บทที่สาม ไล่สุนัขชั่วร้ายไปด้วยความกล้าหาญ
ฉันฉวยโอกาสตอนที่เขานอนหลับ หาไปทั่วห้องรอบหนึ่ง ยังคงไม่พบอาหาร ผู้หญิงได้ยินเสียงโครมครามก็พุ่งเข้าประตูมา หล่อนประคองผู้ชายที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วร้องเสียงแหลม “ท่านเป็นอะไรไป รีบตื่นขึ้นมาสิ! มีโจรบุกเข้ามาหรือ รีบตื่นขึ้นมา!”
ฉันเห็นสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก จึงไม่กล้าหาต่อไปอีก รีบฉวยโอกาสที่กำลังวุ่นวายกระโดดออกจากหน้าต่างไป
เดินไปได้ไม่ไกลก็มีหมาป่าสีดำตัวใหญ่เข้ามาขวางหน้า เขาพูดภาษามนุษย์บอกกับฉัน “ปีศาจร้ายที่ทำร้ายมนุษย์ ดูซิข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
นี่มันเรื่องอะไรกัน…ใครคือปีศาจร้าย
ฉันตกใจจนงงงันไปหมดแล้ว
สุนัขนับเป็นตัวอะไร!
ประมาณครึ่งปีก่อน ฉันตวัดกรงเล็บใส่ตาสุนัขปักกิ่งที่มาเป็นแขกที่บ้านจนเกือบตาบอด ตั้งแต่นั้นพอสุนัขตัวนั้นเห็นฉันก็จะเข้าไปมุดอยู่ใต้เตียงไม่กล้าออกมา!
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้ ถึงกับกล้าด่าฉันว่าเป็นปีศาจร้าย คงเบื่อหน่ายชีวิตเต็มประดาแล้วกระมัง
ฉันโมโหแล้ว! ฉันโกรธแล้วนะ!
เมื่อแมวโกรธ ผลที่ตามมาย่อมหนักหนายิ่ง!
“เมี้ยว…” พร้อมเสียงร้องที่ดังขึ้น ฉันก็กระโจนเข้าไปอย่างดุดัน กรงเล็บที่แหลมคมตะปบไปที่ใบหน้าของสุนัข ตั้งใจจะควักลูกตาเขาออกมา
สุนัขสีดำตัวใหญ่คาดไม่ถึงว่าฉันจะลงมืออย่างฉับพลัน รีบหลบไปที่ด้านข้าง รอดพ้นการจู่โจมอย่างรุนแรงไปได้ แต่กรงเล็บยังคงกรีดผ่านผิวหนังที่หัวไหล่ของเขา เลือดสดๆ ไหลซึมออกมา กระแสลมอันหนักหน่วงทรงพลังถาโถมเข้าใส่กำแพงบ้านที่อยู่ด้านหลังพังทลายกลายเป็นเศษซากทั้งหมด
อิฐหินแตกกระจายเต็มพื้น มีคนหลายคนวิ่งออกมาจากในบ้าน มองลานบ้านที่เต็มไปด้วยเศษอิฐเกลื่อนกลาดด้วยดวงตาเบิกค้าง
ฉันรู้ ครั้งนี้ทำข้าวของเสียหายต้องโดนด่าอีกแน่ จึงรีบสาวเท้าวิ่งหนี
“ปีศาจร้ายอย่าได้คิดหนี!” สุนัขตัวนั้นร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง แล้วไล่ตามฉันมาติดๆ ไม่ยอมปล่อย
พวกเราทั้งสองตัวยิ่งวิ่งก็ยิ่งไกล ไม่รู้วิ่งมานานเพียงใด ฉันก็ยังไม่อาจสลัดหลุดจากอีกฝ่ายได้ ไม่นานฉันก็เบื่อการเล่นวิ่งไล่จับกันเช่นนี้ ทั้งเห็นไม่มีคนวิ่งไล่ตามมาด่าฉันที่ก่อเรื่อง ครั้นแล้วจึงหยุดฝีเท้า
สุนัขตัวนั้นเห็นฉันหยุดลงก็รีบถอยหลังไปหลายก้าว พูดอย่างเหนื่อยหอบ “เจ้า…เจ้าปีศาจร้าย เจ้าแน่มาก ร้ายกาจถึงเพียงนี้”
“แกพูดภาษามนุษย์ได้! แกต่างหากที่เป็นปีศาจร้าย ฉันเป็นแมว! เมี้ยว…” เพื่อจะยืนยันว่าตนเป็นแมวของจริง ฉันจึงเกลือกกลิ้งไปกับพื้นหลายรอบ ให้เขาดูหนังท้องขาวนุ่มของฉันเสียเลย
“บังอาจ!” เขาตวาดด้วยความเดือดดาล “ข้าคือสุนัขเซี่ยวเทียนของเทพเอ้อร์หลางแห่งแดนสวรรค์! เป็นสุนัขเทพ!”
“แกเป็นสุนัข!” ฉันโต้แย้ง
“เป็นสุนัขเทพ!”
“เป็นสุนัข!”
พวกเราโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่ โดยโยนจุดประสงค์เดิมออกไปจากสมอง สุดท้ายยังคงตัดสินใจที่จะใช้กำลังแก้ไขปัญหา
สุนัขตัวนั้นพลันใช้สองขาหลังยืนขึ้นมา ควันสีดำกลุ่มหนึ่งแผ่คลุมเขาไว้ เมื่อควันสลายไปก็มีผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ใช้การตัดสินความงามของมนุษย์มาบรรยาย ผู้ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาดูดีมาก เส้นผมสีดำตัดสั้นทั้งศีรษะตั้งขึ้นทุกเส้น ดวงตาสีแดงมีประกายเจิดจ้าคมกริบ ผิวสีคล้ำเข้มสม่ำเสมอ รูปร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยชุดเกราะหนังรัดรูป ยามเคลื่อนไหวขึ้นมากล้ามเนื้อดูงดงามดุจสายน้ำไหล มุมปากยังมีเขี้ยวเล็กๆ สองซี่
นี่ก็เป็นข้อสรุปที่เสริมขึ้นมาในภายหลัง หลังจากฉันได้เรียนรู้หลักการตัดสินความงามของมนุษย์แล้ว ต่อไปเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ให้ยึดคำอธิบายเดิมทั้งหมด ไม่อนุญาตให้มีข้อคิดเห็นแย้งใดๆ
ทว่าตอนนี้ ในสายตาของฉัน เขายังคงเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีดวงตาสองข้างหนึ่งจมูกหนึ่งปาก ส่วน ‘เหยื่อ’ ของฉันหายไปอีกครั้งแล้ว
“แกเป็นใคร” ฉันที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งนี้จึงไม่หวาดกลัวอีก เพียงถามด้วยความแปลกใจ
ชายผู้นี้ไม่พูดไม่จา เพียงเผยกรงเล็บเหล็กในมือคู่หนึ่งออกมาแล้วกระโจนเข้าใส่ฉันอย่างดุดัน ฉันตกใจกระโดดขึ้นไป ร่างพุ่งทะยานไปอยู่ข้างหลังเขา
นึกไม่ถึงว่าเขาจะว่องไวมาก ใช้กรงเล็บจู่โจมเข้ามาอย่างดุดันอีก ฉันหลบหลีกอย่างทุลักทุเล เสียดายที่กรงเล็บของฉันไม่ยาวพอจึงตะปบเขาไม่ถึง
หลังจากความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมอง เศษเสี้ยวความทรงจำของฉันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างประหลาด ทั่วร่างคล้ายมีกระแสอะไรบางอย่างโคจรอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อกวนจนอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง ปั่นป่วนขึ้นมา
ควันบางเบาไม่รู้สีอะไรตลบฟุ้งออกมาทั่วร่างกาย ห่อหุ้มร่างของฉันไว้ทั้งหมด เมื่อหมอกควันสลายไป ฉันพบว่าตนเองดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นตัวใหญ่ขึ้น สูงขึ้น มือเท้าทั้งสี่ก็เปลี่ยนเป็นยาวขึ้น
ไม่รอให้ฉันได้ทันตั้งสติ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพลันยืนตัวแข็งทื่อหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงของเขาเบิกกว้างจนใหญ่กว่ากระดิ่งทองแดง ยืนโง่งมอยู่ที่นั่น ไม่ขยับเขยื้อนอีก
ชั่วขณะนั้นฉันก็ฉวยโอกาสนี้ตวัดอุ้งเท้าออกไป ซัดเขาจนกระเด็นออกไปทางด้านข้างหลายเมตรกว่าจะตั้งหลักได้อย่างทุลักทุเล
“เกือบจะถูกความงามทำให้เคลิบเคลิ้มเสียแล้ว” ชายผู้นั้นเช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก เตรียมจะโจมตีอีกครั้ง
เท้าทั้งสี่ของฉันเกาะอยู่กับพื้น โก่งเอวขึ้นเตรียมพร้อมป้องกัน ฉับพลันจึงรู้สึกว่าร่างกายออกจะเทอะทะ มีสิ่งของที่ทำให้ไม่สบายตัวอยู่บนร่าง
เป็นเสื้อผ้า เสื้อผ้ามากมาย ซ้ายชั้นหนึ่งขวาชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างฉันเอาไว้แน่น ยามเนื้อผ้าสัมผัสถูกผิวหนังทำให้ฉันรู้สึกขนลุก
ฉันไม่ชอบสวมเสื้อผ้า แต่ก่อนพอถึงฤดูหนาวเจ้านายมักจะซื้อเสื้อผ้าตัวเล็กๆ กลับมาแล้วบังคับให้ฉันสวม ฉันก็จะหาวิธีต่างๆ นานาในการถอดทิ้ง
เวลานี้ ร่างนี้ก็ไม่อาจยกเว้น!
“รอประเดี๋ยว!” ฉันร้องบอกชายผู้นั้นให้หยุดชั่วคราว จากนั้นก็ใช้กรงเล็บฉีกทึ้งเสื้อผ้าตนเอง ดีที่เสื้อผ้านี้บางมาก เวลาฉีกแล้วจึงเหมือนกับฉีกกระดาษ แค่สองสามทีก็หลุดออกจนหมด
ชายที่อยู่ตรงหน้าใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงฉานในทันที แดงจนเหมือนกุ้งที่ต้มสุก เขาถอยหลังไปไม่หยุด ถอยพลางร้องไปพลาง “นี่!…นี่!…ไร้ยางอายเกินไปแล้ว…เจ้ารีบหยุดมือ! อย่าถอด! อย่า!”
ฉันหาได้สนใจเขาจะร้องโวยวายอะไร ฉีกผ้าผืนเล็กชิ้นสุดท้ายออกจากร่างแล้ว ก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยเมื่อพบว่าที่อกของฉันดูเหมือนจะมี ‘ซาลาเปาไส้ถั่วสีขาว’ สองลูกปรากฏอยู่ ลองคลำดูสองสามทียังรู้สึกว่าหนักและใหญ่มาก ช่างอึดอัดน่ารำคาญยิ่ง
ชายผู้นั้นยิ่งร้องเสียงแหลมขึ้น เขาถึงกับหมุนตัวไป ไม่มองศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอีก
ฉันจะปล่อยโอกาสในการโจมตีที่ดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร ครั้นแล้วก็ฉวยจังหวะที่เขากำลังลนลานกระโจนเข้าไปอย่างดุดัน กอดเขาแล้วม้วนกลิ้งไปกับพื้นหลายรอบ
“อา! อย่า!!!” ชายคนนั้นร้องเสียงดังมาก ดังก้องไปทั่วฟ้าทีเดียว เลือดสดๆ สองสายฉีดพุ่งออกมาจากจมูกของเขา ลูกตาหมุนกลอกไปทั่ว มองฟ้ามองดินมองก้อนเมฆ แต่กลับไม่กล้ามองมาที่ฉัน
ฉันกอดเขาแน่นไม่ปล่อยมือ ใช้ฟันกัดเกราะหนังตรงหน้าอกของเขาจนขาด เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่กำยำล่ำสัน
“ละเว้นข้าเถิด! นี่ยังเป็นครั้งแรกของข้าด้วย!” ยิ่งชายหนุ่มเอ่ยปากขอร้อง เลือดที่จมูกของเขาก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้น ไหลจนเลอะไปทั้งร่าง
ครั้งแรกอะไรกัน ท่าทางของเขาดูน่าสงสารมาก ทำให้ฉันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะฉวยโอกาสตอนที่ฉันใจอ่อน ใช้ ‘ท่อนไม้ใหญ่ยาวท่อนหนึ่ง’ ยันช่วงเอวของฉันเอาไว้
คิดจะลอบโจมตี?!
ฉันที่รู้ถึงแผนการต่ำช้าของเขาก็โมโหขึ้นมาอีกครั้ง กัดลงไปที่หัวไหล่ของเขาเต็มแรง ฟันที่แหลมคมฝังเข้าไปในกล้ามเนื้อและผิวหนัง แทบจะดึงเอาเนื้อทั้งก้อนออกมา เจ็บจนเขาร้องคราง ในที่สุดมือทั้งสองข้างของเขาก็ออกแรงกระชากเกราะหนังด้านบนออกมาทั้งหมด และใช้โอกาสนี้สลัดตัวฉันให้หลุดออกไปด้วย
ชายคนนั้นหอบหายใจแรง ร่างที่เปลือยท่อนบนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็เอามือข้างหนึ่งกุมจมูกก่อน แล้วอีกข้างก็กุมร่างกายท่อนล่างไว้ สีหน้าแดงดุจสีเลือด เขายกมือขึ้นโบกไปบนท้องฟ้า เรียกเมฆมาก้อนหนึ่ง กระโดดขึ้นไปแล้วเหาะหนีไปทันที
ปากของฉันคาบของที่ยึดจากศัตรูมาได้…เกราะหนังที่ขาดเป็นชิ้นๆ มองไปยังทิศทางที่เขาเหาะหนีไปอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อย่างไรเสีย…ก็ชนะแล้วกระมัง
คิดมาถึงตรงนี้ฉันก็ดีใจขึ้นมา เอาของที่ยึดมาได้โยนลงกับพื้น ฉันยกเท้าคิดจะเกาหูตนเอง แต่กลับพบว่าขาของตนไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว
ไม่มีขน?…บนขาไม่มีขน…หนังและขนที่น่ารักเล่า
ฉันตกใจจนลนลานแล้ว รีบตรวจดูไปทั่วตัวทั้งบนล่าง แล้วก็ต้องเศร้าใจเมื่อพบว่านอกจากบนศีรษะและส่วนน้อยบนร่างกายไม่กี่แห่งแล้ว ทั้งตัวล้วนไม่มีขน อีกทั้งร่างกายก็เปลี่ยนจนดูแปลกประหลาดมาก
หนวดยาวๆ ของฉันหายไปแล้ว แผ่นเนื้อเล็กสีชมพูอมแดงตรงอุ้งเท้าก็หายไป สิ่งที่มาแทนที่คือเส้นผมยาวสีน้ำเงินอมม่วงและผิวหนังที่เกลี้ยงลื่นดุจแพรต่วน นอกจากหูแมวและหางใหญ่มีขนปุกปุยที่ยังกวัดแกว่งไปมาได้เหมือนเดิมแล้ว ส่วนอื่นล้วนคล้ายมนุษย์
เห็นๆ กันอยู่ว่าฉันเป็นเพียงแมวตัวหนึ่ง
ทำอย่างไรดี…ทำอย่างไรดี ขณะตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกด้วยความตื่นตระหนกดังมาจากที่ไกล
“ลูกพี่!”
“น้องสาวบุญธรรม!”
ฉันที่กำลังเศร้าโศกเสียใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา เป็นเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นกับผู้ชายตัวโตหน้าดำที่ไม่รู้จักชื่อ พวกเขากำลังมองฉันอยู่ไม่ไกลด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง…แดงมาก…
ฉันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความคับแค้นระคนเศร้ารันทดใจ
“เมี้ยว…”
บทที่สี่ หลัวช่าหญิงที่ดุร้าย
สถานการณ์ในตอนนี้มันคืออะไร
ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนของเสื้อผ้า ยังมีคราบเลือดเล็กน้อยหยดอยู่บนหญ้าสีเขียว ฉันนั่งอยู่บนพื้นด้วยเนื้อตัวเปลือยเปล่า มองผู้ชายสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า พลันรู้สึกถึงกลิ่นอายไม่ปลอดภัยที่เริ่มไหลเวียนอยู่ในอากาศ
นั่นเป็นกลิ่นอายของความโกรธแค้นเจือด้วยรังสีเข่นฆ่า แผ่กระจายออกมาปิดฟ้าคลุมแผ่นดิน ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัว
ขณะลอบระวังตัวอยู่นั้น ชายทั้งสองคนก็หมุนตัวขวับไปพร้อมกันในทันที ผู้ชายตัวโตสูงราวสองเมตรกว่า คนนั้นถอดเสื้อคลุมของตนออกมา โยนมาให้ฉันทั้งที่ยังหันหลัง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแทบจะสั่นด้วยความโกรธแค้น “น้องสาวบุญธรรม เจ้ารีบเอาเสื้อคลุมมาคลุมร่างไว้ ประเดี๋ยวพวกเราจะไปหาตัวเดียรัจฉานที่ทำให้เจ้ามีมลทินออกมาสับเป็นหมื่นชิ้น!”
ฉันคลานเข้าไปดมๆ เสื้อคลุมบนพื้น มีขนปุยๆ กุ๊นอยู่ที่ขอบข้าง ดูสวมใส่สบาย ยิ่งกระตุ้นความเจ็บปวดอาดูรที่ฉันมีต่อหนังและขนที่สูญเสียไป ฉันจึงคลานขึ้นไปบนเสื้อคลุม ขดตัวเป็นก้อนกลมกอดหางใหญ่ขนปุกปุยที่เหลืออยู่ด้วยความเศร้าใจ
“ลูกพี่ เรียบร้อยหรือยัง” เด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยถาม
ฉันไม่เข้าใจที่เขาถามว่าคืออะไร จึงกลิ้งไปมาอยู่บนเสื้อคลุม ร้องเสียงออดอ้อน “เมี้ยว…”
ครั้นแล้วเด็กหนุ่มชุดขาวกับชายตัวโตหน้าดำก็หมุนตัวกลับมา พริบตาที่เห็นฉัน ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกันแล้วหมุนตัวกลับไปทันที
ขณะที่ฉันกำลังมองท่าทางแปลกประหลาดของพวกเขาด้วยความอยากรู้ ทันใดนั้นกลิ่นหอมอย่างหนึ่งก็โชยมาเข้าจมูกของฉัน นั่นเป็นกลิ่นไก่ย่าง หอมเย้ายวนจนพยาธิในท้องของฉันเริ่มเต้นเร่า ในสมองเต็มไปด้วยความอยากกิน
“เมี้ยว…” ส่งเสียงร้องประจบอีกครั้ง ฉันก็ค่อยๆ คลานไปยังทิศทางที่กลิ่นหอมโชยมา ตามหาว่าอาหารอยู่ที่ใด
กลิ่นหอมโชยมาจากร่างของชายตัวโตหน้าดำ รูปร่างของเขาสูงราวสองเมตรกว่า กล้ามเนื้อแน่น สวมเกราะเหล็กประกายสีทองวิบวับ บนศีรษะมีเขาวัวแหลมๆ อยู่สองอัน ในมือถือกระบองเหล็กที่ไม่รู้ว่าหนักแค่ไหน ท่าทางเปี่ยมด้วยอานุภาพอันทรงพลัง
ในฐานะแมวที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีตัวหนึ่ง ฉันไม่อยากแย่งชิง จึงใช้ศีรษะถูไถขาของเขา ส่งเสียงร้องขอ “เมี้ยว เมี้ยว ฉันจะกินไก่ เมี้ยว”
ชายตัวโตถูกเสียงร้องอ่อนหวานของฉันดึงดูด ก้มหน้ามองลงมา พริบตาที่ดวงตาสบประสานกัน มือของเขาพลันสั่นเทา กระบองเหล็กร่วงหลุดจากมือ กระแทกถูกนิ้วเท้าตนเอง เสียงดังตึงทำเอาฉันสะดุ้งตกใจ
ฉันคิด…ถูกกระบองเหล็กใหญ่ขนาดนั้นกระแทกถูกนิ้วเท้าคงจะเจ็บมากกระมัง
ทว่าชายตัวโตที่อยู่ตรงหน้ากล้าหาญมาก หัวคิ้วของเขาขยับเข้าหากันเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะร้องออกมาสักคำ เพียงแต่ใบหน้าสีดำเริ่มแดงจนแทบจะร้อนลวก เขาเบือนหน้าหนีไป พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “น้องสาวบุญธรรม เจ้า…เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า รีบสวมเสื้อคลุมก่อน!”
“เมี้ยว…ฉันจะกินไก่” ฉันเริ่มใช้ขายืนขึ้นมา มุดเข้าไปตรงหน้าอกของเขา ทางหนึ่งมุดทาง หนึ่งก็ค้นหาไก่ย่าง
“ข้าให้เจ้า! ให้เจ้า!” เขาร้องออกมาด้วยความหวาดหวั่น รีบผลักฉันออกแล้วเอาไก่ย่างออกมาจากอกเสื้อโยนลงบนพื้น จากนั้นก็วิ่งหน้าตั้งออกไปราวร้อยเมตร ตะโกนบอกเด็กหนุ่มชุดขาว “น่ากลัวนางจะสะเทือนใจมากเกินไปจนเสียสติไปแล้ว เจ้าช่วยสวมเสื้อผ้าให้นางเถิด”
ฉันไม่ได้ใส่ใจว่าเขาพูดอะไร เพียงเป็นแมวหิวโหยกระโจนเข้าหาอาหาร พุ่งตัวใส่ไก่ย่าง กัดแทะคำโต เด็กหนุ่มชุดขาวเห็นท่าทางการกินของฉันก็ส่ายหัว หยิบเสื้อคลุมจากพื้นเดินเข้ามา
แย่แล้ว! เขาจะแย่งของกิน ฉันรีบโก่งเอวขึ้นอย่างระแวดระวัง ส่งเสียงคำรามฮื่อๆ เป็นการเตือน
เด็กหนุ่มชุดขาวดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของฉัน เขากลอกตาหนหนึ่งก่อนยอบตัวลงมา เอาเสื้อคลุมคลุมลงบนร่างของฉัน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “แมวที่ว่าง่าย ขอเพียงเจ้าสวมเสื้อคลุมไว้ ข้าก็จะไม่แย่งไก่เจ้ากิน ทั้งยังจะให้ปลาเจ้ามากมายด้วย”
แกเป็นคนดี! ฉันมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ อดตื่นเต้นไม่ได้ ถ้ามีปลามากมายให้กิน แค่สวมเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยนอีก เขาลูบศีรษะฉันเบาๆ แสดงท่าทีปลอบขวัญ และช่วยฉันผูกสายรัดเสื้อคลุมทีละเส้นๆ จากนั้นก็กวักมือไปข้างหลังร้องบอก “จอมมารวัวกระทิง เข้ามาได้”
ชายตัวโตที่ชื่อ ‘จอมมารวัวกระทิง’ คนนั้นถึงได้ขยับเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง เขาถอนหายใจ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วบอก “ยังคงเป็นอิ๋นจื่อที่มีหนทาง หากให้ภรรยาข้าเห็นนางกอดข้าเช่นนี้ น่ากลัวพรุ่งนี้ข้าคงต้องกลายเป็นโคมไฟหนังวัวแน่”
“ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี จอมมารคชสารยังรอคำตอบขอแต่งงานอยู่ แต่ลูกพี่เสียสติไปแล้ว” อิ๋นจื่อถามด้วยความกลัดกลุ้ม “พวกเขาพี่น้องหลายคนรวมกันขึ้นมาก็มีกำลังมาก ขาดกรงเล็บทะลวงฟ้าของลูกพี่ไปเกรงว่าจะต่อสู้ลำบาก”
พวกเขาสองคนปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดขึ้นทุกที ฉันฟังภาษาของพวกเขาออก แต่ไม่เข้าใจความหมายของเรื่องราว จึงก้มหน้าก้มตาแทะไก่ของฉันต่อไป กระทั่งเหลือแต่กระดูกจึงเงยหน้าขึ้นมา ส่งเสียงร้องด้วยความซาบซึ้งออกมาคำหนึ่ง
“น้องสาวบุญธรรม เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ” สีหน้าท่าทางของจอมมารวัวกระทิงดูจะรันทดใจ ดวงตาทั้งสองคล้ายมีไอหมอกจับอยู่ “ที่แท้เป็นสารเลวตัวใดที่ทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้”
มองสีหน้าท่าทางของเขา ดมกลิ่นคุ้นเคยบนร่างของเขา ในใจฉันพลันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา เศษเสี้ยวความทรงจำทะลักเข้ามาในสมองอีกครั้ง ทำให้ฉันโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว “พี่ชาย…จอม…จอมมารวัวกระทิง…”
“น้องสาวบุญธรรม!” จอมมารวัวกระทิงดีใจเป็นล้นพ้น “เจ้าจำข้าได้แล้ว?!”
ฉันยืนขึ้นมา ลูบบ่าเขาที่นั่งอยู่ มองน้ำหยดหนึ่งที่ไหลออกมาจากดวงตาของเขา อดที่จะเลียไปเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ พยายามพลิกหาถ้อยคำที่เหมาะสมในสมอง “พี่ชาย…อย่าร้องไห้…”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้! เพียงแต่ลมแรงเกินไป เม็ดทรายเลยเข้าตา!” จอมมารวัวกระทิงรั้งตัวข้าเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื้นตันใจพลางขยี้ตา
อิ๋นจื่อที่อยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็มองไปที่ด้านหลังของพวกเรา ปากอ้าตาค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“อิ๋น…อิ๋นจื่อ…” ชื่อของเขาปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ไม่รู้เพราะอะไรภาษาและความคิดเริ่มพลันเปลี่ยนเป็นไหลลื่นมากขึ้น แม้แต่คำเรียกแทนตัวต่างๆ ก็ไม่เหมือนเดิม ข้าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไร”
จอมมารวัวกระทิงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเอียงหน้าไปมองเขา “เป็นอะไรไป”
“ข้าง…ข้างหลัง…” อิ๋นจื่อชี้มือไปทางข้างหลังพวกเรา เหงื่อเย็นไหลผ่านหน้าผากเขาเป็นหยดๆ “พี่…พี่สะใภ้…”
“ดี…ดียิ่งนัก ชายมักมากกับแมวมั่วโลกีย์คู่นี้!” ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นดังมาจากด้านหลัง “ถึงกับกล้าปิดบังข้ามามั่วโลกีย์อยู่ด้วยกันเชียวรึ!”
ข้าไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร จอมมารวัวกระทิงกลับตกใจรีบปล่อยมือที่กอดข้าทันที หันหน้าไปด้วยความร้อนรน
พร้อมกับที่เขาหันหน้าไป ข้าก็เห็นหญิงในวัยที่ออกเรือนแล้วท่าทางดูฮึกเหิมองอาจห้าวหาญผู้หนึ่ง สวมเสื้อเกราะรัดรูป มือถือกระบี่คมสาดประกายเย็นยะเยียบคู่หนึ่ง เวลานี้ดวงตารูปเมล็ดซิ่งเบิกกว้าง คิ้วงามดุจกิ่งหลิวชี้ชัน มองข้ากับจอมมารวัวกระทิงอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหมือนอยากจะฉีกพวกเราทั้งสองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!” จอมมารวัวกระทิงกระโดดขึ้นมา โบกไม้โบกมือไม่หยุดด้วยความร้อนรน
หญิงผู้นั้นมองข้าวของที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้น มองเสื้อคลุมที่ข้าสวมอยู่บนร่าง ทันใดนั้นนางก็กวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันใส่จอมมารวัวกระทิงอย่างดุดัน “ข้าจะฆ่าเจ้า ชายทรยศ! ชั่วช้าสามานย์ยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน! แม้แต่น้องสาวตนเองก็ไม่ละเว้น!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.