X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 8-9

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่แปด สามร้อยปี (แรก)

 

ข้าไม่มีบ้านแล้ว

แมวที่ไม่มีบ้านเป็นแมวป่า

อิ๋นจื่อบอกว่าข้าอยู่ที่ภูเขาลั่วอิงได้ ปีศาจและสัตว์ต่างๆ ในภูเขาลูกนี้ล้วนยกย่องข้าเป็นราชา

ข้าไม่รู้อะไรคือราชา แต่ก็ไม่มีที่ไป ดังนั้นจึงอยู่ที่นี่ต่อไป

 

(หนึ่งร้อยปีแรก)

 

โดยธรรมชาติแล้วแมวมีความทรงจำที่แย่มาก ข้าตัดสินใจจะลืมเจ้านาย เอาเรื่องไม่สบายใจโยนทิ้งไปเสีย ด้วยเหตุนี้ทุกวันจึงเที่ยวเล่นสนุกอยู่บนภูเขาไปทั่วทุกหนแห่ง ขี่เสือกินลม สู้กับหมีดำที่โฉดเขลา ยั่วเย้านกน้อยบนท้องฟ้าเล่น ไล่จับไล่ฆ่าหนูในป่า…

มักมีปีศาจจากที่ต่างๆ มาหาข้าเพื่อท้ารบหรือขอแต่งงานอยู่เสมอ ข้าคล้อยตามคำขอของพวกเขา ทั้งซัดพวกเขาจนปลิวกระเด็นไป ไม่ก็เล่นงานถึงตาย ภายใต้การต่อสู้บ่อยครั้งเช่นนี้ อิ๋นจื่อบอกว่าข้านับวันก็ยิ่งชอบการเข่นฆ่าสังหาร นับวันยิ่งโหดร้าย แทบจะกลายเป็นแมวป่าไปจริงๆ แล้ว…

แมวป่ามีอะไรไม่ดี ข้าส่ายหน้าอย่างไม่แยแส ใช้อุ้งเท้าขุดหลุมต่อไป จากนั้นก็ใช้เท้าถีบปีศาจเพียงพอนเหลือง ที่มารนหาที่ตายถึงประตูบ้านในวันนี้ลงไป เอาดินกลบฝังอย่างคล่องแคล่ว เช่นนี้ศพจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหม็น

อิ๋นจื่อเห็นข้าจัดการสนามรบเรียบร้อย จึงกระโดดลงมาจากที่สูง บอกอย่างชื่นมื่น “กำไรแล้ว กำไรแล้ว เพียงพอนเหลืองตัวนี้เป็นลูกพี่ใหญ่ของภูเขาเยี่ยนที่อยู่ติดกัน ครั้งนี้เขาตายแล้ว เขตอำนาจและสมบัติที่เขาเก็บสะสมไว้ก็ต้องตกเป็นของพวกเรา! เพชรพลอยที่น่ารักของข้าเอ๋ย เพชรพลอย…”

“เมี้ยว!” ข้าเห็นอิ๋นจื่อดีใจจนหมุนตัวไปรอบๆ ก็อดกระโดดโลดเต้นตามไปด้วยไม่ได้ “กำไรแล้ว กำไรแล้ว ปลาที่น่ารักของข้าเอ๋ย ปลา…”

การเคลื่อนไหวของอิ๋นจื่อหยุดนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าที่เบิกบานพลันเคร่งขรึม “ลูกพี่ คลังสมบัติไม่ใช่ปลา…”

“เป็นไก่ย่างหรือ”

“ไม่ใช่…”

“เช่นนั้นข้าไปนอนล่ะ” ได้ยินว่าไม่มีของกิน ข้าก็หมดอารมณ์อยากจะไปภูเขาเยี่ยนทันที เพียงสะบัดๆ หางแล้วเดินไปทางถ้ำ ตั้งใจจะนอนชดเชยให้เต็มที่

“อย่าเพิ่งสิ!” อิ๋นจื่อรีบพุ่งเข้ามา ขวางทางไปของข้าอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลูกพี่…ที่นั่นยังมีปีศาจน้อยมากมาย ท่านไม่ไป ข้าก็จัดการพวกเขาไม่ได้…”

“ไม่” ข้าเงยหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจ หูแมวที่อยู่บนศีรษะตั้งตรงดิก แสดงให้เห็นว่าไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย จากนั้นก็กลอกตาไม่หยุดพลางแอบมองเขา

อิ๋นจื่อที่เคยร่วมมือกันมาหลายครั้งย่อมเข้าใจความหมายของข้า เขากัดฟันกรอดๆ ยกนิ้วมือขึ้นมาสามนิ้ว “ทำปลาหลู* น้ำแดงให้ท่านกินสามตัว!”

ข้ามองๆ ท้องฟ้าแล้วอ้าปากหาว แต่ไม่พูดอะไร

“ห้าตัว!” อิ๋นจื่อเพิ่มจำนวนตัวปลา

ข้ามองพื้นหญ้านับจำนวนมด ยังคงไม่พูดอะไร

“สิบตัว…ไม่อาจเพิ่มอีกแล้ว! ข้าไม่เชี่ยวชาญการลงไปจับปลาในทะเล!” อิ๋นจื่อร้อนใจแล้ว สีหน้าบ่งบอกว่าเสียเปรียบมากแล้ว

“ต้องได้กินคืนนี้เลย” ข้าพยักหน้าด้วยความพอใจ บอกเขา “ไปกันเถิด”

อิ๋นจื่อเปลี่ยนร่างกลับเป็นอีกาด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม กางปีกออกแล้วร้องเรียกข้า “ขึ้นมาเถิด ห้ามกัดข้าอีก”

ข้ากระโดดขึ้นไปด้วยความเบิกบานใจ หมอบตัวลงเอาศีรษะถูไถขนอ่อนนุ่มสบายตรงคอของเขา นึกถึงผลของการต่อสู้ที่แสนอุดมสมบูรณ์ในวันนี้ด้วยความกระหยิ่มใจ แม้ปกติคนที่ทำอาหารให้ข้ากินก็คืออิ๋นจื่อ แต่ปลาหลูต้องไปไกลมากจึงจะมี แม้ข้าจะเดินทางได้วันละเป็นพันหลี่ แต่มักจำเส้นทางที่ไปจับปลาและเส้นทางที่กลับมาไม่ได้ ต้องเสียเวลามาก ดังนั้นจึงต้องอาศัยอิ๋นจื่อไปจับ แต่เจ้าคนผู้นี้เกียจคร้านมาก ไม่ยอมทำให้ข้ากินง่ายๆ ต้องใช้วิธีบังคับจึงจะได้มาสักตัวสองตัว ครั้งนี้จะได้มาทีเดียวถึงสิบตัว ที่เหลือข้าจะต้องให้อาจื่อปีศาจดอกไม้ทำเป็นปลาแห้งเก็บไว้ให้ดี!

นับปลาไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง พริบตาเดียวก็มาถึงภูเขาเยี่ยน

ข้าซัดกำปั้นตวัดกรงเล็บไม่กี่ครั้งก็จัดการปีศาจน้อยที่มาขวางทางไปจนหมดสิ้น อิ๋นจื่อพุ่งเข้าไปในห้องลับในถ้ำของปีศาจเพียงพอนเหลือง มองเพชรพลอยกองโตที่ส่งประกายระยิบระยับเต็มตา ประเดี๋ยวก็ลูบคลำอันนี้ ประเดี๋ยวก็ดูอันนั้น สุดท้ายก็หยิบถุงผ้าสีขาวใบใหญ่ออกมา เอาเพชรพลอยรวมทั้งทองคำ เงิน เครื่องประดับ แจกัน สิ่งของต่างๆ มากมายยัดลงไปทั้งหมด จากนั้นก็โยนถุงผ้าตุงๆ ที่สูงขนาดคนหนึ่งคนมาให้ข้าแบก แล้วบินกลับไปด้วยความเบิกบาน

ข้าแสดงท่าทีเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟในเรื่องนี้ “ข้าเป็นแมว! ไม่ใช่ม้าที่ทำงานแบกหาม!”

“ได้ๆๆ คราวหน้าข้าจะให้หลัวหม่าปีศาจม้ามาขน” อิ๋นจื่อตอบอย่างใจลอย

ข้าที่รู้สึกว่าถูกมองข้ามจึงกัดปีกเขาไปทีหนึ่งเสียเลย…

“อ๊ากกก!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของอิ๋นจื่อดังทะลุแผ่นฟ้าอีกครั้ง

(หนึ่งร้อยปี ครั้งที่สอง)

 

ปีศาจที่มาหาข้าเพื่อท้าต่อสู้นับวันยิ่งน้อยลง ปีศาจที่มาหาข้าเพื่อขอแต่งงานมีแต่ยิ่งน้อยลงยิ่งกว่า

วันเวลาเริ่มเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อ ครั้นแล้วข้าก็ข่มเหงสัตว์บนภูเขาเล่นทุกวัน เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งภูเขาพอเห็นข้าก็กลับหลังหันวิ่งหนี

อิ๋นจื่อตำหนิข้าอย่างจริงจัง บอกทำเช่นนี้ไม่ดี ถึงตอนนั้นสัตว์ทั้งหมดบนภูเขาจะหวาดกลัวหนีไปหมด ใครจะมาทำงานให้ข้า ใครจะมาเออออคล้อยตามข้า ใครจะมาจับปลาให้ข้ากิน

เขาพูดถึงเหตุผลต่างๆ มากมาย ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายเขาที่โมโหแทบคลุ้มคลั่งก็ยื่นคำขาดกับข้า “ถ้าท่านยังทำเช่นนี้ต่อไปอีก! ข้าก็จะไม่ทำปลาให้ท่านกินอีกแล้ว!”

ประโยคนี้ข้าฟังเข้าใจ ได้แต่ลู่ใบหูลงหน้าม่อยคอตก สาบานต่อฟ้าว่าจะไม่รังแกสัตว์บนภูเขาอีก จะรังแกก็ออกไปรังแกนอกภูเขา

 

วันเวลาต่อจากนั้น เพื่อจะไม่ให้ข้าเบื่อหน่าย อิ๋นจื่อจึงเริ่มให้ข้าศึกษาวิชาความรู้ อะไรนะ แรกเริ่มเดิมทีแมวเกิดมามีจิตใจดีงาม…ต่อจากนั้น…เอ้อ…ต่อจากนั้นข้าทำอย่างไรก็จำไม่ได้…

เวลาเขาสอนมีข้อดีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ เสียงของเขามีผลต่อการกล่อมให้หลับอย่างมาก ไม่ว่าปีศาจหรือสัตว์ตัวใด ขอเพียงฟังไปสักชั่วเวลาครึ่งก้านธูป* ก็จะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันทันที เรื่องนี้ทำให้ต่อมาในภายหลังเมื่อใดที่ข้านอนไม่หลับก็จะขอให้เขามาสอนวิชา

อิ๋นจื่อหงุดหงิดรำคาญและนึกเสียใจเป็นที่สุด บ่อยครั้งพอเห็นข้ามาก็จะหลบเข้าไปอยู่ในห้องลับเล็กๆ ของตนเพื่อชื่นชมเพชรพลอย ชื่นชมไปชื่นชมมา แต่ไม่ยอมออกมาชื่นชมข้าเสียที

ดังนั้นข้าจึงเริ่มคิด เพชรพลอยอาจจะเล่นสนุกอะไรได้ ตอนข้าแสดงท่าทีว่าสนใจ อิ๋นจื่อเป็นตายก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าไปในห้องลับ แต่เขาไม่ยินยอม ไม่ได้หมายความว่าข้าจะแอบเข้าไปไม่ได้สักหน่อย…

กุญแจประตูถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย ในนั้นเต็มไปด้วยทองคำเงินเพชรนิลจินดา เพชรพลอยสีต่างๆ ส่งประกายระยิบระยับชวนมองยิ่ง แต่ไม่สนุกแม้แต่น้อย

ข้าหยิบเพชรขนาดดวงตามังกรมาหลายเม็ด ดีดเล่นอยู่ที่พื้นเป็นนานสองนาน ทำอย่างไรก็หาความสนุกจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ และก็คิดไม่ออกว่าอิ๋นจื่อชอบพวกมันตรงที่ใด

บางทีอาจจะมีรสชาติดีมาก

ในสมองมีความคิดประหลาดผุดขึ้น ข้าจึงหยิบพลอยสีแดงที่สวยที่สุดเม็ดหนึ่งใส่ปากทันที เลียไปเลียมาแล้วกัดลงไปอย่างแรงโดยไม่ลังเล

พลอยแตกแล้ว ผลึกสีแดงแวววาวแตกกระจายเต็มพื้น สะท้อนเข้าไปในตาของอิ๋นจื่อที่เพิ่งเข้าประตูมา

ลูกตาของเขาพลันเบิกกว้าง ยืนตะลึงอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน ข้าพลันรู้สึกว่าดูเหมือนตนเองจะทำอะไรผิดไปแล้ว จึงรีบหลบออกนอกประตู ฉวยโอกาสที่เขายังไม่บันดาลโทสะหนีไป

เพิ่งจะออกพ้นประตูก็ได้ยินเสียงคำรามของเขา “ฮวาเหมียวเหมียว! เจ้าสารเลวผู้นี้! นั่นเป็นแก้วเจียระไนโมราแดงเพียงหนึ่งเดียวของข้า อ๊ากๆๆๆ!”

เสียงคำรามดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพี ข้าตกใจสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขนหางชี้พองขึ้นมาทุกเส้น เที่ยวเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกถึงสามวันเต็มๆ ไม่กล้ากลับมา

เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกท้องย่อมหิว รอจนหิวทนไม่ไหวแล้วข้าก็ย่องกลับมาเงียบๆ ทว่าอิ๋นจื่อยังคงไม่คลายโทสะ

เขาไม่ยอมทำอาหาร ไม่ยอมทำงาน ไม่ยอมพูดกับข้า เอาแต่มองเศษพลอยแดงด้วยความเสียใจทุกวัน หลั่งน้ำตาเงียบๆ ดวงหน้าน้อยที่ซีดขาวแลคล้ายสะใภ้น้อยในบ้านนายพรานล่าสัตว์ที่เชิงเขาที่ถูกแม่สามีชั่วร้ายข่มเหงรังแกทุกวัน…

ทำให้ข้ารู้สึกผิด…

แม้จะรู้สึกผิด แต่ข้าไม่ได้ขออภัย เพราะความหยิ่งยโสของแมวไม่อนุญาตให้ข้าขออภัยนกตัวหนึ่ง!

แต่…อิ๋นจื่อดูจะเสียใจมากจริงๆ…

หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้ว ข้าก็หาอาหารง่ายๆ กิน จากนั้นก็แบกปลาแห้งหลายชิ้นแล้วไปจากภูเขาลั่วอิง เริ่มเที่ยวระเหเร่ร่อนไปสุดหล้าฟ้าเขียว

ข้าไม่รู้ว่าใช้เวลาไปมากเท่าไร ปีนขึ้นไปบนยอดเขาจูมู่หล่างหม่า ที่สูงกว่าท้องฟ้า เดินเข้าไปในพื้นที่ต่ำเป็นท้องกระทะของถู่หลู่ฟาน ที่ร้อนอบอ้าว เคยบุกไปขั้วโลกใต้ที่มีผนึกน้ำแข็งยาวไกลนับหมื่นหลี่ ที่นั่นดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน ซัดมารปีศาจและมนุษย์ที่คิดจะข่มเหงข้าจนพ่ายแพ้ไปจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็พบหินกรวดแม่น้ำก้อนหนึ่งในลำธารที่ไหลมาจากภูเขาน้ำใสจนมองเห็นก้นบึ้ง

หินกรวดแม่น้ำละเอียดเกลี้ยงเกลาเป็นมันขลับ บนผิวมีลวดลายเป็นเส้นๆ หลากสีสัน รูปร่างลักษณะคล้ายแมวสามสีที่น่ารักตัวหนึ่ง เป็นความงามที่อัศจรรย์ยิ่ง จะต้องเป็นก้อนหินที่งดงามที่สุดในโลกแน่นอน!

ข้าวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความตื่นเต้นดีใจกลับไปภูเขาลั่วอิง หลังจากผ่านการหลงทางอีกหลายครั้ง ในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงหน้าอิ๋นจื่อ เอาหินกรวดแม่น้ำมอบให้เขาด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง กระดกหางขึ้นแล้วบอก “เก็บมาจากข้างทาง งามมากกระมัง!”

อิ๋นจื่อกลับไม่ได้ดีใจเหมือนที่ข้าคิดไว้ เขาประคองหินกรวดแม่น้ำไว้ในมือนิ่งงันอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “แมวโง่ ท่านไม่ได้กลับมาครึ่งปี เขตอำนาจของพวกเราถูกผู้อื่นยึดเอาไปครึ่งหนึ่งแล้ว!”

“เช่นนั้นก็ไปตีกลับคืนมาแล้วกัน” ข้าพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “ง่ายดายยิ่งนัก”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” น้ำตาของอิ๋นจื่อพลันร่วงเผาะๆ ลงมา ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก

ข้าตกใจ รีบดึงชายเสื้อของตนเช็ดน้ำตาให้เขา แต่น้ำตายิ่งมาก็ยิ่งมาก ทำอย่างไรก็เช็ดไม่หมด ครั้นแล้วข้าจึงขยับเข้าไป คิดจะเลียน้ำตาบนใบหน้าของเขา

คิดไม่ถึงว่าอิ๋นจื่อกลับคว้าหูข้าไว้แน่น หยุดสะอื้นแล้วด่าว่า “แมวโง่! ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว! ความเคยชินแย่ๆ ของท่านที่ชอบเที่ยวเลียเที่ยวคลอเคลียคนไปทั่วต้องเปลี่ยนเสียที! จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น!”

“เจ็บๆ!” ข้าส่งเสียงร้องไม่หยุด รีบใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งผลักออกไป เขาที่อ่อนแอก็ปลิวกระเด็นไปชนกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างทันที

ข้ายังคงสะบัดหูที่เจ็บอย่างไม่พอใจ มองเขาด้วยแววตาโกรธแค้น

อิ๋นจื่อกลับก้มหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว

“ขอบคุณ”

ข้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลข้อหนึ่ง

ที่แท้อีกาชอบถูกตี…

บทที่เก้า สามร้อยปี (หลัง)

 

(หนึ่งร้อยปี ครั้งที่สาม)

 

วันเวลาของข้าผ่านไปอย่างน่าเบื่อยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือรังแกสัตว์ล้วนเบื่อแล้ว กระทั่งเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ก็ยังเกียจคร้านแล้ว

ทุกวันก็ได้แต่สะบัดๆ ขนบนตัว จากนั้นก็วิ่งขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาลั่วอิง นอนผึ่งแดดอย่างเกียจคร้าน ไม่ก็เหม่อมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า นั่งครั้งหนึ่งก็อยู่ไปทั้งวัน

ในเศษเสี้ยวความทรงจำในสมอง ข้าได้จดจำสัญชาตญาณในการต่อสู้ที่ใช้อยู่เป็นประจำเอาไว้ ส่วนเรื่องอื่นล้วนโยนทิ้งไปหมดไม่มีเหลือ

ข้ารู้สึกว่าในช่วงเวลาที่ตนโยนทิ้งไปนั้น คล้ายได้ลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญไป ในใจเหมือนมีช่องโหว่เล็กๆ อยู่ช่องหนึ่ง อุดถมอย่างไรก็ไม่เต็ม แต่ของสิ่งนั้นที่แท้แล้วคืออะไรกันแน่

ปลา ไก่ย่าง ลูกหนังไหมพรม หญ้าหางสุนัข หรือหยกสีเขียวอันงดงาม

ข้าทนไม่ไหวจึงไปถามอิ๋นจื่อผู้เฉลียวฉลาด อิ๋นจื่อกลับเอาแต่เช็ดถูเพชรพลอย เขาบอกกับข้าอย่างดูถูก “สมองเช่นท่านมีวันใดบ้างไม่ลืมโน่นนี่ นอกจากกินอาหาร ต่อสู้กับผู้อื่นแล้ว ข้าก็ไม่เห็นท่านจดจำอะไรได้แม่นยำ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่พอหันหน้าไปก็ลืมแล้ว เรื่องบางอย่างข้าก็คร้านจะว่าท่านแล้ว…นับเป็นความอัปยศของเหล่าปีศาจโดยแท้”

คำบ่นว่าของเขาทำให้ข้าไม่ชอบใจอย่างมาก ข้าจึงตวัดอุ้งเท้าไปหนึ่งที สนอง ‘ความชอบถูกตี’ ของเขา แล้วกลับไปนอนเหม่อลอยบนยอดเขาอีกครั้ง

 

วันเวลาผ่านไปอย่างไม่หยุดยั้ง พี่ใหญ่จอมมารวัวกระทิงเคยมาเยี่ยมข้าที่นี่หลายครั้ง มาทีไรก็จะเตือนข้าว่าอย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ หลังจากข้าเข้าใจความหมายของเขาแล้วก็ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ถ้าทุกวันไม่นอนหรือเหม่อลอย เวลาก็จะไม่ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ”

เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง

“เช่นนั้น…ผึ่งแดดก็แล้วกัน”

สีหน้าของจอมมารวัวกระทิงพลันเปลี่ยนเป็นอับจนปัญญา เขาบอก “แมวโฉดเขลาเบาปัญญาสอนไม่ได้”

ข้ามองค้อนอย่างเหยียดหยาม แอบคิดในใจ…พูดจาส่งเดช ปลา กับแมวเป็นคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างขึ้นมาต่างหาก

 

ต่อมา จอมมารวัวกระทิงบอกว่าเขาได้ไปรู้จักปีศาจร้ายกาจตนหนึ่งชื่อราชันวานรโสภา และได้สาบานเป็นพี่น้องกัน ถามข้าว่าจะไปพบหน้าปีศาจตนนั้นหรือไม่ ไปกินอาหารด้วยกันสักมื้อ

ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ลิงตัวหนึ่งจะร้ายกาจได้สักเพียงใด ด้วยความอยากรู้จึงรับคำเชิญของเขาเดินทางไปที่ภูเขาหั่วเยี่ยน คิดไม่ถึงว่าลิงตัวนั้นกลับลงไปทะเลตะวันออก ข้าจึงไปเสียเที่ยว ในใจรู้สึกไม่พอใจ หลังจากกินปลาที่พี่สะใภ้หลัวช่าทำไปไม่กี่ตัว ก็ขี่หลังอิ๋นจื่อเดินทางกลับ

นึกไม่ถึงว่าภายหลังลิงตัวนั้นจะถูกสวรรค์เรียกตัวไปรับใช้เทพเซียน สิ่งที่ตามมาก็คือเทพปี้ชิงแม่ทัพอันดับหนึ่งของเหล่าทวยเทพออกจากด่านมาอีกครั้ง ปีศาจมากมายที่ก่อกรรมทำชั่วล้วนถูกเขาสังหาร

ในเวลาอันสั้น แดนปีศาจโลหิตไหลนองดุจสายน้ำ เทพปี้ชิงชื่อนี้ได้กลายเป็นฝันร้ายของเหล่าปีศาจทั้งหมด

ข้ากลับรู้สึกว่าชื่อนี้ออกจะคุ้นหู จึงวิ่งไปถามอิ๋นจื่อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะกำลังยุ่งอยู่กับการขุดหลุมฝังทองคำและเงิน พยายามเอาเพชรพลอยเครื่องประดับที่สาดประกายแวววาวใส่ลงไปในถุงใหญ่ใบหนึ่ง ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจข้า

ข้ายืนอยู่ด้านข้างมองเขาทำงานมือไม้พันกันยุ่ง ถามด้วยความอยากรู้ขึ้นอีก “เพราะอะไรเจ้าต้องเอาของมาฝังไว้”

อิ๋นจื่อหันมาบอกข้าอย่างจริงจัง “ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า เกิดเทพปี้ชิงมาถึง เวลาหนีพวกเราแค่แบกห่อของไปก็ได้แล้ว”

“เหตุใดจึงต้องหนี” ข้าไม่เข้าใจ

“เพราะเขาร้ายกาจยิ่ง!” อิ๋นจื่อพูดไปก็หาตะกร้ากิ่งหลิวมาใส่เครื่องหยกไปด้วย

ข้าถามอีก “เปรียบกับฮวาเหมียวเหมียวแล้วยังร้ายกาจกว่า?”

“ใช่!” อิ๋นจื่อตอบอย่างเฉียบขาด

ครั้นแล้วข้าก็รีบไปเก็บปลาแห้งและไก่ตากแห้งทั้งหมดของตนใส่หีบห่อไว้ เอามาวางรวมกับเพชรพลอยของอิ๋นจื่อ เพื่อความสะดวกในการหนีในวันข้างหน้า

ช่วงกระวนกระวายจิตใจไม่สงบนี้ เทพปี้ชิงกลับไม่ได้มา ห่อของของอิ๋นจื่อนับวันก็ยิ่งห่อใหญ่ขึ้น ส่วนห่อของของข้านับวันยิ่งเล็กลง…

แต่ความเคยชินที่จะต้องวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาลั่วอิงเพื่อดูก้อนเมฆ ผึ่งแดด นอนเกียจคร้านกลับไม่เคยเปลี่ยน

ตอนนอนหลับ ข้าฝันไปมากมาย ในฝันมักปรากฏบุรุษผู้หนึ่ง ร่างคลุมด้วยแสงเงินแสงทองหลากสีสัน เท้าเหยียบเมฆมงคล ลักษณะท่าทางของเขาดูสง่าน่าเกรงขาม องอาจห้าวหาญยิ่ง เอวสะพายกระบี่วิเศษ ในอ้อมแขนกอดปลาแห้งอยู่ และพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ‘ฮวาเหมียวเหมียว ไป กลับบ้านกัน ข้าจะทำปลาให้เจ้ากิน’

ข้าเคยเล่าความฝันอันงดงามนี้ให้อิ๋นจื่อฟัง อิ๋นจื่อกลับไม่คำนึงถึงกิริยามารยาท เขาหัวเราะจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ข้าจึงไม่พูดถึงอีก…

 

ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ดินฟ้าอากาศเหมาะแก่การนอนอย่างยิ่ง ข้าโก่งตัวขึ้น บิดขี้เกียจ อ้าปากกว้างหาวหวอด แล้วเลียๆ ขนตามตัว เตรียมจะหลับต่อ คิดไม่ถึงว่าที่สุดขอบฟ้าจะมีแสงเงินแสงทองปรากฏขึ้น

เหมือนในความฝันไม่มีผิด

มีบุรุษผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนเมฆขาว ร่างคลุมด้วยแสงเงินแสงทองหลากสีสันเหาะมาทางที่ข้าอยู่ ร่างของเขาสูงโปร่ง เสื้อคลุมสีขาวกับเสื้อเกราะที่ทำด้วยเหล็กเป็นวงร้อยต่อกันสีเงินถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต เส้นผมดำทั้งศีรษะที่มัดรวบไว้ข้างหลังง่ายๆ ของเขาถูกสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นเล็กน้อยพัดปลิวปรายไปในอากาศ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของเขาประกอบกันได้อย่างงดงามไร้ที่ติ ไม่อาจเพิ่มหรือลดแม้แต่น้อยนิด โดยเฉพาะนัยน์ตาสีเขียวมีประกายนุ่มนวลยิ่งกว่าใบไม้คู่นั้น เปรียบกับหยกเขียวที่โปร่งใสที่สุดแล้วยังใสกระจ่างยิ่งกว่า คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน…หัวใจของข้าเต้นรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย

“เมี้ยว” ข้าพยายามทักทายเขาอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขาได้ยินเสียงร้องของข้าก็กดเมฆลง มาถึงตรงหน้า มองดูข้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ข้าที่ไม่กลัวการพบปะผู้คนแล้วก็ก้าวเข้าไปอย่างขวัญกล้า เอาศีรษะถูไถรองเท้าหุ้มแข้งของเขาอย่างสนิทสนม เบิกดวงตาแวววาวกลมโตมองเขา รอเขาหยิบปลาแห้งออกมา

“เป็นเจ้าอีกแล้วปีศาจแมวน้อย ช่างไม่กลัวตายเสียจริง” เขาถอนใจออกมาทีหนึ่ง ก้มลงมา ยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมาแตะขนอ่อนนุ่มที่ศีรษะข้าเบาๆ หลังจากเห็นว่าไร้การต่อต้านก็วางลงมาทั้งมือแล้วเริ่มลูบไล้

มือของเขาเย็นมาก อากัปกิริยาในการลูบตามขนก็แข็งกระด้าง แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกสบายอย่างที่สุด ชอบเป็นอย่างยิ่ง

ขณะกำลังเสพสุขอยู่นั้น พลันมีเสียงอิ๋นจื่อร้องตะโกนมาจากด้านหลัง “ลูกพี่! รีบหนี! เขาคือเทพปี้ชิง!”

ข้ายังไม่ทันได้ทำความเข้าใจสามคำนี้ บุรุษผู้นั้นก็ยืนขึ้นทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่ง เขาชักกระบี่ยาวเย็นเยือกออกจากเอวตวาดใส่อิ๋นจื่อ “ปีศาจที่มาจงแจ้งชื่อเดี๋ยวนี้!”

รังสีเข่นฆ่าแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ต้นไม้ก็ยังสั่นระริก พลังที่แข็งแกร่งเกรียงไกรกดคุกคามจนข้าออกจะรู้สึกไม่สบายตัว

อิ๋นจื่อยิ่งตื่นตระหนกจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ตัวสั่นงันงก พูดแทบไม่เป็นคำ “ข้า…ข้าเป็นอีกาน้อยที่มีฌานตบะหลายร้อยปีตัวหนึ่งเท่านั้น ข้าชื่ออิ๋นจื่อ ข้าไม่ได้ทำร้ายมนุษย์!! ข้าไม่ได้ปล้นสะดม! ท่านเทพได้โปรดไว้ชีวิต!”

บุรุษผู้นั้นไม่ได้ตอบเขา กลับชี้กระบี่มาที่ข้า ถามขึ้น “แมวตัวนี้เล่า”

“นาง…นางชื่อเหมียวเหมียว ฌานตบะยิ่งอ่อนด้อย! เป็นแมวโง่ที่ไม่มีค่าพอจะกล่าวถึงตัวหนึ่งเท่านั้น!” อิ๋นจื่อดูเหมือนจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านต่อไป “พวกเราอยู่ที่ภูเขาลั่วอิงแห่งนี้ คบหากับผู้คนน้อยมาก ทั้งไม่ได้ก่อกรรมทำชั่ว และไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต! ไม่เชื่อไปถามชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงดูได้ ท่านเทพได้โปรดไว้ชีวิต! ไว้ชีวิตด้วย!”

ข้าไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดอิ๋นจื่อจึงโกหก รีบแย้งขึ้น “พูดเหลวไหล! ข้าร้ายกาจยิ่ง! เดือนที่แล้วยังสังหารปีศาจหนูตัวหนึ่ง ยังมี…ยังมี…”

อิ๋นจื่อตกใจจนใบหน้าซีดเผือด พยายามทำมือทำไม้ให้ข้าหุบปาก

“ยังเคยสังหารคนผู้หนึ่ง!” ข้าไม่ได้สนใจการทำมือทำไม้ของอิ๋นจื่อ โอ้อวดตนต่อบุรุษผู้นั้นด้วยความภาคภูมิใจต่อไป

บุรุษผู้นั้นสีหน้าเยียบเย็น มุมปากกลับหยักยกขึ้นน้อยๆ “เจ้าเคยสังหารคน?”

“อืม คนผู้นั้นมาที่นี่ บอกว่าเขาคือราชาแห่งขุนเขา สังหารคนแล้วชอบไม่ฝัง เอามาโยนไว้ในลานบ้านข้า แทบจะทำให้ข้าเหม็นตาย” ข้าหวนนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่อยากจะย้อนกลับไปนึกถึง พูดอย่างกลัดกลุ้ม “อิ๋นจื่อไปเรียกเขาให้มาขุดหลุมฝังเอง เขาไม่ยอม ยังคิดจะกัดอิ๋นจื่อด้วย ข้าจึงตีเขาตาย”

“เขาไม่ใช่กัด แต่คิดจะ…ช่างเถิด พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ” อิ๋นจื่อเงียบไป แล้วมองบุรุษที่อยู่ด้านหลังอย่างน่าสงสาร “เทพปี้ชิง…ที่สังหารในครั้งนั้นเป็นโจรร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วทุกอย่าง พวกเราทำไปก็ด้วยสถานการณ์บังคับ…ท่านละเว้นพวกเราปีศาจน้อยทั้งสองด้วยเถิด”

ในที่สุดครั้งนี้ข้าก็เข้าใจถึงชื่อนี้แล้ว ที่แท้เขาก็คือท่านเทพร้ายกาจที่ระยะนี้อิ๋นจื่อเฝ้านึกถึงทั้งคืนทั้งวัน จึงอดเบิกตากว้างมองเขาไม่ได้ เป็นนานก็พูดอะไรไม่ออก

บรรยากาศรอบด้านนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน รังสีเข่นฆ่าค่อยๆ จางลง

เทพปี้ชิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วกลับคืนสู่ความเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือมาคว้าลำคอด้านหลังข้าแล้วหิ้วตัวขึ้นมาพลางกล่าวกับอิ๋นจื่อ “ละแวกใกล้เคียงนี้ไม่ได้ยินข่าวว่ามีปีศาจก่อกรรมทำชั่วจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะละเว้นพวกเจ้า ต่อไปก็ทำตัวให้ดี”

อิ๋นจื่อได้รับการอภัยโทษ ทั่วร่างพลันรู้สึกผ่อนคลาย เขาระบายลมหายใจยาว เห็นข้ายังถูกจับตัวอยู่ก็รีบเอ่ยถาม “แล้ว…แล้วปีศาจแมวตัวนี้เล่า”

“แมวตัวนี้เคยดื่มโลหิตของข้า มีวาสนาเซียน ข้าเห็นแก่ที่นางนิสัยซื่อตรงไม่โกหกหลอกลวง จะพากลับไปสวรรค์รับไว้เป็นศิษย์ เปลี่ยนความเคยชินที่ไม่ดี นับแต่นี้มุ่งทำความดี” เทพปี้ชิงพูดอย่างจริงจังยิ่ง

อิ๋นจื่อได้ยินคำหนึ่งก็เบ้หน้าไปส่วนหนึ่ง ฟังถึงตอนท้าย ข้าก็รู้สึกว่าทั้งหน้าของเขาเป็นตะคริวไปแล้ว

น่าโมโหเสียจริง หรือเขาเห็นว่าข้าไม่ซื่อตรง โกหกหลอกลวง…

ข้ายังไม่ทันได้ส่งเสียงตำหนิกล่าวโทษ เทพปี้ชิงก็หิ้วข้าเหยียบขึ้นไปบนก้อนเมฆทำท่าจะผละจากไป อิ๋นจื่อได้สติรีบกระโจนเข้ามาร้องเรียก “ท่านเทพ…นาง…นางหัวสมองโง่เขลายิ่ง เกรงจะทำให้อับอายไปถึงท่านเทพที่อบรมสั่งสอน!”

“ไม่เป็นไร”

เทพปี้ชิงเพิ่งกล่าวจบ ก้อนเมฆก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ข้ายังคงถูกหิ้วอยู่ในมือเขา ถูกลมพัดจนร่างแกว่งไปมา ไม่สบายตัวอย่างมาก

อิ๋นจื่อกางปีกบินมา เขาพยายามจะไล่ให้ทันก้อนเมฆ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกทิ้งไว้จนไกล ไกลมาก…

ข้ามองเงาร่างของเขาที่เล็กลงทุกที ในใจมีความรู้สึกไม่สบายอย่างประหลาดพวยพุ่งขึ้นมา

“เมี้ยว…”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: