X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 5-7

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ห้า ขี่ลมกลับไป

จอมมารวัวกระทิงรีบยกกระบองขึ้นมาต้านอานุภาพกระบี่ของนางไว้ พยายามอธิบาย “เจ้าฟังข้าพูดก่อน! อย่าหุนหันบุ่มบ่ามเช่นนี้!”

“ข้าไม่ฟัง! ข้าจะจับเจ้าตอนแล้วถลกหนังไปทำโคมไฟ!” สีหน้าของนางน่าเกลียดน่ากลัวราวกับเป็นผีร้ายเป็นปีศาจ นางยังก่นด่าต่อไปอีก “จากนั้นก็จะจับแมวมั่วโลกีย์ไปจุดโคมบนเสา”

“ห้ามด่าน้องสาวบุญธรรมของข้า!” จอมมารวัวกระทิงเพลิงโทสะพวยพุ่งสูงเทียมฟ้าในทันที

ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด รอบด้านภูเขาพังทลายพื้นดินแยก ต้นไม้โบราณร้อยปีถูกผลกระทบจากการต่อสู้โค่นล้มเป็นแถบๆ เศษหินปลิวว่อน เปรียบกับสองสามีภรรยาที่อยู่บ้านติดกันกับข้าเมื่อก่อน คนคู่นี้ทะเลาะตบตีกันแล้วยังร้ายกาจกว่ามาก ข้าดูจนตาลายไปหมด แอบโห่ร้องให้กำลังใจ จากนั้นก็ดึงอิ๋นจื่อที่อยู่ด้านข้างมาซักถาม ทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย “อะไรคือชายทรยศ อะไรคือแมวมั่วโลกีย์ อะไรคือจุดโคมบนเสา”

อิ๋นจื่อถูกข้าเขย่าตัวจนวิงเวียนตาลาย เขาที่ดูอ่อนแอในที่สุดก็ตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลสุดขีด

“หยุดมือให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดของอิ๋นจื่อดังมาก สั่นสะเทือนจนหูข้าลั่นอึงอล และทำให้สองคนที่ต่อสู้กันชุลมุนหยุดมือได้สำเร็จ

หญิงผู้นั้นจ้องจอมมารวัวกระทิงอยู่เป็นนาน สุดท้ายนางก็โยนกระบี่ยาวในมือทิ้ง ก่อนทิ้งร่างลงกับพื้นร้องไห้โฮออกมา “สัตว์เดียรัจฉานสมควรตาย วันๆ ข้าอยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้าน เจ้าอยู่ข้างนอกได้ทำเรื่องเหลวไหล ผิดต่อข้าหรือไม่”

“ไม่ผิดต่อเจ้า” จอมมารวัวกระทิงสั่นศีรษะติดๆ กัน หญิงผู้นั้นสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที เขารีบร้องขึ้น “ที่ข้าบอกไม่ผิดต่อเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”

“แล้วหมายความว่าอย่างไร” ข้าที่ชมอยู่ด้านข้างกำลังดูอย่างสนุกสนาน จึงถามด้วยความอยากรู้

สายตาของหญิงผู้นั้นเบนมาที่ข้าทันที แล้วหยิบพัดใบตองเล่มหนึ่งออกมา ข้าพลันรู้สึกถึงรังสีเข่นฆ่าที่จู่โจมเข้ามาเป็นระลอก เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก จึงอดตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ ข้าขดตัวเข้าไปอยู่หลังอิ๋นจื่ออย่างระมัดระวัง ลู่ใบหูลง พยายามจะซุกซ่อนตัว

“พี่สะใภ้หลัวช่า! ไม่อาจใช้พัดใบตองเด็ดขาด!” อิ๋นจื่อร้องขึ้นอีกครั้ง “ลูกพี่ของข้าถูกคนใช้กำลังข่มเหงรังแก เวลานี้เสียสติไปแล้ว! ถึงได้มีพฤติกรรมผิดแปลก พี่ใหญ่จอมมารวัวกระทิงเป็นบุรุษมีคุณธรรม ท่านอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาด!”

ได้ยินเช่นนี้ หญิงที่ชื่อหลัวช่าผู้นั้นก็กวาดตาไปที่จอมมารวัวกระทิงทันที จอมมารวัวกระทิงผงกศีรษะราวกับทุบกระเทียม นางยิ้มออกมาทันที ความเยียบเย็นในดวงตาละลายไปหมด ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิกลับมาสู่พื้นโลก บุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง นางเดินเข้ามาอย่างสนิทสนม ดึงข้าออกมาจากหลังอิ๋นจื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดอย่างขัดเขิน “เป็นเพราะเจ้าคนชั่วสมควรตายผู้นั้นไม่อธิบายให้ชัดเจน ทำให้ข้าเกือบเข้าใจผิดน้องสาวไปแล้ว ต้องขออภัยเจ้าด้วย เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”

ข้าเอียงคอ สะบัดๆ หาง เบิกตาโตมองใบหน้างดงามที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่เข้าใจว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร

จากนั้นหลัวช่าก็ถามต่อ “น้องสาว ที่แท้เป็นใครกันที่ไม่มีตามาข่มเหงเจ้า”

“สุนัข!” ข้าโพล่งออกไปอย่างไม่ลังเล สุนัขตัวโตสีดำพฤติกรรมชั่วร้ายต่ำทรามเมื่อครู่ตัวนั้นทิ้งความทรงจำให้ข้าอย่างลึกซึ้ง หากมีโอกาส ข้าจะต้องกัดเขาอีกครั้งแน่นอน

สีหน้าท่าทางของหลัวช่ายิ่งผ่อนคลายลง รอยยิ้มยิ่งดูสนิทสนม จอมมารวัวกระทิงกับอิ๋นจื่อก็เข้ามาห้อมล้อม จอมมารวัวกระทิงถามด้วยท่าทางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “เป็นสุนัขตัวใด ประเดี๋ยวข้าจะไปสังหารมันเป็นการแก้แค้น!”

ดี! ชั่วชีวิตของข้าชอบรังแกสุนัขที่สุดและชอบเห็นสุนัขถูกคนรังแกที่สุด พวกเจ้าล้วนเป็นคนดี! ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง ครั้นแล้วก็พยายามค้นหาชื่อของสุนัขชั่วตัวนั้นในสมอง ชื่อของเขาดูเหมือนจะยาวมาก ยามนึกกะทันหันเช่นนี้ทำให้ข้าออกจะสับสน

หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดข้าก็นึกคำที่อยู่ในความทรงจำของตนออกมาได้ และบอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงมั่นใจและเด็ดขาด “เขาบอกเขาชื่อเทพเอ้อร์หลาง!”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าก็ตกอยู่ในสภาพอึ้งตะลึง เป็นนานก็ยังไม่ได้สติ ข้าจึงแทะกระดูกไก่ย่างที่ทิ้งอยู่ข้างทางต่อ

“คงไม่…ไม่ใช่หยางเจี่ยน เทพเอ้อร์หลางแห่งแดนสวรรค์กระมัง” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดอิ๋นจื่อก็ได้สติกลับคืนมา และตะกุกตะกักถามขึ้น

ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนตัวอักษรไม่กี่คำตรงหน้าล้วนถูกต้อง จึงพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” จอมมารวัวกระทิงเอามือลูบศีรษะพลางกระโดดขึ้นมา “เทพเอ้อร์หลางหาใช่สุนัข!”

