บทที่หนึ่ง
“สะ…สหายหรือ” หญิงสาวที่อยู่ในครัวหยุดความเคลื่อนไหว ท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ใช่น่ะสิ อวี๋เอิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาดีกับข้าแค่ไหน เช้าเจ้าไปขายโจ๊ก ตกบ่ายขึ้นเขาไปเก็บผัก พวกเขาเห็นข้าอยู่คนเดียวเหงาๆ เลยมาคุยเป็นเพื่อน เมื่อคืนเสี่ยวชุ่ยยังเอาขนมเปี๊ยะที่มารดานางทำมาให้ จำได้หรือเปล่า” พอพูดถึงสหาย นัยน์ตาง่วงซึมของเหมียวตงหยาก็เป็นประกายทันที ลมหนาวพัดเข้ามาจากด้านนอก นางทำไหล่ห่อ กระชับผ้าคลุมกันลมบนร่างให้แน่นหนาขึ้น พลางก้าวเข้ามาหลบลมในครัว
“อย่างนั้นหรือ จะ…เจ้ามีสหายก็ดีแล้ว จะได้ไม่เหงา” หญิงสาวในครัวเอ่ยตะกุกตะกัก
“อวี๋เอิน นี่จะออกไปแล้วหรือ ฟ้ายังไม่สางเลยนะ”
“ออกไปตอนนี้ล่ะดี ช้ากว่านี้เดี๋ยวจะสาย”
“เช่นนั้น…” เหมียวตงหยาว่าพลางยกมือปิดปากหาว “ข้าอยากออกไปขายโจ๊กกับเจ้าด้วยได้หรือเปล่า”
“อย่าเลย เจ้าอยากนอนต่อไม่ใช่หรือ ไปนอนเถิด พอเจ้าตื่น ข้าก็กลับมาแล้ว” ทั้งที่รู้ดีว่าบทสนทนาเช่นนี้ดำเนินซ้ำๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หญิงสาวที่อยู่ในครัวก็ยังตอบแบบเดียวกันอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
“ตะ…แต่ว่า…” นางง่วงจริงๆ นั่นล่ะ ง่วงเหลือเกิน แม้เมื่อครู่จะบังคับตัวเองให้ลุกเดินมาที่ห้องครัวเพราะเห็นเตียงนอนฝั่งเหมียวอวี๋เอินว่างเปล่า โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่อีกฝ่ายจะต้องทำงานงกๆ อยู่คนเดียว ในขณะที่นางนอนหลับอุตุ อีกอย่างวันๆ นางก็ได้คุยกับเหมียวอวี๋เอินแค่ไม่กี่คำ นางเหงาออกจะตาย…
“ถ้าเจ้าไป หน้าตาอย่างนี้ เดี๋ยวก็มีคนมาวุ่นวาย” หญิงสาวเอาม้านั่งซ้อนกันแล้วยกขึ้นรถเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะลองออกแรงเข็นอยู่หลายครั้งถึงจะชินกับน้ำหนัก และหันไปยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “กลับไปนอนไป เดี๋ยวศิษย์พี่ใหญ่กลับมาจะหาเจ้าไม่เจอ”
หลังเหมียวตงหยาลังเลอยู่สักพักก็พยักหน้ายิ้มหวานให้ “อืม” รอยยิ้มบนดวงหน้าสะลึมสะลือดูงามจับตา แม้จะเห็นมาไม่รู้กี่ปีแล้ว หญิงสาวก็ยังตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหันหลังเข็นรถออกจากบ้านไปช้าๆ
“ระวังตัวด้วยนะอวี๋เอิน” เหมียวตงหยาส่งเสียงตะโกนไล่หลังเบาๆ แม้แต่น้ำเสียงยังหวานเสนาะหู
หญิงสาวไม่ได้หันไปมอง นางเข็นรถหนักอึ้งออกจากบ้านหลังเล็กเก่าคร่ำคร่า มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปยังตัวเมือง
ฟ้าเพิ่งจะสาง อากาศจึงเย็นจัด แผ่นหลังของนางเล็กบาง สวมเพียงเสื้อเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้สวมเสื้อคลุมอีกชั้นเพราะเวลาเคี่ยวโจ๊กหากใส่เสื้อผ้าหนาๆ จะไม่สะดวก
ร้านรวงสองฝั่งถนนในเมืองยังปิดอยู่ แต่เริ่มมีคนทยอยออกมาให้เห็นแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนงานชั้นล่างหรือไม่ก็เจ้าของแผงเล็กๆ ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
“แม่นางเหมียว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
นางไม่ยอมหยุดเท้า แค่หันไปผงกศีรษะน้อยๆ ให้เขาที่เดินห่างออกไปด้านหลังสองก้าว
บุรุษผู้นี้เป็นลูกค้าเก่าแก่ ฝนจะตกฟ้าจะร้องก็มาอุดหนุนนางไม่เคยขาด ในแต่ละวันเขาจะเดินกลับเข้าเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แล้วแวะกินมื้อเช้าริมทาง หลายครั้งที่ขึ้นไปเก็บผักบนเขา ทั้งสองก็ได้พบกันโดยบังเอิญ เขาจะเพียงแค่อมยิ้มผงกศีรษะให้นางเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย นางเดาเอาว่าเขาคงขึ้นไปวัดที่ตั้งอยู่กลางเขา
รูปร่างหน้าตาเขาดูหยาบกร้าน ทว่าหล่อเหลา ขณะที่บุคลิกสุภาพนุ่มนวล แตกต่างจากรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิง หนึ่งปีมานี้เขาถือลูกประคำแบบพุทธติดมือซ้าย นานๆ จะเห็นเขานับประคำบ้าง นางจึงลอบเดาต่อไปว่าเขาน่าจะเป็นอุบาสก
ที่นางเดาเช่นนี้ นอกจากเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น สาเหตุหลักเป็นเพราะบางทีเวลาคุยกับลูกค้าคนอื่น เขามักอ้างอิงคำพระ การที่เป็นอุบาสกตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นเช่นนี้ เบื้องหลังจะต้องมีสาเหตุแน่ แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่นางก็ได้รู้จากบทสนทนาของคนอื่นว่าเขาแซ่เนี่ย เป็นลูกคนที่เจ็ดของครอบครัว คนที่เจ็ดเชียวนะ หมายความว่าบ้านเขาต้องคนเยอะมาก ไม่เหมือนนาง มีเพียงเหมียวตงหยาเป็นน้องสาวแค่คนเดียวเท่านั้น
“ระวัง!” ล้อรถพลันติดก้อนหิน เหมียวอวี๋เอินเซแซดๆ ไปข้างหลัง เขาประคองแผ่นหลังบอบบางของนางไว้เบาๆ ส่วนมืออีกข้างออกแรงช่วยเข็นรถให้
“ขะ…ขอบคุณ” นางสะดุ้งเฮือก รีบก้มหน้าเอ่ยกับเขาทันใด
ชายหนุ่มไม่ว่ากระไร ยังคงเดินช้าๆ ตามหลังนางเหมือนเก่า
หน้าร้านยาบนถนนใหญ่คือที่ขายโจ๊กของนาง นางจอดรถเข็นพลางลอบถอนหายใจเบาๆ แต่ละวันที่เข็นรถหนักอึ้ง แขนทั้งสองข้างจะปวดระบมเสียไม่มีดี
ระหว่างที่นางสาละวนอยู่กับการตั้งแผง เขาก็ช่วยยกม้านั่งลงมาตั้งให้
“ต้องรอสักครู่” นางบอกและพลางเริ่มทำโจ๊ก
“ไม่เป็นไร”
“เหมือนเดิมหรือ”
“อืม”
ประโยคถามตอบดำเนินซ้ำๆ มาหนึ่งปี เขากลับนั่งรออาหารเช้าเงียบๆ โดยไม่มีท่าทางเบื่อหน่ายหรือรำคาญใจ
นางเคยประหลาดใจอยู่บ้าง ต่อให้คนคนหนึ่งกินอาหารได้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่น่ากินโจ๊กเหมือนเดิมต่อเนื่องกันได้หนึ่งปี ริมถนนใหญ่นี้เต็มไปด้วยแผงขายอาหารนานาชนิดทั้งออกตกเหนือใต้ ต่อให้เขากินเจ แต่เหตุใดถึงกินอาหารเดิมๆ รสชาติเดิมๆ ได้ทุกวันเลยเล่า
“คุณชายเนี่ย” คนงานจับกลุ่มกันเดินยิ้มร่าเข้ามา “มาแต่เช้าเชียว พวกข้านึกว่ามาเช้ามากแล้ว กลับต้องเจอท่านมาเช้ากว่าทุกทีไป”
เนี่ยเวิ่นหยา หรือเนี่ยชี คุณชายคนที่เจ็ดของคฤหาสน์สกุลเนี่ยเพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ไม่กล่าวอะไร
“แม่นางเหมียว พวกเราเอาโจ๊กผักสามชาม ใส่ผักอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ห้ามลืมผักดองซีอิ๊วที่เจ้าดองเองเด็ดขาด” คนงานสั่งพลางนั่งลงบนม้านั่ง
นางไม่ตอบ แค่พยักหน้าแสดงการรับรู้ ขณะสาละวนใส่เครื่องในหม้อโจ๊ก แล้วทำไหล่ห่อเมื่อลมเย็นพัดเข้ามาระลอกหนึ่ง
“ไม่หนาวหรือ” เนี่ยชีถามขึ้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ นางก็เงยหน้าขึ้นมางงๆ ถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มพูดกับตน
“มะ…ไม่เท่าไร”
“เจ้าใส่เสื้อผ้าบางมากเลยนะ”
ดูเหมือนวันนี้เขาจะช่างพูดเป็นพิเศษ ทำเอานางรับมือไม่ถูก ต้องนิ่งอึ้งงันไปอีกสักพักถึงค่อยตอบว่า “ใส่หนาๆ แล้วต้มโจ๊กไม่สะดวก”
“หากใส่เสื้อผ้าบางแล้วตัวเย็นจนจับไข้ ไม่ยิ่งทำงานไม่สะดวกหรือ”
“คุณชายโปรดวางใจ ข้าร่างกายแข็งแรงมากมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยตัวเย็นจนจับไข้มาก่อน หากมีวี่แววว่าป่วยจะไม่ต้มโจ๊กเด็ดขาด” นางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นห่วงเรื่องสุขอนามัยของตนเอง
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก เอาแต่จ้องมองความเคลื่อนไหวของนางเงียบๆ
เหมียวอวี๋เอินลอบถอนหายใจโล่งอก นางพูดไม่เก่ง และยิ่งไม่ชอบตกเป็นจุดสนใจของคนอื่น หนึ่งปีมานี้เขาพูดไม่มาก กินเสร็จก็ลุกจากไป แล้วค่อยเจอหน้ากันใหม่เช้าวันรุ่งขึ้น แม้จะเคยชินกับตัวตนของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเคยชินกับการพูดคุยกับเขาเช่นกัน
ไม่นานนัก โจ๊กข้าวร้อนๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม พร้อมด้วยผักป่าหนึ่งจาน เต้าหู้แผ่นหนึ่งจาน และหน่อไม้แห้งที่นางดองเอง
“แม่นางเหมียว วันไหนมากินโจ๊กร้านเจ้าต้องกินทีละสามชามห้าชาม เจ้าไม่คิดจะขายข้าวสวยบ้างหรือ ชามเดียวอิ่ม สะดวกแล้วก็ง่ายดีด้วย” คนงานเปรยถาม
เหมียวอวี๋เอินชะงัก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายเบาๆ “กินโจ๊กเช้าๆ ดีต่อกระเพาะ พอย่อยหมดแล้วยังช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ด้วย”
คนงานฟังเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง
ป้าจางที่ขายขนมเปี๊ยะแผงติดกันอดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “กลัวจะหิวก็มากินขนมเปี๊ยะสิ แผ่นเดียวแบ่งกินได้ทั้งมื้อเช้ามื้อกลางวัน ก็พวกเจ้าดันติดใจรสมือแม่นางเหมียว อยากกินโจ๊กเอง จะโทษใครได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่เล่าแม่นางเหมียว”
เหมียวอวี๋เอินเหลือบตาขึ้นมายิ้มฝืดๆ ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี ทันใดนั้นนางก็เห็นเสี่ยวชุ่ยลูกสาวป้าจางเดินมาแต่ไกล
เสี่ยวชุ่ยอายุไล่เลี่ยกับเหมียวตงหยา จะคบหาเป็นสหายกันก็ไม่แปลก ดีแล้ว วันๆ เหมียวตงหยาได้แต่อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ จะต้องเหงาอยู่แล้ว มีสหายให้คุยด้วยสักคน…ดีมากเลย
นางพยักหน้าทักเสี่ยวชุ่ย ก่อนจะหันไปต้มโจ๊กต่อ
“ท่านแม่ นี่ ท่านลืมของ ท่านพ่อให้ข้าเอามาให้” เสี่ยวชุ่ยพูดกับป้าจางเสียงดัง แม้ผู้ใดไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน
พวกคนงานกินเสร็จก็วางเหรียญสำริดเอาไว้ แล้วรีบไปทำงาน เหลือแต่เนี่ยชีคนเดียว นางเห็นเขากินจนหมดชามแล้วก็ถามขึ้น
“อีกชามหรือไม่” ปกติเขาจะกินสองชามเสมอ
ชายหนุ่มพยักหน้า ส่งชามเปล่าให้นางรับไปเติมโจ๊กให้ แล้วเผลอแตะถูกปลายนิ้วเล็กเข้าโดยบังเอิญ
นางรับชามไปด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะตักโจ๊กเติมให้เขา พร้อมยกผักมาให้อีกสองจาน
อาการเก้อเขินนั้นตกอยู่ใต้สายตาของเนี่ยชี เขาพลันเอ่ยถามขึ้นว่า “แม่นางเหมียวรสมือล้ำเลิศ คิดจะเปิดร้านของตัวเองบ้างหรือไม่”
“ไม่” เนื่องจากรู้สึกตัวว่าตอบกลับไปค่อนข้างเร็ว นางจึงเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วบอกตรงๆ “ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น”
“ไม่เคย? คิดจะตั้งแผงแบบนี้ไปทั้งชีวิตหรือ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า” นางส่ายหน้า “ข้าไม่คิดจะขายโจ๊กไปทั้งชีวิตหรอก”
เขาตกใจเล็กน้อย “เจ้ามาตั้งแผงที่นี่หนึ่งปี ไม่ได้คิดจะเก็บเงินเปิดร้าน แต่ก็ไม่ได้คิดจะตั้งแผงต่อไปเรื่อยๆ…” ความจริงเขาอยากถามว่าต่อไปนางจะทำอะไร ทว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ปกติเขากับนางไม่ได้สนิทกันมาก ถามเช่นนี้เท่ากับเสียมารยาท
“พี่อวี๋เอิน ข้าก็จะกินโจ๊กเหมือนกัน” เสี่ยวชุ่ยปรายตามองเนี่ยชีพลางทรุดตัวลงนั่ง “คุณชายท่านนี้…เป็นลูกค้าประจำของพี่อวี๋เอินหรือ”
“แม่นางเหมียวรสมือดี ข้าจึงมากินเป็นประจำ” เนี่ยชีตอบอย่างสุภาพ
เสี่ยวชุ่ยกลอกตามองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมา “มิน่าเล่า…” นางหยุดไปแค่นั้นอย่างจงใจ แต่พอเห็นว่าเหมียวอวี๋เอินเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาต้มโจ๊ก ส่วนชายหนุ่มก็กินโจ๊กต่อเงียบๆ ไม่มีทีท่าจะสานต่อบทสนทนา ก็แหวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “มิน่าพี่อวี๋เอินถึงไม่ยอมให้ตงหยาตามมาด้วย”
เหมียวอวี๋เอินเงยหน้าขึ้นมา ดูงงงวยอย่างเห็นได้ชัด “ตงหยาทำไมหรือ” ก่อนนางออกมายังดูดีๆ อยู่เลยนี่นา
“ตงหยาถูกท่านจับให้อยู่แต่ในบ้านจนจะล้มป่วยอยู่แล้ว” เสี่ยวชุ่ยทำตัวเป็นผู้ผดุงความเป็นธรรม “พี่อวี๋เอิน ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าตงหยาอุดอู้อยู่แต่ในบ้านจนแทบป่วยก็ยังไม่ยอมให้นางตามออกมาด้วย ตอนแรกข้านึกว่าท่านกลัวนางตามออกมาทำงานแล้วจะเหนื่อย แต่ข้าก็ยังแปลกใจมากอยู่ดี ท่านกลัวนางจะเหนื่อย ให้นางนั่งอยู่ข้างๆ คอยคุยกับท่านก็ได้นี่ ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าตัวเองคิดผิด”
“เสี่ยวชุ่ย เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า!” ป้าจางเอ็ด
“ท่านแม่ ข้าพูดความจริงนะ พี่อวี๋เอินพูดน้อย เงียบๆ อึมครึม อยู่ด้วยแล้วอึดอัด ถ้าไม่เพราะตงหยา ข้าก็ไม่อยากจะคุยกับนางหรอก ตอนแรกข้านึกว่านางเป็นพี่สาวของตงหยา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดทำเพื่อน้อง ต่อมาถึงได้รู้ว่านางไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ เสียหน่อย…”
“เสี่ยวชุ่ย!” ป้าจางตวาด “รู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้างหรือเปล่า นางเด็กคนนี้!”
“ท่านแม่ ข้าพูดผิดตรงไหนกัน ท่านเองก็สงสารตงหยาเหมือนกันไม่ใช่หรือ นางหน้าตาสะสวย จิตใจดี ท่าทางก็ดีกว่าพี่อวี๋เอินเป็นกอง หากให้ไปแต่งงานกับคนขายผักหรือชาวนาก็น่าเสียดาย คราวก่อนท่านบอกไม่ใช่หรือว่าพี่เฉี่ยวเซียนที่ขายผักอยู่ตรงหัวถนนเกิดไปต้องตาบุรุษดีๆ เข้าแล้วถูกรับเป็นอนุ เลยได้แปลงร่างจากอีกาเป็นนางหงส์นับแต่นั้น ท่านยังเคยพูดด้วยว่ามีคุณชายท่านหนึ่งมากินโจ๊กของพี่อวี๋เอินทุกวัน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ซ้ำยังเป็นหนึ่งในตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ ของหนานจิง ถ้าหากว่า…”
“หุบปากนะ!”
“พี่อวี๋เอินคงตั้งใจว่ารู้จักกันนานเข้าจะเกิดรักกันขึ้นมาสินะ หากตงหยาอยู่ด้วย ไม่มีใครสนใจคนนิสัยมืดมนอย่างนางแน่ เพราะอย่างนี้ถึงไม่พาตงหยาออกมาล่ะสิ รู้จักกันนานๆ จนเกิดความรักจะไปสู้รักแรกพบได้อย่างไรเล่า”
“ยังไม่หยุดอีกหรือ อยากโดนตีใช่หรือไม่!” ป้าจางโมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เสี่ยวชุ่ยเหล่มองเหมียวอวี๋เอินอย่างเดือดดาล ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาปัดโถเกลือทิ้ง แล้วสะบัดหน้าวิ่งออกไป
บรรยากาศกระอักกระอ่วนดำเนินต่อไปสักพัก เหมียวอวี๋เอินถึงค่อยหันไปพูดตะกุกตะกักกับเนี่ยชี “ขออภัย…ทำให้ท่านเห็นเรื่องน่าขายหน้าเสียแล้ว…”
ชายหนุ่มส่ายหน้า บอกด้วยแววตาเป็นธรรมชาติ “เรื่องน่าขายหน้าน่ะไม่เห็นหรอก แต่อยากเติมอีกชามมากกว่า”
“หา?! ได้ๆ” นานๆ จะได้เห็นเขากินมากกว่าปกติ นางจึงรีบเติมโจ๊กให้
“คนที่ต้องขอโทษคือข้าต่างหาก…” ป้าจางเช็ดมือเข้ากับผ้ากันเปื้อนอย่างรู้สึกผิด “เสี่ยวชุ่ยเป็นลูกคนเดียวของข้ากับสามี นางไม่เข้าใจความคิดของเจ้าน่ะอวี๋เอิน นางสนิทกับตงหยามาก วันๆ ไม่ว่าอะไรก็เอาแต่พูดถึงตงหยา ก็เลย…”
เหมียวอวี๋เอินส่ายหน้าทันที ก่อนจะส่งยิ้มให้ “ไม่เป็นไร ตงหยาโชคดีที่มีสหายแบบนี้” รู้จักกันนานเข้าจะเกิดรักกันขึ้นมาหรือ นางไม่เคยแม้แต่คิดด้วยซ้ำ แค่เห็นเขาเป็นลูกค้าประจำคนหนึ่ง ลูกค้าประจำที่ไม่ช่างพูดแต่รู้ใจนาง
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบรอยแผลจางๆ จนแทบมองไม่เห็นบนแก้ม รู้จักกันนานๆ จนเกิดความรักจะไปสู้รักแรกพบได้อย่างไร…ประโยคนี้พูดได้ดีนัก
นัยน์ตาสีดำหลุบลง แล้วพลันเห็นเกลือหกกระจายอยู่บนพื้น นางจึงก้มลงไปเก็บโถเกลือขึ้นมา เพิ่งจะขายโจ๊กหมดครึ่งเดียว จะปล่อยให้โจ๊กไม่มีรสเค็มได้อย่างไร…
นางเงยหน้าขึ้น ทำท่าละล้าละลัง
“ไปเถิดๆ ข้าช่วยดูแผงให้ก็ได้” ป้าจางบอกยิ้มๆ
นางพยักหน้า เอ่ยด้วยท่าทางเก้อเขินว่า “ขอบคุณ” ก่อนจะหันไปผงกศีรษะให้เนี่ยชีเล็กน้อย แล้วเดินออกไปซื้อเกลือ
ป้าจางมองตามสักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้าพึมพำ “มืดมนจริงๆ เฮ้อ…” นางปรายตามองเนี่ยชีที่ยังนั่งกินโจ๊ก ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็น ยังคงกินโจ๊กต่อไปเรื่อยๆ จนหมด ถึงค่อยวางเหรียญสำริดสองสามเหรียญไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้น
“คุณชายเนี่ย” ป้าจางร้องถามอย่างอดไม่อยู่ “พะ…พรุ่งนี้ท่านยังจะมาอยู่ใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เขาตอบก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปช้าๆ
ยามนี้ท้องถนนเริ่มคึกคักแล้ว ร้านรวงทยอยเปิดตามๆ กัน
ตอนเขาเดินผ่านร้านเล็กๆ ที่ขายเกลือกลับไม่มีวี่แววของนาง เขาหยุดยืนชั่วครู่ เสียงถามเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“นายน้อย จะให้บ่าวไปตามหานางหรือไม่ขอรับ” คนถามคือโอวหยางที่เป็นผู้อารักขาประจำตัว
“ไม่ต้อง” เนี่ยชีหงุดหงิดเล็กน้อยที่คนอื่นเดาใจได้ “อยู่ให้ไกลๆ ข้าหน่อย”
จากนั้นเขาก็เดินข้ามถนนเลี้ยวเข้าตรอกเล็กแห่งหนึ่ง
ตรอกเล็กนี้เป็นทางลัดไปคฤหาสน์สกุลเนี่ย เพิ่งจะย่างเท้าเข้าไปแค่ก้าวเดียวก็เห็นนักเลงหัวไม้กลุ่มหนึ่งล้อมเหมียวอวี๋เอินไว้ตรงกลางตรอก เขาสะดุ้งวาบในใจ ตวาดออกไปทันที “นี่มันอะไรกัน! ลวนลามสตรีกลางวันแสกๆ เชียวหรือ” เสียงทุ้มต่ำฟังดูคุกคามของเขาเบี่ยงเบนความสนใจกลุ่มนักเลงให้หันมาทำตาโต
“ลวนลาม?” พวกนักเลงแค่นหัวเราะ “นายท่าน ท่านเดินผ่านมาก็ถือเสียว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พวกเรากำลังเก็บค่าคุ้มครองอยู่ต่างหาก ยังไม่ตาต่ำถึงขนาดจะมาลวนลามนาง”
“เดือนก่อนพวกเจ้าก็เก็บไปแล้วนี่” เหมียวอวี๋เอินบอกอย่างเยือกเย็น ทว่ามือสองข้างที่อุ้มโถเกลือสั่นนิดๆ “ข้าขายโจ๊กได้กำไรแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่มีเงินเหลือเฟือให้พวกเจ้ามาแย่งหรอกนะ”
“ไม่มีหรือ! อยากโดนดีอีกหรือไร” น่าโมโห! ถนนทั้งสายมีแต่สตรีคนนี้นี่ล่ะที่เก็บค่าคุ้มครองยากเย็นนัก คราวก่อนก็ต้องใช้กำลังตบตีถึงเอาเหรียญสำริดจากนางไปได้สมใจ
“พวกเจ้าตีให้ตายข้าก็ไม่มีให้”
“นางตัวดี! จงใจจะให้พวกเราทำงานลำบากอย่างนั้นสิ” อีกฝ่ายโทสะแล่นพล่านขึ้นมา แต่เมื่อเหวี่ยงหมัดออกไปกลับชกถูกแผงอกกำยำที่แข็งจนเจ็บ พอเพ่งตามองดูดีๆ… “จะ…เจ้าโผล่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เคลื่อนไหวได้ว่องไวยิ่งนัก ดูน่าจะเป็นคนฝึกยุทธ์
“คะ…คุณชายเนี่ย!” เหมียวอวี๋เอินอุทานเบาๆ แล้วพยายามผลักร่างที่บังหน้าเอาไว้ออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ร่างนั้นไม่ขยับเลยสักนิด ราวกับขุนเขาก็ไม่ปาน
“ในเมื่อไม่มีค่าคุ้มครองจะให้ ไยต้องบังคับขู่เข็ญกันด้วย” เนี่ยชีเม้มปาก ใบหน้าคมคายฉายความไม่พอใจเบาบาง “หากอยากต่อยคน ต่อยข้าก็เหมือนกัน”
“คุณชายเนี่ย!” นางเบิกตาจนกลมโต ราวกับอยากมองให้ทะลุแผ่นหลังหนา ขะ…เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงเขาจะดูคิ้วเข้ม ตาโตเรียว ท่าทางเหมือนชาวยุทธ์ก็เถิด ตะ…แต่เขารู้วรยุทธ์หรือ เขาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โต หากบาดเจ็บ…หากบาดเจ็บขึ้นมา…
“นึกว่าพวกเราไม่กล้าอย่างนั้นสิ!” นักเลงประจำถิ่นคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งแบบนี้ทำให้พวกเราเสียระบบ หลบไปเสีย แล้วพวกเราจะไม่ทำอะไรเจ้า”
เนี่ยชีขยับมือขวา ส่วนมือซ้ายเริ่มเลื่อนลูกประคำนับช้าๆ ทีละเม็ดอย่างตั้งใจ “หากได้ต่อยตีข้าแล้วก็ห้ามเก็บค่าคุ้มครอง แล้วก็ห้ามมายุ่งกับแม่นางคนนี้อีก” เขาบอกเสียงเข้ม
“ถุย! นึกว่าตัวเองเป็นใครหา!” นักเลงคนหนึ่งฉุนจัด ปล่อยหมัดออกไปใส่เนี่ยชี พอเห็นว่าเขาไม่มีวี่แววจะตอบโต้ ทุกคนก็หันไปมองหน้ากันพลางแอบโล่งใจอยู่เงียบๆ “หึ ที่แท้ก็พวกคุณชายที่ต่อยตีกับใครไม่เป็น หากเจ้ายอมจ่ายแทนนาง พวกเราก็จะไม่เอาเรื่อง” เมื่อครู่ยังนึกว่าเป็นพวกฝึกยุทธ์จริงๆ เสียอีก
“ไม่นะ” เหมียวอวี๋เอินร้องห้าม “ข้าไม่มีเงิน แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครมาออกให้ด้วย”
“บ้าเอ๊ย! พูดกันดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้กำลังใช่หรือไม่” ชายคนหนึ่งพูดพลางพยักพเยิดให้พรรคพวกลงมือ
พอกำปั้นหนักๆ กระหน่ำลงมา เหมียวอวี๋เอินก็สูดหายใจเฮือก พยายามออกแรงผลักเขาออก แต่กลับพบว่าเขาหมุนตัวกลับมาใช้แขนทั้งสองข้างคุ้มกันนางไว้
“คะ…คุณชายเนี่ย ถอยไปสิ คนที่พวกมันอยากเล่นงานคือข้า…” เขาไม่ได้กอดนาง เพียงแต่ใช้แขนโอบรอบตัวจนนางขยับลำบาก ขณะที่ก้มศีรษะลงมาบังหน้านางไว้ จนนางแทบได้กลิ่นบุรุษอวลออกมาจากร่างเขา
“คะ…คุณชายเนี่ย!” นางร้องขึ้นอีก ขณะพยายามใช้มือผลัก แต่เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
หมัดยังคงรัวเข้าใส่แผ่นหลังกว้างอย่างต่อเนื่อง นางใจเต้นแรง กลัวว่าเขาอาจถูกต่อยจนตายหรือสลบไปทั้งอย่างนี้…
“ไม่ต้องส่งเสียง หมัดแค่นี้ไม่คณนาข้าหรอก” เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ
“ตะ…แต่…” สวรรค์! ไม่เคยเลย ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้เพื่อนางเลย! นางต้องตอบแทนเขาอย่างไรถึงจะชดใช้ได้หมด
ทันใดนั้น นางพลันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพลางกางนิ้วให้กว้างที่สุดและโอบรอบตัวไปยังหลังเขาเพื่อปกป้องแผ่นหลังหนา ในเมื่อผลักเขาออกไปไม่ได้ ก็ให้ต่อยลงมาบนมือนางแล้วกัน จะได้ติดค้างเขาน้อยลงสักนิด
“ทำอะไรของเจ้า!” เนี่ยชีถามด้วยความโมโห พยายามดึงแขนนางกลับมา แล้วพลันเห็นนัยน์ตาของหญิงสาวหดเกร็ง
เพลิงโทสะลุกโชติช่วงขึ้นในอก เขาบีบประคำทั้งเส้นแตกโดยไม่รู้ตัว พร้อมหันขวับไปเงื้อเท้าถีบ แต่กลับพบว่าโอวหยางเคลื่อนไหวเร็วกว่า จัดการถีบพวกนักเลงกระเด็นออกจากตรอกไปแล้ว
“นายน้อย…” โอวหยางชะงัก มองเศษลูกประคำบนพื้นด้วยความอึ้งงัน ประคำเส้นนี้อยู่กับนายน้อยเจ็ดมาสิบปีแล้ว ตั้งแต่พกประคำติดตัวก็ไม่เคยเห็นนายน้อยเจ็ดโมโหหรือใช้กำลังต่อยตีกับใครที่ไหน เหตุใด…
“บาดเจ็บใช่หรือไม่” เนี่ยชีถามอย่างร้อนใจเมื่อเห็นนางทำหน้านิ่วงอนิ้ว
“ข้าว่า…น่าจะไม่เป็นไรกระมัง” นางเจ็บอยู่บ้าง แต่น่าจะยังทำอาหารได้อย่างไม่มีปัญหา
“ให้หมอดูหน่อยหรือไม่”
“หา? มะ…ไม่ต้องยุ่งยากหรอก” เหมียวอวี๋เอินเงยหน้ายิ้มให้เขาอย่างตื้นตัน “ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือ หากไม่ได้คุณชาย น่ากลัวว่าข้า…”
“น่ากลัวว่าคงโดนพวกมันซัดจนลงไปกองกับพื้นแล้ว ในเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีกำลังสู้ เหตุใดถึงไม่แกล้งรับปากไปก่อนค่อยคิดหาทางแก้ปัญหาอีกทีเล่า” เขาถามอย่างมีโมโห
“ต่อให้รับปากไปก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องโดนซ้อมอยู่ดี จะโดนซ้อมเร็วหรือโดนซ้อมช้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“ดังนั้นเจ้าเลยเต็มใจให้มันซ้อม? ไม่คิดจะหาคนช่วยบ้างหรือ” ไม่คิดจะมาขอให้เขาช่วยบ้างหรือไร
หนึ่งปีมานี้เขาแวะกินโจ๊กร้านนางทุกวัน ไม่เคยเห็นนางถูกรังแกมาก่อน ชายหนุ่มหรี่ตา โทสะที่คุ้นเคยดีพลุ่งพล่านอยู่ในอก ทั้งเร็วทั้งแรงเหมือนวันนั้นเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด
“หา…หาคนช่วย?” แม้แต่จะคิดยังไม่เคยด้วยซ้ำ นางก้มหน้าลงคล้ายกำลังพูดกับตัวเอง “หาคนช่วยก็ต้องติดค้างหนี้น้ำใจ จะใช้คืน…ใช่จะทำได้ง่ายๆ…”
“เจ้า…” มาหาเขานี่อย่างไรเล่า แม้จะเคยพูดคุยกันจริงจังแค่ยกนิ้วนับได้ แต่หากพบเจอความอยุติธรรมก็มาหาเขาสิ
“เอาเป็นว่าขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือ ท่าน…ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่” นางถามอย่างห่วงใย
“ร่างกายข้าแข็งแกร่งกว่าสตรีคนหนึ่งเยอะนัก หากโดนต่อยไม่กี่ทีก็ร้องโอดโอย ไม่ถูกหัวเราะเยาะเอาแย่หรือ” เขาตอบอย่างเคืองๆ
“เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
“ตอบแทน? เจ้านึกว่าข้าช่วยเจ้าเพราะอยากให้เจ้าตอบแทนหรือ”
นางผงะ แทบจะโพล่งออกไปอยู่แล้วว่า ‘ช่วยคนก็อยากได้สิ่งตอบแทนทั้งนั้นไม่ใช่หรือ’ ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มทำให้นางกลืนคำพูดลงคอโดยไม่รู้ตัว
เนี่ยชีถลึงตาจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้ทันความคิดนาง “โอวหยาง พาแม่นางเหมียวไปส่ง เผื่อนักเลงพวกนั้นจะกลับมาอีก” โมโหนางก็โมโห โมโหตัวเองก็โมโห เขาจ้องเศษลูกประคำบนพื้นอยู่นาน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เหมียวอวี๋เอินมองตามตาไม่กะพริบ
“ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรก…” นางพึมพำ
“อะไรหรือ” โอวหยางถามขึ้น
นางส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เป็นครั้งแรกที่มีคนช่วยนางโดยไม่หวังผลตอบแทน สร้างความซาบซึ้งตื้นตันให้นางอย่างมาก เขาต่อยตีกับคนไม่เป็นก็ยังอุตส่าห์ช่วยนาง บางที…บางทีพรุ่งนี้เขาอาจมาเรียกร้องสิ่งตอบแทนก็ได้ แต่อย่างน้อยวันนี้นางได้มีความทรงจำเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น…
ริมถนนใหญ่หน้าร้านขายยา ตรงที่เป็นแผงขายโจ๊กกลับว่างเปล่า
เนี่ยชีเหลือบตามองท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ เวลานี้นางต้องมาตั้งแผงนานแล้วไม่ใช่หรือ
“คุณชายเนี่ยมากินโจ๊กอีกแล้วหรือ ไม่ต้องรอแล้วล่ะ เมื่อคืนพวกอวี๋เอินย้ายออกไปกันตอนกลางดึก” ป้าจางส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม่สั่งเสียอะไรสักคำ ทำเอาเสี่ยวชุ่ยบ้านข้าร้องไห้จะเป็นจะตาย”
“ย้ายออกไป?”
“ใช่ รู้สึกว่าบุรุษบ้านพวกนางจะกลับมาแล้ว…”
บุรุษ?!
บุรุษของผู้ใด
ของเหมียวอวี๋เอินหรือว่าของสตรีที่ชื่อตงหยานั่น
“หรือจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนางขอรับ” โอวหยางผู้อารักขาประจำตัวเห็นนายน้อยยืนอยู่ตรงพื้นว่างๆ ก็รีบเดินเข้ามา จึงได้ยินคำพูดของป้าจางเข้าพอดี “นายน้อย เมื่อวานตอนบ่าวพาแม่นางเหมียวไปส่งที่บ้าน เห็นบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน แม่นางเหมียวร้องเรียกว่าศิษย์พี่ ท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างมาก…บุรุษคนนั้น…น่าจะรู้วรยุทธ์ขอรับ”
ศิษย์พี่ใหญ่? ตัวนางไม่รู้วรยุทธ์เลยนี่นา
เนี่ยชีหลุบตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกในใจซับซ้อนสับสนยากจะบรรยาย บอกไม่ถูกว่าความใจหายเสียดายนี้เกิดขึ้นเพราะคนหรือเพราะโจ๊ก…
ดวงตาคมเหลือบมองพื้นว่างๆ รู้สึกเหมือนยังเห็นนางต้มโจ๊กหั่นผักอย่างคล่องแคล่วอยู่ตรงนั้น นางไม่ชอบยิ้ม ไม่ชอบพูด ระหว่างขายโจ๊ก เวลาที่นางพูดมากที่สุดก็คือพูดกับเขา
‘โจ๊กเหมือนเดิมใช่หรือไม่’
‘อืม’
ไม่คว้าจับไว้ สุดท้ายก็ต้องคลาดกัน ไม่เคยถามความรู้สึก ทำได้แค่เก็บภาพนางไว้ในความทรงจำ จะโทษใครได้ นอกจากโทษตัวเองที่นึกว่าทุกวันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นึกว่าขอแค่มาหาทุกวันก็จะยังได้เห็นนางต่อไป
เช่นนั้นก็…สมน้ำหน้าตัวเองแล้ว
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.