือความกตัญญู แม้จะเบื่อๆ อยู่บ้างแต่เขาก็ไม่เคยพลาดการมาไหว้คุณหญิงสมปรารถนาสักปี
‘ปีนี้ตาหนึ่งอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ’
‘สามสิบปีแล้วครับคุณหญิง’ นพอนันท์ตอบด้วยใบหน้าสุขุม ราวกับว่าคำถามของหญิงสูงวัยมีสิ่งใดซ่อนอยู่
‘เร็วมากๆ เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน’
ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้บนโต๊ะน้ำชาตอนบ่ายของวันก่อนคืนสิ้นปีเงียบกริบ ทุกคนต่างเงยหน้าจากอะไรก็ตามที่สนใจในตอนแรกมามองผู้พูดอย่างสนใจ
‘เมื่อวาน’ ของคุณหญิงสมปรารถนานั้นเป็นอย่างไรเขาเองก็นึกสงสัย
‘พริ้มเพราจะเรียนจบมหาวิทยาลัยปีหน้าแล้วนะคุณนพ น่าจะถึงเวลาที่ต้องคุยเรื่องที่ตกลงกันไว้’ คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
พักตร์อุษามองหน้าพฤกษ์ราวกับล่วงรู้สิ่งที่หญิงสูงวัยจะบอก
‘ผมยังไม่ได้เกริ่นเรื่องนี้กับลูกครับ’
‘งั้นก็บอกเสียตอนนี้เลย อยู่กันครบแล้วนี่ ขาดก็แต่เจ้าสาม แต่คงไม่สำคัญอะไร เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว’
ราวครึ่งนาทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ พฤกษ์ชักสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับเขา เพราะทุกคนต่างมองมาทางเขา ยกเว้นก็แต่พิชญ์ที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน
‘มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ’ ศัลยแพทย์หนุ่มถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว นพอนันท์มีสีหน้าลำบากใจแต่ก็เป็นคนพูดเองในที่สุด
‘พ่อให้ความเคารพคุณหญิงสมปรารถนาเหมือนญาติผู้ใหญ่ สำนึกบุญคุณเสมอว่าท่านได้มอบโอกาสให้พ่อ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีมารีรินทร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ พ่ออยากให้ครอบครัวเราทั้งสองเกี่ยวดองเป็นญาติ เมื่อเห็นคุณหญิงท่านมีหลานสาวที่น่ารักอย่างหนูพริ้มเพรา พ่อเลยเอ่ยปากสู่ขอให้แกเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้แกกับหนูพริ้มเพราพร้อมเมื่อไหร่ก็จัดงานแต่งงานได้ทันทีเลย’
คำบอกเล่ายาวเหยียดนั่นสร้างความตื่นตระหนกให้พฤกษ์อย่างยิ่งยวด ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก เขาหันไปมองพริ้มเพรา ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ อย่างต้องการคาดคะเนความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเมื่อครู่เธอหูดับไปแล้วไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อของเขาพูด
‘ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมกับพริ้มเพราตัดสินใจเองได้นะครับ ผมไม่ได้รังเกียจตระกูลปัถมธาดา แต่คงทำตามที่พ่อบอกไม่ได้’
‘ไม่ได้รังเกียจตระกูลฉัน แต่รังเกียจหลานฉันอย่างนั้นหรือ’ คุณหญิงสมปรารถนาถามด้วยกิริยาอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง คอตั้งบ่า…ใบหน้าเชิดตรง
‘ไม่ใช่ครับ แต่พริ้มเพราเป็นน้องสาวของผม’
‘ไม่ใช่น้องแท้ๆ’
‘ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแต่งงานกันได้หรอกนะครับคุณหญิง’ พฤกษ์พยายามอย่างยิ่งในการควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้เกรี้ยวกราด ทั้งที่ความรู้สึกภายในแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความโกรธ ‘พริ้มไม่อยากแต่งงานกับผมหรอกครับ เราสองคนไม่ได้รักกัน ชีวิตคู่เป็นเรื่องใหญ่…ฝืนใจกันไม่ได้นะครับ’
‘แล้วถ้าหากว่ายายพริ้มไม่ขัดล่ะ’
‘ขัดอยู่แล้วล่ะครับ’ พฤกษ์เชื่ออย่างสนิทใจ เขากับพริ้มเพราเป็นได้แค่พี่น้อง ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน…ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ‘พริ้ม บอกกับคุณยายของพริ้มสิ ว่าเราไม่มีวันแต่งงานกัน’
พฤกษ์ถามย้ำกับพริ้มเพราซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวนิ่งจนเขาแทบกระโดดไปเขย่าตัวให้รู้สึกรู้สากับอะไรบ้าง
‘ว่าไงล่ะยายพริ้ม ตอบพี่เขาไปสิ ถ้ายายจะให้เราแต่งงานกับตาหนึ่ง เราจะว่ายังไง’
พริ้มเพราเม้มปากเป็นเส้นตรง ช้อนตามองคนที่อารมณ์ปะทุใกล้จุดเดือดก่อนค่อยๆ ตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ‘แต่งค่ะ พริ้มไม่ขัด’
‘พริ้ม!’ พฤกษ์ตกใจจนหน้าขาวเผือดไปทั้งหน้า ‘พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั้ย เรารักพี่หรือไงถึงได้ยอมแต่งงานด้วย’
‘โตแล้วนะคะพี่หนึ่ง เราต้องเลิกคิดถึงเรื่องความรู้สึกแล้ว ต้องพูดกันด้วยเหตุผล เรื่องการแต่งงาน…พริ้มแล้วแต่คุณยายค่ะ’
‘บ้าไปกันใหญ่แล้ว! นี่มันงานแต่งงานนะ ไม่ใช่ธุรกิจ ที่พูดอยู่คือการแต่งงาน ไม่ใช่การร่วมทุนถึงจะได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เธอยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตด้วยได้ง่ายๆ เหรอ’ พฤกษ์โมโหมากยิ่งกว่าตอนฟังคำพูดของบิดากับคุณหญิงสมปรารถนารวมกันเสียอีก เขาไม่คิดว่าพริ้มเพราจะตกปากรับคำง่ายๆ การที่เธอพูดถึงงานแต่งของตัวเองกับผู้ชายที่ผู้ใหญ่เลือกได้อย่างหน้าตาเฉยทำให้เส้นเลือดในสมองของนายแพทย์หนุ่มเต้นตุบๆ เหมือนจะระเบิด และนั่นนับเป็นวันสุดท้ายที่เขาสามารถมองพริ้มเพราเป็นน้องสาวได้อย่างเต็มใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้นพฤกษ์ก็จำไม่ได้แล้วว่าใครพูดอะไรอีกเพราะเขาไม่สนใจคำพูดของใครทั้งนั้น หากเขาไม่อยากแต่ง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาบังคับได้ แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วคำปฏิเสธของเขาจะทำให้ภาระทุกอย่างตกไปอยู่บนบ่าของพิชญ์ น้องชายคนรองกลับกลายเป็นคนรับกรรมเรื่องนี้ไปอย่างที่พฤกษ์ไม่ได้คาดฝัน
แต่แล้วเขาก็หนีไม่พ้น แม้จะพยายามไปมากมายแค่ไหนแต่สุดท้ายพริ้มเพราก็ยังมายืนเคียงข้างเขาอยู่ตอนนี้…ในฐานะเจ้าสาวของเขา
งานเลี้ยงสมรสผ่านไปโดยที่บ่าวสาวไม่มีคำพูดสักคำบนเวที อันที่จริงทั้งคู่แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยตั้งแต่พิธีมงคลสมรสในตอนเช้า กระทั่งจนพิธีส่งตัวเข้าหอ คำพูดเดียวที่ออกจากปากของคนทั้งคู่เป็นแค่คำรับว่า… ‘ครับ’ กับ ‘ค่ะ’ เพียงเท่านั้นจริงๆ
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเมื่อผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายออกจากห้องหอของบ่าวสาวไป
ห้องหอในคืนแต่งงานคือห้องสวีตชั้นบนสุดของโรงแรมจัดเลี้ยง ผ้าปูเตียงสีขาวโรยด้วยกลีบกุหลาบแดงเป็นรูปหัวใจทำเอาพฤกษ์หงุดหงิด เขาทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเลื่อนสายตาออกจากภาพอันน่าอาเจียนนั้น ทว่ากลับต้องพบกับภาพที่ชวนให้เวียนหัวหนักกว่าเดิม
…นั่นคือภาพเจ้าของร่างระหงของเจ้าสาวที่ยืนมองเขาอยู่
“มองอะไร” น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่แทนที่เจ้าสาวของเขาจะรู้สึกรู้สาอะไรบ้าง เธอกลับยังทำหน้านิ่งเฉย (เหมือนเคย)
“เปล่าค่ะ” พริ้มเพราบอกหน้าตาย “พี่หนึ่งจะอาบน้ำก่อนมั้ยคะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปอาบอีกห้องนึง”
“ห้องไหนคะ” พริ้มเพราย่นคิ้วด้วยความสงสัย
“ห้องข้างๆ นายสามเปิดห้องไว้แล้ว”
พฤกษ์ว่าพลางปลดเนกไทออก เหนื่อยแทบบ้า ยิ่งกว่ายืนในห้อง OR แปดชั่วโมงติดเสียอีก คิดแล้วโล่งใจที่วันนี้ผ่านไปได้เสียที พรุ่งนี้…เขาก็จะติดปีกโบยบิน
“ทำไมคะ”
คำถามจากคนซึ่งยังอยู่ในชุดเจ้าสาวทำให้คนที่เพิ่งโล่งใจไปหมาดๆ ต้องยุ่งยากใจอีกครั้งเมื่อพบกับใบหน้าอันเต็มไปด้วยความสงสัย
“ก็ไม่ทำไม”
“แต่งงานวันแรกบ่าวสาวไม่ควรออกจากห้องหอนะคะ โบราณเขาถือ”
“คนถือตายไปตั้งนานแล้ว มีแต่เราที่ยังยึดติดกับความเชื่ออันไร้เหตุผลนั้น” พฤกษ์บอกพลางหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ ถอดรองเท้า ถุงเท้าแล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองมาเปิดโดยไม่สนใจพริ้มเพราที่ยังคงมองเขาโดยไม่ละสายตา สุดท้ายเป็นพฤกษ์ที่ต้องยอมแพ้ เขาละมือจากกระเป๋าแล้วเงยหน้าพูดกับเธอ
“ความเชื่ออะไรก็ไม่สำคัญสำหรับเราหรอกพริ้มเพรา ในเมื่อเราสองคนก็ไม่ได้คิดจะอยู่ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร…อย่างที่ใครๆ เขาอวยพรอยู่แล้วนี่”
พริ้มเพราไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า ทั้งที่ในใจตระหนกไม่น้อยกับความคิดของพฤกษ์ เธอกลั้นใจพูดในสิ่งที่คิดออกไป
“ขอโทษนะคะที่ต้องทำให้พี่หนึ่งผิดหวัง แต่ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว พริ้มก็หวังว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย”
“ขอโทษเหมือนกันนะพริ้มเพรา แต่ฉันคิดว่า…คงเป็นไปไม่ได้”
พฤกษ์รู้ดีว่าผู้หญิงทุกคนก็หวังจะได้แต่งงานแค่ครั้งเดียวในชีวิต ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีและยึดถือเรื่องหน้าตาในสังคมอย่างพริ้มเพราก็คงยิ่งห่วงเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก
…แต่ใครจะสนกันเล่า
เพราะหากว่าพริ้มเพรากับคุณหญิงสมปรารถนาไตร่ตรองให้ดีตั้งแต่แรกก็ควรจะรู้ว่าการแต่งงานที่ยืนยาวนั้นควรเกิดจากความรักของทั้งสองฝ่าย ไอ้คำที่บอกว่า ‘แต่งๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’ นั้นล้าสมัยไปแล้ว ในเมื่อคิดจะใช้สัญญาเช่าที่ดินอินฟินิตี้วันมาบีบบังคับเขา ก็อย่าคิดว่าจะสมหวังไปทุกอย่าง
คนไม่สนโลกอย่างพฤกษ์คงไม่สนใจหรอกว่านับจากนี้ใครจะเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
พิชญ์เพิ่งจัดการโอนเงินค่าที่ดินให้คุณหญิงสมปรารถนาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โฉนดก็เปลี่ยนชื่อเป็นของมารีรินทร์กรุ๊ปเรียบร้อยแล้ว
เหลือแต่เขาที่ต้องจัดการตัวเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้หย่ากับพริ้มเพราโดยเร็วที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็จะอยู่เป็นสามีเธอไปอีกสักพักใหญ่”
บทที่ 2
ข้าวใหม่ปลามัน
พริ้มเพราต้องเก็บเอาเรื่องที่เจ้าบ่าวหนีออกจากห้องหอไว้เป็นความลับ เพราะถ้าหากคุณหญิงสมปรารถนารู้เข้าโลกต้องแตกเป็นแน่
“แต่งงานกันได้วันเดียว ตาหนึ่งก็หนีไปทำงานแล้ว แบบนี้คงเจริญแย่ล่ะ” คุณหญิงสมปรารถนาบ่นขึ้นขณะนั่งดูรายการข่าวที่ห้องนั่งเล่น พริ้มเพราซึ่งถูกฝึกฝนความเป็นแม่ศรีเรือนอยู่ตลอดเวลานั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
…ร้อยมาลัย
“งานมันบังคับน่ะค่ะคุณยาย”
“งานบังคับให้ต้องแยกบ้านกันอยู่ด้วยหรือไง” คุณหญิงสมปรารถนารู้ทันหรอกว่าพฤกษ์กำลังหาทางหลบเลี่ยง รู้ทั้งรู้ว่าลูกชายคนโตของตระกูลบริพัตรเมธานนท์หวังแต่งงานเพื่อให้นางขายที่ให้เป็นสิทธิ์ขาดของมารีรินทร์กรุ๊ป แต่เพราะไม่มีทางเลือก นางจำต้องรีบคว้าข้อเสนอนี้ไว้ก่อน
“พริ้มคุยกับพี่หนึ่งแล้ว ไว้รอเรือนหอเสร็จพร้อมเข้าอยู่ค่อยย้ายไปอยู่ด้วยกันทีเดียวค่ะ” เธอปด ความจริงแล้วหลังจากแยกห้องกันเมื่อวานนี้ เช้ามาเธอก็ไม่พบเขาและไม่ได้คุยกันอีกเลย
“เรือนหอไม่เสร็จก็อยู่ที่นี่ด้วยกันไปก่อนก็ได้ ผัวเมียกัน แยกกันอยู่จะดีหรือ”
“ที่นี่ไกลจากโรงพยาบาลค่ะ พี่หนึ่งทำงานวันละสิบแปดชั่วโมง คงอยากเก็บเวลาเดินทางไว้พักผ่อน”
“ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แทนที่จะคิดหาวิธีให้ได้อยู่กับผัวกลับทำเฉยไปเสีย คอยดูเถิด ไม่เฝ้าไว้ให้ดีผู้หญิงคนอื่นเข้ามางาบไป ฉันจะดูซิว่าน้ำหน้าอย่างแกจะเอาหัวไปมุดไว้ที่ไหน แกคงไม่รู้ว่าแม่ของแกต้องอับอายแค่ไหนตอนถูกพ่อตาหนึ่งทิ้งขว้าง แม้แต่ตัวแกเองก็เถอะ ขนาดหมั้นหมายกันเสียดิบดี ตาสองยังไปรักผู้หญิงคนอื่นได้ แถมเป็นคนที่ไม่มีอะไรสู้แกได้สักอย่างจนต้องมาแต่งงานกับตาหนึ่งแทน หมั้นกับน้อง แต่งกับพี่ แกคิดว่างามหน้ามากนักหรือไง”
“ก็แล้วทำไมคุณยายยังต้องการให้พริ้มแต่งงานกับคนในครอบครัวนั้นด้วยล่ะคะ”
พริ้มเพราซึ่งปกติสงบปากสงบคำเสมอ ไม่เคยออกความเห็นขัดใจผู้เป็นยายกลับหมดความอดทนอย่างง่ายดาย
มีหรือที่จะไม่คิดอับอาย เธออายจนเกินคำว่าอายไปแล้ว
ยิ่งถูกพฤกษ์พูดถากถางทุกครั้งที่พบตั้งแต่ตอนยังหมั้นกับพิชญ์จนกระทั่งวันที่เธอแต่งงานกับเขา คิดหรือ…ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลย
คุณหญิงสมปรารถนาไม่มีคำตอบให้หลานสาว นางได้แต่ฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดใจแล้วออกคำสั่งเด็ดขาด
“จะต้องถามไปทำไม ในเมื่อแกก็แต่งงานกับเขาไปแล้ว ถ้าหากว่าวันพรุ่งนี้แกยังอยู่ที่นี่ ฉันก็จะลากแกไปส่งผัวแกให้ถึงบ้านเลย”
เวรห้องฉุกเฉินเมื่อคืนทำเอาพฤกษ์ได้ออกจากห้องผ่าตัดอีกทีตอนเจ็ดโมงเช้าของอีกวันในสภาพเกือบล้มพับไปด้วยความเหนื่อยและอดนอนติดต่อกันหลายวัน
เขาไม่ได้นอนครบแปดชั่วโมงมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ แต่มาถึงวันนี้แล้ว…คงต้องเลิกคิดหวังถึงการนอนหลับเต็มอิ่มไปได้เลย
พฤกษ์มีเคสผ่าตัดปกติยาวไปเกือบครึ่งปี ทว่าในแต่ละวันก็มักจะมีเคสฉุกเฉินเข้ามาเสมอ อย่างเมื่อวานนี้มีอุบัติเหตุรถชนรุนแรง มีผู้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุสามราย อีกรายที่ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลก็อาการหนัก เลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดด่วน เคสนี้ทำเอาเขากับพยาบาลห้องฉุกเฉินต้องปาดเหงื่อ แต่ก็โล่งใจที่คนไข้พ้นขีดอันตรายได้
หลายคนต่างมองว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่งานหนักและไม่มีเวลาส่วนตัว
ใช่! พวกเขาคิดถูก…
แม้จะรายได้ดี แต่พฤกษ์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่เรียนแพทย์เพราะมีใจรักในอาชีพและต้องการอุทิศชีวิตเพื่อคนอื่น เพราะหากเขาหวังความร่ำรวยแล้ว ทายาทนักธุรกิจพันล้านอย่างเขาไม่จำเป็นต้องเป็นหมอให้เหนื่อยเลย
ชายหนุ่มล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาเขียนรายงานต่อ เขาไม่มีเวลานอนแล้ว ต้องส่งรายงานผู้ป่วยก่อนเที่ยง
“หมอพฤกษ์ขยันจังเลยนะคะ”
“ครับ?” พฤกษ์เงยหน้าจากกระดาษในมือขึ้นมองคนพูด เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อนวลลดา พยาบาลสาววัยใกล้เลขสี่เอ่ยขึ้น
“นวลบอกว่าหมอพฤกษ์ขยันจังเลยค่ะ ขนาดเพิ่งแต่งงานมาแท้ๆ ยังรับอยู่เวรแทนหมอคนอื่นอีก ไม่คิดจะไปฮันนีมูนกับภรรยาบ้างหรือคะ”
“อ่อ เรื่องนี้เอง” เขาปั้นยิ้มแห้งแล้งให้แล้วกลับไปเขียนรายงานต่อ ทำเอาคนสนใจเรื่องชาวบ้านอย่างนวลลดาถึงกับไปไม่เป็น
พฤกษ์ถือคติอย่างหนึ่งเอาไว้ใช้กับพวกชอบถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวนั่นคือ ‘ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ’ ไม่โกหก ไม่แถ ไม่พูดอะไรใดๆ คนก็จะเลิกสนใจไปเอง
นวลลดาหน้าเจื่อนไปที่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่อยากสนทนาด้วย แต่เธอก็แก้เก้อด้วยการชวนคุยต่อ
“แต่ขอชมหน่อยเถอะค่ะ เจ้าสาวหมอพฤกษ์นี่สวยมากๆ เลยนะคะ”
พฤกษ์ชะงักมือที่กำลังเขียนรายงานเพราะคำพูดของนวลลดานั้นช่างระคายหู
พริ้มเพราสวยจริงๆ เขาไม่ปฏิเสธในข้อนี้ แต่ทุกครั้งที่เขาพบเธอความฮึกเหิมของสัญลักษณ์ทางเพศชายก็พลันห่อเหี่ยวลงทุกที พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่มีอารมณ์ทางเพศกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว และการต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยานั้นเขาก็อนุมานได้เลยว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้ตายด้านได้ง่ายๆ
“หมอคะ หมอพฤกษ์คะ”
เสียงเรียกของนวลลดาทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัวในตอนนั้น
“ว่าไงครับ”
“หมอพฤกษ์ดูเหนื่อยๆ นะคะ กาแฟเข้มๆ สักแก้วมั้ยคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
นวลลดาหายออกจากห้องไปครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกาแฟร้อน ตอนนั้นพฤกษ์ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนรายงานจนแทบไม่สนใจความเคลื่อนไหวโดยรอบ
นวลลดาลอบสังเกตเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาด้วยความใคร่รู้ความคิดของนายแพทย์หนุ่ม พฤกษ์เป็นหมอที่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งนี้ให้ความเห็นตรงกันว่าหล่อลากไส้ ความหล่อของเขาไม่เพียงเป็นที่จับตามองแก่บรรดาเหล่าแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่ชื่นชอบของคนไข้และญาติสาวๆ อีกเป็นจำนวนมาก วัดได้จากของขวัญที่ถูกส่งมาเป็นการขอบคุณที่มากมายนับไม่ถ้วน
แรกๆ นั้นพยาบาลในวอร์ดต่างพากันตื่นเต้นที่เห็นกล่องของขวัญถูกส่งมาให้หมอหนุ่ม แต่ทุกวันนี้น่ะหรือ…ชินเสียแล้ว
นึกแล้วเสียดายที่พฤกษ์แต่งงานไปแล้ว แทนที่จะอยู่เป็นอาหารตาอาหารใจกันไปนานกว่านี้อีกหน่อย
‘หมอพฤกษ์แต่งงานทีนึง คนอกหักทั้งโรงพยาบาล’
เสียงจากพยาบาลคนหนึ่งที่บ่นเสียดายเป็นรอบที่สามของเช้าวันที่รู้ว่าหมอพฤกษ์กำลังจะแต่งงาน เสียดาย…ทั้งที่รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีหวังอะไรเลย
‘จริงแก อุตส่าห์เป็นโสดมาตั้งนาน รู้อีกทีแต่งงานเลยจ้า ไม่มีวี่แวว’
‘แต่ใดๆ ก็เถอะ ภรรยาของหมอน่ะสวยมากเลยนะ ฉันเห็นในไอจีที่หมอเต้ยอัพเดตตอนไปร่วมงาน สวยจนฉันอายอ่ะแก’
‘ถ้าฉันรวยฉันจะสวยให้ดู ใครก็รู้ว่าภรรยาหมอพฤกษ์เป็นทายาทตระกูลผู้ดีเก่าแก่ แค่เก็บค่าเช่าที่ในกรุงเทพฯ เดือนเดียวก็สบายไปเจ็ดปี แถมยังมีธุรกิจร้านเพชรเป็นของตัวเองอีก’
‘เออ แต่ถึงไม่รวยก็สวย ไม่เชื่อไปส่องไอจีหมอเต้ยได้เลย’ คนเห็นรูปยืนยันหนักแน่น
นวลลดาก็เห็นพ้องกับเพื่อนร่วมอาชีพ ว่าภรรยาของพฤกษ์นั้นสวยมากชนิดที่หากเข้าวงการต้องได้เป็นนางเอกแถวหน้า แต่เหตุใดเจ้าบ่าวหมาดๆ ถึงดูไม่เห่อภรรยาคนสวยเลยสักนิด เธอเห็นว่านับตั้งแต่วันแต่งงานจนถึงวันนี้ก็เกือบสองสัปดาห์แล้ว พฤกษ์ยังคงมาทำงานวันละสิบแปดชั่วโมงเหมือนเดิม อีกหกชั่วโมงที่เหลือบางวันก็นอนที่โรงพยาบาลเสียด้วยซ้ำไป
หรือว่า…ข่าวลือที่ว่าทั้งคู่ถูกจับคลุมถุงชนนั้นจะเป็นความจริง
“กาแฟค่ะ” เธอวางแก้วลงแต่ยังไม่ออกจากห้องไป “หมอพฤกษ์ต้องหาวันลาพักร้อนบ้างนะคะ ช่วงข้าวใหม่ปลามันต้องรีบกอบโกย คนเป็นสามีภรรยาควรหาเวลาอยู่ด้วยกันมากๆ ไม่งั้นจะมีตัวเล็กๆ ได้ยังไงล่ะคะ”
“เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิดเลยครับ” พฤกษ์บอกพลางอ่านเอกสารตรงหน้า คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “คุณนวลมีความคิดเห็นยังไงครับ”
“เรื่องการมีลูกหรือคะ” นวลลดาฉีกยิ้มกว้าง โอกาสได้เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับหมอพฤกษ์ผู้ที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าถือตัวมากเพียงใดไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เธอต้องทำให้ดีที่สุด “คุณหมอปรึกษาถูกคนแล้วล่ะค่ะ นวลว่าเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะคะ แต่งงานกันแล้วก็ต้องรีบมีลูก โดยเฉพาะครอบครัวที่มีความพร้อมอย่างครอบครัวของคุณหมอ นวลว่าอันดับแรกคุณหมอต้องเริ่มจาก…”
“ไม่ใช่ครับ ที่ถามว่าคิดยังไงไม่ใช่เรื่องทำลูก แต่หมายถึงเคสผู้ป่วยวันพรุ่งนี้ต่างหาก เคสนั้นญาติเขามีความพร้อมหลังผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดมากน้อยเพียงใด เมื่อกลับบ้านไปแล้วจะต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง เราต้องทำความเข้าใจกับญาติในการดูแลให้ถูกวิธี”
นวลลดาอึ้งไปหลายวินาที เหมือนว่าหญิงสาวขับรถตามจีพีเอสไปแต่ปรากฏว่าเลี้ยวผิด
“แหม คุณหมอเปลี่ยนเรื่องเร็วเสียจนนวลตามไม่ทันเลยนะคะ”
พฤกษ์เลิกคิ้ว “อ้อ! ขอโทษนะครับ พอดีผมเห็นว่าเรากำลังทำงานกันอยู่”
ฉึก! นวลลดารู้สึกเหมือนถูกมีดปักลงกลางใจ
เจ็บ!
“ส่วนเรื่อง ‘ทำลูก’ ผมคิดว่าผมเก่งพอครับ ทำเองได้”
เที่ยงคืนแล้วบ้านหลังขนาดกลางในแถบจังหวัดนนทบุรีมืดสนิท เขาไม่ได้กลับบ้านมาสี่สิบหกชั่วโมงแล้ว เวลานี้นายแพทย์หนุ่มอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงเก่าๆ ของตัวเองเต็มแก่
ศัลยแพทย์หนุ่มจอดรถแล้วจึงพาร่างอันแสนอิดโรยเดินไปปิดประตูรั้ว วูบหนึ่งใจคิดไปว่าถ้ากลับบ้านมามีคนคอยเปิดประตูรับก็คงดี อย่างน้อยความเหน็ดเหนื่อยคงได้บรรเทาลงบ้าง
ใครสักคน!
พฤกษ์รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ต่อให้บางครั้งจะอ่อนไหวไปบ้าง แต่สิ่งที่คนอย่างพฤกษ์ปรารถนาจะครอบครองไว้ให้นานที่สุดคือ ‘อิสรภาพ’ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้ใครมาพรากมันไปแน่ๆ
พรุ่งนี้เขาจะจ้างช่างมาเปลี่ยนประตูรั้วเป็นระบบเปิดปิดด้วยรีโมตให้รู้แล้วรู้รอด
ชายหนุ่มคิดขณะที่ตาใกล้ปิดเต็มที สองเท้าก้าวเข้าบ้านที่มืดมิดมีเพียงแสงลอดจากหน้าต่างบานกระจก ใช้ความคุ้นชินเดินมะงุมมะงาหราไปที่บันไดโดยไม่ยอมเอื้อมมือไปเปิดไฟให้เสียเวลา ไม่ต้องอาบน้ำเพราะเพิ่งอาบมาจากโรงพยาบาล ตอนนี้เขาแค่อยากล้มตัวลงนอนเท่านั้นจริงๆ
เมื่อเข้ามาในห้องได้ ชายหนุ่มก็ควักทุกอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง วางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะก่อนล้มตัวลงบนเตียงที่คุ้นเคย
ไม่รู้ว่านอนน้อยไปหรือว่าจมูกมีปัญหา ที่นอนของนายแพทย์หนุ่มซึ่งไม่ถูกผงซักฟอกมานานปีจนมีกลิ่นอับติดอยู่ตลอดกลับกลายเป็นกลิ่นหอมสะอาด เนื้อผ้าสากๆ ก็กลายเป็นความนุ่มลื่น
นี่เขาคงโหยหาที่นอนมากจนรู้สึกไปเองกระมัง
ไม่ทันคิดอะไรออก ห้วงความคิดของพฤกษ์ก็ค่อยๆ ดับไป ก่อนทุกอย่างจะนิ่งสนิทลง
ร่างหนารู้สึกตัวเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างบนเตียงนอนของเขา พฤกษ์ขยับเปลือกตาช้าๆ เพราะความเพลีย ก่อนภาพเลือนรางตรงหน้าจะทำให้เขาต้องเบิกตาโพลง
“ไอ้เชี่ย!”
หมอหนุ่มสบถออกมาอย่างตกใจ เขาผุดกายลุกขึ้นจากที่นอน มองภาพรับอรุณด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม
พริ้มเพราขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นกิริยาของพฤกษ์บวกกับคำสบถระคายหูของเขา หญิงสาวสวมชุดนอนแขนขายาวมิดชิดขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองชายหนุ่มด้วยสีหน้างุนงง
“พี่หนึ่ง…เป็นอะไรคะ”
พฤกษ์ยังมีสีหน้าเช่นเดิมราวกับสตัฟฟ์ไว้ เขากะพริบตาไล่ภาพหลอน ทว่าจนแล้วจนรอดภาพตรงหน้าก็ยังไม่หายไปไหน
“พริ้มเพรา” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็น “เธอมาทำอะไรที่นี่”
พฤกษ์ไม่แน่ใจเลยว่าระหว่างวินาทีแห่งความเป็นความตายของคนไข้ที่เขาผ่าสมองให้ในห้องผ่าตัดฉุกเฉินเมื่อคืนก่อนกับการตื่นมาเจอพริ้มเพราบนเตียงนอน อย่างไหนทำให้เขาประสาทเสียได้มากกว่ากัน
‘เป็นคำแนะนำของคุณยายค่ะ ว่าเราไม่ควรแยกกันอยู่นานเกินไป พริ้มไม่ได้ถามพี่หนึ่งเพราะคิดว่าอย่างไรพี่หนึ่งต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ก็ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากัน ทำไมพริ้มจะมาอยู่กับพี่หนึ่งที่บ้านนี้ไม่ได้’
พฤกษ์ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตนเป็นคนขอพริ้มเพราแต่งงานก่อน แต่นั่นก็เพราะต้องการจัดการปัญหาข้อขัดแย้งทุกอย่างให้จบลง อีกทั้งคิดว่าอย่างน้อยๆ ในครั้งนี้ลูกชายที่ไม่เคยคิดทำอะไรเพื่อพ่อแม่และทำตามใจตัวเองมาตลอดชีวิตจะได้ทำหน้าที่ลูกบ้าง พิชญ์ทำหน้าที่ลูกมาหนักหนามากพอแล้ว วันนี้น้องชายของเขาควรจะมีความสุขเสียที
ส่วนเขาที่เฉยชากับความต้องการของพ่อแม่มาตลอด มีหรือจะเฉยชาต่อเมียที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้
พฤกษ์จะคิดเสียว่าพริ้มเพราเป็น ‘ผี’ ตัวหนึ่งที่มาสิงบ้านของเขาอยู่ก็แล้วกัน
แค่คิด ‘ผี’ ก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี พฤกษ์มองร่างระหงที่มีผิวขาวราวกับเรืองแสงได้ด้วยสายตาแกนๆ
บ้านของเขาเป็นบ้านไม้หลังเก่า ซื้อต่อจากเจ้าของเดิมตอนช่วงย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลใหม่ๆ เขาไม่ได้พักหอพักแพทย์ อย่างที่รู้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้สวัสดิการอะไรของรัฐเพราะมีเงินมากพออยู่แล้ว ส่วนการจะซื้อคอนโดมิเนียมหรูหราอยู่สบายนั้นก็ไม่ใช่วิสัยของเขา ตอนแรกพฤกษ์คิดจะหาบ้านที่ถูกใจสักหลัง มีพื้นที่รอบบ้านไว้ปลูกต้นไม้ที่ชอบ กระทั่งบังเอิญผ่านมาเห็นบ้านหลังนี้ แม้สภาพจะเก่าแถมราคาก็แพงมาก แต่พฤกษ์เป็นคนที่ทำตามความรู้สึกมากกว่าความสมเหตุสมผล ฉะนั้นเขาจึงยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้บ้านหลังเก่าหลังนี้มา
นอกจากจ้างคนทำความสะอาดแล้วเขาแทบไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวบ้านแต่อย่างใด บ้านหลังเก่าอายุเกินยี่สิบปีจึงดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
และพริ้มเพราที่แต่งกายเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นก็เหมือนกับภาพตัดแปะที่ไม่เข้ากับฉากบ้านหลังนี้เอาเสียเลย
“พี่หนึ่ง” พริ้มเพราอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ชายกระโปรงมีลายลูกไม้สีเหลืองเล็กๆ ระบายอยู่โดยรอบ ขับผิวขาวให้เปล่งประกายเหมือนเรืองแสงได้ สวมเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวคือต่างหูเพชร
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบตาไล่ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกออกไป
ต่างหูเพชรเนี่ยนะ
“จะไปทำงานเหรอ”
“เปล่าค่ะ วันนี้พริ้มหยุด”
“อืม งั้นก็คงจะออกไปข้างนอก”
“เปล่าค่ะ พริ้มไม่ได้ไปไหน วันนี้อยู่บ้าน”
คำตอบของพริ้มเพราทำให้พฤกษ์ต้องนิ่วหน้า
“อยู่บ้านต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอ” เขาถามลอยๆ โดยไม่ใส่ใจคำตอบ ผู้หญิงก็แบบนี้ ห่วงสวยจนเกินพอดี “นี่ กุญแจห้องเธอ ฉันเพิ่งเข้าไปกวาดมา แต่ไม่มีคนอยู่มานานแล้วคงต้องถูอีกหลายรอบเลย ถ้าจะให้คนรับใช้ที่บ้านมาช่วยก็ได้นะ เธอทำคนเดียวคงไม่ไหวหรอก”
พริ้มเพรามองกุญแจในมือพฤกษ์นิ่ง ไม่ยอมรับไป
“รับไปสิ”
“ทำไมพริ้มต้องไปนอนห้องอื่นล่ะคะ”
“เพราะว่าเธอนอนห้องฉันไม่ได้ไง”
“เพราะอะไรคะ”
พฤกษ์กลั้นลมหายใจ พริ้มเพราคิดจะใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเขาจริงๆ หรือ บ้าชัดๆ
“สามีภรรยา แยกกันนอนคงไม่ดีมั้งคะ”
“ฉันทำงานไม่เป็นเวลา ถ้าเกิดกลับมาค่ำมืดจะรบกวนเธอเปล่าๆ นะ อีกอย่าง ฉันไม่ชอบที่มีคนมานอนข้างๆ”
พฤกษ์บอกแล้วเดินผ่านหน้าพริ้มเพราเข้าห้องตัวเองไป พอได้เห็นห้องนอนของตัวเองชัดๆ เขาก็เกิดความพะอืดพะอมขึ้นมา
ห้องนอนอันแสนเรียบง่ายของเขาไม่เหลือเค้าเดิมเลย จากผ้าม่านลายตารางสีขาวสลับสีแดงซีดๆ กลายเป็นผ้าม่านสีทองอร่าม สีเดียวกันกับผ้าห่มและผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนก็ด้วย เตียงไม้วินเทจที่เขาได้มาจากตลาดมือสองเปลี่ยนเป็นเตียงนอนสไตล์หลุยส์สีทองอีกเช่นกัน
ข้าวของของเขาที่เคยวางกระจัดกระจายอย่างมีศิลปะล้วนหายไปจากพื้นห้อง แทนที่ด้วยพรมสีกรมท่า หนังสือที่เคยวางซ้อนทับกันบนโต๊ะไม้จนท่วมหัวก็หายไปทั้งโต๊ะทั้งหนังสือ
ใช่! เขาควรจะตกใจกับสภาพห้องตัวเองตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว แต่เพราะตื่นมาเห็นหน้าพริ้มเพราเขาก็สติแตกไปก่อนแล้ว ถึงกับต้องวิ่งออกจากห้องแบบไม่คิดชีวิตเลยไม่ได้สนใจเลยว่าพริ้มเพราทำห้องนอนเขาเละไปหมด
“ทำอะไรกับห้องฉันเนี่ย” พฤกษ์หันไปถามคนที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตู หญิงสาวยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยซึ่งกระตุ้นต่อมโมโหของเขา “ใครอนุญาตให้เธอทำกับห้องของฉันแบบนี้”
“พริ้มเห็นว่าของในห้องนี้เก่ามากแล้ว ถึงเวลาควรจะเปลี่ยนสักที ถึงแม้ว่าเราจะอยู่แค่ชั่วคราวรอเรือนหอสร้างเสร็จ แต่ยังไงก็คุ้มค่ะเพราะเราใช้ทุกวัน ไม่ต้องห่วงนะคะ ของสำคัญของพี่หนึ่งพริ้มเก็บไว้ในกล่อง ไม่ได้ทิ้งหรอกค่ะ”
พริ้มเพราย้ายของมาบ้านหลังนี้ได้เพราะความช่วยเหลือจากพิชญ์ เขารู้ที่ซ่อนกุญแจบ้าน ยอมรับว่าวินาทีแรกที่เห็นสภาพบ้าน เธอช็อกไปเลย ใครจะคิดว่าคนที่เป็นถึงนายแพทย์จะอยู่กินในบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ ซ้ำข้าวของเครื่องใช้ก็เก่าเก็บ
ถึงแม้เธอจะรู้มาบ้างว่าพฤกษ์เป็นคนสมถะ แต่ไม่คิดเลยว่าจะสกปรกด้วย
ดังนั้นกว่าเธอจะย้ายเข้ามาได้จริงๆ ก็เมื่อคืน เพราะต้องให้คนมาช่วยเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนใหม่ทั้งหมด โชคดีที่รู้ว่าพฤกษ์เข้าเวรเลยสามารถจัดการกับทุกอย่างได้ง่ายขึ้น
แต่แทนที่เขาจะชอบเมื่อเห็นห้องนอนใหม่ กลับทำหน้าเหมือนโกรธเสียอย่างนั้น
พิลึกคน…
พฤกษ์ต้องระงับความโกรธอย่างสุดความสามารถ ‘ของเก่า’ ที่เธอพูดนั่นเป็นของที่เขาหาซื้อมาอย่างยากลำบากต่างหากเล่า
“ฉันให้เวลาเธอสองชั่วโมง จัดการเอาทุกอย่างของฉันกลับมาไว้ที่เดิม แล้วย้ายผ้าม่านลิเก ที่นอนหมอนผ้าห่มพวกนี้ออกจากห้องนี้ไปซะ”
“ของเก่า พริ้มยกให้คนรับซื้อของเก่าไปแล้วล่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ! จะบ้าหรือไง เธอยกของที่ไม่ใช่ของตัวเองให้คนอื่นโดยพลการได้ยังไงฮะ รู้มั้ยว่าฉันหามันมาด้วยความยากลำบากแค่ไหน”
“ของพวกนั้นไม่เห็นจะน่าใช้ตรงไหนเลยค่ะ โต๊ะเขียนหนังสือนั่นก็มีแต่รอยสีน้ำเลอะไปหมด”
“นี่โต๊ะนั่นเธอก็ขายทิ้งไปด้วยเหรอ!”
“ไม่ได้ขายค่ะ ยกให้ฟรี”
พฤกษ์เบิกตากว้าง มือชา เท้าชา สมองขาวโพลนเมื่อได้รับรู้ว่าโต๊ะตัวโปรดของเขาถูกยกให้ใครก็ไม่ทราบไปแบบฟรีๆ โดยที่คนยกให้และคนรับอาจไม่เคยรู้คุณค่าของมันเลย
เขาได้โต๊ะตัวนั้นมาจากคุณปู่ศาล จิตรกรชาวเชียงใหม่วัยเจ็ดสิบปีที่แม้ว่าจะไม่ได้โด่งดังอะไรมาก แต่เขาก็นับถือในวิถีของผู้สูงวัยที่วาดรูปหาเลี้ยงปากท้องมาตั้งแต่วัยหนุ่ม
จะพูดอย่างไรคนไม่เข้าใจก็คงไม่มีวันเข้าใจ
“เธอรู้มั้ยว่าของชิ้นนั้นมันมีคุณค่ากับจิตใจฉันมากแค่ไหน จริงสิ! เพราะเธอไม่เคยมีหัวใจจะไปรู้จักคำว่า ‘คุณค่าทางใจ’ ได้ยังไง ฉันยื่นคำขาด เธอต้องจัดการให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมภายในสองชั่วโมง”
“พริ้มคงทำไม่ได้หรอกค่ะ ของยกให้คนอื่นไปตั้งแต่เมื่อวันก่อน ขอโทษด้วยก็แล้วกันนะคะ” พริ้มเพราบอกแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างไม่คิดจะสนใจไยดีคนที่กำลังจะเป็นจะตาย
พฤกษ์แทบจะล้มลงไปแดดิ้นกับพื้นบ้าน แต่เพราะโตเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้แล้วชายหนุ่มจึงได้แต่สบถกับตัวเองอย่างสุดทน พริ้มเพราเป็นหายนะของเขาจริงๆ เธอเป็นนางมารร้าย เป็นปีศาจ
ชายหนุ่มกวาดตามองห้องนอนสีทองแล้วอยากกลั้นใจตาย
ก็ได้ ในเมื่อเธอทำร้ายจิตใจเขาได้ขนาดนี้ ต่อไปนี้เขาก็จะไม่รู้สึกผิดอะไรอีกแล้ว ของที่เสียไป คิดเสียว่าหายกันที่หลอกเธอมาแต่งงานโดยไม่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอด
“เห็นทีจะใจดีต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
บทที่ 3
ข้อตกลงของเจ้าบ่าวป้ายแดง
“เป็นอะไรของมึงวะพฤกษ์ นั่งหน้าหงิกอยู่ได้ วันนี้ก็ไม่มีเคสผ่านี่หว่า”
ศิรวิทย์ถามเมื่อเห็นว่าพฤกษ์หน้าขมึงทึงมาตั้งแต่เช้าจนเที่ยง จะว่าไปพฤกษ์ก็หน้าหงิกเป็นปกติอยู่แล้ว แต่จะทำเฉยไม่ถามเลยก็กระไรอยู่ ดังนั้นเพราะความไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก หมอหนุ่มถามเสร็จจึงยกแก้วน้ำที่เหลือแค่น้ำแข็งกรอกใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ ดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อนกับความทุกข์ที่ฉายชัดบนใบหน้าเพื่อนเท่าใดนัก
พฤกษ์ได้แต่เหลือบตามองคนถามแล้วกลับมาทำหน้ายุ่งดังเดิม
ไม่ให้หน้าหงิกได้อย่างไรไหว พริ้มเพรายึดครองฐานที่มั่นของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์หนีออกมาจากแม่ได้ ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็เราเป็นสามีภรรยากัน’
คำพูดนั้นก้องอยู่ในหูจนพานทำให้เขาหลอนไปแล้ว
“อ้าว! เงียบ ตกลงไม่เป็นไรใช่มะ”
“หงุดหงิดเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคนไข้หรอก”
“เมียบ่นล่ะสิท่า เพิ่งแต่งงานแท้ๆ แต่ยังมาทำงานทุกวันแถมรับอยู่เวรเต็มเวลาอีก เมื่อเช้าเจอ ผอ. แกยังพูดอยู่เลยว่าหมอพฤกษ์ไม่ยักลางานไปฮันนีมูน”
“ไอ้ศิ มึงอย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย มึงก็รู้ว่ากูแต่งงานเพราะอะไร”
“เพราะเหตุผลทางธุรกิจ ละค้อนละคร” นายแพทย์ศิรวิทย์หัวเราะ แต่เพราะสายตาดุๆ ของเพื่อนที่มองมาทำให้เขาต้องรีบกลืนเสียงหัวเราะลงกระเพาะตามน้ำแข็งไปโดยเร็ว
พฤกษ์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมยิ่งอารมณ์เสียมากไปอีก
“มึงจะเครียดอะไรวะพฤกษ์ ตอนแรกกูก็คิดว่ามึงจะแต่งงานกับยักษ์กับมารที่ไหนถึงได้ดูเครียดนัก ที่ไหนได้…เจ้าสาวสวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์ เป็นกู กูจุดพลุฉลองสิบวันสิบคืนเลย”
“เหอะ! ฉลองเหรอ ต้องไปรดน้ำมนต์ล้างซวยล่ะไม่ว่า”
“มึงก็เกินไปพฤกษ์ น้องเขาก็สวยน่ารักดีนี่ แถมยังเป็นทายาทตระกูลผู้ดีเก่า เรียนสูง หน้าที่การงานก็ดี ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะเพียบพร้อมขนาดนี้อีกแล้ว”
“แล้วถ้ามึงรู้…ว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งรวยคนนั้นเป็นผีดิบล่ะ มึงยังจะชอบเขาลงมั้ย”
“เฮ้ย! บ้า พูดจริงเหรอ”
พฤกษ์อยากจะหัวเราะให้กับสีหน้าของศิรวิทย์ แต่เวลาแบบนี้มันกลับทำให้เขาหัวเสียแทนเมื่อเพื่อนดันเชื่อในสิ่งที่เขาพูดง่ายๆ
“กูก็ว่าแล้ว ผู้หญิงบ้าอะไรจะสวยไปหมดทุกตารางนิ้วขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นอมตะเหรอวะเนี่ย”
“ไอ้ศิ! นี่มึงกวนตีนกูหรือว่าอะไรวะ ฮะ?!”
“อ้าว! ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ”
“มึงเป็นหมอภาษาอะไรวะ เชื่อเรื่องแบบนี้”
“เอ้า! นี่มึงโกหกกูเหรอ”
“กูไม่ได้โกหก กูแค่เปรียบเปรย มึงเข้าใจมั้ย กูแค่เปรียบ พริ้มเพราสวย กูไม่เถียง แต่เขาไม่มีความรู้สึก แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เหมือนหุ่นยนต์ถูกใส่โปรแกรมให้ทำตามยายของเขาทุกอย่าง ไม่มีความคิด ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีเสน่ห์” พฤกษ์พรั่งพรูทุกความรู้สึกที่คับแน่นอยู่ในอกออกมา
“แต่มึงเป็นคนเดินไปขอเขาแต่งงานเองไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็ใช่”
“มึงก็ต้องรับผิดชอบสิ”
พฤกษ์ดึงมุมปากเป็นเส้นตรง กลอกตาให้กับคำพูดอันไร้สาระของเพื่อน
“มึงคิดว่ากูเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ไม่คิด” ศิรวิทย์ตอบแบบไม่ต้องใช้เวลานึกเลย “อย่าเรียกว่าคนไม่ดีเลย เรียกว่าโคตรเลวชาติเลยดีกว่า”
พูดจบฝ่ามือของคน ‘เลวชาติ’ ก็เคลื่อนมาด้วยความเร็วกว่าแสงหมายจะปะทะศีรษะเพื่อนหมอด้วยกัน แต่ด้วยประสบการณ์ทำให้ศิรวิทย์หลบได้ทันแบบหวุดหวิด
“เกินไปไอ้ศิ ยังโว้ย! กูยังไม่เลวถึงขั้นนั้น แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องเลว ก็คงต้องเลว”
“โอ้โห มึงนี่สุดยอดคนจริงๆ ว่ะ จะอะไรนักวะกับผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว น้องเขาน่ารักน่าทะนุถนอมจะตายไป”
“น่ากลัวล่ะไม่ว่า”
ศิรวิทย์ขำสีหน้าหวั่นวิตกของเพื่อน คนอย่างพฤกษ์ที่ไม่เคยมีคำว่า ‘กลัว’ อยู่ในพจนานุกรม กลับมาบอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพริ้มเพราน่ากลัว
หมอหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกับพฤกษ์มาตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกจึงกล้าพูดว่าตนรู้จักพฤกษ์ดียิ่งกว่าพฤกษ์รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ
อุปนิสัยของพฤกษ์แตกต่างจากนักศึกษาแพทย์ทั่วไป ค่อนข้างดิบเถื่อน ห้าวหาญกว่าคนอื่นๆ อย่างเด่นชัด จนหลายคนคิดว่าพฤกษ์เป็นเด็กมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อน เรียกได้ว่าทั้งภาควิชาคาดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มตัวสูงร้อยแปดสิบเศษ พูดจาถ่อยๆ ทำตัวสถุลอย่างหมอนี่จะเป็นทายาทเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศ
ที่ศิรวิทย์กล้าพูดว่าพฤกษ์เป็นคนเถื่อนก็เพราะวีรกรรมไล่ตีหัวชาวบ้านของมันนั่นแหละ
ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบสี่ปีที่รู้จักกันมาที่พฤกษ์พูดคำว่า ‘กลัว’
คิดแล้วก็สะใจเป็นบ้า หลังจากที่ข่มให้คนอื่นหวาดกลัวมันมานาน ต้องกลายเป็นฝ่ายกลัวบ้างจะได้รู้สึกถึงหัวอกคนอื่นบ้างว่าเป็นอย่างไรเวลาถูกพฤกษ์ขู่บังคับสารพัดสารเพ ที่พูดมานี้เขาก็เป็นฝ่ายถูกกระทำมาก่อนเหมือนกัน
ภาพจำวันนั้นยังชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้ และอาจฝังแน่นในใจตลอดไป
14 ปีก่อน
ศิรวิทย์ในวัยสิบแปดย่างสิบเก้าปีก้าวลงจากรถขนาดเจ็ดที่นั่งของบิดา หลังจากรับฟังพรสิบแปดประการของผู้เป็นพ่อเพื่อเตรียมเริ่มต้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
ใบหน้าขาวตี๋สวมทับด้วยแว่นตาหนาเตอะกรอบสีดำที่เพิ่งตัดมาใหม่เมื่อสองวันก่อนเพราะสายตาสั้นลงอีกแล้วจากห้าร้อยเป็นหกร้อยเศษเจือไปด้วยความประหม่า
‘เฮ้ย! จืด คาบนี้เรียนห้องไหนวะ’
เสียงห้าวห้วนที่ดังใกล้ๆ ทำให้ศิรวิทย์สะดุ้งตัวโยน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชื่อ ‘จืด’ แต่ก็ต้องหันไปมองเพราะมือของคนเรียกตะปบกระเป๋าสะพายหลังของเขาเอาไว้
‘เอ่อ! นายเป็นใครอ่ะ’
‘เอ๋ออะไรวะ กูพฤกษ์ เรียนภาคเดียวกันไง’
ศิรวิทย์อยากจะโกรธที่ถูกด่าว่า ‘เอ๋อ’ ฉลองการเรียนวันแรก แต่เพราะท่าทีนักเลงของพฤกษ์ทำให้ความโกรธนั้นถูกกลบฝังด้วยความกลัว
ในใจอยากร้องไห้เรียกพ่อมารับกลับบ้านเลยด้วยซ้ำในตอนนั้น
‘ว่าไง คาบนี้เรียนห้องไหน นี่! มึงนั่งข้างกูนะ มีอะไรให้กูลอกด้วย เข้าใจป่ะ’
ศิรวิทย์คิดมาตลอดว่าพฤกษ์เป็นฝันร้ายในชีวิตของเขา ฝันที่เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่สิบสี่ปีก่อน จนกระทั่งตอนนี้ ความฝันได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแบบเดียวกันกับมันไปโดยปริยาย
ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์อดทนมาหลายปี อย่างที่บอกว่าสิบปีแก้แค้นก็ยังไม่สาย สุดท้ายสวรรค์ก็ส่งคนมาล้างแค้นให้เขาจนได้
“ศิ มึงทำหน้าแบบนี้คิดอะไรอยู่วะ” พฤกษ์แอบเห็นแววตากระหยิ่มยิ้มย่องแล้วอดระแวงไม่ได้
ใครๆ ก็รู้ว่าศิรวิทย์เป็นเพื่อนรักเขา และหลายคนก็รู้ด้วยว่าความเป็นเพื่อนรักนี้มีพื้นฐานอยู่บนความหวาดระแวง
“เปล่า! กูแค่นึกถึงหน้าสวยๆ ของน้องพริ้มแล้วมันมีความสุขว่ะ”
“เออดี…เพื่อนประเภทไหนวะ บอกคิดถึงหน้าเมียเพื่อนแล้วมีความสุข” พฤกษ์ไม่ได้หึงหวงพริ้มเพรา แต่หมั่นไส้ ศิรวิทย์มองแค่เปลือกจะไปรู้อะไร
ใบหน้าสวยๆ นั่นแหละ ที่ต้องระวังที่สุด!
“มึงก็ระวังตัวให้ดีเถอะพฤกษ์ ถ้ามึงยังผลักไสเขาอยู่แบบนี้ วันนึงเขาไปจริงๆ จะมาเสียดายทีหลังไม่ได้นะ”
“เสียดายเหรอ ตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติก็ไม่มีวันเสียดายโว้ย!”
พฤกษ์ขับรถกลับมาถึงบ้านราวสามทุ่มเศษ เขารู้สึกแปลกนิดๆ
ไม่นิดสิ!
รู้สึกแปลกมากต่างหาก แปลกใจแล้วก็ทำใจไม่ได้ด้วยเมื่อมองจากข้างนอกแล้วเห็นแสงไฟบ้านตัวเองสว่างจ้าแบบนี้ เขาใช้ชีวิตโสดมานาน อยู่คนเดียวจนชิน เมื่อต้องมาใช้ชายคาบ้านร่วมกันกับ ‘คนอื่น’ มันช่างทำใจยากเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนไปก่อน รอโอกาสดีๆ มาถึง สาบานว่าเขาจะทำให้พริ้มเพราขยาดการแต่งงานไปเลย
มือขาวสะอาดอย่างคนที่ไม่ค่อยโดนแดดจับที่เปิดประตูหมายจะลงจากรถไปเปิดรั้ว ทว่าไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด บานประตูรั้วก็ถูกเลื่อนเปิดก่อนด้วยฝีมือของใครบางคน
แสงไฟจากหน้ารถสาดไปที่ร่างนั้นสว่างจ้าจนเห็นใบหน้าขาวจัดไร้เครื่องสำอาง
“เฮ้ย! ฉิบหาย ตกใจหมด” เขายกมือกุมหัวใจตัวเอง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้า “ทำไมไม่แต่งหน้าวะ น่ากลัวชะมัด”
หลายวินาทีกว่าจะตั้งสติได้ พฤกษ์ค่อยๆ เคลื่อนรถเข้าไปจอดในบ้าน แต่พอเปิดประตูรถลงมาก็ต้องตกใจอีกรอบเมื่อพบว่าพริ้มเพรามายืนดักรออยู่แล้ว
“เฮ้ย!”
“กลับดึกจังเลยนะคะ” พริ้มเพราไม่สนใจสีหน้าที่ดูตกใจเหมือนเห็นผีของสามี
พฤกษ์นิ่วหน้า อยากจะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พริ้มเพรา เธอจะได้ไปอยู่ที่ชอบๆ แต่ไม่รู้ว่าวิญญาณหญิงสาวเฮี้ยนจัดหรือกุศลเขาไม่แรงพอก็ไม่ทราบ ผีตนนี้จึงได้วนเวียนหลอกหลอนไม่เลิกรา
ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตัวเล็กกว่า เขาไม่พูดอะไร เพราะไม่อยากเสวนาด้วยจึงทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านหน้าเธอเข้าบ้านไปเลย
“พี่หนึ่งทานข้าวมาหรือยังคะ” พริ้มเพรารู้ว่าพฤกษ์จงใจเมินเธอ แต่เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้เธอรู้สึกอะไรได้หรอก ร่างในชุดนอนมิดชิดเดินตามติดชายหนุ่มไม่ลดละ “พริ้มทำอาหารเย็นไว้ ถ้าพี่หนึ่งจะรับประทาน พริ้มจะอุ่นให้ค่ะ”
พฤกษ์ก้มลงถอดรองเท้าสลัดไว้ข้างประตู ตามด้วยถุงเท้าโยนไปคนละทิศคนละทาง เขาทำเหมือนพริ้มเพราเป็น ‘วิญญาณ’ จริงๆ
ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอ
“พี่หนึ่งคะ”
พริ้มเพราเรียกอีกครั้ง แต่พฤกษ์ก็หายขึ้นไปข้างบนบ้านแล้ว คนรอได้แต่ถอนหายใจ
พฤกษ์คิดจะแต่งงานกับเธอเพื่อช่วยธุรกิจของครอบครัว ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ได้รักเธอ ข้อนี้หญิงสาวรู้ดี แต่จะมาเมินเฉยทำเป็นไม่เห็นกันเพื่อหวังจะให้เธอยอมถอดใจล่าถอยกลับไปเอง…
การที่พฤกษ์คิดจะทำแบบนั้น หมายความว่าเขาไม่เคยรู้จักเธอจริงๆ เลย
ไม่ใช่เพราะว่าพริ้มเพราแข็งแกร่ง หน้าด้านหน้าทน แต่เป็นเพราะ…อับจนหนทางแล้วต่างหาก เธอไม่มีทางเลือกใดอีกแล้วจริงๆ
ไม่มีทางอีกแล้ว
พริ้มเพรารวบรวมความกล้าเดินขึ้นไปเคาะประตูเรียกสามีให้ลงมากินข้าวมื้อเย็นที่ล่วงเลยมาจนถึงดึกแล้ว
ใช่แล้วล่ะ เธอกำลังทำหน้าที่ภรรยาที่แสนดี
แต่เคาะอยู่สองหนเสียงข้างในยังคงเงียบกริบ หญิงสาวจึงถือวิสาสะบิดลูกบิดประตูและพบว่าพฤกษ์ไม่ได้ล็อกห้อง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปจึงได้เห็นภาพร่างสูงซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมหลับอยู่บนเตียงนอน
ห้องนอนนี้พื้นที่เล็กมากเมื่อเทียบกับห้องนอนที่บ้านปัถมธาดา หรือแม้แต่บ้านบริพัตรเมธานนท์ของพฤกษ์ และมันยังเล็กเกินไปสำหรับคนสองคนที่ห่างเหินกันมานาน
ชวนให้อึดอัดอย่างประหลาด
“พี่หนึ่งคะ พี่หนึ่ง” พริ้มเพราวางมือบนแขนของสามีโดยนิตินัย เรียกให้เขาตื่น ทว่าชายหนุ่มกลับเพียงแค่ย่นคิ้วอย่างรำคาญ “ลุกมาอาบน้ำก่อนสิคะ จะได้สบายตัว”
พฤกษ์ไม่เพียงแค่ไม่ทำตามที่พริ้มเพราบอก เขายังพลิกตัวหนีแล้วหลับต่อ
พริ้มเพราถอนหายใจอีกครั้ง ถ้าคำพูดที่ว่า ‘ถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุสั้นไปหนึ่งปี’ เป็นเรื่องจริง พริ้มเพราคิดว่าพรุ่งนี้เธอคงตาย
“สรุปว่าจะนอนแบบนี้ใช่มั้ยคะ”
ไม่มีคำตอบ ร่างบางในชุดนอนเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของพฤกษ์ ในตู้ของเขามีเสื้อผ้าไม่กี่สี ส่วนมากเป็นโทนขาว ดำ กรมท่าไม่ก็เทา แม้แต่ชุดนอนของเขาก็ล้วนเป็นสีเดียวกันหมด
ก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับพฤกษ์ไม่กี่วัน เธอได้พบกับพิชญ์ตอนกำลังเตรียมจัดสถานที่แต่งงาน เขามาแทนพี่ชายของเขาที่ยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแลงานแต่งงานของตัวเอง ไม่สามารถสละเวลาแม้กระทั่งวัดตัวตัดชุดเจ้าบ่าว ร้านตัดชุดก็วัดไซส์จากเสื้อผ้าของเขาที่ส่งมาให้
‘อย่าโกรธหนึ่งเลยนะพริ้ม งานที่โรงพยาบาลยุ่งมากปลีกตัวมาไม่ได้เลย พริ้มคงเข้าใจนะ’
เข้าใจเหรอ ใครจะไปเข้าใจได้ ผู้ชายที่ส่งน้องชายมาจัดการเรื่องงานแต่งงานแทนตัวเอง ยังดีที่วันแต่งเขาไม่ให้น้องชายแต่งแทนด้วย ไม่งั้นคงยุ่งพิลึก
…พี่แต่งงานแทนน้อง แต่ให้น้องเข้าพิธีแทนพี่
พริ้มเพราหยิบชุดนอนที่เธอเป็นคนซักรีดให้มาวางไว้ที่ตั่งใกล้เตียงนอน แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดมือให้สามี แต่พฤกษ์ดูเนื้อตัวสะอาดสะอ้านดีเธอเดาว่าเขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำมา
“พี่หนึ่งคะ ตื่นแล้วก็เปลี่ยนชุดนอนนะคะ พริ้มเตรียมให้แล้ว”
“อือ” พฤกษ์ส่งเสียงอย่างรำคาญ
พริ้มเพราหรี่ตาลง คนหวังดีแท้ๆ
ทำไม…ต้องเป็นผู้ชายคนนี้ด้วยก็ไม่รู้
พฤกษ์หลับยาวจนเช้า ตื่นมาท้องก็ร้องโครกคราก เมื่อคืนเขาหลับไปตอนไหนไม่ทราบ แต่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วหลับเป็นตายเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานติดต่อกันเกินสิบชั่วโมง
แต่ที่ไม่ปกติก็คือการตื่นขึ้นมาในห้องสีทองที่ดูเหมือนอยู่ในท้องพระโรงนี่แหละ
พฤกษ์สะบัดศีรษะไล่ภาพชวนเวียนหัว แต่ผ้าม่านสีทองก็ยังคงไม่หายไป
พื้นที่ข้างๆ บนเตียงนอนเรียบกริบ ผ้าห่มถูกพับไว้เป็นอย่างดี แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ซึ่งไม่ใช่กลิ่นที่เขาคุ้นเคยยังติดอยู่บนที่นอนบ่งบอกว่าพริ้มเพราใช้พื้นที่นั้นเมื่อคืนนี้
อารามตกใจเขาจึงรีบสำรวจความเรียบร้อยตัวเองว่าเสียหายตรงไหนหรือเปล่า
จริงอยู่ว่าตามหลักการแล้ว หากพริ้มเพราทำอะไรเขา เขาต้องรู้สึกตัว แต่ถึงอย่างไรก็วางใจไม่ได้ เสียอะไรก็เสียได้แต่เขาจะไม่ยอมเสียตัวให้พริ้มเพราเด็ดขาด
เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยพฤกษ์ก็สลัดผ้าห่มสีทองมีระบายลูกไม้ออกจากตัวราวกับเป็นสิ่งน่าขยะแขยง ชายหนุ่มลุกจากที่นอนเตรียมไปอาบน้ำแต่ก็ต้องอึ้งเมื่อชุดทำงานของเขาที่ถูกรีดจนกลีบแขนเสื้อคมกริบถูกจัดแขวนไว้หน้าประตูตู้เสื้อผ้า ตามจริงแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจกับการรีดผ้าสักเท่าไหร่เพราะสุดท้ายก็ต้องสวมเสื้อกาวน์คลุมทับอยู่ดี
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
แม้จะบ่น แต่เขาก็คว้าชุดนั้นเข้าห้องน้ำไปอย่างช่วยไม่ได้
ขี้เกียจหยิบใหม่!
พอเข้าห้องน้ำได้ อารมณ์ที่ยังขุ่นมัวกับผ้าม่านสีทองก็ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะห้องน้ำแมนๆ ของเขากลายเป็นห้องน้ำเจ้าหญิงไปแล้วในตอนนี้
พรมเช็ดเท้าขนเฟอร์สีขาวฟูฟ่องชวนแขยง และยังมีแจกันดอกไม้วางเต็มไปหมด
“อะไรวะ เมื่อวานยังไม่เป็นแบบนี้เลยนี่หว่า มันจะมากเกินไปแล้วนะโว้ย!”
พฤกษ์อยากจะโวยวายอาละวาดให้สาสมกับความโกรธที่พริ้มเพราบังอาจมาเปลี่ยนแปลงบ้านอันแสนทรงเสน่ห์ของเขาให้กลายเป็นปราสาทในดิสนีย์แลนด์ นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรืออย่างไรไม่ทราบ
เท่านั้นไม่พอ พริ้มเพรายังบีบยาสีฟันเตรียมให้เขาเป็นการตอกย้ำสถานะศรีภรรยาอีกด้วย
อยู่ดีๆ ท้องไส้ของชายหนุ่มก็ปั่นป่วน แต่เพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานทำให้พฤกษ์ไม่ขย้อนอะไรออกมาแม้ว่าจะคลื่นเหียนเวียนหัวมากก็ตามที
ศัลยแพทย์หนุ่มหยิบแปรงสีฟันที่พริ้มเพราจัดเตรียมให้โยนลงถังขยะไปแล้วเปิดตู้เหนือศีรษะหยิบแปรงอันใหม่มาใช้แทน
ชายหนุ่มมองตัวเองในกระจกแต่เขากลับเห็นภาพใบหน้าสวยจัดส่งยิ้มมาให้แทน
น่ากลัวชะมัด
นอกจากข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจะถูกสับเปลี่ยนโดยพลการแล้ว พฤกษ์ยังต้องทนกับกลิ่นอันไม่คุ้นจมูกซึ่งอบอวลไปทั่วบ้าน กลิ่นของอาหารเช้าที่ทำให้ท้องว่างๆ ยิ่งร้องหนัก
“พี่หนึ่ง อาหารเช้าเสร็จพอดีเลยค่ะ”
พริ้มเพราสวมชุดสูทสีฟ้าอ่อนทับด้วยผ้ากันเปื้อนอีกชั้นกำลังจัดจานอาหาร พฤกษ์มองแล้วเผลอกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นเหมือนว่าใบหน้าสวยๆ ของพริ้มเพราราวกับมีคำว่า ‘เมีย’ ติดไว้กลางหน้าผากอย่างไรอย่างนั้น
แม้จะหิวมากเพียงใดก็ตาม เขาก็จะไม่กินอาหารที่พริ้มเพราทำเด็ดขาด
ยอมหิวตายเสียยังดีกว่า!
ร่างสูงเดินผ่านหน้า ‘เมีย’ ที่กำลังจัดโต๊ะอาหารไปเหมือนไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
พริ้มเพราหน้าเจื่อนไปเมื่อเห็นว่าพฤกษ์เมินเธออีกแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยอาการชาหนึบไปถึงหัวใจ
“พี่หนึ่งคะ” พริ้มเพราเดินตามมาทันก่อนที่พฤกษ์จะขึ้นรถ เสียงเรียกนั้นทำให้พฤกษ์ชะงักฝีเท้าแต่ยังคงไม่หันมามอง “ต่อให้พี่หนึ่งตั้งใจจะเมินพริ้ม หรือทำเหมือนพริ้มไม่มีตัวตนสักเพียงใด แต่พี่หนึ่งก็หนีความจริงเรื่องที่พริ้มเป็นภรรยาของพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
แค่ได้ฟังคำพูดอันแสนมั่นอกมั่นใจในความคิดตัวเองของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาของนายแพทย์หนุ่มก็ยับยุ่ง
“เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครหรือพริ้มเพรา” พฤกษ์หันกลับมาเผชิญหน้า
“เป็นภรรยาของพี่ไงคะ”
“งั้นเหรอ ถ้าหากว่าเธอหนีความจริงเรื่องที่เธอแต่งงานกับฉันเพราะเหตุผลทางการเมือง ไม่ใช่เพราะความรักได้ ฉันทำไมจะหนีความจริงเรื่องที่เธอเป็นเมียฉันไม่ได้”
“มันคนละเรื่องกันนะคะ”
“จะคนละเรื่องหรือเรื่องเดียวกันก็ช่างมันเถอะ เพราะยังไงฉันก็เป็นผัวให้เธอได้แค่ชื่อในทะเบียนสมรสเท่านั้น”
“พี่หนึ่ง…”
“ขอโทษนะ แล้วไม่ต้องมาทำอาหาร จัดเสื้อผ้า หรือบีบยาสีฟันให้อีก ไม่อิน”
“ถ้าหากว่าคุณยายรู้ว่าพี่หนึ่งทำแบบนี้ สัญญาอาจถูกรื้อนะคะ”
“ที่ดินโอนเป็นของมารีรินทร์ไปแล้ว จะรื้อสัญญาอะไรอีก”
“พี่หนึ่งหลอกคุณยายหลอกพริ้มเหรอคะ” พริ้มเพราถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพฤกษ์หวังอะไรจากการแต่งงานครั้งนี้ แต่ที่ไม่คิดก็คือการที่พฤกษ์ไม่ยอมรักษาสัญญา พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็จะสละเรือทิ้งเธอให้ลอยกลางทะเลเพียงลำพัง
“ฉันไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเร็วขนาดนี้หรอกนะ แต่เธอบีบบังคับฉัน” พฤกษ์เป็นคนความอดทนต่ำ ตรงข้ามกับพิชญ์ที่อยู่กับความกดดันได้ดีกว่ามาก จนทำให้พฤกษ์เกิดความสงสัยว่าพิชญ์ยอมถูกบังคับให้เป็นคู่หมั้นกับพริ้มเพรามาตั้งนานสองนานได้อย่างไร “ถ้าพร้อมหย่าเมื่อไหร่ บอกมาก็แล้วกัน”
“หย่าเหรอคะ”
“ใช่! หย่า”
พริ้มเพราเงียบไป เธอนิ่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้านิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใดนอกจากนัยน์ตาซึ่งแม้จะว่างเปล่าแต่ก็เป็นคำตอบได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร
…หากทว่าพฤกษ์ไม่ได้คิดจะสบสายตา
“เราหย่ากันเถอะพริ้มเพรา อยู่กันไปก็ไม่มีความสุข” แพทย์หนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลง พยายามโน้มน้าวใจเธอ ลึกๆ แล้วพริ้มเพราก็คือน้องสาวของเขาคนหนึ่ง ไม่ควรต้องมาแตกหักเพราะคำสัญญาไร้สาระของคนรุ่นก่อน
“เรื่องความสุข…ช่างมันเถอะค่ะ เราทำหน้าที่ของเราก็พอ เรือนหอใกล้เสร็จแล้ว เราย้ายเข้าอยู่เดือนหน้าเลยนะคะ บ้านหลังนี้เล็กเกินไป หากว่าเรามีลูก ลูกจะได้มีพื้นที่วิ่งเล่นกว้างๆ”
“นี่! เธอหูแตกหรือไง ฉันบอกว่าฉันต้องการหย่า!!” ทั้งที่กำลังจะยกภูเขาออกจากอก แต่พริ้มเพรากลับหอบภูเขาอีกสิบลูกมายัดใส่อกเขาแทน
“พริ้มหย่าไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมจะไม่ได้ เธอกลัวว่าจะอับอายขายหน้าเหรอ คงไม่มั้ง เธอไม่มีความรู้สึกไม่ใช่หรือไง”
พริ้มเพราอยากตะโกนใส่หน้าเขา ใครกันจะไม่มีความรู้สึก ไม่ใช่ผีสางนางไม้สักหน่อย เรื่องอายเธออายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว แต่ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมถึงหย่าไม่ได้ก็คงไม่ต้องถาม ผู้หญิงที่ไหนกันจะยอมหย่ากับสามีทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงเดือน
“จะพูดยังไงก็ช่างเถอะ พี่หนึ่งเลิกคิดเรื่องหย่าไปได้เลยค่ะ”
“เราไม่ได้รักกัน ไม่เคยรักกัน เราทำดีที่สุดแล้วพริ้มเพรา ไปกันไม่รอดหรอก อย่าดันทุรังอีกเลย”
“ทำดีเหรอคะ พริ้มไม่เห็นว่าพี่หนึ่งจะทำอะไร”
คำพูดของพริ้มเพราทำให้พฤกษ์หน้าตึง เขาขยับเข้าไปหาเธอจนเกือบจะประชิดตัว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย น่าเสียดายที่ผิวเนียนละเอียดต้องถูกแต่งแต้มด้วยรองพื้นและสารพัดเครื่องสำอางอยู่เกือบจะตลอดเวลา ปิดบังความงาม
“ฉันแต่งงานกับเธอ ยังจะบอกว่าไม่ทำอะไรอีกเหรอ”
“แต่พี่หนึ่งไม่เคยพยายามใช้ชีวิตคู่กับพริ้มเลย” พริ้มเพราเหมือนเด็กที่เก็บกดความรู้สึกตัวเองมานาน พอได้พูดในสิ่งที่อยู่ในใจน้ำตาก็ปิ่มจะรินไหล
แต่เธอไม่อยากร้องไห้…
…มีอะไรให้ต้องร้องไห้กันเล่า
“อย่าพูดเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย”
“พริ้มไม่ได้เพ้อเจ้อ พี่หนึ่งต่างหากที่ไม่ยอมรับความจริง”
พฤกษ์หน้ายับมากไปอีกที่พริ้มเพราพูดไม่รู้เรื่อง แต่เขายังคงอดทนที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจ
“พริ้มเพรา ฉันรู้นะว่าอะไรๆ มันก็ดูไม่ยุติธรรมสำหรับเธอ” พฤกษ์ขยับตัวออกมายืนเท้าเอวอย่างคิดไม่ตก “…งั้นเรามาตกลงกันดีๆ ดีกว่านะ”
“ตกลงยังไงคะ” พริ้มเพราถามกลับด้วยความระแวง เธอรู้แล้วว่าต่อไปนี้ไม่ควรเชื่อใจพฤกษ์ เขาไม่มีสัจจะ แถมยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย
พฤกษ์หรี่ตามองภรรยาในนามอย่างใช้ความคิด ครู่เดียวก็ยกข้อมือดูนาฬิกา
“ยังพอมีเวลา เราทานอาหารเช้าไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า ไปเถอะ”
พริ้มเพรามองตามหลังคนที่เดินกลับเข้าบ้านไป เวลาแบบนี้…เธอไม่อยากจะเดินตามเขาไปเลย เพราะหากจะเล่นเกมที่พฤกษ์เป็นคนตั้งกฎ เธอก็มีแต่จะแพ้ราบคาบอย่างเดียว
ถึงจะไม่อยากเจรจาสักเพียงใด แต่พฤกษ์ก็มีบางอย่างที่ทำให้พริ้มเพราไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้แต่พิชญ์ที่เป็นถึงผู้บริหารมารีรินทร์กรุ๊ปก็ยังต้องยอมให้กับความเป็นผู้ชนะอยู่เสมอของพฤกษ์
พฤกษ์ยังไม่พูดเรื่องข้อตกลงในทันที เขาหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ซึ่งพริ้มเพราเปลี่ยนจากโต๊ะไม้ธรรมดาเป็นโต๊ะไม้สีขาวฉลุลายสวยงาม
…บางครั้งก็ดูเหมือนว่าพริ้มเพราจะพิถีพิถันเรื่องการใช้ชีวิตมากเกินไป
ข้อนี้เป็นข้อสำคัญที่ทำให้เขากับเธอไปกันไม่รอด แค่ลักษณะการดำเนินชีวิต รสนิยมพื้นฐานก็ต่างกันคนละขั้วแล้ว
พริ้มเพราตักข้าวสวยร้อนๆ ส่งให้สามีแล้วจึงตักของตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา
พฤกษ์เลื่อนสายตาจากใบหน้าของพริ้มเพรามาสำรวจอาหารบนโต๊ะ ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าตาของอาหารเช้าจากฝีมือพริ้มเพรา
แกงเขียวหวานไก่มะเขือเปราะ ไข่เจียวเหลืองกรอบใส่หอมแดง
“เช้าๆ แบบนี้ไม่ต้องทำอะไรยากๆ ก็ได้นะ” พฤกษ์บอกพลางตักแกงเขียวหวานราดลงบนข้าว
“พริ้มแค่ทอดไข่ค่ะ แกงเขียวหวานตั้งแต่เมื่อวาน”
“ฉันหมายถึงเราซื้อแกงถุงเอาก็ได้ จริงๆ มื้อเช้าฉันกินแค่กาแฟดำกับขนมปังง่ายๆ”
“พี่หนึ่งต้องทำงานหนักทั้งวัน มื้อเช้าควรจะได้ทานอาหารดีๆ นะคะ” พริ้มเพราผ่อนคลายขึ้นเมื่อพฤกษ์ชวนเธอพูดเรื่องอื่นบ้างนอกจากชวนหย่า
“เวลาจะนอนยาวๆ ยังไม่มี อะไรกินง่ายก็กินให้อยู่ท้องไปก่อน”
“อ่อ! ค่ะ” เธอบอกแล้วตักอาหารรับประทานบ้าง
พฤกษ์กินอย่างเงียบๆ อาหารฝีมือพริ้มเพราอร่อย เขาจำได้เพราะเคยทานบ่อยเมื่อครั้งยังดีๆ กันอยู่ ก่อนที่ยายของพริ้มเพราจะประกาศเรื่องแต่งงานระหว่างเขากับเธอเมื่อหลายปีก่อน
“อร่อยเหมือนเดิม”
พริ้มเพราเงยหน้าขึ้นมาปั้นยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ”
“ยิ้มอะไร”
คำพูดที่ไม่มีความอ่อนโยนนั้นทำให้รอยยิ้มจางหายในฉับพลัน
พฤกษ์หัวเราะในลำคอที่เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของหญิงสาวตรงหน้า พริ้มเพราไม่คิดจะเถียงหรือตอบโต้อะไรเขาเหมือนเคย ทุกครั้งเธอมักจะจริงจังเสมอ ไม่เคยคุยเล่น ไม่พูดไร้สาระ
ไม่น่ารัก
พริ้มเพราดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนผู้หญิงทั่วไป ต่อให้เขาลดทิฐิลงมาก็ไม่อาจจินตนาการถึงชีวิตแต่งงานที่มีความสุขกับเธอได้อยู่ดี
“ถือว่าครั้งนี้เรามาเจรจากันแบบจริงจังเป็นครั้งแรกก็แล้วกันนะ”
ร่างบางนั่งหลังตรง วางแขนกับโต๊ะในองศาที่งดงาม ในมือถือช้อนและส้อม ตามองตรงไปข้างหน้าอย่างจดจ่อรอฟัง
พฤกษ์ถึงกับสะดุดไปครู่หนึ่ง เพราะความรู้สึกเหมือนกำลังจะรายงานหน้าชั้นเรียนอย่างไรไม่ทราบ
“ไม่ต้องทำหน้าจริงจังแบบนี้ได้มั้ย”
“นี่หน้าปกติค่ะ” พริ้มเพราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ติดเคร่งเครียดเล็กน้อย อันที่จริงเธอไม่ได้เคร่งเครียดเพราะว่าถูกพฤกษ์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องสีหน้า แต่เป็นเพราะว่าเธอกดดันจากการรอฟังสิ่งที่พฤกษ์จะพูดต่างหาก
“หน้าปกติ? เหมือนไปโกรธใครมา”
คนถูกกล่าวหาว่าไปโกรธใครมานิ่วหน้า ตกลงว่าพฤกษ์จะเอาอย่างไรกันแน่ ยิ้มก็ไม่ได้ ทำหน้าเฉยก็ไม่ได้
“ตกลงว่าพี่หนึ่งจะพูดอะไรกับพริ้มคะ” เธอลากเข้าเรื่อง
“การแต่งงานของเรา เป็นการแต่งงานการเมือง เพื่อความสบายใจของยายเธอ ดังนั้นเราควรกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน…ว่าจะหย่ากันเมื่อไหร่”
พริ้มเพราหัวใจกระตุกวาบ
“ถ้าพูดเรื่องนี้ เราอย่าพูดกันเลยดีกว่าค่ะ” พริ้มเพราวางช้อน รับประทานอะไรไม่ลง ตอนนี้เธอเริ่มโกรธจริงๆ แล้ว
“ฟังฉันพูดให้จบก่อนนะ” พฤกษ์รู้ว่าพริ้มเพราใกล้สติแตก เพราะข้อเรียกร้องของเขาเห็นแก่ตัวมากเกินไป แต่เขาจำต้องพูดกับเธอตรงๆ ดีกว่าปล่อยให้อะไรๆ เลวร้ายลงกว่าเดิม “ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกที่เราจะหย่ากัน เธอต้องการให้เราอยู่แบบนี้ไปอีกกี่ปี ขอแค่มีระยะเวลาที่แน่นอน ฉันก็ยินดีถอยหนึ่งก้าว”
พริ้มเพราไม่ตอบ ไม่แม้แต่มองหน้าเขา ดวงตาเธอแข็งกร้าวแต่ภายในใจเต็มไปด้วยความกลัว พฤกษ์ยืนยันแน่วแน่ว่าต้องการหย่ากับเธอ
“ครั้งแรกฉันคิดว่าหกเดือน แต่เห็นว่าคงไม่ยุติธรรมสำหรับเธอ งั้นสักสองปีเธอคิดว่าเพียงพอไหม”
“พี่หนึ่งช่างจิตใจดีมีเมตตาจริงๆ เลยนะคะ อุตส่าห์เห็นใจพริ้มยืดระยะเวลาชีวิตแต่งงานออกไปให้ แต่สุดท้ายมันคือการเห็นแก่ตัวทั้งนั้น”
“แล้วอะไรทำให้เธออยากแต่งงานกับฉันล่ะ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวหรือไง เธอกับยายของเธอก็แค่หวังมีส่วนแบ่งในธุรกิจของมารีรินทร์กรุ๊ป นอกนั้นไม่มีอะไรเลยไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ไม่ใช่แล้วมันอะไร”
“สักวันพี่หนึ่งก็จะรู้เอง ถ้าพี่เปิดใจ”
“จะเปิดจะปิดใจมันไม่เกี่ยวหรอก เธอจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาแต่งงานกับฉันให้ได้ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเธอจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาแต่งงานกับผู้ชายคนไหนก็ได้ในตระกูลฉันให้ได้ล่ะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องผลประโยชน์”
พริ้มเพราเจ็บกับคำพูดแทงใจดำของพฤกษ์ ในสายตาของเขาหรือใครๆ ก็คิดเช่นนั้น พริ้มเพรา ปัถมธาดา สะใภ้ตระกูลบริพัตรเมธานนท์ แต่งงานเพราะเหตุผลเรื่อง ‘เงิน’
นับว่ายังดีที่คนเข้าใจไปแบบนั้น เธอกลัวจะแย่ว่าหากข่าวการแต่งงานระหว่างเธอกับพฤกษ์ประกาศออกไป คนจะมองว่าเป็นเรื่องชู้สาวระหว่างพี่น้อง
ดังนั้นการถูกมองในแง่ร้ายว่าแต่งงานกับผู้ชายเพราะ ‘เงิน’ ยังดูดีกว่าเป็นไหนๆ
“ถ้าพี่หนึ่งเชื่อแบบนั้น พริ้มคงไปเปลี่ยนแปลงอะไรความคิดพี่ไม่ได้”
“เราคงพูดกันไม่เข้าใจ ตกลงกันไม่ได้แล้วจริงๆ”
พฤกษ์คิดว่าหมดหนทางจะใช้ไม้อ่อนกับพริ้มเพรา คนอย่างพริ้มเพราก็คงไม่ต่างจากยายของเธอ หากโอนอ่อนผ่อนตามก็รังจะยิ่งผูกตัวเองให้แน่นขึ้นด้วยพันธนาการบ้าบอเหมือนที่พ่อของเขาถูกผูกมัดมาตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปี
ทุกอย่างระหว่างครอบครัวเขากับครอบครัวของพริ้มเพราจะต้องจบลงที่เขากับเธอ ถ้าจบดีไม่ได้ก็จบแบบร้ายๆ ไปเลย
“แค่หกเดือน ฉันยื่นคำขาด กำหนดวันไปเลยแล้วกัน สิบสองมกราคมหน้า เราหย่ากัน”
บทที่ 4
เล่นของ
พริ้มเพรามาถึงร้านเพชรก็พบว่าคุณหญิงสมปรารถนามารออยู่ก่อนแล้ว เธอไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องพบกับผู้เป็นยายในเช้าของวันที่เธอเพิ่งทะเลาะกับพฤกษ์มา
“สวัสดีค่ะคุณยาย” พริ้มเพรายกมือไหว้อย่างนอบน้อม ด้วยกิริยามารยาท ‘ผู้ดี’ ที่ยายเธอฝึกให้อย่างเข้มงวดจนกลายเป็นนิสัยติดตัว
…หรืออาจเป็นเพียงเปลือกที่เคลือบเธอไว้อย่างแน่นหนายากจะแกะออก
“ทำไมสีหน้าไม่ดีเลย ทะเลาะกับตาหนึ่งมาหรือเปล่า” คุณหญิงสมปรารถนามองหลานสาวอย่างจับผิดมากกว่าเป็นห่วง
พริ้มเพราฝืนยิ้ม พยายามทำสีหน้าให้ดูเหมือนว่าเธอปกติดีทุกอย่าง
“เปล่านี่คะคุณยาย”
คำปฏิเสธนั้นไม่ได้ทำให้คนฟังเชื่อในทันที แต่เพราะคร้านจะจับผิดให้รำคาญใจ
“ไม่มีอะไรก็ดี”
หญิงสูงวัยร่างผอมบางทว่ายังดูแข็งแรงปรายตามองหลานสาวด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาพริ้มเพราก็ไม่เคยได้ดั่งใจนางเลย แม้ว่าภายนอกหญิงสาวจะดูโอนอ่อนผ่อนตาม แต่นางก็รู้ดีว่าข้างในพริ้มเพราแข็งข้อกับนางอยู่ตลอดเวลา
“คุณยายมาหาพริ้มทำไมไม่บอกก่อนล่ะคะ พริ้มจะได้มาเช้าๆ”
“ช่างเถอะ ประเดี๋ยวตรวจงานเสร็จเข้าไปคุยข้างในก็แล้วกัน” บอกแล้วหญิงสูงวัยก็เดินหายเข้าไปยังห้องด้านใน นางเป็นใหญ่เหนือทุกคน โดยเฉพาะหลานสาวคนนี้ ดังนั้นการจะมาจะไปไม่เห็นต้องบอกให้เป็นเรื่องเป็นราว
พริ้มเพราที่เผลอกลั้นใจอยู่นานค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา
“เฮ้อ!”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมๆ กันนั้นทำให้เธอต้องหันไปมอง พบว่าเป็นเสียงวิทวัส ผู้จัดการร้านหนุ่มใหญ่ผู้ทำงานร่วมหัวจมท้ายกับเพชรปัทมามาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งร้าน
“คุณวัสถอนหายใจเสียดังเลยนะคะ” พริ้มเพราแกล้งแซว เพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากยายของเธอนั้นทำให้ใครหลายคนต้องกลั้นหายใจแทบจะหมดลม อากาศโดยรอบก็ลดน้อยลงไปโดยปริยาย
พริ้มเพราทำเหมือนไม่รู้ แต่ก็รู้ดีว่าลับหลังตนทุกคนพูดถึงคุณหญิงสมปรารถนาในแง่ไม่ดีเท่าใดนัก
“ขอโทษครับคุณพริ้ม ผมไม่ชินเลยสักที” วิทวัสยิ้มแห้งๆ หันไปเห็นสีหน้าของพนักงานคนอื่นที่ใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกันก็หัวเราะออกมา
พริ้มเพราเห็นสีหน้าของพนักงานแต่ละคนแล้วอดคิดไม่ได้ ทุกคนเจอยายของเธอแค่นานๆ ครั้งยังเป็นได้ขนาดนี้ แล้วเธอที่ต้องอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตเล่า…
“พริ้มขอดูรายงานสรุปยอดตั้งแต่วันที่พริ้มไม่อยู่หน่อยนะคะคุณวัส”
“คุณพริ้มไปคุยกับคุณหญิงก่อนเถอะครับ เสร็จธุระแล้วจะได้ทำงานแบบสบายใจ” หนุ่มใหญ่เสนอด้วยความหวังดี เขาเห็นพริ้มเพรามาตั้งแต่เล็ก รู้จักสนิทสนมกันเหมือนคนในครอบครัว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พริ้มเพราหนักใจมีอยู่ไม่กี่เรื่อง
หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับยายของเธอ สองก็คือเรื่องเกี่ยวกับยายของเธอ
พริ้มเพรามองใบหน้าของผู้จัดการหนุ่มวัยสี่สิบห้าปีอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายต้องยอมจำนน
“ค่ะ พริ้มจะเข้าไปคุยกับคุณยายก่อน”
พริ้มเพราเปิดประตูก็เห็นว่าคุณหญิงสมปรารถนานั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ แม้จะอายุมากแล้ว แต่ร่างกายของหญิงสูงวัยยังจัดระเบียบได้ดี
แผ่นหลังตรงดิก มือไม้จับหนังสือในระดับที่พอเหมาะ บ่า ไหล่ แขนวางอยู่ในระนาบที่งดงาม สร้างความหวาดผวาให้คนมองได้อย่างน่าอัศจรรย์
“นั่งสิ”
สิ้นน้ำเสียงนั้นก็ทำให้พริ้มเพราเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ
“ฉันรู้มาว่าตาหนึ่งซื้อบ้านโกโรโกโสอยู่ที่นนทบุรี”
พริ้มเพราคิดอยู่แล้วว่าธุระของคุณหญิงสมปรารถนาคงไม่พ้นเรื่องของพฤกษ์ เธอคิดคำตอบครู่หนึ่งว่าบ้านที่เธอไปอยู่อาศัยนั้นเป็นลักษณะที่เรียกว่า ‘โกโรโกโส’ หรือไม่
“ก็…เรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะคุณยาย”
“ตาหนึ่งนี่ยังไง เป็นลูกมหาเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน กลับไปอยู่แบบยาจกให้เมียต้องพลอยลำบากลำบนไปด้วย แกเป็นเมีย ทำไมไม่พูดให้เขาย้ายออกมาเสีย”
พริ้มเพราเกือบกลอกตาเป็นเลขแปดไปสามรอบ แต่เพราะครั้งสุดท้ายที่ทำแบบนั้นเธอถูกเฆี่ยนจนหลังลาย ฉะนั้นผู้เป็นหลานสาวจึงทำได้แค่กะพริบตาไล่ความรู้สึกอึดอัดนี้ทิ้งไป
“พี่หนึ่งเขาชอบแบบนั้นน่ะค่ะ”
“ชอบอย่างไรก็ต้องเห็นแก่เมีย แกพูด เขาก็ต้องฟัง”
สงสัยว่ายายของเธอจะลืมไปแล้วกระมัง ว่าเธอกับพฤกษ์แต่งงานกันเพราะอะไร อย่าว่าแต่บอกให้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่เลย แค่บอกให้ทานข้าวสักจานเขายังหูทวนลม ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน
“คงต้องรอเรือนหอเสร็จก่อนค่ะ”
“จะรอทำไม เงินมีตั้งมากมาย จะย้ายไปอยู่บ้านดีๆ สักหลังหรือคอนโดมิเนียมดีๆ สักที่คงไม่ยากเย็นอะไร แกไม่อายเขาหรือยังไง”
“ไม่มีใครทราบหรอกค่ะว่าพริ้มกับพี่หนึ่งพักอยู่บ้านแบบไหน” พริ้มเพราบอกเสียงเบา แต่แอบต่อในใจว่าหากมีใครทราบ คนคนนั้นก็คงว่างมากพอดูถึงได้มาคอยตามติดชีวิตเธอ
“น้อยไปสิ พวกคนจ้องจับผิดชอบนินทามีทั่วไป”
“คุณยายอย่ากังวลเรื่องนี้ไปเลยนะคะ แล้วพริ้มจะลองคุยกับพี่หนึ่งดู”
พริ้มเพราตัดบทเพราะรู้ดีว่าคุณหญิงสมปรารถนาต้องการอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น แม้ว่าความจริงแล้วจะได้หรือไม่ ขอแค่เธอพูดว่า ‘ได้’ ก็จะช่วยให้นางพอใจ
“เอาเถอะ ฉันไม่ได้มาพูดกับแกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกนะยายพริ้ม”
“อะไร (อีก) เหรอคะ” พริ้มเพราถามกลับด้วยสีหน้าที่พยายามปกปิดความวิตกกังวลไว้
“เอานี่ไป” คุณหญิงสมปรารถนายื่นบางอย่างซึ่งถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลให้ ลักษณะเหมือนยาแผนโบราณหรือยาจีน พริ้มเพราไม่รับในทันที แต่เธอมองผู้เป็นยายด้วยสีหน้างุนงง
“อะไรคะคุณยาย”
“รากปลาไหลเผือก”
“คะ?”
“ไม่รู้จักหรือยังไง เด็กสมัยนี้แย่จริง สมุนไพรไทยมีสรรพคุณดีกว่ายาหมอโรงพยาบาลเสียอีก หัดรู้ไว้เสียบ้างก็ไม่เสียหลาย”
พริ้มเพราหน้าเจื่อนไป เธอรู้จักสมุนไพรอยู่บ้าง อย่างว่านหางจระเข้ ฟ้าทลายโจรอะไรเทือกนั้น แต่ว่าสมุนไพรชื่อพิลึกนี่เธอไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“นี่อีกอัน เอาไปชงให้ตาหนึ่งดื่มทุกวันก่อนนอน”
พริ้มเพรายังไม่ทันหายมึนงงกับรากปลาไหลเผือก ห่อสมุนไพรอีกห่อก็ถูกส่งมาให้
“กำลังช้างสาร สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้เพิ่มความกำหนัดให้ผู้ชาย ตาหนึ่งทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ต้องมีตัวช่วยให้มีลูกเร็วๆ”
พริ้มเพราเบิกตากว้าง ใบหน้าสวยแดงเถือกไปทั้งหน้า
“คุณยาย!”
“ไม่ต้องมาเหนียมอาย ฉันต้องการเห็นหน้าเหลนเร็วๆ”
“โธ่! คุณยายคะ พริ้มคิดว่าไม่ต้องใช้หรอกค่ะ พี่หนึ่งคงไม่ทาน” แล้วเธอก็คงไม่เอาไปให้เขาทานแน่ๆ “เอ่อ…เขาอาจจะหาว่าพริ้มไปดูถูกเขา เรื่อง…”
พริ้มเพราก้มหน้างุด ผิวกายร้อนวูบวาบไปหมด
“ถ้าเขาอาย แกก็ผสมกับน้ำผลไม้ เครื่องดื่มอะไรก็ได้ไม่ต้องให้เขารู้ตัว อย่าให้ฉันต้องสอนทุกเรื่องได้ไหม แล้วอย่าลืมอีกเรื่อง ผู้ชายเขาชอบผู้หญิงเอาอกเอาใจ ช่างพูดช่างฉอเลาะ พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงน่ะ มันน่ารำคาญ”
ก่อนกลับคุณหญิงสมปรารถนายังอบรมสั่งสอนวิถีของภรรยาที่เพียบพร้อมอีกหนึ่งชุดใหญ่ พริ้มเพราซึ่งฟังเป็นรอบที่ร้อยแทบจะท่องตามได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง
‘ตื่นก่อน นอนทีหลัง ผัวกลับมาบ้านกับข้าวกับปลาต้องพร้อมเตรียมรอไว้อย่าให้บกพร่อง พูดจาอ่อนหวาน เชื่อฟัง เป็นช้างเท้าหลังที่ดี’
เธอไม่ได้คิดไกลไปถึงขั้นนั้นหรอก อย่างที่บอก แค่คุยกันดีๆ สักครั้งยังยากเลย แล้วจะให้เธอทำตัวเป็นภรรยาในอุดมคติของผู้เป็นยายงั้นหรือ…
…ไหนจะเรื่อง ‘เหลน’ อีก
เป็นลมแล้วตายไปเลยได้ไหม
ห่อยาสมุนไพรถูกเก็บไว้ในลิ้นชักครัวเกือบห้าวันแล้วโดยไม่ได้เปิดใช้ ไม่ใช่ว่าพริ้มเพรากระดากเกินกว่าจะใช้มัน เพราะบางครั้งเธอยังแอบคิดไปว่าถ้าไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ นี่อาจช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เธอกับพฤกษ์จะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
ทว่าที่มันยังไม่ถูกเอาออกมาใช้ก็เพราะว่าพฤกษ์ไม่กลับบ้านอีกเลยนับจากวันที่เขานัดหมายวันหย่ากับเธอครั้งนั้น
ร้ายกว่าการไม่ได้ใช้สมุนไพรกระตุ้นกำหนัดของคุณยายก็คือเธอต้องอยู่บ้านคนเดียว บ้านไม้หลังเก่าที่คาดว่าอายุคงไม่น้อยไปกว่าอายุเธอนั้นเงียบและเปลี่ยวมากเพราะอยู่ลึกมาเกือบท้ายซอย แม้จะมีบ้านเพื่อนบ้านที่ติดกันอยู่สองหลัง แต่ดูเหมือนว่าพฤกษ์ไม่ได้สานสัมพันธ์กับคนในละแวกนี้ไว้เลย เพราะตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ก็ไม่เห็นจะมีใครเข้ามาทักทาย
“ใจร้าย”
พริ้มเพราตัดพ้อหลังจากจัดการล็อกรั้วบ้าน ล็อกประตูหน้าต่างทุกบานอย่างละเอียดถี่ถ้วนและตรวจสอบเป็นครั้งที่สามของคืนนี้
เธอส่งข้อความถึงพฤกษ์เหมือนที่ส่งไปทุกวัน สอบถามว่าเขาจะกลับบ้านหรือไม่ แต่พฤกษ์ก็ไม่เคยตอบเธอเลยสักครั้ง วันแรกๆ นั้นพฤกษ์ยังอ่านข้อความของเธออยู่ แต่สองวันหลังมานี้เขาไม่อ่านมันเลย โทรไปก็ไม่รับสาย ชัดเจนว่าพฤกษ์ตั้งใจหลบหน้าเธออย่างไม่ต้องสงสัย
เขาคงคิดว่าหากหายหน้าหนีไปเธอจะโกรธและถอดใจยอมหย่ากับเขาในที่สุด แต่พฤกษ์ควรรู้ว่าเขาคิดผิดตั้งแต่วันที่เดินเข้ามาขอเธอแต่งงานแล้ว พริ้มเพราไม่ใช่คนที่ท้อใจอะไรง่ายๆ
อยากจะรู้เหมือนกันว่าพฤกษ์จะหลบหน้าเธอได้อีกนานแค่ไหน
บทที่ 5
แม่บ้านใจกล้า
พฤกษ์มีคิวผ่าตัดตั้งแต่เช้า กว่าจะได้ออกจากห้องผ่าก็กินเวลาร่วมสี่ชั่วโมง พอออกจากห้องผ่าได้เขาก็ตรงไปอาบน้ำที่หอพักแพทย์ทันที ในใจกำลังคิดว่าหากได้กาแฟดำเข้มๆ สักแก้วคงจะดีไม่น้อย ทว่ายังไม่ทันเดินถึงหอพักก็มีโทรศัพท์ตามเขาให้ไปพบผู้อำนวยการในเวลานี้
ด้วยความตกใจว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับคนไข้ที่เขาทำการผ่าตัดในวันนี้หรือไม่ พฤกษ์จึงรีบหันหลังกลับแล้วตรงไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันที
และแม้ว่าจะมีความวิตกมากเพียงใด แต่เขาก็มั่นใจว่าการผ่าตัดเมื่อครู่ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หากไม่ใช่เรื่องเคสผ่าตัด แล้วจะเป็นเรื่องอะไรไปได้
“ขออนุญาตครับ” พฤกษ์เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปในห้องด้วยความร้อนใจ ทว่าภาพที่เห็นทำให้เขาตกใจจนหน้าซีด เพราะภายในห้องไม่ได้มีแค่วิชัยยุทธผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพียงคนเดียว แต่มีหญิงสาวสวย แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“พริ้มเพรา”
“มาพอดีเลยหมอพฤกษ์ เชิญนั่งก่อน” วิชัยยุทธ แพทย์ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัยห้าสิบปลายผายมือให้ผู้เพิ่งมาถึงนั่งเก้าอี้ข้างๆ พริ้มเพรา
“มีอะไรหรือครับ” พฤกษ์ถามด้วยความหวาดระแวงพลางหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง
ไม่น่าเชื่อว่าพริ้มเพราสามารถทำให้เขาขาดความมั่นใจได้มากถึงเพียงนี้ เขากังวลกับการมาถึงของเธอมากกว่าเคสผ่าตัดรายใหญ่ที่สุดของเดือนนี้เสียอีก
การได้เห็นหน้าเธอเหมือนกับการต้องเผชิญหน้ากับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“คุณพริ้มเธอโทรหาหมอไม่ติด เลยมาขอให้ผมช่วยตามตัวให้”
พฤกษ์ย่นคิ้วโดยอัตโนมัติ เขาหันไปมองพริ้มเพรา ใบหน้าสวยยังนิ่งเฉย…เหมือนเคย
“ฉันงานยุ่งน่ะ คนไข้เยอะมาก มีเรื่องอะไรสำคัญนักหรือถึงต้องมาถึงที่นี่”
“หมอ…” วิชัยยุทธลากเสียงเบาๆ เป็นการปราม “รู้ว่าดุ แต่นี่ภรรยานะ”
“ผมกับพริ้มคุยกันแบบนี้แหละครับผู้อำนวยการ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน จริงมั้ย”
พริ้มเพราเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะตอบออกมาในที่สุด
“ค่ะ”
“ภรรยาของหมอพฤกษ์บอกกับผมว่าคุณไม่ได้กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จริงหรือ”
ขี้ฟ้อง พฤกษ์คิดในใจ
ไม่นึกเลยว่าพริ้มเพราจะเอาเรื่องที่เขาไม่ยอมกลับบ้านมาฟ้องผู้ใหญ่ เห็นนิ่งๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่าภรรยาในนามของเขานั้นร้ายกาจแค่ไหน เล่นโผล่มาที่ทำงานแบบนี้ คนที่ไม่ยอมให้เรื่องส่วนตัวมากระทบเรื่องงานอย่างเขามีหรือจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้
เธอรู้ดีว่าหากทำเช่นนี้ เขาจะไม่กล้าหนีหน้าเธออีก
แต่คิดว่าจะบีบกันได้ง่ายๆ เหรอ
“ครับ ช่วงนี้เคสผ่าตัดเยอะมาก ผมเลยคิดว่าอยู่หอพักแพทย์ดีกว่าจะได้มีเวลาพักเยอะหน่อย ไม่ต้องเดินทาง”
“ผมรู้มาว่าคุณรับอยู่เวรแทนหมอคนอื่นด้วยนี่นา ไม่เห็นจะต้องทำแบบนั้นเลย”
“ช่วยๆ กันน่ะครับ”
“แต่ถึงอย่างไรก็ควรนึกถึงภรรยาที่บ้านบ้างสิหมอ นะ อีกอย่างหมอก็ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในปีนี้เลยนี่ ลาพักสักสามสี่วันถือเป็นการไปฮันนีมูนด้วยเลยไม่ดีหรือ” วิชัยยุทธพยายามไกล่เกลี่ย เพราะถึงแม้ว่าสองสามีภรรยาจะไม่ได้มีปากเสียงอะไรกัน แต่สีหน้าท่าทีของคนทั้งคู่ก็ส่งผลให้บรรยากาศมาคุอย่างไรไม่ทราบ เดาว่าพริ้มเพราน่าจะโกรธสามีที่เอาแต่ทำงานไม่ยอมสนใจเธอทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน
ช่วงเวลาแบบนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่หอมหวาน แต่อย่างที่คนทั่วไปมอง คนเป็นหมอไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวมากนัก และปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลาให้คนรักก็นับเป็นปัญหาระดับชาติของบรรดาหมอๆ เลย
พฤกษ์ฟังแล้วถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผอ.”
“เอาน่า ภรรยาคุณหน้างอแล้วไม่เห็นหรือ เชื่อผมเถอะผมผ่านมาก่อน” วิชัยยุทธยังพยายามทำอารมณ์ดี แม้ว่าอีกสองคนจะอยู่ในอารมณ์ที่ตรงกันข้ามทุกอย่างก็ตาม
“หมอพฤกษ์คงไม่อยากลาพักร้อนหรอกค่ะท่านผู้อำนวยการ เขาไม่ได้เห็นแก่คำว่าครอบครัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“พริ้มเพรา!” พฤกษ์หันไปดุที่พริ้มเพราเอาเรื่องในบ้านมาป่าวประกาศ
“ยังไงก็เถอะค่ะ ดิฉันแค่หวังว่าจะไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องกับการที่สามีดิฉันไม่กลับบ้านนะคะ ผู้อำนวยการไม่สงสัยบ้างหรือคะ ว่าผู้ชายแบบไหนกัน แต่งงานได้ไม่กี่วันก็เลือกทิ้งภรรยาตัวเองให้อยู่บ้านคนเดียว ไม่รู้ว่างานยุ่งหรือติดใจอะไรกันแน่นะคะ”
วิชัยยุทธเบิกตากว้างขึ้น มองนายแพทย์ในปกครองของตนด้วยแววตาตระหนก แต่เทียบไม่ได้กับความตระหนกของพฤกษ์ที่มากกว่าร้อยเท่าเมื่อเห็นว่าพริ้มเพราสร้างเรื่องให้ใหญ่โตได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ
“พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั้ย”
“ขอโทษค่ะ พริ้มแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่หนึ่งไม่กลับบ้านเลย คนเป็นภรรยาจะคิดไปเป็นอื่นได้ยังไงล่ะคะ”
“คิดเป็นอื่นอะไร เธอก็รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่กลับบ้าน!” พฤกษ์เกือบจะฟิวส์ขาด พริ้มเพราทำเหมือนลืมว่าเหตุผลของการแต่งงานระหว่างเขากับเธอคืออะไร
ลืมถึงขั้นอาจเรียกได้ว่าสมองเสื่อมเลยทีเดียว
“เอาล่ะๆ หมอพฤกษ์ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกันเถอะนะ”
เสียงเตือนจากคนภายนอกอย่างวิชัยยุทธหยุดอารมณ์โกรธที่ถึงจุดเดือดจนจวนเจียนใกล้ระเบิดเอาไว้ได้ภายในเสี้ยววินาที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้นยืน
“ผมขออนุญาต…” เขาบอกแล้วคว้าแขนขาวผ่องของพริ้มเพราไว้ “…ไปเคลียร์กับเมียผมข้างนอกนะครับ”
“พี่หนึ่ง ปล่อยค่ะ พริ้มเจ็บ!”
พริ้มเพราหน้าแหยเพราะถูกลากมาไกลตั้งแต่ชั้นบนสุดของตึกจนออกมานอกอาคาร แต่พฤกษ์ก็ยังคงลากเธอต่อไปอย่างไม่ลดละ
“พี่หนึ่ง”
“อย่าพูดอะไร!” เขาหยุดแล้วหันมาบอกเสียงดุ “จนกว่าฉันจะอนุญาต”
“จะไปไหนก็บอกดีๆ ก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องมาลากพริ้มแบบนี้ พริ้มเจ็บ”
“ฉันก็อยากจะบอกดีๆ แต่คนแบบเธอมันพูดดีๆ ไม่ได้ มานี่!”
พฤกษ์ไม่รอฟังพริ้มเพราพูดอะไรอีก เขารั้งเธอให้เดินตามจนมาถึงหน้าหอพักแพทย์ท่าทางขึ้งโกรธของเขาก็แปรเปลี่ยนไปจนทำให้พริ้มเพรางุนงง
พฤกษ์ค่อยๆ เลื่อนมือที่บีบแขนเล็กมากุมมือเธอไว้แทน
“อ้าว! พี่พฤกษ์” เศรษฐาแพทย์หนุ่มรุ่นน้องของพฤกษ์เปิดประตูตึกหอพักออกมาพอดีจึงร้องทัก
ชายหนุ่มใบหน้าขาวจัดสวมแว่นตากรอบดำหนาเตอะแสดงความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าเมื่อได้เห็นว่าพฤกษ์กำลังอยู่กับใคร
“ว้าว! วันนี้พาภรรยามาเปิดตัวเหรอพี่”
“เออ!” พฤกษ์ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนหงุดหงิด แต่อีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของเขาเพราะปกติพฤกษ์ก็เหมือนคนอารมณ์เสียตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่ความหงุดหงิดโมโหของพฤกษ์อาจจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นทวีคูณเมื่อเห็นว่าเศรษฐาเอาแต่จับจ้องพริ้มเพราไม่วางตา
“มองอะไร!” เขาถามเสียงดุจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
เศรษฐาใช้นิ้วชี้ดันกรอบแว่นที่ตกลงมาอยู่ที่สันจมูกขึ้นไปไว้ที่เดิม
“โธ่! พี่ เสียงดังจริง ตกใจหมดเลยเนี่ย”
“ก็แกเอาแต่จ้องพริ้มเขาอยู่ได้ ก็เลยถามว่ามองอะไรนี่ไง”
“นั่นแน่! หึงเก่งเหมือนกันนะเราอ่ะ” เศรษฐาแซว แต่ดูเหมือนว่าพฤกษ์จะอายหนักถึงขนาดหน้าแดงจนเขียวแล้วตอนนี้ ขณะที่พริ้มเพราเอาแต่ทำหน้าเหมือนจะงงก็ไม่ใช่ แต่หวั่นใจก็ไม่เชิง
แปลกๆ
“ไปไหนก็ไปเลยไป! ว่างมากก็ไปหาอะไรทำที่มันมีประโยชน์”
“ว่างอะไรล่ะพี่ เพิ่งได้ออกมากินข้าวเนี่ย เดี๋ยวต้องไปตรวจผู้ป่วยนอกต่ออีก ไล่เก่งจริง ไปก็ได้ ตามสบายนะครับพี่สะใภ้” ประโยคหลังเศรษฐาหันไปบอกกับพริ้มเพราด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ตอนงานแต่งพฤกษ์เศรษฐาไม่ได้ไปเพราะติดคิวผ่าตัดคนไข้พอดี ทว่าถึงไม่ได้ไปก็เหมือนไปนั่นแหละ เพราะในไลน์กลุ่ม ‘เทพบุตรชุดกาวน์’ มีภาพบ่าวสาวส่งมาให้ยลเป็นร้อยรูป งานแต่งงานที่พฤกษ์ไม่ได้แจกการ์ดเชิญ เพียงแค่บอกปากเปล่ากับคนสนิทหนเดียวเท่านั้น ซ้ำก่อนแต่งว่าที่เจ้าบ่าวยังมาทำงานปกติทุกวันชนิดที่ว่ารดน้ำสังข์เสร็จแล้วถอดมงคลมาผ่าตัดคนไข้ได้ก็คงทำไปแล้ว งานแต่งของพฤกษ์ถือเป็นงานแต่งที่เศรษฐาเสียดายเป็นที่สุดที่ไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดี
เพราะงานนั้นหากจะเรียกว่าเป็นงานช้างก็อาจจะดูเบาไป เอาเป็นว่าเป็นงานช้างสามร้อยเชือกเลยก็แล้วกัน พิธีทั้งเช้าและค่ำจัดขึ้นอย่างใหญ่โต มีแขกคนดังคนสำคัญในวงสังคมแห่แหนกันมาร่วมงานอย่างล้นหลาม และที่ยิ่งเสียดายจนถึงวันนี้ก็คือนางเอกในดวงใจของเขาก็มาร่วมงานนี้ด้วย เศรษฐาลืมไปได้อย่างไรว่าภูมิหลังของนายแพทย์หนุ่มมาดเซอร์ทำตัวติดดินจนเกือบจะฝังกลบตัวเองอย่างพฤกษ์นั้นคือทายาทห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของประเทศ
ศิรวิทย์ส่งรูปมาอวดรัวๆ จนเขาแทบคลั่งตาย แต่ใดๆ ก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าแม้งานนี้จะมีเหล่านางเอก ดาราหญิงแถวหน้าของเมืองไทยและเหล่าเซเลบนางแบบไปร่วมงานมากเพียงใดก็ไม่มีใครสวยเกินไปกว่าเจ้าสาวของพฤกษ์ได้เลย คราแรกเขาเข้าใจว่าเพราะพริ้มเพราเป็นเจ้าสาว…เจ้าสาวก็ต้องสวยที่สุดในงานไม่ว่าจะด้วยชุดเจ้าสาวหรือการแต่งหน้าที่พิถีพิถันมากเป็นพิเศษจึงทำให้สวยเปล่งปลั่งกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้เศรษฐาเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เพราะสิ่งที่กล่าวมาเลยสักนิดเดียว เพราะขณะนี้ที่เขาเผชิญหน้ากับพริ้มเพราในระยะไม่เกินสามเมตร เขาได้เห็นว่าพริ้มเพราสวย ไม่ใช่เพราะชุดหรือการแต่งหน้า แต่เธอสวยมากจริงๆ สวยจนเขาไม่อาจละสายตาได้ง่ายๆ
…จนพฤกษ์แทบจะพุ่งมาบีบคอ
“ไอ้เศษ!”
“ก็บอกแล้วไงพี่ว่าผมชื่อฐา เรียกเศษมันทะแม่งๆ เหมือนเศษเกินเศษเดนอ่ะพี่”
“ก็มึงเอาแต่จ้องเมียกูเนี่ย กูไม่ต่อยก็บุญแล้ว”
“โธ่! คนมันลืมตัว ขอโทษได้เปล่า”
พริ้มเพราคอแห้งผากเมื่อต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ชายสองคนกำลังคุยกันเรื่องเธอแบบต่อหน้า แถมพฤกษ์ยังทำเหมือนหึงเธอได้อย่างแนบเนียนทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
“ขอโทษนะครับคุณพริ้ม ผมไม่ได้มองคุณพริ้มด้วยเจตนาไม่ดีเลย เพียงแค่กำลังคิดว่าที่เขาเล่าลือกันว่าภรรยาหมอพฤกษ์สวยเหมือนนางฟ้า จริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ”
พริ้มเพราส่งยิ้มกลับไปแบบเสียไม่ได้ อันที่จริงเธอได้รับคำชมเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กจนชินชาไปแล้ว และไม่เคยภูมิใจอะไรกับความสวยของตัวเองเลย
แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจให้มากกว่าหวังผลประโยชน์ใด ฉะนั้นดวงหน้าหวานจึงระบายยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเก่า
ทว่ารอยยิ้มของเธอมันดันไปกระตุ้นต่อมหงุดหงิดของพฤกษ์ที่แสนตื้นขึ้นมา
“รำคาญ!” พฤกษ์กระแทกเสียงลอยๆ
เศรษฐาทำหน้าเจื่อน ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ในโรงพยาบาลแห่งนี้ต่างทราบกันดีว่าพฤกษ์ไม่ใช่หมอธรรมดา แต่เป็นหมออันธพาล สร้างอิทธิพลเถื่อน ขืนไปมีเรื่องด้วยก็ไม่คุ้มที่จะแลกเพราะอาจเจ็บตัวเอาได้ง่ายๆ
ครั้งก่อนเขาไปต่างประเทศลืมซื้อของที่พฤกษ์ฝากซื้อแค่ชิ้นเดียว ทั้งศอกทั้งเข่าก็มาไม่ยั้ง ถ้าหากไม่รู้ว่าเป็นหมอเขาคงคิดว่าเป็นนักมวยมืออาชีพ
“มีคนรำคาญแล้วครับ รีบไปดีกว่า” เศรษฐาบอกกับพริ้มเพราเสียงกระซิบแล้วรีบฉากตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
กลับกลายเป็นพริ้มเพราที่รู้สึกโหวงแปลกๆ เพราะทันทีที่หมอหนุ่มคล้อยหลังไป พฤกษ์ก็คลายมือที่กุมมือเธอไว้แล้วเลื่อนมาจับแขนแทนด้วยน้ำหนักมือที่มากขึ้น
“ขึ้นห้อง!”
แม้ว่าพริ้มเพราจะยอมรับการเป็นสามีภรรยาของตนกับพฤกษ์มากกว่าที่พฤกษ์ยอมรับ แต่พอต้องขึ้นห้องส่วนตัวของสามีหญิงสาวก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ทั้งๆ ที่เธอก็เคยนอนเตียงเดียวกับเขามาแล้ว…ที่บ้านของเขา
หอพักแพทย์แห่งนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดประมาณสิบหกตารางเมตร มีเฟอร์นิเจอร์เพียงแค่ไม่กี่ชิ้น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ชั้นวางทีวี ห้องดูแคบเอามากๆ ผิดกับภาพที่พริ้มเพราจินตนาการไว้ไกลมากทีเดียว เธอเข้าใจว่าห้องพักแพทย์น่าจะสะดวกสบายมากกว่านี้เสียอีก
เพราะมัวแต่สำรวจห้องนอนของเขา พริ้มเพราจึงไม่รู้เลยว่าพฤกษ์ถอดเสื้อออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นอีกทีท่อนบนของเขาก็เปลือยเปล่า ก่อนที่เธอจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเขาทำท่าจะถอดกางเกง
นิ้วซึ่งกำลังปลดตะขอกางเกงต้องชะงักเพราะสายตาของพริ้มเพราที่จ้องเขม็งมาที่กลางลำตัวของเขา
“เธอนี่มันโรคจิตจริงๆ เลย ไม่คิดจะอายหน่อยหรือไง ผู้ชายกำลังจะแก้ผ้านะ”
พริ้มเพรารู้สึกตัวตอนนั้นเอง เธอเลื่อนสายตาออกจากร่างกายกำยำของเขาแล้วเสมองพื้นแทน แต่มาคิดอายตอนนี้ก็สายไปแล้ว เธอจึงทู่ซี้ตอบไป
“พี่หนึ่งเป็นสามี ยังไงพริ้มก็ต้องเห็นอยู่แล้วนี่คะ”
“อ้อ! งั้นเหรอ แสดงว่า…” ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ร่างบางจนมากพอให้รับรู้ถึงไอร้อนจากกายของกันและกัน “…ฉันก็เห็นของเธอได้หมดทุกอย่างเหมือนกันใช่มั้ย”
ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำใจให้เป็นปกติกับเรื่องบนเตียงของสามีภรรยาได้ แต่พอพฤกษ์พูดแบบนั้นอาการหวั่นก็มากล้นจนส่งผลให้มือไม้สั่น
ดวงตากลมไหวระริกผสานกับดวงตาคมเข้มที่มองมา เธอไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดเล่นหรือว่า…เอาจริง
“ได้ใช่มั้ย” พฤกษ์ถามซ้ำด้วยน้ำเสียงแหบพร่า หัวใจพริ้มเพราถึงกับกระตุกวาบก่อนตามมาด้วยอาการร้อนๆ หนาวๆ
“เอ่อ! คือว่า…”
พฤกษ์หัวเราะในลำคอ หรี่ตามองใบหน้าสวยที่ยามนี้แดงเถือกไปทั้งหน้า
“อย่าฝันไปหน่อยเลยว่าฉันจะอยากมองให้เสียลูกตา” พูดจบพฤกษ์ก็คว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
พริ้มเพรายืนอึ้งอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเสียงน้ำไหลจากฝักบัวดังขึ้นนั่นเองเธอถึงได้รู้สึกตัว หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เธอโล่งใจหรือ ไม่ใช่หรอก หนักใจจนพูดไม่ออกต่างหาก
พริ้มเพราหย่อนกายลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเดียวในห้อง ห้องนอนของพฤกษ์เป็นห้องนอนที่เรียบง่ายมากๆ เหมือนกับบ้านของเขาก่อนที่เธอจะเข้าไปอยู่
ผ้าปูที่นอนสีเทาเข้ม ผ้าห่มขยุกขยุยอยู่บนเตียง ข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะบ้าง อยู่บนชั้นวางทีวีบ้าง ที่ตัดเล็บอยู่บนหลังตู้เย็นรวมกับใบเสร็จร้านกาแฟ
พริ้มเพราต้องจิกเท้าตัวเอง กำมือแน่น ระงับความรู้สึกอันพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ทว่า…สุดท้ายเธอก็สู้แรงผลักดันในใจของตัวเองไม่ได้
เธอทนไม่ได้แล้วจริงๆ
“นี่เธอกำลังทำอะไร!”
พฤกษ์ออกมาจากห้องน้ำในชุดที่สวมเรียบร้อยเหลือเพียงแค่ผมยังไม่แห้งดี แต่มือที่กำลังถูผ้าเช็ดผมกับศีรษะต้องชะงักเพราะตกใจเมื่อเห็นว่าพริ้มเพราถือถุงขยะอยู่ในมือแล้วกำลังรื้อตู้เย็นของเขา หยิบของยัดใส่ถุงอย่างเมามัน
“เก็บของทิ้งค่ะ”
“ทิ้งอะไร” พฤกษ์บอกตามตรงว่างงเป็นไก่ตาแตก พริ้มเพราเป็นบ้าอะไรถึงได้ลุกมาทำความสะอาดห้องให้เขาในเวลาแบบนี้
“ของในตู้เย็นบางอย่างก็หมดอายุแล้ว พี่หนึ่งต้องทิ้งมันไปบ้างนะคะ อีกอย่างอะไรที่ทานไม่หมดถ้าเก็บไว้เกินหนึ่งวันแล้วไม่ได้กินก็ควรจะทิ้งเหมือนกัน แช่ไว้คาตู้เย็นแบบนี้สกปรกออกค่ะ” พริ้มเพรากล่าวปกติเหมือนว่าเธอไม่ได้ทำอะไรประหลาด
ทั้งที่ความเป็นจริงมันโคตรจะประหลาด
“หยุดเลยนะ” เขาบอกพลางก้าวเข้าไปคว้าถุงขยะออกจากมือเธอแล้วเอาไปวางไว้ริมผนังห้อง
พริ้มเพราชะงัก นี่เธอเพิ่งเก็บเตียงให้เขา เก็บเศษขยะ ทิ้งขยะในตู้เย็นจนเสร็จ ก็เหลือแค่ดูดฝุ่น กวาดห้องแล้วก็ถูพื้น…
…นี่เธอทำอะไรลงไป
“ไปพบแพทย์หน่อยมั้ย อยู่ดีๆ ก็ลุกมาทำความสะอาดห้องคนอื่น โรคจิตหรือเปล่า”
“แค่เก็บกวาดห้องต้องเป็นโรคจิตเลยเหรอคะ” เธอบ่นกระปอดกระแปด เขาต่างหากโรคจิต ชอบอยู่รกๆ
“มันใช่เวลามั้ย” พฤกษ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คงไม่เผลอทิ้งของสำคัญไปใช่มั้ย”
พริ้มเพรานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าช้าๆ พฤกษ์เห็นแล้วเผลอกลอกตาโดยอัตโนมัติ
เชื่อเลยจริงๆ
“ช่างเถอะ” เขาบอกกับเธอเหมือนบอกกับตัวเองมากกว่า “คุยเรื่องของเราดีกว่า”
“ก็ได้ค่ะ แต่เอาขยะไปทิ้งก่อนดีมั้ยคะ”
ยังอีก ยังจะรักสะอาดอีก
พฤกษ์หงุดหงิดในใจ
“ไม่ต้อง ฉันคุยไม่นาน”
พริ้มเพราทำหน้ายุ่ง ขัดใจเล็กน้อย ทว่าก็ยอมโดยดี “ค่ะ มีอะไรก็ว่ามาสิคะ”
“ฉันไม่ต้องการให้เธอมาที่นี่อีก ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้สิคะ” พริ้มเพราตอบกลับทันควัน เธอเงยหน้ามองคนพูดซึ่งสูงกว่า แต่กลับพบสายตาของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลากำลังมองมา ผมที่ชื้นเปียก กลิ่นสบู่อาบน้ำจากกายของเขา…รบกวนสมาธิของเธอจนต้องรีบตั้งสติใหม่อีกครั้ง “เราเป็นสามีภรรยา…”
“ลืมคำนี้ไปได้แล้ว เธอก็รู้ว่าเราสองคนไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงๆ”
“เข้าพิธีแต่งงาน คนรู้เห็นกันทั้งเมือง จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ยังต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกหรือคะถึงจะยืนยันได้ว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ”
พฤกษ์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารู้ว่าพริ้มเพราไม่ได้โง่ และเธอเข้าใจทุกอย่างดี แต่ในเมื่อเธอจะแกล้งโง่ ทำเป็นไม่ยอมรับว่าการแต่งงานของเขากับเธอมันก็แค่เรื่องการเมืองของครอบครัว เขาก็จะพูดให้ชัดๆ ให้เธอได้หายโง่
“ความรักไง ความรักที่คนเป็นผัวเมียต้องมีให้กัน ซึ่งเราไม่มี!”
“ก็แล้วมันยากนักหรือคะ ที่เราสองคนจะ…รักกัน”
พฤกษ์นิ่วหน้ามองพริ้มเพราด้วยสายตาไม่อยากเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากเธอ เหมือนรอบกายมีหมอกหนาบดบัง เหมือนพริ้มเพราคือภาพเลือนราง เป็นคนที่มาจากโลกใบไหนสักใบที่ไม่ใช่โลกใบเดียวกับเขา
“เธอคิดว่าอะไรๆ มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง การรักใครสักคนมันไม่ใช่แค่คิดว่าจะรักแล้วก็รักได้ เธอไม่เคยรักใครจะไปเข้าใจได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่หนึ่งรักใครล่ะคะ พี่หนึ่งถึงรักพริ้มไม่ได้ เพราะพี่หนึ่งมีคนที่ตัวเองรักอยู่แล้วใช่มั้ย” พริ้มเพราโพล่งออกไปอย่างเหลืออด อะไรกันที่ทำให้พฤกษ์มั่นใจหนักหนาว่าเธอรักใครไม่เป็น ว่าเธอเป็นคนไม่มีหัวใจ
เขาต่างหาก เขาต่างหากที่ไม่มีหัวใจ
สิ้นสุดคำถามของเธอ ทุกอย่างยังคงเงียบงัน พริ้มเพรามองพฤกษ์อย่างค้นคว้า นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวด ยิ่งเขาไม่ตอบ…นั่นยิ่งยืนยันคำตอบได้เป็นอย่างดี
“พี่หนึ่งมีคนรักอยู่แล้ว”
“เธอไม่ต้องรู้หรอก”
พฤกษ์ทำหน้าเมื่อย เขาโยนผ้าเช็ดตัวพาดกับโต๊ะแล้วหันไปส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง ราวกับว่าจะตัดบทสนทนากับพริ้มเพราเพียงแค่นั้น
พริ้มเพราซึ่งยังไม่หายจากอาการตกใจจึงได้แต่ยืนมอง แปลกใจอะไรนักหรือ เธอน่าจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าพฤกษ์น่าจะมีคนรักอยู่ก่อน ครั้งแรกที่เขาตกลงเรื่องแต่งงาน เขาถึงถามว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วหรือไม่ แต่เธอไม่เคยถามเขาเลยในคำถามนี้ นั่นเพราะพริ้มเพราเข้าใจไปเองว่าการที่เขาเดินเข้ามาพูดเรื่องแต่งงานได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเองก็ไม่มีใคร
ทว่า…เธอเข้าใจผิดไปทั้งหมดเอง
“เธอกลับได้แล้ว ยังไงเรื่องของเราคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก กลับไปอยู่บ้านปัถมธาดาเลยก็ได้ เพราะว่าหากเธอยังอยู่บ้านฉัน ฉันก็จะไม่กลับไปอีก เธอควรเข้าใจไว้ว่าการแต่งงานของเราก็แค่พิธีหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อคลี่คลายปัญหายืดเยื้อระหว่างยายของเธอกับครอบครัวฉัน อย่าหาสาระอะไรกับมันนักเลย”
พริ้มเพราอยากจะกล่าวหาพฤกษ์ว่าเห็นแก่ตัว แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแรกเริ่มเลย…มันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของเธอและยายก่อน
“ยืนเงียบอยู่ทำไม ฉันมีงานต่อ เตรียมตัวกลับไปได้แล้ว” พฤกษ์คว้าชุดกาวน์มาสวมทับแล้วย้ำกับพริ้มเพรา “ไม่ต้องมาที่นี่อีกรู้มั้ย”
บอกแค่นั้นเขาก็คว้ากระเป๋าเงินแล้วเดินไปเปิดประตู ยืนรอให้พริ้มเพราเดินตามมา
พริ้มเพราได้แต่มองใบหน้าของพฤกษ์ คนที่เธอรู้จักมาตั้งแต่เด็ก เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา สติปัญญาฉลาดหลักแหลม
แต่ใจร้าย…
ร่างเล็กขยับเข้าไปคว้าถุงขยะ แล้วเดินไปหาคนที่เปิดประตูรออยู่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถามเมื่อเห็นว่าพริ้มเพรายังมีอารมณ์อยากจะเป็นคุณนายสะอาด
“ทิ้งขยะไว้ในห้องแบบนี้ไม่ดีนะคะ สกปรกออก”
พฤกษ์กลอกตาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ยอมดึงถุงขยะนั่นมาถือเอง
“ฉันยอมเธอเลยจริงๆ”
พฤกษ์บ่นแล้วเดินนำหน้าไป พริ้มเพรามองตามแผ่นหลังกว้างที่ไหวไปมาตามจังหวะการเดิน
ถ้าความรู้สึกของคนเราหยิบทิ้งง่ายเหมือนทิ้งขยะก็คงดี
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.