อิ๋นจื่อยับยั้งความบุ่มบ่ามหุนหันของเขาด้วยความสุขุมเยือกเย็น “อย่าลืมว่าคนผู้นี้สามารถแปลงกายได้เจ็ดสิบสองร่าง ต่อให้แปลงกายเป็นสุนัขลงมาแดนมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คงไม่ใช่สุนัขตัวนั้นของเขาหรอกนะ เป็นไปไม่ได้ที่สุนัขตัวนั้นจะเอาชนะลูกพี่และทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้กับนางได้”

“ไม่ผิด…กำลังความสามารถของน้องสาวบุญธรรมนับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของปีศาจ จะถูกสุนัขโง่งมตัวนั้นเอาชนะได้อย่างไร” จอมมารวัวกระทิงนั่งลงไปใหม่อย่างอับจนปัญญา “แต่…เทพเอ้อร์หลาง…ครั้งนี้ออกจะจัดการลำบากแล้ว เจ้าว่าเหตุใดเขาจึงมาถูกใจน้องสาวบุญธรรมเข้าได้”

“เฮ้อ…” หลัวช่ามองประเมินข้าขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “จะโทษก็ต้องโทษน้องสาวที่รูปร่างหน้าตางดงามเพียงนี้ แม้แต่สตรีด้วยกันเห็นแล้วยังนึกรัก เทพเอ้อร์หลางจิตใจหวั่นไหวก็ใช่จะไม่มีเหตุผล”

พวกเขาสามคนจับกลุ่มปรึกษาหารือกันอยู่เป็นนาน เนื่องจากเทพเอ้อร์หลางเป็นเทพเซียนที่ทุกคนไม่อาจต่อกรด้วยได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเพื่อรักษาชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้าจึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพียงบอกกับผู้คนภายนอกว่าข้าหกล้มสมองเลอะเลือน เรื่องแก้แค้นรอไว้วันหน้าค่อยว่ากัน

คำตอบข้างต้นอิ๋นจื่อสรุปแล้วนำมาบอกข้า หลังจากเขาอธิบายอยู่นานข้าจึงเข้าใจความหมายทั้งหมด นั่นก็คือข้าไม่อาจไปสั่งสอนสุนัขที่ข่มเหงรังแกข้าตัวนั้นได้…

ข้อสรุปนี้ทำให้ข้าโกรธแค้นยิ่ง จึงประท้วงด้วยการหมอบอยู่กับพื้นไม่ยอมขยับตัวอยู่เป็นนาน กระทั่งหลัวช่ารับปากว่าจะทำปลาหลี่ ตัวอ้วนๆ สวยๆ ให้ข้ากินตัวหนึ่ง ข้าจึงฝืนใจยอมเห็นด้วยที่จะปล่อยสุนัขชั่วช้าตัวนั้นไป

เรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต่อมาก็คือเรื่องมงคลสมรสที่จอมมารคชสารเสนอมา อิ๋นจื่อบอกทางที่ดีควรปฏิเสธอย่างนุ่มนวลไปก่อน พยายามอย่าไปจุดชนวนสงครามขึ้นมา พวกเขาถกปัญหากันถึงช่วงท้ายสุดก็เห็นพ้องต้องกันว่าเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุด ยังคงต้องพาข้ากลับไปภูเขาลั่วอิง สวมเสื้อผ้าก่อนค่อยไปดูตัว

ข้าได้ยินคำว่า ‘เสื้อผ้า’ สองคำก็คัดค้านอย่างหนักทันที เกลือกกลิ้งไปมาอยู่กับพื้น ไม่เห็นด้วยที่จะสวม ไม่ว่าอิ๋นจื่อจะเกลี้ยกล่อมหลอกล่อจนปากแทบฉีกอย่างไรก็ไม่เป็นผล

สุดท้ายหลัวช่าก็ผลักเขาออกไป เข้ามายืนตรงหน้าข้า บอกอย่างเฉียบขาด “ถ้าเจ้าไม่สวมเสื้อผ้า ก็ให้ผีที่หิวโหยในนรกจับตัวไปเสียบไม้ย่างไฟกินเสีย!”

เจ้านายเคยบอก มีคนวิปริตบางคนชอบกินเนื้อแมว ด้วยเหตุนี้ภายใต้การบอกเล่าอย่างสมจริงสมจังของหลัวช่า…จึงทำให้ข้าตกใจจนหูลู่ลงมา ในใจนึกหวาดกลัวยิ่ง เพื่อจะไม่กลายเป็นแมวย่าง ข้ารีบเห็นชอบว่าต่อไปจะยอมใส่เสื้อผ้าแต่โดยดี

จอมมารวัวกระทิงเห็นข้าพยักหน้า ก็อดเอ่ยชมหลัวช่าเบาๆ ไม่ได้ “เหนียงจื่อ นับว่าเจ้ามีฝีมือ”

หลัวช่าหันไปยิ้มอ่อนหวานให้เขา ช่วยเขาจัดเสื้อผ้าที่เมื่อครู่ตีกันจนยับย่น “ปกติกล่อมหงไห่เอ๋อร์นอน ข้าก็ทำเช่นนี้”

ข้ายังคงจมอยู่ในโลกแห่งจินตนาการของเนื้อแมวย่างที่น่าสยดสยอง เป็นนานจิตใจและสติปัญญาก็ไม่ฟื้นคืนกลับมา

หลังจากตัดสินใจจะกลับไป ร่างของอิ๋นจื่อก็มีหมอกควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหมอกควันจางไป ก็มีอีกาสีขาวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่พื้น อาหารของข้ากลับมาแล้ว

ยังไม่ทันหายดีใจ จู่ๆ อีกาตัวนั้นก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น กระทั่งสุดท้ายพอกางปีกออกมาก็คล้ายจะบดบังท้องฟ้าได้เลย

ข้าไม่เคยเห็นนกตัวใหญ่เท่านี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นไม่รู้จะเริ่มพูดจากที่ใดดี จอมมารวัวกระทิงกลับคว้าตัวข้าวางขึ้นไปบนหลังนกในคราเดียว

หลังจากทุกคนขึ้นมากันหมดแล้ว อีกาก็บินขึ้น เขากางปีกพุ่งขึ้นไปบนนภากาศ ระผ่านท้องฟ้าอย่างงดงาม

ขนสีขาวที่อยู่ใต้ร่างอ่อนนุ่มสบายยิ่ง ปุยเมฆสีขาวบนท้องฟ้าราวกับเริงระบำอยู่ข้างกายข้า ทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นดั่งมด สายลมรุนแรงที่พัดผ่านใบหน้าของข้าก็คล้ายกับทัศนียภาพที่ข้าเห็นตอนตกลงมาจากชั้นสิบ ไม่สิ ยามนี้อาจจะงดงามยิ่งกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าก็ส่งเสียงร้องด้วยความเบิกบานใจท่ามกลางสายลม “เมี้ยว…”

อีกาคล้ายรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นดีใจของข้า เขาพาข้าบินขึ้นไปต่อ ยิ่งบินก็ยิ่งสูง ราวกับจะบินไปให้ถึงดวงอาทิตย์

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างไสว ขนกับปีกสีขาวดุจหิมะคู่นั้นยิ่งดูงดงาม มีเสน่ห์ดึงดูดใจคนยิ่ง

ข้าก็พลอยคึกคักฮึกเหิมตามไปด้วย เมื่อความตื่นเต้นฮึกเหิมบรรลุถึงขีดสุด ในที่สุดข้าก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ และอดที่จะระบายอารมณ์ออกมาเล็กน้อยไม่ได้

“อ๊ากกก!” เสียงร้องโหยหวนของอีกาดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นฟ้า

การบินที่ราบเรียบมั่นคงเริ่มโคลงเคลง อีกาพลิกตัวไปมาอยู่บนท้องฟ้า

จอมมารวัวกระทิงกับหลัวช่าที่อยู่ด้านหลังรีบขยับมาข้างหน้า พวกเขาดึงแขนข้าคนละข้างก่อนจะร้องขึ้นพร้อมกัน

“น้องสาวบุญธรรม เจ้าอย่ากัดอิ๋นจื่อ! รีบปล่อย!”

“น้องสาว เจ้าอย่ากัดอิ๋นจื่อ! ปล่อยเร็ว!”

บทที่หก คชสารตัวโตขอหมั้นหมาย

 บนภูเขาลั่วอิง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ปกคลุมยอดเขาทั้งลูกจนมืดครึ้ม กล่าวสำหรับแมวที่เป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน ที่แห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยอันหาได้ยากยิ่ง

แต่…ที่นี่ไม่ใช่บ้านของข้า

กระโดดลงจากปีกอีกา ข้าก็หมอบอยู่บนพื้น ดมๆ ทางซ้าย ดมๆ ทางขวา ล้วนไม่มีกลิ่นอายที่คุ้นเคย อดที่จะหันไปมองทุกคนแล้วส่งเสียงร้องออกมาหลายคำด้วยความเศร้ารันทดไม่ได้

จอมมารวัวกระทิงกับหลัวช่าต่างมองหน้ากัน อีกาเปลี่ยนร่างเป็นอิ๋นจื่ออีกครั้ง เขาเดินเข้ามายิ้มให้ข้าก่อนบอก “ลุกขึ้น พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว”

นี่ไม่ใช่บ้านของข้า!

ข้านั่งอยู่บนพื้น โคลงศีรษะไปมาแสดงท่าทีไม่ยอมลุกขึ้น เขากลับใช้กำลังคว้าแขนข้า คิดจะดึงขึ้นมา

“ไม่!” ข้าสะบัดแรงๆ อิ๋นจื่อที่ผอมบางจึงปลิวออกไป ร่างกระแทกกับต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล แรงกระแทกทำให้ต้นไม้ใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบไหวเอนไปมา

ใบไม้แห้งร่วงพรูราวกับฝนตก เขาเช็ดๆ คราบโลหิตที่มุมปาก ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมายืนกลางฝนใบไม้ เดินมาตรงหน้าข้าอีกครั้ง จับมือทั้งสองของข้าไว้แล้วยืนกราน “ลุกขึ้นมา!”

ข้าเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาสีนิลคู่นั้นของอิ๋นจื่อ ในดวงตามีแววรันทดใจที่อ่านไม่ออก ไม่รู้เพราะเหตุใดความรันทดใจนี้จึงเสียดแทงเข้าไปในความทรงจำที่อยู่ในสมอง เกิดลูกคลื่นเป็นระลอกริ้ว ถึงกับทำให้ข้าค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตามการฉุดดึงของเขาโดยไม่รู้ตัว

“ดีๆ เช่นนี้ถูกต้องแล้ว” จอมมารวัวกระทิงจะเข้ามาช่วยประคองแขนข้าอีกข้างหนึ่ง แต่กลับถูกหลัวช่าถลึงตาใส่ เขาจึงยิ้มเจื่อนพลางหดมือกลับไป

ในที่สุดอิ๋นจื่อก็ยิ้ม เขาประคองข้าเดินขึ้นไปบนยอดเขาทีละก้าวๆ ข้าเดินตามจังหวะก้าวของเขา ลองเดินด้วยสองขา กลับพบว่าไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิด ทั้งยังเดินได้สะดวกสบายยิ่ง

ครู่เดียวข้าก็เริ่มออกวิ่ง ประเดี๋ยวก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ กระโดดข้ามลำธาร อิ๋นจื่ออยู่ข้างหลังก็กางปีก บินลอดกิ่งไม้ไล่ตามความเร็วของข้า

ทันใดนั้น กลิ่นสัตว์ป่าที่ฉุนเฉียวก็หยุดยั้งฝีเท้าของข้าไว้ เสือตัวหนึ่งหางตาชี้ชัน หน้าผากมีลายสีขาวก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าข้า เขี้ยวที่น่ากลัวคล้ายมีน้ำลายไหลหยด นัยน์ตาเปี่ยมอานุภาพน่าครั่นคร้ามเจือรังสีเข่นฆ่าไร้ที่สิ้นสุด

“เมี้ยว!” ข้าตกใจร้องเสียงดังออกมาคำหนึ่ง รีบขดตัวหลบอยู่ข้างหลังอิ๋นจื่อที่กลับมาเป็นร่างคน พูดเสียงสั่น “มี…มีเสือ ตี…ตีเขาให้ตาย!”

“ต้าหวัง* โปรดไว้ชีวิต!” เสือตัวนั้นกลับย่อสองขาหน้าคุกเข่าลงกับพื้นทันที ปากเอ่ยภาษามนุษย์ “ข้าน้อยมาต้อนรับช้า นับว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ต้าหวังได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

ข้าไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร เอาแต่คว้าคอเสื้ออิ๋นจื่อไว้แน่นแล้วบอก “เสือ! เสือ! รีบตีเขาให้ตาย!”

เสือคุกเข่าอยู่กับพื้น โขกศีรษะไม่หยุดพลางร้องว่า “ต้าหวังได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย! ต้าหวังได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

ข้ากับเสือยิ่งร้องก็ยิ่งดังกังวาน ระหว่างนั้นยังมีเสียงโขกศีรษะ อิ๋นจื่อถูกรัดคอจนหน้าแดง แทบจะหายใจไม่ได้ จะพูดก็พูดไม่ออก

ยังดีที่ภายหลังจอมมารวัวกระทิงไล่ตามมาทัน เขาเห็นเหตุการณ์ก็ตวาดขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!”

ข้ารีบปล่อยอิ๋นจื่อ กระโจนเข้าไปที่ข้างกายเขา ร้องบอก “มีเสือ! พี่ชายช่วยข้าด้วย!”

จอมมารวัวกระทิงยังไม่ทันได้ตั้งสติ หลัวช่าก็รีบเข้ามาผลักข้าออก จากนั้นก็กอดข้าไว้หลวมๆ พลางปลอบโยน “น้องสาวไม่ต้องกลัว เสือตัวนี้เชื่องยิ่งนัก เชื่อฟังคำสั่งมาก ไม่เชื่อเจ้าบอกให้เขากลิ้งไปมาสักหลายรอบให้ดูสิ”

ข้ามองสายตาจริงจังของหลัวช่า กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แล้วรวบรวมความกล้าเดินไปหยุดเบื้องหน้าเสือ ก่อนร้องสั่ง “นั่งลง!”

เสือนั่งลงทันที

ข้าย้อนนึกถึงคำสั่งฝึกลูกสุนัขที่เคยเห็นเมื่อก่อน จึงพูดขึ้นติดๆ กัน “หมอบลง กลิ้งไป แกล้งตาย อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ!”

ปรากฏว่าเสือตัวนี้กลับเชื่อฟังยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก รีบปฏิบัติตามคำสั่งของข้าทุกอย่าง ยามนี้นอนอยู่กับพื้น ขาทั้งสี่ชี้ฟ้า

“สนุกยิ่งนัก! สนุกยิ่งนัก!” ข้าตบมือยังคิดจะสั่งอีก กลับถูกอิ๋นจื่อที่หายใจได้แล้วลากเดินเข้าไปในถ้ำบนภูเขาที่ซุกซ่อนอยู่ บอกอีกประเดี๋ยวค่อยให้ข้าเล่นต่อ

ข้าหันกลับไปมองเสืออย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง เขามองข้าอย่างน่าสงสาร แต่ยังคงอยู่ในท่าเดิมโดยไม่กล้าขยับ

เข้ามาในถ้ำ ข้ามองไปรอบๆ ข้างในปูขนสัตว์อ่อนนุ่มดูน่าสบายอย่างยิ่ง ยังไม่ทันได้คลานขึ้นไปเกลือกกลิ้ง หลัวช่าก็พาข้าไปที่ห้องด้านข้าง เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากแพรต่วนชุดหนึ่ง เนื้อผ้านุ่มเบามาก ความรู้สึกตอนสวมอยู่บนร่างกับไม่ได้สวมไม่ต่างกันมาก ทำให้ข้าพอใจยิ่ง ที่พอใจมากที่สุดคือเสื้อผ้านี้ด้านหลังยังมีช่องให้หางโผล่ออกไปได้ ทำให้ข้ากอดหางเกลือกกลิ้งได้ตลอดเวลา

จากนั้นอิ๋นจื่อกับจอมมารวัวกระทิงก็จับตัวข้าไว้แล้วเริ่มอบรมความคิดด้านศีลธรรมจริยธรรม ข้าฟังแล้วเอาแต่หาวหวอด พวกเขากลับไม่ยอมให้ข้านอน กระทั่งหลัวช่ายกปลาหลี่ที่ปรุงเสร็จออกมาจึงทำลายสภาพอันน่าอึดอัดนี้ไปได้

ที่น่าเสียใจก็คือ ตอนข้าหมอบร่างลงไปกัดเนื้อปลา พวกเขาก็เริ่มสอนข้าถึงมารยาทในการกินอาหารอีก…

น่าเบื่อยิ่งนัก…

การอบรมที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ดำเนินอยู่สามวันเต็มๆ ข้าซัดอิ๋นจื่อปลิวกระเด็นไปหลายครั้ง ทำให้จอมมารวัวกระทิงโมโหแทบคลุ้มคลั่งไม่รู้กี่หน และข้าต้องอดทนยืนหยัดฟังต่อไปภายใต้เนื้อปลาของหลัวช่าไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าเสือตัวนั้นเคราะห์ร้ายกว่าหน่อย เขานอนท่าเดิมไม่ขยับอยู่นอกประตูมาสามวันแล้ว กว่าข้าจะนึกขึ้นมาได้ เขาก็แทบจะหิวตาย

สามวันมานี้ พวกอิ๋นจื่อกลับสอนให้ข้าพูดเพียงประโยคเดียว นั่นก็คือให้พูดกับคชสารตัวโตว่า ‘แม้จะชื่นชมท่านมาก แต่การแต่งงานในครั้งนี้ออกจะไม่ค่อยเหมาะสม โปรดให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองอีกสักระยะ’

เพื่อคำพูดที่สมควรตายประโยคนี้ ข้าต้องท่องอยู่นับพันครั้งจึงพอจะนับว่าจำได้แม่น พร้อมกันนั้นเรื่องการขอแต่งงานนี้ก็ได้ทิ้งเงาดำทะมึนไว้ในใจของข้าอย่างยากจะลืมเลือน

น่ากลัวเกินไปแล้ว…

 

ในที่สุดก็ถึงวันที่จะต้องเดินทางไปเผชิญหน้ากับเรื่องการขอแต่งงาน หลัวช่าจับข้าแต่งตัวอย่างพิถีพิถันอยู่ครึ่งวัน จากนั้นก็พาไปที่หุบเขาแห่งหนึ่งในภูเขาลั่วอิง

ก่อนออกเดินทางข้าเคยย้อนนึกถึงช้างที่เคยเห็นในโทรทัศน์ ดูเหมือนจะตัวโตกว่าแมวไม่เท่าไร ทันใดนั้นความคิดที่จะกัดเขาให้ตายเพื่อแก้แค้นที่มาขอแต่งงานก็อุบัติขึ้นมาในสมอง

แต่เมื่อข้าได้พบเขาเข้าจริง ข้าพบว่าข้าคิดผิดไปแล้ว

ช้างสีขาวตัวโตตัวนี้สูงราวกับภูเขา บดบังแสงอาทิตย์ทั่วท้องฟ้า ยามเขาก้าวเดิน พื้นปฐพีทั้งผืนก็สั่นไหวไปหมด เสียงร้องของเขาดังมากพอที่จะได้ยินไปถึงท้องนภากาศ ข้าต้องแหงนหน้าคอตั้งจึงจะมองเห็นดวงตาของเขา

บนท้องฟ้ามีราชาอินทรีบินมาตัวหนึ่ง หยุดลงที่ข้างกายช้าง สัตว์สองตัวนี้ได้ยึดครองพื้นที่ในหุบเขาไว้เกือบทั้งหมด ข้างหลังดูเหมือนยังมีแรดนอเดียวที่เบียดเข้ามาไม่ได้อีกตัว

ส่วนข้ากับพวกจอมมารวัวกระทิงยืนอยู่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง แหงนหน้าขึ้นมองท่วงทีอันสง่างามของพวกเขา

กัดไม่สะดวก…ข้าลู่ใบหูลงด้วยความท้อแท้ใจ มองสัตว์ตัวใหญ่มหึมาตรงหน้าอย่างคับแค้น คิดไม่ออกว่าจะกัดตรงที่ใดได้

จอมมารคชสารเริ่มเอ่ยปากขึ้นแล้ว เสียงของเขาฟังดูขวยเขินแต่ก้องกังวานยิ่ง สะเทือนเลื่อนลั่นจนแก้วหูข้าสั่นไปหมด

เขาบอก “เหมียวเหมียว ข้ารักเจ้า”

สองคำแรกข้าเข้าใจ แม้ในความทรงจำจะมีใครหลายคนที่เรียกข้าด้วยชื่อที่แตกต่างกัน มีต้าหวัง ลูกพี่ น้องสาว น้องสาวบุญธรรม แมวสารเลว จอมมารแมว คนงามแมวเป็นต้น แต่เหมียวเหมียวกับเมียวเมียวสองคำนี้จำนวนครั้งที่ปรากฏสูงที่สุด ข้าเข้าใจดี นี่เป็นการเรียกข้า

แต่อีกสามคำข้างหลังนั่นหมายความว่าอย่างไร ข้ารีบหันไปมองอิ๋นจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ

อิ๋นจื่อพยายามขยิบตาให้ข้า เขาขยิบตาจนหน้าแทบจะเป็นตะคริวแล้ว ข้าจึงนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสัญญาณลับให้พูดคำที่ท่องจำจนแม่นยำประโยคนั้นออกมา

ทว่าข้ายังไม่ทันได้พูดออกมา จอมมารคชสารก็พูดขึ้นอีก “ใช้ร่างเดิมมาพบแม่นางเหมียวเหมียวดูจะไม่เหมาะ ประเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์”

พูดจบก็มีหมอกควันพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของเขา ที่ปรากฏขึ้นมากลางหมอกควันคือบุรุษผมสั้นสีขาวคนหนึ่ง ร่างกายสูงใหญ่มาก กระทั่งเปรียบกับจอมมารวัวกระทิงแล้วยังสูงกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ ผิวของเขาค่อนข้างซีดขาว ไม่มีสีเลือดสักเท่าไร องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลางดงาม บนร่างสวมเสื้อเกราะที่ทำด้วยเหล็กเป็นวงร้อยต่อกัน บนสายรัดเอวเหล็กรูปศีรษะช้างมีค้อนทองคำใหญ่คู่หนึ่งเหน็บอยู่ บนมงกุฎฝังเพชรยังมีขนหางนกยาวๆ ปักอยู่อีกสองอัน คล้ายแม่ทัพผู้มีท่วงทีของปัญญาชนที่เคยเห็นอยู่ในการแสดงงิ้ว

ราชาอินทรีที่อยู่ด้านข้างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้งคือบุรุษรูปร่างผอมแห้ง เห็นโหนกแก้มบนใบหน้าชัดเจน ริมฝีปากบาง จมูกนกอินทรี นัยน์ตาสีทองคู่นั้นคมกริบราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่ง ร่างสวมเสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่าย เอวมีตะขอเหล็กห้อยอยู่คู่หนึ่ง ทั่วร่างเปี่ยมด้วยพลังอันฮึกเหิมอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้

ในที่สุดแรดนอเดียวที่อยู่ข้างหลังก็เบียดเข้ามาได้ เขาก็แปลงร่างเป็นคน เป็นบุรุษรูปร่างแข็งแรงอ้วนท้วน ดวงตาเล็กยิ้มจนเป็นเส้นตรง ไม่ได้พกอาวุธอะไร ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกที่ดีด้วย

จอมมารคชสารเดินเข้ามา หยุดอยู่เบื้องหน้าข้า เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อด้วยท่าทีเขินอายแล้วเอ่ยขึ้น “แม่นางเหมียวเหมียว ข้าเขียนจดหมายรักให้เจ้าฉบับหนึ่ง”

ข้าใช้สายตาขอความช่วยเหลือมองไปที่อิ๋นจื่ออีกครั้ง เขารีบตอบแทนข้า “นางไม่รู้หนังสือ ท่านอ่านเองเถิด”

ครั้นแล้วใบหน้าของจอมมารคชสารก็แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย เขาคลี่กระดาษ อ่านออกมาทีละคำอย่างจริงจัง “ตะพาบนึ่งทรงเครื่อง เนื้อลานึ่งหมักสุราบุปผา กุ้งหมักน้ำปรุงรสต้ม น้ำแกงหัวปลาใส่เต้าหู้ ปลาจะละเม็ดราดพริก ปลาหลี่น้ำแดง ตะพาบน้ำนึ่ง กุ้งแช่สุรา…”

ข้าเบิกตากว้าง เขาท่องชื่ออาหารออกมาชนิดหนึ่ง น้ำลายข้าก็ไหลออกมาส่วนหนึ่ง อยากกินจนแทบจะกระโจนเข้าไป…

คิดไม่ถึงว่าราชาอินทรีที่อยู่ข้างหลังผู้นั้นจะเดินเข้ามา ดึงชายเสื้อจอมมารคชสารเบาๆ พลางกระซิบ “เจ้าหยิบกระดาษผิดแล้ว นี่เป็นตำราอาหารที่ข้าคัดลอกให้พ่อครัว”

รอบด้านมีเสียงหัวเราะ สีหน้าของจอมมารคชสารยิ่งดูตื่นเต้นมากขึ้น เขารีบคลำหากระดาษอีกแผ่นออกมา เริ่มอ่านด้วยสีหน้าแดงระเรื่ออีกครั้ง “ในป่ามีละมั่งตาย หญ้าคาขาวห่อคลุมร่างไว้ สาวน้อยนางหนึ่งเริ่มรู้จักอารมณ์รักใคร่ หนุ่มน้อยมาเกี้ยวพาหยอกล้อ…”

ครานี้ข้าไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงแล้ว…มองเขาโคลงศีรษะไปมาอย่างเหม่อลอย ตะวันบนท้องฟ้าสาดแสงลงมา ข้ารู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่าง อยากจะฟุบลงไปนอนเสียเดี๋ยวนี้

ข้าอ้าปากกว้างหาวคำโต สะบัดหางทีหนึ่ง ข้าสังเกตเห็นขนหางนกบนมงกุฎกำลังแกว่งไกวไปตามศีรษะของจอมมารคชสาร ประเดี๋ยวแกว่งไปทางขวา ประเดี๋ยวแกว่งไปทางซ้าย คล้ายตอนเจ้านายเล่นไม้ล่อแมวกับข้าไม่มีผิด ทำให้ดวงตาของข้าเริ่มส่ายไปตามขนหางนกสองอันนี้ด้วยความเคยชิน

ซ้าย…ขวา ซ้าย…ขวา ซ้าย…ขวา…ในใจข้าคันยุบยิบ ร่างกายไม่อยู่ในความควบคุม กรงเล็บค่อยๆ ยืดยาวออกมา จิตใจจดจ่อรอพริบตาที่ขนหางจะหยุดนิ่ง

ทันทีที่บทกวีกล่อมนอนหยุดลง ข้าก็กระโจนเข้าใส่ขนหางนกด้วยอานุภาพดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยง

บทที่เจ็ด ลาก่อนเจ้านาย

 จอมมารคชสารตกใจจนล้มกลิ้งไปกับพื้น หลบกรงเล็บแหลมคมของข้า

ราชาอินทรีที่อยู่ด้านข้างโกรธแค้นขึ้นมา “หญิงชั่วร้าย! ต่อให้ไม่รับปากการขอแต่งงาน ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายพี่น้องของข้ากระมัง! สังหารนางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ไม่รู้ว่าอิ๋นจื่อกับจอมมารวัวกระทิงที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจยาวเหยียดด้วยเหตุใด

ข้ายังคงหมุนไปรอบๆ ไล่ตามขนหางนกของจอมมารคชสารอย่างสนุกสนาน

เหตุใดต้องตีข้า!

ขณะกำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่นั้น จู่ๆ ตะขอเหล็กก็จู่โจมเข้ามาตรงหน้า ข้ารีบพุ่งไปที่ด้านข้าง เบี่ยงตัวหลบพ้นจากการถูกแทงท้องไปได้หวุดหวิด

ราชาอินทรีไม่ได้หยุดการโจมตีเพราะการหลบหลีกของข้า ตะขอเหล็กของเขาโค้งตวัดมุ่งมาที่ศีรษะของข้า ท่าทางคล้ายไม่ตายไม่ยอมเลิกรา

ข้าโมโหขึ้นมาแล้ว หางชี้ชันขึ้น จับจ้องราชาอินทรีที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารตรงหน้าอย่างดุดัน คำรามเสียงต่ำพร้อมจะต่อสู้ ความทรงจำผุดขึ้นมาอีกครั้ง มือเคลื่อนไหวไปตามความคิด กรงเล็บยาวและคมกริบดุจใบมีดปรากฏขึ้น

“เหมียวเหมียว…” จอมมารคชสารพูดขึ้นมาด้วยความเสียใจ “เจ้าชิงชังข้ามากจริงหรือ”

ข้ายังไม่ได้ตอบ ราชาอินทรีก็ชิงด่าออกมาก่อน “เจ้าช่างโง่งม! ยังไม่รีบตื่นขึ้นมาอีก หญิงผู้นี้ปั่นหัวเจ้าเล่น หลายปีมานี้มีบุรุษในแถบนี้ไม่รู้เท่าไรถูกนางพูดจายั่วเย้าแค่คำสองคำก็ลุ่มหลงจนจิตใจเคลิบเคลิ้มมัวเมา นางเคยรับหมั้นใครจริงเสียเมื่อไร เห็นเจ้าเป็นคนโง่ชัดๆ!”

เพิ่งจะสิ้นเสียง เขาก็ชูตะขอจู่โจมมาที่ข้า ข้าก็ไม่เกรงใจยื่นกรงเล็บซ้ายออกไปต้านรับ กรงเล็บอีกข้างก็ตะกุยไปที่หน้าอกตรงหัวใจของเขา ราชาแรดเห็นแล้วตื่นตระหนก รีบพุ่งเข้ามาใช้กำปั้นขวางไว้ “อย่าทำร้ายพี่น้องของข้า!”

ข้าไม่ได้ลดพลังในการจู่โจมลง ตะกุยกำปั้นของเขาเป็นแผลสี่รอย กระนั้นก็ตัดเส้นเอ็นเห็นกระดูก โลหิตสดหยาดหยด เพียงพอที่จะทำให้เขากุมมือร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

“น้องสาม!” จอมมารคชสารร้องขึ้น เขามองบาดแผลของราชาแรดแล้วก็มองข้า ดวงตาเริ่มแดงไปด้วยเส้นโลหิตฝอย แววตามีประกายไม่อยากจะเชื่อปรากฏอยู่ “เหตุใดเจ้าจึงเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้!”

ข้ากำลังเลียคราบโลหิตบนกรงเล็บในมือ ได้ยินคำพูดของเขามีแววตำหนิก็รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “ก็เขาตีข้า…”

“สังหารนางแล้วค่อยว่ากัน แก้แค้นให้น้องสาม!” ราชาอินทรีจู่โจมเข้ามาอย่างดุดันอีกครั้ง จอมมารวัวกระทิงรีบพุ่งเข้ามาช่วยข้าโดยเอากระบองเหล็กต้านตะขอคู่ของเขา

หลัวช่ากับอิ๋นจื่อก็ชักกระบี่ออกมา ทั้งสองรุมโจมตีราชาแรดที่ถูกทิ้งอยู่คนเดียว

จอมมารคชสารลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กระทืบเท้า สั่นสะเทือนจนพื้นดินไหวภูเขาโยกคลอน เขาดึงค้อนทองคำออกจากเอวแล้วทุบลงมาที่ข้าอย่างแรง ข้ารีบหลบ กรงเล็บทั้งสองพุ่งแหวกอากาศออกไป เกิดเป็นกระแสลมคมกริบสี่สาย

จุดที่กระแสลมพาดผ่าน ต้นไม้นับร้อยต้นเอนล้มลงพร้อมเพรียงกัน หินก้อนใหญ่ที่แข็งแกร่งแตกเป็นสองท่อน ยอดเขาทั้งยอดถูกตัดไปแถบหนึ่ง พังโครมลงมาอย่างไม่เต็มใจ ทำให้ความสูงลดลงมา

“กรงเล็บทะลวงฟ้าที่ยอดเยี่ยม!” จอมมารคชสารหลบไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่าขนหางนกสองเส้นบนมงกุฎกลับถูกตัดขาด เขายกค้อนทองคำทุบลงไปที่พื้นดินติดๆ กันไม่หยุดด้วยความโกรธแค้น

พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เทือกเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าถูกแรงสั่นสะเทือนจนแยกออกเป็นช่องและค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น การทรงตัวของทุกคนเริ่มไม่มั่นคง การเคลื่อนไหวถูกรบกวนอย่างหนัก

ราชาแรดเห็นจอมมารคชสารใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็รีบถอยหลังเพื่อหลบอานุภาพการโจมตี ส่วนราชาอินทรีกลับกางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วจู่โจมเข้าใส่ข้าโดยไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแต่อย่างใด

ข้าเหยียบก้อนหินที่ร่วงหล่นลงมาแล้วกระโดดพุ่งขึ้นไปยังที่สูงอย่างปราดเปรียว พอกระโดดขึ้นไปถึงที่สูงก็โจนทะยานออกไปเกาะอยู่บนแผ่นหลังราชาอินทรี แล้วกัดปีกของเขาเต็มแรง

ราชาอินทรีได้รับความเจ็บปวด ร้องเสียงดังออกมาคำหนึ่งแล้วพลิกตัวไปมา “เจ้า! มารดามันเถอะ! ลงไปเดี๋ยวนี้!”

“เมี้ยว เมี้ยว เจ้านกหน้าเหม็นกล้าตีข้า” ข้าส่งเสียงออกมาอย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อย กลับยิ่งกัดแน่น กระทั่งโลหิตสดเต็มปาก

“ข้าจะให้เจ้าตายไปพร้อมกับข้าเสียเลย!” ราชาอินทรีเดือดดาลสุดขีด ใช้ตะขอคู่ฟาดลงมาที่แผ่นหลังตนเอง แรงที่ฟาดลงมาคล้ายจะให้ทะลุตัวเขาออกไป

“น้องรอง! อย่า!”

“พี่รอง! อย่า!”

จอมมารคชสารกับราชาแรดร้องตะโกนเป็นเสียงเดียว

“น้องสาวบุญธรรม! ระวัง!”

“ลูกพี่! ระวัง!”

จอมมารวัวกระทิงกับอิ๋นจื่อตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

ในช่วงคับขันอันตราย ข้าพลันเกิดประกายความคิดขึ้น ถึงกับนึกวิธีเปลี่ยนกลับเป็นร่างแมวออกอย่างรวดเร็ว ร่างเดิมที่เล็กบอบบางอยู่แล้วใช้หลบกระบวนท่าไม้ตายที่จะเอาชีวิตได้พอดี

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะกลายร่างเป็นแมว ตะขอคมกริบของราชาอินทรีก็ยังฟาดลงมาไม่ถึงตัวข้า ที่พื้นดินราบเรียบจู่ๆ ก็มีลมพายุพัดโหมขึ้นมาทั้งสี่ด้าน หินทรายปลิวว่อนไปหมด พัดม้วนเอาร่างของข้าและราชาอินทรี รวมถึงก้อนหิน ต้นไม้จำนวนมากขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพัดพาไปยังที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว…

“เมี้ยว!” ข้าถูกพัดจนหลุดจากร่างของราชาอินทรี อดที่จะร้องออกมาไม่ได้ ก้มหน้าลงก็เห็นหลัวช่าถือพัดใหญ่ด้ามหนึ่งอธิบายกับจอมมารวัวกระทิงอย่างใสซื่อ “ข้าเข้าใจว่านางกำลังจะตาย…ขออภัยด้วย”

ข้าถูกลมพัดหอบหมุนไปจนอยากอาเจียน ภาพเบื้องหน้าพลันดำมืด หมดสติไปทันที

 

ตอนฟื้นขึ้นมาเป็นช่วงโพล้เพล้แล้ว รอบด้านมีแต่ป่าอันเปล่าเปลี่ยว ข้าตกลงมาจนกระดูกทั้งตัวเจ็บไปหมด กระทั่งเดินก็ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง

พยายามตะเกียกตะกายเดินไปทั้งที่ไม่มีจุดหมาย เดินไปสองสามก้าวก็หยุดพัก เดินไปอีกสองสามก้าว ก็หยุดพัก…

ข้าไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ใด…แต่ข้าอยากกลับบ้าน…

เมื่อก่อนตอนกลางคืนข้าเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกไม่กลับบ้าน เจ้านายก็จะร้อนใจถือไฟฉายเที่ยวตามหาไปทั่ว ไม่ว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่ในท่อน้ำ อยู่ในพุ่มหญ้า ช่องว่างตรงบันได หรือบนต้นไม้ เขาก็หาข้าพบจนได้ จากนั้นก็อุ้มอย่างอ่อนโยนพากลับบ้าน เปิดอาหารกระป๋องที่อร่อยให้

แต่…ครั้งนี้เจ้านายไม่ได้มาตามหาข้า

เขาใช่ไม่ต้องการฮวาเหมียวเหมียวแล้วหรือไม่ จึงได้ทอดทิ้งข้า เหมือนเจ้านายของมีมีที่ทิ้งมีมีให้นางไปเป็นแมวจร ปล่อยให้ถูกคนรังแกเช่นนั้น

ข้าไม่กล้าคิดต่อไปอีก และไม่ได้คิดอะไรต่อไป เพียงมองดวงตะวันยามสายัณห์อย่างเหม่อลอย ตะวันในยามสายัณห์แดงยิ่ง คล้ายไข่แดงเค็มโตๆ ลูกหนึ่ง แผ่เสน่ห์ดึงดูดใจคนออกมา ยั่วยุจนท้องของข้าร้องจ๊อกๆ

ข้าหมอบอยู่บนพื้น เห็นมดกำลังขนย้ายอาหารทีละน้อย ทั้งร่างแมวของข้าหิวจนวิงเวียนตาลาย ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยนิด เพียงอยากจะนอนหลับอยู่ตรงนี้ อาศัยความฝันอันงดงามมาลืมเลือนความทุกข์ที่อยู่ในใจ

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหู จังหวะฝีเท้าเช่นนี้ข้าคุ้นเคยดีไม่ต่างอะไรกับเสียงร้องของตน เสียงนี้น่าจะอยู่ทางตะวันตกห่างออกไปยี่สิบหลี่

ข้ารีบเงยหน้าขึ้นมา ยกอุ้งเท้าขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนหยุดฝีเท้า ในดวงตาก็มีคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทั้งวันทั้งคืนปรากฏขึ้นมาจริงๆ…

ข้าไม่รู้จะบรรยายถึงรูปร่างหน้าตาของเขาเช่นไร เพราะไม่มีคำใดมาให้ข้าใช้ได้ แต่ถ้ามีคนนับพันนับหมื่นคนมาอยู่รวมกัน ข้าเชื่อว่าตนเองยังคงมองเห็นและหาตัวเขาท่ามกลางผู้คนทั้งหมดพบได้ในพริบตาเดียว และหลังจากนั้นก็จะมองไม่เห็นการมีอยู่ของคนอื่นๆ อีกเลย

ในชีวิตของข้ายังไม่เคยเห็นใครรูปงามยิ่งกว่าเขา และไม่เคยเห็นใครมีแรงดึงดูดใจยิ่งกว่าเขา เมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้ไม่มี ในอนาคตก็ไม่มีทางมี

เพราะเขาคือเจ้านายของข้า…

ข้ากระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปีนป่ายมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พยายามใช้ศีรษะน้อยๆ ถูไถหน้าอกของเจ้านาย ส่งเสียงร้อง “เมี้ยวๆ” ไม่หยุด แทบอยากจะเกาะติดเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกจากกันอีก

ทว่า…เจ้านายกลับขยุ้มหนังที่หลังคอข้าขึ้นมาอย่างแรง แยกข้าออกจากตัวเขา ยกตัวข้าขึ้นมาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

“เมี้ยว” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าเปิดปากพูด ข้ากลัวถ้าเจ้านายรู้ว่าข้าพูดได้จะไม่ต้องการข้า

เจ้านายจ้องข้าเขม็ง เอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ปีศาจแมวน้อยมาจากที่ใดกัน”

ข้าไม่ได้สนใจคำถามของเขา เพียงมองดวงตาทั้งสองของเขาอย่างงงงัน ข้าที่เมื่อก่อนแยกแยะสีสันไม่ออก ไม่เคยนึกเลยว่าดวงตาของเจ้านายจะงามเช่นนี้ สีของดวงตาคล้ายหญ้าอ่อนบนพื้นดิน แต่สะดุดตากว่า ชวนหลงใหลยิ่งกว่า กระทั่งยังงดงามยิ่งกว่าหยกที่อิ๋นจื่อห้อยอยู่ที่เอวเสียอีก ทำให้ข้าเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงอย่างที่สุด

“พูด!” เจ้านายตวาดถาม

ข้ายังคงมองเขาอย่างงุนงง ประหลาดใจเมื่อพบว่าเส้นผมดำขลับดุจสีนิลของเขาเปลี่ยนเป็นยาวแล้ว และรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบง่าย เส้นผมปลิวไหวไปตามสายลมล้อไปกับขนสัตว์สีขาวที่กุ๊นอยู่ตรงขอบเสื้อคลุมลม ร่างสูงโปร่งแต่ล่ำสันแข็งแรงห่อหุ้มด้วยเสื้อเกราะที่ทำด้วยเหล็กเป็นวงร้อยต่อกันส่งประกายสีเงินวิบวับ เอวสะพายกระบี่วิเศษที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเล่มหนึ่ง ทั่วร่างของเขามีรังสีเข่นฆ่าแผ่กระจายออกมาอย่างประหลาด

แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเช่นใด เขายังคงเป็นเจ้านายที่ข้าชอบที่สุด

“ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้ายังเป็นปีศาจน้อยตัวหนึ่ง วันนี้ข้าจะละเว้นเจ้าชั่วคราว”

ไม่รู้เพราะอะไร วันนี้เจ้านายจึงดูดุและเฉยเมยมาก…เขาถึงกับจับตัวข้าไว้แล้วเริ่มเขย่าไปมา คล้ายคิดจะสะบัดข้าออกไป ข้าโมโหขึ้นมาจึงกัดมือเขาอย่างแรง เขี้ยวที่แหลมคมแทงทะลุผิวหนัง โลหิตสดหลายหยดไหลเข้ามาในปาก

โลหิตเย็น มีรสชาติเย็นเฉียบถึงกระดูก พอลงคอกลับเริ่มร้อนแผดเผา ก่อกวนจนอวัยวะห้ากลั่นหกกรองเริ่มเจ็บปวด เจ็บจนข้าไม่อาจแผลงฤทธิ์ได้ แต่ยังคงมองเจ้านายไม่ยอมละสายตา

“แมวโง่งม ใครบ้างไม่รู้ โลหิตของเทพปี้ชิงมีพิษร้ายแรง” เจ้านายโยนข้าลงไป น้ำเสียงของเขาเมินเฉย ในดวงตากลับมีประกายกลัดกลุ้มรำคาญใจพาดผ่านจางๆ คล้ายกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง

โดยธรรมชาติแมวเป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูงมาก แต่ครั้งนี้ข้าปวดท้องมากจนทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ที่ทนไม่ได้ยิ่งกว่าก็คือเจ้านายหมุนตัวจะจากไป

เขาคิดจะทิ้งข้าไว้…

ข้าพยายามลุกขึ้นมา เท้าทั้งสี่สั่นเทาไม่หยุด แต่ก็ยังคงคลานไปข้างหน้าทีละก้าวๆ คลานไปถึงข้างเท้าเขา ข้าทนต่อความเจ็บปวด พยายามส่งเสียงร้อง พยายามถูไถศีรษะกับเท้าของเขา กลิ้งไปบนพื้น แสร้งทำน่ารัก เพียงเพราะอยากรั้งเขาไว้ อยากให้เขาพาข้ากลับบ้าน

เขากลับมองข้าอย่างไม่หวั่นไหว

ภาพเบื้องหน้าเริ่มมืดมิด โลหิตสดทะลักออกจากลำคอ ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต สรรพสิ่งในโลกเปลี่ยนเป็นภาพซ้อนทับ ใบหน้าของเจ้านายก็เปลี่ยนเป็นสามคน ข้าส่งเสียงร้องด้วยความเศร้ารันทดออกมาเป็นคำสุดท้าย ล้มพับลงไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ

ก่อนจะหมดสติ ข้าได้ยินเจ้านายทอดถอนใจยาวแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด…”

ข้าคิดว่าเขาคงยอมพาข้ากลับไปบ้านด้วยแล้ว…

 

แต่เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าสลัวใกล้เช้า ท้องก็ไม่ปวดอีก แต่เบื้องหน้ากลับไม่มีเงาร่างของเจ้านายอยู่แล้ว

บางทีเขาคงจากไปเพราะมีธุระกระมัง ข้าคิดในแง่ดี ครั้นแล้วก็นั่งอยู่ที่เดิมรอเขากลับมา

แต่ข้ารอตั้งแต่เช้าตรู่น้ำค้างเปียกชุ่มขน รอจนค่ำมืดดวงดาวทอแสงระยิบระยับไปทั่วพื้นปฐพี แล้วก็รอตั้งแต่มืดค่ำไปจนฟ้าสว่าง แล้วก็รอตั้งแต่ฟ้าสว่างจนมืดค่ำ…

รอจนกลางวันกลางคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไปสามรอบ รอจนพวกอิ๋นจื่อกับจอมมารวัวกระทิงตามหาข้าจนพบ เจ้านายก็ยังคงไม่กลับมา

ในที่สุดข้าก็เข้าใจ

ข้าถูกทอดทิ้งแล้ว…

เจ้านายไม่ต้องการข้าแล้ว…

เขาไม่ต้องการฮวาเหมียวเหมียวแล้ว…

อิ๋นจื่อฉุดลากข้า บอกให้ข้ากลับบ้าน ข้ากลับยืนอยู่ที่เดิมเป็นนานสองนานไม่ยอมจากไป

ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก เปรียบกับตอนที่มีอะไรกลิ้งไปมาอยู่ในท้องยังเจ็บปวดยิ่งกว่า…

อยากร้องไห้ยิ่งนัก แต่ข้าก็ไม่ได้ร้อง

เพราะโดยธรรมชาติแมวไม่มีน้ำตา…

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: