X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4 บทที่ 142 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 4

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 142 อัตราการเกิดโรคหนึ่งในสิบล้าน

ฟั่นข่ายเสวียนถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ไม่มีการประกาศข่าวเรื่องบริษัทลูกจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่เพื่อไม่ให้หุ้นของบริษัทได้รับผลกระทบ เดิมทีติงอวี่ตั้งใจจะปิดข่าว แต่ช้าเกินไปเมื่อนักข่าวหลายคนต่างต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อไลฟ์ทำให้ภาพที่ฟั่นข่ายเสวียนเป็นลมถูกแพร่ออกไปทันที

ผ่านไปไม่กี่นาทีสั้นๆ ข่าวเรื่องฟั่นข่ายเสวียนป่วยหนักถึงขั้นหมดสติก็ไปโชว์หราอยู่บนหน้าข่าวในอินเตอร์เน็ตและสื่อต่างๆ พวกคนที่ก่อนหน้านี้พูดจาอวดโอ้ว่าคำทำนายของฟั่นจยาหลัวเป็นแค่มูลสุนัขถึงกับตาแตกมึนกันเป็นแถบ ไม่กล้าเชื่อว่าตัวเองเห็นอะไร บอกว่าล้มก็ล้ม โรคนี้มาแบบปัจจุบันทันด่วนเกินไปหน่อยไหม

ชาวเน็ตที่ได้เห็น ‘คดีเด็กนรก’ กลับแสร้งถอนหายใจหนักๆ

 

‘ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ฉันถึงเช็กอินไปเร่งประธานฟั่นให้ไปตรวจสุขภาพ แต่เขาไม่ฟัง’

‘คำทำนายเป็นจริงอีกแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่ต้องชื่นชมและคาดหวังกับท่านเทพฟั่นของเราอีกวันหนึ่ง’

‘คอยมาตั้งนาน รองเท้าบูตอีกข้างดันร่วงเสียได้!’

‘ท่านประธานฟั่นอาจเหนื่อยจนเป็นลม พวกนายจะเอาไปโยงกับคำแช่งได้ยังไง เพื่อพิสูจน์ว่าฟั่นจยาหลัวเป็นฝ่ายถูก พวกนายอยากให้ประธานฟั่นตายไปเลยเหรอ สามทัศนะของพวกนายบิดเบี้ยวหนักเกินไปแล้ว พวกนายมันน่ารังเกียจมาก! ประธานฟั่นยุ่งอยู่กับการเอาบริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์ติดต่อกันตั้งหลายเดือน ฉันว่าเขาแค่น้ำตาลตกมากกว่า! รอก่อนเถอะ เดี๋ยวจะต้องมีการประกาศข่าวว่าเขาสุขภาพแข็งแรงดีออกมาอย่างเป็นทางการ’

 

ความหวังของชาวเน็ตกลุ่มนี้เป็นความหวังเดียวกับผู้บริหารระดับสูงของข่ายเสวียนกรุ๊ป พอเห็นประธานฟั่นถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน คนกลุ่มนี้รีบเข้าไปมุงเพื่อสอบถามหมอแบบนายหนึ่งประโยค ฉันหนึ่งประโยค

“ขอทางหน่อยๆ ใครเป็นญาติของผู้ป่วยครับ” หมอมองหาคนที่ดูร้อนใจที่สุดในบรรดาชาวมุง

ข่งจิ้งกับฟั่นลั่วซานรีบยกมือ คนหนึ่งน้ำตาเต็มหน้า อีกคนหน้าตาเครียดขึง “ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้าง/ข่ายเสวียนเป็นยังไงบ้าง” ทั้งสองคนถามออกมาพร้อมกัน

“ตอนนี้เรากำลังเตรียมส่งเขาไปที่ห้องไอซียู ถึงเขาจะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่กลไกการทำงานทุกส่วนของร่างกายกลับทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่อง เวลานี้เรายังไม่ทราบสาเหตุของการเสื่อมสภาพ ต้องทำการตรวจสอบขั้นต่อไป” หมอรับเอกสารปึกหนามาจากมือพยาบาล หัวคิ้วขมวดแน่นมาก “ผมอ่านประวัติการรักษาที่พวกคุณเอามาให้แล้ว ระยะนี้ผู้ป่วยตรวจร่างกายของตัวเองทุกวันและผลออกมาเป็นปกติตลอด แต่ในชั่วพริบตาอวัยวะภายในของเขากลับเข้าสู่สภาวะล้มเหลว ผมจึงสงสัยว่าเขาอาจถูกพิษ หรือไม่ก็โดนสารกัมมันตภาพรังสีบางอย่าง ทางเราเลยจะทำการตรวจสอบไปในทิศทางนี้ แต่ในขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลเราเลือกที่จะแจ้งความด้วย นี่เป็นกระบวนการตามกฎหมาย หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจ”

“แจ้งความ? ต้องแจ้งความเลยหรือครับ” ฟั่นลั่วซานค่อนข้างลังเล แต่ข่งจิ้งพยักหน้ารัวๆ น้ำเสียงเคียดแค้น

“หมอคะ แจ้งความเลยค่ะ ต้องให้ตำรวจเข้ามาร่วมด้วย! ฉันสงสัยว่าการที่ลูกชายฉันป่วยกะทันหันจะต้องมีเงื่อนงำ! คุณรู้เรื่องที่ฟั่นจยาหลัวแช่งว่าลูกชายฉันจะป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือเปล่าคะ ฉันสงสัยว่าลูกชายฉันจะถูกเขาทำร้าย!”

ติงอวี่สนับสนุนด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฟั่นจยาหลัวจะต้องมีส่วนกับการที่ข่ายเสวียนล้มป่วยแน่ๆ! ผมจะไปแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้! จริงสิ ต้องปิดบริษัทของข่ายเสวียน ห้ามคนเข้าออก ช่วงนี้เขาอยู่ที่บริษัทตลอด การจะทำให้เขาล้มป่วยแบบไม่รู้ตัว ยาพิษหรือแหล่งกำเนิดกัมมันตภาพรังสีจะต้องอยู่ในห้องทำงานเขาแน่! คุณป้าครับ คุณคอยดูอยู่ที่นี่นะ ผมจะไปโทรศัพท์”

ติงอวี่เดินจากไปอย่างรีบร้อน ข่งจิ้งดึงมือหมอเพื่อฟ้องเรื่องที่ฟั่นจยาหลัวแช่งลูกชายของตัวเองแล้วยังบอกว่าการที่ลูกชายล้มป่วยเป็นฝีมือของฟั่นจยาหลัวร้อยเปอร์เซ็นต์

คุณหมอรับฟังด้วยสีหน้าประดักประเดิด จบแล้วก็โบกมือเอ่ย “ความแค้นส่วนตัวของคนไข้ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการดูแลของเรา เราจะพยายามหาสาเหตุการป่วยของเขาอย่างสุดความสามารถ ส่วนเรื่องอื่นต้องให้ตำรวจเป็นคนสืบ คุณนายฟั่นครับ ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำการตรวจสอบสารพิษให้ประธานฟั่น ถ้าพวกคุณไม่สบายใจสามารถไปดูอาการของประธานฟั่นผ่านทางระบบมอนิเตอร์ระยะไกลของไอซียูได้ เพราะเขาอาจจะตื่นตอนไหนก็ได้”

“ค่ะๆๆ หมอรีบไปเถอะค่ะ” ข่งจิ้งรีบปล่อยให้หมอจากไป ส่วนตัวเธอวิ่งเข้าไปในห้องสังเกตการณ์เพื่อมองใบหน้าที่ยังไม่ฟื้นของลูกชายผ่านฉากกั้น ดวงตาของเธอมีเส้นเลือดสีแดงมากมายมาตั้งแต่ต้น รอยย่นจางๆ บนหน้าผากเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น เหมือนแก่ลงหลายสิบปีภายในชั่วพริบตา

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม” ข่งจิ้งปิดหน้าร้องไห้โฮอย่างเศร้าเสียใจ ทั้งตัวสั่นเทิ้มด้วยความสิ้นหวังและไร้หนทาง

แต่หลังจากเดินเข้าไปในห้อง ฟั่นลั่วซานกลับเลิกทำหน้าร้อนใจระคนเคร่งเครียด สีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิท เขามองใบหน้าที่เหมือนตัวเองราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันของฟั่นข่ายเสวียน พูดเสียงหนัก “ได้ยินว่าคุณให้เขาทำพินัยกรรม?”

ข่งจิ้งระเบิดตูมทันที ตะโกนเสียงแหลม “นี่มันเวลาอะไร คุณยังจะสนใจแต่เรื่องพินัยกรรมอีกเหรอ ในสายตาคุณ นอกจากเงินยังมีอย่างอื่นบ้างมั้ย ฟั่นลั่วซาน อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าคุณอยากทำร้ายข่ายเสวียน ที่คุณยอมรับพวกเรากลับมาเพราะคุณหมายตาบริษัทที่ข่ายเสวียนสร้างขึ้นด้วยความยากลำบาก ถ้าเขาไม่ใช่ลูกชายของคุณ ถ้าเขาไม่ใช่ golden boy of wall street น่ากลัวว่าชาตินี้ฉันคงไม่ได้เหยียบเข้าประตูบ้านสกุลฟั่นของพวกคุณ แล้วถ้าข่ายเสวียนตาย คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือคุณ! คุณมีแรงจูงใจในการทำร้ายเขามากกว่าฟั่นจยาหลัวเสียอีก! ฉันมันโง่จริงๆ ถ้ารู้แต่แรกฉันไม่น่าพาเขากลับมานับญาติกับคุณเลย! ถ้าข่ายเสวียนเป็นอะไรไปฉันจะสู้ตายกับพวกคุณ! สกุลฟั่นของพวกคุณไม่มีอะไรดีเลย!”

ฟั่นลั่วซานผลักข่งจิ้งที่โผเข้ามาดึงทึ้งตัวเองออกห่าง หัวเราะเสียงเย็น “อย่าลืมสิว่าฟั่นข่ายเสวียนเป็นคนสกุลฟั่น ฟั่นข่ายซวี่เองก็เหมือนกัน ลูกชายสองคนที่คุณคลอดใช้แซ่ฟั่นตามผมทุกคน เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนก่อนฟั่นข่ายเสวียนล้ม คุณบีบให้เขาทำพินัยกรรม เป็นคนที่มีสิทธิ์ฆ่าเขามากกว่า คิดเอาไว้เถอะว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ตำรวจฟังยังไง!”

“ฉันมีอะไรที่อธิบายไม่ได้ เขาเป็นลูกชายของฉัน การที่เขายกสมบัติทั้งหมดให้ฉันยังต้องอธิบายด้วยเหรอ ถ้าฟั่นจยาหลัวไม่มีเจตนาแช่งข่ายเสวียน มีหรือที่ฉันจะให้เขาทำพินัยกรรม ไว้ตำรวจมาฉันจะเล่าให้พวกเขาฟังทั้งหมด ให้พวกเขาตรวจสอบคุณกับฟั่นจยาหลัว ฉันสงสัยว่าพวกคุณร่วมมือกันทำร้ายข่ายเสวียน! ที่คุณไล่ฟั่นจยาหลัวออกจากบ้านสกุลฟั่นไปก็เพื่อแสดงละครให้พวกเราดูไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นทำไมตอนนี้ฟั่นจยาหลัวถึงยังอยู่สบาย ถ้าไม่มีคนคอยหนุนหลัง บริษัทสเตลล่าร์จะดันเขาแบบนี้เหรอ คุณให้ฟั่นจยาหลัวเป็นมือปืน ให้เขาออกมายืนพูดพล่ามหลอกล่อผู้คน ส่วนตัวคุณทำเรื่องชั่วอยู่เบื้องหลังและฆ่าข่ายเสวียนเพื่อให้ได้ทุกอย่างของเขา! อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าคุณคิดอะไร! ฉันจะบอกคุณให้ว่าข่ายเสวียนไม่เหลือให้คุณสักเหมา สมบัติทุกอย่างของเขาเป็นของฉันกับซวี่ซวี่!”

“แสดงละครอะไร มือปืนอะไร ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” ฟั่นลั่วซานคร้านจะคุยเรื่องเหตุผลกับข่งจิ้ง เขายิ้มเย็น “ผมว่าคุณกลัวจนกลายเป็นโรคประสาทหลอนไปแล้วมากกว่า ผมฟั่นลั่วซานยังไม่ถึงขั้นไม่มีเงินจากฟั่นข่ายเสวียนแล้วจะอยู่ไม่ได้หรอกนะ”

ข่งจิ้งชี้จมูกสามี พูดเสียงข่มขู่ “ไม่ถึงขั้นนั้นเหรอ ยิ่งกว่านั้นต่างหาก คนอื่นไม่รู้แล้วฉันต้องไม่รู้ด้วยหรือไง บริษัทของคุณใกล้ล้มแล้วไม่ใช่เหรอ คุณตั้งใจจะโยกเงินทุนหมุนเวียนของฟั่นซื่อกรุ๊ปไปอุดรูรั่วของตัวเอง แต่ถูกคนสกุลฟั่นจับได้ พวกเขากำลังเตรียมจะไล่คุณออกจากตำแหน่งแล้วนี่นา หรือไม่จริง? เวลานี้คุณขายหุ้นในบริษัทของคุณเพื่อคืนบัญชีไปหมด คุณไม่มีเงินแล้ว และในเร็วๆ นี้ถ้าคุณหาเงินก้อนใหญ่ไปหมุนไม่ได้ คุณล้มละลายแน่! คุณต่างหากที่มีเหตุผลจะฆ่าลูกชายฉันมากที่สุด! ฉันจะบอกตำรวจให้พวกเขาจับคุณ!”

ฟั่นลั่วซานคิดไม่ถึงว่าภรรยาจะตรวจสอบเรื่องภายในของตัวเองได้หมด สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก “ข่งจิ้ง เธอเก่งนักนะ! ถึงขนาดให้คนตรวจสอบฉัน! ตอนนั้นฉันไม่น่ารับเธอสองแม่ลูกกลับมาเลยจริงๆ!” ฟั่นลั่วซานกัดฟัน อยากพูดคำที่แรงกว่านี้ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่มีแต้มต่ออะไร ตัวเขาในตอนนี้ตกต่ำเหมือนสุนัขที่เจ้าของตายจาก ต่อให้ลูกชายตาย ข่งจิ้งก็ยังได้สมบัติหลายร้อยล้านทำให้พวกเขาสองสามีภรรยามีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

“ฉันต่างหากคือคนที่ต้องเสียใจจริงๆ! ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ฉันไม่มีวันพาข่ายเสวียนกลับมา!” ข่งจิ้งมองลูกชายผ่านทางจอมอนิเตอร์ น้ำตาสองสายไหลรินลงมาจากกระบอกตา

ฟั่นลั่วซานไม่อยากทะเลาะกับเธออีก เขาเดินจากไปอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับปิดประตูตามอย่างแรง

 

ในเวลาเดียวกันติงอวี่ก็พาตำรวจไปที่ฝ่ายบริหารของข่ายเสวียนกรุ๊ป เจ้าหน้าที่เทคนิคในชุดป้องกันกัมมันตภาพรังสีหลายคนถือเครื่องสแกนเพื่อสำรวจภายในห้องทำงานของท่านประธาน ในขณะที่ตำรวจอีกหลายนายทำการตรวจสอบพนักงานในบริษัท

“คุณสงสัยว่าการป่วยแบบเฉียบพลันของคุณฟั่นข่ายเสวียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟั่นจยาหลัวเหรอครับ” หลิวเทาลูบศีรษะกึ่งล้านของตนพลางแสดงสีหน้าแปลกๆ

“เขาไม่ได้ป่วย แต่ถูกพิษหรือได้รับกัมมันตภาพรังสี! ผมตื๊อให้ข่ายเสวียนไปเช็กร่างกายทุกวัน ก่อนเกิดเรื่องผลการตรวจสุขภาพของเขาแข็งแรงดีมากมาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยป่วยเลยสักครั้ง ทำไมพอบอกว่าจะล้มก็ล้มเลย ผมสงสัยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนชั่วของฟั่นจยาหลัว คำทำนายบ้าบออะไรนั่นมันโกหกทั้งนั้น เป็นข้ออ้างที่เขาใช้เพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมชั่วๆ ของตัวเอง เขาต้องเป็นคนทำร้ายข่ายเสวียนแน่ๆ!”

“แต่ทางโรงพยาบาลยังไม่สรุปผล การแจ้งความของคุณจึงปราศจากหลักฐาน ถูกต้องมั้ยคะ พูดอีกอย่างหนึ่งคือคุณกำลังใส่ความเขา! ถ้าเป็นกัมมันตภาพรังสีจะต้องมีการสัมผัสเป็นระยะเวลานาน เวลาตรวจร่างกายไม่มีทางที่จะไม่แสดงผล และทุกคนที่คลุกคลีกับคนที่โดนกัมมันตภาพรังสีจะต้องพลอยได้รับผลกระทบ ฉันว่าคุณเหมือนแข็งแรงดีมาก คุณติงคะ คนเราต้องรับผิดชอบคำพูดนะคะ” เลี่ยวฟางที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดแทรกประโยคหนึ่งด้วยเสียงเย็นๆ

“การคาดเดาของผมสมเหตุสมผล”

“เงื่อนไขแรกที่จะทำให้การคาดเดาสมเหตุสมผลคือต้องมีหลักฐาน แต่คุณไม่มี เท่ากับคุณใส่ร้ายคนอื่น”

“ผมก็กำลังให้พวกคุณหาหลักฐานอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“แล้วถ้าเราหาหลักฐานที่ใช้ฟ้องอาจารย์ฟั่นไม่ได้ คุณจะว่ายังไงคะ”

“อาจารย์ฟั่น? ตำรวจอย่างพวกคุณเป็นพวกเดียวกับเขางั้นเหรอ! พวกคุณเชื่อคำทำนายบ้าบอพวกนั้น?” ติงอวี่ขยี้บุหรี่ ถามเสียงดุดัน

“แล้วจะทำไมคะ ตราบใดที่หาหลักฐานการทำผิดไม่ได้ เราย่อมไม่สามารถอาศัยคำพูดของคุณไปฟ้องอาจารย์ฟั่นได้ไม่ใช่เหรอคะ อีกอย่างคุณก็ไม่ใช่ทนายด้วย” เลี่ยวฟางตอกกลับติดๆ กัน และหลิวเทาไม่เพียงไม่ห้ามเธอ ซ้ำยังผงกศีรษะบอกอืมๆ

เสี่ยวหลี่ตรวจสอบบัญชีโซเชียลของฟั่นข่ายเสวียนแล้วบอก “จริงสิ ควบคุมการให้ข้อมูลแก่บุคคลภายนอกขององค์กรพวกคุณหน่อยนะ อะไรคือการที่บอกว่าแจ้งตำรวจแล้วและผู้ต้องสงสัยรายสำคัญของเจ้าหน้าที่คือฟั่นจยาหลัว พวกเราไม่เคยสงสัยอาจารย์ฟั่นเลย โอเคมั้ย ผมแจ้งตำรวจไซเบอร์ให้ลบข้อความทำนองนี้ทิ้งแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีหลักฐาน ไม่ว่าใครก็ห้ามสร้างความเข้าใจผิดให้แก่สังคม!”

เสี่ยวหลี่เลื่อนดูหน้าเว็บไปเรื่อยๆ พบว่าทั้งหมดเป็นคอมเมนต์ที่บอกว่าอาจารย์ฟั่นวางแผนฆ่าฟั่นข่ายเสวียน สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างมาก ดูเหมือนในอินเตอร์เน็ตจะมีอิทธิพลมืดจดจ้องอาจารย์ฟั่นอยู่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ล้วนให้ร้ายเขา ขนาดเรื่องบ้าบอที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเลยยังเอามาหาเรื่องเขาได้

ผู้คนมากมายไม่เข้าใจพฤติกรรมของฟั่นจยาหลัว เข้าใจว่าเขาเป็นพวกอยากดัง เล่นใหญ่ ตีความคุณงามความดีทุกอย่างของเขาให้เป็นเรื่องบ้าบอ เนื่องจากคนเหล่านั้นมองเห็นเพียงแสงอันน้อยนิดที่อยู่ตรงหน้า ไม่ยอมมองหาโลกภายนอกที่สว่างไสว ต่อให้โลกใบนั้นกำลังคุกคามชีวิตของพวกเขาอยู่ก็ตาม ในขณะที่อาจารย์ฟั่นกลับเป็นคนเดียวที่เดินอยู่ในแสงสว่าง พยายามตัดหนวดที่ยื่นออกมาจากโลกมืดเพื่อกลืนกินมนุษย์ธรรมดาทิ้ง เขาเสียสละเพื่อทุกคนอย่างเงียบๆ แต่สิ่งที่ได้มากลับมีแต่การถูกใส่ร้ายและเข้าใจผิด

เวลานี้เริ่มมีคนเชื่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนส่วนใหญ่ยังคงมีท่าทีปฏิเสธเขา

คอมเมนต์พวกนี้ทำให้เสี่ยวหลี่จุกมาก เขาแทบอยากป่าวประกาศเรื่องคดีออกไปเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของอาจารย์ฟั่น หลังไลฟ์คดีเด็กนรก อาจารย์ฟั่นมีแฟนคลับกลุ่มใหญ่เพิ่มเข้ามา เวลานี้พวกเขาเป็นแนวหน้ารับมือแรงกดดันทำให้มีพาวเวอร์ในการบู๊อย่างมาก

เห็นแอนตี้ถูกแฟนคลับของฟั่นจยาหลัวด่ากราดชนิดสาดเสียเทเสียแล้วเสี่ยวหลี่ค่อยสบายใจ ทว่าสายตาที่มองติงอวี่กลับไม่เป็นมิตรอย่างมาก เลี่ยวฟางกับหลิวเทาเองก็หน้าตึง บนหน้าผากเหมือนมีประโยคหนึ่งเขียนว่า…‘ข้าว่าเอ็งพูดเพ้อเจ้อ’

ติงอวี่ดับบุหรี่อีกครั้ง น้ำเสียงกร้าวกระด้าง “ผมสงสัยว่าพวกคุณจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฟั่นจยาหลัว ผมอยากให้พวกคุณถอนตัวจากคดีนี้แล้วเปลี่ยนเอาตำรวจข้างนอกมาทำแทน เนื่องจากท่าทีของพวกคุณขาดความเป็นกลางอย่างมาก”

เลี่ยวฟางถอนหายใจหนักๆ “งั้นคุณอาจต้องเปลี่ยนให้สำนักย่อยแห่งใหม่มาทำคดีนี้แทน เพราะคนของเราทั้งสำนักต่างเคารพยกย่องอาจารย์ฟั่นมาก”

“หมายความว่าอะไร พวกคุณไม่รับทำคดีเหรอ ผมจะร้องเรียนพวกคุณ…” ติงอวี่พูดยังไม่ทันจบ มือถือก็ดังขึ้น หมอเจ้าของไข้โทรมา

“ประธานติงครับ การตรวจสอบพิษกับกัมมันตภาพรังสีออกมาแล้ว ประธานฟั่นไม่ได้โดนพิษและไม่ได้โดนกัมมันตภาพรังสี อวัยวะของเขาเสื่อมตามธรรมชาติ พูดแบบนี้คุณอาจเชื่อยาก แต่เรื่องจริงคือเรื่องจริง ตอนถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลใหม่ๆ การทำงานทางสรีรวิทยาของเขามีอายุอยู่ที่ยี่สิบถึงสามสิบปี ต่อมามันค่อยๆ เสื่อมสภาพเป็นสี่สิบปี และตอนนี้เสื่อมเหมือนคนแก่วัยกลางคนอายุห้าสิบกว่า หนำซ้ำสถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงเรื่อยๆ”

เสียงของติงอวี่สั่น “หมายความว่ายังไง”

“ความหมายของผมคือเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของประธานฟั่นแก่ลงเร็วมาก นี่คือเหตุผลที่แท้จริงในการล้มป่วยของเขา ภายในระยะเวลาสี่ชั่วโมงสั้นๆ เขาแก่ลงไปยี่สิบสามสิบปี ในประวัติศาสตร์การแพทย์ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้! เราไม่รู้ว่าควรรักษาเขายังไง ทำได้แค่รักษาการทำงานของร่างกายเขาไว้ แต่ถ้ามันยังเสื่อมสภาพลงเร็วแบบนี้เขาอาจเหลือเวลาไม่มาก”

“ผมไม่เชื่อ!” ติงอวี่พูดเสียงกัดฟัน

“คุณดูเองเถอะครับ เราไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่านี้แก่คุณแล้วจริงๆ โรคชราที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนแบบนี้เรายังไม่เคยเห็นมาก่อน” หมอส่งรูปรูปหนึ่งมาก่อนถอนหายใจและตัดสายไป

ติงอวี่เปิดดูรูป สีหน้ามั่นอกมั่นใจเปลี่ยนเป็นไม่อยากเชื่อทันที

เขาไม่กล้าบอกว่ารู้จักคนในรูป แม้หน้าตาจะเหมือนเดิม เครื่องหน้าเหมือนเดิม แต่ความหล่อเหลางามสง่ากลับถูกริ้วรอยลึกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ผมที่เคยเป็นสีดำสนิทกลายเป็นสีขาวราวน้ำค้างแข็ง ดวงตาที่เคยเปล่งประกายคมปลาบฉายแววเหนื่อยล้า ทั้งที่เขาเพิ่งแยกจากอีกฝ่ายมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ฟั่นข่ายเสวียนกลับแก่จนเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ชายหนุ่มมองกล้อง ในดวงตามีความมึนงงและทำอะไรไม่ถูก ฟั่นข่ายเสวียนคนที่ห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว กล้าชนในอดีต เวลานี้อ่อนแอเหมือนฟองสบู่

ความเศร้าอาดูรที่อธิบายได้ยากกระแทกใส่หัวใจของติงอวี่ทำให้เขาตัวสั่นอย่างแรงจนเกือบเป็นลม

“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง! นี่มันโรคอะไรกันแน่” เขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกว่านี่คือการถูกพิษหรือโดนกัมมันตภาพรังสี แม้พิษและกัมมันตภาพรังสีจะฆ่าคนตาย แต่มันไม่อาจทำให้ผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งกลายเป็นคนแก่อายุหลายสิบปีภายในชั่วพริบตาได้! ติงอวี่กำมือถือแน่น ขอบตาแดงเหมือนเลือดจะหยดลงมา

หลิวเทาที่ได้รับสายจากหมอเหมือนกันมองติงอวี่ด้วยสายตาเห็นใจ เวลานี้เจ้าหน้าที่เทคนิคหลายคนพากันเดินเข้ามาในห้องรับแขก พวกเขาถอดชุดป้องกันกัมมันตภาพรังสีพลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีกัมมันตภาพรังสี เราค้นไปถึงห้องทำงานแต่ไม่เจออะไรที่น่าสงสัย ภาชนะกับชุดชาที่ฟั่นข่ายเสวียนใช้เราห่อไว้แล้ว จะเอากลับไปทดสอบพิษในขั้นต่อไป”

“พวกคุณหาเบาะแสที่น่าสงสัยไม่เจอหรอก เพราะเขาไม่สบาย” หลิวเทาเอารูปที่หมอส่งมาให้พวกเพื่อนร่วมงานดู

ทุกคนเวียนกันดูแล้วทำหน้าเหลือเชื่อเห็นได้ชัดว่านี่เป็นโรคชรา เพียงแต่มันเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลก! คำทำนายของฟั่นจยาหลัวไม่ผิดเลยจริงๆ!

“รองหัวหน้าครับ งั้นพวกเราไปกันก่อนดีมั้ย”

“ไปเถอะๆ หลักฐานที่ห่อไว้ก็เอาไปตรวจสอบด้วย ในเมื่อเรารับทำคดีแล้วต้องรับผิดชอบให้เต็มที่” เห็นได้ชัดว่าหลิวเทาตั้งใจพูดให้ติงอวี่ฟัง

เจ้าหน้าที่เทคนิคทุกคนพากันผงกศีรษะรับคำ พวกเขาหิ้วถุงบรรจุหลักฐานทั้งใบใหญ่ใบเล็กเดินจากไป เสี่ยวหลี่ใช้คอมพิวเตอร์ของข่ายเสวียนกรุ๊ปโพสต์รายงานความคืบหน้าของคดี โดยบอกตรงๆ ว่าฟั่นข่ายเสวียนล้มป่วยเฉียบพลัน ไม่ได้ถูกพิษ ขอให้ทุกคนหยุดสร้างข่าวลือได้แล้ว

ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่านักข่าวหูผีจมูกมดคนไหนแชร์รูปฟั่นข่ายเสวียนที่แก่เหมือนคนอายุหลายสิบปีออกไป พร้อมแนบใบรับรองแพทย์ระบุว่าอัตราการเกิดโรคนี้อยู่ในระดับหนึ่งในสิบล้าน เรียกเสียงฮือฮาในเว็บบอร์ด เรื่องที่ฟั่นจยาหลัววางยาพิษจึงเป็นอันตกไปเอง แอนตี้ที่สาดน้ำสกปรกใส่ชายหนุ่มอย่างบ้าระห่ำเลิกทำสงครามในชั่วพริบตา และเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่ถูกเยาะหยันเสียเอง

ก่อนออกจากห้องรับแขกเลี่ยวฟางหันไปมองติงอวี่ที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาอย่างอดไม่อยู่ พบว่าชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างกำลังกุมหน้าผากน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ เธอจึงเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค “ตอนนั้นอาจารย์ฟั่นบอกพวกคุณว่ายังไง คุณจำได้มั้ย ถ้าอับจนหนทางจริงๆ ให้ไปหาเขาได้”

ติงอวี่เงยหน้าทันที ดวงตาพลันมีประกายสว่างไสว ฉายแววแห่งความหวังอันร้อนแรง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 14 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: