X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 26-28

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ยี่สิบหก น่าเสียใจและลำบากใจแมวขโมยลูกกลอนเซียน

ขโมยของเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ สรุปรวบยอดอย่างย่อๆ ได้สามคำคือ แม่นยำ เบา เร็ว นั่นก็คือหาเป้าหมายต้องแม่นยำ ยามลงมือต้องเบา เมื่อถูกพบเห็นต้องหนีให้เร็ว

ข้าคลุกคลีอยู่บนเส้นทางของการลักขโมยมานานปี เข้าใจถึงความสำคัญของสามคำนี้ดี เคยขโมยของในหอสุรา ร้านไก่ย่าง และแผงขายปลาสดทุกแห่งในเมืองที่อยู่ละแวกใกล้เคียงภูเขาลั่วอิง ได้ข้าวของมามากมายก่ายกอง ยังไม่เคยถูกจับได้ แล้ววันนี้จะมาเสียท่าด้วยน้ำมือของเซียนน้อยผู้นี้ได้อย่างไร

ข้ารีบเปลี่ยนทิศทางขึ้นไปบนหลังคา แล้วตวัดอุ้งเท้าถีบก้อนหินลงมาจากด้านบนก้อนหนึ่งเป็นการส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ในลาน ให้กิ่งไม้ที่มีใบดกหนาบดบังร่างของตน มองเซียนเด็กผู้นั้นวิ่งไล่ไปตามทิศทางที่ก้อนหินร่วง ในใจอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้

ในที่สุดก็เห็นรอบด้านเงียบสงบลง ข้ากระโดดลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว เดินอาดๆ ไปที่กำแพง ขุดรูแล้วมุดออกไป คิดไม่ถึงว่ากลับเห็นรองเท้าคู่หนึ่ง

พื้นรองเท้าขาวหน้ารองเท้าดำ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับมีกลิ่นอายจางๆ ที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย…

เป็นกลิ่นยา ข้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วก็เห็นโม่หลินหมอที่น่ากลัวผู้นั้นกำลังมองข้า…และกล่องในปากข้า…ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

หวนนึกถึงเหตุการณ์น่าเวทนาและสังเวชใจต่างๆ ที่ประสบมา ขนทั่วร่างของข้าพลันพองขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว พร้อมกันนั้นก็ตวัดกรงเล็บออกไปใส่เขาอย่างรุนแรง คิดจะฝ่าทะลวงแล้วหนีไป โม่หลินหมุนตัวหลบการโจมตีที่เพียงพอจะทลายหินให้แตกได้ จากนั้นก็ถามอย่างไม่รีบร้อน “แมวเหมียว เจ้าขโมยอะไรหรือ”

“ไม่…ไม่มีอะไร…” ข้าที่ไม่เชี่ยวชาญการโกหกได้ยินแล้วก็ตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าพออ้าปากกล่องก็ร่วงลงไป ข้ารีบใช้อุ้งเท้าคว้ามาไว้ที่ใต้ท้องพลางใช้ขนบังไว้ มองโม่หลินด้วยแววตาบริสุทธิ์ใสซื่ออย่างที่สุด หวังว่าเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย

“ให้ข้าลองทายดู” โม่หลินนั่งยองๆ ลงมามองข้า มองจนข้ามีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากศีรษะไม่หยุด พยายามสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฉับพลันนั้นแส้อ่อนเส้นหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาที่โม่หลิน ข้าเห็นเงาร่างสีแดงพุ่งกระโจนออกมา เป็นจิ่นเหวิน แส้ยาวในมือนางตวัดเข้าใส่โม่หลินอย่างคล่องแคล่วติดต่อกันถี่ยิบไม่ขาดสายประดุจเม็ดฝน จากนั้นก็ร้องบอกข้าเสียงดัง “รีบหนี! เอาของไปส่งให้วั่งโยว”

โม่หลินทางหนึ่งก็หลบหลีกอย่างงุ่มง่าม ทางหนึ่งก็ร้องตะโกน “สาวงาม อย่าดุร้ายเช่นนี้! ข้าแค่ผ่านมาชมเรื่องสนุกเท่านั้น!”

ข้ารีบยกเท้าวิ่งออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลก็เห็นขุนพลผู้หนึ่ง ในมือเขาถือเจดีย์นำกองกำลังทหารสวรรค์มาโอบล้อมไว้ ประกายวาววับของดาบและกระบี่ส่องสะท้อนจนตาลาย ข้ารีบกลายร่างเป็นคน ส่งเสียงคำรามต่ำเป็นการขู่ขวัญ ในมือมีกรงเล็บทะลวงฟ้าปรากฏขึ้นเตรียมจะฝ่าวงล้อม

“สัตว์ชั่วร้าย! จะหนีไปที่ใด!” ขุนพลขว้างเจดีย์ในมือขึ้นไปกลางอากาศทันที ตัวเจดีย์พลันขยายใหญ่ และเปล่งแสงโชติช่วงออกมาแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ ข้ารู้สึกหวาดกลัว พยายามจะหนีกลับไปที่วังของเทพปี้ชิงอย่างสุดชีวิต คิดไม่ถึงว่าแสงโชติช่วงกับเจดีย์กลับตามติดมาดุจเงา พริบตาเดียวก็ดูดตัวข้าเข้าไปขังอยู่ในเจดีย์

“เมี้ยว…เมี้ยว” ข้าใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยเจดีย์คิดจะทะลวงออกไป ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะมีเปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งออกมาจากตัวเจดีย์ทันที ควันไฟคละคลุ้งรมข้าจนตาเกือบบอด ความหวาดกลัวถึงกระดูกผุดขึ้น ข้ายิ่งร้องยิ่งเศร้าสลด นิ้วมือตะกุยจนโลหิตไหลซึม

ในที่ไกลออกไปมีตาแก่ผมขาวดุจขนนกกระสาหน้าแดงดุจทารก พาเด็กชายที่โบกพัดอยู่ข้างเตาหลอมยาผู้นั้นขี่เมฆมา เหาะมาจนถึงข้างกายขุนพล จากนั้นก็รีบลงจากก้อนเมฆมาประสานมือคารวะบอก “รบกวนหลี่เทียนหวัง แล้ว”

“นี่เป็นหน้าที่ของผู้แซ่หลี่” คนสารเลวที่ชื่อหลี่เทียนหวังผู้นั้นรีบประสานมือคารวะตอบ เขาลูบเคราด้วยความกระหยิ่มใจ ยิ้มเบิกบานใจยิ่ง

แต่ข้าต้องมาอยู่กลางเปลวไฟร้อนแรง เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ คล้ายว่าแม้แต่ดวงวิญญาณก็จะถูกเผามอดไหม้ ขณะดิ้นรน ไม่รู้เพราะเหตุใดใบหน้าของเทพปี้ชิงจึงปรากฏขึ้นมาตรงหน้า…

ไม่รู้ว่า…ถ้าเหมียวเหมียวตายอยู่ที่นี่ เขาจะเสียใจหรือไม่

“หลี่เทียนหวัง ขอท่านได้โปรดเมตตา!” เสียงแหลมสูงของสตรีดังขึ้นเรียกสติของข้ากลับมา เงาร่างสีแดงของจิ่นเหวินวิ่งห้อมาถึง นางคุกเข่าลงตรงหน้าตาแก่และขุนพล โขกศีรษะไม่หยุดแล้วบอก “เรื่องนี้บ่าวเป็นคนวางแผนเพียงคนเดียว สมควรตายหมื่นครั้ง ส่วนเหมียวเหมียวเพียงถูกหลอกให้ลงมือ ขอเทียนหวังและไท่ซั่งเหล่าจวินได้โปรดเมตตาเปิดทางออกให้สักทาง”

“ความผิดของผู้ขโมยลูกกลอนเซียนไม่อาจให้อภัย” เสียงของหลี่เทียนหวังไม่มีความอบอุ่นใด เขาหันไปทางกองกำลังทหารที่อยู่ด้านข้าง โบกมือแล้วบอก “คุมตัวหญิงผู้นี้ไว้ มัดแล้วนำตัวไปลงโทษที่แท่นประหารปีศาจ”

“หลี่เทียนหวังได้โปรดละเว้นเหมียวเหมียวด้วยเถิด!” จิ่นเหวินถูกทหารสวรรค์คุมตัวลากไปทางด้านข้าง นางร้องไห้จนน้ำตานองหน้า ดูอัปลักษณ์ไม่ชวนมองยิ่ง “เป็นเพราะข้าใจร้อนจึงหลอกนางให้ลงมือ ละเว้นนางด้วยเถิด”

ข้ามองใบหน้าที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นของจิ่นเหวิน ในใจรู้สึกเศร้าใจมาก…จึงตะโกนปลอบนาง “จิ่นเหวิน อย่าร้องไห้!”

จิ่นเหวินถูกมัดโดยเอาเชือกคล้องคอแขนสองข้างถูกมัดไพล่หลัง เส้นผมรุ่ยร่ายยุ่งเหยิง นางเงยหน้าขึ้นพูดกับข้าด้วยความเสียใจ “เหมียวเหมียว…ขออภัย…”

ที่แท้นางก็รู้จักคาถานี้ ที่แท้นางก็ชอบข้า ท่ามกลางเปลวไฟร้อนแรง ข้าพลันหัวเราะออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งกับพื้น รอห้วงเวลาที่ร่างจะถูกเผาไหม้ซึ่งกำลังจะมาถึงอย่างด้านชา

ท่ามกลางความเลอะเลือน ข้าคล้ายได้ยินเสียงเทพปี้ชิงดังขึ้น เขาร้องเรียกด้วยเสียงดังยิ่ง…และร้อนรนใจยิ่ง…

ข้าทุ่มเทเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย เกาะลูกกรงหน้าต่างด้านข้างของเจดีย์มองออกไปข้างนอก เป็นเขามาแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นเขาในสภาพย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน ไม่ได้สวมหมวกเหล็กเสื้อเกราะ ไม่ได้สวมรองเท้าหุ้มแข้ง ไม่ได้สวมเสื้อคลุม กระทั่งเส้นผมก็ไม่ได้มัดรวบ…ข้างหลังยังมีโม่หลินตามมาอีกคน

“หลี่เทียนหวัง โปรดเก็บเจดีย์กลับคืนโดยเร็ว!” เทพปี้ชิงลงจากกิเลน แผดคำรามเสียงดังทันที “ปีศาจแมวที่อยู่ในนั้นเป็นลูกศิษย์ของข้า! ได้โปรดปล่อยตัวออกมาก่อนค่อยพูดจากัน!”

“ไม่ว่าเทพหรือปีศาจตนใด หากลักลอบขโมยลูกกลอนเซียนล้วนต้องตายสถานเดียว” หลี่เทียนหวังไม่หวั่นไหว ยังคงยืนกรานความคิดของตน

จิ่นเหวินก็ดิ้นรนร้องตะโกนขึ้นมาอีก “ผู้ที่ลักลอบขโมยลูกกลอนเซียนคือข้า ไม่เกี่ยวกับเหมียวเหมียว! ขอร้องท่าน จะประหารก็ประหารข้าเถิด!”

“ดับไฟเก็บเจดีย์!” เทพปี้ชิงร้องสั่ง เพลิงโทสะของเขาเริ่มพุ่งสูง กลิ่นอายจิตสังหารแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายทำให้ก้อนเมฆทุกก้อนสั่นสะเทือน

“ไม่ได้!” หลี่เทียนหวังยืนกรานหนักแน่น เขาพลันยิ้มหยันเอ่ยว่า “หรือเจ้าคิดจะใช้กำลัง ก็ดี จะได้ดูว่าพวกเราสองคนใครแข็งแกร่งกว่าใคร!”

“โถ่ พวกท่านสองคนอย่าเพิ่งตีกันเลย” โม่หลินก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ย “มีอะไรไม่อาจพูดคุยกันดีๆ หลี่เทียนหวัง เจ้าดับไฟก่อน ให้พวกเราได้ซักถามปีศาจแมวน้อยที่อยู่ข้างในตัวนั้น ถ้านางขโมยลูกกลอนเซียนจริงค่อยลงโทษก็ยังไม่สาย”

หลี่เทียนหวังมองเทพปี้ชิงที่ท่าทางพร้อมจะชักดาบเข้าห้ำหั่นตรงหน้า ในที่สุดก็แค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่งแล้วดับเพลิงกสิณ ในเจดีย์ลง

ทั่วร่างข้าเย็นลง ความรู้สึกร้อนแผดเผาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ข้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาทันที แต่เมื่อนึกถึงลูกกลอนเซียนในอ้อมแขนก็ตึงเครียดขึ้นมาอีก

เทพปี้ชิงเดินเข้ามาใกล้เจดีย์ ถามเสียงเฉียบขาด “เจ้าขโมยลูกกลอนเซียนหรือ”

ข้าพยักหน้ายอมรับ ลู่ใบหูลงไม่กล้ามองเขา

“เพราะเหตุใดจึงทำเรื่องเช่นนี้” เสียงของเขาดูโกรธเคืองยิ่ง แต่ในความโกรธเคืองกลับมีความเสียใจเจืออยู่

ข้าสารภาพไปตามความจริง “น้องสาวของจิ่นเหวินได้รับบาดเจ็บ…ต้องการลูกกลอนเซียนไปช่วยชีวิต ข้าขอจากท่าน ท่านไม่ให้…”

เทพปี้ชิงฟังคำตอบจบก็เดือดดาลจนแทบหายใจไม่ออก ชี้หน้าข้าด่าว่า “ตัวโง่งม! เจ้ารู้หรือไม่ทำเช่นนี้อาจเอาชีวิตมาทิ้ง!”

ข้าพยักหน้าอีกครั้ง

“รู้แล้วยังจะทำ?!”

ข้ามองใบหน้าที่โกรธและเสียใจของเขา ในใจมีความเสียใจผุดขึ้นมาเป็นระลอกริ้ว อดเอ่ยเบาๆ ไม่ได้ “อาจารย์…ขออภัย…ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว”

“ยังจะมีครั้งต่อไป!”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องโกรธ” โม่หลินกลับยิ้มเดินเข้ามาตบๆ บ่าเทพปี้ชิง จากนั้นก็แบมือมาที่ข้า “เอาลูกกลอนเซียนที่เจ้าขโมยมอบออกมา”

ข้าลูบๆ กล่องเหล็กในอ้อมแขน “แต่…ต้องเอาให้น้องสาวของจิ่นเหวิน”

“แมวโง่! ยังไม่รีบมอบออกมาทำความดีลบล้างความผิด!” เทพปี้ชิงตวาดด้วยความเดือดดาล สั่นสะเทือนจนแก้วหูข้าด้านชา จำต้องยื่นกล่องเหล็กออกไปผ่านทางหน้าต่างเจดีย์อย่างไม่อาจตัดใจ

โม่หลินรับกล่องเหล็กมาเปิดออกดู มุมปากของเขาหยักยกขึ้นช้าๆ สุดท้ายก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างไม่คำนึงถึงหน้าตาใดๆ

“นี่มันลูกกลอนเซียนอะไรกัน เห็นอยู่ว่าเป็นเนื้อวัวแห้ง”

ทุกคนในที่นั้นกลายเป็นก้อนหินท่ามกลางสายลมไปทันที…

บทที่ยี่สิบเจ็ด มองท้องทะเลเขียวหยกกว้างไกล ท้องฟ้าสีครามเข้ม โดดเดี่ยวอ้างว้างทุกค่ำคืน

ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงลมหายใจที่ยังดังอยู่

ใบหน้าของหลี่เทียนหวังดูงงงัน เขารีบสาวเท้าเร็วๆ เข้ามา คว้ากล่องเหล็กในมือโม่หลินไปตรวจดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน

“เมี้ยว” ข้ารู้สึกว่าท่าทีของทุกคนดูแปลกประหลาดเกินไป จึงส่งเสียงร้องเบาๆ อยู่ในเจดีย์

ในที่สุดมุมปากของเทพปี้ชิงก็หยักยกขึ้นเป็นเส้นโค้งบางๆ เขาหันมาพูดกับข้า “เจ้าแน่ใจหรือว่าที่เจ้าขโมยมาก็คือของสิ่งนี้”

ข้าพยักหน้าอย่างจริงจัง “สีแดง หอมมาก ไม่ผิด”

“เรื่องเป็นมาเช่นไรกันแน่” ไท่ซั่งเหล่าจวินรีบเดินขึ้นมาจากด้านหลัง ก้มหน้าลงพิจารณาดูเนื้อวัวแห้งในกล่องร่วมกับพวกหลี่เทียนหวัง น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะดูสักกี่ครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนสักกี่หน เนื้อวัวก็ยังคงเป็นเนื้อวัว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“ข้าคิดว่ากฎของแดนสวรรค์ไม่มีข้อใดบอกว่าขโมยของกินต้องถูกประหารกระมัง” เทพปี้ชิงหัวเราะทำลายความเงียบงันของพวกเขา “ทว่าตามที่ได้ยินมา ไท่ซั่งเหล่าจวินแต่ไรมาไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ไม่ทราบว่าเนื้อวัวนี่มาจากที่ใดหรือ”

“นี่…นี่…” ไท่ซั่งเหล่าจวินใบหน้าแดงฉาน คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหมุนตัวไป แผดเสียงคำรามดุจสายฟ้าฟาด “เปาจื่อ! เจ้ามานี่!”

เซียนน้อยที่ชื่อเปาจื่อผู้นั้นก้มหน้าเดินตัวสั่นงันงกเข้ามาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เป็นของข้าเอง”

ไท่ซั่งเหล่าจวินคว้ากล่องเหล็กขว้างใส่ตัวเขา ดึงหูแล้วด่าว่า “ลูกกลอนเซียนถูกขโมยอะไรกัน ที่แท้เจ้าถูกขโมยเนื้อวัวแห้ง!”

“ไว้ชีวิตด้วยขอรับ!” เปาจื่อรีบคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นแล้วร้องขึ้น “ข้าเห็นนางท่าทางลับๆ ล่อๆ พอเห็นข้าก็วิ่งหนีทันที ปากก็คาบของไว้ ข้าวของรอบด้านก็ถูกรื้อค้น ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจว่าลูกกลอนเซียนถูกขโมยไป”

“ในเมื่อความจริงปรากฏออกมาแล้ว ปีศาจตนนี้ขโมยของกินก็นับว่าไม่สมควร เมื่อกลับไปแล้วข้าจะอบรมสั่งสอนนางอย่างหนัก” เทพปี้ชิงเห็นพวกเขาสองคนสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ไม่โยกโย้ “ตอนนี้หลี่เทียนหวังได้โปรดเปิดเจดีย์ปล่อยนางออกมาด้วย”

หลี่เทียนหวังเก็บเจดีย์ด้วยสีหน้าเหยเก ข้าที่เพิ่งรอดตายมาได้ ในที่สุดหัวใจเต้นถี่ระรัวก็สงบลง ขาทั้งสองพลันอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ร่างเปลี่ยนกลับเป็นแมว เพลิงกสิณได้โจมตีดวงจิตในร่าง ร่างแมวถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

เทพปี้ชิงยอบตัวลงมาอุ้มข้า ลูบผิวหนังที่ไหม้เกรียม ด่าทอด้วยความแค้นใจและสงสาร “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้แม้เจ้าจะโง่งมก็ยังโง่งมได้ถูกที่แล้ว”

“เหมียวเหมียวไม่โง่…” ข้าโต้แย้งเบาๆ อย่างไม่ยินยอม กลับทำให้โม่หลินที่อยู่ด้านข้างยิ่งหัวเราะดังขึ้น

หลังจากไท่ซั่งเหล่าจวินกล่าวขอโทษเทพปี้ชิงแล้วก็ดึงหูเปาจื่อเดินกลับไป ยังบอกจะลงโทษเขา ส่วนเปาจื่อก็ส่งเสียงร้องโอดโอยไปตลอดทาง ทำให้ข้ารู้สึกเห็นใจอย่างยิ่ง

หลี่เทียนหวังก็ประสานมือกล่าวลาพวกเราด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน ทหารที่มัดตัวจิ่นเหวินอยู่ทางด้านหลังรีบเข้ามาถามเขา “ปีศาจตนนี้จะลงโทษเช่นไรขอรับ”

“ขโมยของกินมีความผิดพอจะขึ้นแท่นประหารหรือ” หลี่เทียนหวังถลึงตาใส่พวกเขาพลางตวาดขึ้น “ปล่อยตัว! นางอยากไสหัวไปที่ใดก็ไป!”

จิ่นเหวินได้รับการปล่อยตัว นางโซซัดโซเซยืนขึ้นมาแล้วพุ่งมาที่ข้า ถามไม่หยุดปาก “เหมียวเหมียว เจ้าไม่เป็นไรกระมัง เพราะเหตุใดลูกกลอนเซียนจึงกลายเป็นเนื้อวัวไปได้”

ข้าที่ขโมยลูกกลอนเซียนมาไม่ได้ลู่ใบหูลงบอก “ดูเหมือนข้าจะขโมยมาผิด”

จิ่นเหวินปากอ้าตาค้าง ผ่านไปพักใหญ่นางจึงเอ่ยปากขึ้น “ยังดีที่เจ้าโง่งมมากพอ”

เทพปี้ชิงไม่ได้ให้ข้ากับนางพูดจากันมากนัก เขาอุ้มข้าก้าวขึ้นหลังกิเลนแล้วจากไป ทิ้งจิ่นเหวินอยู่ที่นั่น กลับเป็นโม่หลินที่เห็นใจนางให้นางขึ้นหลังกวางเซียนของตน แล้วพามาส่งที่วังเสวียนชิง

หลังจากกลับมา เขาก็เอายาหลายขนานที่กลิ่นไม่ชวนดมและผ้าพันแผลมาพันร่างข้าไว้จนมิต่างจากศพแมวพันผ้า มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างไปจากครั้งก่อนคือครั้งนี้มีผ้าผูกเป็นปมรูปผีเสื้อใหญ่ๆ สองอัน คอกับหางที่ละอัน…

ข้าเข้าใจว่าเรื่องราวจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ คิดไม่ถึงว่าเทพปี้ชิงกลับจับตัวข้ากับจิ่นเหวินไปที่ห้องโถงใหญ่ บอกว่าการกระทำของข้าในครั้งนี้ก่อเหตุร้ายแรงมาก ต้องลงโทษสถานหนัก

ลงโทษอะไร

เทพปี้ชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ที่ทำจากไม้จันทน์หอมแกะลายรูปผานเถา อยู่กลางห้องโถง จิ่นเหวินคุกเข่าเนื้อตัวสั่นอยู่ข้างๆ ข้าก็นั่งอยู่บนพรมขนแกะหนาๆ บนพื้น มองเขาอย่างทึ่มทื่อ คาดเดาไปว่าใช่จะถูกหวดก้นอีกหรือไม่

“จะยังไม่พูดถึงเรื่องขโมยลูกกลอนเซียนมีโทษถึงตาย เจ้ารู้ถึงความน่าอับอายขายหน้าของการลักขโมยหรือไม่!” เทพปี้ชิงตวาดถามข้า

ข้าสั่นศีรษะ แสดงท่าทีไม่รู้

เทพปี้ชิงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถามต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ หากไม่ใช่สิ่งของของเจ้าก็ไม่ควรหยิบเอามาตามใจชอบ”

“แต่…” ข้าพยายามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เพราะอะไรจึงหยิบไม่ได้…”

เทพปี้ชิงถอนหายใจถามขึ้น “เหมียวเหมียว เจ้าชอบอะไรมากที่สุด”

“ปลา!” ข้าตอบเสียงดัง คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้ายังชอบอาจารย์ ชอบอิ๋นจื่อ หวาวา พี่ชาย เสือ เสี่ยวหลิน!”

เทพปี้ชิงผ่อนคลายสีหน้าลง เขายืนขึ้นมา เดินมาที่ข้าและถาม “ถ้าใครขโมยปลาที่เจ้าชอบไป เจ้าจะเสียใจหรือไม่”

“เสียใจ! ข้าจะต้องกัดเขาให้ตาย!” ข้าตอบโดยไม่ต้องคิด

“เจ้าเอาของที่คนอื่นชอบไป คนอื่นก็ต้องกัดเจ้าให้ตายเช่นกัน” เทพปี้ชิงค่อยๆ โน้มน้าวไปตามลำดับอย่างมีขั้นตอน

ข้าพลันตระหนักรู้ขึ้นมาในทันที ที่แท้ไท่ซั่งเหล่าจวินกับหลี่เทียนหวังต่างชอบกินลูกกลอนเซียนมากที่สุด ดังนั้นเมื่อถูกข้าขโมยไปเขาจึงโกรธแทบเผาข้าให้ตาย

รู้ว่าผิดแล้วแก้ไขจึงเป็นแมวที่ดี ข้ารีบเดินเข้าไปเอาศีรษะถูไถข้อเท้าเทพปี้ชิงแล้วทบทวนตนเอง “อาจารย์อย่าโกรธ คราวหน้าเหมียวเหมียวไม่ขโมยแล้ว”

“ขโมยของเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เข้าใจหรือไม่” เทพปี้ชิงอุ้มข้าขึ้นมา ลูบขนบนศีรษะที่ยังไม่ถูกเผาเกรียม

“เข้าใจแล้ว!” ข้ารีบพยักหน้า

เทพปี้ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดปากขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะลงโทษเจ้า ให้ไปอยู่ในถ้ำหันหน้าเข้าหาผนัง ทบทวนความผิดของตนเป็นเวลาเจ็ดวัน ไม่ให้ข้าวกิน”

“ถูกขังอีกแล้วหรือ!” ข้าที่กำลังประจบประแจง หลังจากได้ฟังผลลัพธ์เช่นนี้ หน้าแมวก็บูดบึ้งไปทั้งหน้า

เทพปี้ชิงไม่ใส่ใจเสียงโอดครวญของข้า เขาหันไปกล่าวกับจิ่นเหวินอย่างเย็นชา “เจ้าคงไม่ใช่ไม่รู้กฎของแดนสวรรค์กระมัง”

“บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ” จิ่นเหวินก้มหน้ายอมรับผิด “สุดแท้แต่ท่านเทพจะลงโทษ”

“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา” เทพปี้ชิงหมุนตัว ส่งเสียงออกไปทางด้านนอก “ลากตัวนางออกไปที่นอกลาน โบยหนึ่งร้อยไม้!”

ข้าพลันอิจฉาโทษที่จิ่นเหวินได้รับขึ้นมา…เปรียบกับถูกขังไม่มีข้าวกินแล้ว ถูกโบยยังดีเสียกว่า…

เสียดายขณะที่ข้าพูดฉอดๆ ไม่หยุดขอเปลี่ยนวิธีการลงโทษ กระทั่งเทพปี้ชิงบันดาลโทสะ…เขาคว้าคอข้าก่อนจับโยนเข้าไปในถ้ำด้านหลังภูเขาด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด ดึงประตูเหล็กปิดลงมา จากนั้นก็หันไปประสานมือให้โม่หลิน “รบกวนแล้ว”

“เฮ้อ แมวเหมียวที่น่าสงสาร” โม่หลินทอดถอนใจ สองมือประกบกันทำนิ้วมือเป็นรูปต่างๆ แล้วปล่อยเส้นลวงตาสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา แผ่คลุมถ้ำทั้งถ้ำไว้ดุจตาข่าย

หลังจากเส้นลวงตาพันโอบในถ้ำไว้หลายรอบก็ค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาในตัวข้า คล้ายดึงเรี่ยวแรงทั้งหมดไป ทำให้ข้าร่างอ่อนระทวยลงกับพื้น ไม่สามารถตะกุยทำลายลูกกรง ไม่มีพละกำลังให้มุดออกจากถ้ำได้อีก

ลูกกรงเหล็ก กักขังสัตว์ ไม่มีข้าวกิน…ข้าฟุบอยู่กับพื้นอย่างสิ้นหวัง เอาอุ้งเท้ากุมศีรษะกลิ้งไปมากับพื้นประจบออดอ้อน

เทพปี้ชิงกลับใจแข็งหมุนตัวเดินจากไป เพียงทิ้งคำพูดบอกให้ข้าทบทวนการกระทำของตนให้ดี…

ข้ากัดลูกกรงเหล็กด้วยความคับแค้นรันทดใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ กลับได้แต่ดื่มน้ำ ดื่มเท่าไรก็ไม่อิ่ม…บนร่างกายก็มีบาดแผล เจ็บปวดทรมานราวกับถูกไฟเผา

ดวงดาวดารดาษระยิบระยับเต็มท้องฟ้า สาดแสงมาที่เนื้อตัวและขนของข้า กลิ่นหอมของดอกกุ้ยที่อยู่ไกลออกไปโชยมาเข้าจมูก ทำให้ข้าแทบอยากจะกระโจนเข้าไปเอาเปลือกต้นไม้มากัดสักหลายคำ…หิวยิ่งนัก…หิวยิ่งนัก…

หิวจนข้าแทบจะเป็นบ้า…

ฉับพลันนั้นเอง…ข้าก็ได้กลิ่นหอมบางเบาของเนื้อปลาขุมหนึ่งโชยมาจากที่ไกล หูพลันตั้งขึ้น ข้าพุ่งกระโจนไปที่ปากถ้ำร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“เมี้ยว เมี้ยว ข้าจะกินอาหาร! กินอาหาร!”

บทที่ยี่สิบแปด การลงโทษที่โหดร้ายทารุณมาถึง

 คืนเดือนมืด ลมพัดกระโชกแรงเป็นค่ำคืนที่เหมาะแก่การสังหารคน มีเงาร่างสายหนึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ข้าด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ในมือคล้ายถือห่อของเล็กๆ มาด้วยห่อหนึ่ง กลิ่นหอมโชยออกมาจากห่อของห่อนั้น

“เมี้ยว…” ข้ายื่นอุ้งเท้าออกไปนอกกรงขัง โบกให้คนที่อยู่ตรงหน้าไม่หยุด “หวาวา! ข้าจะกินปลา! กินปลา!”

“ชู่…เบาหน่อย เจ้าอยากตายหรือ!” หวาวาเช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก เหลียวมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวังก่อนเปิดห่อของในมือออกทันที เผยให้เห็นซาลาเปาลูกใหญ่สี่ลูก “ไม่มีปลาหรอก ข้าแอบหยิบซาลาเปาที่ห้องครัวทำให้ท่านเทพแล้วเหลืออยู่มาไม่กี่ลูก เจ้าถูไถกินไปเถิด อย่าเลือกโน่นนี่อยู่เลย!”

ข้ารีบคว้าซาลาเปาสี่ลูกมาวางตรงหน้าตนเอง กัดเข้าไปคำโต ไส้ที่อยู่ข้างในถึงกับเป็นเนื้อปลาสีขาวยองใย อดร้องขึ้นด้วยความดีใจไม่ได้ “อร่อยยิ่งนัก!”

“เหตุใดจึงเป็นซาลาเปาไส้ปลาไปได้เล่า ข้ายังเข้าใจว่าเป็นไส้ผักเสียอีก” หวาวายื่นมือมาคิดจะหยิบไปดูลูกหนึ่งด้วยความอยากรู้ ข้าที่ยังมีซาลาเปาอยู่เต็มปากพูดอะไรไม่ทัน รีบคำรามเสียงต่ำฮื่อๆ ขู่ให้นางออกห่าง ในเวลาเช่นนี้ใครก็ห้ามมาแตะต้องอาหารของข้า!

หลังจากจัดการซาลาเปาทั้งหมดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เศษๆ ก็กินจนเกลี้ยง ข้าจึงเลียริมฝีปากด้วยความพอใจและกล่าวขอบคุณหวาวา “หวาวา เจ้าช่างดียิ่งนัก ข้าเกือบจะหิวตายอยู่แล้ว”

“ไม่ต้องขอบคุณข้า…จะขอบคุณก็ขอบคุณพ่อบ้านเสี่ยวหลินเถิด!” หวาวาโบกไม้โบกมืออย่างขวยเขิน “เขาเป็นคนบอกข้าว่ามีทางเล็กสายหนึ่งสามารถลักลอบมาถึงที่นี่ได้ หาไม่แล้วต่อให้ข้าอยากเอาอาหารมาให้เจ้า ก็ไม่รู้จะเอามาส่งอย่างไร”

“พวกเจ้าล้วนเป็นคนดี!” ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง กล่าวเสริมอีกคำ “จิ่นเหวินเป็นเช่นไรบ้าง”

หลังจากหวาวาเก็บห่อของเสร็จก็พูดกับข้าด้วยความเบิกบานใจ “ครั้งนี้จิ่นเหวินถูกโบยหนัก นอนอยู่บนเตียงลุกไม่ไหว ทว่าท่านเทพประทานลูกกลอนเซียนให้นางรักษาอาการบาดเจ็บเม็ดหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทุกวันนางจึงกอดผ้าห่ม แสยะปากด้วยความเจ็บปวดไปพลางหัวเราะหึๆ อย่างโง่งมไปพลาง ยังบอกให้ข้าช่วยขอบคุณเจ้าด้วย”

ถ้ารู้แต่แรกว่าท่านเทพจะมอบลูกกลอนเซียนให้…ข้าจะต้องไปขโมยอะไร…

ขณะหงุดหงิดอยู่นั้น หวาวาก็ลุกขึ้นมากล่าวลาข้า นางบอกให้ข้ารักษาบาดแผลอยู่ในห้องขังอย่างว่าง่าย ยังบอกท่านเทพโปรดปรานข้ามาก ดังนั้นต้องเชื่อฟังคำพูดของเขา

หวาวาจากไปนานแล้ว ในใจข้ายังคงครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ ในที่สุดก็รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ต้องพูดผิดแน่นอน ถ้าเขาโปรดปรานข้า เขาก็ควรจะเชื่อฟังข้าจึงจะถูก

อีกทั้งไม่นานข้ายังพบว่าเขาหาได้โปรดปรานข้าแม้แต่น้อย…หาไม่แล้วเขาคงไม่ช่วยโม่หลินจอมมารร้ายผู้นั้นรังแกแมว!

นั่นเป็นวันที่สามที่ข้าต้องเข้ามาอยู่ในห้องขัง…ขณะที่ทุกค่ำคืนหวาวาจะเอาซาลาเปาไส้ปลาหรือโจ๊กเนื้อปลามาให้ข้า เทพปี้ชิงกลับส่งโม่หลินคนน่ากลัวผู้นั้นมาให้ข้า…

พูดถึงประสบการณ์เลือดและน้ำตาที่เกิดขึ้นขณะอยู่กับโม่หลิน เรียกได้ว่ามีนับไม่ถ้วน ข้าไม่เคยไปขโมยของกินที่บ้านของเขา และไม่เคยไปทุบข้าวของบ้านเขาแตกเสียหาย ตามเหตุผลแล้วไม่ควรมีความอาฆาตแค้นใดๆ ต่อกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขากลับมีความอาฆาตแค้นต่อข้ามากมายเพียงนั้น ทุกครั้งที่เจอเขา ข้าไม่ถูกปักด้วยเข็มก็ต้องถูกพันห่อร่างเอาไว้ ไม่ก็ถูกกรอกยาขม ในใจของข้าเขาถูกจัดอยู่ในอันดับเหนือกว่าสุนัข เป็นศัตรูที่น่าชิงชังหมายเลขหนึ่งไปนานแล้ว

ข้าลุกขึ้นมาอย่างระแวดระวัง เข้าไปซุกตัวอยู่ตรงซอกมุม เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวจับตามองการเคลื่อนไหวของเขา ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปจะต้องเจอกับเคราะห์กรรมเช่นใด

เทพปี้ชิงกลับเดินเข้ามาคว้าตัวข้าอุ้มขึ้นมา บอกเสียงนุ่มนวล “บาดแผลของเจ้ายังไม่หาย มาให้ท่านหมอดูหน่อย”

“เมี้ยว…ไม่เอา ไม่เอา! เขาเป็นคนเลว!” ข้าที่ถูกควบคุมพลังอาคมไว้พยายามดิ้นรนสุดชีวิต แต่กลับไม่อาจดิ้นหลุดจากอ้อมแขนทรงพลังของเทพปี้ชิงได้ ถูกกดให้ล้มนอนลงตรงหน้าโม่หลิน

“ไม่ต้องกลัวๆ ข้าไม่ใช่คนเลว” บนใบหน้าโม่หลินมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่ ดูไม่สอดคล้องกับคำพูดของเขาโดยสิ้นเชิง เขาหยิบกรรไกรเงินออกมาตัดผ้าพันแผลบนตัวข้าออก จากนั้นก็พลิกดูบาดแผลอย่างละเอียด เขาย่นหัวคิ้ว ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง “ยุ่งยากเล็กน้อย”

“มีอะไรยุ่งยากหรือ” เทพปี้ชิงเอ่ยถาม

โม่หลินลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วบอก “ขนของนางถูกเผาเกรียมไปหลายจุดมาก ไม่ส่งผลดีต่อบาดแผล ทางที่ดีต้องโกนทิ้งให้หมด”

โกนขน?

คำพูดนี้ต้องเป็นมารร้ายผู้โหดเหี้ยมที่สุดในนรกจึงจะพูดออกมาได้ เปรียบประดุจอสนีบาตของเทพบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะข้า ทำให้ข้ามองเขาอย่างตะลึงลานอยู่เป็นนานสองนานก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา

แต่ไรมาข้าก็มีความภาคภูมิใจในขนอันสวยงามของตนมาโดยตลอด โม่หลินคนสารเลวผู้นี้ถึงกับบอกจะโกนขนของข้าทิ้งอย่างไร้ยางอาย เขาจะต้องริษยาข้าที่ตัวเขาไม่มีขนแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะข่มเหงข้า!

ความสับสนว้าวุ่นและความโกรธแค้นที่ไม่เคยมีมาก่อนไหลบ่าไปทั่วร่าง ทำให้ข้าไม่คำนึงถึงสิ่งใดสะบัดตัวหลุดจากเทพปี้ชิง จากนั้นก็กัดไปที่มือของโม่หลินเต็มแรง กัดจนเขาร้องโอดโอยออกมา คว้าตัวข้าสะบัดไปมากลางอากาศไม่หยุด

ข้ากัดแน่นไม่ยอมปล่อย ปล่อยให้ตนเองถูกสะบัดไปสะบัดมาราวกับชิงช้า

มือของโม่หลินถูกข้ากัดจนเป็นแผลแล้ว โลหิตสดค่อยๆ ซึมออกมา เทพปี้ชิงรีบเข้ามาจับตัวข้า ออกแรงง้างปากข้าจึงจะช่วยเขาออกมาได้พลางกล่าวกับเขาด้วยความไม่สบายใจ “ขออภัย”

ขออภัย? เขาบอกกับคนเลวผู้นี้ว่าขออภัยหรือ ข้ามองเทพปี้ชิงอย่างปากอ้าตาค้าง ในใจเริ่มรู้สึกว่างเปล่าวังเวง ที่แท้พวกเขาเป็นสหายกัน เป็นพวกเดียวกัน…เสียแรงที่ผ่านมาข้าเข้าใจว่าเขาเป็นคนดี…คิดไม่ถึงว่าจะคลุกคลีกับคนประเภทนี้!

“แผลเล็กน้อยไม่เป็นไร ดีที่เวลานี้นางถูกปิดผนึกพลังปีศาจไว้” โม่หลินยิ้มๆ เขาหยิบยาขี้ผึ้งจากห่อสัมภาระเล็กๆ ที่พกติดตัวออกมาทามือ พริบตาเดียวโลหิตที่บาดแผลก็หยุดไหลและเชื่อมสมานติดกันอย่างรวดเร็ว

เทพปี้ชิงมองข้าที่ดิ้นรนร้องครวญครางอยู่ในมือ ถามอย่างลังเล “มีวิธีรักษาทางอื่นหรือไม่ เหมียวเหมียวดูเหมือนจะต่อต้านขัดขืนการโกนขนมาก”

“ไม่มี” โม่หลินตอบอย่างเฉียบขาด “จำเป็นต้องโกน”

โดยไม่รอให้ข้าทันได้แสดงความไม่พอใจอะไรอีก เทพปี้ชิงก็ใช้มือต่างดาบลงมืออย่างหมดจดรวดเร็ว ข้าก็หมดสติไปแล้ว…

 

ตอนฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว โม่หลินกลับไป เหลือเพียงเทพปี้ชิงที่มองข้าด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นเข้าไปถึงกระดูกขึ้นมา

ค่อยๆ เหลียวมองไปรอบด้านด้วยตัวที่แข็งทื่อ มีขนแมวอยู่เต็มพื้น…ดูเหมือนจะเป็นขนของข้า…

เมื่อหันกลับมามองตนเอง พบว่าทั่วร่างเหี้ยนเตียน มีผ้าพันแผลพันอยู่หลายรอบ…มีเพียงศีรษะ อุ้งเท้าทั้งสี่ และปลายหางแหลมที่เหลือขนอยู่เล็กน้อย พอลมพัดมาก็ปลิวกระเพื่อมไปตามลม ดูเศร้าวังเวงประหนึ่งใบไม้ใบสุดท้ายบนต้นไม้ใหญ่ที่ร่วงหล่นจากต้นในฤดูใบไม้ร่วง…

ไม่มีขน…ข้าไม่มีขนแล้ว…มีแต่เนื้อตัวเหี้ยนเตียนให้คนเห็น…

“เมี้ยว!” ข้าร้องครางออกมาด้วยความอัปยศอดสู รีบเข้าไปหลบยังตำแหน่งที่มืดมิดที่สุดในถ้ำ ขดร่างไว้ไม่ปรารถนาให้ใครพบเห็น เพียงยื่นศีรษะออกมาร้องด้วยความเจ็บแค้นโศกเศร้าเสียใจ “ชดใช้ขนข้ามา!”

เทพปี้ชิงพยายามปลอบใจข้า “แมวไม่มีขนไม่เป็นไร วันหน้ายังงอกออกมาใหม่ได้”

“พูดจาเหลวไหล!” ข้ากรีดร้องเสียงแหลม ใบหน้าเริ่มร้อนผะผ่าว “ช่วงนี้ข้าจะออกไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร!”

“อืม…” เทพปี้ชิงถามคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “ปกติเจ้าไม่สวมเสื้อผ้าก็ยังกล้าพบเจอผู้คน เหตุใดโกนขนกลับอายถึงเพียงนี้”

“เหลวไหล!” ข้าโต้กลับโดยไม่ต้องคิด “ขนสำคัญกว่าเสื้อผ้ามากนัก! ยอมไม่สวมเสื้อผ้าแต่ไม่อาจไม่มีขน!”

สีหน้าของเทพปี้ชิงแปรเปลี่ยนไปหลายครั้ง เขาเดินเข้ามากล่าวอย่างดุดัน “ถ้ากล้าไม่สวมเสื้อผ้าตอนอยู่ข้างนอก ข้าก็จะหวดก้นเจ้า!”

“เมี้ยว…ข้าสวม…” อยู่ต่อหน้าอำนาจป่าเถื่อน ข้ารีบขดตัวเข้าไปในเงามืด หลับตาลงด้วยความเศร้าอาดูร ไม่กล้าโต้เถียงกับเขาอีก

เพราะเขาไม่มีวันเข้าใจถึงความเจ็บปวดและความอับอายที่อยู่ในใจของแมวที่ถูกโกนขนจนเกลี้ยงเกลาตัวหนึ่ง…

ข้าถูกผู้อื่นมองเห็นเนื้อตัวไปทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว!

ความแค้นที่ถูกโกนขน…ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้

ในช่วงเวลาที่ถูกขังอยู่ในถ้ำ ทุกวันนอกจากกินข้าวนอนหลับแล้ว ข้าก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดจะชำระความแค้นในครั้งนี้อย่างไรดี จะจับโม่หลินสารเลวผู้นั้นมาถลกหนังดึงเส้นเอ็น ทำลายกระดูกให้เป็นเถ้าถ่านอย่างไร! จะต้องซัดเขาให้คุกเข่ากับพื้นเรียกข้าว่าท่านย่าแมว! ส่วนที่ว่าจะสั่งสอนเทพปี้ชิงอย่างไร…เนื่องจากข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นจึงยังไม่ได้ครุ่นคิดออกมา…

คิดไปคิดมา ไม่นานวันออกจากที่คุมขังก็มาถึง เทพปี้ชิงมารับข้าด้วยตนเอง เขาให้ห้องครัวทำเนื้อปลามาเต็มโต๊ะ บอกจะปลอบโยนจิตใจที่เจ็บปวดอาดูรเพราะไม่มีขนของข้า ครั้นแล้วข้าที่ไม่ได้กินอาหารมื้อใหญ่มาหลายวันก็ให้อภัยเขาอย่างรวดเร็วสำหรับการกระทำที่ไร้ยางอาย ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ

ทว่าก่อนที่ขนจะงอกออกมา ข้าไม่กล้าใช้ร่างแมวมาพบเจอผู้คน จำต้องกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วอาศัยเสื้อผ้าปิดบังหางที่เหลือขนเพียงส่วนปลายเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกหัวเราะเยาะ

ทว่าการกระทำเช่นนี้พอตกกลางคืนตอนไปปีนเตียงเทพปี้ชิง…กลับถูกเขาต่อต้านและปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ร่างที่เทพปี้ชิงชอบคือร่างแมวขนปุกปุยของข้า เขาไม่ชอบข้าที่กลายร่างเป็นมนุษย์ ที่ผ่านมาตอนข้าใช้ร่างแมวปีนขึ้นไปซุกตัวนอนอยู่ที่มุมหนึ่งของเตียง เขาไม่เคยคัดค้าน แต่เวลานี้ข้าใช้ร่างมนุษย์ไปปีนเตียง อาการตอบสนองของเขากลับรุนแรงขึ้นมาแล้ว…

เห็นเพียงเทพปี้ชิงเลิกผ้าห่มขึ้น คว้าตัวข้าขึ้นมาบอกอย่างดุดัน “ถ้าเจ้าไม่มีธุระอื่นใด ก็อย่ามาปีนเตียงบุรุษกลางดึกในสภาพเช่นนี้!”

“แต่…ข้าปีนเตียงของอาจารย์นี่!” ข้าที่ถูกขัดจังหวะการนอนเบิกตากว้าง เห็นว่าเขาโกรธอย่างไม่มีเหตุผล

“อาจารย์ก็เป็นบุรุษ!” เทพปี้ชิงไม่รู้กำลังชี้แจงอะไร สีหน้าท่าทางของเขาค่อนข้างดุร้าย

“เพราะเหตุใดจึงไม่อาจปีนเตียงบุรุษ” ข้ายังคงไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่อยู่ภายใน

“เพราะ…เพราะ…” ใบหน้าของเทพปี้ชิงประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีดขาว หลังจากเขาลังเลและครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ดึงหูข้าแล้วพูดอย่างเน้นย้ำทีละคำด้วยแววตาเข้มงวด “เพราะเจ้าจะถูกบุรุษจับกินเสีย!”

“จับ…จับกิน?” ข้าหวาดกลัวขึ้นมา “ถูกจับกินทั้งตัวหรือ”

เทพปี้ชิงพยักหน้า มองข้าไม่พูดอะไร

“ท่านก็จะจับข้ากินหรือ” ข้าเงยหน้าขึ้นถามเขาอย่างระแวดระวัง เข้าใจว่าเขาคงแตกต่างจากบุรุษเลวทรามทั่วไป

คิดไม่ถึงว่าเทพปี้ชิงยังคงพยักหน้า จากนั้นก็บอก “เจ้าอย่าทดสอบความอดทนของข้ามากเกินไป”

พริบตานั้น เนื้อแมวน้ำแดง เนื้อแมวนึ่งน้ำใส เนื้อแมวกระทะร้อน เนื้อแมวทอดน้ำมัน…พลันผุดขึ้นมาเวียนวนอยู่ในสมองของข้า ข้ารีบกระโดดลงจากเตียง ขดหาง วิ่งไม่เหลียวหลังออกประตูไปทันที…เพียงกลัวว่าจู่ๆ เขาจะอดรนทนไม่ไหวจับข้าโยนลงไปในกระทะกิน…

วิ่งไปในใจก็หวาดหวั่น บุรุษเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเกินไปแล้ว! แม้แต่แมวเหมียวที่น่ารักเช่นนี้ก็ยังจะกิน!

ไม่อาจไปหาบุรุษได้อีกแล้ว!

 

(ติดตามฉบับเต็มได้ในรูปเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: