X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 20-21

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ยี่สิบ ชื่อของข้า

ฝึกฝนวรยุทธ์บนเตียงไม่สำเร็จ ทำให้ข้าหงอยเหงาเศร้าซึมอย่างมาก แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งความชื่นชอบของข้าที่จะต้องออกไปผึ่งแดดทุกวัน

วันนี้สถานที่ที่ข้าเลือกคือบนชายคากระเบื้องดินเผาสีเขียวแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์กำลังร้อนแรง ผึ่งแดดจนขนทั่วร่างอุ่นสบาย สบายเนื้อสบายตัวยิ่ง

ที่ใต้ชายคามีสาวใช้หลายคนกำลังคุยเล่นกันอยู่ เสียงหัวเราะของพวกนางดังไม่หยุด กระตุ้นความสนใจของข้าขึ้นมา ข้าจึงตั้งหูขึ้นฟังอย่างตั้งใจ

สาวใช้คนที่หนึ่ง “ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านเทพจะมีความชื่นชอบในการเล่นสนุกอย่างโหดร้ายทารุณ ได้ยินว่าวันแรกที่ปีศาจแมวเข้าปรนนิบัติบนเตียง เขาก็ใช้แส้หนังมัดตัวไว้!”

สาวใช้คนที่สอง “ต่อให้เขาชอบใช้วิธีการบางอย่างบนเตียง แต่แมวตัวนั้นสามารถปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ได้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว จะต้องขึ้นเป็นเซียนได้ในก้าวเดียวอย่างแน่นอน!”

สาวใช้คนที่สาม “ท่านเทพไม่ใช่แต่ไรมาก็รักสงบ ไม่ค่อยมีความปรารถนาใดๆ หรือ แต่ก่อนเซียนหงซิ่งเป็นฝ่ายตามรบเร้าเขาอยู่ตั้งหลายปี เขายังไม่เคยหวั่นไหว”

สาวใช้คนที่หนึ่ง “เหอะ พูดถึงเรื่องนี้ไม่แน่ท่านเทพอาจจะชอบแบบดื้อรั้นป่าเถื่อนสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้แมวตัวนั้นก็ได้รับความโปรดปรานอยู่ตัวเดียว ทุกค่ำคืนท่านเทพล้วนไม่อาจแยกจากนาง ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนทำจนเตียงพังลงมา พ่อบ้านเสี่ยวหลินยังต้องเป็นคนไปจัดการ”

สาวใช้คนที่สอง “ถ้าข้าเป็นแมวตัวนั้นก็คงดี…ไม่ต้องมาลำบากบำเพ็ญเพียรนานเพียงนั้นแล้ว”

สาวใช้คนที่หนึ่ง “ร่างเล็กแบบบางอย่างเจ้าจะทนมือทนไม้ท่านเทพได้นานเพียงใด อย่าเพ้อฝันไปเลย!”

สาวใช้คนที่สาม “ความจริงคำถามที่ข้าอยากถามมีเพียงเรื่องเดียว…ท่านเทพคืนหนึ่งทำได้กี่ครั้งกัน…อย่างไรเสียเขาก็เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของแดนสวรรค์!”

สาวใช้คนที่หนึ่ง “ความจริง…ข้าเคยได้ยินเรื่องภายในมาบ้าง…แต่ไม่สะดวกจะพูด!”

สาวใช้คนที่สองและสาวใช้คนที่สาม “เป็นสหายกันก็อย่าปิดๆ บังๆ!”

ประโยคสุดท้ายนั่นพวกนางร้องเสียงดังออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็กลับสู่เสียงกระซิบกระซาบอย่างรวดเร็ว ข้าคิดด้วยความประหลาดใจอยู่เป็นนาน รู้สึกว่าคำว่า ‘สหาย’ ในประโยคนั้นดูเหมือนจะสำคัญมาก แต่เพราะอะไรเป็นสหายกันก็อย่าปิดๆ บังๆ สหายคืออะไร

ข้าไม่เข้าใจ

ฟังต่ออีกพักใหญ่ ข้ารู้สึกไม่มีอะไรสนุก อ้าปากหาว ขณะคิดจะนอนต่อก็มีเสียงหวาวาร้องเรียกมาแต่ไกล “ท่านเหมียวเหมียว! ท่านอยู่ที่ใด ท่านเหมียวเหมียว!”

ครั้งก่อนนางมาจับข้าไปอาบน้ำ ก่อนหน้าครั้งก่อนนางก็มาจับข้าไปอ่านหนังสือ ก่อนหน้าก่อนหน้าโน้น…ไม่ว่าอย่างไรนางมาตามหาข้าไม่มีทางมีเรื่องดี ดังนั้นข้าจึงรีบขดร่างตนเองไว้ หลับตาไม่สนใจนาง

คิดไม่ถึงว่านางถึงกับยืมบันไดมาอันหนึ่ง ปีนขึ้นมามองข้า พูดอย่างเหนื่อยหอบ “ท่าน…ท่านเหมียวเหมียว…ในที่สุดหวาวาก็หาท่านพบแล้ว ท่านเทพเรียกท่านไปที่ห้องหนังสือ มีธุระจะคุยกับท่าน”

ข้าสะบัดหางอย่างไม่สบอารมณ์ คิดไม่ถึงว่าไม่ทันระวังปลายหางกวาดไปโดนบันไดเข้า หวาวากรีดร้องเสียงแหลมออกมาคำหนึ่ง ทั้งคนทั้งบันไดร่วงตกลงไป สาวใช้สามคนที่นั่งคุยกันอยู่ข้างล่างมองข้าอย่างปากอ้าตาค้าง จากนั้นก็หมอบลงกับพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้าน ปากก็ร้องขึ้น “ท่านเหมียวเหมียวได้โปรดอภัย”

“หวาวา!” ข้าไม่ได้สนใจพวกนาง รีบเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์กระโดดลงไป วิ่งไปดูหวาวาที่หน้าเขียวจมูกบวมแล้วก็เดินหมุนเป็นวงกลมอยู่รอบตัวนาง “ข้าไม่ได้เจตนา…”

“ไม่…ไม่เป็นไร…ถูกท่านเหมียวเหมียวตีถือเป็นเกียรติของหวาวา…” หวาวาพูดไปน้ำตาร่วงไป นางหน้าผากแตก โลหิตไหลไม่หยุด

ต่อให้ข้าความรู้สึกเชื่องช้าเพียงใดก็รู้ว่าปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ รีบอุ้มนางขึ้นมา จะพาไปหาท่านเทพปี้ชิง

ระหว่างทางหวาวาสังเกตเห็นทิศทางที่ข้ากำลังมุ่งไปก็รีบคว้าตัวข้าร้องขึ้น “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่อาจไปหาท่านเทพ เขาจะโกรธ! ท่าน…ท่านพาข้าไปหาพ่อบ้านเสี่ยวหลินก็พอ…”

ภายใต้คำชี้แนะของนาง ข้าก็วิ่งไปยังห้องโถงใหญ่ที่เสี่ยวหลินอยู่อย่างเชื่อฟัง

เสี่ยวหลินมองหวาวาที่ได้รับบาดเจ็บ บนใบหน้ายังคงไม่มีท่าทีใดๆ เพียงสั่งสาวใช้ที่ช่วยงานอยู่ข้างๆ ด้วยความเคยชินจนเป็นนิสัย “เจ้าพานางไปที่ห้องยา เอายาทาให้สักหน่อยก็หมดเรื่องแล้ว นางหนูผู้นี้ทำอะไรซุ่มซ่ามอยู่เสมอ”

“ข้าจะไปด้วย!” ข้ารีบยกมือ

เสี่ยวหลินกับหวาวากลับห้ามปรามพร้อมกัน

เสี่ยวหลินพูด “ท่านเทพกำลังตามหาเจ้าอยู่ เจ้าไปพบท่านเทพก่อนเถิด เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเราแก้ไขกันเองได้”

สีหน้าท่าทางของพวกเขาสองคนเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่ง แต่ข้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไป กระทั่งเสี่ยวหลินพูดขู่ขวัญว่าถ้าขืนยังไม่ไปพบเทพปี้ชิงก็จะต้องถูกกักขังอีก ข้าจึงเดินไปก้าวหนึ่งเหลียวหลังสามครั้งออกจากห้องโถงไป

ระหว่างทาง ข้านึกถึงน้ำตาของหวาวา…พลันพบว่าตนเองลืมพูดอะไรบางอย่างไป จึงย้อนกลับไปใหม่ แต่เมื่อถึงปากประตูกลับได้ยินหวาวาร้องไห้บอกกับเสี่ยวหลิน “ท่านพ่อบ้านได้โปรดช่วยเหลือ หวาวาอยากเปลี่ยนหน้าที่”

เสี่ยวหลินถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเปลี่ยนให้หรือ แต่เวลานี้ใครก็ไม่อยากไป หวาวา เจ้าไม่ใช่มุมานะเพียรพยายามมาโดยตลอดเพราะอยากจะเป็นหัวหน้าสาวใช้หรือ เพียรพยายามต่อไปเถิด ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนสักวัน”

เสียงร้องไห้ของหวาวายิ่งดังขึ้น “ข้ากลัวว่าข้ายังไม่ทันได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ก็จะไม่มีชีวิตก่อนแล้ว…ท่านเหมียวเหมียวมีพละกำลังมาก ทุกครั้งที่นางเล่นเกลือกกลิ้งกับข้า ข้าเป็นต้องเกลือกกลิ้งจนเขียวช้ำไปทั้งตัว”

“อดทนสักหน่อยเถิด อีกสักพักข้าจะลองหาคนไปเปลี่ยนกับเจ้า ตอนนั้นใครให้เจ้าจับสลากแพ้เล่า” เสียงของเสี่ยวหลินดูอับจนปัญญา

ข้าได้ยินเสียงหวาวายิ่งร้องไห้โศกเศร้าเสียใจหนัก จึงรีบเดินเข้าไป พวกเขาสองคนเห็นข้าย้อนกลับมาก็ปากอ้าตาค้าง หน้าเสียพูดอะไรไม่ออก

ข้าประคองใบหน้าที่ร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่ถูกฝนชะ ข้าจุมพิตไปที่หยาดน้ำตาของนางเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “หวาวา อย่าร้องไห้…”

ข้าเข้าใจว่าคำพูดประโยคนี้สามารถปลอบประโลมความเจ็บปวด ขับไล่ความเศร้าโศกเสียใจทั้งหมดได้

ทว่าแววตาของหวาวาที่มองข้ากลับสั่นไหว หวาดกลัวยิ่ง…ข้ารู้สึกเหมือนมีตรงที่ใดสักแห่งที่ไม่ได้เป็นเช่นที่ข้าคิด แต่ข้าก็พูดไม่ถูกว่าความแตกต่างนี้อยู่ตรงที่ใด

ความรู้สึกเช่นนี้…ข้าไม่ชอบเลย…

ความรู้สึกสับสนว้าวุ่นพวยพุ่งขึ้นมาในใจ ทำอย่างไรก็ไม่อาจผ่อนคลายลงได้ ข้าเห็นเสี่ยวหลินกับหวาวาดูไม่ปรารถนาให้ข้าอยู่ที่นี่…จึงได้แต่ไปที่ห้องหนังสือของเทพปี้ชิงตามลำพัง

เทพปี้ชิงกำลังถือพู่กันด้ามใหญ่เที่ยวขีดเที่ยววาดไปบนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง เขาเห็นข้าเข้ามาก็กระแอมเบาๆ สองคำ เอาพู่กันยัดใส่มือข้า “ข้าจะสอนเจ้าเขียนชื่อตนเอง”

ข้ามองกระดาษเซวียนจื่อ สีขาวบนโต๊ะ บนกระดาษมีเครื่องหมายน้อยใหญ่ แต่รูปร่างลักษณะเหมือนกันเขียนอยู่เต็มหน้ากระดาษ จึงถามด้วยความอยากรู้ “นี่คืออะไร”

“นี่คืออักษรคำว่าเหมียว” เทพปี้ชิงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นชื่อของเจ้า”

ข้าไม่อยากคัดอักษรจึงวางพู่กันลงคลอเคลียเข้าไปในอ้อมอกเขา อ้อมอกของเขาเย็นมาก แต่ข้าก็ยังพอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เพียงพอที่จะขับไล่ความรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อครู่ก่อนออกไป ข้าอยากจะซุกตัวอยู่เช่นนี้

“เป็นอะไรไป อย่าแอบเกียจคร้าน รีบคัดอักษร” เทพปี้ชิงเขกศีรษะข้าเบาๆ

ปกติแค่เขาให้ข้าเขียนอักษรคำว่า ‘หนึ่ง’ สักตัวยังยากเย็นแสนเข็ญ แต่วันนี้ข้ากลับจับพู่กันอย่างว่าง่าย วาดสัญลักษณ์ที่เขาเพิ่งเขียนเมื่อครู่อย่างจริงจัง

“พู่กันไม่ใช่จับเช่นนี้” เทพปี้ชิงยื่นมือมา มือของเขาใหญ่มาก สามารถกุมมือข้าอยู่ในอุ้งมือได้ทั้งหมด เขากุมไว้จนแน่น จากนั้นก็จับมือข้าไว้ นำพู่กันไปจุ่มหมึกจนชุ่ม แล้วค่อยๆ วาดลงบนกระดาษช้าๆ

“เหมียวเหมียว เหมียวเหมียว เหมียวเหมียว…นี่คือชื่อของเจ้า” เขาบอก

“เหมียวเหมียว เหมียวเหมียว เหมียวเหมียว…นี่คือชื่อของข้า” ข้าจดจำ

ม่านราตรีค่อยๆ แผ่คลุมลงมา ข้าอยู่ในอ้อมแขนของเขาเขียนไปเช่นนี้ไม่หยุด เขียนไม่หยุด…

กระทั่งขับไล่ความไม่สบายใจทั้งหมดออกไป

บทที่ยี่สิบเอ็ด ความอ้างว้างของแมว

ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ภายใต้ความเพียรพยายามอย่างหนัก ข้าก็สามารถเขียนตัวอักษรคำว่า ‘เหมียว’ ได้ค่อนข้างสวยงามแล้ว

เทพปี้ชิงถามข้าว่าคืนนี้ยังจะนอนที่นี่เหมือนคืนก่อนๆ อีกหรือไม่ ข้าเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนแดนสวรรค์ที่กลมและกระจ่างสุกใสกว่าในแดนมนุษย์แล้วสั่นศีรษะ จากนั้นก็สะบัดหางกระโดดออกนอกประตูไปอย่างสง่างาม

ข้าหาได้กลับไปที่ห้องของตน หากแต่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่สูงที่สุดในวังเสวียนชิง นั่งอยู่บนยอดไม้แกว่งเท้าทั้งสองไปมา มองพระราชวังในดวงจันทร์ที่พอจะมองเห็นได้ตะคุ่มๆ อย่างเหม่อลอย

น้ำค้างยามราตรีลงหนักและหนาวเย็น ทำให้เส้นผมยาวเปียกชื้น ในสมองของข้ากลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นแม้แต่น้อย

ดวงตาที่หวาดกลัวของหวาวาปรากฏขึ้นมาตรงหน้าตลอดเวลา ผ่านไปเป็นนาน ในที่สุดสัญชาตญาณของแมวก็ทำให้ข้าตระหนักรู้…ความรู้สึกเช่นนี้เรียกว่าชิงชัง ต่อให้ใช้คำพูดที่นอบน้อมกว่านี้ อากัปกิริยาที่นุ่มนวลยิ่งกว่านี้…ก็ไม่อาจปิดบังความจริงที่ว่านางชิงชังข้าไปได้

แววตาของทุกคนในวังของเทพปี้ชิงล้วนเป็นเช่นเดียวกับหวาวา พวกเขายิ้มให้ข้า เอาใจข้า แต่ไม่มีใครเลยที่ชอบข้า ไม่มีใครต้อนรับข้า…

เพราะเหตุใดทุกคนจึงไม่ชอบเหมียวเหมียว

คำถามนี้ทำให้ข้าเอียงคอครุ่นคิดไปมา ทว่าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ…

ข้าไม่ได้ข่มเหงรังแกใครแล้ว และไม่ได้เที่ยวทะเลาะวิวาทไปทั่ว…นับแต่ครั้งนั้นที่ทำลายข้าวของข้าก็ไม่ได้ก่อเรื่องก่อราวอีก…

เพราะเหตุใดทุกคนจึงยังคงไม่ชอบข้า

ใช่เพราะเหมียวเหมียวไม่เชื่อฟัง ไม่ว่านอนสอนง่ายหรือไม่

แสงจันทร์ละมุนละไม สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า หิ่งห้อยเริงระบำระยิบระยับไปทั่วบริเวณ ประดับประดาสีสันยามราตรีในแดนสวรรค์ให้ยิ่งงามตระการตา และทำให้ข้ายิ่งดูอ้างว้างเงียบเหงา…

ในที่สุดข้าก็เริ่มคิดถึงวันเวลาที่ภูเขาลั่วอิง ช่วงเวลาที่ทะเลาะโต้เถียงกันกับอิ๋นจื่อทุกวัน ตอนนั้นเจ้าเสือจะเดินตามหลังข้าไปโน่นมานี่อยู่เสมอ หมีดำมักเอาปลาสดมาให้ข้า กระต่ายขาวพอถูกรังแกก็จะหนีมาหลบอยู่ข้างหลังข้า พี่ชายจอมมารวัวกระทิงก็จะพาพี่สะใภ้หลัวช่ามาเยี่ยมข้าด้วยกัน เอาของเล่นต่างๆ มาให้ รอยยิ้มของพวกเขาล้วนเบิกบานและจริงใจ

แม้ไม่มีอาหารชั้นเลิศรสดี และไม่มีเตียงนอนที่อ่อนนุ่ม แต่ทุกวันก็มีความสุขสนุกสนานยิ่ง

มาบัดนี้พวกเขาต่างไม่อยู่แล้ว

หลังจากภูเขาลั่วอิงถูกแผ่นดินไหวเพราะปีศาจที่ชื่อภัยพิบัติผู้นี้ทำลาย พวกเขาต่างก็ไม่อยู่

ทิ้งเหมียวเหมียวให้อยู่บนแดนสวรรค์ตามลำพัง ได้แต่เหม่อมองดวงจันทร์โดยไม่รู้ว่าควรทำอะไร…

ข้าเริ่มเข้าใจ เพราะเหตุใดตนเองเห็นซากปรักหักพังที่ภูเขาลั่วอิงแล้วในใจจึงรู้สึกเศร้าหมอง เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนจึงชอบคลอเคล้าคลอเคลียเทพปี้ชิง…

เพราะเขาชอบข้า เป็นคนเดียวในที่แห่งนี้ที่ชอบข้าอย่างจริงใจ เป็นคนเดียวที่รักเอ็นดูข้า…ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ข้าไม่พร้อมใจจะไปจากเขา

แต่ข้ายังคงไม่มีความสุข…

ต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้ทุกคนชอบข้า คำถามนี้ลึกซึ้งเกินไปแล้ว ทำให้แมวเช่นข้าขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ครุ่นคิดไปมาในที่สุดก็ส่งผลให้ข้าปวดหัวมาก จึงล้มเลิกไม่คิดต่อไปอีก เพียงมองดวงจันทร์อย่างใจลอยต่อไป…

หูกระดิกไปมาท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ข้าได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ดังมาจากที่ไกลออกไป จนทนไม่ไหวต้องกระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่วิ่งไปหาที่มาของเสียง

นั่นเป็นทะเลสาบเหลียนเยวี่ยของวังเสวียนชิง ในทะเลสาบมีศาลารับลมที่ทำจากไม้ไผ่ เชื่อมต่อกับฝั่งด้วยสะพานไม้ไผ่คดเคี้ยว และเสียงร้องไห้ก็ดังมาจากที่นั่น…

ข้าเขย่งปลายเท้าเข้าไปใกล้ศาลารับลมเงียบๆ แล้วก็เห็นจิ่นเหวินอยู่ข้างใน นางร้องไห้จนหน้าตาดูไม่ได้ ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามของนางเปรอะเปื้อนหยาดน้ำตาจนเลอะเทอะไปหมด ทรงผมที่ประณีตงดงามถูกลมพัดยุ่ง เสื้อผ้าที่สวยงามก็ถูกดึงมาเช็ดน้ำตา…บุคลิกลักษณะที่เคยมีอันตรธานไปจนหมดสิ้น เอาแต่ร้องไห้ราวกับเด็ก

ข้ายืนอยู่ด้านข้างมองหยาดน้ำตาของนางไหลลงสู่ทะเลสาบ ในใจยิ่งไม่เข้าใจ

ปลาไม่ใช่ไม่มีน้ำตาหรอกหรือ ที่แท้แล้วนางกำลังร้องไห้อะไร

ครั้นแล้วข้าก็เดินเข้าไปอย่างว่องไว ตบๆ บ่าของนาง ใช้คำพูดปลอบใจที่พูดเป็นอยู่เพียงประโยคเดียวของข้าพูดกับนาง “จิ่นเหวิน อย่าร้องไห้…”

จิ่นเหวินสะอึกสะอื้นพลางหันกลับมา พอเห็นว่าเป็นข้าก็ตกใจ ร่างอ่อนปวกเปียกลงไปกับพื้นอีกครั้ง เอาแต่ก้มหน้าวิงวอนขอความเมตตา “บ่าวจิ่นเหวินไม่มีเจตนาจะล่วงเกินท่านเหมียวเหมียว ได้โปรดให้อภัยด้วย”

ข้ายื่นมือไป เชยคางนางขึ้นมา มองดวงตาที่ร้องไห้จนแดงก่ำคู่นั้นอย่างจริงจัง ในนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสะอิดสะเอียน เหมือนกับดวงตาของหวาวาไม่ผิดเพี้ยน…

ชั่วขณะนั้นข้าก็เอาข้อสงสัยที่ฉงนสนเท่ห์มานานถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เจ้า…ไม่ชอบเหมียวเหมียวใช่หรือไม่”

“ไม่! ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน!” จิ่นเหวินสั่นศีรษะไม่หยุด

“เช่นนั้นเพราะเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ

แววตาของจิ่นเหวินยิ่งสั่นไหว นางลังเลอยู่นานก็ยังพูดไม่ออก

ข้าเห็นแล้วพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่ชอบข้า”

“ข้า…”

ข้าดึงแขนนาง พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ชอบข้า บอกคำตอบข้ามา!”

คุกคามเข้าไปทีละก้าว ในที่สุดจิ่นเหวินก็ควบคุมตนเองไม่อยู่ นางร้องไห้พลางสะบัดฝ่ามือใส่หน้าข้า และด่าเสียงดัง “ใครจะชอบปีศาจที่หยาบคายเช่นเจ้า! เจ้าอยากกินข้าก็กินเลยสิ! ไม่ต้องมาพูดจาเลวทรามเช่นนี้ ข้าจะไม่ทนต่อการกดขี่รังแกอีกต่อไปแล้ว!”

แมวกินปลาไม่ใช่เรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดินหรอกหรือ ข้ายกมือขึ้นต้านรับการโจมตีของนาง คงออกแรงมากไปหน่อยถึงกับทำให้นางล้มลงไปกับพื้น

ขณะจะเข้าไปประคองนางขึ้นมา จิ่นเหวินกลับด่าต่อ “ข้าเกลียดเจ้า! เจ้ามันไม่มีสมอง! ไม่ว่าจะทำจะพูดอะไรก็ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น! จะมีคนชอบเจ้าได้อย่างไร!”

“แต่…เทพปี้ชิงชอบข้า…” ข้าหน้าม่อยคอตกเอามือบิดชายเสื้อ พยายามยกฐานที่มั่นสุดท้ายของตนออกมา

“ดังนั้นข้าจึงยิ่งชังน้ำหน้าเจ้า! ข้าศึกษามายาสตรีอยู่ในวังมังกรมาตั้งแต่เล็กก็เพื่อให้ได้รับความชมชอบจากเทพเซียนชั้นสูง! ต้องใช้ความเพียรพยายามมากเพียงใดไปเรียนรู้การดีดพิณ เล่นหมากล้อม คัดอักษร วาดภาพต่างๆ เหล่านั้น แล้วเหตุใดเจ้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลยกลับได้รับความชมชอบจากเขา เพราะเหตุใดเจ้าจึงยังวางท่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นมาบอกข้าว่าเขาชอบเจ้าได้อีก!” หลังจากจิ่นเหวินแผดเสียงคำรามออกมาจนจบก็เช็ดน้ำตาแล้วด่าต่อ “เจ้าชนะแล้วก็ไปหัวเราะตามลำพังเสีย ไม่ต้องมาที่นี่เพื่อเย้ยหยันข้า ข้าทนมาพอแล้ว ทนมาพอแล้ว!”

ข้าไม่เข้าใจความหมายของจิ่นเหวิน เพียงรู้ว่าเสียงของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความโกรธแค้นนี้ทำให้ข้าไม่สบายใจ ข้าได้แต่พูดกับนางซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด “จิ่นเหวิน…อย่าร้องไห้…อย่าร้องไห้…”

“ความหวังสุดท้ายของข้าไม่มี…ไม่มีแล้ว…” เสียงด่าของจิ่นเหวินแผ่วเบาลง นางนั่งอยู่กับพื้นสะอึกสะอื้น ปากก็พูดในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ “เสี่ยวเสียน พี่สาวไร้ความสามารถ…ไร้ความสามารถ…”

“เสี่ยวเสียนคือใคร” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ

จิ่นเหวินกลับกระโดดขึ้นมาทันที พูดกับข้าด้วยท่าทางราวกับไก่ชน “ขอบอกกับเจ้า อย่าได้คิดจะทำอะไรนางเด็ดขาด จะกินก็กินข้านี่! แล้วแต่เจ้าจะกินเลย และต่อไปก็อย่าได้หวังจะสั่งให้ข้าทำสิ่งใด!”

พูดจบนางก็หมุนตัววิ่งจากไป ข้าไม่ได้ไล่ตาม เพียงมองเงาร่างนางหายลับไปจากสายตา…

ในสมองสับสนยุ่งเหยิงราวกับก้อนแป้งเปียก ทำอย่างไรก็ไม่อาจจัดให้เป็นระเบียบได้ คำพูดของจิ่นเหวินหลายต่อหลายคำล้วนเข้าใจยาก แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าเข้าใจ นั่นก็คือสัญชาตญาณของข้าไม่ผิด พวกนางล้วนชิงชังข้ามาก

หลังจากเข้าใจในจุดนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มตำ เจ็บจนไม่รู้ควรพูดอย่างไร…

ความอ้างว้างถาโถมเข้ามาทั่วร่าง ทำให้ข้าเบื่อหน่ายสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาทันที เบื่อหน่ายวังเสวียนชิงขึ้นมา

ข้าจึงถือโอกาสในยามค่ำคืนจากไปเงียบๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: