บทที่ 4 ที่แท้ก็แฟนคลับนี่เอง
เมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นมาในใจ เหมียวเหมี่ยวก็รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจมองฟางไหลหยางตรงๆ ได้
พวงแก้มเธอเริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่อาจยับยั้ง เธอหันไปอีกด้านหนึ่ง ดวงตาหลุบไปมองภาพสะท้อนใบหน้าด้านข้างของฟางไหลหยางบนกระจกแทน ถึงจะไม่ชัดเจนนัก ทว่าก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติจากทุกท่วงท่าของอีกฝ่าย
เพราะเหมียวเหมี่ยวเป็นคนติดบ้านมาก ไม่ได้คบหาใครสักเท่าไร กับผู้ชายแล้วยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงหนุ่มหล่อเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เธอได้พบกับฟางไหลหยางครั้งแรก ในใจของเหมียวเหมี่ยวมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นว่าหนุ่มหล่อที่อาศัยอยู่ที่เคหาสน์เฟิ่งเฉิงคนนั้นไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียว แต่ยังเป็นเศรษฐีด้วย! ทว่าตอนนี้เธอกลับสงสัยว่าตัวเองกำลังใช้อารมณ์อ่อนไหวแอบสังเกตฟางไหลหยางอยู่หรือเปล่า เหมียวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังแกะสลักอยู่ไม่มีผิด เหลือบมองดูครั้งหนึ่งก็จดจำรายละเอียดใบหน้าของเขาเก็บไว้ในใจ แล้วเริ่มแกะสลักออกมาเป็นหน้าคน
จริงๆ เธอก็ไม่ได้ห่างเหินจากความรู้สึกนี้นักหรอก เมื่อเดือนก่อนเหมียวเหมี่ยวชอบนักร้องนำในวงบอยแบนด์เข้าคนหนึ่ง โดยสังเขปแล้วก็เป็นความรู้สึกประมาณนี้นี่แหละ เหมียวเหมี่ยวหลับหูหลับตามองโลกในแง่ดี บอกตัวเองว่าคงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกัน
ฟางไหลหยางมองตรงไปข้างหน้า ตั้งอกตั้งใจมองถนน ในขณะที่ขับรถของเหมียวเหมี่ยวอยู่ เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่า ณ เวลานี้ เหมียวเหมี่ยวกำลังได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรง
สายตาของฟางไหลหยางมักเฉียบคมอยู่เสมอ คนที่พบเจอเขาเป็นครั้งแรกมักจะค่อนข้างหวาดกลัว เพื่อนที่คบหากันมานานเองก็ไม่ค่อยกล้าล้อเล่นกับฟางไหลหยาง แต่ว่าเมื่ออยู่กับคุณเหมียวไก่ฉีกนักเขียนการ์ตูนที่เขาชื่นชอบมากแล้ว ฟางไหลหยางกลับมีท่าทีอบอุ่น
และเพราะอย่างนี้เองจึงเกิดเป็นความเข้าใจผิดของเหมียวเหมี่ยวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอฟางไหลหยางว่าเขาเป็นคนอบอุ่นมากๆ
เมื่อทั้งสองคนเข้าใกล้จุดหมาย ฟางไหลหยางก็หันหน้ามามองเหมียวเหมี่ยวแล้วเตือนเธอว่า “ใกล้จะถึงแล้วนะ อย่าหลับอีกล่ะ”
“ไม่นอนแล้วค่ะ…” เหมียวเหมี่ยวจิตใจปั่นป่วน
เมื่อฟางไหลหยางจอดรถที่เชิงเขาเรียบร้อยแล้ว เขาก็คืนกุญแจรถให้เหมียวเหมี่ยว ขณะที่เดินไปก็ส่งข้อความให้เฉินตั๋วไปด้วย
‘มาครบหรือยัง’
แม้จะเป็นคำเรียบง่ายแค่สี่คำ แต่ว่าเมื่อส่งให้คนที่เป็นผู้ช่วยของฟางไหลหยางมาหลายปี แวบแรกเฉินตั๋วก็เข้าใจได้เองว่าในนั้นประกอบด้วยความนัยจำนวนมาก
‘มากันครบแล้วครับ รอกันอยู่ที่ศาลาพักผ่อนหลังแรกของทางขึ้นเขา เตรียมอาหารกับเครื่องดื่มไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้คุณมาถึง เดินทางปลอดภัยนะครับ’
เมื่อส่งข้อความเสร็จแล้ว เฉินตั๋วก็ซาบซึ้งใจกับอีคิวอันสูงส่งของตัวเอง
ฟางไหลหยางเหลือบมองดูข้อความแวบหนึ่ง เก็บมือถือโดยไม่ได้คิดอะไร แถมยังรู้สึกว่าข้อความที่เฉินตั๋วตอบกลับมาเยิ่นเย้อเกินไป ไม่กระชับ
เหมียวเหมี่ยวยังคงออกแรงยกเป้ปีนเขาออกมาจากที่เก็บของท้ายรถอีกฝั่งหนึ่ง เธอเอาเปรียบคนอื่น ก็เลยรู้สึกไม่ดีเอามากๆ เธอรู้ว่าเขาฟางซานเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปิกนิก ฉะนั้นเมื่อคืนเหมียวเหมี่ยวเลยซื้อขนมมาเยอะแยะ รวมไปถึงของแช่แข็งด้วย แต่ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูหนาว อากาศหนาวยังมีความร้อนปนอยู่ อาหารแช่แข็งจึงพากันละลายไม่รู้จักหยุดหย่อน น้ำไหลจ๊อกๆ อย่างสบายอารมณ์
เหมียวเหมี่ยวนำเป้ปีนเขาวางบนพื้น เอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าก็พลันทำหน้าเศร้า ฟางไหลหยางเดินกลับมา เห็นสีหน้าของเธอก็สงสัย “เป็นอะไรไป”
เหมียวเหมี่ยวรูดซิปให้ฟางไหลหยางดู “ฉันซื้อบาร์บีคิวเสียบไม้แช่แข็งมา ตอนนี้ละลายหมดแล้ว…ในกระเป๋ามีแต่น้ำ โธ่…แถมฉันยังเอาสมุดสเก็ตช์ภาพมาเพราะอยากจะซึมซับบรรยากาศเสียหน่อย แต่ก็เปียกไปหมดแล้ว…” เธอพูดเหมือนจะร้องไห้พลางดึงสมุดสเก็ตช์ภาพที่เปียกไปส่วนหนึ่งออกมา
ฟางไหลหยางเห็นกระเป๋าที่เธอเอามาก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เขาสะพายแค่กระเป๋าใบเล็กๆ เบากว่าเป็นไหนๆ เพราะรู้ว่ายังไงเฉินตั๋วก็ต้องเตรียมข้าวของอื่นๆ ไว้หมดแล้ว ตัวเองเอามาแค่ของที่จำเป็นก็พอ แต่เขาไม่คิดว่าเหมียวเหมี่ยวจะถึงขั้นเอาเป้ปีนเขาที่ใบใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของตัวเธอมาด้วย
ฟางไหลหยางจงใจถามเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณวาดรูปเป็นด้วยเหรอ”
“เอ่อ…” เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า “ฉัน…ชอบวาดรูปน่ะค่ะ วาดเล่นๆ เท่านั้นเอง” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยด้วยความถ่อมตัว แกว่งสมุดสเก็ตช์ภาพไปมา ทั้งคู่มองหยดน้ำไหลออกจากสมุดร่วงลงพื้น ก็พลันมองหน้ากันอย่างหมดคำพูด
ฟางไหลหยางส่ายหน้าแล้วคว้าสมุดสเก็ตช์ภาพในมือของเหมียวเหมี่ยวมา เปิดไปสองสามหน้าก็พบว่ายังไม่ได้เปียกมากเท่าไร ส่วนใหญ่ยังไม่บุบสลาย ดูเหมือนว่าปกติแล้วเธอจะใช้สมุดเล่มนี้จดแรงบันดาลใจ ข้างในวาดอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด บางครั้งก็มีตัวหนังสือหวัดๆ สีสันฉูดฉาด ฟางไหลหยางเปิดดูให้ช้าลงอีกหน่อย ถึงได้มองเห็นคำว่า ‘เหมียวไก่ฉีก’ อย่างชัดเจน
เขาคืนสมุดให้เหมียวเหมี่ยวโดยไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วค้นกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมา
แมวเหมียวตัวนี้คงฝึกเซ็นชื่ออยู่สินะ
ฟางไหลหยางก้มหน้าลง รูดซิปกระเป๋าสะพาย แต่ก็อดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้
เหมียวเหมี่ยวลากกระเป๋ามาไว้ข้างๆ ฟางไหลหยาง คว้าสมุดสเก็ตช์ภาพส่วนที่ไม่เปียกน้ำหลายสิบหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามฟางไหลหยาง “จะทำอะไรเหรอคะ”
ฟางไหลหยางไม่ตอบ ทว่าดึงทิชชูหลายแผ่นออกมาแล้วแผ่ออก จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบสมุดสเก็ตช์ภาพมา วางทิชชูลงระหว่างส่วนที่เปียกชื้น เมื่อปิดสมุดเข้าที่ก็ยัดคืนใส่มือเหมียวเหมี่ยว
“อ่า…” เหมียวเหมี่ยวเห็นเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยความว่องไวก็เอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณนะคะ”
“ขึ้นเขากันเถอะ ผู้…เพื่อนผมรออยู่”
ฟางไหลหยางชี้ไปที่บันไดขึ้นเขา เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า ลากเป้ปีนเขาขนาดมหึมาพร้อมคิดว่าจะสะพายขึ้นหลัง
ฟางไหลหยางเห็นสภาพแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เอ่ยเตือนเธอ “ดูเหมือนว่ากระเป๋านี้จะหนักกว่าตัวคุณซะอีกนะ ระวังด้วยก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ! ฮึบ ฉันแรงเยอะน่ะค่ะ!” เหมียวเหมี่ยวคุยโวพลางสะพายกระเป๋าไปด้วย อย่างกับว่าทั้งตัวถูกอัดจนเตี้ยไปหนึ่งเซนติเมตร สายสะพายด้านหนึ่งพลิกอยู่บนไหล่ของเธอ เธอเอื้อมมือกลับไปอยากจะพลิกกลับแต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แค่กระโดดขึ้น อยากให้กระเป๋าสะพายกระเด้งขึ้นพร้อมกับเธอ จะได้ปรับสายให้เข้าที่
ผลปรากฏว่าการกระโดดคราวนี้ทำให้เธอเสียสมดุล เหมียวเหมี่ยวถูกเป้ปีนเขาดึงตัวหงายหลังลงไป
“กรี๊ด!” เหมียวเหมี่ยวอยากคว้าอะไรเอาไว้เป็นหลักยึดจึงโบกมือทั้งสองข้างขึ้นสะเปะสะปะ
ฟางไหลหยางก้าวไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งคว้าแขนขวาของเหมียวเหมี่ยวเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งยกเป้ปีนเขา รักษาสมดุลให้เหมียวเหมี่ยว
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าไหล่ของตัวเองเบาลง พอแรงกดที่ถูกเป้ปีนเขาฉุดเอาไว้จนหายใจไม่สะดวกเมื่อสักครู่มลายหายไปก็อดโล่งใจไม่ได้ เอ่ยอย่างรู้สึกผิด “พลาดไปแล้ว ฉันพลาดไปแล้วค่ะ”
“ให้ผมสะพายเอง” ฟางไหลหยางเอ่ยอย่างจนใจ
“คะ?” เหมียวเหมี่ยวมองเขาปลดกระเป๋าออกจากตัวด้วยความงุนงง
“ถือเอาไว้” ฟางไหลหยางส่งกระเป๋าใบเล็กไปไว้ในมือเหมียวเหมี่ยว เธอก็รีบร้อนกอดเอาไว้
จากนั้นฟางไหลหยางก็จับเป้ปีนเขาเอาไว้แล้วดึงสายสะพายขึ้นมา “แขนซ้าย” เหมียวเหมี่ยวเอาแขนซ้ายออกจากสายสะพายแต่โดยดี
“แขนขวา”
เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า ดึงแขนขวาออกมาอย่างเชื่อฟัง
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกได้ถึงการกระทำต่อไปของอีกฝ่ายก็รีบเอ่ย “ฉันสะพายเองดีกว่าค่ะ”
ฟางไหลหยางสะพายเป้ปีนเขาขนาดมหึมาโดยไม่ได้สนใจเธอ
เหมียวเหมี่ยวเอามือกุมใบหน้า รู้สึกว่าตัวเองบกพร่องในหน้าที่เกินไป ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขาก็ตีอกชกหัวแสดงออกว่าตัวเองไม่ควรทำอย่างนี้
“วันนี้ฉันเป็นคนขับรถที่ถูกจ้างมาแต่สุดท้ายคุณก็เป็นคนขับ ของกินมากมายที่อยากเอามาแสดงความขอบคุณสุดท้ายคุณก็เป็นคนแบก เป็นความผิดของฉันเอง” เหมียวเหมี่ยวสะพายกระเป๋าของฟางไหลหยาง ในมือถือสมุดสเก็ตช์ภาพ พร่ำบ่นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ฟางไหลหยางอยู่ข้างหน้าเหมียวเหมี่ยวสองขั้นบันได เดินไม่กี่ก้าวก็หยุดรอให้เหมียวเหมี่ยวรีบตามขึ้นมา เขาได้ยินเสียงของเธอก็หันมาปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
อีกฝ่ายไม่ได้ถือสา แต่เหมียวเหมี่ยวจะไม่ถือสาไม่ได้ เธอหอบแฮกๆ ไร้อารมณ์ชื่นชมวิวสวยๆ โดยสิ้นเชิง อย่างกับว่าสมุดสเก็ตช์ภาพในมือกลายเป็นภาระ ประโยชน์เดียวที่มีก็แค่พัดให้มีลมเท่านั้น
“ฉัน…ว่าฉันต้องออกกำลังกายหน่อยแล้วล่ะ” เหมียวเหมี่ยวหายใจหอบ
ฟางไหลหยางตอบ “รู้ตัวเองก็เป็นเรื่องดีนะครับ”
เหมียวเหมี่ยวโน้มตัวลง เอามือยันเข่า เงยหน้าขึ้นมองฟางไหลหยางที่อยู่ข้างบน เธอถูกเข่าอันเมื่อยล้าทำร้ายเสียจนรู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ไม่ได้ชวนให้ใจเต้นขนาดนั้นแล้ว
จู่ๆ ฟางไหลหยางก็เดินลงบันไดมาขั้นหนึ่งแล้วยื่นมือขวาให้เธอ
“คะ?”
เขาดึงสมุดสเก็ตช์ภาพที่เหมียวเหมี่ยวหนีบเอาไว้ที่ใต้แขนอย่างสบายๆ
“สู้เขานะ” ฟางไหลหยางทิ้งท้ายไม่กี่คำ จากนั้นก็สาวเท้าเดินขึ้นเขาไปอย่างแข็งขัน
เหมียวเหมี่ยวเอียงคอ จิตใจว้าวุ่น
เขารู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เธอก็ถือไม่ไหวแม้แต่สมุดสเก็ตช์ภาพ
เหมียวเหมี่ยวโอบกอดจิตใจอันว้าวุ่นเอาไว้ ในที่สุดเธอก็ปีนมาถึงศาลาพักผ่อนหลังแรก เพื่อนร่วมงานในบริษัทของฟางไหลหยางต่างสะพายกระเป๋าใหญ่น้อยนั่งอยู่ที่นั่นอย่างนอบน้อม เหมียวเหมี่ยวคิดว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนๆ ของฟางไหลหยาง ก็รู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างมาก
“เพราะฉันคนเดียวเลยถึงได้มาถึงช้าขนาดนี้ ทำให้เพื่อนๆ ของคุณต้องรอนาน” เมื่อเข้าใกล้กับศาลาพักผ่อน เหมียวเหมี่ยวก็เอ่ยกับฟางไหลหยางอย่างนั้น
ฟางไหลหยางไม่อยากให้เหมียวเหมี่ยวรู้ว่าเขาจงใจนัดเวลาไม่ให้ตรงกัน จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเมินเฉยว่า “พวกเขาไม่ถือสาหรอกน่า”
เฉินตั๋วเห็นฟางไหลหยางเดินขึ้นมาแต่ไกล ก็ให้เพื่อนร่วมงานในห้องประธานสะพายกระเป๋าเตรียมเดินทางต่อ พวกเขาจะต้องไปถึงยอดเขาก่อนถึงจะเริ่มวางข้าวของปิกนิกกันได้
ฟางไหลหยางเดินเข้ามาในศาลาพักผ่อน เฉินตั๋วก็เอ่ยถามเป็นการทักทาย “ประ…”
คำว่า ‘ประธานฟาง’ กำลังจะหลุดปาก เฉินตั๋วก็รู้สึกว่าฟางไหลหยางจ้องเขาตาเขม็ง สายตานั้นดุร้ายอย่างกับเสือผู้หิวโหยจะกระโจนเข้าหาเหยื่อ ทำเอาเฉินตั๋วตกใจจนชะงัก ลุกลี้ลุกลนเปลี่ยนการเรียกขาน “หยางจื่อ นายช้าจังเลย ทุกคนรออยู่นะ”
ฟางไหลหยางหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจที่ถูกเรียกด้วยความเอ็นดูว่า ‘หยางจื่อ’ แต่ว่าเฉินตั๋วพูดออกไปแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนคำพูดได้อีก เสี่ยวเจิ้งแอบดึงชายเสื้อของเฉินตั๋วอยู่ข้างหลัง เอ่ยเสียงเบา “ผู้ช่วยเฉิน เป็นอะไรไปครับ”
“หุบปากแล้วเรียกตามผม” เฉินตั๋วเอ่ยจบก็หันกลับไปส่งสายตาเงียบๆ
เสี่ยวเจิ้งไม่เข้าใจแต่ก็ทำตาม พร้อมกับส่งสายตาให้กับบรรดาเพื่อนร่วมงานอีกที
ฟางไหลหยางไม่ได้สนใจพวกเขาอีกต่อไป แต่พาเหมียวเหมี่ยวมาแนะนำกับเฉินตั๋ว “เขาชื่อเฉินตั๋ว ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นเพื่อนของเขาน่ะ เฉินตั๋ว นี่เหมียวเหมี่ยว เป็นคนขับรถที่มาส่งฉันวันนี้”
เหมียวเหมี่ยว “…”
เฉินตั๋ว “…”
ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกัน จุดบอดเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี
“แหะๆ ทุกคนเป็นเพื่อนของคุณนี่เอง…” เหมียวเหมี่ยวตัดจบอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฟางไหลหยางมองเฉินตั๋วแวบหนึ่ง อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ถูกสีหน้าโศกเศร้าของเฉินตั๋วยับยั้งไว้ ฟางไหลหยางเลิกคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เฉินตั๋วก็รีบร้อนรับบทพูด “ฮ่าๆ หยางจื่อค่อนข้างสนิทกับผมน่ะ ปกติทำงานยุ่งจนเกินไป วันนี้ผมก็เลยบังคับให้เขามาเที่ยวด้วยกัน คุณเหมียวไม่ต้องอึดอัดไปนะครับ รู้จักกันแล้วก็เท่ากับว่าเป็นเพื่อนกันหมดนี่แหละ”
การที่เฉินตั๋วได้รับตำแหน่งผู้ช่วยของฟางไหลหยาง นอกจากความสามารถในการทำงานและความเชื่อฟังคำสั่ง เขายังเก่งกาจในการเข้าสังคมอีกด้วย ฟางไหลหยางไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นๆ มาตั้งแต่เด็ก และทำอะไรตามอารมณ์เสมอ การที่เขาสามารถสนทนา พูดคุยธุรกิจกับเถ้าแก่ของแต่ละบริษัทได้ก็นับเป็นความดีความชอบของเฉินตั๋วด้วย
เสี่ยวเจิ้งดึงเลขาฯ ที่อายุมากหน่อยมาถามเสียงเบา “ประธานฟางไม่ให้พวกเราเรียกเขาตามตำแหน่งสูงต่ำเพราะผู้หญิงคนนี้ใช่หรือเปล่า”
เพื่อนร่วมงานสาวกลอกตาใส่เขา “ไม่ต้องทายมั่วซั่ว แล้วเล่นละครให้ดีเถอะน่า”
เสี่ยวเจิ้งตกตะลึง เขาเกาหัว ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้…น่าสนใจจริงๆ
ทุกคนทำความรู้จักกันสองสามประโยค แล้วก็เริ่มเดินทางสู่ยอดเขาอีกครั้ง
ร่างกายของเหมียวเหมี่ยวรับไม่ไหวจริงๆ ครั้งสุดท้ายที่เธอออกกำลังกายอย่างหนักแบบนี้ก็คือตอนสอบปลายภาควิ่งแปดร้อยเมตรในวิชาพละสมัยเรียนปีหนึ่ง เธอวิ่งเสร็จก็เป็นลมไปเลย ตอนนี้เธอรู้สึกว่าทุกครั้งที่ขึ้นไปได้ชั้นหนึ่ง ก็เหมือนกับมีอะไรทิ่มแทงที่กลางฝ่าเท้าอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับว่าข้อเท้าผูกไว้ด้วยกระสอบทรายหนักห้าร้อยกิโลกรัม ทุกครั้งที่หายใจเข้าก็รู้สึกว่าจะสิ้นลมในวินาทีถัดไป
เสี่ยวเจิ้งอายุไล่เลี่ยกับเหมียวเหมี่ยว เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกดีกับเด็กสาวหน้าตาน่ารักทั้งยังอายุเท่ากันอย่างเหมียวเหมี่ยว เขาเดินขนาบเธอแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “เหมียวเหมี่ยว คุณไหวหรือเปล่า ให้ผมพักเป็นเพื่อนคุณก่อนมั้ย”
เฉินตั๋วหันกลับไปมองพวกเขาสองคน แล้วมองฟางไหลหยางที่อยู่ข้างๆ ตัวเองซึ่งกำลังมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้สีหน้าใดๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง เขาเองไม่ได้เข้าใจจิตใจของหัวหน้ามากนัก รู้ก็แต่ว่าวินาทีนี้ใบหน้าของหัวหน้ามีความอึมครึมอะไรบางอย่าง
พวกเขาเดินมาได้ครึ่งทางก็มีลานโล่งกว้างให้ทุกคนพักเหนื่อย และมีเตาสำหรับย่างบาร์บีคิวด้วย
ฟางไหลหยางก็ออกคำสั่งทันที “เอาล่ะ วันนี้ปีนถึงตรงนี้ก็แล้วกัน หลังกินมื้อกลางวันแล้วถ้าใครยังมีแรงก็ปีนขึ้นยอดเขากันเองนะ”
เฉินตั๋วมองนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะสิบโมงครึ่ง กินมื้อกลางวัน…ตอนนี้เนี่ยนะ?
แต่ว่าฟางไหลหยางพูดออกมาอย่างนี้แล้ว เฉินตั๋วก็ไม่อาจโต้แย้ง เขาสอบถามเพื่อนร่วมงานว่าจะพักกันตรงนี้ได้หรือเปล่า ย่างบาร์บีคิวกัน ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจจึงอดกลั้นไว้ไม่ได้เอ่ยอะไร อัดอั้นจนหน้าเสียกันไปหมด
“อ๊ะ? จะไปยอดเขากันไม่ใช่เหรอคะ” เหมียวเหมี่ยวงุนงง
เสี่ยวเจิ้งตบไหล่ของเธอ “ฮ่าๆๆ ดูแล้วเธอคงจะฝืนไปถึงยอดเขาไม่ไหวหรอก พักตรงนี้ก็แล้วกันนะ”
เหมียวเหมี่ยวไม่อาจตอบโต้ แค่เพียงเงยหน้าขึ้นก็เห็นฟางไหลหยางมองมาที่เธอ สายตาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ยังไม่ทันมองให้ชัดก็ได้ยินเสี่ยวเจิ้งกระแอมขึ้นสองครั้ง พึมพำอะไรสักอย่างแล้วก็เดินจากไป เหมียวเหมี่ยวมองเงาหลังของเขาด้วยความสงสัย ไม่ว่ามองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนว่าเขาหนีเตลิดไป
ฟางไหลหยางโบกมือให้เธอ เหมียวเหมี่ยวเดินเข้าไปหา “เรียกฉันเหรอคะ”
ฟางไหลหยางพยักหน้า “วางกระเป๋าลงสิ พวกเราพักกันหน่อยเถอะ”
เหมียวเหมี่ยวมองดู ‘บรรดาเพื่อนๆ’ ของฟางไหลหยางเริ่มวางเตาย่าง จุดไฟ เอาไม้เสียบผักต่างๆ ก็ขมวดคิ้ว เธอค่อนข้างรู้สึกผิด “งั้นฉันไปช่วยด้วยดีกว่านะคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ฟางไหลหยางดึงแขนเธอเอาไว้
“แต่ว่า…”
“คุณพักให้สบายเถอะ ในกระเป๋าผมมีหนังสือ ถ้าเบื่อก็เอาไปอ่านได้นะ” ฟางไหลหยางเอ่ยจบก็ถอดเสื้อคลุมออก เปลี่ยนเป็นสเว็ตเตอร์ที่ใส่สบายกว่า แล้วตามหลังเลขาฯ คนหนึ่งไปล้างผัก
เหมียวเหมี่ยวอึ้งอยู่นานสองนาน เห็นนิ้วมือเรียวยาวของฟางไหลหยางแยกส่วนรากของผักกวางตุ้งออกด้วยความชำนาญ ล้างอย่างละเอียด ใบหน้าที่ก้มลงถูกผมบังเอาไว้เล็กน้อย เห็นดวงตาได้ไม่ชัดนัก ทว่าริมฝีปากที่เม้มแน่นบอกเหมียวเหมี่ยวว่าชายคนนี้เป็นคนทำอะไรตั้งใจ แม้…เธอจะเห็นพี่สาวที่อยู่ข้างๆ เขามีท่าทีตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกก็ตามที
เหมียวเหมี่ยวมองอยู่สักครู่ก็รู้สึกเบื่อจึงหยิบดินสอขึ้นมาสเก็ตช์ภาพลงในสมุดด้วยความว่องไว วาดเค้าโครงใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นมา วาดครั้งแรกเหมียวเหมี่ยวก็พบว่ามันออกมาได้สวยมากทีเดียว แต่พอเธอเกิดไม่กล้ามองเป็นครั้งที่สองจึงไม่วาดต่อเพราะขาดความมั่นใจ เหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีใครมองเธออยู่ก็รีบเปิดกระเป๋าที่อยู่ข้างๆ ยัดสมุดสเก็ตช์ภาพเข้าไปข้างใน มือก็คลำเจอหนังสืออีกเล่มหนึ่ง เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้ง คิดถึงคำพูดที่ฟางไหลหยางเพิ่งพูดไว้ ‘ถ้าเบื่อก็เอาไปอ่านได้นะ’
เมื่อเธอหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบาร์บีคิวที่อยู่เหนือไฟ อายจนอยู่ไม่สุข
มันคือหนังสือการ์ตูนปกน่ารักน่าชัง มีแมวพันธุ์อเมริกันช็อตแฮร์เวอร์ชั่นจิบิหนึ่งตัวอยู่บนนั้น ด้านบนมีตัวอักษรกับตัวเลขกลมดิกเขียนว่า ‘ผู้กล้าบุกอาณาจักรแมว 2’
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนหนังสือการ์ตูนที่ถืออยู่กำลังไหม้จนลวกมือของเธอ หนังสือเล่มนี้ดูค่อนข้างเก่า เหมือนกับว่าถูกอ่านไปหลายรอบแล้ว
เมื่อคิดได้ว่าหนังสือการ์ตูนเล่มนี้เป็นของชายคนนั้น เหมียวเหมี่ยวก็รู้สึกอับอายขึ้นไปอีก ทำไมหนุ่มรูปร่างสูง ฐานะร่ำรวย ใบหน้าหล่อเหลา และดูมีสติปัญญาดีคนนี้ถึงได้อ่านการ์ตูนน่ารักติงต๊องของเธอได้ล่ะ?! จะต้องมีเด็กสาวหรือเด็กเล็กในบ้านของเขาชอบก็เลยยัดเยียดให้เขาแน่! ถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาว่าเธอคือคนเขียนการ์ตูนเล่มนี้ล่ะก็…พระเจ้า อย่าให้ฉันมีชีวิตอยู่อีกเลย
ความอยากรู้อยากเห็นก่อให้เกิดความวุ่นวายก็จริง แต่เหมียวเหมี่ยวก็ยังเปิดหน้าปกผ่านตาครั้งหนึ่ง เห็นแผ่นรองปกสีขาวว่างเปล่าก็โล่งใจขึ้นมาทันที ดีนะที่เขาเป็นไม่ได้ซื้อเวอร์ชั่นที่มีลายเซ็นมา
“คุณดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงของฟางไหลหยางดังขึ้นจากบนศีรษะของเธอ
เหมียวเหมี่ยวตัวสั่นระริก ขนลุกไปทั่วทั้งตัว
เธอเหยียดรอยยิ้มอย่างประดักประเดิด “เอ่อ…ก็ดูไปเรื่อยเปื่อยค่ะ…ไม่คิดนะคะว่าคุณฟางจะชอบการ์ตูนแนวนี้ด้วย…”
“เรียกชื่อผมก็พอครับ การ์ตูนเรื่องนี้วาดออกมาได้ไม่เลวเลยล่ะ” ฟางไหลหยางนั่งลงข้างๆ เธอ ถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือทั้งสองข้างเบาๆ จากนั้นก็จัดแขนเสื้อให้เข้าที่ ท่าทางนุ่มนวลสง่างาม นิ้วมือของเขากำลังเริงระบำอยู่
เหมียวเหมี่ยวเห็นอากัปกิริยาของเขากับการพูดจาที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีบุคลิกอย่างชนชั้นสูง ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าเขาจะอ่านการ์ตูนของเธอ
“ดะ…ดียังไงคะ ดูติงต๊องจะตายไป” เหมียวเหมี่ยวเยาะเย้ยตัวเองอย่างสุดความสามารถ
ฟางไหลหยางส่ายหน้า ตอบโต้ว่า “ไม่ติงต๊องหรอก ถึงสไตล์การวาดจะน่ารักมาก เนื้อเรื่องเรียบง่าย แต่ว่าข้างในสื่อหลักการที่มีแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะเข้าใจเอาไว้เยอะแยะเลย”
เหมียวเหมี่ยวเกาศีรษะ ยังไงเธอก็คิดไม่ออกว่าการ์ตูนของตัวเองซ่อนความนัยเอาไว้ตรงไหน “หลักการอะไรเหรอคะ…”
“พวกเราเป็นมนุษย์ ตามธรรมชาติแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะชี้ชะตาโลก แต่การ์ตูนเรื่องนี้กลับสลับคาแร็กเตอร์ตามปกติไป แมวเป็นเจ้านายของโลกใบนี้ คนต่างหากที่ถูกเลี้ยงดู มีวันหนึ่งตัวละครหลักที่เป็นคนป่าสูญเสียพ่อแม่ไป แล้วยังถูกญาติๆ ทิ้งขว้าง เขาตกลงใจว่าจะร่อนเร่ไปทำมาหากินในเมืองแมวที่ถูกเรียกว่าเป็นเมืองสวรรค์ เสาะหาที่พักพิง ในตอนแรกการผจญภัยในเรื่องไม่ได้ออกแบบไว้พิเศษนักหรอก แต่ผมรู้สึกได้ว่าคนวาดจะต้องเป็นคนจิตใจเข้มแข็งแล้วก็มองโลกในแง่ดีมากๆ เลยล่ะ” ฟางไหลหยางเอ่ยเสียงทุ้ม “คุณอ่านดูได้นะ ผมชอบนักวาดคนนี้น่ะ” เสียงของเขาทุ้มต่ำเจือด้วยแรงดึงดูดราวกับเสียงเชลโล หลอกล่อให้นักวาดการ์ตูนอ่านการ์ตูนของตัวเอง
“แค่ก…” เหมียวเหมี่ยวหน้าแดง ลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง “อย่าง…อย่างนี้นี่เอง น่าสนใจจังนะคะ ฮ่าๆๆ”
“ผมซื้อภาคที่สองมาสามเล่ม” ฟางไหลหยางเอ่ยขึ้นกะทันหัน
“แค่กๆๆ” เหมียวเหมี่ยวตื่นตระหนกจนสำลักน้ำลายตัวเอง
“เล่มนึงยังไม่ได้แกะ อีกเล่มนึงเป็นเวอร์ชั่นลายเซ็น เล่มนี้เอาไว้อ่านซ้ำๆ โดยเฉพาะเลย”
“…เหอะๆ เอ่อ…เหมือนฉันตอนบ้าดาราไม่มีผิดเลย” เหมียวเหมี่ยวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
เสียแรงที่เมื่อกี้เธอดีใจว่าเขาไม่มีเวอร์ชั่นลายเซ็น ไม่คิดว่าเขาคนนี้จะเอามาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ส่วนเล่มที่อยู่ในมือนี่เป็นเล่มเอาไว้อ่านอย่างสมบุกสมบัน
เหมียวเหมี่ยวไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับแฟนคลับที่ไม่รู้ตัวตนของเธอคนนี้อย่างไรดี
เกิดเขาจับได้ขึ้นมา สถานการณ์แบบนั้นคงจะอิหลักอิเหลื่อน่าดู อย่างน้อยๆ เธอก็จะลำบากใจมาก ตัวเหมียวเหมี่ยวเองไม่ได้เรื่องขนาดนี้ นอกจากวาดรูปแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นเลย เขาต้องผิดหวังมากแน่ๆ
ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่พื้นที่ของภูเขาลูกนี้ส่วนใหญ่มีต้นสนเติบโต จึงยังดูเขียวชอุ่มงอกงาม ตำแหน่งที่เหมียวเหมี่ยวนั่งมองเห็นเมืองฝูเฉิงได้ครึ่งเมือง เหมือนฟางไหลหยางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ รบเร้าจะเอามือถือของเหมียวเหมี่ยว จากนั้นก็กวักมือเรียกเฉินตั๋ว
“มีอะไรเหรอ ประ…หยางจื่อ” เฉินตั๋วจุดไฟจนเนื้อตัวท่วมไปด้วยเหงื่อ วิ่งเหยาะๆ เข้ามา มือไม้เต็มไปด้วยสีดำจากถ่าน
ฟางไหลหยางขมวดคิ้ว มองเขาด้วยสายตารังเกียจ “เรียกคนมือสะอาดๆ มานี่หน่อยสิ”
เฉินตั๋วมองมือของตัวเองพลางลูบมือด้วยความเกรงใจ เมื่อเห็นเสี่ยวเจิ้งที่กำลังช่วยจัดการเรื่องอาหารอยู่เดินผ่านไป ก็รีบร้อนรั้งเขาเอาไว้ “มานี่ ประ…หยางจื่อเรียกนายน่ะ”
เสี่ยวเจิ้งกระโดดถอยออกไปสองก้าวด้วยความรังเกียจ “พี่เฉิน! มือสกปรกจะตาย! นี่เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเลยนะ!”
“ไว้จะซักให้น่า หยางจื่อเรียกนายน่ะ” เฉินตั๋วเอ่ยด้วยความเหลือทน
เสี่ยวเจิ้งกะพริบตาปริบๆ ก้าวเขาไปตรงหน้าฟางไหลหยาง “ประ…” พยางค์แรกกำลังจะหลุดปากก็ถูกเฉินตั๋วที่อยู่ข้างหลังบิดเข้าที่เอว เสี่ยวเจิ้งรีบห่อตัว เปลี่ยนไปเรียกเขาว่า “พี่ฟาง มีอะไรเหรอครับ”
เฉินตั๋วที่อยู่ด้านหลังไม่กล้ามองหน้าฟางไหลหยางตรงๆ
“ถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยสิ” ฟางไหลหยางยื่นมือถือของเหมียวเหมี่ยวให้เสี่ยวเจิ้ง
“ได้เลยครับ” เสี่ยวเจิ้งรับมือถือไป ถอยหลังไปสองสามก้าว ปากยังแนะนำการโพสอย่างมืออาชีพ “ใช่ๆ ขยับเข้ามาใกล้กันอีกหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็โอบไหล่ไปเลยครับ”
“ไม่ต้องโอบไหล่หรอกมั้งคะ…” เหมียวเหมี่ยวยิ้มเอ่ยกับเสี่ยวเจิ้งด้วยความเก้อเขิน
พูดไม่ทันขาดคำ เหมียวเหมี่ยวก็รู้สึกถึงแรงจากฝ่ามือที่กุมไหล่ขวาของเธอไว้กะทันหัน เหมียวเหมี่ยวชิดเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยความตื่นตะลึง หันกลับมาก็เห็นฟางไหลหยางมองไปที่กล้องตรงหน้าด้วยความเอาจริงเอาจัง ใช้มือโอบไหล่ของเหมียวเหมี่ยวเอาไว้อย่างแน่นหนา
เหมียวเหมี่ยวยังไม่ทันได้ถามอะไร ฟางไหลหยางก็ห่อปากเล็กพลางเอ่ยกับเธอเสียงเบา “มองกล้องสิครับ”
“คะ?” เหมียวเหมี่ยวเบิกตาโพลง พอหันไปก็โบกมืออยากตะโกนให้เสี่ยวเจิ้งหยุด
“โอเคครับ!” เสี่ยวเจิ้งตะโกนเสียงแหลม มือข้างหนึ่งยกนิ้วโป้งขึ้นมา “สีหน้าโคตรจะเป็นธรรมชาติเลย!”
เป็นธรรมชาติกับผีน่ะสิ
เหมียวเหมี่ยวรับมือถือกลับมา มองรูปในมือถืออย่างหมดคำพูด ในรูปปรากฏภาพชายหนุ่มสูงใหญ่ผู้หล่อเหลาสุขุมเยือกเย็น ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย คลายบุคลิกเยือกเย็นของเขาลง มือซ้ายของเขาโอบหญิงสาวตัวเล็กที่มัดผมทรงดังโกะเอาไว้ เธอใบหน้ากลมบ๊อก ถลึงดวงตากลมโต ริมฝีปากเผยอเป็นรูปตัว ‘O’ ไหล่ห่อ ยกมือทั้งสองข้างกางนิ้วทั้งห้าบริเวณหน้าอกคล้ายกำลังหยุดยั้งอะไรบางอย่าง ด้านหลังของพวกเขามีเมืองอันเจริญรุ่งเรืองซึ่งอยู่ไกลออกไปเป็นพื้นหลัง
ช่างเป็นการถ่ายรูปคู่ที่สนุกสนานและเป็นธรรมชาติ
แต่ว่าเหมียวเหมี่ยวอยากลบทิ้งไปเอามากๆ เลย
“ส่งให้ผมหน่อย” ฟางไหลหยางเอ่ยอยู่ข้างๆ หยุดยั้งความคิดในใจของเหมียวเหมี่ยวเอาไว้ได้ทันเวลา
ในเมื่ออีกฝ่ายขอร้องมาอย่างนั้น จะให้เธอปฏิเสธก็ไม่ได้ ก็เลยแอดวีแชตกันไว้อย่างจนใจ แล้วส่งรูปให้ฟางไหลหยาง
ฟางไหลหยางหยิบมือถือขึ้นมาชื่นชม ทั้งยังเอ่ยชมด้วยว่า “ถ่ายได้ไม่เลวเลยนี่นา”
เสี่ยวเจิ้งถูกเจ้านายชมก็อารมณ์ดีจนแทบจะบินได้ ตบไหล่ของเหมียวเหมี่ยวด้วยความเบิกบานใจ ยิ้มพลางเอ่ย “คุณเหมียวเหมี่ยว คุณนี่เป็นดาวนำโชคของผมจริงๆ!” มีหวังได้ขึ้นเงินเดือนแล้วล่ะสิ!
เหมียวเหมี่ยว “???”
ต่อมาทุกคนก็เริ่มปิ้งบาร์บีคิวและพูดคุยกันอย่างคึกคัก เหมียวเหมี่ยวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังขัดเขินเกินกว่าจะพูดจากับฟางไหลหยาง ฟางไหลหยางสังเกตได้ว่าเหมียวเหมี่ยวไม่มีชีวิตชีวา ก็ยกมุมปากขึ้น ไม่ได้พูดอะไร
กินข้าวกันเสร็จแล้วทุกคนก็พักผ่อนกันสักครู่ ส่วนหนึ่งเริ่มปีนไปยังยอดเขา เหมียวเหมี่ยวไม่กล้าประเมินแรงกายของตัวเองไว้สูงนัก อีกทั้งอยู่ในอารมณ์ซับซ้อน รู้สึกว่าตัวเองใช้เรี่ยวแรงทั้งร่างกายจนแทบจะหมดอยู่แล้ว
ฟางไหลหยางเห็นเธอซึมกระทือก็ถามด้วยความห่วงใย “เรากลับกันเถอะ”
“คะ? แต่ว่า…เพื่อนๆ ของคุณยังไม่กลับมาเลยนะ” เหมียวเหมี่ยวเงยหน้า ตาเบิกกว้างพลางเอ่ยถาม
ฟางไหลหยางเห็นเธอจงใจทำทีว่าร่าเริงก็ทั้งรู้สึกจนใจและอยากหัวเราะออกมา เขาแค่อยากแสดงความเลื่อมใสให้ไอดอลของเขาเห็นก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนจะพังไม่เป็นท่า ตอนนี้ท่าทางของเหมียวเหมี่ยวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้รับการจู่โจมอย่างรุนแรงจนเซื่องซึมไปแล้ว
ฟางไหลหยางยักไหล่ “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ผมบอกเฉินตั๋วก็พอแล้ว ผมค่อนข้างเหนื่อยน่ะ พวกเรากลับกันก่อนเถอะนะครับ”
เหนื่อยเหรอ
เหมียวเหมี่ยวประเมินฟางไหลหยาง แผ่นหลังอีกฝ่ายตรงเป๊ะ ใบหน้าท่าทีกระฉับกระเฉง ไม่เหมือนคนเหนื่อยเลยสักนิด กลับเป็นเธอที่ตอนนี้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่งถึงจะถูก
แต่กลับก่อนก็ดีเหมือนกัน เหมียวเหมี่ยวยันตัวลุกขึ้นยืน ตบด้านหลังเอวของตัวเองแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ
“เอาล่ะค่ะ พวกเรากลับกันเถอะ”
อาหารถุงโตของเหมียวเหมี่ยวถูกแบ่งสันปันส่วนไปเมื่อช่วงกลางวันแล้ว เพราะอย่างนั้นขากลับเหมียวเหมี่ยวก็เลยเป็นคนสะพายเป้เอง เริ่มรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทีละน้อย ค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
จนกระทั่งเดินมาถึงที่จอดรถ เธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เหมียวเหมี่ยวเปิดประตูรถด้วยความเบิกบานใจ กำลังจะนั่งที่ตำแหน่งคนขับก็ถูกฟางไหลหยางดึงตัวไว้จากด้านหลัง “ให้ผมขับเองนะ”
“หา?” เหมียวเหมี่ยวร้องด้วยความตกใจ “ไม่ได้สิคะ ตอนขามาคุณก็เป็นคนขับนี่คะ!”
ฟางไหลหยางเลิกคิ้ว “เมื่อกี้นี้ผมกินบาร์บีคิวไปเป็นกอง ตอนนี้คลื่นเหียนมากเลยล่ะ”
ความหมายก็คือ…ถ้าให้เธอเป็นคนขับอีกเขาก็คงจะอาเจียนออกมาน่ะสิ
เหมียวเหมี่ยวยกมุมปากขึ้น ถอยเท้าขวาที่ยื่นเข้าไปในรถออกมาอย่างประดักประเดิด อ้อมไปขึ้นฝั่งคนนั่งเงียบๆ
ฟางไหลหยางหัวเราะออกมาในมุมที่เหมียวเหมี่ยวไม่สามารถมองเห็นได้
ฟางไหลหยางขับรถนิ่มมากๆ เหมียวเหมี่ยวกินมื้อกลางวันไปก็เคลิ้มจะหลับอีกครั้ง พูดคุยไม่ทันถึงสองประโยคก็ผล็อยหลับไป เมื่อฟางไหลหยางเห็นว่าเหมียวเหมี่ยวเกียจคร้านเหมือนกับแมวตัวหนึ่งก็พลันถอนใจ เพิ่มอุณหภูมิในรถขึ้นอีกสององศา
พอได้หลับเหมียวเหมี่ยวก็หลับไปจนเข้าเมือง เข้าใกล้ละแวกบ้านของเธอแล้ว เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องในหน้าที่สุดกู่ ขอโทษเขารัวเป็นชุด “ขอโทษนะคะ ฉันหลับอีกแล้ว ให้คุณขับมาคนเดียวตลอดทางเลย ฉันนี่มันจริงๆ เลย…ต่อไปจะขับรถอะไรอีกล่ะ ตายซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฟางไหลหยางส่ายหน้า
เหมียวเหมี่ยวเอาศีรษะชนกับหน้าต่างรถ ถอนหายใจด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ฟางไหลหยางปรายตามองเธอ คลับคล้ายว่าจะเห็นเหมียวเหมี่ยวสำรอกวิญญาณสีน้ำเงินออกมาจากปาก
“ได้โปรดให้ฉันได้ขับในเส้นทางเมืองให้ดีด้วยเถอะนะคะ” เหมียวเหมี่ยวร้องขอฟางไหลหยางด้วยคำสัตย์ที่น่าเชื่อถือ
ฟางไหลหยางจอดรถข้างทาง หันไปมองสายตาของเหมียวเหมี่ยวที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว หัวเราะพลางส่ายศีรษะ “เอาสิ คุณมาขับได้เลย”
เหมียวเหมี่ยวร้องไชโย วิ่งแจ้นไปเปลี่ยนที่นั่งกับฟางไหลหยาง แล้วเริ่มควบคุมพวงมาลัยอีกครั้ง
ฟางไหลหยางดีใจมากที่ตอนนี้ย่อยอาหารมาได้สักพักแล้ว แค่อดทนสักสิบนาทีทุกอย่างก็จะจบลง แม้ฝีมือการขับรถของเหมียวเหมี่ยวจะพัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่แรงกระชากตอนเบรกก็ยังทำให้ฟางไหลหยางที่เดิมทีมึนหัวอยู่บ้างสั่นคลอนจนรู้สึกคลื่นไส้
รถจอดลงที่หน้าประตูใหญ่ของเคหาสน์เฟิ่งเฉิง อีกทั้งเหมียวเหมี่ยวยังกระตือรือร้นวิ่งไปที่ประตูหลังเพื่อช่วยฟางไหลหยางหยิบกระเป๋าอีกด้วย
ฟางไหลหยางลงจากรถ หยิบมือถือขึ้นมาถามเหมียวเหมี่ยว “คุณใช้บัญชีอาลีเพย์เบอร์อะไรครับ”
“คะ?” เหมียวเหมี่ยวหยิบกระเป๋าออกมาแล้วปิดประตูรถ มองเขาด้วยความสงสัย
“ค่ารถไงครับ” ฟางไหลหยางเปิดแอพฯ ขึ้นมาแล้ว รอที่จะกรอกบัญชีของเหมียวเหมี่ยวลงไป
เหมียวเหมี่ยวตกใจจนถอยออกมาสองก้าว รีบร้อนโบกไม้โบกมือ “ฉันไม่มีหน้ารับเงินจากคุณหรอกค่ะ!”
“งั้นผมส่งในวีแชตให้คุณก็ได้” ฟางไหลหยางไม่ได้สนใจคำพูดของเหมียวเหมี่ยวเลยแม้แต่น้อย
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกได้ว่าฟางไหลหยางเป็นประเภทที่ตัดสินใจแล้วก็ยากจะถูกสิ่งแวดล้อมอื่นเปลี่ยนแปลงได้ อึกอักอยู่นานสองนาน ก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ฉันรู้สึกผิดจริงๆ นะคะ…”
“เราคุยเรื่องนี้กันไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ทำธุรกิจก็ต้องทำตามสัญญาสิครับ” ฟางไหลหยางฉวยไม้ความซื่อสัตย์ของธุรกิจขึ้นมาเล่น
เหมียวเหมี่ยวถูกสยบเอาไว้ทันที เธออ้ำๆ อึ้งๆ “ถ้างั้นก็…ลดราคาหน่อยนะคะ…ห้าร้อย…”
“หนึ่งพัน”
“โธ่เอ๊ย ทำไมถึงได้มีผู้โดยสารที่อยากจ่ายเงินเกินอย่างคุณคะเนี่ย?!” เหมียวเหมี่ยวตบต้นขาด้วยความเหลืออด ตะโกนด้วยความไม่ได้ดั่งใจ
“ก็ได้ครับ” ฟางไหลหยางถูกสีหน้าของเธอหยอกเย้าจนหัวเราะออกมา “ตามใจคุณก็แล้วกัน เอาบัญชีให้ผมเร็วเข้าเถอะ”
น้ำเสียงฟางไหลหยางเจือด้วยความเอ็นดูที่ทำให้เธอเข้าใจผิด ใบหน้าเหมียวเหมี่ยวพลันร้อนฉ่าขึ้นทันที เธอก้มหน้าก้มตา เอ่ยด้วยเสียงเบา “คุณ…คุณเอามือถือมาสิคะ…ฉันจะสแกนคิวอาร์โค้ด…”
ฟางไหลหยางส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมา แล้วส่งมือถือให้เหมียวเหมี่ยว เธอสแกนคิวอาร์โค้ดอย่างว่องไว จากนั้นก็มองนิ้วมือเรียวยาวสะอาดสะอ้านของฟางไหลหยางกดตัวเลขบนมือถือเพื่อโอนเงินเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงมือถือของตัวเองสั่นเพราะได้รับแจ้งเตือน เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าศีรษะของเธอระเบิดดัง ‘ตู้ม’
เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ติดค้างเขาไว้มากเชียวล่ะ
ทำไมแฟนคลับผู้ร่ำรวยคนนี้ถึงได้ชื่นชอบเธอขนาดนี้นะ ส่วนเธอก็ช่างไม่มีน้ำจิตน้ำใจเอาเสียเลย! แล้วจะให้ไอดอลอย่างเหมียวเหมี่ยวเผชิญหน้ากับสายตาของแฟนคลับยังไงล่ะ
เหมียวเหมี่ยวได้แต่แบกความรู้สึกตำหนิตัวเองกลับไปที่บ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เหมียวเหมี่ยวก็เห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวยังคงเปิดอยู่ หวงหรูหรูทำงานในวันหยุด เหมียวเหมี่ยวลูบไปยังบริเวณกระเพาะแล้วรู้สึกถึงความว่างเปล่า ตอนกลางวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้กินอะไรสักเท่าไร
เธอลงจากรถ แบกเป้ปีนเขาเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว
เมื่อหวงหรูหรูเห็นเหมียวเหมี่ยวในชุดนั้นก็ตกอกตกใจ กระโจนมายังข้างกายเธอเพื่อประเมิน “คนที่ไม่เคยออกกำลังกายอย่างเธอถึงกับขนาดใส่กางเกงกับรองเท้าออกกำลังกาย แล้วนี่เป้อะไรใหญ่โตขนาดนี้”
เจิ้งหลินเทียนที่ยกชามกับตะเกียบเดินผ่านไปก็เอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง “ไม่เปิดหูเปิดตาเอาซะเลย นี่เรียกว่าเป้ปีนเขาไงล่ะ”
เหมียวเหมี่ยวหมดคำพูด เธอนั่งลงตรงที่นั่งประจำ
หวงหรูหรูได้กลิ่นเรื่องซุบซิบ อยากจะตามไปไถ่ถาม แต่ก็ถูกหานต้งตะโกนเรียก “โต๊ะเบอร์สาม เก็บเงิน”
“ค่ะ…” หวงหรูหรูชะงักไปสักครู่ ได้แต่ไปทำงานของตัวเองก่อน
หานต้งถือสมุดเล่มเล็กเดินมาที่โต๊ะของเหมียวเหมี่ยว “รับอะไรดีครับ”
“เอ่อ…ตอนนี้เพิ่งจะสามโมงเอง…ยังเร็วไปหน่อย กินอะไรจืดๆ ดีกว่า เอาเป็นบะหมี่ผักก็แล้วกันค่ะ” เหมียวเหมี่ยวยังอยากเหลือท้องเอาไว้กินอาหารเย็นตัวจริง
หานต้งจดรายการอาหารแล้วพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องครัว
เจิ้งหลินเทียนวางชามกับตะเกียบลงในซิงก์ล้างจานพอดี ทว่าหูยังคงลู่ตรงอยู่ตลอด เมื่อเห็นหานต้งเข้ามาก็พุ่งตัวเข้าไปถาม “อาจารย์ พี่เหมียวเป็นอะไรไปเหรอครับ” เอ่ยไปก็ชะโงกไปดูรายการที่หานต้งจดมาปราดหนึ่ง “ว้าว บะหมี่ผักเหรอ! ให้ผมเป็นคนทำนะครับอาจารย์ ผมรับประกันว่าจะทำให้สำเร็จ”
เจิ้งหลินเทียนเรียนทำอาหารกับหานต้งมาเป็นเวลาสองปีแล้ว อีกทั้งเรียนมาหลากหลายอย่าง แน่นอนว่าบะหมี่ผักชามเดียวถือเป็นเรื่องเล็ก ทว่าจริงๆ แล้วเขาก็แค่ไม่อยากล้างจานเท่านั้น นอกจากนี้ยังอยากฉวยโอกาสไปสืบเรื่องซุบซิบก็เท่านั้นแหละ
คิดไม่ถึงเลยว่าหานต้งจะปฏิเสธเขา “ฉันทำเอง นายไปล้างจานซะ”
“ไม่เอาน่า…” เจิ้งหลินเทียนขอร้องด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย แต่ก็ถูกหานต้งส่งสายตาหมางเมินเป็นการตักเตือนอ้อมๆ สยบไว้ เขารีบร้อนกลับไปยังซิงก์ล้างจาน “ได้ๆๆ ผมจะล้างจาน”
เขารีบล้างจานในมือ ทว่ากลับเงยศีรษะขึ้นมองหานต้งตลอดเวลา เขาคิดไม่ออกว่าทำไมแค่ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวอาจารย์ถึงไม่ยอมให้เขาทำแต่กลับเข้าครัวเอง ผลลัพธ์คือเมื่อเห็นน้ำซุปที่หานต้งใช้ก็ตกตะลึง
หานต้งไม่ได้ต้มบะหมี่ให้สุกในน้ำซุปธรรมดา แต่กลับตรงไปเปิดไฟอ่อนๆ เอาบะหมี่ลงไปต้มในน้ำซุปไก่ชั้นดีของร้านที่เคี่ยวไม่เคยดับไฟมาตลอดสามปี ส่วนผักก็ต้มในน้ำซุปเนื้อ จากนั้นยังผัดเนื้ออีกนิดหน่อย น้ำซุปที่ใช้ในขั้นตอนสุดท้ายก็ปรุงจากน้ำซุปไก่ชั้นดีและน้ำซุปเนื้อ
เจิ้งหลินเทียนตกตะลึงพรึงเพริด “อาจารย์ครับ…นี่มันน้ำซุปผักที่ไหนกัน…อาจารย์เอาใจพี่เหมียวเกินไปหน่อยแล้ว…”
“พูดมากน่า” หานต้งมองเขาปราดหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วยกก๋วยเตี๋ยวออกไปด้วยตัวเอง
หวงหรูหรูคิดเงินเสร็จแล้วก็มาเม้าท์กับเหมียวเหมี่ยว เธอเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ตีอกชกหัวด้วยความหงุดหงิด “ฉันมันไม่ได้เรื่องเลยใช่รึเปล่า”
“เขา…สนใจเธออยู่ใช่มั้ยล่ะ” เป็นเหตุผลเดียวที่หวงหรูหรูคิดขึ้นมาได้
เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้ง สะบัดสะบิ้งจนหูแดง “จะเป็นไปได้ยังไง เราเพิ่งเจอกันแค่สามครั้งเองนะ คนสูงรวยหล่ออย่างเขาคู่ควรกับเน็ตไอดอลไม่ใช่หรือไง”
“อ้าว เธอเองก็เป็นเน็ตไอดอลนี่นา” หวงหรูหรูพูดอย่างตรงไปตรงมา
เหมียวเหมี่ยวสีหน้าหม่นหมอง “ฉันไม่ใช่เน็ตไอดอลสักหน่อย ปีนึงเน็ตไอดอลได้เงินเป็นสิบล้าน ฉันได้ค่าลิขสิทธิ์ไม่กี่หยวนเอง”
“โห อยากเห็นสีหน้าของเถ้าแก่ฟางหลังจากรู้ว่าเธอเป็นนักวาดการ์ตูนที่เขาชอบจังเลย ต้องสนุกแน่ๆ” หวงหรูหรูเท้าเอวทั้งสองข้างพลางเพ้อฝัน สักครู่ใหญ่ก็ฝันไม่ออกเสียแล้ว เธอคว้าแขนของเหมียวเหมี่ยวแล้วเอ่ยถาม “ไม่ได้สิ จินตนาการไม่ออกเลย เขาหน้าตาเป็นยังไง เธอให้ฉันดูหน่อยสิ”
เหมียวเหมี่ยวคิดว่าจะเอารูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันให้หวงหรูหรูดู แต่จู่ๆ ก็คิดได้ว่าเธอมีภาพสเก็ตช์ของเขาอยู่ด้วย ก็ค้นจะเอาขึ้นมา “วันนี้ฉันแอบสเก็ตช์ภาพของเขามาด้วยล่ะ จะเอาให้เธอดูก่อนเลย”
“วันนี้เธอออกไปวาดรูปมาด้วยเหรอเนี่ย” หวงหรูหรูรอไปก็พูดไป
เหมียวเหมี่ยวขานรับคำหนึ่ง ล้วงมือค้นลงในกระเป๋าใบใหญ่อยู่ตั้งนานสองนานก็ยังหาสมุดสเก็ตช์ภาพไม่เจอ เธอพลันวุ่นวายใจ “อะไรกัน…สมุดสเก็ตช์ภาพของฉันล่ะ”
“บะหมี่ครับ” หานต้งยกบะหมี่เข้ามาวางลงตรงหน้าเหมียวเหมี่ยวพอดี กลิ่นซุปทั้งหอมทั้งเข้มข้นชอนไชเข้าสู่โพรงจมูกของเหมียวเหมี่ยว เบี่ยงเบนความสนใจของเธอได้ทันที
อย่างกับว่าเหมียวเหมี่ยวเห็นบะหมี่ชามนี้ก็ไล่ตามแสงสว่างไป กลิ่นหอมของบะหมี่ผักพวยพุ่งไปทั่วทุกทิศ เธอกลืนน้ำลายลงไป น้ำซุปซึมเข้าเส้นบะหมี่อย่างเห็นได้ชัด ผักซึ่งเป็นต้นหอมสีเขียวประหนึ่งหยก ข้างๆ มีเนื้อเส้นอยู่เล็กน้อย
เธอเงยหน้าถามหานต้ง “ทำไมมีเนื้อเส้นด้วยล่ะคะ”
“เพิ่มให้น่ะ” หานต้งอธิบาย
เหมียวเหมี่ยวไม่ได้สงสัยอะไรอีก หยิบช้อนขึ้นซดน้ำซุปก็รู้สึกเหมือนต่อมรับรสทั้งหมดของเธอได้รับการนวดคลึงอย่างไรอย่างนั้น สดชื่นเสียจนกระแสไฟฟ้าไหลขึ้นมาถึงกระดูกสันหลังของหมียวเหมี่ยว ทั้งไร้กำลังทั้งยังชาไปจนถึงปลายสมอง ขนลุกชูชันไปทั้งตัว
“โคตร…โคตรอร่อยเลย!” เหมียวเหมี่ยวแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “เถ้าแก่คะ ทำไมแม้แต่บะหมี่ผักก็ทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ล่ะคะเนี่ย”
หวงหรูหรูรู้จักสีสันของอาหารเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่เถ้าแก่ยกชามบะหมี่เข้ามา เธอก็รู้สึกได้ถึงความแปลกของบะหมี่ชามนี้ เธอมองหานต้งปราดหนึ่งแล้วมองบะหมี่ จากนั้นก็มองไปยังเหมียวเหมี่ยวที่อยากปาดน้ำตาใจจะขาด แล้วมองไปยังหานต้งอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายเมื่อถูกหานต้งถลึงตามอง หวงหรูหรูก็รีบร้อนเก็บสายตากลับไป
“อร่อยก็ดีแล้วล่ะ” หานต้งพยักหน้าแล้วกลับไปยังห้องครัว
หวงหรูหรูจดจ้องน้ำซุปที่สีสันแปลกออกไปอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เหมียวเหมี่ยวเป็นคนกินอาหารรสจัด กินได้ทุกอย่าง แต่ก็น้อยนักที่จะกินบะหมี่ผักที่มีรสชาติจืดชืด ที่แท้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้เป็นพิเศษมาตลอดเลยสินะ เพียงแต่วันนี้บะหมี่ผักชามนี้เติมเครื่องปรุงลงไปจนต่างกับบะหมี่ผักธรรมดาๆ ของร้านมาก เธอถึงได้ดูออกตั้งแต่แรก
ถึงแม้บะหมี่ผักของที่ร้านจะอร่อยเหมือนกัน แต่ว่าก็จืดจริงๆ นั่นแหละ น้ำซุปสะอาดใสแจ๋วเหมือนกับน้ำเปล่า ส่วนน้ำซุปในชามนี้…เห็นๆ อยู่ว่าปรุงมาจากน้ำซุปเนื้อที่เข้ากับรสปากของเหมียวเหมี่ยว เพิ่มเนื้อเส้นลงไป บะหมี่เจือด้วยสีทองอร่าม ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่าหานต้งต้มบะหมี่อย่างไร
หวงหรูหรูเอามือกุมหน้าผาก ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
มิน่าล่ะเหมียวเหมี่ยวถึงได้ชอบร้านก๋วยเตี๋ยวของพวกเขา…ทำให้พิเศษขนาดนี้เป็นใครก็ต้องชอบกันทั้งนั้น
แต่เถ้าแก่ของเธอใช้วิธีเงียบเชียบอย่างนี้จีบสาวก็จีบไม่ติดน่ะสิ หวงหรูหรูได้แต่นึกเสียใจไปกับเขาด้วย
หานต้งที่กลับมายังห้องครัว เมื่อนึกย้อนถึงสีหน้าเว่อร์วังอย่างกับซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพรากก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาส่ายหน้าไปมา
ไม่มีพ่อครัวคนไหนที่จะไม่ชอบฟังคำชื่นชมในฝีมือการทำอาหารของตัวเองหรอก แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวเหมี่ยวเป็นลูกค้าที่ไม่หวงคำชม ทุกครั้งที่เหมียวเหมี่ยวกินอาหารอร่อยๆ ก็จะเผยรอยยิ้มแสนสุขบนใบหน้าเสมอ หานต้งรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ อย่างกับว่าเธอช่วยเติมเต็มความพึงพอใจอันเป็นสุขให้เขาเช่นกัน
เขาหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของเหมียวเหมี่ยวอย่างนี้ไปตลอด
เมื่อสามปีก่อนหานต้งมายังเมืองฝูเฉิงเพียงลำพัง ในตัวมีเพียงบัตรธนาคารที่มีเงินห้าแสนหยวนใบเดียวเท่านั้น
หากต้องการเปิดร้านในเมืองฝูเฉิงที่อะไรๆ ก็เป็นเงินเป็นทอง เงินห้าแสนหยวนนี่ถือว่ายังห่างชั้น ตอนนั้นหานต้งก็เลยหาหน้าร้านที่เขตเศรษฐกิจเกาซินเพื่อเซ้งไว้เปิดเป็นร้านบะหมี่ ตอนนั้นอพาร์ตเมนต์ฮุ่ยตูเพิ่งจะส่งมอบห้อง จะบอกว่าหานต้งเป็นผู้อาศัยกลุ่มแรกก็ไม่ผิด
ในฐานะคนเมืองหลวง การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ทางใต้ที่แสนห่างไกลแบบนี้ เพียงแค่คิดก็รู้สึกได้ถึงความเหงาและแรงกดดัน หลังจากเตรียมการและเปิดร้าน เขาก็ทำเรื่องทั้งหมดเองตั้งแต่ซื้อของ ทำอาหาร เป็นเด็กในร้าน คิดเงิน ไปถึงล้างชาม
ตอนเริ่มต้นเดือนแรกหานต้งก็เกือบจะละทิ้งการเดินทางที่ต้องห่างบ้านมาไกลแสนไกลเสียแล้ว
ตอนแรกไม่ได้มีลูกค้ามากเท่าไรหานต้งก็รู้สึกเหนื่อยมากๆ แล้ว จนกระทั่งผ่านหนึ่งเดือนแรกไปได้ ฝีมือการทำอาหารของหานต้งได้ถูกบอกเล่าปากต่อปากจากบรรดาแรงงานที่ทำงานก่อสร้างตึกใหญ่ๆ อยู่ในเขตก่อสร้างละแวกนั้น ภัยพิบัติที่หมายถึงลูกค้าก็โหมเข้ามา
หานต้งเหนื่อยจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นแรงงานที่พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานที่เมืองฝูเฉิงแต่ละคน หลังจากที่กินอาหารฝีมือเขาแล้วต่างก็มีสีหน้าแช่มชื่น ทั้งยังบอกอีกว่าถ้ามีโอกาสจะพาลูกเมียมากินอาหารที่เขาทำด้วยกัน หานต้งก็พออกพอใจเป็นที่สุด
เพื่อจะให้ตัวเองยืนหยัดต่อไปได้ หานต้งจึงแปะประกาศรับพนักงานพาร์ตไทม์
เพิ่งประกาศไปได้วันเดียว วันต่อมาฝนก็ตกหนัก เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องพร้อมแสงฟ้าแลบที่สาดทอลงที่ขอบฟ้า ลมพัดโหม สายลมบ้าคลั่งปลุกเร้าอย่างรุนแรง
ไม่มีใครเข้ามาที่ร้านเล็กๆ ของหานต้งได้ เขามองดูประตูกระจกที่ถูกพัดจนสั่นสะเทือนดังกุกกัก กังวลเหลือเกินว่าลมจะพัดแรงจนกระแทกกระจกแตก ขณะกำลังคิดจะปิดร้าน สุดท้ายก็มีคนเปียกชุ่มวิ่งข้ามถนนมาจากฝั่งตรงข้าม อย่างกับว่าคนคนนั้นถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ เปียกชุ่มไปทั้งตัว
หานต้งยังไม่ทันตอบสนอง คนคนนั้นก็ผลุบเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวของตนแล้ว ทั้งยังย่อตัวลงนั่งขดตัวสั่นหงึกๆ อยู่ที่หน้าประตู
หานต้งจ้องมองคนซึ่งตกระกำลำบากคนนั้นอยู่นานสองนานถึงได้ดูออกว่าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผมยาวประบ่าลู่ลงแนบต้นคอ เสื้อทีเชิ้ตสีดำเองก็เปียกชุ่มแนบกับลำตัว ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ระหว่างแขน จดจ้องสายฝนที่เทกระหน่ำนอกประตูด้วยสายตาตัดพ้อ
หานต้งเห็นว่าเธอไม่ทันสังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ในร้านด้วย เขาอดรนทนไม่ไหวก็เลยเอ่ยปากถามว่า “ขอโทษนะครับ ให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่า”
เด็กสาวคนนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้นมา น้ำที่เกาะอยู่บนเรือนผมไหลลงบนขนตา เธอรีบร้อนปาดน้ำออกจากใบหน้าถึงได้เห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ เนื่องจากแสงส่องมาไม่ถึงจึงมองหน้าของเขาไม่ชัดนัก แต่ว่าน้ำเสียงช่างน่าฟัง
เด็กสาวลูบแขนที่ขนลุกชูชันพลางพยักหน้า “ขอ…น้ำขิงชามนึงได้ไหมคะ”
เธอช่างโชคร้ายเสียจริง ขณะที่ออกมาจากมหาวิทยาลัยเตรียมจะไปซื้อผ้าอนามัยที่ต้องเตรียมไว้ทุกเดือน สุดท้ายมาได้เพียงครึ่งทาง ไม่ใช่แค่ไม่ได้ซื้อผ้าอนามัย ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาเจอฝนตกฟ้าร้อง แต่ที่น่าโมโหก็คือเธอเพิ่งจะมีประจำเดือน ตอนนี้รู้สึกว่าอ่อนระโหยโรยแรงไปทั้งตัว ปวดตัวเจียนล้มได้ตลอดเวลา
หานต้งถูกเธอถามเข้าก็วิงเวียน
นี่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่มีพวกน้ำขิงอะไรนี่หรอก แต่ว่ายังไงก็มีขิงพอจะต้มให้เธอได้สักชาม
หานต้งตกปากรับคำ ให้เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้สักครู่หนึ่งก่อน
ไม่คิดว่าเด็กสาวจะส่ายหน้า “ฉัน…ย่อตัวอยู่แบบนี้ดีกว่าค่ะ” ย่อตัวเอาไว้จะปวดท้องน้อยลงหน่อย
หานต้งรู้เรื่องนี้ที่ไหนกัน เขารู้สึกเพียงว่าเด็กสาวคนนี้สะอาดสะอ้าน ใบหน้ากลมดิกมองแล้วน่าเอ็นดู แต่ก็ช่างแปลกคนเสียเหลือเกิน เขาพยักหน้าแล้วก็เข้าไปต้มน้ำขิงในครัวด้านหลัง
สุดท้ายแล้วน้ำขิงกับผ้าขนหนูแห้งก็ถูกส่งให้เธอพร้อมๆ กัน
เด็กสาวคนนั้นนั่งยองๆ อยู่บนพื้น พาดผ้าขนหนูไว้บนไหล่ ทรมานไปทั้งตัว ประคองน้ำขิงชามนั้นแล้วดื่มอย่างระมัดระวัง
หานต้งนั่งมองเธออยู่ข้างๆ
เห็นแค่ใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะของเธอ แต่ทันใดนั้นใบหน้านั้นก็เหมือนกับถูกจุดประกายจนสว่างวาบ แม้แต่ดวงตาก็เริ่มเปล่งประกาย เธอใช้ทั้งสองมือประคองชามเอาไว้ คลี่รอยยิ้มกว้างให้หานต้งเหมือนกับดอกทานตะวันที่แย้มบาน ยิ้มเสียจนตาหยี
“เถ้าแก่คะ น้ำขิงนี่อร่อยมากๆ เลย!”
หานต้งนิ่งอึ้ง รู้สึกคันยุกยิกในใจ เขาอดคิดไม่ได้ว่านี่ก็แค่น้ำขิงธรรมดาๆ ชามหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ…ทั่วโลกก็ต้มกันแบบนี้ทั้งนั้น อีกอย่างเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ขิงที่เขาซื้อมาก็เป็นขิงราคาถูกเสียด้วย
เด็กสาวไม่กลัวถูกลวก เพียงสองอึกก็จัดการน้ำขิงจนหมด จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกจากปากคล้ายกำลังคลายความเผ็ดร้อนของขิงสด
หานต้งมองดูอย่างสนอกสนใจ อดไม่ได้ที่จะโค้งมุมปากขึ้น
เสียงไพเราะของเด็กสาวเอ่ยชมเชยขึ้นอีกครั้ง “เถ้าแก่คะ คุณทั้งหล่อ ฝีมือทำอาหารก็ดี แถมยังเป็นคนจิตใจดีด้วย ต่อไปฉันจะมากินข้าวในร้านคุณบ่อยๆ นะคะ!”
หานต้งพยักหน้า “ยินดีต้อนรับครับ”
สุดท้ายหานต้งก็ไม่ได้เก็บเงินจากเด็กสาว แต่ไหนแต่ไรมาเด็กสาวคนนี้ก็ไม่เคยพกเงินสดอยู่แล้ว แค่พกมือถือออกมาด้วยเท่านั้น เธอยกมือขึ้นจะสแกนคิวอาร์โค้ดของหานต้ง หานต้งไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ปฏิเสธเธอไป
ฝนห่านั้นมาอย่างว่องไวและก็จากไปอย่างว่องไวเช่นกัน
หลังจากดื่มน้ำขิงแล้วก็เหมือนกับว่าเด็กสาวจะกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กระโดดโลดเต้นวิ่งออกไป
เมื่อหานต้งเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าทิศทางที่เด็กสาววิ่งออกไปก็เห็นรุ้งกินน้ำทอดยาวเป็นเส้นโค้ง ทอสีสันระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
เรื่องที่เกิดขึ้นช่างเหมือนกับหินก้อนเล็กที่ตกกระทบผิวทะเลสาบ กระจายเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ แล้วสลายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าในที่สุดก้อนหินก็หล่นลงในน้ำ
หานต้งไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไรกับคำพูดที่เอ่ยกับเด็กสาว
หนึ่งเดือนหลังจากนั้นเขาก็ได้วัยรุ่นชายบุคลิกไม่ค่อยดี เงอะงะงุ่มง่ามมาเป็นเด็กฝึกงาน บอกว่าหนีออกจากบ้านจะไปเรียนเป็นพ่อครัวที่ซินตงฟาง* สุดท้ายหนีมาได้ครึ่งทางก็หิวโซ กินบะหมี่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของหานต้งได้ชามหนึ่งก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไม่ไปซินตงฟางแล้ว
“อาจารย์เป็นปรมาจารย์ปู่แห่งซินตงฟางครับ!” เจิ้งหลินเทียนว่าอย่างนั้น
ผ่านไปอีกสามเดือนหานต้งก็รับหวงหรูหรู นักศึกษาหญิงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่มาเป็นเด็กในร้านและเก็บเงิน เธอนิสัยวู่วาม แต่ก็ร่าเริง บางครั้งบางคราวก็ทำให้หานต้งคิดถึงเด็กสาวน้ำขิงขึ้นมา
ในที่สุดร้านก๋วยเตี๋ยวของเขาก็เปิดทำการได้อย่างราบรื่น ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นทุกที
ร้านก๋วยเตี๋ยวของหานต้งเปิดอย่างเป็นทางการหนึ่งปีหลังจากนั้น จำนวนผู้พักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ฮุ่ยตูก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มหาวิทยาลัยละแวกใกล้เคียงส่งนักศึกษาที่จบการศึกษารุ่นล่าสุดออกมา อพาร์ตเมนต์ฮุ่ยตูเองก็ต้อนรับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่สังคมเช่นกัน
ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งวันหนึ่งรถตู้ขนาดเล็กก็ได้ขนอุปกรณ์วาดรูปกองพะเนิน อาหารแมว บ้านแมว รวมถึงของจำพวกนี้มาจอดที่ชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์
เจิ้งหลินเทียนยังคงขนาบอยู่กับประตูกระจกเพื่อมองเจ้าของแมวหิ้วกรงขึ้นไปบนอาคารพลางเอ่ยกับหวงหรูหรู “ตึกที่พวกเราอยู่อนุญาตให้เลี้ยงแมวได้ด้วยเหรอ”
หวงหรูหรูครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้า “เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ เมื่อสองวันก่อนก็มีผู้อาศัยบอกว่าจะมีร้านสัตว์เลี้ยงเปิดแถวๆ นี้ไม่ใช่หรือไง”
“โหย ผมก็อยากเลี้ยงสัตว์นะ อยากเลี้ยงหมาป่าสักฝูงหนึ่ง!”
หานต้งเคาะลงบนศีรษะเจิ้งหลินเทียนไปทีหนึ่ง “เลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนเถอะ รีบไปทำงานเร็วเข้า”
หวงหรูหรูกับเจิ้งหลินเทียนกระจัดกระจายไปคนละทางเพื่อทำงานทันที
ใกล้เวลาเที่ยง ลูกค้าค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
หานต้งยกบะหมี่เนื้อมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง อยากจะดูรายรับของตอนเช้าเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไร
กระดิ่งลมที่หวงหรูหรูเพิ่งจะติดไว้บนประตูถูกคนดันจนเกิดเสียง
เด็กสาวสวมกางเกงยีนสีน้ำเงินเดินเข้ามาในร้าน เธอมีใบหน้ากลมเล็ก ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเป็นประกายมีชีวิตชีวา
บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มสดใสที่สามารถส่งต่อไปยังทุกคนได้ เธอเอ่ยขึ้นกับพนักงานในร้านทั้งสามคน “สวัสดีค่ะ ฉันเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ชั้นบน ชื่อเหมียวเหมี่ยว ฉันมากินมื้อกลางวันน่ะค่ะ”
เอ่ยไปสายตาของเธอก็เคลื่อนไปหาหานต้ง สบตากับหานต้งพลางยิ้มและเอ่ยกับเขา “เถ้าแก่คะ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หานต้งกะพริบตาปริบๆ เขาอดประหลาดใจไม่ได้ ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงได้ยกมุมปากขึ้นแล้วพยักหน้าให้ “ยินดีต้อนรับครับ”
เขาคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวน้ำขิงจะมาจริงๆ
ไม่สิ เธอไม่ควรเป็นเด็กสาวน้ำขิง ควรจะเป็นเด็กสาวสายรุ้งต่างหากล่ะ
เวลาที่เธอยิ้ม โลกทั้งใบก็พลันสว่างจ้า เหมือนกับเขาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวนี้เพื่อรอคอยการปรากฏตัวของเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ปาน
เหมียวเหมี่ยวทู่ซี้อยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวจนถึงมื้อเย็น ส่วนทางด้านฟางไหลหยางอาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหลวมโคร่งนั่งลงบนโซฟา ในห้องเปิดแอร์กลางห้องกับระบบปรับอากาศ อุณหภูมิกำลังสบาย ฟางไหลหยางรินไวน์แดงให้ตัวเอง ดูข่าวการเงินไปพลางจิบไวน์ไปพลาง อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ฟางไหลหยางดูข่าวต่อไปไม่ไหว ในสมองมีแต่ช่วงเวลาที่เขาแกล้งเหมียวเหมี่ยว ใบหน้าของเหมียวเหมี่ยวที่ตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูก แถมยังทำทีสงบนิ่งอีกด้วย ตอนนั้นเหมียวเหมี่ยวอาจจะกำลังคิดอยู่ก็ได้ว่าถ้าเกิดเขารู้ว่าเธอเป็นนักวาดการ์ตูนที่เขาชอบ เขาจะมีสีหน้าแบบไหน
ฟางไหลหยางหัวเราะออกมา เขาจินตนาการออกมาได้เลยว่าถ้าเกิดเธอรู้ว่าเขาไม่ใช่แค่แฟนคลับคนที่มอบรถให้เธอ แต่ยังรู้สถานะของเธอตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ จะมีสีหน้าแบบไหนกัน จะต้องน่าสนุกน่ารักกว่าวันนี้แน่ๆ
เขาแอบจินตนาการอยู่ในหัว นานเข้าเสียงหัวเราะก็ยิ่งเจือด้วยความอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฟางไหลหยางหยิบกระเป๋าที่เอาออกไปวันนี้ออกมา เตรียมนำหนังสือการ์ตูนกลับไปวางที่ชั้นหนังสือ แต่กลายเป็นคว้าสมุดวาดภาพที่ดูคุ้นตาออกมาแทน
นี่…สมุดสเก็ตช์ภาพของเหมียวเหมี่ยวไม่ใช่เหรอ
ทำไมถึงได้มาอยู่ในกระเป๋าใบนี้ล่ะ
ฟางไหลหยางมองสมุดสเก็ตช์ภาพด้วยความงุนงง หน้ากระดาษที่แห้งแล้วยังคงเป็นรอยย่น ฟางไหลหยางไม่ได้เปิดออกมาดูอีก แต่กลับค้นหาวิธีการแก้ไขกระดาษย่นบนอินเตอร์เน็ต จุ่มให้หน้ากระดาษพวกนั้นชื้นอีกครั้งและกดให้เรียบ แล้ววางไว้ในตู้เย็น
เจอกันคราวหน้าแล้วค่อยคืนให้เธอก็แล้วกัน
ฟางไหลหยางใคร่ครวญ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.