X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพอยู่บน ข้าอยู่ล่าง บทที่ 1 – บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 1

ไม่นานมานี้แคว้นต้าฉินมีเรื่องน่ายินดี

เยี่ยเจา แม่ทัพเจิ้นเป่ย (แม่ทัพพิทักษ์เหนือ) ทำสงครามนานนับแปดปี ในที่สุดก็ตีเมืองหลวงของชาวหมานตะวันตก แตก ล้างอายที่เคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่เพียงชิงดินแดนกลับคืนมา ยังบีบให้อีกฝ่ายสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้

เมื่อข่าวดีแพร่สะพัดมาถึงก็สร้างความปลาบปลื้มยินดีไปทั่วเมืองหลวง บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊พากันแซ่ซ้องสดุดี หมายยกย่องเทิดทูนแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ให้เป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้ากันจนแทบรอไม่ไหว จักรพรรดิแห่งต้าฉินเร่งแต่งตั้งเยี่ยเจาขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า และมีคำสั่งให้ยาตราทัพกลับมารับบำเหน็จรางวัล

ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีม้าเร็วถือสารมาถวาย ความว่า…

แม่ทัพเจิ้นเป่ยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและขอพระราชทานอภัยกราบทูลด้วยความสัตย์ว่าตนเป็นสตรี

ข่าวนี้ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงไปทั่วแคว้น เซ็งแซ่ไปทั้งแผ่นดิน ครั้นจักรพรรดิได้สดับยังถึงกับเผลอพ่นชาโสมใส่ซ่งกุ้ยเฟย ผู้เป็นอัครชายาจนเปียกเปื้อนไปทั้งกาย

 

หากจะกล่าวถึงสกุลเยี่ยนี้ถือเป็นตำนานเล่าขานบทหนึ่ง นับแต่สถาปนาแคว้นต้าฉินขึ้นก็รับราชการทหารสืบกันมาทุกรุ่น พลีชีพเพื่อชาติไปแล้วทั้งสิ้นสิบสามคน เป็นตระกูลที่มีความซื่อสัตย์ภักดีต่อชาติอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกง (กั๋วกงพิทักษ์แผ่นดิน) แก่ผู้นำตระกูล

แปดปีก่อนชาวหมานจินผู้นำในแถบหมานตะวันตกเข้ามารุกราน เข่นฆ่าเผาผลาญปล้นสะดม ตีหัวเมืองที่ภูเขาเฮยซานแตกไปสิบแปดเมืองติดต่อกัน ในครั้งนั้นเยี่ยจง แม่ทัพใหญ่ผู้แกล้วกล้าตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่โม่เป่ย รับพระราชโองการรี้พลสามสิบหมื่นออกสู้ศึก ก่อนออกเดินทางจักรพรรดิยังพระราชทานงานเลี้ยงที่หอป่าหยกพราว อีกทั้งพระราชทานป้ายเหล็กอักษรแดง และแผ่นจารึกจิตภักดิ์ตอบแผ่นดิน ให้เขา

เยี่ยเจา บุตรชายคนเล็กของเยี่ยจงในยามนั้นมีอายุเพียงสิบหกปีก็อาสาเป็นแนวหน้านำทัพไปต่อสู้ พากองทหารม้าเกราะเหล็กห้าพันใช้อุบายแยบยลเข้าต่อตีทัพใหญ่สองหมื่นของหมานจินจนแตกพ่าย จับกุมฮูฮูเทียเอ่อร์ ขุนศึกของหมานจินเป็นเชลย เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นนายกองตรวจการเจิ้นเวย (นายกองตรวจการเหิมหาญ) ทว่าเยี่ยจงผู้เป็นบิดากลับปฏิเสธ

ต่อมาเยี่ยเจานำกองทหารม้าสองพันลอบจู่โจมเมืองฉยงโจวยามดึก เผาเสบียงของหมานจินและตัดเส้นทางถอยหนี เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นขุนพลโหยวจี (ขุนพลตระเวนรบ) ทว่าเยี่ยจงก็ปฏิเสธอีก

ภายหลังเยี่ยเจานำทัพสองหมื่นตั้งรับประจัญบานกลางทุ่งหญ้า สังหารข้าศึกไปสองพันกว่าคน จับเชลยศึกได้ถึงสามพันคน เป็นการชนะสงครามครั้งยิ่งใหญ่ เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นแม่ทัพจงอู่ (แม่ทัพยุทธ์ภักดี) ทว่าเยี่ยจงก็ยังคงปฏิเสธพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งยังถวายสารกราบทูลว่าชั่วชีวิตนี้เยี่ยเจาไม่ปรารถนาเป็นขุนนาง

โอรสสวรรค์กริ้ว ออกพระราชสาส์นตำหนิติเตียนเยี่ยจง เยี่ยจงจึงต้องสนองพระราชโองการอย่างจนใจ

หนึ่งปีหลังจากนั้นชาวหมานจินรวมตัวกับแปดชนเผ่าในเขตแดนใกล้เคียงวางกำลังซุ่มโจมตี หวังซั่นสุ่ย นายทัพของต้าฉินติดกับ ปราชัยย่อยยับ เยี่ยจงเป็นผู้รักษาด่าน ถูกธนูยิงสิ้นใจตาย บุตรชายคนโตเยี่ยสยงและบุตรชายคนรองเยี่ยเจี๋ยจบชีวิตกลางสนามรบ ชาวหมานจินเข่นฆ่าล้างเมือง ฮูหยินของเยี่ยจงไม่ยอมถูกย่ำยี ปลิดชีพตัวเองอยู่ในเมืองนั่นเอง

แผ่นดินโกลาหล หน้าด่านแจ้งข่าวสถานการณ์คับขัน เร่งเร้าทางเมืองหลวงไม่หยุด เยี่ยเจาได้รับบัญชาท่ามกลางวิกฤต แต่งตั้งเป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ยยกพลออกรบเพื่อสานต่อปณิธานบิดา นำกองทหารม้าเกราะเหล็กสามพันลอบจู่โจมทัพใหญ่นับสิบหมื่นของหมานจิน บุกตะลุยสู่ฐานที่มั่นข้าศึกเพียงลำพัง ฆ่าคนไปหลายพันคน เด็ดศีรษะถ่าถั่น นายทัพกระเดื่องนามของหมานจิน จากนั้นใช้กลศึกรุกแล้วถอยสามครั้งสามคราจนกองทัพข้าศึกได้ยินชื่อก็ขวัญผวา กระทั่งกษัตริย์แห่งหมานจินต้องถอยร่นไปร้อยลี้

ต่อมาเยี่ยเจาย้อนไปยังเมืองกานตู รวบรวมกำลังทหารม้าสามหมื่นจัดกระบวนทัพกลับไปปราบปรามด้วยการโจมตีอย่างไม่ให้ทันตั้งตัวครั้งแล้วครั้งเล่า บดขยี้กองทหารของหมานจินเป็นระลอก โลหิตไหลนองดั่งสายน้ำจนเขาได้รับฉายาว่า ‘พญายมแห่งแดนดิน’ แม้แต่ในชาวหมานจินยังมีเพลงพื้นบ้านขับขานแพร่ออกไป

พญายมเยี่ยมกราย ทะเลทรายแดงฉาน ชายหนุ่มโม่เป่ยกลายเป็นโครงกระดูก เด็กน้อยโม่เป่ยร่ำไห้ทุกค่ำคืน…

 

“ไฉนคนพรรค์นี้ถึงเป็นสตรีไปได้”

จักรพรรดิถือสารอ่านซ้ำไปซ้ำมานับสิบรอบ เพียรพยายามเสาะหาร่องรอยพิรุธว่าเป็นฝีมือปลอมแปลงของชาวหมานจิน หากแต่คำตอบที่ได้ทำให้สลดใจแทบน้ำตาริน พระองค์จึงส่งสารไปถามผู้เฒ่าเยี่ยวัยเก้าสิบแปดแห่งคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง

ผู้เฒ่าเยี่ยความจำเลอะเลือนมานานปี กวัดแกว่งไม้เท้าอย่างฮึกเหิมลำพองพร้อมแผดเสียงลั่น

“สกุลเยี่ยไม่มีลูกสาว! มีแต่ลูกชายไร้ดุ้น!”

เฮ้อ…เยี่ยเจาเป็นหญิงจริงๆ ให้ตายสิ

จักรพรรดิถอดใจ บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ก็ถอดใจ

จะทำอย่างไร เสียงถกเถียงดังอึงอล ราตรีนั้นจักรพรรดิหารือกับพระพันปีอยู่ในตำหนักในด้วยเรื่องใดก็สุดรู้

วันรุ่งขึ้นจักรพรรดิไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ ก็ตบโต๊ะชี้ขาด ซ้ำยังร่ายกลอนสรรเสริญคุณงามความดีของเยี่ยเจาด้วยพระองค์เอง จากนั้นมีบัญชาให้นางคุมเชลยศึกกลับเมืองหลวงและแต่งตั้งนางเป็นเซวียนอู่โหว (โหวเกริกไกร) ผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า อยู่ประจำการเมืองหลวง ควบคุมกองทหารยี่สิบหมื่นพร้อมปูนบำเหน็จอีกมากมาย

ฝ่ายพระพันปีก็มีพระราชเสาวนีย์แต่งตั้งซย่าอวี้จิ่น โอรสคนรองของอดีตอันอ๋อง (อ๋องสันติ) เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง (จวิ้นอ๋องใต้สงบ) และยกเยี่ยเจาให้เป็นชายาเอกของเขา ทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องตกตะลึงอีกครั้ง

ซย่าอวี้จิ่นผู้นี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวง ตลอดชีวิตมีสามเรื่องซึ่งเป็นที่โจษจันกันอย่างสนุกปากของชาวเมือง

เรื่องแรกคือร่างกาย ซย่าอวี้จิ่นกำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัย อ่อนแออมโรค เกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง ท่านราชครูกล่าวว่าดวงชะตาของเขาขาดผู้อุปถัมภ์ มารดาจึงให้เขารับบุตรสาวของขุนนางขั้นเจ็ดที่เกิดจากอนุภรรยาอันมีดวงชะตาของผู้มีวาสนามาเป็นอนุภรรยาเพื่อแก้เคล็ดเสริมมงคล กระนั้นก็ไร้ประโยชน์ ต่อมามีนักพรตพเนจรรูปหนึ่งจากที่ใดก็สุดรู้มาขอพบ สอนวิธีหายใจฝึกลมปราณและมอบยาทิพย์ให้ อาการของเขาจึงดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์

เรื่องที่สองคืออุปนิสัย วรชายาอันไท่เฟย ชายาอดีตอันอ๋องสูญเสียสามีตั้งแต่ยังสาว นางจึงรักเอ็นดูบุตรชายคนเล็กเป็นที่สุด ทั้งยังสงสารที่เขาร่างกายอ่อนแอ ตามอกตามใจตลอดจนบ่มเพาะนิสัยใจกล้าบ้าบิ่นไม่เกรงใครหน้าไหน วันๆ เกลือกกลั้วอยู่แต่กับพวกสำมะเลเทเมา หยิบโหย่งจับจด ทั้งชนไก่ กัดจิ้งหรีด จับสุนัขสู้กัน พนันแข่งม้าแข่งแมว ทอยลูกเต๋า เป็นลูกค้าประจำของหอคณิกา เป็นยอดของคุณชายจอมเสเพล นอกจากเที่ยวเล่นแล้วไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น ทำมาแล้วทุกสิ่งยกเว้นเรื่องเป็นงานเป็นการ

เรื่องที่สามคือรูปโฉม ทั้งที่เขาเป็นยอดบุรุษขนานแท้ เขากลับมีใบหน้าสวยงามปานจะล่มบ้านล่มเมืองจนยากพรรณนา ที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงที่สุดเห็นจะเป็นตอนเขาไปเที่ยวชมเรือนลมชื่น หอชายบำเรอเลื่องชื่อที่สุดของเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เศรษฐีนักเดินเรือไม่รู้ฐานะของเขา ตะลึงนึกว่านางสวรรค์จำแลงกายมา ยอมทุ่มเทเงินทองคราวเดียวนับพันชั่ง จะใช้ไข่มุกสิบโต่ว ไถ่ตัวเขาให้ได้จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เขาตกใจจนเสียขวัญ ยกนิ้วชี้ฟ้าลั่นคำสาบาน ชั่วชีวิตนี้เขาจงเกลียดจงชังเทพกระต่าย เป็นที่สุด จะไม่มาเหยียบหอชายบำเรออีกแม้แต่ครึ่งก้าว

ชื่อเสียงฉาวโฉ่ส่งผลให้การแต่งงานซย่าอวี้จิ่นถูกผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งอายุยี่สิบสองปีเข้าไปแล้ว ได้ลงเอยกับเยี่ยเจาซึ่งย่างเข้าวัยยี่สิบสี่ ประสบความสำเร็จในการกระทำตัวเยี่ยงบุรุษเป็นอันมาก หากแต่ชื่อเสียงในการเป็นสตรีไม่ค่อยดีนักเช่นกัน เป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันพอดี

พระพันปีพอพระทัยอย่างยิ่ง จักรพรรดิก็พอพระทัย เหล่าชายาและฮูหยินของท่านอ๋อง จวิ้นอ๋อง กั๋วกง และท่านโหวก็พึงพอใจ เหล่าบุตรชายของท่านอ๋อง จวิ้นอ๋อง กั๋วกง และท่านโหวที่ยังมิได้แต่งงานยิ่งชอบใจ มีเพียงคนในวังอันอ๋องเท่านั้นที่โศกาอาดูรกันถ้วนหน้าเมื่อได้รับข่าวร้ายนี้

วรชายาอันไท่เฟยสวมเสื้อคลุมยาวผ่าหน้าลายบงกชมัจฉา เครื่องประดับเงินขาวพิสุทธิ์สั่นไหวอยู่บนศีรษะ นางกอดซย่าอวี้จิ่นซึ่งตัวแข็งทื่อเป็นหุ่นไม้ไว้ในอ้อมอก คร่ำครวญอย่างคับแค้นใจ

“ลูกแม่ช่างอาภัพนัก ไยเจ้าต้องมารับเคราะห์ด้วย ภรรยาพรรค์นี้จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้อย่างไร”

ซย่าอวี้เชวี่ย อันอ๋องคนปัจจุบันลากขาที่ได้รับบาดเจ็บมาตั้งแต่เยาว์วัยเดินกะเผลกๆ เข้ามากล่าวปราม

“พระพันปีตรัสว่าเซวียนอู่โหวมีฐานะสูงศักดิ์สุดจะเปรียบ มิใช่อาแมวอาหมาที่ไหนจะมาทาบทามสู่ขอได้ การแต่งงานนี้อัครมเหสีก็ช่วยเลือกสรรให้ กระทั่งซ่งกุ้ยเฟยก็ไม่คัดค้าน บัดนี้มีพระราชเสาวนีย์ออกมาแล้ว เรื่องตบแต่งเยี่ยเจาเป็นภรรยานั้นต้องเกิดขึ้นแน่นอน ท่านแม่ทำตามพระราชเสาวนีย์จะดีกว่า”

วรชายาอันไท่เฟยถลึงตาใส่เขา

“พวกนางล้วนรักลูกของตัวเอง ไม่ยินยอมรับพญายมแห่งแดนดินผู้นี้ไปเป็นสะใภ้ จนปัญญาที่ท่านพ่อเจ้าล่วงลับไปแล้ว ส่วนเจ้าก็ขาเป๋…เข้าร่วมประชุมขุนนางไม่ได้ คำพูดของพวกเราถึงได้ไร้น้ำหนัก กลายเป็นมะพลับนิ่ม ให้ผู้อื่นบีบเค้น สงสารก็แต่อวี้จิ่นของข้า…”

ซย่าอวี้เชวี่ยก้มหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องด้วย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเป็นเพราะเสียงเล่าลือถึงน้องชายย่ำแย่เหลือทนต่างหากถึงไม่มีใครอยากช่วยเหลือ พระพันปีก็ชอบเป็นแม่สื่อแม่ชัก การที่น้องชายถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ำ ใช้เป็นเครื่องสังเวยอุดช่องโหว่ในยามนี้ เขาก็นึกสมน้ำหน้าเช่นกัน ครั้นคิดไปถึงอีกว่ามารดามีใจลำเอียงเสมอมา เขายิ่งลอบสาแก่ใจอยู่สามส่วน

เขาทำทีทอดถอนใจยาวแล้วอ้าปากเอ่ยขึ้น

“เยี่ยเจาเป็นทหารนานปี กลับไม่มีผู้ใดจับได้ว่าเป็นสตรี เห็นทีจะต้องมีเรือนร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เอวหนา ไหล่กว้าง คิ้วหนาตาดุกระมัง”

“ไม่…ข้าไม่แต่ง”

ซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้งขึ้นหลายส่วน ทว่าซย่าอวี้เชวี่ยยังคงกล่าวสืบไป

“เป็นพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี เจ้าจะไม่แต่งได้อย่างไร แม้ข้าจะได้ยินมาว่านางฆ่าคนตาไม่กะพริบ คำเดียวไม่ถูกหูก็สังหารทิ้ง มีเชลยศึกนับพันคนถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นเบือ ถลกหนังคนเป็นๆ ดื่มโลหิตสดๆ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสามีนาง หลังจากแต่งเข้ามาในตระกูลเราแล้วนางจะต้องวางตัวเป็นกุลสตรี ตั้งใจเรียนรู้ว่าการเป็นภรรยาทำกันอย่างไร ความป่าเถื่อนดุร้ายก็จะลดน้อยถอยลงไปเอง ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”

สีหน้าของซย่าอวี้จิ่นง้ำงอด้วยความไม่พอใจ

อันที่จริงใครๆ ล้วนเคยได้ฟังคำโจษขานน่ากลัวต่างๆ นานาของเยี่ยเจามาแล้ว มีบางครั้งพวกชาวเมืองยังใช้เป็นคำขู่ขวัญเด็กอีกด้วย หยางซื่อ อนุภรรยาของเขาที่ท่าทีเยือกเย็นมาตลอดถึงกับริมฝีปากขาวซีด ขณะที่เมียบ่าวทั้งสองตกใจกลัวจนละความตั้งใจที่จะประจบประแจงขอพึ่งบารมีไปนานแล้ว พวกนางกอดขาเขาร้องไห้โวยวายอยากมีชีวิตอยู่

ซย่าอวี้จิ่นแค่นยิ้ม

“เหมยเหนียง เจ้าพูดว่านอกจากหัวใจข้าแล้วไม่ต้องการสิ่งอื่นใด วันหน้าจะตั้งใจปรนนิบัติรับใช้นายหญิงน้อยมิใช่หรือ”

เหมยเหนียงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

“ข้ายั่วยวนท่านเป็นความผิดของข้าเอง ข้าสำนึกตัวแล้ว ท่านก็เห็นแก่ที่ข้าปรนนิบัติท่านมาแต่เล็กแต่น้อย โปรดเมตตาปรานีด้วย ต่อให้ขับไล่ข้าออกไปแต่งงานกับเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์ที่เรือนบ่าวชั้นเลวก็ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”

เขาแค่นยิ้มอีก

“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า ถึงตายไปแล้วก็จะอยู่ด้วยกันมิใช่หรือ”

เซวียนเอ๋อร์ขวัญหนีดีฝ่อ

“ขะ…ข้าเป็นนางจิ้งจอกหน้าไม่อาย! ท่านเฆี่ยนตีข้าสักตั้งแล้วลากตัวออกไปขายได้เลย ขายไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น ละเว้นชีวิตข้าด้วยเถอะ หากข้ายั่วโมโหนายหญิงน้อยเข้า เกิดนางบอกว่าอยากถลกหนังขึ้นมา ถึงกับลงมือเองเชียวนะเจ้าคะ”

ซย่าอวี้จิ่นปัดมือพวกนางออกอย่างแรงแล้วผลุนผลันวิ่งออกไป

ครู่หนึ่งแว่วเสียงน้ำดังตูม หญิงรับใช้สูงวัยตะโกนลั่น

“ช่วยด้วย! นายน้อยกระโดดลงทะเลสาบไปแล้ว!”

 

รัชสมัยเต๋อจงปีที่เก้า ฤดูหนาว

บนถนนในเมืองหลวงที่ถูกกวาดจนสะอาดสะอ้านมีละอองหิมะทับถมกันเป็นชั้นบางๆ ราษฎรสวมใส่อาภรณ์หนาเทอะทะยืนออกันเต็มสองข้างทาง ชะเง้อชะแง้รอคอยอะไรบางอย่าง ม้าเร็วส่งข่าวควบผ่านกลางถนนไปตัวแล้วตัวเล่า องครักษ์หลวงตะโกนเสียงดังโหวกเหวก กว่าจะยับยั้งฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดกันจนชุลมุนวุ่นวายได้ก็สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย

วิถีชีวิตของชาวต้าฉินค่อนข้างจะผ่อนคลาย ธรรมเนียมชายหญิงไม่ใกล้ชิดกันก็ไม่นับว่าเข้มงวดนัก สตรีฐานะยากจนสามารถติดตามบิดามารดาหรือสามีออกมาร่วมวงมุงดูได้ ส่วนสตรีในตระกูลมั่งมีที่ใจกล้าก็จะคลุมหน้าออกจากบ้าน นั่งอยู่ตามชั้นบนของร้านน้ำชาหรือหอสุรา พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันขณะตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอดูอยู่ไกลๆ

“มาแล้ว ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแล้ว”

“แม่ทัพเยี่ยจะมาแล้ว”

“นางตัวดี! อย่าผลักสิ! ข้าจะตกลงไปอยู่แล้ว!”

บรรดาสตรีผลักหน้าต่างเปิดแล้วชะเง้อคอออกไปด้วยความตื่นเต้นคึกคัก ด้วยล้วนอยากเห็นยอดสตรีอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม่ทัพหญิงคนแรกของราชวงศ์ให้เป็นบุญตา

เสียงฝีเท้าม้าก้องกระหึ่มพร้อมเพรียงกันดังใกล้เข้ามา เบื้องหน้าธงขนาดใหญ่สีเหลืองกระจ่างตาสองผืนเคลื่อนมาใกล้ ผืนหนึ่งปักลายสัญลักษณ์มังกร อีกผืนปักตัวอักษรคำว่าต้าฉิน จากนั้นตามมาด้วยธงสีดำอีกสองผืน ผืนหนึ่งปักลายสัญลักษณ์พยัคฆ์ อีกผืนปักตัวอักษรคำว่าเยี่ย

ธงทิวปลิวไสวอย่างสง่างามท้าแรงลม นำหน้ากรงสองกรงซึ่งมีกษัตริย์กับรัชทายาทแห่งหมานจินถูกขังอยู่ในนั้น

เนื่องจากอากาศหนาวเหน็บ พวกเขายังคงสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ดังเดิม มิได้ให้เปลือยกายแบกหนาม เพียงถูกป้ายสีสันต่างๆ บนใบหน้าและเสียบหญ้าแห้งสองสามก้านบนศีรษะให้อยู่ในสภาพชวนขบขันตามธรรมเนียมส่งมอบตัวเชลยศึกเท่านั้น

ชาวหมานจินย่ำยีสตรีและปล้นสะดมที่ชายแดนมานานหลายปี สร้างความเกลียดชังหยั่งรากลึกในใจชาวต้าฉิน บัดนี้ความแค้นอันใหญ่หลวงได้รับการสะสางแล้ว ราษฎรตบมือโห่ร้องอย่างรื่นเริงและปาหินใส่เชลยศึกเหล่านี้กันเป็นที่สนุกสนาน

ต่อจากนั้นคือขบวนกองทหารม้าประจัญบานแปดร้อยภายใต้บังคับบัญชาของเยี่ยเจาตามประกบติดอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดสวมชุดเกราะทองแดงสีเดียวกัน ควบขี่อาชาพ่วงพี เรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าขึงขัง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า เว้นแต่เสียงแผ่วเบายามกระบี่กระทบเครื่องประดับอานม้าแล้วไม่มีใครส่งเสียงใดออกมาเลย

เหล่าสตรีกวาดตามองไปทางแม่ทัพกลางวงล้อมของกองทหารม้าประจัญบานพลางถกเถียงและคาดเดากันดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“คนใดคือเยี่ยเจา คนที่ขี่ม้าสีเลือดนกทางซ้ายนั่นกระมัง ดูแล้วคล้ายเป็นแม่ทัพ”

“ปัดโธ่! เจ้าตาบอดหรือไร ถึงเยี่ยเจาจะดูเหมือนบุรุษปานใดก็คงไม่ถึงขั้นมีหนวดเครา”

“เจ้าอ้วนทางขวา?”

“ขี้ริ้วเกินไปกระมัง”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา กองทหารม้าประจัญบานแยกแถวออกเป็นซ้ายขวาอย่างฉับไว เปิดทางโล่งสายเล็กไว้ตรงกลาง

อาชาสีขาวสูงใหญ่ห้อยพู่สีแดงตรงคอและผูกอานสีเงินตัวหนึ่งห้อตะบึงมา บนหลังของมันมีร่างสูงระหงร่างหนึ่งในชุดเกราะโซ่เหล็กประดับแผ่นเงินลายหน้าสัตว์ป่า สวมหมวกเกราะเงินยอดเก้าคดติดขนนก สะพายดาบปลายแหลมเล่มใหญ่ไว้ข้างเอว แผ่นหลังเหยียดตรง ดูแข็งแรงปราดเปรียวไปทุกอิริยาบถ

นางเร่งฝีเท้าม้ามาหยุดอยู่หน้าแถวทหารอย่างรวดเร็ว อาชาของนายทัพคนอื่นพากันขยับถอยหลังไปครึ่งก้าว ใบหน้าฉายแววเคารพนอบน้อม

พริบตาเดียวทุกคนก็สิ้นสงสัย แม่ทัพผู้งามสง่าและองอาจผึ่งผายคนนี้คือเยี่ยเจานั่นเอง

รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงบครู่หนึ่งก่อนที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจจะดังระงมยิ่งขึ้น

เนื่องจากวันนี้หิมะตก ท้องฟ้าครึ้มสลัว คนที่ยืนอยู่ชั้นบนมองลงไปจึงเห็นไม่ชัดเจนด้วยถูกเงามืดบดบังสายตา ครั้นเห็นชาวเมืองที่มุงดูบนถนนกระซิบกระซาบข้างหูกันอย่างตื่นเต้นก็พาให้ร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง สตรีใจกล้าผู้หนึ่งแอบปลดพู่เชือกถักเงื่อนสมปรารถนารูปปลาคู่เงินที่เอวออกมา แล้วทำ ‘หลุดมือ’ หล่นลงไปที่ถนน ตกอยู่ข้างๆ ม้าของเยี่ยเจาพอดิบพอดี

เสียงแส้สะบัดขวับ พู่เชือกถักถูกตวัดเกี่ยวขึ้นมาประหนึ่งพญางูตัวอ่อนพลิ้ว

เยี่ยเจาถือแส้แหงนศีรษะมองไปทางเรือนตึกข้างทาง ประจวบเหมาะกับที่แสงอาทิตย์เจิดจ้าลำหนึ่งแทงลอดม่านฟ้าขมุกขมัวลงมา ฝ่าผ่านเกล็ดหิมะลอยละล่องส่องกระทบใบหน้านาง

จะบรรยายรูปโฉมนี้เช่นไรดี…เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษของเจิ้นกั๋วกงมีสายเลือดชาวหู หลายส่วน เยี่ยเจาจึงมีรูปหน้าคมคายสมส่วนอย่างยิ่ง นางเดินทางสมบุกสมบันทำสงครามไปทั่วทุกที่เป็นเวลานาน ผิวกายกรำแดดจนคร้ามเข้มเนียนกระจ่างดุจสีน้ำผึ้ง ใต้คิ้วเข้มคือนัยน์ตาเย็นเยียบสีอ่อนใสคล้ายลูกแก้ว แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมราวกับมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ จมูกโด่งงาม ริมฝีปากบางเม้มแน่น ลักษณะท่าทางสมเป็นชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั่วทั้งสรรพางค์กายหาความเป็นหญิงไม่พบแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ละม้ายคล้ายบุรุษในฝันของสาวน้อยวัยแรกรักครึ่งหนึ่งของต้าฉิน

นางตวัดมือเบาๆ ปลายแส้ยาวก็วาดเป็นวงสวยงามอย่างคล่องแคล่วว่องไวปานเหยี่ยวถลาโฉบเหยื่อ พู่เชือกถักเหินข้ามศีรษะกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันไปมา พุ่งแหวกอากาศไปตกลงในอ้อมแขนเจ้าของอย่างแม่นยำ

สตรีผู้นั้นนึกละอายใจอยู่บ้าง ขณะกำลังจะก้มศีรษะลงกลับแลเห็นมุมปากของเยี่ยเจายกยิ้มบางๆ แทบสังเกตไม่เห็น ทำให้นางนิ่งงันไปทั้งร่าง

จะบรรยายรอยยิ้มนี้เช่นไรดี…ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิคืนสู่ปฐพี ภูเขาน้ำแข็งละลายกลางแดดจ้า รวมตัวเป็นธารน้ำไหลระรินที่งดงามดุจภาพวาด ละม้ายคล้ายบุรุษในฝันของสาวน้อยวัยแรกรักอีกครึ่งของต้าฉิน

สตรีทุกนางจับจ้องร่างบนอาชาสีขาวเขม็ง หมายเพียงอยากส่งสายตาหยาดเยิ้มพิฆาตใจแม่ทัพใหญ่ให้ได้ประเดี๋ยวนั้นจนแทบทนรอไม่ไหว

เสียงฝีเท้าม้าห่างออกไปทุกขณะ สะท้อนก้องดังแว่วอยู่ไกลๆ เนิ่นนาน

ในที่สุดเหล่าผู้รอดูอยู่ก็คลายความตื่นเต้นในทีแรกลงได้ พวกเขาชงชากันคนละกาสองกาแล้วต่างคนต่างซุบซิบนินทา

พวกสตรีเยินยอเยี่ยเจาว่าเป็นคู่ครองแสนเลอเลิศจากแดนสวรรค์ที่หาไม่พบในใต้หล้า นึกชังที่สวรรค์ไร้ตา สลับสับเปลี่ยนหยางเป็นหยิน ชาตินี้คงไร้วาสนาแล้ว ฝ่ายบุรุษ นอกจากพวกที่มีใจเสน่หาในบุรุษด้วยกันแล้ว ต่างแค่นเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงเยาะเยี่ยเจาและเอ่ยอย่างชอบใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น

“ตลอดชีวิตของหนานผิงจวิ้นอ๋องชิงชังเรื่องบุรุษชมชอบบุรุษเป็นที่สุด ร่างกายก็อ่อนแอราวกับจะปลิวลม ส่วนเซวียนอู่โหวเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน ทั้งรูปโฉมก็…สง่าห้าวหาญเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่สามีภรรยาจะรักใคร่กลมเกลียวกัน”

“ฮะ พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้ว่าใครคร่อมใคร”

“เดิมพันสิบอีแปะ! ทรวดทรงองค์เอวอย่างหนานผิงจวิ้นอ๋องมีแต่จะเป็นฝ่ายถูกคร่อม”

“มีคนจะเดิมพันว่าแม่ทัพเยี่ยถูกคร่อมหรือไม่ อย่ามามองข้า ข้าไม่เล่นด้วย ถึงหนึ่งจ่ายร้อยก็ไม่เอา”

“วันหน้านางยักษ์อันดับหนึ่งของเมืองหลวงเราคงมิใช่ฮูหยินสวีแล้วกระมัง”

“เจ้าพวกปากเปราะ ต่อหน้าธารกำนัลยังพูดจาบัดสี เลิกกล่าวค่อนแคะว่าร้ายผู้อื่นสักที!”

“แม่สาวน้อย เลิกคิดเสียเถอะ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบ้านเจ้าขายหมูเลย ต่อให้เจ้าเป็นธิดาขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ นางก็แต่งเจ้าเป็นภรรยาไม่ได้อยู่ดี”

“น่าเวทนาหนานผิงจวิ้นอ๋องนัก…”

“ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพายเอง เวรกรรมหนอเวรกรรม”

 

วังหลวง นอกประตูฉงเหวิน

โอรสสวรรค์นำเหล่าขุนนางออกมาต้อนรับเยี่ยเจาด้วยพระองค์เอง เยี่ยเจาลงจากม้าถวายบังคมพร้อมส่งมอบตัวเชลยศึกและสินสงคราม

ชาวหมานจินปล้นสะดมชนต่างเผ่ามานานปี เคยบุกทำลายล้างแคว้นโพ้นทะเลรวมถึงแคว้นเล็กแคว้นน้อยอ่อนแอรอบๆ ที่มีสินค้าพื้นเมืองเป็นเครื่องประดับอัญมณี บัดนี้ราชสำนักหมานจินถูกโค่นลง ทรัพย์สมบัติล้ำค่าในท้องพระคลังจึงถูกเยี่ยเจานำมาบรรณาการให้แคว้นต้าฉิน ทั้งพลอยตาแมวขนาดใหญ่ปานเม็ดลำไย แก้วมรกต ทับทิมสีแดงเลือดนก ไพลิน เพชร และไข่มุกหลากสีสัน ยังมีทองกับเงินอีกนับไม่ถ้วน ทุกชิ้นเจียระไนและฝังเลี่ยมด้วยช่างฝีมือเอกอย่างวิจิตรบรรจง ส่องประกายแพรวพราวจนแทบทำให้ดวงตาทุกคนพร่าลาย

การทำสงครามติดต่อกันนานหลายปีส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอมานานแล้ว สมบัติจำนวนมหาศาลนี้จะบรรเทาความเดือดร้อนดั่งไฟที่ลามมาถึงคิ้วได้พอดี

“ยอดขุนนางเอ๋ยยอดขุนนาง”

จักรพรรดิจะเข้าไปประคองเยี่ยเจาลุกขึ้น แต่ขณะที่จวนเจียนแตะถูกไหล่นาง หัวหน้าขันทีข้างกายรีบกระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่ง พระองค์ฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีก็ชักมือคืนกลางคัน โบกมือเบาๆ ทีหนึ่งพลางกล่าวชม

“เจ้าออกศึกแทนบิดา สร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่กว่าแม่ทัพหญิงฉินอวี้ในราชวงศ์ก่อนเสียอีก”

เยี่ยเจาเอ่ยตอบ

“ฝ่าบาททรงเลือกใช้ผู้มีความสามารถโดยไม่ยึดติดในธรรมเนียม มีสายพระเนตรแหลมคมเหนือผู้ใด น้ำพระทัยกว้างขวาง เทียบเคียงได้กับกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถมานับแต่อดีตกาลเพคะ”

หนึ่งกษัตริย์หนึ่งขุนนางโต้ตอบกันไปมา ยกยอปอปั้นซึ่งกันและกันสองสามคำตามมารยาทต่อหน้าผู้คน จากนั้นก็รำพึงรำพันถึงความภักดีกล้าหาญของเยี่ยจงที่สละชีพเพื่อแผ่นดิน

จักรพรรดิซึ่งเชิดชู ‘เมตตาธรรม’ เสมอมายังหลั่งน้ำตาหลายหยดต่อหน้าทุกคน ก่อนจะมีบัญชาให้ประกาศพระราชโองการยาวเหยียด อีกทั้งพระราชทานตราผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ตราเหล็กอักษรแดง แส้เหล็กไหลที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ และพระราชทานสมรสกับหนานผิงจวิ้นอ๋อง

นางกล่าวขอบพระทัย สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

จักรพรรดินึกถึงความไม่เอาถ่านของหนานผิงจวิ้นอ๋องก็หวั่นใจว่าขุนนางผู้มีความชอบจะบังเกิดความไม่พอใจ หลังจากกลับถึงวังหลวงยังกล่าวปลอบนางอีกหลายคำลับหลัง

“แม่ทัพเยี่ย พระพันปีทรงเห็นว่าเจ้าตรากตรำกรำศึกเพื่อแผ่นดินมานานหลายปี แม้จะอยู่ในฐานะผิดแผกจากคนอื่นแต่ก็มิใช่ผู้ละกิเลสทางโลก แคว้นต้าฉินเองก็ไม่มีเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์ที่ครองตัวลำพังจึงยิ่งมิอาจถ่วงรั้งความสุขชั่วชีวิตของเจ้าได้ น่าเสียดายที่เราเฟ้นหาในหมู่เชื้อพระวงศ์อยู่นานสองนาน ผู้ที่มีวัยเหมาะสมเป็นฝั่งเป็นฝาไปหมดแล้ว กระนั้นคงไม่เป็นการดีนักหากจะลากเด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกสักคนมาจับคู่กับเจ้า มีเพียงหนานผิงจวิ้นอ๋องที่ทั้งชาติตระกูลและอายุล้วนเหมาะเจาะ แม้นิสัยใจคอจะเหลวไหลไปสักหน่อย ทว่าเขายังมีข้อดีอยู่บ้าง ทั้งรูปงาม แล้วก็…แล้วก็…”

พระองค์อึกอักอยู่ชั่วครู่ ครั้นคิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ เลยได้แต่เอ่ยรวบรัดปิดท้าย

“เอาเป็นว่าเขาเป็นคนรูปงามอย่างมาก เจ้าคงเต็มใจกระมัง”

“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ”

จักรพรรดิระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วสั่งให้นางกลับไปเตรียมออกเรือน พระองค์ยังพระราชทานวังหนานผิงจวิ้นอ๋องและให้คนดูแลความเรียบร้อยเป็นอย่างดี เพื่อใช้รับตัวเจ้าสาวในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกด้วย

รอเยี่ยเจาออกไปแล้ว จักรพรรดิก็เรียกหัวหน้าองครักษ์หลวงปีกซ้ายมาสั่งกำชับอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ส่งคนไปจับตาดูซย่าอวี้จิ่นอย่างใกล้ชิดเพิ่มขึ้น เจ้านั่นไม่ว่าเรื่องต่ำทรามอะไรกล้าทำทั้งสิ้น บอกเขาว่าหากเขาหนีการแต่งงานจะต้องโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งตระกูล หากมีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อยให้มารายงานเรา มิเช่นนั้น…พระพันปีไล่เลียงเอาผิดลงมา เราจะเปลี่ยนให้เจ้าแต่งแม่ทัพเยี่ยเป็นภรรยาแทน”

หัวหน้าองครักษ์หลวงปีกซ้ายหน้าถอดสีในบัดดล หลังจากกลับไปแล้วก็ส่งคนไปที่วังอันอ๋อง วางกำลังล้อมด้านในสามชั้นด้านนอกสามชั้นอย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่ และถือทวนปักหลักเฝ้าอยู่ข้างในด้วยตัวเองทั้งวันทั้งคืนไม่ห่าง ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนซูบผอมไปถนัดตา ทว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบไม่กล่าวถึง

นับแต่ซย่าอวี้จิ่นตกน้ำแล้วก็แสร้งล้มหมอนนอนเสื่อมาโดยตลอด เมื่อได้ยินข่าวร้ายเขาก็แค้นใจจนกัดหมอนไม้ไผ่ขาดไปสามใบ

 

แม้การแต่งงานระหว่างซย่าอวี้จิ่นกับเยี่ยเจาจะไม่สูงส่งเท่าจักรพรรดิอภิเษกสมรส ไม่หรูหราดุจองค์หญิงใหญ่ออกเรือน และไม่ครึกครื้นเหมือนงานเลี้ยงแต่งงานของวังชิ่งอ๋อง หากแต่เป็นเพราะฐานะผิดธรรมดาของแม่ทัพใหญ่และที่มาที่ไปชวนขันของหนานผิงจวิ้นอ๋อง พิธีมงคลจึงถูกจับตามองมากกว่าพิธีทั้งหมดเท่าที่มีมานับร้อยปีของเมืองหลวง

ฝ่ายเจ้าสาวเยี่ยเจาไม่มีลักษณะเยี่ยงสตรีมาตั้งแต่เยาว์วัย คลั่งไคล้ในวิชายุทธ์และตำราพิชัยสงคราม นางเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงยิ่งจนพี่ชายทั้งสองมิใช่คู่มือ บันดาลให้ปู่และบิดาปวดใจเหลือจะกล่าว ต่อมาทั้งคู่ตัดสินใจเลี้ยงดูนางอย่างเด็กชาย เพียงอยากลืมเลือนว่านางเป็นสตรีแล้วจะกลายเป็นบุรุษไปจริงๆ

ในการทำสงครามนานแปดปี นางต้องคลุกคลีกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่มิได้เล่าเรียนเขียนอ่านในค่ายทหาร กลางวันยกพลทำศึก คุยเรื่องวางค่ายกล ตกดึกกินเนื้อสัตว์แกล้มสุรา คุยเรื่องนารี สำนึกของความเป็นชายเป็นหญิงจึงสับสนหลงผิดจนกลายเป็นความเคยชิน ฝังลึกกลางใจยากเกินแก้ไข กอปรกับเพิ่งรับตำแหน่งคุมกองทัพยี่สิบหมื่นของเมืองหลวงได้ไม่นาน มีเรื่องประดังประเดเข้ามาทุกด้าน บางคราวยุ่งอยู่กับงานจนไม่แม้แต่จะกลับบ้าน นางมิได้ตระหนักเลยว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน

ผู้เฒ่าเยี่ยก็เลอะเลือน ทุกครั้งที่เห็นทุกคนงานยุ่งก็กล่าวด้วยความดีอกดีใจว่า “เหลนข้าจะแต่งภรรยาแล้ว” คนรอบข้างจะอธิบายอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ทำเอาทุกคนไม่รู้ว่าจะร่ำไห้หรือหัวเราะดี

ฝ่ายเจ้าบ่าวซย่าอวี้จิ่นแสร้งป่วยลุกจากเตียงไม่ได้ ลอบส่งคนไปที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงปล่อยข่าวลือไม่ดีของตัวเอง เพียงหวังว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจตนจนมาขอถอนหมั้น

แต่ไรมาเขาเป็นคนหน้าหนาฟันแทงไม่เข้า ไม่กลัวถูกตีถูกด่า และยิ่งไม่หวั่นเกรงชื่อเสียงฉาวโฉ่ เขาแสดงท่าทีชัดเจนว่าถึงตายก็ไม่แต่งภรรยาผู้นี้เข้าตระกูล จักรพรรดิและพระพันปีถูกบีบให้จนตรอก จำต้องร่วมมือกันกำราบ ลั่นวาจาว่าหากเขายังไม่เชื่อฟังอีกก็จะเล่นงานมารดาเขา เขาถึงได้ไม่ทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางเกินไปนัก

ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์หรือราษฎรสามัญชนล้วนชะเง้อคอยาวหมายดูเรื่องตลกขบขัน ถึงขั้นมีบ่อนพนันลับเปิดเดิมพันทายว่าพวกเขาจะทะเลาะเบาะแว้งจนลงมือลงไม้และตกลงหย่ากันหลังจากแต่งงานกี่วัน

 

ธรรมเนียมต้าฉิน สินเดิมเจ้าสาวให้มารดาเป็นผู้จัดเตรียม…

เมื่อครั้งที่โม่เป่ยถูกตีแตก คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงโดนปล้นไม่เหลือหลอ แม้แต่สินเดิมที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงทิ้งไว้ให้บุตรสาวก็ถูกชิงไปหมดสิ้น บัดนี้เยี่ยเจาได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าแล้ว มีทั้งข้าวของเงินทองที่ยึดมาจากชาวหมานจินในระหว่างการทำสงครามหลายปี รวมกับบำเหน็จรางวัลของราชสำนัก นับได้ว่ามีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง แต่นางกลับนำเงินส่วนใหญ่ไปซื้อที่นาร้านค้า ละเลยข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสินเดิมเจ้าสาวอย่างเช่นตู้เสื้อผ้า โต๊ะประทินโฉม และคันฉ่องลวดลายประณีตซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมสะสมนานปี

สะใภ้ใหญ่หวงซื่อที่ครองตัวเป็นม่าย คอยดูแลความเรียบร้อยในเรือนก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการแทนเยี่ยเจาที่มีอำนาจล้นฟ้า รอจนนางกล่าวเตือนอ้อมๆ ว่าต้องตระเตรียมสินเดิมแล้ว เยี่ยเจาถึงนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ห่างจากวันแต่งงานเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น

หวงซื่อได้แต่แข็งใจเอ่ยถามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“บ้านเราไม่ขัดสนเงินทอง แต่สิ่งของเหล่านี้จะไปหาซื้อจากที่ใดดี”

เยี่ยเจากำลังพลิกอ่านรายชื่อและประวัติความเป็นมาของนายทัพใต้สังกัดตนอยู่ในห้องหนังสือ นางกล่าวโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น

“ก็หาเอาตามสะดวกเถอะ พอให้มีครบเป็นใช้ได้”

หวงซื่อถามต่อ

“หรือไปหาคนที่รู้จักชอบพอกันในราชสำนัก ขอหยิบยืมจากสินเดิมของลูกสาวพวกเขาสักสองสามอย่าง วันหลังค่อยสั่งทำชิ้นใหม่คืนให้?”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างใจลอย

“ท่านตัดสินใจเถอะ”

หวงซื่อถามอีก

“ยังมีชุดแต่งงานกับเครื่องประดับอีก เจ้าปลีกเวลามาเลือกด้วยเถอะ จะเอาปิ่นมุกหงส์คู่ ปิ่นดอกไม้ไหวประดับกระจกสี ปิ่นผีเสื้อคู่หยกแปดรัตนชาติ ต่างหูดอกกล้วยไม้ฝังไพลิน กำไลหยกขาวสักคู่…”

เยี่ยเจาทางหนึ่งงานยุ่งแทบตาย อีกทางฟังนางพูดเจื้อยแจ้วจนปวดเศียรเวียนเกล้า หลังจากข่มใจอยู่นานก็เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียวในที่สุด

“หนวกหู ข้าเป็นชายชาตรีผู้หนึ่ง ไหนเลยจะมีความอดทนพอจะไปเลือกของใช้สตรีพวกนี้ ท่านเลือกสักสองสามชิ้นแล้วโยนเข้าไปก็พอแล้ว”

“ชายชาตรี?”

หวงซื่ออ้าปากตาค้าง

เยี่ยเจาเห็นอีกฝ่ายตะลึงงันไป ครู่ใหญ่ต่อมากว่าจะรู้ตัวว่าตนพูดอะไรผิด หวงซื่อก็ร่ำไห้น้ำตาร่วงเผาะไปแล้ว

 

ธรรมเนียมต้าฉิน สตรีที่เตรียมออกเรือนล้วนปักชุดแต่งงานด้วยตัวเอง…

เยี่ยเจาสวมอาภรณ์รัดกุมสีดำแนบกระชับกาย สะพายกระบี่ไว้ข้างตัว นั่งตัวตรงอยู่ในห้องหนังสือ ถืออาวุธลับไว้เต็มมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เห็นเพียงมือซ้ายของนางออกกระบวนท่าไล่วายุล่าตะวัน แมลงวันไม่ดูตาม้าตาเรือสองตัวก็ถูกเข็มยาวแทงทะลุตรึงติดกับผนัง ส่วนมือขวาใช้กระบวนท่าฝนบุปผาเกลื่อนฟ้า เข็มเงินสิบเจ็ดสิบแปดเล่มก็พุ่งเฉียดกรงเล็บของแมวน้อยซึ่งวิ่งมาขโมยอาหารที่นอกหน้าต่างแล้วปักลงดิน ทำให้มันตกใจกลัวเผ่นหนีหัวซุกหัวซุน

เหล่าทหารองครักษ์ผู้ติดตามนางอดร้องชมมิได้ จากนั้นพวกเขาก็พากันกล่าวเยินยอ

“ข้าร่ำเรียนวิชาอาวุธลับมาหลายปี ได้รับคำชี้แนะจากท่านแม่ทัพ นับว่าเป็นบุญวาสนาจริงๆ”

“ท่านแม่ทัพเชี่ยวชาญในสิบแปดศัตราวุธทุกชนิด วรยุทธ์ล้ำเลิศจริงๆ!”

“ผู้กล้าขนานแท้!”

เยี่ยเจาชี้แนะเสียงเย็น

“หลักในการฝึกยุทธ์สำคัญที่ความใส่ใจ”

ทุกคนพยักพเยิดเห็นด้วย

หวงซื่อปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง บิดผ้าเช็ดหน้าไปมาพร้อมลากเสียงยาวร้องโอดขึ้นด้วยความคับข้องหมองใจ

“…สำคัญที่ความใส่ใจนะ”

ทุกคนจนวาจา ถอยออกไปเงียบๆ

สีหน้าดั่งภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยเจาเหยเกลงสามส่วน นางก้มศีรษะ จ้องเขม็งที่โต๊ะปักผ้าซึ่งไม่เข้ากับห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยสรรพาวุธและตำราพิชัยสงครามดุจเดิม

บนโต๊ะปักผ้าขึงชุดแต่งงานสีแดงสดปราศจากลวดลายไว้ตัวหนึ่ง สายตานางนิ่งสนิทคล้ายอยากมองเห็นรูโหว่สักรูใจจะขาด จากนั้นนางก็หยิบอาวุธลับอีกเล่มออกมาจากตลับเข็ม ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสุ่มสี่สุ่มห้าแทงลงไปสุดแรง

 

ธรรมเนียมต้าฉิน สินเดิมเจ้าสาวมีของรักของหวงก่อนออกเรือนรวมอยู่ด้วย…

เยี่ยเจาเป็นต้นเหตุให้พี่สะใภ้ใหญ่กลุ้มอกกลุ้มใจจนผมหงอกไปสามเส้น เมื่อฟังอีกฝ่ายร่ำไห้รำพันถึงพี่ชายที่ตายไปอีกสามชั่วยาม บันดาลให้ในใจรู้สึกผิด นางก็มีท่าทีให้ความร่วมมือขึ้นมาบ้าง สำหรับสินเดิมอื่น หลังจากรวบรวมมาจากหลายทางยังมีของขวัญที่จักรพรรดิกับพระพันปีพระราชทานให้เจ้าสาว สุดท้ายก็ตระเตรียมได้ครบถ้วนแล้ว

ถึงวันแต่งงาน ตอนส่งสินเดิมเจ้าสาว บนถนนสายใหญ่จากคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงไปยังวังอันอ๋องคับคั่งไปด้วยผู้คนอีกคำรบหนึ่ง ชาวเมืองมากมายทั้งลูกจ้างและเจ้าของร้านค้าไม่แม้แต่จะทำมาหากิน พากันแห่มาดูด้วยความสนใจ ทำให้ร้านน้ำชาและหอสุราริมถนนขายดิบขายดีเป็นเท่าตัว กระทั่งแผงขายน้ำขมและเกี๊ยวน้ำข้างทางยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

วังอันอ๋องเปิดประตูหน้าแต่เช้า ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็แว่วได้ยินเสียงดนตรี

ผู้ที่หาบสินเดิมเจ้าสาวมามิใช่บ่าวไพร่ธรรมดา หากแต่เป็นคนจากกองทหารม้าประจัญบานทั้งหมด แต่ละคนอกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้าพร้อมเพรียงกัน หาบหีบใส่เครื่องเรือนหนักอึ้งได้สบายมือราวกับเป็นของเบาๆ พวกเขาเดินมาตามถนนอย่างคึกคักห้าวหาญ สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจนำส่งเสบียงและอาวุธยุทธปัจจัยให้ลุล่วง

นับแต่โบราณมามีผู้ใดสามารถใช้กองทหารส่งสินเดิมเจ้าสาวได้ เมื่อพบเห็นกระบวนทัพน่าเกรงขามนี้ ทุกคนอดโห่ร้องชอบใจมิได้

สินเดิมเจ้าสาวหีบแรกที่เคลื่อนผ่านไปเป็นแส้เหล็กไหลที่จักรพรรดิพระราชทานให้ หีบที่สองคือรัดเกล้าทองอัญมณีเจ็ดสีที่พระพันปีพระราชทานให้ อัญมณีส่องประกายแพรวพราวกระทบกันระยิบระยับจนแทบลืมตาไม่ขึ้น

ด้านหลังตามมาด้วยของขวัญที่อัครมเหสี พระราชชายา พระญาติ และขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำนัลให้เจ้าสาว มีตู้ตั้งของประดับแปดมงคลฝีมือประณีตบรรจง คันฉ่องจากโพ้นทะเลตะวันตก โต๊ะประทินโฉมไม้พะยูง แต่ละอย่างงามวิจิตรจนชวนให้กังขาว่าพวกเขานำของที่ดีที่สุดของบุตรสาวตัวเองออกมาเพื่อประจบเอาใจแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในขณะนี้ใช่หรือไม่

ต่อจากนั้นเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงจัดหาเพิ่มเติมเอง รวมถึงของมงคลที่พบเห็นบ่อยเช่นพวกถังน้ำลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แม้วัสดุที่ใช้ทำจะพิถีพิถัน แต่แบบกลับเรียบง่ายยิ่ง ไม่แฝงกลิ่นอายของห้องสตรีสักนิด

สินเดิมเจ้าสาวหนึ่งร้อยยี่สิบหีบเป็นขบวนยาวร่วมหลายลี้ หัวขบวนเข้าประตูวังแล้ว ท้ายขบวนยังไม่ออกจากคฤหาสน์

ซย่าอวี้จิ่นสวมชุดสีแดงหรูหรา ใบหน้าสวยงามซีดขาวดุจกระดาษแต่แรกแล้ว เขากำลังยืนอยู่นอกประตูวัง ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างฝืนใจ ลูกตากลอกไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังสำรวจเส้นทางหนี ท่าทางไม่เหมือนผู้ที่จะตบแต่งภรรยา กลับคล้ายกำลังเข้าสู่ลานประหาร

ฝ่ายซย่าอวี้เชวี่ยทักทายแขกเหรื่อที่มาจากทั่วสารทิศด้วยใบหน้าแย้มยิ้มสดใส กระนั้นเขารู้สึกอยู่เช่นกันว่าน้องชายตนมีสีหน้าบูดบึ้งเกินไป จึงเอ่ยปลอบในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด

“เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็แซ่ซย่า เป็นหลานแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ถึงแม่ทัพเยี่ยจะมีนิสัยใจคอป่าเถื่อนอย่างไรก็คงไว้หน้ากันบ้าง ไม่ถึงขั้นกระทำเลยเถิดเกินไป ตอนนี้เจ้าเป็นถึงจวิ้นอ๋อง ซ้ำยังแต่งภรรยาแล้ว เจ้าเองก็ต้องปรับปรุงตัวด้วย วันหน้าเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”

“พี่สะใภ้รู้หนังสือและมีเหตุมีผล อ่อนโยนเป็นศรีภรรยา ท่านย่อมพูดได้อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นธรรมดา” ซย่าอวี้จิ่นหันหน้าไปโต้กลับเสียงห้วนอย่างขุ่นเคือง ทว่าสีหน้าดีขึ้นบ้างเล็กน้อย “สำหรับเยี่ยเจานั่นก็เป็นแม่ทัพของนางไปตามสบายเถอะ ข้าไม่มีวันยอมรับเด็ดขาดว่าคนพรรค์นั้นเป็นสตรี!”

“คนพรรค์ไหนกัน” ซย่าอวี้เชวี่ยขมวดคิ้วดุ “นางปราบปรามชาวหมานจินจนลือลั่นไปทั้งโม่เป่ย เป็นขุนนางที่มีความชอบโดดเด่นเหนือใครในต้าฉิน ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิอย่างมาก ถึงเจ้าจะเหลวไหลสิ้นคิดเพียงใดก็ไม่สมควรเสียมารยาทเช่นนี้ ปลงซะเถอะ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่แน่ว่านางจะมิใช่ศรีภรรยา!”

เมื่อสีหน้าบึ้งตึงของน้องชายผ่อนคลายลงเล็กน้อย ซย่าอวี้เชวี่ยคิดจะตีเหล็กเมื่อยังร้อน จะกล่อมอีกฝ่ายให้อารมณ์เย็นลงต่อไป

ไม่คาดว่าห่างไปไม่ไกลนักมีลูกหลานเสเพลของเชื้อพระวงศ์ซึ่งเคยถูกซย่าอวี้จิ่นรังแก พวกเขายักคิ้วหลิ่วตาให้พลางตะโกนใส่

“แม่ทัพเยี่ยรูปงามกล้าหาญชาญชัย หนานผิงจวิ้นอ๋องก็งามสะคราญปานบุปผาดุจจันทรา สมดั่งคำว่าสตรีเก่งกาจบุรุษโฉมงาม เป็นคู่สร้างคู่สมกันโดยแท้! วันหน้าภรรยาเป็นผู้นำ สามีเป็นผู้ตาม เป็นที่กล่าวขานสดุดีไปชั่วกาลนาน!”

ซย่าอวี้จิ่นเกิดมามีใบหน้าสวยงาม การถูกผู้อื่นยกเรื่องรูปโฉมมากล่าวล้อเล่นเป็นเหมือนคำต้องห้ามร้ายแรงที่สุดของเขา ทุกถ้อยทุกคำเหล่านั้นประหนึ่งดาบคมกริบสุดจะเปรียบ แทงเข้าจุดอ่อนแอที่สุดกลางใจเขาอย่างถนัดถนี่จนโลหิตหลั่งรินเป็นสาย

ซย่าอวี้เชวี่ยแข็งใจพยายามพูดปลอบ

“มิได้ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นหรอก อย่าไปฟังพวกเขาพูดจาส่งเดช พวกเราดูสินเดิมเจ้าสาวสิ แฝงความเป็นหญิงอยู่มากเชียวนะ คันฉ่องอันนั้นทำได้ประณีตขนาดไหน ดีไม่ดีลึกๆ ในตัวแม่ทัพเยี่ยยังซ่อนจิตใจเฉกเช่นสตรีไว้หลายส่วน แล้วด้านหลังนั่นอะไรน่ะ รูปร่างประหลาด ดูท่าหนักเอาการ…”

สินเดิมเจ้าสาวถูกหาบผ่านไปทีละหีบ เครื่องเรือนขนาดใหญ่ผ่านไปชิ้นหนึ่งก็เรียกเสียงร้องชมคราหนึ่ง

หลังจากหีบผ่านไปหมดแล้ว ขบวนหาบสินเดิมเจ้าสาวสามสิบชิ้นสุดท้ายกลับเป็นสิ่งของหน้าตาพิลึกพิลั่นที่ใช้ผ้าแดงหุ้มห่ออย่างแน่นหนามิดชิด คานหาบถูกน้ำหนักกดลงจนต่ำเรี่ยพื้น ส่วนทหารซึ่งรับหน้าที่หาบก็มีเหงื่อกาฬผุดกลางหน้าผากหลายเม็ด ดูเหมือนกินแรงเป็นอันมาก

ทุกคนสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง อยากมองเห็นรูโหว่สักรูบนผ้าแดงใจจะขาด

เคราะห์ดีสวรรค์เบื้องบนเห็นใจให้ทุกคนได้สมความปรารถนา ขณะที่จวนเจียนจะถึงวังอันอ๋อง ไม้คานหนึ่งในนั้นทนรับน้ำหนักไม่ไหวหักเป็นสองท่อน ของตกกระแทกพื้นอย่างแรง ทำให้พื้นศิลาเขียวแตกเป็นรอยร้าวถึงสองรอย ก่อนที่ของจะกลิ้งไปอีกสองตลบ

คนทั้งหมดเบิกตากว้าง หยุดหายใจชั่วขณะ แลมองไปที่สิ่งของบนพื้น

กระบองเขี้ยวหมาป่าทอประกายเย็นเยียบอำมหิตท่อนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นศิลาเขียว ระหว่างแง่งหนามดูเหมือนยังมีคราบโลหิตเกรอะกรังที่ชะล้างออกไม่หมดจด

เงียบกริบ…

ทหารสองนายซึ่งรับหน้าที่หาบของเปลี่ยนไม้คานอีกอันอย่างใจเย็นและช่วยกันนำอาวุธวางกลับเข้าขบวนหาบสินเดิมเจ้าสาวดังเก่า จากนั้นร้องตะโกนเสียงหนึ่งแล้วยกขึ้น สาวเท้าก้าวยาวเดินลิ่วๆ ไป

เงียบกริบเหมือนเดิม…

เงียบกริบต่อไป..ฃ.

“รีบมากันเร็วเข้า! อย่าปล่อยให้จวิ้นอ๋องปีนกำแพงหนีไปได้!”

 

ซย่าอวี้เชวี่ยเป็นผู้เล็งเห็นการณ์ไกลอย่างยิ่ง เขาได้จัดเตรียมชาวยุทธ์ที่เป็นยอดฝีมือไว้แต่แรก

ชั่วพริบตาที่ซย่าอวี้จิ่นเพิ่งปีนกำแพงขึ้นไป เขาก็ถูกลากตัวลงมาแล้วจี้สกัดจุดสำคัญบนร่างสองสามแห่ง ทำให้เขาจะอ้าปากพูดก็มิได้ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนกายก็มิได้ ถูกขนาบข้างซ้ายขวาควบคุมตัวไว้เพื่อไม่ให้เป็นต้นตอก่อเหตุอีก

ทันทีที่ถึงฤกษ์มงคล เสียงกลองดังขึ้นพร้อมเกี้ยวเจ้าสาวที่เคลื่อนมาถึงอย่างแผ่วพลิ้วว่องไว

เยี่ยเจาเดินลงมาอย่างเชื่องช้า หน้าเชิดหลังตรง ทรวงอกไม่มีการกระเพื่อมไหว ศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงเพลิงทำให้มองไม่เห็นสีหน้า นอกจากทับทิมน้ำงามล้ำค่าควรเมืองเม็ดหนึ่งบนสายคาดเอวแล้ว ชุดแต่งงานปราศจากลวดลายใดๆ ทั้งสิ้น

ท่ามกลางเสียงพูดคุยถกเถียงกัน นางเหลียวมองรอบกายแล้วเดินเนิบนาบเข้าสู่โถงประกอบพิธี อากัปกิริยาผึ่งผายเสมือนพยัคฆ์เยื้องกราย

ซย่าอวี้จิ่นถูกชายฉกรรจ์สองคนพยุงตัวลากออกมา เขามีเรือนร่างผอมบาง แม้จะนับว่าเป็นคนตัวสูงในต้าฉิน แต่เขากลับสูงกว่าเยี่ยเจาเพียงครึ่งข้อนิ้วมือ กอปรกับสีหน้าขึ้งเคียดและขยับตัวไม่ได้ ยามคนทั้งสองยืนคู่กันจึงเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ฝ่ายชายแทบจะคล้ายกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกอันธพาลบังคับแต่งงานเลยทีเดียว

หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง การพระราชทานสมรสในหมู่เชื้อพระวงศ์ก็นับว่าเป็นการจับคลุมถุงชนเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อถูกบังคับให้ตบแต่งพญายมแห่งแดนดินที่ไม่มีใครหาญกล้าแตะต้องผู้นี้เป็นภรรยา บุรุษที่มีมโนธรรมในใจทั้งหลายล้วนหลั่งน้ำตาให้ซย่าอวี้จิ่นด้วยความเห็นใจ

จักรพรรดิส่งคนมาร่วมงานแต่งงานนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งพระราชทานสิ่งของแก่หนานผิงจวิ้นอ๋องไม่น้อย ถือเป็นการปลอบขวัญและให้เกียรติทั้งสองฝ่ายเต็มที่ ส่วนวรชายาอันไท่เฟยแทบจะร่ำไห้จนเสร็จสิ้นพิธี หากเป็นสายตาของผู้ไม่รู้ความจริงนางไม่คล้ายแต่งสะใภ้ กลับเหมือนส่งศพลูกชาย

ผู้เฒ่าเยี่ยปลาบปลื้มยินดีขณะเอ่ยกำชับกำชาคู่บ่าวสาว

“พวกเจ้าต้องมีทายาทสืบสกุลโดยไวนะ มีลูกชายสักคนแล้วค่อยไปสนามรบฆ่าพวกมันให้บรรลัยเลย!”

ยามเอ่ยถ้อยคำนี้เขาดูคล้ายสติยังแจ่มใสดี มีแต่ดวงตาจับจ้องมองท้องของซย่าอวี้จิ่นอยู่บ่อยครั้งที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกชอบกล

งานแต่งงานซึ่ง…ยากจะบรรยายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ปิดฉากลงอย่างราบรื่น

รอจนท่อนไม้กลายเป็นเรือ คู่บ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยอดฝีมือที่คอยเฝ้าซย่าอวี้จิ่นไว้ก็คลายจุดบนร่างเขาให้ในที่สุด จากนั้นจึงถอยออกมาอย่างนอบน้อมและไปรับรางวัลโดยไม่รอช้า

ซย่าอวี้จิ่นยืดเส้นยืดสายพลางมองผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยาคนใหม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า

แม้ท่านั่งของนางจะจงใจสำรวมไว้จนสุภาพกว่ายามเดินทัพจับศึกอยู่บ้าง ทว่ายังคงแฝงความห้าวหาญเฉียบขาดดุจเดิม คล้ายพยัคฆ์ร้ายที่นอนนิ่งไม่อนาทรร้อนใจ ไม่มีท่าทางเฉกเช่นสตรีแม้แต่น้อย ยังมีนิ้วชี้ที่เคาะเสาเตียงเป็นจังหวะเหมือนบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดจากละครชวนหัวฉากนี้อีก

นี่น่ะหรือผู้ที่เขาแต่งเป็นภรรยา เป็นชายอกสามศอกมากกว่ากระมัง!

ยอดบุรุษขนานแท้เช่นเขากลับต้องเป็นฝ่ายคับอกคับใจ ราวกับเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงก็ไม่ปาน

ซย่าอวี้จิ่นยิ่งคิดยิ่งโกรธ เกิดแรงฮึดขึ้นมาก็สิ้นความยับยั้งชั่งใจ บอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจต่อนางอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“เจ้าเป็นก็แต่ภรรยาข้าเท่านั้น อย่าหวังว่าจะก้าวก่ายเรื่องของข้าได้!”

เยี่ยเจาเพียงส่งเสียงตอบสั้นๆ

“อืม”

เสียงนางออกทุ้มด้วยยามออกศึกมักต้องตะโกนออกคำสั่งจนเสียงแตก สุ้มเสียงจึงแหบห้าวไปบ้าง ต่างจากเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างที่ชาวเมืองนิยมชมชอบกันลิบลับ ทั้งยังแฝงความแข็งกระด้างเป็นเชิงออกคำสั่ง เสมือนไม่เห็นบุรุษที่แผดเสียงเบื้องหน้าอยู่ในสายตา

นับแต่ซย่าอวี้จิ่นเกิดมา มีแต่ตัวเองเป็นฝ่ายมองข้ามผู้อื่น เคยมีครั้งไหนกันที่เขาถูกคนเมินเฉยเช่นนี้ ส่งผลให้เขาอัดอั้นตันใจจนพูดไม่ออก

เยี่ยเจารออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นเขาส่งเสียง นางจึงถามขึ้น

“ท่านพูดจบแล้ว?”

ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ กระชากประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปสองสามก้าว กอบหิมะใกล้มือขึ้นมากำหนึ่งแล้วถูกับใบหน้าโดยไม่นำพาสายตาประหลาดใจของผู้คน ใช้ความเย็นเสียดกระดูกทำให้ความร้อนรุ่มในหัวเยือกเย็นลงอย่างว่องไว

เขามิใช่คนโง่เขลา ย่อมแจ่มแจ้งดีว่าบรรดาศักดิ์จวิ้นอ๋องเป็นฐานะเลื่อนลอยที่ไร้อำนาจใดๆ เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จักรพรรดิใช้ดึงตัวแม่ทัพใหญ่ให้อยู่ภายใต้การควบคุม เยี่ยเจาจึงเป็นภรรยาที่เขาจะเป็นฝ่ายขอหย่าเองไม่ได้ ทางออกเพียงทางเดียวคือทำให้นางรังเกียจชิงชังเขาถึงที่สุด ทุบตีเขาสักยกแล้วเป็นฝ่ายเสนอขอหย่าก่อน

เขาจะทำให้ภรรยาชังน้ำหน้าตัวเองอย่างไรดี

เรื่องนี้เขาพอจะหยิบยืมประสบการณ์โชกโชนของกลุ่มสหายเสเพลมาใช้ได้ กระบวนท่าที่ทรงอานุภาพสูงสุดคือไปพลอดรักกับบ้านเล็กบ้านน้อยในคืนส่งตัวเข้าหอ ฉีกหน้าเจ้าสาวจนไม่เหลือชิ้นดี!

ซย่าอวี้จิ่นใจกล้าบ้าบิ่นมาแต่ไหนแต่ไร คิดจะทำสิ่งใดก็ทำทันที เขาพุ่งตรงไปที่เรือนใจพิสุทธิ์ประเดี๋ยวนั้นเลย เหล่าทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกห้องหอมิได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพก็ไม่กล้าขัดขวาง ส่วนหญิงรับใช้สูงวัยที่เหลือมีคนหนึ่งลอบไปฟ้องวรชายาอันไท่เฟยและอันอ๋องกับชายา

วรชายาอันไท่เฟยกลับไม่เหลียวแลด้วยความสงสารบุตรชายคนเล็กและชิงชังสะใภ้ ขณะที่ซย่าอวี้เชวี่ยสิ้นหวังในตัวน้องชายเหลวไหลของตนมานานแล้ว เพียงหวังให้น้องสะใภ้ผู้แข็งกร้าวออกโรงกำราบซย่าอวี้จิ่นไม่ให้เหิมเกริม เขาจึงไม่สนใจเช่นกัน

ซย่าอวี้จิ่นวิ่งทะยานมาถึงหน้าประตูห้องของหยางซื่ออย่างราบรื่น

นางมองเขาด้วยความหลากใจอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอบกายคำนับพลางเอ่ย

“เป็นท่านนี่เอง ต้องโทษข้าที่เบาปัญญาสายตาไม่ดี มิได้พบกันยามดึกแค่ครึ่งปี รอบด้านมืดสนิทไร้แสงตะเกียง ถึงกับจำท่านไม่ได้ไปชั่วขณะ”

ถ้อยคำนี้กล่าวด้วยความคับแค้นใจเหลือแสน ซย่าอวี้จิ่นลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน หวนคิดขึ้นได้ว่าตัวเองออกไปเที่ยวเตร่เกเรอยู่ข้างนอกหลายปีมานี้ ไม่ค่อยเอาใจใส่สตรีในเรือนตนเท่าไร มีบ้างบางคราวที่เขารำคาญเสียงบ่นมารดาถึงมาอยู่ด้วยคืนสองคืน ทว่าน้อยครั้งนักที่จะนอนค้างกับหยางซื่อซึ่งมีรูปโฉมธรรมดา ตอนนี้พอมีเรื่องเดือดร้อนตัวเองจึงมาหานางก่อน เขาก็บังเกิดความสงสารขึ้นในใจจริงๆ เลยทำทีเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะหันเหไปหาเหมยเหนียงแทน

เหมยเหนียงเห็นซย่าอวี้จิ่นก็พานนึกถึงกระบองเขี้ยวหมาป่าที่พวกสาวใช้ได้ข่าวมา นางตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างเด็ดขาด

“วันนี้ร่างกายข้าไม่สะอาด ปรนนิบัติท่านมิได้เจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นโบกมือพลางเอ่ยอย่างหงุดหงิด

“ข้าไม่ถือสา”

เหมยเหนียงกล่าวฉอดๆ ดังห่าฝนธนูก็ไม่ปาน

“ข้ายังป่วยเพราะถูกอากาศเย็น ปวดท้อง เจ็บตา แขนขาอ่อนแรง หน้าอกจุกเสียด หมู่นี้ก็หลับไม่สนิท ละเมอพูดไม่หยุด ในความฝันยังตีคน กัดคนส่งเดช มะ…ไม่ได้จริงๆ นะเจ้าคะ ท่านไปหาเซวียนเอ๋อร์เถอะ”

“เจ้ามันต่ำช้า คอยเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น! เมื่อก่อนยังพูดว่าเราสองคนเป็นพี่น้องผูกพันรักใคร่กัน ที่แท้เจ้าก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้!”

เซวียนเอ๋อร์ซึ่งอยู่ห้องติดกันได้ยินเข้าก็ผลุนผลันออกมาทันทีโดยไม่สางผมเผ้า ชี้หน้าเหมยเหนียงด่าทอหลายคำ จากนั้นก็คุกเข่าดังตุบให้ซย่าอวี้จิ่น ร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะ โขกศีรษะเสียงดังสนั่น

“จวิ้นอ๋องละเว้นเซวียนเอ๋อร์ด้วย โปรดเห็นแก่ที่ข้าปรนนิบัติท่านตั้งแต่เด็ก ให้ข้ามีชีวิตรอดต่อไปด้วยเถอะ ให้ข้าปลงผมออกบวชจวบจนบั้นปลายชีวิต…”

โฉมงามประหนึ่งบุปผาสองคน คนหนึ่งแสร้งสติไม่เต็มเต็ง คนหนึ่งร่ำไห้จนกลายเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ เอะอะโวยวายจนดูเหมือนนายน้อยผู้หล่อเหลาผ่าเผยอย่างเขากำลังบีบหญิงสาวดีๆ ให้เป็นหญิงคณิกา

เขาหันหน้าไปมองกวาดด้วยหางตา สาวใช้อ่อนวัยด้านข้างที่พอจะงามอยู่สักหน่อยถอยหลบไปไกลสิบเชียะ ในพริบตา พวกที่ไร้ความงามก็ถอยหลบไปไกลสามเชียะเช่นกัน ส่วนเด็กรับใช้หน้าตาหมดจดก็ก้มหน้างุด แอบกระถดตัวหลบอยู่ในเงามืด

ซย่าอวี้จิ่นรันทดใจสุดพรรณนา กระนั้นจะบีบให้คนกระโดดลงไปทั้งที่รู้ว่าเป็นกองไฟก็ใช่ที่ เขาตรึกตรองอยู่นานก็ตัดสินใจไม่ได้สักที สุดท้ายก้าวฉับๆ ไปนอนในห้องหนังสืออย่างขุ่นเคือง

ทุกคนหวาดกลัวความดุร้ายของท่านแม่ทัพ ไม่มีผู้ใดกล้าสนใจหนานผิงจวิ้นอ๋อง

เขาถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย กระทั่งผ้าห่มสักผืนก็ไม่มี ได้แต่ขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ส่งเสียงจามดังลั่นหลายครั้ง

 

อีกด้านหนึ่ง หลังจากได้รับข่าว เยี่ยเจาเปลื้องชุดแต่งงานออกแล้วโยนไปที่มุมห้องหอ หมุนกายมองกระจก

ใต้แสงสลัวของเทียนแดง ริมฝีปากของคนในกระจกเม้มแน่น คิ้วเข้มเลิกสูง มาตรว่ารอบตัวจะอวลไปด้วยกลิ่นอายมงคลก็มิอาจกลบประกายดุดันจากการเคี่ยวกรำในสนามรบของดวงตาสุกใสดุจลูกแก้วคู่นั้นเอาไว้ได้

นางกำชับคนที่อยู่นอกห้องด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“เข้านอนเถอะ ไม่ต้องรอแล้ว”

“แต่…จวิ้นอ๋อง!”

“ท่านแม่ทัพ! เขาน่าชังเกินไปแล้ว!”

สุ้มเสียงคล้ายคลึงกันสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ผู้ที่ก้าวออกมากล่าววาจาเป็นสองสาวฝาแฝด ทั้งคู่คิ้วหนาตาโต ผิวกายออกคล้ำ พอจะมีเค้าความงามอยู่บ้าง พวกนางสวมชุดทหาร สะพายดาบโค้งที่เอว สีหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับพร้อมจะชักดาบฟันคนได้ทุกเมื่อ

พวกนางสองพี่น้อง คนพี่ชื่อชิวหวา คนน้องชื่อชิวสุ่ย เดิมทีเป็นบุตรสาวของชิวเหล่าหู่ หัวหน้าโจรที่ภูเขามังกรยักษ์ แกว่งดาบรำทวนมาตั้งแต่เยาว์วัย มีวรยุทธ์สูงพอตัว

สี่ปีก่อนชาวหมานจินรุกรานภูเขามังกรยักษ์ ฆ่าคนวางเพลิง ก่อกรรมทำเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า ชิวเหล่าหู่ไม่ยินยอมสมคบกับคนพาล ชาวหมานจินเลยส่งทหารโจมตีปราบปราม เยี่ยเจาช่วยเหลือเขาไว้และเห็นถึงความกล้าหาญของเขา นางจึงรับเขาสู่ใต้ปีกตน มีตำแหน่งเป็นนายทัพในบังคับบัญชานางนับแต่นั้นมา

ชิวหวากับชิวสุ่ยฝักใฝ่ในทางยุทธ์ ทั้งเลื่อมใสในวรยุทธ์ของเยี่ยเจาอย่างหมดใจจึงอาสารับหน้าที่เป็นผู้ติดตาม คอยรับใช้ข้างกายเยี่ยเจา และเป็นหนึ่งในคนไม่มากนักที่ล่วงรู้เรื่องที่นางเป็นสตรีในครั้งนั้น

ขณะนี้ท่านแม่ทัพที่พวกนางเลื่อมใสที่สุดได้รับความอัปยศในคืนวันแต่งงาน เป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าตัวเองถูกหยาม สองพี่น้องชักดาบโค้งออกมาแล้วสะบัดหน้าเดินไป หมายจะไปอาละวาดทันทีตามวิสัยโจร

เยี่ยเจารีบตวาดห้าม

“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน!”

ชิวหวาเอ่ยกระฟัดกระเฟียด

“ข้าจะไปมัดตัวคนสารเลวไม่รู้ดีรู้ชั่วนั่นมา เอาแส้ฟาดแรงๆ สักตั้งค่อยเอาดาบพาดคอให้เขาคุกเข่าโขกศีรษะสักสองสามครั้งก่อน แล้วโยนไปบนเตียงท่านอีกที ดูซิว่าเขาอยากตายหรืออยากขึ้นเตียง ฮึ่ม! คนที่กล้าดี ชักสีหน้าใส่ท่านยังมิได้มุดหัวออกจากท้องมารดามันเลย”

“หุนหันพลันแล่น! ที่นี่อยู่ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ พี่ก็ดีแต่เอะอะจะฆ่าจะฟันคน ระงับความใจร้อนวู่วามลงเสียโดยไว อย่าพูดจาส่งเดชสร้างความเดือดร้อนให้ท่านแม่ทัพ!” ชิวสุ่ยยับยั้งอารมณ์ชั่วแล่นของพี่สาวไว้อย่างรวดเร็ว แสยะยิ้มเอ่ยขึ้น “ข้ามีผงยาสลบติดตัวอยู่ห่อหนึ่ง อีกประเดี๋ยวใส่ลงไปในน้ำชาของจวิ้นอ๋องแล้วค่อยเอาตัวเขามา รับรองเห็นผลทันตา”

ชิวหวาพยักหน้า

“ยังคงเป็นเจ้าที่คิดอ่านได้รอบคอบ หากเขาไม่ดื่ม ข้าจะกรอกลงคอเขาเอง”

“พอได้แล้ว!”

เยี่ยเจาฟังแล้วกุมขมับ ตะคอกปรามนางโจรสองคนนี้ที่หมายจะลักพาตัวสามีนางในบ้านนางเอง

นางเดินไปที่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาดื่มสองจอก ขบคิดครู่หนึ่งแล้วสั่งกำชับ

“เอาผ้าห่มไปส่งที่ห้องหนังสือ ส่วนเรื่องอื่นเขาอยากทำอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา”

“ท่านแม่ทัพ…”

เสียงของชิวหวาชิวสุ่ยขัดเคืองใจอย่างมาก

“เอาตามนี้ไปก่อนเถอะ”

เยี่ยเจาสะบัดแขนเสื้อก็มีกริชสั้นเล่มงามร่วงลงมา จากนั้นนางก็ล้วงเหรียญทองบิน ออกมาจากสายคาดเอวอีกหลายชิ้น ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้ววางรวมกันไว้ใต้หมอน

ก่อนล้มตัวลงนอน นางเลิกม่านแดงเปิดออก ดีดนิ้วซัดพลังออกไป เทียนคู่มังกรเคียงหงส์สีแดงสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลดับวูบลงทันใด

คู่เวรคู่กรรมสวรรค์สร้าง…

บทที่ 2

วันต่อมาวรชายาอันไท่เฟยอ้างว่าตัวเองปวดศีรษะ เจ็บเท้า แน่นหน้าอก เพียงให้เยี่ยเจายกน้ำชาคารวะจอกหนึ่งพอเป็นพิธี นางมอบกำไลหยกขาวบริสุทธิ์แก่สะใภ้แล้วผลุนผลันออกไปเลย ทิ้งชายาอันอ๋องผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ให้อยู่รับหน้า

ด้วยอันอ๋องมีร่างกายพิการ ชายาเขาจึงเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาหลวงของขุนนางขั้นสี่ ซึ่งชาติกำเนิดที่ไม่สูงส่งพอนี้บ่มเพาะนางให้มีความคิดอ่านละเอียดอ่อน ฉะนั้นนางรู้ดีแก่ใจว่าถ้าให้ความสนิทสนมกับเยี่ยเจาเกินไปจะล่วงเกินแม่สามี แต่ทำตัวห่างเหินเกินไปก็จะล่วงเกินคนของคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงกับเยี่ยเจา เป็นความน่าลำบากใจทั้งขึ้นทั้งล่อง

นางเพียงกล่าวเรียบๆ ตามมารยาทไม่กี่ประโยค กระนั้นกลับแฝงคำชี้แนะเรื่องการผูกสัมพันธ์กับผู้คนในวังที่สำคัญๆ ให้ไม่น้อยด้วยน้ำใสใจจริงเพื่อแสดงไมตรี จากนั้นจึงขอตัวออกไปดูแลวรชายาอันไท่เฟยที่ไม่สบายก่อน

ส่วนซย่าอวี้จิ่นเล่า เขาออกจากวังไปแต่เช้าและมิได้ปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนเสร็จพิธี

เยี่ยเจาดูคล้ายไม่ใส่ใจสักนิด นางนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ดื่มชาอย่างเอ้อระเหย เรือนร่างสูงระหงสวมชุดทหารสีแดงเข้ม แขนสอบสาบเสื้อป้ายทับไขว้กัน คาดเข็มขัดหัวสำริดรูปเทาเที่ย และสวมรองเท้าทรงสูงลายเมฆเหินสีดำ นางรวบผมขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นหยกขาวง่ายๆ รับกับรูปหน้าคมเข้มแฝงเค้าชนต่างเผ่า ยิ่งแลดูสง่าน่ายำเกรง พวกสาวใช้พากันแอบเหลียวมองซ้ำหลายครั้ง

สาวใช้ด้านข้างเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

“คนในเรือนของจวิ้นอ๋องกำลังรอคารวะอยู่นอกประตู จะให้พวกนางเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ”

“ได้!”

เยี่ยเจาคิดว่าซย่าอวี้จิ่นมีรูปโฉมงดงาม พวกบ้านเล็กบ้านน้อยที่ต้องตาต้องใจเขาก็ยิ่งสมควรสวยหยาดฟ้ามาดิน และเมื่อนึกถึงอีกว่าในค่ายทหารพบเจอสตรีได้ยากยิ่ง ส่วนหญิงงามยิ่งยากจะพบเห็น ควรค่าแก่การตั้งตารอคอย สายตาที่แลมองไปทางหน้าประตูก็กระตือรือร้นขึ้นมาบ้างขณะเอ่ยสั่ง

“ให้พวกนางเข้ามา”

หยางซื่อพร้อมด้วยเมียบ่าวทั้งสองเดินนวยนาดเข้ามาและแสดงคารวะอย่างเนิบนาบ

เยี่ยเจาเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา

หยางซื่อยังพอทำเนา นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวกับเสื้อคลุมขนสัตว์สีตุ่น บนเรือนผมดำขลับมีหวีสับรูปดอกไม้เงินฝังไข่มุกสองอันปักไว้เอียงๆ และสวมต่างหูไข่มุก แม้รูปโฉมไม่เด่นสะดุดตา แต่กิริยาท่าทางมาดมั่นสง่างาม ขณะที่เสื้อผ้าอาภรณ์ของเมียบ่าวสองคนนั้นกลับทุเรศตาสุดจะบรรยาย เหมยเหนียงซึ่งเห็นชัดว่าไม่เหมาะจะแต่งกายฉูดฉาดกลับสวมเสื้อคลุมสั้นสีม่วงเข้มกับกระโปรงไหมสีขาว เขียนหน้าทาปากดูพิลึกพิลั่น หากแยกทีละส่วนจะบอกไม่ถูกว่าผิดแปลกที่ใด แต่พอรวมกันแล้วน่าเกลียดจนทนพิศดูไม่ได้ ส่วนเซวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์เก่าล้าสมัย ตลอดทั้งตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น ทำท่าทางเป็นภรรยาตัวน้อยที่หวาดกลัวคนแปลกหน้า หน้าตาซีดเซียวราวกับจะเป็นลมหมดสติได้ทุกเมื่อ ไม่ผัดแป้งประทินโฉม

นี่น่ะหรือบ้านเล็กบ้านน้อยของเขา?

เยี่ยเจานึกถึงนางขับร้องสวยหยาดเยิ้มในเรือนของเสนาบดีหวง สาวงามเย้ายวนจับใจในเรือนของสมุหกลาโหมหลิว หญิงชาวหูอกอิ่มสะโพกผายในเรือนของผู้บัญชาการมณฑลอวี๋

สามีตัวเอง…กระทั่งสายตาในการมองหญิงงามก็ยังไม่ได้เรื่อง

นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงในที่สุด กระนั้นผิดหวังก็ส่วนผิดหวัง นางยังคงมอบของรับขวัญชิ้นใหญ่ให้อีกฝ่าย

เยี่ยเจารับราชการทหารหลายปี ได้สินสงครามมานับไม่ถ้วน ตามกฎซึ่งเป็นที่รู้กันในกองทัพ ของชั้นเลิศนำขึ้นถวาย ของชั้นรองลงมาเหลือเก็บไว้เองได้ไม่น้อย ในจำนวนนั้นย่อมมีเครื่องประดับอัญมณีของเชื้อพระวงศ์หมานจินรวมอยู่ด้วย

ตัวนางชื่นชอบแต่อาวุธ ไม่ชมชอบของสวยๆ งามๆ เครื่องประดับที่งดงามปานใดก็ล้วนไม่อยู่ในสายตา นางจึงนำไปตกรางวัลให้ผู้อื่นได้โดยไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย

หยางซื่อคารมคมคาย กิริยาสุภาพมีมารยาท แม้ไม่นับว่าเป็นหญิงงาม กลับมีสง่าราศีมาก เป็นที่พึงตาพึงใจมากที่สุด เยี่ยเจาจึงมอบปิ่นทองที่มเหสีแห่งหมานจินเคยใช้ให้อีกฝ่าย ปิ่นนี้แกะสลักเป็นลายปักษามงคลสองตัว ประดับยอดด้วยไข่มุกสองพวงล้อมรอบไพลินคล้ายตามังกร มีแสงระยิบระยับอยู่ข้างใน ยามต้องแสงอาทิตย์จะเปล่งประกายแพรวพรายวาววับ เหมยเหนียงได้กำไลทองหนักอึ้งคู่หนึ่ง แต่ละวงมีไข่มุกขนาดใหญ่ห้าเม็ดฝังอยู่ตรงกลาง เซวียนเอ๋อร์ได้ต่างหูทองระย้าห้อยเพชรเม็ดใหญ่เท่าเล็บมือคู่หนึ่ง

แม้แต่หญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ออกเรือนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีเครื่องประดับสูงค่าขนาดนี้ สตรีทั้งสามล้วนตะลึงพรึงเพริดจนกล่าววาจาไม่ออก

ในห้วงสมองของเหมยเหนียงว่างเปล่า ไม่รู้ว่านายหญิงน้อยมีจุดประสงค์ใด มือที่รับเครื่องประดับมาจึงสั่นระริกอยู่บ้าง ฝ่ายเซวียนเอ๋อร์ครุ่นคิดไปว่าอีกฝ่ายคงคิดจะหยิบยื่นไมตรีให้ก่อน เป็นการปิดปากทุกคนเอาไว้แล้วค่อยขับไล่พวกนางออกไปทีเดียวพร้อมกัน พานอยากร่ำไห้มากขึ้นทุกที

เยี่ยเจารู้สึกฉงนฉงายกับสีหน้าเศร้าเสียใจปานบิดามารดาตายจากของทั้งคู่ ตรึกตรองว่าตัวเองมิได้กลับเมืองหลวงสิบกว่าปี ทั้งยังไม่เคยร่วมสังสรรค์กับเหล่าสตรีเลยประเมินสถานการณ์ผิดพลาด มอบของขวัญด้อยค่าเกินไปใช่หรือไม่

มีเพียงหยางซื่อที่ปฏิกิริยาฉับไว นางก้าวเข้าไปกล่าวขอบคุณก่อน จากนั้นเอ่ยพลางยิ้มประจบ

“วังหนานผิงจวิ้นอ๋องใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นจวิ้นอ๋องกับท่านจะต้องแยกเรือนไปอยู่ที่นั่น ไม่ทราบว่าท่านจะขอตัวบ่าวไพร่จากวังอันอ๋องไปหรือจะซื้อหาใหม่เจ้าคะ ยังมีเรื่องอื่นอย่างเช่นค่าใช้จ่ายจิปาถะของพวกข้าทาสบริวารเอย การจัดสรรห้องหับเอย ขอให้ท่านตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ด้วย”

เยี่ยเจาฟังแล้วขมวดคิ้ว นางมีงานราชการมากมายต้องสะสาง กอปรกับทหารชุดใหม่เข้าประจำการมีทั้งเก่งไม่เก่งปะปนกัน จึงเป็นเวลาที่ต้องเริ่มฝึกฝนใหม่พอดี อีกประการหนึ่ง นางหลงใหลในวรยุทธ์ กลับมามีเวลาว่างก็อยากฝึกยุทธ์ ไหนเลยจะเต็มใจรับผิดชอบงานหลังบ้านจุกจิกหยุมหยิมเหล่านี้

ทว่าเรื่องจวนตัวเข้ามาแล้ว ไม่อาจไม่จัดการได้ นางไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงถามขึ้น

“เมื่อก่อนใครเป็นคนดูแลเรื่องของจวิ้นอ๋อง”

หยางซื่อรีบตอบ

“ชายาอันอ๋องเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในวัง ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนของจวิ้นอ๋องมีข้ากับหัวหน้าสาวใช้ชื่อจื่อเถิงเป็นคนดูแล แต่ฤดูร้อนที่ผ่านมาจื่อเถิงได้รับเมตตาให้หมั้นหมายกับลูกชายคนรองของพ่อบ้านใหญ่ ปีหน้าจะออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยเจาถามต่อ

“เจ้าอ่านออกเขียนได้?”

หยางซื่อพยักหน้า

“เมื่อก่อนข้าต้องช่วยแบ่งเบาภาระของมารดาจึงรู้หนังสืออยู่บ้าง แค่พอจะอ่านสมุดบัญชีได้เข้าใจเจ้าค่ะ”

เยี่ยเจาตัดสินใจเด็ดขาดฉับไว

“วันหน้าธุระปะปังเหล่านี้มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่วนเรื่องบ่าวไพร่ หลังจากแยกเรือนไปแล้วเจ้าก็จงไปคัดเลือก แต่ต้องถือตามความเห็นของวรชายาอันไท่เฟยกับชายาอันอ๋องเป็นสำคัญ เรื่องการพบปะสังสรรค์ส่งของขวัญของกำนัลเจ้าก็รับไปด้วย ทำตามที่เห็นควร ข้าไม่มีความอดทนพอจะร่วมงานเลี้ยงชุมนุมของพวกสตรี หากเป็นคนที่ไปมาหาสู่กันตามธรรมดาบอกปัดได้ก็บอกปัดไป ส่วนพวกเชื้อพระวงศ์ที่ไม่สะดวกใจจะบอกปัดก็เอาเทียบเชิญมาให้ข้าจัดการ ที่เหลือเจ้าก็เป็นตัวแทนข้าไปร่วมงาน ถ้าสะสางไม่ได้ค่อยเอามาให้ข้าดู”

ดวงตาทั้งคู่ของหยางซื่อเป็นประกาย นางพยักหน้าถี่รัว

เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์คล้ายมีแสงสว่างส่องวาบขึ้นในหัว พวกนางเรียกสติคืนมาได้ในที่สุดและคิดขึ้นได้ว่าวังหนานผิงจวิ้นอ๋องผิดแผกจากทั่วไป

บ้านอื่นล้วนถือบุรุษเป็นใหญ่ ฮูหยินที่แต่งเข้ามาก็ต้องปกครองบ้าน ดูแลเหย้าเรือนทั้งหมดอย่างปฏิเสธมิได้ ทว่าฮูหยินผู้นี้เป็นถึงขุนนางใหญ่คับฟ้า เป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าที่ปกครองชายชาตรียี่สิบหมื่น ไม่มีเวลาว่างจัดการงานหลังบ้านอย่างสิ้นเชิง ย่อมต้องหาคนรับภาระแทนเป็นธรรมดา และถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องจะอยู่ว่างๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำหน้าที่ของสตรี

ฉะนั้นบ้านนี้ไม่มีภรรยาหลวงที่จะใช้อำนาจข่มเหงทำลายอนุภรรยาและเมียบ่าวอย่างพวกนาง มีแต่นายท่านสองคนให้การปกปักคุ้มครอง หลังจากแยกเรือนไปแล้ว หากพวกนางสามารถดูแลจัดการงานในวังหนานผิงจวิ้นอ๋องให้ท่านแม่ทัพได้ แม้ตัวจะมิใช่ฮูหยิน แต่ก็มีอำนาจสูงส่งเช่นฮูหยิน

หลายวันนี้หยางซื่อพร่ำพูดถึงความน่ากลัวของท่านแม่ทัพกรอกหูพวกนางไม่หยุดหย่อน ยุยงให้พวกนางแสร้งโง่ซุกงำประกาย เพื่อตัวเองจะได้ลืมตาอ้าปากในวันนี้ แล้วก็สมดั่งใจหมายหยางซื่อน่าชังผู้นั้นจริงๆ

ท่านแม่ทัพรูปงามปานนั้น ไม่คล้ายปีศาจกินคนเลยสักกระผีก!

ทั้งคู่นึกเสียใจแทบแดดิ้น

เยี่ยเจามองคนทั้งสามแวบหนึ่ง เอ่ยสืบไปเรียบๆ

“ไม่ต้องขอตัวผู้ดูแลบัญชีมา แต่ก่อนในกองทัพข้ามีผู้ดูแลบัญชีคนหนึ่ง รับผิดชอบทำบัญชีเสบียงและยุทธปัจจัย ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ทั้งยังวางตัวเหมาะสม ตอนนี้อายุมากแล้ว ให้เกษียณมาอยู่ในวังหนานผิงจวิ้นอ๋อง เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์มีเวลาว่างก็คอยแวะเวียนไปหาหยางซื่อบ่อยๆ ดูว่ามีอะไรต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่ พวกเจ้าล้วนอยู่ในวัยงามสะพรั่ง สมควรแต่งกายสวยงาม ยามไม่มีอะไรทำก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ไม่ต้องเข้มงวดกับตัวเองเกินไปนัก”

หลักการปกครองคือรู้จักใช้คนและต้องให้อำนาจ ขอเพียงควบคุมเรื่องเงินทองไว้ในมือ ใช้เมียบ่าวจับตาดูอนุภรรยา พวกนางก็คงก่อคลื่นลมใหญ่โตปานใดมิได้นัก

หยางซื่อชิงความได้เปรียบก่อนจึงได้ประโยชน์ไปมากมาย นางลอบนึกปีติยินดี พึงพอใจกับรูปการณ์ในยามนี้เป็นอันมาก กระนั้นแม้หยางซื่อสามารถสั่งการข้าทาสบริวารทั่วไป นางกลับไม่มีอำนาจเหนือพวกเมียบ่าว อีกทั้งไม่อาจก้าวก่ายชีวิตและผลประโยชน์ของพวกนาง และยิ่งไม่อาจส่งผลกระทบต่อหนานผิงจวิ้นอ๋องกับท่านแม่ทัพได้

เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งใจกับการมอบหมายงานเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อทั้งคู่ประจักษ์ว่าท่านแม่ทัพชอบมองหญิงงามก็เร่งรีบกลับห้องไปแต่งกายประทินโฉมใหม่ สวมเครื่องประดับที่ได้รับมา และใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อย่างสวยงามแล้วปรี่เข้าไปพะเน้าพะนอท่านแม่ทัพ เริ่มทำตัวให้เป็นที่โปรดปราน

หลังแต่งงาน เยี่ยเจาได้หยุดพัก ไม่ต้องเข้าประชุมขุนนาง นางจึงไปอ่านตำราในห้องหนังสือโดยให้เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติข้างกาย

โฉมสะคราญสองคนขนาบซ้ายขวา เหมยเหนียงสวยเย้ายวน เซวียนเอ๋อร์งามพริ้มพราย คนหนึ่งฝนหมึก คนหนึ่งวางกระดาษ ต่างฉายรัศมีความงามในแบบของตน

หลังจากเยี่ยเจาไปฝึกยุทธ์ ชิวหวากับชิวสุ่ยวิ่งเข้ามาพูดคุยกับพวกนางอย่างร่าเริงเป็นกันเอง เล่าโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจถึงความกล้าหาญชาญชัยของท่านแม่ทัพที่เด็ดศีรษะนายทัพข้าศึกกลางกองทหารนับหมื่นเมื่อครั้งอยู่ที่โม่เป่ย

สองหญิงงามไร้กำลังความสามารถ ได้แต่ใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นนั้นอยู่ในใจ

ทั้งคู่แลมองท่านแม่ทัพที่แสนสง่าอีกครั้ง นึกถึงความแล้งน้ำใจของหนานผิงจวิ้นอ๋องแล้วพากันชิงชังที่โชคชะตาเล่นตลก รู้สึกประหนึ่งหัวใจแตกสลายไปจริงๆ

 

หนานผิงจวิ้นอ๋องเถลไถลอยู่ข้างนอกเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่กลับวัง แม้แต่ธรรมเนียมกลับไปเยี่ยมคารวะครอบครัวภรรยาก็ละเลยเชือนแช

วรชายาอันไท่เฟยบุกไปที่ห้องของเยี่ยเจา ดึงมือนางพลางคร่ำครวญน้ำหูน้ำตานองหน้า

“เพราะเจ้าไม่ดีคนเดียว เป็นเหตุให้ลูกข้าไม่กล้ากลับบ้าน”

เยี่ยเจากำลังทำความสะอาดอาวุธ ฟังแล้วอดขมวดคิ้วมิได้

“พระพันปีเป็นผู้พระราชทานสมรสให้”

“ข้าไม่สน! ข้าไม่สน!” วรชายาอันไท่เฟยน้ำตาไหลดุจทำนบแตก แผดเสียงร่ำไห้แทบจะพังกำแพงเมืองลงได้จนใครๆ ล้วนไม่อาจทนไหว นางเขย่าร่างเยี่ยเจาไม่หยุดโดยไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น “ผู้หญิงอย่างเจ้าช่างไร้มโนธรรม บังคับให้ลูกข้าระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย หิมะก็ตกหนักขนาดนั้น จะตกระกำลำบากอย่างไรบ้างก็สุดรู้ หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร เจ้ารีบไปตามตัวลูกข้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ”

เยี่ยเจาอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน

“เป็นเขาหนีออกจากบ้านไปเอง ข้าแต่งงานมาจนบัดนี้เพิ่งคุยกับเขาสองประโยครวมได้ห้าคำ เคยบังคับเขาเสียที่ไหนกัน”

วรชายาอันไท่เฟยมองคนตรงหน้าที่ถือลูกตุ้มดาวตกในมือกวัดแกว่งไปมาโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย หางตากระตุกคราหนึ่ง นางเช็ดน้ำตา ตัดสินใจกล่าวอ้อมค้อมสักหน่อย

“ต่อให้เขาทำไม่ถูกแค่ไหนก็เป็นสามีเจ้า ถึงเจ้าไม่อ่อนโยนเป็นศรีภรรยาก็ช่าง จะไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็แล้วไป จะไม่กตัญญูมากพอก็ไม่ว่ากัน ทว่าวันๆ เจ้าเอาแต่แกว่งดาบรำทวนได้อย่างไร”

“งานของข้าคือการแกว่งดาบรำทวน”

วรชายาอันไท่เฟยนึกถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เคราะห์ร้ายได้รับพระราชทานสมรสนี้แล้วน้ำตารื้นขึ้น ร่ำไห้ออกมาอีก

“อย่าได้คิดข่มเหงพวกเราหญิงม่ายลูกกำพร้านะ! หากเจ้าไม่ตามเขากลับมา ข้า…ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว!”

เยี่ยเจาว้าวุ่นใจกับความไม่มีเหตุมีผลของนาง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา

“ได้ๆ ข้าจะไปตามเขา แต่ถ้าเขาไม่กลับล่ะ?”

วรชายาอันไท่เฟยรีบเอ่ย

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปขอขมาลาโทษ ก้มหัวอ้อนวอนเขาให้กลับมาดีๆ”

“เหลวไหล!” เยี่ยเจาเดือดดาล “เป็นเขาที่ไม่ยอมพบหน้าข้า หาใช่ข้าไม่ยอมพบหน้าเขา ยิ่งกว่านั้นข้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นสอง ประจำการอยู่ในเมืองหลวง จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นข้าเป็นตัวตลกได้อย่างไร”

ท่านแม่ทัพบันดาลโทสะในที่สุด แม้น้ำเสียงและท่าทางลดทอนความดุดันลงแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งท่วงท่าจอมทัพผู้นำกองกำลังนับหมื่นนับพันเข้าสู่สนามรบบั่นศีรษะคนดุจเดิม แลดูน่าเกรงขามเหลือประมาณ

วรชายาอันไท่เฟยตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น จิตใจที่ปลุกให้ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่ง่ายดายอ่อนยวบลงกึ่งหนึ่ง นางละล้าละลังชั่วครู่ แต่ครั้นคิดถึงลูกรักนางก็รวบรวมความกล้าอีกครั้ง กล่าววาจาข่มขู่อย่างตะกุกตะกัก

“ถะ…ถ้าเจ้าตามลูกข้ากลับมาไม่ได้ภายในสามวัน ข้าจะไปโขกศีรษะตายต่อเบื้องพระพักตร์พระพันปี กราบทูลฟ้องร้องเจ้าโทษฐานอกตัญญู!”

เอ่ยจบวรชายาอันไท่เฟยก็ผลุนผลันออกไป ไม่กล้ามองสีหน้าของเยี่ยเจา

หลังจากวรชายาอันไท่เฟยจากไปไกลแล้ว เหมยเหนียงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างโดยตลอดก็ขยับกายเข้ามาชิดแขนเยี่ยเจา กระซิบที่ริมหู

“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ในใจวรชายาอันไท่เฟยเห็นจวิ้นอ๋องเป็นเพียงเด็กน้อย เอะอะก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดขู่ว่าจะไปแขวนคอบ้าง วิ่งชนกำแพงบ้าง อดอาหารบ้างไม่น้อยกว่าปีละสี่ห้าครั้งด้วยเรื่องของเขา แต่ไม่เห็นนางเป็นอะไรไปจริงๆ สักที นางแค่ขู่ให้ตกใจเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

เซวียนเอ๋อร์กระซิบที่หูอีกข้าง

“มีบางคราวจวิ้นอ๋องก็ทนไม่ไหวเช่นกัน หายหน้าไปสิบวันครึ่งเดือนไม่กลับวังจนเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างไรฝีมือการเล่นพนันของเขาก็เป็นเลิศ ทั้งยังรู้จักพวกเกะกะเกเรมากมาย ต่อให้ครึ่งปีไม่กลับมาก็ไม่อดตาย…ถ้าท่านจะตามหาจวิ้นอ๋องก็ไปที่หอคณิกา ร้านสุรา บ่อนพนันหรือวัดร้าง เป็นไปได้มากว่าเขาจะหลบอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”

หลังจากพวกนางมั่นใจแล้วว่าภายภาคหน้าใครคือผู้เป็นใหญ่ในวังก็ทำตัวเป็นพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาอย่างรวดเร็ว หักหลังซย่าอวี้จิ่นทันควันเพื่อหวังเป็นคนโปรด

ชิวหวากล่าวอย่างฉะฉาน

“ท่านจะส่งคนไปช่วยตามหาหรือไม่เจ้าคะ พวกเราส่งองครักษ์แกะรอยไป รับรองว่าลากตัวเขาออกมาได้แน่”

“ไม่ต้อง ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”

เยี่ยเจาหยิบเสื้อคลุมขลิบริมด้วยขนจิ้งจอกสีดำมาสวมเอง จากนั้นเดินออกไปข้างนอก แต่แล้วนางก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้

“เจ้าจิ้งจอกไปไหน ไฉนหมู่นี้ไม่เห็นหน้าเลย”

ชิวหวารีบเอ่ย

“เมื่อไม่นานมานี้ท่านกุนซือลาหยุด คงไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ใดสักแห่งกระมัง”

ชิวสุ่ยเงยหน้ามองท่านแม่ทัพอย่างคาดหวัง กล่าวเสริมขึ้นอย่างระแวดระวัง

“พักนี้เขาอารมณ์ไม่ดี อยากผ่อนคลายจิตใจเจ้าค่ะ”

เยี่ยเจาขมวดคิ้ว ออกคำสั่ง

“บอกเขาว่าพักผ่อนพอแล้วก็ไสหัวกลับมารายงานตัว”

ชิวสุ่ยทำปากขมุบขมิบอย่างกระวนกระวายใจคล้ายยังอยากพูดอะไรอีก ทว่าเยี่ยเจาออกนอกประตูไปแล้ว

กลางพายุหิมะ นางเดินมุ่งหน้าไปทางตะวันตกโดยไม่หยุดฝีเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว

 

ซย่าอวี้จิ่นซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใด

บบถนนสายตะวันตกของเมืองหลวง ตรงหัวมุมตรอกเปลี่ยวมีร้านเล็กๆ แคบๆ สกปรกมอซอร้านหนึ่ง ธงผ้ามีตัวอักษรคำว่าสุราเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบมันแขวนมาเนิ่นนานกี่ปีก็สุดรู้ สุนัขแก่นอนหมอบอย่างเกียจคร้านอยู่บนขั้นบันไดซึ่งมีตะไคร่น้ำเกาะเป็นสีเขียว อ่างไฟในร้านลุกโพลงแผ่ไออุ่นผะผ่าว เหนือเตาดินเผาใบเล็กกำลังตุ๋นเนื้อแพะหม้อหนึ่งอยู่ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ บรรยากาศสุขสงบราวกับเวลาหยุดเดินลงในชั่วเสี้ยวขณะนี้

เจ้าของร้านมีนามว่าเหล่าเกา ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น แลดูแก่ชราสมชื่อ เขาสวมเสื้อคลุมขนแพะเก่าขาด นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา

ฝั่งตรงข้ามใต้แสงไฟสลัวรางมีคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมหนังเตียว หรูหรา ในมือประคองเตาพก ลายดอกบัวใบหนึ่ง เรือนผมดำขลับดุจม่านน้ำตกถูกรวบขึ้น ใช้สายรัดไข่มุกสีม่วงเส้นหนึ่งมัดไว้รวมกันกลางท้ายทอยหลวมๆ ตามสบาย ผิวกายไร้ตำหนิเรียบเนียนปานหยก วงหน้างามคมขำราวกับรูปปั้นแกะสลัก ดวงตาเรียวยาวดั่งตากวางดำสนิทประหนึ่งม่านรัตติกาล เปล่งประกายสุกใสเจิดจ้า มุมปากประดับรอยยิ้มปราศจากเล่ห์กล

คนที่แสนจะผิดแผกแปลกแยกมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างสิ้นเชิง เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกประหลาดพิกลอย่างมาก หากแต่ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขากลับทำให้รู้สึกว่าไม่ประหลาดพิกลปานนั้นในเวลาเดียวกัน

เหล่าเกาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รินสุราให้เขาเต็มจอกอีกครั้ง

“ท่านอ๋องน้อย…ไม่สิ ตอนนี้ท่านเป็นหนานผิงจวิ้นอ๋องไปแล้ว คนที่เพิ่งเข้าพิธีมงคลใหญ่โตอย่างท่านหมกตัวอยู่ที่นี่ไม่กลับไปก็มิช่วยให้อะไรดีขึ้น จะอย่างไรท่านคงไม่อาจซ่อนตัวไปได้ชั่วชีวิตกระมัง”

“หนวกหู!” ซย่าอวี้จิ่นชะงักตะเกียบ มองอีกฝ่ายตาขวางแวบหนึ่ง “จะติงว่าข้ากินล้างกินผลาญเจ้าหรือไร ข้าชอบกินเนื้อแพะร้านนี้ก็เพราะให้เกียรติเจ้า อย่าลืมว่าเจ้ายังติดหนี้ข้าอยู่อีกเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดตำลึง หลายวันนี้ข้าเพิ่งกินเนื้อแพะไปห้าตำลึง แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ดื่มสุราชั้นดีของข้าไปยี่สิบตำลึงแล้ว!”

เหล่าเกาปากกล่าววาจาเกรงอกเกรงใจ ทว่าท่าทางปราศจากความยำเกรงแม้แต่น้อย เขาพูดกลั้วหัวเราะ

“มิบังอาจๆ ท่านมาเป็นลูกค้า ช่วยเชิดหน้าชูตาให้ร้านนี้ ต่อให้ท่านกินไปร้อยแปดสิบวันข้าก็ต้องต้อนรับขับสู้”

“เจ้าแค่อยากต้อนรับสุราของข้ามากกว่า”

ซย่าอวี้จิ่นเบะปาก ดื่มสุราเงียบๆ หลายคำ รับฟังเสียงด้านนอกซึ่งมีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างเงียบสงัด จากนั้นจึงเอ่ยชวนด้วยความคันไม้คันมือแกมเบื่อหน่าย

“เหล่าเกา มาเล่นกันอีกสักสองสามตา”

เหล่าเกาวางชามกับตะเกียบในมือลง ฉีกยิ้มกว้าง

“ได้”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวยิ้มๆ

“ฮ่า…ไม่กลัวเสียอีกหลายร้อยตำลึงหรือ”

“ข้าไม่กลัว ไม่ว่าติดหนี้เจ็ดร้อยตำลึงหรือเจ็ดหมื่นตำลึง ข้าไม่มีปัญญาชดใช้คืนทั้งสิ้น”

“ฮึ่ย!” ซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้ง ตบโต๊ะพลางกล่าววาจาข่มขู่ทีเล่นทีจริง “เจ้าชาวบ้านอวดดี! บังอาจล้อเล่นกับข้าเชียวรึ! ไม่มีปัญญาใช้หนี้ก็ลากลูกสาวเจ้าไปขายซะ!”

“ได้ ข้ากลัดกลุ้มเรื่องแต่งงานของนางจะตายอยู่แล้ว” ดวงตาทั้งคู่ของเหล่าเกาเป็นประกาย เขาปีติยินดีจนออกนอกหน้า “คราวนี้ขายให้เรือนของท่านผู้ตรวจการหวงหรือเรือนของท่านเสนาบดีจางดีล่ะ ท่านสมุหกลาโหมหลิวก็ได้นะ ข้าสอบถามมาแล้ว ล้วนเป็นตระกูลสุจริตทั้งนั้น กลั้นใจทำงานสักสองสามปี หาคู่ครองเป็นลูกจ้างหรือพ่อบ้านสักคนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง พอได้ปล่อยตัวกลับบ้านออกเรือนก็มีหน้ามีตาเหมือนกัน”

ซย่าอวี้จิ่นสะอึกกับวาจายอกย้อนของอีกฝ่ายจนแทบพ่นเนื้อแพะออกมา ฉวยโอกาสยามเมาอยู่สามส่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“ช่างเถอะ ลูกสาวเจ้าอวดเก่งปากกล้าจนขึ้นชื่อลือชา เจ้ายังคิดจะให้นางออกเรือนไปก่อความเดือดร้อนให้ผู้คนอีก หากมีคนไม่รักชีวิตกล้าแต่งนางเป็นภรรยา ข้าจะสมทบเงินให้เจ้าผีเคราะห์ร้ายนั่นยี่สิบตำลึง”

เหล่าเกาไม่รอให้เขากล่าวจบ ตอบกลับทันใด

“ข้าขอขอบคุณท่านที่จะช่วยสมทบสินเดิมเจ้าสาวแทนชุ่ยฮวาด้วย”

ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่เหล่าเกาพร้อมเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

“ฮึ! เป็นค่าทำขวัญให้เขาต่างหาก!”

“เหมือนกันๆ” เหล่าเกาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กล่าวอย่างมีอัธยาศัย “มาๆ กินเนื้อแพะอีกสองชิ้นเรียกขวัญกลับมา”

ซย่าอวี้จิ่นโมโหโทโสจนส่งเสียงถุยใส่เขาดังๆ

ดื่มเมรัยดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ คิดถึงสตรีที่บ้านซึ่งดุดันยิ่งกว่า เขาก็รู้สึกเพียงตัวเองเคราะห์ร้ายมากขึ้นจนอดทอดถอนใจมิได้

เหล่าเกาเห็นดังนั้นก็กล่าวหว่านล้อม

“จวิ้นอ๋อง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ท่านก็ปลงซะเถอะ ระบายอารมณ์พอแล้วก็สมควรกลับไปสักที”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงแข็ง

“ไม่กลับ ข้าไม่อยากพบหน้าหญิงผู้นั้น ข้าอายจนแทบจะสู้หน้าใครไม่ได้แล้ว”

“ท่านทำเรื่องขายหน้ามามากแล้ว เพิ่มเรื่องนี้อีกสักเรื่องก็ไม่ต่างกันเท่าไร”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยด้วยความอับอายจนพาลโกรธ

“เต็มใจขายหน้าเองกับคนอื่นบีบให้ขายหน้ามันคนละเรื่องกัน! ข้าดื่มเหล้าเมามายอยากเห่าตามอย่างสุนัขก็เพราะข้าพอใจ หากเป็นคนอื่นบังคับข้าเห่าตามอย่างสุนัขก็คือการหยามน้ำหน้า!”

“เจ้าคนที่ด่าท่านไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นก็ถูกท่านใช้แผนเซียนกระโดด เล่นงานปางตายแล้วมิใช่หรือ” เหล่าเกาเพียรเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “ท่านน่าจะได้ระบายโทสะพอสมควรแล้ว ยิ่งกว่านั้นท่านแม่ทัพก็เป็นยอดวีรสตรี แม้รูปร่างหน้าตาจะสมชายชาตรีไปสักหน่อย แต่เพ่งดูให้ดีกลับไม่เลวเหมือนกัน นางยักษ์ขมูขีตาเดียวบ้านข้าสิ นางโมโหร้ายเอาแต่ใจ ข้าแค่เหลียวมองหญิงสาวบนถนนนานหน่อยก็คว้าค้อนไม้ไล่ทุบข้าไปไกลสองถนน ข้าก็ยังอยู่ของข้ามาได้นานขนาดนี้”

ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ

เหล่าเกาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ตาแก่อย่างข้าอยู่มาหกสิบปี รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว อันว่าสตรีนี้สำคัญที่สุดคือคนที่ดีต่อท่านอย่างหมดจิตหมดใจและดูแลท่านด้วยน้ำใสใจจริง เรื่องอื่นอย่างรูปโฉมเอย นิสัยใจคอเอย ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น”

“นางดีต่อข้า? พระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตกกระมัง”

เหล่าเกาเอ่ยพร้อมรินสุราให้เขาอีก

“ยังไม่อยู่ด้วยกันจะรู้ได้อย่างไร”

ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ

“ข้าเป็นลูกผู้ชาย! บอกว่าไม่ก็คือไม่! ข้าไม่มีวันยอมถูกสตรีกดหัว!”

“กล่าวได้ดี หนานผิงจวิ้นอ๋องสมเป็นลูกผู้ชายโดยแท้!”

ม่านไม้ไผ่เก่าโทรมถูกเลิกขึ้นหลังเสียงตบมือดังก้อง ลมหนาวพัดกรูเข้ามาพร้อมบุรุษร่างผอมสูงแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย เสื้อตัวบนบุผ้าสองชั้นขลิบริมด้วยหนังเพียงพอนขนเงิน เขาสวมรองเท้าทรงสูง คลุมผ้าคลุมกันหิมะ ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความหนาว

รูปโฉมเขาดูเหมือนดาษดื่น แต่กลับดึงดูดสายตาอย่างมาก โดยเฉพาะยามที่ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ล่อหลอกนายพราน

“หูชิง?”

“พี่หูชิงมาแล้วหรือ รีบมาดื่มกันสักจอกเร็วเข้า”

ซย่าอวี้จิ่นให้เหล่าเกาหยิบจอกสุรามาอีกจอก

หูชิงสูดกลิ่นหอมที่อวลอยู่ในอากาศ ชิมเนื้อแพะคำหนึ่งพลางกล่าวยิ้มๆ

“ข้านับถือท่านจริงๆ ที่หาร้านเล็กๆ เช่นนี้พบได้ รสชาติชั้นหนึ่ง”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“แน่นอน ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้จะมีใครสันทัดเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่นยิ่งกว่าข้าได้ ของล่ะ?”

หูชิงยื่นมือไป มีขวดน้ำเต้าใบเล็กแขวนอยู่ที่ปลายนิ้วเรียวยาว เขาวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ดึงจุกขวดออก กลิ่นสุราหอมลอยฟุ้งออกมาเป็นระลอก

ซย่าอวี้จิ่นดมๆ ดูแล้วกล่าวชม

“เป็นนารีแดงที่ฝังไว้ใต้ดินสิบแปดปีของหอมองตะวันตรงมุมถนนตะวันออกจริงๆ ท่านมิต้องวางอำนาจข่ม เถ้าแก่จอมตระหนี่นั่นถึงกับหักใจขายให้ คงต้องมีกลเม็ดเด็ดพรายไม่เบา”

หูชิงแบมือไปตรงหน้าเขา

“กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย”

“นึกว่าข้าจะโกงท่านหรือ” ซย่าอวี้จิ่นล้วงแขนเสื้อครู่ใหญ่ ดึงตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงใบหนึ่งออกมาวางแปะลงบนฝ่ามือเขา จากนั้นก็ถามขึ้นอีก “จะเล่นลูกเต๋ากันอีกสักสองสามตาหรือไม่”

หูชิงโคลงศีรษะ

“คนฉลาดย่อมรู้จักประมาณตน ฝีมือเขย่าลูกเต๋าของข้าเทียบท่านไม่ได้ พนันไปก็เท่านั้น”

นารีแดงล่วงผ่านลำคอ ขับไล่ไอหนาวไปสิ้น

ชนจอกผ่านไปสามรอบ ต่อให้เป็นพวกคอทองแดงอย่างซย่าอวี้จิ่น ใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำ เขาพ่นไอสีขาวจางๆ ออกจากปากสองครั้ง ขดตัวอยู่ในเสื้อคลุมหนังเตียวจนเป็นก้อนกลม ดวงตาฉ่ำปรือมองหิมะพลิ้วลอยนอกหน้าต่าง หวนคิดถึงร่างสีแดงยืนเหยียดหลังตรงกลางหิมะเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ในใจแสนจะกลัดกลุ้ม เขาทอดถอนใจอย่างสุดระงับ

หูชิงเอ่ย

“ท่านเมาแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่งโบกไปมา กล่าวอย่างหดหู่

“ท่านบอกมาซิ เหตุใดคนผู้นั้นถึงได้ดึงดันนัก”

หูชิงถาม

“ผู้ใด”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเองตอบเองราวกับไม่ได้ยินคำพูดเขา

“นางแต่งงานกับข้าไม่ได้ประโยชน์อะไรสักนิด มันก็เป็นแค่การรักษาพระพักตร์ของจักรพรรดิเท่านั้น…ข้าทำเรื่องเหลวไหลในคืนวันแต่งงาน ขอแค่นางฉวยโอกาสทุบตีข้าสักตั้ง เอะอะตึงตังสักสองปีก็ตกลงหย่ากันได้แล้ว ข้าคิดแล้วไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”

“จิตใจนางยากจะอ่านออก บางทีนางอาจพึงใจในรูปโฉมของท่าน ไม่ก็เห็นว่าท่านบงการได้ง่าย”

“ใช่! พูดจามีเหตุผล” ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้าด้วยอาการมึนเมา เริ่มพูดจาสับสนเพ้อเจ้อ “ต้องเป็นเพราะใบหน้าข้าสวยงามเกินไปแน่ถึงตรงกับความชอบของนางขุนโจรพอดี”

หูชิงพยักหน้าอย่างเห็นใจ

“สตรีล้วนหาดีมิได้สักคน”

ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาเงยหน้าถาม

“สหาย แล้วแม่เสือของท่านล่ะ จะอย่างไรก็น่าจะดีกว่าคนที่บ้านข้ากระมัง”

หูชิงเอ่ยพลางยิ้มฝืด

“ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”

ซย่าอวี้จิ่นยันกายขึ้น กวาดตามองหูชิงขึ้นๆ ลงๆ อย่างแปลกใจ เอ่ยแบบปากไม่มีหูรูด

“ท่าทางท่านจะแก่กว่าข้าสองปี แม้จะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยต่ำต้อยไม่ใคร่ได้เรื่องเท่าไรก็นับว่าเป็นขุนนาง จะไร้คู่ได้อย่างไร เอ๊ะ หรือท่านมีความลับคับอกยากจะเอ่ย ไม่ต้องกลัว ข้ารู้จักหมอยุทธภพที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ยาบำรุงพลังหยางของเขามีสรรพคุณเป็นเลิศ อีกประเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปหาเขา”

“มิใช่” หูชิงถูกเจ้าขี้เมาผู้นี้ทำเอากระอักกระอ่วนใจไปหลายส่วนจึงอธิบาย “สตรีที่ข้าพึงใจออกเรือนไปแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเหยียดหยาม

“สตรีมากรักหลายใจพรรค์นี้ได้มาก็เท่านั้น”

หูชิงส่ายหน้า

“นางออกเรือนตามคำสั่งบิดามารดา ซ้ำยังแต่งงานกับไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่ง”

“อุวะ! บิดามารดานางตาต่ำยิ่งกว่าตาตุ่มหรือไร ลูกเขยดีๆ อย่างท่านกลับไม่เอา จำเพาะต้องไปเลือกไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่ง” ซย่าอวี้จิ่นตบอก เอ่ยอย่างมีคุณธรรมน้ำมิตร “อย่าได้เสียใจไป! ไว้ข้าจะคิดหาหนทางให้ท่านเอง ใช้แผนเซียนกระโดดกับสามีนาง ส่งหญิงงามไปยั่วยวน ปอกลอกสมบัติเขาให้สิ้นเนื้อประดาตัว ดักรุมทุบตี ก่อกวนให้สามีภรรยาหย่าขาดจากกันให้ได้ จนกว่าท่านจะได้ตัวนางมาเป็นภรรยา”

หูชิงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“วันหลังค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ตอนนี้ท่านเที่ยวหลบซ่อนตัวไปทั่วก็มิได้อยู่สบายนัก มาคิดหาวิธีให้ท่านกลับไปรับหน้าท่านแม่ทัพกันก่อน”

“รับหน้าอะไรกัน ท่านก็ดูแคลนข้าเช่นกันหรือ” ใบหน้าขาวกระจ่างของซย่าอวี้จิ่นแดงก่ำ เขาโวยวายเสียงกร้าว “ข้าไม่กลัวแม่เสือคนนั้นหรอก กลับไปต้อง…หย่ากับนางให้ได้!”

หูชิงโคลงศีรษะ

“ค่อยเป็นค่อยไป อย่าหุนหัน”

ขณะที่การร่ำสุรากำลังได้ที่ บทสนทนากำลังออกรสออกชาติ ม่านไม้ไผ่พลันถูกผลักเปิดอย่างแรง เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามา ใบหน้าที่เรื่อแดงจากการออกแรงวิ่งมีหยดเหงื่อผุดซึม เขาตะโกนกระหืดกระหอบ

“ลูกพี่! ท่านแม่ทัพบุกมาแล้ว!”

ซย่าอวี้จิ่นตกใจจนลุกขึ้นจากเตียงเตา เขาสร่างเมาไปกว่าครึ่ง รู้สึกใจคอไม่ดี

เหล่าเกาซึ่งสัปหงกอยู่สะดุ้งตื่นขึ้น เห็นซย่าอวี้จิ่นตื่นตระหนกก็ช่วยพูดเรียกสติ

“จวิ้นอ๋อง ท่านปีนกำแพงหนีไปทางด้านหลังเถอะ”

“ใช่! หนีก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” ซย่าอวี้จิ่นล้วงเงินตำลึงสองก้อนจากอกเสื้อ ตกรางวัลให้เด็กชายที่คาบข่าวมาบอกอย่างง่ายๆ แล้วออกคำสั่ง “เจ้าทำได้ดีมาก หาวิธีใดก็ได้ไปหน่วงเหนี่ยวนางไว้อีกชั่วครู่”

“ขอรับ!”

เด็กชายได้รับคำสั่งก็ปาดน้ำมูกทิ้ง หันหลังวิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ

ซย่าอวี้จิ่นสวมเสื้อคลุมตัวนอก ถือเตาพกทะยานไปด้านหลังเรือน จะตะกายป่ายปีนขึ้นกำแพง แต่ด้วยความลุกลี้ลุกลนกอปรกับเสื้อผ้าหนาหนัก มือเท้าแข็งทื่อเพราะความหนาวเย็น เขากระเสือกกระสนอยู่หลายครั้งก็ปีนไม่ขึ้น

เหล่าเการีบเร่งให้เขาอาศัยบ่าตนเป็นฐานเหยียบขึ้นไป

หูชิงเดินตุปัดตุเป๋ตามมา ชี้นิ้วไปทางประตูหน้า พูดพลางยิ้มร้ายกาจ

“หากข้าเป็นท่านจะพุ่งออกไปทางประตูหน้า”

“เหลวไหล! เห็นข้าเป็นพวกปัญญาทึบหรือไร”

ซย่าอวี้จิ่นหันหน้ามาเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ

หูชิงโคลงศีรษะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กระดกจอกสุราดื่มอีกอึกแล้วสาวเท้าเดินเอ้อระเหยลอยชายกลับไป

ซย่าอวี้จิ่นกระโดดลงจากกำแพงอย่างว่องไว แต่แล้วก็รู้สึกถึงคลื่นพลังระลอกหนึ่งที่คุกคามเข้ามา

เขาแหงนศีรษะขึ้นช้าๆ แสงแดดเล็ดลอดผ่านเมฆหนาทึบ เงาร่างสายหนึ่งทอดยาวบนพื้นหิมะ เสื้อคลุมสีดำปลิวไสวกลางลมหนาว

ห่างออกไปไม่ไกลนัก เยี่ยเจายืนกอดอก บนผมมีละอองหิมะเกาะอยู่เต็ม นางยืนอยู่มุมถนนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ดวงตาทั้งคู่หลุบลงเล็กน้อย ริมฝีปากพ่นไอสีขาวออกมาเบาๆ หลายระลอก คล้ายรอคอยมาพักใหญ่แล้ว

ปัดโธ่! นางเดาได้อย่างไรว่าเขาจะปีนกำแพง

ซย่าอวี้จิ่นไม่หยุดคิดใคร่ครวญ หันหลังกลับหมายจะวิ่งหนีไปในทิศทางตรงข้าม ทว่าเขาเพิ่งย่างเท้าก้าวแรก เยี่ยเจาก็ลืมตาขึ้น เอ่ยเนิบนาบ

“สามปีก่อนวิชาตัวเบาของข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว”

ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ สกัดทางหนีทั้งหมดไว้ เขาชักเท้าที่สืบขึ้นหน้ากลับมาอย่างสิ้นหวัง กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง

นางทิ้งมือลงข้างตัว เดินมาหาเขา

ซย่าอวี้จิ่นนึกอยากถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พลันประจักษ์ได้ว่าท่าทางแตกตื่นของตนไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เขาจึงยืดอกเอ่ยถามอย่างตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ถึงถูกทุบตีก็จะไม่ยอมเสียหน้า

“เจ้ามาทำอะไร”

เขาอยากวางท่าหยิ่งทะนงอย่างมาก กระนั้นความหนักแน่นในน้ำเสียงยังไม่ค่อยจะเพียงพอนัก

เยี่ยเจาหาได้ใส่ใจ นางเดินเข้าไปจนอยู่ห่างจากเขาสามก้าวก่อนจะชะงักเท้าลงพูดเสียงเบาอย่างลังเล

“กลับบ้านเถอะ”

ซย่าอวี้จิ่นทำคอแข็งเชิดหน้า

“ข้าไม่อยากกลับ”

เยี่ยเจากล่าวอย่างไม่ร้อนรน

“ท่านแม่สั่งให้ข้ามาตามท่านกลับไป นางเป็นห่วงท่านมาก”

“ฮะ“ ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านแม่ให้เจ้ามาตาม เจ้าก็มาแต่โดยดี?”

เยี่ยเจาพยักหน้า

“ใช่”

ซย่าอวี้จิ่นถามอีก

“ถ้าท่านแม่ไม่ให้เจ้ามาตาม เจ้าก็จะไม่มาตามชั่วชีวิต?”

เยี่ยเจากำสองมือแน่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเช่นเดิม

“ใช่”

นางจะบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นห่วงเขาอย่างสิ้นเชิงกระมัง

ภรรยาเช่นนี้ใส่ใจเขามากเกินไป เป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีกันอย่างยิ่ง

แต่ครั้นภรรยาเช่นนี้ไม่ใส่ใจเขาเลย เขาก็ไม่พอใจอยู่สักหน่อยเหมือนกัน

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกแปลกๆ ในใจ เขารีบสลัดความรู้สึกกระอักกระอ่วนออกไป แลมองกำปั้นที่กระดูกข้อนิ้วกำลังส่งเสียงลั่นเปาะๆ น่ากลัวของอีกฝ่าย รู้ดีแก่ใจว่าถึงติดปีกบินก็ยากจะหนีพ้น เขาจึงได้แต่ยอมจำนนไปก่อน

“เกี้ยวล่ะ?”

“จะเอาของพรรค์นั้นมาทำอะไร”

เยี่ยเจางงงันไปชั่วครู่

ซย่าอวี้จิ่นโมโหจนแทบกระอักโลหิต

“หิมะตกหนักออกปานนั้น! พื้นก็ลื่นออกปานนั้น! ทางก็ไกลออกปานนั้น! เจ้าจะให้ข้าเดินกลับไปหรือ”

“ถนนแค่ห้าสายเท่านั้นเอง”

ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมีบุรุษที่แม้แต่ระยะใกล้เท่านี้ยังเดินไม่ไหว นางอดกวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ ซ้ำอีกครั้งมิได้

“ถึงเจ้าจะเก่งกาจผิดมนุษย์มนาก็อย่านึกว่าผู้อื่นผิดมนุษย์มนาเหมือนเจ้า!” ซย่าอวี้จิ่นสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูหมิ่นตน ไฟโทสะพลุ่งขึ้นกลางอกเป็นคำรบที่สอง “ข้าไม่เดินเสียอย่างจะมีอะไรไหม ไปตามเกี้ยวมา!”

“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านคลาดสายตาข้าไปได้”

เยี่ยเจาผิวปากเสียงแหลมสูง อึดใจเดียวอาชาพ่วงพีสีขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะตัวหนึ่งก็วิ่งเหยาะย่างเข้ามาอย่างสง่างาม

“ขึ้นไป”

นางรั้งสายบังเหียน จัดอานม้าให้เข้าที่

“ช้าก่อน! เจ้าตั้งใจจะให้ข้าขี่ม้า ส่วนเจ้าเดินอยู่ด้านล่าง?”

“อืม ก็ข้าเก่งกาจผิดมนุษย์มนานี่”

คนสองคน ม้าหนึ่งตัว

แม่ทัพขี่ม้า จวิ้นอ๋องเดินตามหลัง น่าเกลียดเกินไป

บุรุษขี่ม้า ภรรยาเดินตามหลัง น่าอายเกินไป

สองคนขี่ม้าด้วยกันยิ่งน่าหวาดผวาว่าจะถูกฟ้าผ่าเอาได้

ในใจซย่าอวี้จิ่นขัดแย้งกันอย่างหนักอีกครั้ง เขายืนปักหลักอยู่ที่เดิม ถึงถูกตีตายก็ไม่ยอมไปที่ใดแล้ว

บทที่ 3

ย่ำหิมะเป็นยอดอาชาพันลี้ฝีเท้าจัดตัวหนึ่ง ติดตามเยี่ยเจาออกรบตั้งแต่เยาว์วัย ฟันฝ่ามรสุมมากมายมาด้วยกันจึงมีความผูกพันกันลึกซึ้ง

ยามนี้มันกำลังดีดขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ พ่นลมหายใจฟืดฟาดใส่หน้าซย่าอวี้จิ่นสองครั้งด้วยท่าทียโส จากนั้นก็เอาจมูกถูไถฝ่ามือเยี่ยเจาอย่างออดอ้อนว่าง่าย แสดงท่าทางนายบ่าวรักใคร่กันอย่างเห็นได้ชัด

เยี่ยเจาลูบแผงคอม้าเรียบลื่นแล้วป้อนน้ำตาลก้อนเล็กใส่ปากมันก้อนหนึ่ง มองซย่าอวี้จิ่นทำสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

เขาบัดเดี๋ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บัดเดี๋ยวกลัดกลุ้มหน้าเศร้า บัดเดี๋ยวโมโหหน้าบึ้ง บัดเดี๋ยวขัดเคืองหน้างอ บัดเดี๋ยวหดหู่หน้าม่อย แพขนตายาวบนใบหน้าสวยหลุบลง ซ่อนนัยน์ตาคู่งามที่หลุกหลิกกลอกกลิ้งไปมาและลอบมองนางเป็นระยะ คล้ายกำลังคิดแผนการร้ายใดอยู่ ดูแล้วน่าสนุกเป็นอย่างยิ่ง

เขาเหมือนกับตัวเตียวม่วง* ที่ภูเขานั่วอันถ่าตัวนั้นซึ่งถูกนางไล่ต้อนเข้าทางตันและพยายามหาวิธีหนีฝ่าวงล้อม แล้วก็เหมือนกับม้าป่าพยศในทุ่งหญ้าฮูเอ่อร์เฮ่า

ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์หรือฝึกสัตว์ให้เชื่องล้วนสร้างความหฤหรรษ์และชวนให้คันหัวใจยิบๆ ยากจะทานทน น่าเสียดายที่คนตรงหน้ามิใช่ทั้งเตียวม่วงและม้าป่า หากแต่เป็นสามีนาง ดังนั้นนางจะใช้อุบายใดก็ไม่ได้ทั้งสิ้น

เยี่ยเจามองดูอีกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย

“ไปเถอะ”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม เยี่ยเจาจึงถาม

“เหตุใดไม่ไป”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าอีก ข่มใจอยู่นานกว่าจะปริปากออกมาได้สองคำ

“ขายหน้า”

เยี่ยเจาคาดคั้นไม่ได้ความอื่นใดจึงได้แต่เดาเอาเอง

เมื่อก่อนตอนอยู่ในค่ายทหาร นางใช้ชีวิตง่ายๆ นอกจากเสี่ยงตายแล้วหามีเรื่องอื่นใด ข้างกายล้วนเป็นชายฉกรรจ์โผงผางหยาบคาย มีกลิ่นเหงื่อกลิ่นสุราติดตัว พูดกันได้ไม่กี่คำเป็นต้องไม่ลืมทักทายมารดาอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำอ่านออกได้ง่ายดาย ยามคึกคักคือกำลังคิดถึงสตรี ยามเศร้าสร้อยคือกำลังคิดถึงครอบครัว ยามโกรธเกรี้ยวคือกำลังคิดถึงข้าศึก ยามกลัดกลุ้มโดยมากคือผลาญเบี้ยเลี้ยงหมดแล้ว

ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ทางราชสำนักส่งมาตรวจการกลับมีความคิดอ่านยอกย้อนอยู่บ้าง ซ้ำยังรู้จักเล่นลูกไม้พลิกแพลง กระนั้นก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อเงินทอง อำนาจ และความดีความชอบ หากนางสั่งยาถูกโรค เข้าหาถูกทางก็มิใช่เรื่องยากจะรับมือ

นางทำตัวเยี่ยงบุรุษและคลุกคลีตีโมงกับบุรุษมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นนางมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจจิตใจบุรุษอย่างมาก

ครั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือหิมะ อาชาพ่วงพี ร่างกายอ่อนแอ ความในใจยากจะเอ่ย เงื่อนไขสี่ประการนี้รวมกันเข้า คำตอบจะต้องเป็น…เจ้าย่ำหิมะสูงใหญ่เกินไป ซย่าอวี้จิ่นมือไม้เก้งก้างงุ่มง่ามจึงปีนขึ้นไปมิได้!

เยี่ยเจาถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง นางอย่าเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายให้เป็นที่อับอายของเขาจะดีกว่า

ซย่าอวี้จิ่นเห็นเยี่ยเจาโคลงศีรษะ จากนั้นนางก็เดินมาหาแล้วเหยียดสองมือจับไหล่เขาไว้ ร่างเขาเหินลอยขึ้นทันควัน ตามติดมาด้วยความรู้สึกหมุนคว้าง ลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าม้าตัวนั้นยังคล้ายชายตามองเหยียดเขาแวบหนึ่งด้วย

นางตบบั้นท้ายม้าโดยไม่รอให้เขาอ้าปากตอบโต้ ย่ำหิมะออกวิ่งโจนทะยานไปบนพื้นหิมะสีขาวเวิ้งว้างดุจธนูหลุดจากแล่ง เลี้ยวตรงหัวมุมตรอก มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงอย่างคุ้นเคยชำนาญ

“ผิดทางแล้ว!”

เยี่ยเจาตวาด ย่ำหิมะหันตัวกลับอย่างเยือกเย็นก่อนจะห้อตะบึงไปยังวังอันอ๋อง

 

หิมะโปรยปราย ผู้คนบนถนนบางตา

ซย่าอวี้จิ่นกอดคอม้า สายลมหนาวเหน็บดุจคมดาบพัดกรูผ่านคอเสื้อปะทะผิวแก้มจนรู้สึกแสบตึงทรมานอย่างบอกไม่ถูก

เขาแหงนศีรษะขึ้น แลเห็นเงาร่างสีดำโฉบผ่านไป

เป็นเยี่ยเจาใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนชายคา นางถีบเท้ากับพื้นดีดตัวขึ้นสู่เวหา เสื้อคลุมแผ่กางออกตามแรงลม ราวกับนกกระเรียนฟ้าแสนสง่าโบยบินอยู่กลางอากาศก็ไม่ปาน นางไล่ตามฝีเท้าม้ามาอย่างไม่เร่งร้อนประหนึ่งว่ามีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ

ท่ามกลางความงุนงง อาชาฝีเท้าจัดหยุดนิ่งพร้อมนกกระเรียนฟ้าร่อนลงดิน

ซย่าอวี้จิ่นเสมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน เขามองดูประตูใหญ่สีแดงเข้มของวังอย่างตะลึงลาน ผลักมือเยี่ยเจาที่ยื่นมาออกแล้วรีบไถลตัวลงจากหลังม้า ห่อตัวย่นคอที่หนาวเยือก แข็งใจเอ่ยขึ้น

“มะ…มีใครที่ไหนกันใช้วิชาตัวเบาไปไหนมาไหนในเมือง มะ…ไม่เข้าท่าสิ้นดี!”

เยี่ยเจาปัดเกล็ดหิมะบนร่างออก กล่าวย้ำคำเดิม

“ก็ข้าเก่งกาจผิดมนุษย์มนานี่”

เขาฟังแล้วหนังตากระตุกริกๆ รีบแอบมองแวบหนึ่งว่านางกำลังโมโหหรือไม่

สีหน้านางมิได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร เพียงกำชับพวกเด็กรับใช้ให้จูงย่ำหิมะไปที่คอกแล้วดูแลให้ดี จากนั้นก็ทำท่าผายมือเชิญเขาไปทางประตูใหญ่

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกสองขาหนักอึ้งอยู่บ้าง รีๆ รอๆ ไม่ก้าวเท้าออกเดินสักที

เยี่ยเจาถาม

“หรือต้องให้ข้าโยนท่านเข้าไป?”

“ไปให้พ้น! ข้ามีขาเดินเองได้!” สีหน้าของซย่าอวี้จิ่นบึ้งตึงขณะกล่าวต่อท้าย “แล้วข้าก็แน่จริงด้วย!”

ซย่าอวี้จิ่นเดินเชิดหน้าคอแข็งเข้าไปในวัง เยี่ยเจาเดินตามหลังไปติดๆ เพ่งมองเขาเดินผ่านระเบียงทางเดินไปคารวะมารดาที่เรือนบ่มใจ

วรชายาอันไท่เฟยเห็นบุตรชายคนเล็กกลับมาอย่างปลอดภัยก็ปลื้มปีติสุดระงับ ไม่นำพาสีหน้าบูดบึ้งของเขา

นางเช็ดน้ำตาออกทันใดแล้วปรี่เข้าไปไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ลูบหน้าเขาพลางกุลีกุจอสั่งเยี่ยเจา

“ไม่เห็นหรือว่าสามีเจ้าผ่ายผอมลงไปแค่ไหน น่าจะไปเตรียมของกินมาให้เขาบำรุงร่างกายมากๆ ดูสิ ดูใบหน้ารูปไข่นี่สิ ซูบลงจวนเจียนจะกลายเป็นใบหน้ารูปแตงกวาอยู่แล้ว”

“เอ๊ะ? เขาผอมลงหรือ”

เยี่ยเจายืนอยู่ด้านข้างอย่างเบื่อหน่าย ครั้นได้ยินแม่สามีเอ่ยถามก็รีบยืดตัวตรง มองดูรูปร่างของซย่าอวี้จิ่นแล้วมองดูฝ่ามือตัวเองอีกครั้งเป็นเชิงคะเนน้ำหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบตามสัตย์จริง

“เขาน่าจะหนักสักร้อยสามสิบชั่ง กระมัง หนักกว่าขวานหน้าผีสำริดของข้าอยู่บ้าง ไม่นับว่าผอม”

วรชายาอันไท่เฟยกับซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้งพร้อมกัน

เยี่ยเจาหุบปาก แสร้งเป็นท่อนไม้ต่อไป

ไม่ง่ายเลยกว่าซย่าอวี้จิ่นจะหยุดการพูดพร่ำพรรณนาของมารดาได้ เขาเดินไปยังห้องหนังสือพร้อมกำชับบ่าวรับใช้ให้ขนย้ายที่นอนหมอนมุ้งมาทั้งหมด ประกาศความตั้งใจที่จะแยกห้องนอนอย่างเด็ดขาด

เมื่อเขาหันหน้ากลับไปก็เห็นเยี่ยเจาเดินตามหลังมาอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายมีเรื่องอยากพูด เขาจึงชะงักฝีเท้า เอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

นางยกสองมือกอดอก กล่าวเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้กลับไปเยี่ยมบ้านข้าด้วยกัน”

เวลานี้เขาเพิ่งตระหนักว่าดูเหมือนตัวเองจะลืมเรื่องนี้ไป กระนั้นเขากลับพูดเสียงกระด้างดุจเดิม

“เวลาก็ผ่านไปแล้ว ยังจะกลับไปทำไม”

“ข้าบอกพวกเขาว่าท่านป่วยหนักลุกจากเตียงไม่ไหว ขอผัดวันไปก่อน”

“พวกเราทำจนเรื่องวุ่นวายอย่างนี้กลับไปก็เท่านั้น”

“ไม่ได้” นางเอ่ยอย่างขึงขัง “พวกเราไม่เพียงต้องกลับไป ข้ายังหวังว่าท่านจะแสร้งทำท่าว่าพวกเรากลมเกลียวกันอย่างสุดความสามารถ อย่าได้ก่อความวุ่นวายที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง”

เขาเอียงคอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามยิ้มๆ

“อาศัยอะไร”

“ท่านทวดความจำเลอะเลือนแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาเป็นห่วง”

“เจ้าวิตกมากหรือ”

“พวกเรามาพูดกันอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาเถอะ” นางนั่งบนเก้าอี้ยาวตรงระเบียงทางเดิน กล่าวเป็นเชิงยอมรับ “ข้ารู้ว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นภรรยาที่ดี การแต่งงานนี้ทำให้ทุกคนอึดอัดคับใจ ทั้งยังเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งที่เราสองคนจะเข้ากันได้ ดังนั้นข้าไม่ตั้งใจจะบีบบังคับให้ท่านทำสิ่งใด วันหน้าต่างคนต่างอยู่ ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ไม่ว่าท่านจะดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา เล่นพนัน รับอนุภรรยาเลี้ยงนางบำเรอ ข้าล้วนไม่ข้องแวะ ท่านไม่ให้เกียรติข้าได้ แต่จะต้องไว้หน้าครอบครัวข้าบ้าง”

“ไว้หน้า? ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่ใส่ใจมันเลยสักนิด!”

เขาคิดถึงเรื่องคับแค้นใจขึ้นมาก็เหยียดมุมปากออกยิ้มเยาะตัวเองพลางก้มหน้าลง

เยี่ยเจาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ

“สกุลเยี่ยประจำการที่โม่เป่ยสืบกันมาทุกรุ่น หลังจากเมืองแตกถูกฆ่าล้างตระกูล ท่านทวดอยู่ที่เมืองหลวงรู้ข่าวก็โกรธแค้นเสียใจจนสติฟั่นเฟือนและไม่หายดีตราบจนตอนนี้ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่พาพวกหลานชายกลับไปเยี่ยมบ้านถึงรอดพ้นเคราะห์ร้ายไปได้ นางครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เลี้ยงลูกดูแลเหย้าเรือน มีพระคุณต่อสกุลเยี่ยดุจขุนเขา…พวกเขาเป็นญาติสายเลือดเดียวกันที่หลงเหลืออยู่ของข้า ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องรู้สึกอับอายเพราะข้า”

“ดูไม่ออกเลยว่าท่านแม่ทัพกระดูกเหล็กก็มีเรื่องที่ใส่ใจอยู่เช่นกัน” กลางอกของซย่าอวี้จิ่นคล้ายถูกบีบรัดเบาๆ คราหนึ่ง แต่ครั้นมองเห็นใบหน้าเฉยชาของนางแล้วเขาก็อดทำใจแข็งกล่าวขึ้นมิได้ “แม้เจ้าจะใส่ใจ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใส่ใจ!”

“บัดซบ!” เยี่ยเจาเดือดดาลหนัก เอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบอย่างที่สุด “ไหนท่านพูดอีกครั้งซิ”

ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างแข็งกร้าว

“พูดก็พูดสิ! ข้าไม่ใส่ใจ!”

นางจู่โจมฉับพลัน ตรึงร่างเขากับเสาศิลาเขียวอย่างดุดันและกระซิบที่ริมหู

“อย่าได้เมินเฉยต่อคำเตือนของข้า”

ซย่าอวี้จิ่นพยายามดิ้นขัดขืน กลับขยับตัวมิได้ เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโห

“เจ้า…เจ้าไม่กลัว…”

“แผ่นดินนี้ผู้ใดกล้าไม่ไว้หน้าพวกเขา ข้าจะไม่ไว้หน้ามันผู้นั้น!”

นางตัดบท กวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกรอบแล้วหยักยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วฉายแววเหี้ยมเกรียมรางๆ ละม้ายคล้ายสัตว์ป่าที่หมายกลืนกินเหยื่อ ฟันขาวราวหิมะเป็นประกายวาววับเย็นเยียบ

“อย่าได้เล่นลูกไม้เชียวนะ สมัยที่ข้าเป็นนักเลงหัวไม้ที่โม่เป่ย ท่านเตร็ดเตร่อยู่แถวไหนยังไม่รู้เลย”

ซย่าอวี้จิ่นปวดแปลบที่ข้อมือเป็นระลอก เขาทนเจ็บจนเหงื่อผุดเต็มหน้า จำต้องกัดฟันตอบรับ

“ได้ๆ ข้าตกลง ปล่อยมือสิ!”

เยี่ยเจาคลายมือออกช้าๆ แล้วซัดไปที่เสาอย่างแรงทีหนึ่งก่อนจะหมุนกายจากไป

ซย่าอวี้จิ่นดึงสติที่หลุดลอยไปคืนมา ผินหน้าช้าๆ เห็นบนเสาศิลาเขียวของระเบียงทางเดินมีรอยฝ่ามือลึกครึ่งชุ่น ติดอยู่ พอสายลมโชยมาก็หอบเอาเศษหินที่แหลกเป็นผุยผงม้วนตัวลอยฟุ้งไป

 

ย่ำรุ่งวันต่อมา ซย่าอวี้จิ่นถูกเยี่ยเจาบังคับขู่เข็ญเร่งให้ตื่นนอนแต่เช้าโดยมีนางโจรสองคนจับตาดู

เขาสวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน ติดกระดุมไข่มุก รวบผมขึ้นกลางศีรษะแล้วครอบด้วยมาลาไข่มุกสีเดียวกัน มีเชือกไหมยาวสีแดงห้อยกระดุมหยกขาวอยู่สองข้าง จากนั้นเขาก็กอดเตาพกเอาไว้ อ้าปากหาว ก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวหลังงามสีเหลืองประดับม่านบังสีแดง มีปลายยอดหลังคาสีเงิน เอนหลังพิงตั่งบุนวมงีบหลับต่อไป

ฝ่ายเยี่ยเจาสวมเสื้อคลุมยาวบางๆ ลายเมฆสีเขียวดอกบัวกับรองเท้ากันหิมะสีเข้ม เรือนผมถูกรวบขึ้นแล้วใช้ปิ่นหยกสลักลายพยัคฆ์ปักไว้ง่ายๆ

นางเอามือแตะกระบี่วารีกระจ่างตรงเอวเป็นระยะพลางเขม้นมองชายหนุ่มซึ่งไม่เดือดเนื้อร้อนใจเบื้องหน้าด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงตื่นตัว ด้วยไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมโอนอ่อนอย่างว่าง่าย กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน

เกี้ยวหลังงามหยุดลง ซย่าอวี้จิ่นถูกตีเบาๆ หลายทีก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น สีหน้าเขาบูดบึ้งดุจเดิม

เยี่ยเจายังคงจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

สกุลเยี่ยไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับทั้งคู่จึงเป็นหัวหน้าพ่อบ้านหลายคนที่มาเข้าแถวต้อนรับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากซย่าอวี้จิ่นเดินหน้ามุ่ยลงจากเกี้ยวแล้วมองไปรอบๆ ใบหน้าเขาพลันผลิยิ้มเจิดจ้ากว่าแสงตะวันออกมา กิริยาท่าทางก็สุภาพอ่อนโยน หากมิใช่คนที่รู้จักมักคุ้นคงต้องรู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่จิตใจดีงามเหลือล้นผู้หนึ่ง

เขายังมายืนเคียงข้างเยี่ยเจาอีกด้วย แม้ไม่มีการโอบประคอง แต่ดูแล้วสนิทสนมกันดี

คนสกุลเยี่ยที่ออกมาต้อนรับล้วนระบายลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก แย่งกันเสนอหน้าเข้าไปคารวะทักทายท่านเขย ซ้ำยังแอบชำเลืองมองเขาทั้งซ้ายขวาไปด้วย ราวกับอยากมองเห็นอะไรที่ผิดสังเกตเพื่อกลับไปรายงาน

ซย่าอวี้จิ่นถูกมองจนนึกฉงน ถือโอกาสระหว่างเดินไปยังโถงใหญ่ลอบถามเยี่ยเจา

“หายเงียบไปนานกว่าจะกลับมา พวกเขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่ดีต่อเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียง “อืม” สั้นๆ

“ใช่ที่ไหนกัน” ชิวหวาปากไวชิงสอดปากพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่ม “พวกเขาเป็นห่วงมาโดยตลอดว่าท่านแม่ทัพจะซ้อมท่านจนลุกจากเตียงไม่ไหวในคืนวันแต่งงานเลยวิตกกันแทบแย่ต่างหาก ตอนนี้เห็นท่านปลอดภัยสบายดีถึงได้คลายใจในที่สุด เฮ้อ…ท่านช่างไม่รู้เสียเลยว่าทุกคนลือกันว่าอย่างไร”

“หุบปาก” เยี่ยเจารีบตะคอกปราม “เมื่อก่อนข้าปล่อยปละละเลยเกินไปทำให้พวกเจ้านับวันยิ่งไร้สัมมาคารวะขึ้นทุกที”

ชิวหวาเบะปากไม่เอ่ยอะไรอีก

ซย่าอวี้จิ่นหน้าเสีย

“พวกเขาลือกันว่าอย่างไร”

เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ท่านอย่ารู้จะดีกว่า”

ในโถงใหญ่ ผู้เฒ่าเยี่ยผมสีดอกเลาทั้งศีรษะถือไม้เท้าหัวมังกรในมือ นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ไท่ซือ แลเห็นทั้งคู่เข้ามาก็คิดไปถึงข่าวลือ เงื้อไม้เท้าเคาะกลางกระหม่อมเยี่ยเจาทันควันแล้วดุสั่งสอน

“ตั้งแต่เล็กจนโตรู้จักแต่วิวาทใช้กำลัง! ไม่ดูเสียบ้างว่าคนอื่นบอบบางอ่อนแอ ยังรังแกได้ลงคอ! เสียชาติเกิดจริงๆ!” จากนั้นเขาเอ่ยกับซย่าอวี้จิ่นอย่างสนิทสนม “ถ้าอาเจาดุร้ายกับเจ้าเกินไปก็มาฟ้องข้าได้ ข้าจะทุบเขาให้น่วมเป็นหัวหมูเลยคอยดู!”

ใบหน้าซย่าอวี้จิ่นกระตุกอยู่หลายครั้งแต่ยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้ เขาพยักหน้าหงึกหงัก

เยี่ยเจาคลำศีรษะป้อยๆ เอ่ยอย่างจนปัญญา

“ข้าไม่ได้รังแกเขาจริงๆ นะ”

“มีหรือที่ข้าจะไม่รู้สันดานคนเช่นเจ้า” ผู้เฒ่าเยี่ยเคาะหัวนางซ้ำอีกที กล่าวอย่างโมโหฮึดฮัด “เรียนตำรับตำราได้ความรู้เท่าหางอึ่ง วันๆ นอกจากทะเลาะต่อยตีแล้วเคยทำอะไรเป็นงานเป็นการบ้าง ไม่รู้ว่าใครจะอดทนร่วมชีวิตกับเจ้าได้ รอให้บิดาเจ้ากลับจากโม่เป่ยก่อนเถอะ ข้าจะให้เขาสั่งสอนลูกไม่รักดีอย่างเจ้าให้เข็ดหลาบ!”

ซย่าอวี้จิ่นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง สอดปากถามขึ้น

“โม่เป่ย? บิดาเจ้ามิใช่ว่า…”

“ตายหมดแล้ว” สุ้มเสียงของเยี่ยเจาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางพูดกระซิบเบาๆ “เพียงแต่ท่านทวดลืมไปแล้วว่าโม่เป่ยถูกตีแตก แล้วก็ลืมว่าท่านพ่อกับพี่ชายทั้งสองของข้าสู้รบจนตัวตายในราตรีนั้น เขาถึงขั้นลืมไปว่าข้าเป็นหญิง ตอนนี้เป้าหมายเดียวที่เขามีชีวิตอยู่ก็คือเฝ้ารอพวกเขากลับมา”

“พวกเจ้าไม่บอกให้เขารู้ล่ะ?”

“เปล่าประโยชน์ เขาไม่รับฟังหรอก บางทีเขาอาจนึกว่าขอแค่ลืมไปซะก็จะสามารถอยู่ในความฝันไปได้ตลอดกาล ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว”

“แล้วเจ้า…”

“ทุกอย่างเป็นอดีตไปหมดแล้ว”

ผู้เฒ่าเยี่ยยังคงดึงมือนางพร่ำพูดไม่หยุด

“พี่ใหญ่เจ้าประจำการอยู่หน้าด่าน พี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเช่นกัน ข้าเขียนสารถึงเขาให้กลับมาด้วยกันกับพี่รองเจ้าตอนปีใหม่ พวกเราจะได้อยู่ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็เรียกท่านปู่สามเจ้ามาด้วยนะ ไอ้เฒ่าไม่ยอมแก่ผู้นั้นชอบตีฝีปากกับข้าเป็นที่สุด ข้าก็คิดถึงเขาอยู่เหมือนกัน”

นางยิ้มพลางส่งเสียงรับคำซ้ำๆ

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งเงียบไป ในความทรงจำอันเลือนราง เขาหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านที่อพยพหนีภัยมาจากโม่เป่ยเมื่อหกปีก่อน

สกุลเยี่ยถูกสังหารแทบหมดสิ้น เมืองยงกวนซึ่งพวกเขาประจำการอยู่ก็ถูกบุกทำลายราบคาบ ในเมืองมีซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา หัวกะโหลกวางซ้อนกันเป็นเจดีย์ โลหิตแดงฉานไหลชะโลมถนนหนทาง บุรุษไร้ศีรษะ สตรีสูญสิ้นความบริสุทธิ์ เด็กน้อยไม่ร่ำไห้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ต้องกระเสือกกระสนอยู่ในฝันร้ายไปชั่วชีวิต

คนที่ไม่เคยประสบพบการฆ่าล้างเมืองย่อมไม่อาจนึกภาพความสยดสยองเฉกขุมนรกพรรค์นี้ได้

ซย่าอวี้จิ่นลอบมองเยี่ยเจา ใบหน้านางเข้มแข็งดุจเหล็กกล้าดังเดิม

นางไม่โศกเศร้าอีกต่อไปหรือความรู้สึกด้านชาไปแล้วกันแน่ นางเติบโตขึ้นมาอย่างไร เคยอ่อนโยน เคยซุกซน เคยรัก เคยเกลียด เคยคิดถึงคนึงหาหรือไม่

ความขมขื่นและกระวนกระวายผุดขึ้นกลางใจรางๆ เขาประจักษ์ว่าตัวเองไม่เข้าใจนางแม้แต่น้อย

ทว่าเมื่อคนสองคนซึ่งเกลียดชังกันถูกบังคับฝืนใจให้อยู่ด้วยกันกะทันหัน…เป็นสามีภรรยาที่ผิดฝาผิดตัวอย่างสิ้นเชิง ผู้ใดเล่าอยากเข้าใจอีกฝ่าย

“อวี้จิ่น นี่คือพี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายข้า”

เสียงเรียกของเยี่ยเจาดึงซย่าอวี้จิ่นออกจากภวังค์ความคิด เขาถึงได้พบว่ามีสตรีโฉมงามสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ในมือจูงเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งแปดขวบ คนหนึ่งหกขวบ พวกเขาพากันจับจ้องมองมาตาไม่กะพริบแล้วค่อยหันไปมองเยี่ยเจาอีกครั้ง

นางรีบแนะนำ

“คนโตคือเยี่ยซืออู่ ส่วนคนเล็กคือเยี่ยเนี่ยนเป่ย กำลังซุกซนเป็นวานรน้อยทั้งคู่”

เยี่ยเนี่ยนเป่ยชิงโผเข้าไปในอ้อมอกเยี่ยเจาก่อนแล้วส่งเสียงร้องเรียก

“ท่านน้าอาเจา! ข้าคิดถึงท่านมากเลย!”

เยี่ยซืออู่เบะปากพูดอยู่ด้านข้าง

“เป็นอาหญิงต่างหาก! โตขนาดนี้แล้วยังทำออเซาะ น่าขายหน้าจริงๆ!”

เยี่ยเนี่ยนเป่ยแลบลิ้นปลิ้นตา จากนั้นก็เอ่ยกับซย่าอวี้จิ่นยิ้มๆ อย่างประจบประแจง

“ท่านน้าอาเจา สามีท่านสวยมากเลย!”

“เจ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสืออีกแล้ว ผู้ชายสมควรใช้คำว่าหล่อเหลา!” เยี่ยซืออู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมเกินวัย “อาหญิง เพลงกระบี่ที่ท่านสอนข้าเมื่อคราวก่อนข้าฝึกจนเป็นแล้ว อีกประเดี๋ยวจะแสดงให้ท่านดูนะขอรับ!”

“ดี! นี่สิถึงจะสมเป็นบุรุษสกุลเยี่ย” เยี่ยเจาตอบตกลงอย่างสุขใจ “แต่อย่าสนใจเพียงการฝึกยุทธ์ วันหลังต้องเชิญอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ให้เป็นเรื่องเป็นราวเช่นกัน”

หวงซื่อเอ่ย

“ใช่ ข้าตั้งใจจะเชิญอาจารย์หวังเหรินเจี๋ย ได้ยินว่าเขามีความรู้สูงยิ่ง”

“อย่าเชียว” ซย่าอวี้จิ่นขัดจังหวะการสนทนาของพวกนาง “เจ้าคนที่ชื่อหวังเหรินเจี๋ยนั่นแม้จะมีความรู้สูง กลับเป็นผู้ดีจอมปลอมวางท่าเคร่งขรึมมีศีลธรรม ลำพังแค่นอกบ้านก็เลี้ยงนางบำเรอไว้สามสี่คน ส่วนที่ถูกหลอกลวงทอดทิ้งก็มิใช่แค่คนสองคน ซ้ำยังมีเงินทองบางส่วนที่เขาได้มาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมนัก เขาเพียงปกปิดได้ดีมากเท่านั้น คนนอกถึงได้ไม่ล่วงรู้ เชิญอาจารย์พรรค์นี้มาไม่กลัวว่าจะสอนเด็กให้เสียคนหรือไร”

เยี่ยเจาถาม

“ท่านรู้มาจากที่ใด”

เขาเอ่ยอย่างกระดากใจอยู่บ้าง

“ข้าเกะกะเกเรอยู่ข้างนอกบ่อยๆ แม้แทบไม่เคยทำเรื่องถูกต้องดีงาม แต่ข่าวของพวกคนชั่วขาดศีลธรรมทุกเหย้าเรือนในเมืองหลวงข้ารอบรู้เป็นที่หนึ่ง…เยี่ยเจา เจ้ากลับมาจากโม่เป่ยได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นสตรีที่เคร่งครัดในธรรมเนียม มีบางสิ่งไม่สะดวกจะสอบถามได้ เป็นธรรมดาที่จะรู้ไม่มากเท่าข้า ในความเห็นข้า หากจะเชิญอาจารย์สักคนสมควรเชิญอาจารย์หม่าหรงชุน แม้ชื่อเสียงเขาไม่โด่งดังเท่าหวังเหรินเจี๋ย แต่เขามีความรู้สูง กวดขันเอาใจใส่ และเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความประพฤติเลวทรามใดๆ ตอนที่เจ้ากลับเมืองหลวง เขาเลื่อมใสที่เจ้าออกศึกแทนบิดาอย่างยิ่ง ถึงกับแต่งกลอนสรรเสริญให้ ถ้าเจ้าออกเทียบไปเชิญ เขาจะต้องรับปากมาสอนหลานชายทั้งสองแน่”

หวงซื่อฟังแล้วยินดียกใหญ่ ขอบอกขอบใจเป็นพัลวัน จากนั้นก็แอบดึงตัวเยี่ยเจาไปกล่าวเตือน

“อาเจา เจ้ามีนิสัยอารมณ์ร้อนมาตั้งแต่เด็ก แต่งงานแล้วต้องห้ามใจไว้สักหน่อย อย่าซ้อมสามีส่งเดช”

“ก่อนแต่งงานท่านก็เคยพูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

“ต่อให้เขาไม่ดีเพียงไหน เจ้าก็จะซ้อมเขามิได้เด็ดขาด”

“ข้าจะระวัง”

“ดีแล้ว ข้าว่านะ เขานิสัยใจคอไม่เลวเลย” หวงซื่อสำทับอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “เจ้ามีเรี่ยวแรงมหาศาล ส่วนร่างกายเขาบอบบางปานนั้น ถ้าเจ้าพลาดพลั้งซ้อมเขาตายไปจะทำอย่างไร”

เยี่ยเจามองซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างจริงจัง

“วางใจได้ ข้าจะไม่ซ้อมเขาเด็ดขาด”

ซย่าอวี้จิ่นจามหลายที เขาถูจมูกไปมา คุยสัพเพเหระกับผู้เฒ่าเยี่ยต่อไป

ในยามที่เขาไม่คิดแผนการร้ายเล่นงานผู้อื่น เขากลับเป็นผู้ช่ำชองในการล่อหลอกเอาใจคน เพียงไม่กี่คำก็ทำให้ผู้เฒ่าเยี่ยยิ้มหน้าบานจนหุบไม่ลง เรียกเขาไม่ขาดปากว่า ‘เหลนเขย’ หรือ ‘เหลนสะใภ้’ ก็สุดรู้ อยากรั้งเขาให้อยู่ต่อสักสองสามวันเป็นเพื่อนคลายเบื่อให้ตัวเองใจจะขาด

ตอนกลับอารมณ์ของซย่าอวี้จิ่นดีขึ้นมาก ผู้เฒ่าเยี่ยเองก็ยิ้มระรื่น ออกมาส่งถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง และพูดกับเขาต่อหน้าผู้คน

“วันหลังกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ” เขากวัดแกว่งไม้เท้า ตวาดใส่เยี่ยเจาอย่างดุร้าย “ห้ามเจ้าทุบตีภรรยาอีก! มิเช่นนั้นข้าไม่นับเจ้าเป็นเหลนข้า!”

ซย่าอวี้จิ่นตัวโงนเงนวูบหนึ่ง หวิดจะล้มลงบนพื้นหิมะ

เยี่ยเจารีบยื่นมือพยุงไว้ เห็นสีหน้าอีกฝ่ายส่อเค้าจะแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงก็ตัดสินใจผลักเขาเข้าไปในเกี้ยวอย่างฉับไว ทิ้งให้หวงซื่อเป็นผู้อธิบาย ขณะที่ตัวเองสั่งทุกคนออกเดินทางกลับ

ระหว่างทางทั้งคู่ตกอยู่ในบรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะซย่าอวี้จิ่นแทบจะทำหน้ามุ่ยอยู่ตลอด

เยี่ยเจาอ้าปากเอ่ยเสียงเบา

“คือว่า…วันนี้ท่านทำได้ไม่เลวเลย แล้วก็เรื่องของหลานชายข้า ขอบคุณนะ”

ซย่าอวี้จิ่นเบือนหน้าหนีไม่มองนาง เยี่ยเจาจึงพยายามเอ่ยปลอบ

“มือท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่”

น่าเสียดายที่แต่ไรมานางไม่ถนัดเรื่องการแสดงความห่วงใยเอาใจใส่ น้ำเสียงฟังแล้วแปร่งหูได้มากเท่าไรก็แปร่งหูมากเท่านั้น กลับไพล่ไปคล้ายกำลังประชดประชันอยู่บ้าง

ซย่าอวี้จิ่นมองรอยฟกช้ำหลายรอยบนข้อมือตนเพราะถูกนางบีบเมื่อวานก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ครั้นย้อนคิดถึงเรื่องที่หูชิงเคยบอกเขาว่าแม่ทัพใหญ่ยินยอมแต่งงานกับเขาอาจเป็นเพราะเขามีใบหน้าสวยงาม อ่อนแอเหลาะแหละไร้ความสามารถ บงการได้ง่ายเป็นพิเศษ เขาก็ลอบนึกขัดเคืองอีกฝ่าย ใจที่อ่อนลงเล็กน้อยในทีแรกมลายหายวับไปอีกครั้ง

เขาเงยหน้ามองเยี่ยเจา คลี่ยิ้มออกมา ดวงตาทอประกายวาววับ

“เรื่องที่เจ้าต้องการให้ทำ ข้าก็ทำหมดแล้ว ข้าให้เกียรติครอบครัวเจ้ามากพอกระมัง”

นางขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย ตอบอย่างเห็นพ้องด้วย

“ใช่ วันหน้าก็สมควรเป็นเช่นนี้”

“แน่นอน ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ดีก็ช่างเถอะ แต่อย่าทำให้ผู้อาวุโสต้องเป็นห่วง” เขาเอ่ยต่ออย่างระแวดระวัง “ข้าให้เกียรติครอบครัวเจ้าแล้ว เจ้าก็สมควรให้เกียรติครอบครัวข้าบ้าง”

นางนิ่งคิด ตอบอย่างเห็นพ้องเช่นเดิม

“สมควรสิ ท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยเหลือก็เอ่ยปากมาได้เต็มที่”

“ช่วยเหลือคงไม่ต้อง” เขาลูบเตาพกในมือเล่น กล่าวอย่างเนิบช้า “เมื่อวานท่านแม่ร้องห่มร้องไห้พูดกับข้า คิดว่าคนนอกล้วนขบขันที่สะใภ้ที่แต่งเข้ามาวางท่าใหญ่โต ไม่กตัญญู เป็นต้นเหตุให้ท่านแม่เสียหน้าอย่างมากจนแทบไม่กล้าออกนอกประตูวัง ฉะนั้นนับแต่วันพรุ่งนี้เจ้าก็เริ่มปฏิบัติตามธรรมเนียม วางตัวเป็นสะใภ้ที่ดี ปรนนิบัติพัดวีข้างกายท่านแม่ทั้งเช้าทั้งเย็นอย่างเช่นยืนรอรับใช้ คีบกับข้าวให้ หรือพูดคุยเรื่องสัพเพเหระก็ได้ จะได้อุดปากสตรีช่างนินทาเหล่านั้นซะ”

เยี่ยเจาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ

ซย่าอวี้จิ่นแย้มยิ้มคล้ายจิ้งจอกน้อยที่แผนการร้ายลุล่วงไปด้วยดี

“ท่านแม่ทัพ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”

 

กองทัพนครหลวง

เยี่ยเจายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง กล่าววิงวอนด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ

“พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี บัดนี้ข้าประสบภาวะคับขัน ขอให้พี่น้องทุกคนช่วยข้าอีกแรงด้วย”

“ขอรับ!”

บรรดาที่ปรึกษาทัพขานรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็นั่งแยกกันเป็นสองแถว ถือพู่กันขนเพียงพอนอยู่ในมือ มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางตรงหน้า บนนั้นจั่วหัวว่า ‘หลักการอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้’ ‘หัวข้อสนทนาของเหล่าสตรี’ ‘กลเม็ดกตัญญูแม่สามี’ เป็นต้น แต่ละคนมีสีหน้าราวกับกำลังกลืนยาขมยิ่งขึ้น

บรรดาตระกูลทหารของแคว้นต้าฉินมักผูกดองกันเอง มารดาและย่าของเยี่ยเจาก็เป็นพยัคฆ์สายเลือดนักรบที่แกร่งกร้าว ส่วนย่าทวดของนางที่ล่วงลับไปแล้วยังเป็นถึงจอมยุทธ์หญิงที่มุทะลุดุดันยิ่งกว่า ทุกคนล้วนเป็นสตรีที่เปิดเผยตรงไปตรงมา แม้ในกาลก่อนแม่สามีกับสะใภ้จะเข้ากันได้ไม่เลว ทว่ายังคงเกิดศึกนางเสือปะทะนางสิงห์ชิงความเป็นใหญ่อยู่เนืองๆ แล้วยามที่ศึกปะทุขึ้น กระทั่งผู้เฒ่าเยี่ยยังต้องถอยหลบเป็นบางครั้งอย่างช่วยมิได้ ฝ่ายหวงซื่อดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ร่ายรำกระบวนท่าเพลงดาบใบหลิวได้สวยงาม บุรุษทั่วไปสามสี่คนไม่อาจเข้าประชิดตัวได้

วรชายาอันไท่เฟยเป็นกุลสตรีเมืองหลวง ยึดถือธรรมเนียม และมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ย่อมต้องชมชอบวิธีอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้แบบธรรมดา การที่เยี่ยเจาจะทำตัวให้เป็นที่พึงใจของแม่สามีได้อย่างไรนั้นจึงสร้างความลำบากใจให้นางนับพันนับหมื่นประการเลยทีเดียว ถึงนางจะมีความตั้งใจจริงก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด

ทว่านางเป็นคนรักษาสัจจะ เรื่องที่ตกปากรับคำไว้จะต้องทำให้ถึงที่สุด

เยี่ยเจาชั่งน้ำหนักแล้วว่าถ้าไปหารือเรื่องนี้กับหวงซื่อ มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจ นางจึงเรียกที่ปรึกษาทัพทั้งหมดที่อยู่โม่เป่ยในครั้งนั้นมารวมตัวกัน เปิดประชุมแผนการรบ จากนั้นก็มอบหมายหน้าที่ ออกคำสั่งบังคับให้ทุกคนกลับบ้านไปถามภรรยาและมารดาตัวเอง ศึกษาจากประสบการณ์ และกลับมารายงานโดยละเอียด

ที่ปรึกษาหม่าไม่เต็มอกเต็มใจนัก เอ่ยปากขึ้นเสียงอ่อยๆ

“นี่มิใช่เรื่องที่บุรุษจะกระทำเลย ไฉนข้า…”

นางทำหน้าปั้นปึ่งถลึงตาใส่เขาทันที

“จักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงยึดถือหลักกตัญญูปกครองแผ่นดิน! แม้แต่กตัญญูมารดาตนเจ้าก็ยังทำไม่ได้รึ! บัดซบสิ้นดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือการสร้างครอบครัว ปกครองแผ่นดิน เพื่อความผาสุกของปวงประชา แม้แต่ครอบครัวเจ้าก็ไม่สนใจไยดี นับประสาอะไรกับการเป็นทหารในกองทัพไปพิชิตใต้หล้า! แม่ทัพอย่างข้าให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง! หักเบี้ยเลี้ยงเจ้าสามเดือน กลับไปสำนึกผิดให้ดี! รู้จักกตัญญูมารดาเมื่อไรแล้วค่อยกลับมาพบข้า!”

เหล่าที่ปรึกษาทัพตกใจไม่น้อย พากันกุลีกุจอจรดพู่กันเขียนแต่โดยดี รีดเค้นความคิดจากสมองกันอย่างหนัก

เยี่ยเจานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ไท่ซือ จับตาดูทุกคนทำงานชั่วครู่ ดื่มชาคำหนึ่งแล้วเอ่ยถามชิวสุ่ย

“เจ้าจิ้งจอกล่ะ?”

ชิวหวารีบเดินเข้ามาบอก

“ท่านกุนซือฝากความไว้ว่าเขาไม่มีทั้งมารดาและภรรยา ไม่อาจช่วยอะไรได้จริงๆ แต่เขามองดูท่าทางกลัดกลุ้มเหลือหลายของท่านแล้วรู้สึกทุกข์ใจ เลยไปที่วัดมหาธรรมซึ่งอยู่ละแวกนี้เพื่อไหว้พระ ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงเล็กๆ น้อยๆ ขอพรให้ท่านประสบความสำเร็จ สมปรารถนาในทุกสิ่ง”

“หน็อย! ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงอะไรกัน” เยี่ยเจาเกือบสำลักน้ำชา นางตบโต๊ะแล้วตวาดขึ้น “คราวก่อนเจ้าลูกเต่าสารเลวนั่นเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดศาสนาเต๋าอยู่เลย!”

ชิวสุ่ยรีบปรี่เข้าไปกล่อมท่านแม่ทัพให้อารมณ์เย็นลง

 

อีกด้านหนึ่ง ที่วังอันอ๋อง วรชายาอันไท่เฟยก็เตรียมตัวเตรียมใจอยู่เช่นกัน

ผู้เป็นมารดาทุกคนล้วนวาดหวังอยากได้สะใภ้ถูกใจสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นภรรยาที่ตบแต่งให้กับบุตรชายคนเล็กที่ตนรักเอ็นดูที่สุดยิ่งต้องเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี ต่อให้ชาติตระกูลด้อยกว่าสักหน่อย รูปโฉมชั้นรองสักนิดก็สมควรเป็นหญิงสาวในตระกูลใหญ่โตที่อ่อนหวานสมกุลสตรี ดูแลเหย้าเรือน รักใคร่สามี

เมื่อมีพระราชโองการพระราชทานสมรสมาถึง ประหนึ่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ด้วยในใจนางรู้ดีว่าชั่วชีวิตนี้ของบุตรชายคนเล็กคงมิได้อยู่อย่างมีความสุขแล้ว น้ำตาพานไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด

ก่อนวันมงคลพระพันปีเคยเรียกนางเข้าวัง กำชับนักกำชับหนาว่าสะใภ้ผู้นี้มีสถานะผิดแผกจากสามัญ จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการทำงานรับใช้จักรพรรดิในภายภาคหน้า ขอให้นางอย่าเข้มงวดเรื่องธรรมเนียมจนเกินไปนัก อย่าวางท่าเป็นแม่สามีจนทำให้ขุนนางผู้มีความชอบต้องเสียขวัญกำลังใจ ต่อให้มีอะไรไม่ชอบใจอยู่บ้าง วันหน้าแยกเรือนกันแล้วมองไม่เห็นก็ไม่ทุกข์ใจเอง

นางออกไปข้างนอกก็มีบรรดาพี่น้องมองมาด้วยสายตาเห็นใจ กล่าววาจาเอ่ยกล่อม

‘สะใภ้ท่านก็แค่วางท่าใหญ่โต ดื้อรั้นหัวแข็งไปบ้าง แต่อยู่กันไปก็คุ้นชินไปเอง ดีชั่วอย่างไรยังมีสะใภ้ใหญ่ที่กตัญญูต่อท่านนะ’

ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่พูดจาไม่เป็นกล่าวปลอบใจ

‘ถึงอย่างไรลูกชายคนเล็กท่านก็ไม่รักความก้าวหน้า อาศัยสะใภ้เชิดชูวงศ์ตระกูล นับว่าเป็นเรื่องดีนะ’

นางฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วอยากส่งเสียงถุยกลับไปใจจะขาด

หากสะใภ้ไม่สามารถดูแลเหย้าเรือน กตัญญูแม่สามี และเอาใจสามีแล้วจะแต่งเข้ามาทำไม

อดีตอันอ๋องสามีนางเหน็ดเหนื่อยตรากตรำกับงานราชการแผ่นดินจนสิ้นลม นางครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว รู้จักทำบุญสร้างกุศล ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติทุกปี ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงให้วัดวาอาราม คงไม่นับว่าเป็นสตรีชั่วช้าเลวทรามกระมัง

บุตรชายคนเล็กป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เยาว์วัย จวนเจียนจากโลกไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพิ่งจะมีหลายปีมานี้ที่อาการดีขึ้นตามลำดับ นางจึงรักและตามใจเขามากเกินไปบ้าง แม้ตอนนี้เขาจะทำตัวสำมะเลเทเมา ชื่อเสียงฉาวโฉ่ กระนั้นก็น้อยครั้งนักที่เขาจะก่อความเดือดร้อนใหญ่โตให้กับครอบครัว

ทว่าผู้อื่นกลับพูดลับหลังกันว่าอะไรบ้างนะ

‘ลูกชายของเซิ่นชินอ๋องเอย ลูกชายคนรองของแม่ทัพเวยอู่เอย มีคนใดบ้างมิใช่หนุ่มรูปงามมากความสามารถและมีความประพฤติดี ท่านแม่ทัพมีอำนาจล้นฟ้า ออกเรือนไปกับลูกชายไร้สามารถของอดีตอันอ๋องก็สูญเปล่าอยู่เหมือนกัน’

จริงอยู่ที่บุตรชายคนเล็กไม่เอาถ่านไปสักหน่อย แต่นางเป็นมารดา ในใจย่อมมีเพียงความรักความสงสาร อีกทั้งตระกูลนางก็มิใช่กาฝากอาศัยสตรีเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ไยต้องหักใจปล่อยให้เขาถูกเหยียบไว้ใต้เท้าสตรี โงหัวไม่ขึ้นตลอดชีวิต

แต่งงานกับนกกระจอกที่รู้ความอยู่ในโอวาทสักตัวยังดีเสียกว่า ใครกันอยากไปอาจเอื้อมนกหงส์

วรชายาอันไท่เฟยทำใจยอมรับไม่ได้อย่างมาก แต่จนปัญญาที่นางมิใช่คนใจกล้า ทั้งยังเชื่อฟังคำพูดของพระพันปีโดยไม่บิดพลิ้ว ฉะนั้นนับแต่ซย่าอวี้จิ่นแต่งงานเป็นต้นมา นางก็ได้แต่เก็บความคับใจสุมแน่นอยู่ในอก น้ำตาไหลอาบหน้าอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่กล้าอาละวาดออกมา เพียงแอบบ่นกับสะใภ้ใหญ่ อยากให้พญายมแห่งแดนดินผู้นี้ชิงชังบุตรชายคนเล็กเร็วขึ้นจนแทบทนรอไม่ไหว จะได้ไสหัวออกจากตระกูลไปเสาะหาบุรุษที่มีความสามารถคนอื่น

เวลานี้ซย่าอวี้จิ่นกำลังให้กำลังใจมารดา

“นางขนอาวุธมาเป็นขบวนอย่างเอิกเกริกก็เพื่อตัดไม้ข่มนามข้าก่อน ตอนส่งตัวเข้าหอ ข้าบันดาลโทสะออกไป นางไม่ห้ามไม่ทัดทาน ซ้ำร้ายยังซ่อนอาวุธไว้ในเสื้อ ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด ข้าหนีออกจากบ้านหลายวันไม่กลับมา นางก็ไม่สนใจไม่ไยดี ในเมื่อสตรีผู้นี้ไม่ชอบข้า ไยต้องแต่งงานกับข้า ในเมื่อไม่ชอบข้า ไยต้องวางตัวเหนือกว่า ทำให้ข้าขายหน้าเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะตัดไม้ข่มนามนางเป็นการเอาคืนบ้าง จะต้องทำให้นางยินยอมอ่อนข้อให้จงได้ ท่านแม่ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นผู้อาวุโส ท่านต้องแสดงบารมีออกมาให้นางทำหน้าที่ของสะใภ้นะ”

“ไม่ผิด” วรชายาอันไท่เฟยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าถูกต้องอย่างที่สุด ความเห็นใจที่มีต่อบุตรชายคนเล็กสะกดความกลัวเกรงที่มีต่อสะใภ้เอาไว้ จิตใจบังเกิดความฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง นางยืดอกกล่าวเสียงกร้าว “ต่อให้นางเป็นแม่ทัพที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง แต่ก็เป็นสะใภ้วังอันอ๋องด้วย ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะกล้าไม่อยู่ในโอวาทข้า!”

“ถูกต้อง ต้องให้ได้อย่างนี้สิท่านแม่”

ซย่าอวี้จิ่นเป็นแรงหนุนอย่างขันแข็ง พยักหน้าร้องรับชอบใจไม่ขาดปาก

 

รุ่งเช้าวันที่สอง เพิ่งถึงยามเหม่า เยี่ยเจาซึ่งวันหยุดสิ้นสุดแล้วเตรียมตัวไปเข้าประชุมขุนนาง ก่อนออกไปนางมาที่ห้องของวรชายาอันไท่เฟย ขอให้หัวหน้าสาวใช้เข้าไปรายงาน จากนั้นก็ยืนรอคารวะแม่สามีอยู่นอกประตูอย่างนอบน้อม

แม่สามีของวรชายาอันไท่เฟยคือพระพันปี แต่หลังแต่งงานนางมีชีวิตที่ค่อนข้างอิสระและผ่อนคลาย ทุกวันต้องรอถึงยามเฉิน จึงค่อยลุกจากเตียง

เวลานี้สะใภ้มาแสดงคารวะตามธรรมเนียม นางไม่กล้าถ่วงเวลาอีกฝ่ายไปประชุมขุนนางกับจักรพรรดิ จำต้องกัดฟันแข็งใจตื่นขึ้นมา วักน้ำเย็นลูบหน้าหลายครั้ง เมื่อสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ออกมารับการคารวะจากสะใภ้

เยี่ยเจาพยุงนางไปยังโถงด้านข้าง พอการคารวะเสร็จสิ้น ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายเป็นสะใภ้กล่าวชมขึ้น

“วันนี้สีหน้าท่านไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”

ดีอะไรกัน วรชายาอันไท่เฟยนอนไม่เต็มอิ่ม รู้สึกวิงเวียนศีรษะเป็นระลอก ผ่านไปเป็นนานถึงพยักหน้าเนิบช้า ขับไล่ความง่วงงุนออกไป ทำท่ากระปรี้กระเปร่า เตรียมแสดงบารมีของแม่สามีกล่าวอบรมสั่งสอนสะใภ้

ไม่คาดว่าทหารคนสนิทนอกห้องจะเข้ามารายงาน

“ท่านแม่ทัพ ได้เวลาเข้าวังแล้วขอรับ”

เยี่ยเจารีบยอบกายคำนับอีกครั้งแล้วเดินลิ่วๆ หายลับไป

วรชายาอันไท่เฟยชะงักเก้อประหนึ่งเงื้อกำปั้นสุดแรงแล้วทุบลงบนความว่างเปล่าก็ไม่ปาน นางนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานก่อนจะถามอย่างฉุนเฉียว

“ชายาอันอ๋องล่ะ? เหตุใดนางยังไม่มาคารวะข้าอีก นับวันยิ่งเกียจคร้านขึ้นทุกที ไม่เห็นหรือว่าแม่สามีลุกจากเตียงแล้ว”

 

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนเยี่ยเจากลับมา นางถอดชุดทหารออกแล้วมาที่โถงกลางอย่างเร่งรีบ ไปยืนอยู่ข้างกายวรชายาอันไท่เฟยอย่างนอบน้อม ดูคล้ายทหารเฝ้ายามก็ไม่ปาน

แม่ทัพใหญ่ยืนนิ่งตัวตรง ทบทวนบทสนทนาต่างๆ นานาที่แพร่หลายในหมู่ฮูหยินของเมืองหลวงซึ่งเหล่าที่ปรึกษาทัพตระเตรียมให้อยู่ในใจหลายรอบ จากนั้นก็เริ่มลองชวนคุยสัพเพเหระ

“ดูเหมือนมุขมนตรีฉางจะรับอนุภรรยาเพิ่มอีกคนแล้วเจ้าค่ะ”

วรชายาอันไท่เฟยกวาดตามองสะใภ้แวบหนึ่งอย่างเฉยชา ลองกวนโทสะนาง

“จวิ้นอ๋องยังไม่มีลูก เจ้าก็ยุ่งกับงานราชการ เกรงว่าจะไม่มีเวลาคำนึงถึงเรื่องนี้ มิสู้รับอนุภรรยาให้เขาอีกสองสามคนจะได้มีทายาทสืบสกุล ข้ายกชุ่ยจือที่อยู่ข้างตัวข้าให้เจ้าดีหรือไม่”

เยี่ยเจานิ่งคิดแล้วส่ายหน้า

“ไม่ดีเจ้าค่ะ”

วรชายาอันไท่เฟยถามอย่างยินดี

“ไม่ดีอย่างไร”

เยี่ยเจาตอบอย่างจริงใจ

“นางผอมเกินไป อกอวบไม่พอ เอวบางไม่พอ สะโพกใหญ่ไม่พอ ไม่คล้ายลักษณะของสตรีลูกดก ข้าคิดว่าชุ่ยเยี่ยเหมาะสมกว่า ทรวดทรงอย่างนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าลูกดก รูปโฉมก็พริ้มเพรา…ไร้ที่ติ หากอยู่ที่โม่เป่ย ทหารทั้งกองทัพล้วนต้องตาลุก ทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่เพื่อแย่งชิงนางเป็นแน่ มิสู้รับนางดีกว่าเจ้าค่ะ”

ชุ่ยเยี่ยถูกชมจนลอบปีติในใจ แลมองใบหน้าคมเข้มของเยี่ยเจาอย่างเหนียมอาย หน้าแดงก้มศีรษะงุด

วรชายาอันไท่เฟยโมโหจนกล่าววาจาไม่ออก เยี่ยเจาเห็นสีหน้านางไม่สู้ดีนักก็รีบเอ่ยขึ้นอีก

“ท่านแม่ ท่านหักใจมิได้ก็แล้วไปเถอะ เมื่อก่อนผู้บัญชาการมณฑลสวี่แนะนำข้าว่าม้าผอมหยางโจว ก็ไม่เลว แต่ละคนรูปโฉมเทียบชั้นนางสวรรค์ เพียบพร้อมทั้งความงามและความสามารถ ซ้ำยังรู้จักปรนนิบัติเอาใจ ตอนนั้นข้าฟังแล้วยังจิตใจเอนเอียงไปบ้าง อีกประเดี๋ยวข้าให้เขาไปคัดเลือกเฟ้นหาคนที่ทรวดทรงงดงาม หน้าตาพริ้มเพราที่สุดมาให้สักสองคน”

นางกระตือรือร้นเช่นนั้น ตกลงว่าคิดจะหาอนุภรรยาให้สามีหรือตัวเองกันแน่

วรชายาอันไท่เฟยยิ่งคิดยิ่งระแวง ตวาดเสียงกราดเกรี้ยว

“เมินซะเถอะ! วันใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้หมายว่าจะเอาหญิงงามเข้ามาในวัง!”

บทที่ 4

หมู่นี้เยี่ยเจามีเรื่องกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง

นางต่อยตีได้ เดินทัพได้ ตั้งค่ายกลได้ วางอำนาจบาตรใหญ่ได้ มีเพียงเรื่องรับมือน้ำตาสตรีประการเดียวที่ไม่ค่อยจะได้ความนัก แล้วน้ำตาของวรชายาอันไท่เฟยก็ราวกับไม่มีวันหมดสิ้น อยากไหลก็ไหล ร่ำไห้จนนางได้แต่พิศวงงงงวย

ดังเช่นเมื่อวานซืน ตอนนางไปคารวะก่อนไปประชุมขุนนางตามปกติ วรชายาอันไท่เฟยเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจว่า…

’เป็นโชคของข้านักที่เจ้ามาคารวะและตั้งอกตั้งใจปรนนิบัติทุกวัน ทำให้ข้าผ่ายผอมลงไปเป็นกอง’

สตรีล้วนรักสวยรักงาม เยี่ยเจาทึกทักเอาเองแล้วรีบกล่าวเยินยอ

’ดีเหลือเกิน ท่านผอมลงยิ่งงามขึ้น ดูเหมือนจะอ่อนวัยขึ้นสิบปีเลยทีเดียวเจ้าค่ะ’

วรชายาอันไท่เฟยอ้าปากค้าง มองนางอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะปล่อยโฮเสียงหนึ่งพร้อมน้ำตาไหลพรากๆ ลงมา

เยี่ยเจางุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก นึกว่านางป่วยก็รีบเร่งไปเชิญแพทย์หลวงมา ไต่ถามเขาว่าอาการคุ้มดีคุ้มร้ายมาจากสาเหตุใด

แพทย์หลวงชราลูบเคราสีขาวครุ่นคิดอยู่นานสองนาน กล่าวว่าคนเราแก่ตัวลงธาตุไฟขาดสมดุล อารมณ์ปรวนแปรได้ง่าย จากนั้นจึงสั่งยาหลายเทียบให้ กำชับกำชาว่าต้องกินตรงตามเวลา นางก็ต้มยากับมือแล้วยกไปให้และนำถ้อยคำของแพทย์หลวงบอกต่อแม่สามีอีกทอด

ไม่คาดว่าวรชายาอันไท่เฟยไม่เพียงไม่ยอมกินยา ทั้งยังร่ำไห้หนักขึ้น นางต้องซื้อถังหูลู่ กลับมาปลอบใจอีก

ซย่าอวี้จิ่นซึ่งขอบตาดำคล้ำรุดมาหานางอย่างลุกลนแล้วเอ่ยขึ้น

”ยกเลิกสัญญาเถอะ ถือเป็นความผิดข้าเอง เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติท่านแม่แล้ว”

”นอกจากการเซ่นไหว้ฟ้าดิน กษัตริย์ บรรพบุรุษ และบูรพาจารย์แล้ว การกตัญญูต่อผู้อาวุโสเป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ สิ่งที่ท่านแม่กล่าวไว้ก็ชอบด้วยเหตุผล มีสะใภ้บ้านใดกันที่ไม่กตัญญู ต่อให้นางไม่เห็นว่าข้าเป็นสะใภ้ ผู้เยาว์ไม่กตัญญูต่อผู้อาวุโสก็เป็นความผิดเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นข้านำทัพมาหลายปี ให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาและคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด ในเมื่อข้าตกปากรับคำแล้วก็จะต้องทำให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร หาไม่แล้วข้าจะหลงเหลือศักดิ์ศรีและความน่ายำเกรงในกองทัพอยู่รึ”

เยี่ยเจาปฏิเสธอย่างขึงขังก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ไม่แลมองซย่าอวี้จิ่นที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ที่เดิมอีกแม้แต่แวบเดียว

 

ปัญหาจุกจิกหยุมหยิมในบ้านน่ารำคาญใจเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องขี้ผงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้นางกลัดกลุ้มยิ่งกว่าคือทหารใหม่ของเมืองหลวงสามหมื่นนายที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเมื่อไม่นานมานี้เพื่อแทนที่ทหารชราหรือทหารบาดเจ็บพิการ

ราษฎรในแถบเมืองหลวงร่ำรวยเงินทอง ใบไม้ร่วงจากต้นก็ต้องมีสักสองใบที่หล่นกระทบผู้ที่เป็นวงศ์วานว่านเครือกับขุนนาง พวกเขาเห็นว่าชาวหมานจินถูกพิชิตราบคาบ คงไม่เข้ามารุกรานสร้างความระส่ำระสายในเร็ววันนี้เลยเข้าร่วมกองทัพโดยมีจุดประสงค์แอบแฝง

มีพวกอันธพาลเกียจคร้านสันหลังยาวไม่น้อยที่พึ่งพาเส้นสายเข้ามานั่งกินนอนกิน บ่ายเบี่ยงเกี่ยงงาน เพียงหมายรับเบี้ยหวัดสองสามปีโดยไม่ลงแรงอะไรทั้งสิ้น ยังมีลูกขุนนางเสเพลที่สิ้นหวังกับการสอบรับราชการ เห็นว่าทัพใหญ่ของเมืองหลวงคงไม่เคลื่อนไปถึงแนวหน้าโดยง่าย เช่นนั้นย่อมต้องปลอดภัยวางใจได้ พากันอาศัยสัมพันธ์ส่วนตนแทรกตัวเข้ามา ด้วยอยากรับเงินบำนาญสองสามปีและได้เป็นขุนนางสักตำแหน่ง

ในช่วงเข้ารับการฝึกฝนพวกเขาถือตัวว่ามีคนหนุนหลัง แบ่งพรรคแบ่งพวกในกองทัพ ทั้งดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา เล่นพนันสารพัด เห็นวินัยทหารไร้ความหมาย ถูกครูฝึกตวาดดุเล็กน้อยก็กล้าโต้เถียงคอเป็นเอ็น

เยี่ยเจาได้รับคำร้องทุกข์จากผู้ใต้บังคับบัญชากลับยับยั้งเรื่องเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่เพียงไม่ลงโทษ กระทั่งตะคอกสักคำก็หามีไม่ พวกเขาจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นนางอยู่ในสายตามากขึ้นทุกขณะ ทั้งยังแอบเยาะเย้ยลับหลัง คาดเดาเอาว่านางเป็นเสือกระดาษตัวหนึ่ง ข่าวที่เล่าลือกันนั้นเกินความจริงไปมาก การชนะศึกหมานจินครั้งใหญ่นางคงอาศัยบารมีที่สั่งสมมาของสกุลเยี่ย มีลูกน้องสนับสนุน สร้างความดีความชอบได้เพราะโชคช่วย แล้วยังฝันเฟื่องจะยืนอยู่เหนือศีรษะบุรุษอีก

สตรีก็คือสตรีวันยังค่ำ จะมีปัญญาจัดการอะไรได้

เยี่ยเจาได้ยินข่าวลือเหล่านี้เพียงยิ้มรับ ไม่ให้ความสนใจ

เมื่อวานมีทหารใหม่ตั้งกลุ่มเล่นพนันดื่มสุราในยามดึก เอะอะเอ็ดตะโรไม่หลับไม่นอนตลอดคืน ไม่เข้าร่วมการฝึกช่วงเช้า ครูฝึกจึงส่งคนไปตามตัว

พวกเขากำลังคึกคะนองด้วยฤทธิ์สุราและถือว่ามีกำลังมากกว่าจึงทุบตีทหารที่นำความมาบอก

เยี่ยเจาเลิกประชุมขุนนางมาถึงกองทัพนครหลวง ได้ฟังเรื่องนี้ก็สั่งการกับนายทัพทั้งหมด

“ได้เวลาแล้ว ไปทำงานเถอะ”

เหล่านายทัพรับทราบ พาทหารมุ่งหน้าไปที่เรือนพักทหาร จับตัวการก่อเหตุทั้งยี่สิบสามคนมัดมือมัดเท้าอย่างแน่นหนา ลากไปบนแท่นยกกลางลานฝึก คุกเข่าเบื้องหน้าทหารทั้งกองทัพ

หัวโจกของกลุ่มนี้ชื่อหม่าโหย่วเต๋อ เป็นหลานชายของหม่ากุ้ยเหรินซึ่งเป็นพระสนมคนโปรด ตระกูลเขายังมีขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนัก ฉะนั้นย่อมผยองตนเต็มเปี่ยม เขาไม่เชื่อสักนิดว่าเยี่ยเจาจะทำอะไรตัวเองได้ ซ้ำยังเอ่ยด้วยสีหน้าทะเล้นยียวน

“ท่านแม่ทัพ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ละเว้นข้าด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะไปขอขมาลาโทษต่อพี่น้อง วันหน้าไม่กล้าอีกเด็ดขาดแล้วขอรับ”

เยี่ยเจาสวมชุดเกราะเงิน แผ่นหลังเหยียดตรงยืนบนแท่นยก นางฟังคำอ้อนวอนจบก็มิได้เอ่ยวาจาใด เพียงโบกมือไปทางด้านข้าง

นายกองก้าวออกมาข้างหน้า ในมือถือป้ายเหล็กอาญาศึกบูรพกษัตริย์ ตะโกนอ่านเสียงดังทีละข้อ

“หนึ่ง เสียงกลองไม่เข้า เสียงฆ้องไม่หยุด ธงยกไม่ลุก ธงลดไม่หมอบ นี้คือฝ่าฝืน มีโทษประหาร

สอง ขานชื่อไม่ตอบ ยามเรียกไม่มา เลยวันไม่ถึง ขัดขืนวินัย นี้คือชักช้า มีโทษประหาร

สาม ตกดึกเอ็ดอึง สายไม่เห็นตัว ไม่ตรงเวลา บอกยามไม่ชัด นี้คือหย่อนยาน มีโทษประหาร

สี่ พูดบ่นร้องทุกข์ ยั่วยุนายทัพ ไม่สำรวมตน ดื้อด้านแข็งข้อ นี้คือก่อกวน มีโทษประหาร

ห้า คุยหยอกเสียงดัง เมินเฉยข้อห้าม หลบหนีจากค่าย นี้คือละเลย มีโทษประหาร

หก ปากคมปากกล้า ปั้นน้ำเป็นตัว ยุแยงทหาร สร้างความแตกแยก นี้คือปลุกปั่น มีโทษประหาร…”

กฎกองทัพที่สืบทอดจากบรรพชนบัญญัติข้อห้ามไว้สิบเจ็ดประการ โทษประหารห้าสิบสองข้อ ทุกถ้อยทุกคำหนักแน่นมั่นคงดุจเหล็กกล้า ปลุกสติของคุณชายเสเพลยี่สิบสามคนที่คุกเข่าจนอกสั่นขวัญแขวน บางคนที่ใจเสาะก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าไปแล้ว

เวลานี้ทุกคนเพิ่งกระจ่างแจ้งว่าท่านแม่ทัพมีเจตนาสังหารพวกเขาแต่แรกแล้ว ก่อนหน้านี้เพียงอดกลั้นไว้ชั่วคราว รอให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตค่อยเชือดไก่ให้ลิงดู

ผู้ใดก็ไม่อยากเป็นไก่ที่ถูกเชือดตัวนั้น

“ไว้ชีวิตด้วย!”

“ท่านแม่ทัพไว้ชีวิตด้วย ข้ามีบิดามารดาต้องกตัญญู มีบุตรภรรยาต้องเลี้ยงดู!”

“คราวหลังไม่กล้าแล้ว!”

เสียงโขกศีรษะดังเป็นทอดๆ บางคนตกใจจนปัสสาวะราดกางเกง

เยี่ยเจาไม่แยแส โบกมือพลางเอ่ย

“เพชฌฆาต เตรียมตัว”

เพชฌฆาตยี่สิบสามคนถือดาบเล่มใหญ่ไปยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

หม่าโหย่วเต๋อเห็นท่าไม่ดี รีบตะโกนพูด

“อาหญิงข้าเป็นกุ้ยเหริน กำลังตั้งครรภ์อยู่ ใกล้จะได้ขึ้นเป็นพระชายาแล้ว! พ่อข้าเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสาม! พี่ชายข้าดูแลกรมปกครอง! ผู้ใดกล้าสังหารข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”

เยี่ยเจาถือแส้เหล็กไหล เอ่ยเสียงเย็น

“สกุลเยี่ยปกครองกองทัพ ยึดถือแต่กฎกองทัพ ไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์”

หม่าโหย่วเต๋อแผดเสียง

“น้ำหน้าสตรีเช่นเจ้ารึ หากกล้าสังหารข้า อาหญิงข้าจะต้องไม่ปล่อย…ปล่อย…”

เขายังกล่าวไม่จบความ แส้เหล็กไหลแฉลบแหวกอากาศมาอย่างปราศจากสุ้มเสียง กลายเป็นดาบฟันเข้ากลางลำคอขาดสะบั้น ศีรษะหล่นลงไปบนพื้นในชั่วอึดใจเดียว นัยน์ตาเขายังเหลือกค้าง แลมองฝุ่นดินบนพื้นอย่างหวาดผวา จวบจนโลหิตแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากคอสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่ ลำตัวซึ่งคุกเข่าอยู่ถึงล้มลงกับพื้นดังตึง ราวกับเขาเพิ่งตระหนักว่าเรื่องที่ตัวเองจบชีวิตลงนั้นเป็นจริง

ทหารทั้งหมดเงยหน้าขึ้น สะท้านเยือกจนลมหายใจสะดุดเฮือกหนึ่งขณะมองเยี่ยเจาอย่างเหลือเชื่อ

“ไม่กล้า?” นางเช็ดคราบเลือดบนแส้เหล็กไหลไปพลางเอ่ยไปพลาง “ในครั้งนั้นที่ผู้เฒ่าเยี่ยชุนประจำการอยู่ที่โม่เป่ย เขาเคยตัดหัวน้องชายร่วมสายเลือดที่ชักช้าจนเสียแผนการรบเองกับมือ ถึงได้ฝึกทหารเหล็กสกุลเยี่ยได้สำเร็จ เป็นที่ลือลั่นจนชนเผ่าหมานทุกเผ่าโดยรอบไม่กล้าเข้ามารุกรานง่ายๆ พวกเจ้าอยู่ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ ประจำการอยู่ในเมืองหลวง เป็นแนวป้องกันสุดท้ายของจักรพรรดิและราษฎร ยิ่งสมควรปฏิบัติตามกฎกองทัพ เลิกคิดพึ่งพาโชคหรือดวง นั่งกินนอนกินไม่เอาการเอางาน รอกระทั่งข้าศึกบุกมาจวนตัวแล้วถึงลับมีดลับดาบ”

นางยิ่งพูดยิ่งโกรธ เสียงยิ่งดังขึ้น

“เพิกเฉยต่อกฎกองทัพ เห็นวินัยทหารไร้ความหมาย ไอ้พวกลูกสุนัข! เพิ่งคลานออกมาดูโลกภายนอก ขนยังขึ้นไม่เต็มตัวก็ริอ่านแข็งข้ออวดดี มารดามันเถอะ! เห็นข้าเยี่ยเจาเป็นนักบวชถือศีลหรือไร เจ้าพวกไร้ค่าปัญญาตื้น!”

คนในกองทัพล้วนหยาบกระด้างไม่รู้หนังสือ ผรุสวาทคำหยาบไม่เป็นย่อมมิใช่คนกันเอง

เสียงตะคอกของแม่ทัพใหญ่สะท้อนก้องในลานฝึกไม่ขาดสาย เป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความ อบรมสั่งสอนไป ขุดบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นขึ้นมาก่นด่าไปจนทุกคนเข้าใจกระจ่างแจ้งในที่สุด

ไอ้หน้าไหนกันที่พูดว่านางเป็นสตรี!

บางคนตั้งสติได้ หวนคิดถึงเรื่องดีๆ ที่ตัวเองก่อเอาไว้ก็ตกใจจนเข่าอ่อน ตัวโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ บางคนหน้าตาซีดเผือด ส่งเสียงถกเถียงกันดังระงม กระทั่งเพชฌฆาตยังถูกด่าจนยืนเป็นเบื้อใบ้

เยี่ยเจาด่าจนสาแก่ใจก็หยุดพูดแล้วออกคำสั่ง

“ชิวเหล่าหู่! คุมการลงโทษ!”

“ให้ข้าทำ ข้าขอลงมือเอง ข้ารอมานานแล้ว”

ชิวเหล่าหู่เป็นอดีตโจร หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพก็สร้างความดีความชอบในการรบจนได้รับตำแหน่งขุนพลโหยวจีและเป็นผู้สังหารข้าศึกที่เหี้ยมหาญที่สุด ครั้นกลับมาเมืองหลวงสักพักแล้วมิได้ฆ่าคนเลย เขาก็คันไม้คันมือแต่แรก

เขาก้าวเข้าไปทันที ผลักเพชฌฆาตที่ยืนอึ้งอยู่ออกไป เหวี่ยงดาบฟันฉับหนึ่ง ศีรษะคนก็ขาดกระเด็นหัวหนึ่งอย่างเพลิดเพลินสาแก่ใจ

ศีรษะคนยี่สิบสามหัวกลิ้งไปสองสามตลบอยู่บนแท่นยกก่อนจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง โลหิตอุ่นร้อนไหลท่วมเจิ่งนองเต็มพื้นดุจสายน้ำ กลิ่นคาวค่อยๆ ลอยคละคลุ้งขึ้นประหนึ่งนรกบนดิน

ชิวเหล่าหู่ยังคงหัวเราะเสียงดัง

“ท่านแม่ทัพ ขออีกหลายๆ คน ข้ายังไม่หนำใจเลย!”

ทั่วทั้งลานฝึกเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทหารทุกคนยืนเป็นระเบียบในพริบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ

นายกองเดินย่ำผ่านกองเลือดมาข้างหน้า หยิบรายชื่อผู้ถูกลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎกองทัพยาวเหยียดออกมาแผ่นหนึ่ง ตะโกนอ่านออกเสียง

“หลัวต้าโหย่ว ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนัน มีโทษประหาร อู๋ลี่ ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนัน มีโทษประหาร…”

ทหารที่ชักนำให้จับกลุ่มเล่นพนันสิบสี่นายกับทหารที่กดขี่ข่มเหงชาวบ้านสิบสองนายต้องโทษประหาร ทหารที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดอีกสามร้อยยี่สิบเจ็ดนายต้องโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ ทหารที่ไม่กลับค่ายตลอดคืนเจ็ดร้อยหกสิบแปดนายต้องโทษโบยห้าสิบไม้

ในบรรดาคนเหล่านั้นมีห้าร้อยสี่สิบสามคนถูกร้องเรียนว่าดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ต้องโทษโบยเพิ่มอีกยี่สิบไม้ รวมแล้วถูกประหารยี่สิบหกคน ถูกโบยหนึ่งพันเก้าสิบห้าคน และดำเนินการลงโทษทันที

เห็นเพียงในลานฝึกมีศีรษะคนหลายสิบหัวกองสุมกันอยู่ แม่ทัพใหญ่เตะหัวหนึ่งที่ขวางหน้าตนออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ยืนอยู่กลางกองโลหิตคุมการลงโทษด้วยตัวเอง

คนนับพันถอดกางเกงออกนอนคว่ำหน้าเรียงเป็นแถว เสียงไม้โบยเนื้อดังขึ้นเป็นทอดๆ ประสานเสียงร่ำไห้ดังสะท้านสะเทือนไปถึงท้องนภา

เหตุการณ์น่าอนาถในกองทัพนครหลวงแพร่สะพัดออกไปในเวลาอันรวดเร็ว ครอบครัวใดที่มีลูกหลานเป็นทหารอยู่ในนั้นพากันแตกตื่นขวัญเสีย คนตายก็ตายไปแล้ว ครอบครัวของคนเป็นที่ยังถูกโบยอยู่ หากมิใช่รีบเร่งใช้สายสัมพันธ์ส่วนตนก็ไปขอความเมตตา แต่ผู้ที่ไปกองทัพนครหลวงเพื่อพบแม่ทัพใหญ่ล้วนถูกไล่กลับ ส่วนที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง หวงซื่อปิดประตูไม่รับแขก ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

มีหลายคนที่หัวไว วิ่งโร่ไปยังวังอันอ๋อง ดึงมือวรชายาอันไท่เฟยร้องไห้คร่ำครวญ วรชายาอันไท่เฟยปฏิเสธคำอ้อนวอนของสหายคุ้นเคยหลายคนมิได้ก็ให้คนส่งสารไปถึงสะใภ้ ขอให้นางเมตตาปรานีเพื่อเห็นแก่หน้าสหายตน

เยี่ยเจารับสารมา พยักหน้าพลางเอ่ย

“สหายของท่านแม่ก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง เปลี่ยนเอามือดีของเราไปโบยเจ้าพวกที่อยู่ในรายชื่อนี้ ระวังอย่าโบยจนตายล่ะ”

ผู้ช่วยแม่ทัพรายงาน

“ท่านแม่ทัพ โบยเสร็จตั้งนานแล้วขอรับ ตายไปสิบสามคน ความหมายของท่านคือ…โบยอีกรอบ?”

นางส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างใจกว้าง

“ช่างเถอะ ชำระสะสางเรื่องในกองทัพเป็นครั้งแรก ผ่อนปรนสักหน่อยก็ไม่เสียหาย พวกเจ้าไปสั่งสอนเจ้าพวกไร้ค่าบนพื้นให้ดี บอกให้พวกมันรู้ว่าอะไรคือวินัยทหาร ถ้ามีคนฟังไม่เข้าใจก็ลากตัวไปโบยอีกยี่สิบไม้ จะได้หลาบจำ ส่วนคนที่ฟังเข้าใจแล้วก็ปล่อยตัวไปพักรักษาตัวมากๆ เถอะ”

ผู้ช่วยแม่ทัพออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง

ในกองทัพนครหลวง ทุกคนต่างหันมาคร่ำเคร่งศึกษาหาความรู้กันจ้าละหวั่นไปหมดในบัดดล ขอเพียงเป็นผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ล้วนท่องกฎกองทัพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขะมักเขม้นเสียยิ่งกว่าสอบจอหงวน เยี่ยเจาอิ่มเอมใจยิ่งนักกับความขยันหมั่นเพียรของทุกคน

ขุนนางหลายคนพอรู้ข่าวก็โกรธจนไปเข้าเฝ้า หมายกราบทูลว่าเยี่ยเจาโหดร้ายทารุณ ลงโทษเกินกว่าเหตุ ทำให้ทหารมากมายเสียขวัญกำลังใจ

โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันเป็นผู้มีเมตตากรุณาคนหนึ่ง นกที่เลี้ยงไว้ตายไปยังหลั่งน้ำตาให้สองหยด ย่อมไม่กระทำเรื่องโหดเหี้ยมเป็นธรรมดา ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นพระองค์กำลังเล่นกับนกกระจอกแสนรู้ที่ได้รับบรรณาการมาใหม่อย่างใจจดใจจ่อ ลืมเลือนขุนนางที่คุกเข่าอยู่ด้านนอก ถ่วงเวลาพวกเขาไปสองชั่วยามเต็มๆ

รอจนถึงเวลาที่เรียกตัวเข้าเฝ้า ศีรษะคนก็หลุดจากบ่าไปแล้ว โบยก็โบยไปแล้ว พระองค์ได้แต่พูดปลอบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่น้ำตาไหลนองหน้าสองสามคำสั้นๆ ให้พวกเขาดูแลกวดขันลูกหลานให้ดี แล้วออกพระราชโองการตำหนิเยี่ยเจาเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธี จากนั้นก็เล่นกับนกต่อไป ส่วนเยี่ยเจาก็วางพระราชโองการทิ้งไว้ด้านข้างอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร

ทุกคนเห็นจักรพรรดิแสดงท่าทีเช่นนี้ก็กระจ่างแจ้งในใจ ยิ่งกว่านั้นตระกูลใหญ่ใดก็ตามที่มีลูกหลานเอาถ่านอยากรับราชการทหาร ล้วนอาศัยการสอบรับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊เพื่อเข้าร่วมกองทัพ ไม่ถึงขั้นกระทำเรื่องชั่วช้าพรรค์นั้น หากเป็นลูกหลานที่ได้รับความเอ็นดูโปรดปรานก็หักใจส่งพวกเขาไปลำบากตรากตรำมิได้ ฉะนั้นนอกจากพวกอันธพาลข้างถนนแล้ว คนที่ตายไปส่วนใหญ่เป็นคนไม่เอาไหนหรือไม่เป็นที่โปรดปราน ถึงจะเสียใจเหลือประมาณ แต่เมื่อลอบคิดคำนวณดูแล้ว การล่วงเกินเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เพื่อคนพวกนี้จึงไม่คุ้มค่าเป็นอันมาก

มีหลายคนที่ดูทิศทางลมได้ว่องไว รีบประจบประแจงว่ากองทัพนครหลวงระเบียบวินัยหย่อนยานไม่เป็นท่า เหมาะสมแล้วที่จะจัดการด้วยวิธีเด็ดขาดฉับไวดุจอสนีบาต ถึงจะรักษาแผ่นดินต้าฉินให้ดำรงอยู่ไปนานหมื่นปี

กระนั้นยังมีผู้ที่ขาดปฏิภาณไหวพริบดังเช่นหม่ากุ้ยเหริน ก่อนเข้าวังนางกับหลานชายสนิทสนมกันดี เมื่อได้ยินข่าวการตายของเขา นางก็เดินท้องโย้ ร้องไห้กระซิกกระซี้ไปหาจักรพรรดิเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่นาง

จักรพรรดิหยอกล้อนกพลางถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“หลานชายเจ้าเข้ากองทัพนครหลวงเพราะอะไร”

หม่ากุ้ยเหรินกล่าว

“เขาอยากทำงานรับใช้ต้าฉินตั้งแต่เล็ก มีใจจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงเพคะ”

จักรพรรดิถามต่อ

“หนทางในการทำงานรับใช้ต้าฉินมีไม่น้อย ทั้งสอบรับราชการ ทำการค้า หรือทำไร่ไถนาล้วนปลอดภัยมากทั้งสิ้น แล้วเหตุใดหลานชายเจ้าต้องเป็นทหารให้ได้”

หม่ากุ้ยเหรินไม่กล้าบอกว่าหลานชายตัวเองนั้นบุ๋นไม่สู้บู๊ไม่เอา อาศัยสัมพันธ์ส่วนตนเข้าไปหาเงินทองใช้ไปวันๆ จึงได้แต่พูดเสียงสะอื้น

“เขามีศรัทธาต่อกองทัพอย่างแรงกล้า อยากเป็นทหารสร้างความดีความชอบทำงานรับใช้พระองค์ ทั้งยังเป็นการเชิดชูวงศ์ตระกูล ทว่าอุดมการณ์ยังไม่บรรลุ พลั้งทำผิดกฎกองทัพเล็กๆ น้อยๆ กลับต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือแม่ทัพเยี่ย น่าเวทนานัก”

จักรพรรดิทอดถอนใจ

“น่าเวทนาจริงๆ ในกองทัพจะสร้างความดีความชอบมิใช่เรื่องง่าย มันต้องแลกด้วยศีรษะเชียวนะ ว่าแต่เขาอายุเท่าไร เข้าร่วมกองทัพนานกี่เดือนแล้ว”

หม่ากุ้ยเหรินรีบเอ่ย

“เขาอายุยี่สิบสามเพคะ เข้าไปได้สามเดือนกว่าแล้ว”

“ไฉนผู้ที่อยากสร้างความดีความชอบในกองทัพผู้หนึ่งอยู่มาจนอายุยี่สิบสาม เข้าร่วมกองทัพสามเดือนกว่ายังไม่กระจ่างแจ้งกฎกองทัพของบรรพชนสิบเจ็ดข้ออีก”

หม่ากุ้ยเหรินจนวาจาไปชั่วขณะ แต่ยังคงกล่าวเถียงข้างๆ คูๆ

“เป็นแม่ทัพเยี่ยที่ชี้แนะสั่งสอนไม่ดี สังหารคนส่งเดชเพคะ”

จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเสียงห้วน

“เยี่ยเจาถือแส้เหล็กไหลของบรรพชน ลงโทษหลานชายเจ้าตามกฎกองทัพของบรรพชน หรือเจ้าเห็นว่าคำสอนของบรรพชนไม่ถูกต้อง กฎกองทัพที่บรรพชนตั้งขึ้นคือการสังหารคนส่งเดชหรือ กำแหงสิ้นดี!”

“มิใช่เพคะ…ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น มะ…หม่อมฉันปวดท้องเพคะ”

นางหลั่งน้ำตา ตัวสั่นเทิ้มโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่

“อย่าคุกเข่าอยู่เลย เจ้ามิใช่ตัวคนเดียวแล้ว น้ำตาไหลมากเกินไปไม่ดีต่อเด็กในท้องนะ” จักรพรรดิรีบเร่งพยุงพระสนมคนโปรดให้ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยปลอบ “เรื่องนี้สุดปัญญาจะแก้ไขได้แล้ว แต่เจ้ายังมีญาติสนิทอีกคนอยู่ในกองทัพกระมัง เราเดาว่าเขากับเยี่ยเจาก็คงไม่ถูกชะตากัน ในเมื่อเขามีใจอยากตอบแทนแผ่นดินและเชิดชูวงศ์ตระกูล มิสู้แต่งตั้งเขาเป็นขุนนางเล็กๆ สักตำแหน่งแล้วย้ายไปอีกที่เถอะ เจ้าว่าไปที่ค่ายทหารแนวหน้าที่ซีหนาน เป็นอย่างไร ที่นั่นมีโอกาสสร้างความดีความชอบมากที่สุด เมื่อข่าวชัยชนะมาถึง เราจะเลื่อนตำแหน่งปูนบำเหน็จให้เขาดีๆ”

ชายแดนซีหนานมีชนต่างเผ่ารุกราน กอปรกับมีแมลงและหมอกควันเป็นพิษเหลือคณานับ ค่ายทหารแนวหน้าของกองทัพซีหนานได้รับฉายาว่า ‘กองกำลังเดนตาย’ มักเป็นนักโทษที่ถูกส่งตัวไปเป็นทหารหรือคนท้องถิ่นที่ยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก ผู้ที่สามารถอดทนอยู่ได้หลายปีและมีชีวิตรอดมาได้ มาตรว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย กลับมีจำนวนน้อยนิดนับนิ้วได้

หม่ากุ้ยเหรินคิดตามทันในที่สุด นางรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะอ้อนวอน

“ไม่อยากไปก็ช่างเถอะ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย” จักรพรรดิพยุงหม่ากุ้ยเหรินขึ้นเป็นคำรบที่สอง อมยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “แม้จะแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว โอรสก็มีไม่น้อยแล้ว แต่เรายังคงรักลูกในท้องเจ้าอย่างมาก หากเป็นองค์หญิงน้อยที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายเจ้าจะเป็นการดีที่สุด คงต้องงามสะคราญเหนือใครเป็นแน่”

หม่ากุ้ยเหรินวิงเวียนตาลายวูบหนึ่ง นางชักจะเจ็บท้องขึ้นมาแล้วจริงๆ

 

ในกองทัพนครหลวง งานการทุกด้านที่ต้องสะสางให้เข้าที่เข้าทางหลังการลงโทษยังไม่เสร็จสิ้น

เยี่ยเจานั่งตัวตรงอยู่ในห้องแม่ทัพใหญ่ ตรวจดูบันทึกต่างๆ จนเวลาล่วงเลยถึงยามพลบค่ำโดยไม่รู้ตัว

หูชิงเตร่เข้ามาอย่างเอ้อระเหย เขาสาวเท้าไปที่ข้างกายนางแล้วเดินวนรอบหนึ่ง

นางรับรู้ถึงการมาของอีกฝ่ายในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ย

“เจ้าจิ้งจอก หลายวันนี้เพื่อสั่งสอนพวกชาติสุนัขกลุ่มนั้น ต้องลำบากเจ้าแล้ว มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรวบรวมโทษทัณฑ์ได้ครบถ้วนขนาดนั้น”

“สมควรแล้ว” เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างเป็นกันเองและเอ่ยถามนาง “พรุ่งนี้ตรงกับวันหยุดพอดี พวกเราไปดื่มสุรากันดีหรือไม่”

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ

“…คอไม่แข็ง”

“ข้าไม่รังเกียจ”

“ข้าหมายถึงเจ้าต่างหากที่คอไม่แข็ง”

หูชิงลูบจมูกอย่างเก้อกระดาก

“โธ่เอ๋ย มันก็ครือๆ กันทั้งสองฝ่าย อย่ามัวติติงกันเองเลย”

เยี่ยเจามองดูบันทึกที่กองสูงเป็นตั้ง

“วันหลังเถอะ”

“ไม่ได้!”

เยี่ยเจาขมวดคิ้ว

“เพราะอะไร”

หูชิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วโอดครวญ

“คนอย่างเจ้านี่นะ…ลืมเลือนสัญญารักมั่นนิรันดร์ระหว่างเราสองคนไปแล้วหรือ”

เยี่ยเจาตกใจจนตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง เอ่ยถามอย่างระวังภัย

“เจ้าจะเล่นลวดลายอะไรอีก”

หูชิงมองนางด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม

“เจ้าเดาดูสิ”

เยี่ยเจาขบคิดครู่หนึ่งแล้วหรี่ตาลง กล่าวข่มขู่

“ถึงข้ากับจิ้งจอกตลบตะแลงเช่นเจ้าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันก็หาได้ยับยั้งมิให้ข้าใคร่ครวญเป็นบางครั้งว่าสมควรบีบคอเจ้าให้ตายอย่างไรดี”

“หึๆ เคราะห์ดีที่แค่บางครั้ง เคราะห์ดีที่แค่ใคร่ครวญ” หูชิงสัพยอกนาง แต่ครั้นเห็นนางเริ่มชักสีหน้าก็รีบพูดตามตรง “ครั้งนั้นพวกเราสาบานว่าแม้ต้องตายก็จะล้างแค้นให้ได้ คืนก่อนหน้าการลอบโจมตีเจ้าพูดว่าหากทุกคนรอดชีวิตกลับมาก็จะเลี้ยงสุราชั้นหนึ่งของเมืองหลวง หรือเจ้าลืมไปแล้ว?”

เยี่ยเจาได้ฟังก็คลี่ยิ้ม ไหนเลยจะลืมเลือนราตรีนั้นได้

ท้องฟ้าไร้ทั้งแสงดาวและแสงเดือน ทหารสามพันนายที่หนีรอดจากการเข่นฆ่าทำลายล้างโม่เป่ยรวมตัวกันอยู่บนยอดภูเขาเฮยซาน ลับดาบลับอาวุธเป็นประกายคมกริบ ทุกคนดื่มเลือดร่วมสาบาน ปฏิญาณว่าแม้ต้องตายก็จะล้างแค้นให้ได้

ไม่มีสุราย้อมใจ ใช้น้ำสะอาดแทน

ไม่มีเนื้อชิ้นใหญ่ ใช้ขนมรังนก แทน

ตอนนั้นนางลุกขึ้นยืนบอกกับทุกคน

‘หากได้ชัยชนะกลับเมืองหลวง ข้าจะขอเชิญพี่น้องทุกคนไปดื่มสุราเลิศรสร่วมกัน!’

ทุกคนหัวเราะครื้นเครง

‘ลำพังแค่สุราเลิศรสมิได้! ต้องมีเรือสำราญที่ดีที่สุดบนแม่น้ำฉินและนางระบำที่งามที่สุดของตรอกหกสันติ ท่านแม่ทัพอย่าตระหนี่ถี่เหนียวไปเลย คราวนี้พวกเราจะต้องดื่มให้ท่านสิ้นเนื้อประดาตัวให้ได้!’

นางพูดยิ้มๆ

‘เช่นนั้นก็ดื่มกันสามวันสามคืนไปเลย!’

‘ดี!’

‘โบกสะบัดธงชัย!’

‘พบกันใหม่ที่เมืองหลวง!’

ทุกคนกระดกน้ำดื่มรวดเดียวหมดแล้วขว้างชามแตกกระจาย ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างฮึกหาญ จากนั้นสวมชุดเกราะทองแดง วิ่งทะยานลงเขาพร้อมนาง บุกทะลวงค่ายทหารข้าศึก

สงครามชี้ชะตา! สู้รบด้วยชีวิต!

ราตรีนั้นพวกนางเอาชนะข้าศึก ทว่ามีพี่น้องหนึ่งพันสองร้อยสามสิบเจ็ดคนมิได้กลับมาอีก

หกปีให้หลัง พี่น้องสามพันคนในครั้งนั้นเหลือเพียงห้าร้อยสามสิบสองคน

เหล่าหวงที่ร้องละครเป็นตายไปแล้ว เจ้าหมาน้อยหัวดื้อตายไปแล้ว เสี่ยวเหอที่ร้องเพลงรักได้หวานซึ้งตรึงใจยิ่งกว่าเสียงนกคีรีบูนตายไปแล้ว เหล่าเมาที่มีฝีมือทำอาหารเป็นเลิศตายไปแล้ว เหล่าหนิวที่ใช้ใบหญ้าสานเป็นตั๊กแตนได้ตายไปแล้ว เถี่ยจู้ที่วันๆ บ่นแต่อยากหาภรรยาสักคนตายไปแล้ว อาหนิวที่ชอบต่อล้อต่อเถียงเป็นที่สุดก็ตายไปแล้ว…

มีอะไรควรค่าแก่การฉลองยิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่

“ต้องดื่ม สุรานี้ต้องดื่ม! รีบไปจับจองเรือสำราญบนแม่น้ำฉินทุกลำ ไปเรียกตัวนางระบำ นักบรรเลงที่เก่งที่สุดของตรอกหกสันติมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย! ข้าจะเลี้ยงพี่น้องทุกคนดื่มสุราเลิศรสที่สุด!”

 

หมู่นี้ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่บ้าง กว่าเขาจะพูดกล่อมจนมารดาอารมณ์ดีได้มิใช่ง่ายดาย พอมีสหายกินสหายเที่ยวมาชักชวนไปดื่มสุราฟังนักเล่านิทานด้วยกัน เขาเลยตอบตกลง

ไม่คาดว่าความตื่นเต้นสนใจของชาวเมืองที่มีต่อเรื่องตีทัพของหมานจินแตกราบคาบยังไม่ลดน้อยถอยลง เดินเข้าร้านสุราริมแม่น้ำฉินสิบร้าน มีเก้าร้านกำลังเล่าตำนานความกล้าหาญของเยี่ยเจา เรื่องเล่าเต็มไปด้วยการต่อเติมเสริมแต่งเกินความจริง นักเล่านิทานก็พูดจนน้ำลายแตกฟอง เรียกเสียงโห่ร้องชอบใจจากทุกคนเป็นระลอกและมีการตกรางวัลกันไม่ขาดสาย ขณะที่ร้านสุดท้ายกำลังเล่าเรื่อง ‘บันทึกรักนกขมิ้น’ เป็นเรื่องราวของหนุ่มรูปงามกับสาวสะคราญโฉมแอบลอบฝากสารนัดพบกันใต้จันทรา

ในร้านมีลูกค้าหลงเหลืออยู่บางตาซึ่งล้วนขนลุกด้วยความหวานเอียน ซย่าอวี้จิ่นลังเลครู่หนึ่งแล้วตกลงปลงใจเข้าไปฟังให้ขนลุกอีกคน

“ใต้แสงโคม แม่นางจินอิงมองดูพัดกับสารรักของชายในดวงใจอย่างเศร้าสร้อย ในนั้นเขียนไว้ว่ารออีกสามปีให้หลังเมื่อเขาสอบรับราชการได้ก็จะมาสู่ขอ ครั้นหนุ่มคนรักได้เป็นจอหงวนแล้ว นางกำลังแย้มยิ้มด้วยความเบิกบานใจ ไม่คาดว่าบิดามารดาจะละโมบในเงินทอง ถึงกับลอบยกนางให้หมั้นหมายกับลูกชายเสเพลของนายอำเภอ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี แม่นางคนดีแสนจะทุกข์ระทมใจจริงๆ”

“นี่มันสุนัขผายลมหรือไร”

ซย่าอวี้จิ่นง่วงงุนจนอยากหลับ เปลือกตาบนหลุบลงมาชนเปลือกตาล่างไม่หยุด

คุณชายเสเพลด้านข้างกำลังเมียงมองหญิงงามที่เดินผ่านมาทางนอกหน้าต่าง พลันอุทานขึ้นด้วยความตกใจ

“เอ๊ะ? นั่นมิใช่แม่ทัพเยี่ยหรอกหรือ”

คุณชายเสเพลคนอื่นพากันชะโงกหัวออกไป เอ่ยอย่างประหลาดใจบ้าง

“จริงด้วย! จวิ้นอ๋อง นั่นมิใช่ภรรยาท่านรึ นางมาทำอะไรที่ริมแม่น้ำฉิน ดะ…ด้านข้างยังมีบุรุษคนหนึ่ง ท่าทางสนิทสนมกันมาก”

“อะไรนะ”

ซย่าอวี้จิ่นทะลึ่งพรวดขึ้นจากเก้าอี้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขารีบไปเกาะขอบหน้าต่าง เขม้นมองไปทางริมแม่น้ำฉิน แลเห็นเยี่ยเจาสวมอาภรณ์เรียบง่ายตามสบาย ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวอย่างองอาจผึ่งผาย เป็นเหตุให้สตรีน้อยใหญ่ทั้งหลายเหลียวมอง ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางเป็นบุรุษหนุ่มกำยำล่ำสันผู้หนึ่ง สวมชุดทหาร กำลังพูดคุยยิ้มหัวกัน

หลังจากหนุ่มกำยำล่ำสันคนนั้นเดินลงไปในเรือสำราญข้างฝั่งก็มีบุรุษกล้ามโตวิ่งมาอีกคน เขาตบตัวเยี่ยเจาเบาๆ คราหนึ่งด้วยความตื่นเต้นยินดี กล่าวอะไรบางอย่างสองสามคำดังลั่นอย่างไม่ยำเกรงแล้วลงไปในเรือสำราญเช่นกัน

ไม่นานนักชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าเหี้ยมหลายคนก็กระโดดลงจากม้า แต่ละคนล้วนแย้มยิ้มหัวเราะกับเยี่ยเจา ใกล้ชิดคุ้นเคยจนแทบจะโผเข้าไปกอดคอโอบไหล่กันด้วยความระลึกถึง

มีบุรุษเดินเข้าไปคนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่ขาดสาย ทั้งอ้วนผอมสูงต่ำดำขาว คนหนุ่มคนแก่ หล่อเหลาขี้เหร่ ไม่ว่ารูปลักษณ์ใดมีทั้งสิ้น มีเพียงจุดเดียวที่เหมือนกันคือสนิทสนมกับภรรยาเขามาก

ต่อจากนั้นหญิงคณิกา นางระบำรำร้อง และนักดนตรีนับร้อยคนทยอยมาถึง ต่างแยกย้ายกันก้าวลงไปในเรือสำราญลำต่างๆ ทีละคน มีสองพี่น้องฮวาเจียวกับฮวาซิวแห่งหอร้อยบุปผา ไซ่เฟิ่งหวงกับไซ่หรูอี้แห่งหอหมื่นวสันต์ หมู่ตานกับฝูหรงแห่งหอผกาหอม ลู่เชียนเชียนกับฉู่เซวียนเอ๋อร์แห่งเรือนแพรแดง หลี่ชิวห่าวกับโม่ซีจวินแห่งเรือนเพลงสกุณา

สิบยอดหญิงงามชื่อดังที่สุดของหอคณิกาใหญ่ห้าแห่งมากันพร้อมหน้า อาภรณ์หรูหราสะบัดพลิ้วปลิวไหว ป้ายหยกกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง งามเฉิดฉายละลานตาไปทั้งแม่น้ำฉิน

สุดท้ายเยี่ยเจาก็เดินลงไปในเรือสำราญลำที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

นักเล่านิทานในร้านสุรายังคงเล่าต่อไปอย่างลื่นไหลเป็นฉากๆ ถึงตอนคุณหนูจินอิงลอบนัดพบหนุ่มคนรักใต้แสงจันทร์ พูดพร่ำรำพันถึงความรักที่มีต่อกัน

ซย่าอวี้จิ่นขยี้ตาหยิกแก้ม รู้สึกเพียงชีวิตคนเราดั่งอยู่ในความฝัน

เหล่าสหายกินสหายเที่ยวเห็นท่าไม่ได้การ เค้นสติปัญญาสรรหาถ้อยคำมาปลอบใจกันพัลวัน

“นางเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ย่อมต้องต่างจากสตรีทั่วไป จะอย่างไรก็ต้องมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ้าง”

“แต่ก่อนนางกินอยู่หลับนอนร่วมกับทหารหลายสิบหมื่น คงเคยชินเสียแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”

“สตรีคนหนึ่งกับบุรุษคนหนึ่งเข้าไปในห้องจะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแน่ หากแต่สตรีคนหนึ่งกับบุรุษทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น”

“ใช่ จวิ้นอ๋องวางใจได้ ท่านคงไม่ถูกสวมเขาหรอก ยิ่งไม่มีทางถูกสวมเขาคราวเดียวหลายร้อยเขา”

“นั่นสิๆ แล้วพวกหญิงคณิกาชื่อดังคงไม่ถูกตาต้องใจภรรยาท่านหรอก”

ซย่าอวี้จิ่นกำมือจนข้อนิ้วส่งเสียงดังเปาะๆ สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีด รอกระทั่งเรือสำราญเคลื่อนออกจากฝั่งแล้วเขาจึงฝืนเค้นเสียงออกจากลำคอ

“ข้ามีภรรยาที่ไหนกัน เป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดในใต้หล้าเลยทีเดียว ไปหาเรือสำราญมาซิ คืนนี้ข้าจะล่องแม่น้ำฉินกับเหล่าสาวงามให้สำราญใจ”

“จวิ้นอ๋อง ท่านแม่ทัพทุ่มเงินไปมากมายขนาดนั้น ไหนเลยยังจะมีเรือสำราญเหลืออีก”

“เรือสำราญของเหล่าหลี่ลำนั้นน่าจะซ่อมแซมไปได้พอสมควรแล้ว ให้เขาเอาออกมาเถอะ”

“สาวงามถูกท่านแม่ทัพกวาดตัวไปหมด เหลือแต่หน้าเก่าๆ พวกนั้นจะเป็นที่เยาะเย้ยขบขันได้นะ”

“คราวก่อนหลิวเอ้อร์หลางบอกว่าพวกนักพรตหญิงอารามเขาหนาวเหน็บล้วนหน้าตาพริ้มเพรา อ่อนหวานฉอเลาะ รู้อกรู้ใจผู้อื่นมิใช่หรือ เอารถม้าไปจ้างมาสักสองสามคนแล้วให้เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก็พอ”

“จวิ้นอ๋อง เกิดท่านแม่ทัพบันดาลโทสะจะทำอย่างไร”

“ไสหัวไปไกลๆ เลย ข้าเห็นนางไปดื่มเหล้าเคล้านารียังไม่บันดาลโทสะ นางจะมีโทสะทำไม”

“จวิ้น…จวิ้นอ๋อง…ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง คราวหน้าค่อยมาใหม่อีกทีได้หรือไม่”

“ผู้ใดใจเสาะเผ่นหนีกลางคัน คอยดูว่าวันหน้าข้าจะเล่นงานมันผู้นั้นถึงตายอย่างไร!”

 

ตลอดสิบลี้ของแม่น้ำฉิน โคมไฟเปล่งแสงเรืองรองกลางราตรีมืดมิดจนสว่างไสวดุจยามกลางวัน เรือสำราญลอยละล่องคลอเสียงดนตรีดีดสีตีเป่าอ้อยอิ่ง ตรึงฝีเท้าของผู้คนที่ผ่านไปมานับไม่ถ้วนให้หยุดลงสดับตรับฟัง กลิ่นอายความสำเริงสำราญคละเคล้าเสียงจอกสุรากระทบกัน เป็นบรรยากาศที่แสนรื่นรมย์น่าหลงใหล

เยี่ยเจานั่งอยู่ในเรือสำราญ หากแต่ปราศจากหญิงคณิกาชื่อดังแนบชิด มีเพียงนักดนตรีฝีมือดีอายุราวสามสิบสี่สิบ แต่ละคนถือกลองถือพิณบรรเลงท่วงทำนองเพลงเชิดชูนักรบ

ผู้ที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงล้วนเป็นคนที่กลับจากโม่เป่ยแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง มีทั้งผู้บัญชาการเขต ผู้บัญชาการทหารม้า หัวหน้าราชองครักษ์หู่เปิน (หัวหน้าองครักษ์พยัคฆ์โผน) ขุนพลพิเศษ ขุนพลโหยวจี ขุนพลเพี่ยวฉี (ขุนพลอาชาเหิน) ขุนพลเชอจี้ (ขุนพลม้าและรถศึก) รวมยี่สิบกว่าคน ตลอดจนองครักษ์ประจำตัว ที่ปรึกษาทัพและทหารคนสนิทข้างกายแม่ทัพอีกหกคนนั่งเรียงรายกันเต็มพรืด ทั้งหมดเป็นสหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วทั้งสิ้น

เมื่อสุราฤทธิ์แรงล่วงลำคอไปหลายกา พวกเขาค่อยๆ เริ่มเมามายกันสามส่วนก็พากันหวนคิดถึงเหตุการณ์สู้รบที่ดุเดือดโหดร้ายในครั้งนั้น บางคนทุ่มเถียงกัน บางคนสะอึกสะอื้น บางคนภาคภูมิใจ บางคนคึกคักตื่นเต้น บางคนร่ำไห้น้ำมูกน้ำตาไหล แล้วก็มีบางคนเปลือยอกเต้นระบำ

“วันนี้เพื่อมาดื่มสุราจอกนี้ฉลองกับเหล่าพี่น้อง แม้แต่ลูกชายแต่งงานข้าก็ไม่สนใจแล้ว!”

“เจ้าบ้า ลูกชายแต่งงาน แล้วเจ้าแส่เข้าไปยุ่งอะไรด้วย”

“มารดาเจ้าสิ! ลูกชายข้าแต่งงาน ไฉนข้าจะแส่เข้าไปยุ่งมิได้”

“ใช่ๆ เจ้าจะแส่เข้าไปยุ่งก็เรื่องของเจ้า ดื่มอีก!”

ชิวเหล่าหู่ขว้างจอกสุรา ถลันเข้าไปบีบคอนายกองที่ได้แต่งสะใภ้ผู้นั้น กล่าวตะคอกใส่

“อุวะ! เจ้ามีลูกชายจะแต่งภรรยาหรอกหรือ ไฉนไม่มาสู่ขอลูกสาวข้าก่อน”

นายกองปล้ำสู้กับเขาอุตลุดพลางก่นด่า

“ไสหัวไปไกลๆ เลย! ลูกชายข้าเป็นบัณฑิตสุภาพ ข้าไม่อยากเห็นเขาวันๆ ถูกภรรยาเงื้อดาบไล่ฟันไปไกลสิบถนน ซ้ำยังตอบโต้กลับมิได้!”

ชิวเหล่าหู่เอ่ยอย่างโมโหโทโส

“โง่เง่า!”

ขุนพลพิเศษอู๋ช่วยพูดไกล่เกลี่ย

“เหล่าหู่เอ๋ย ตอนอยู่โม่เป่ย แม่หมูยังล้ำค่ากว่าเตียวฉาน* ทหารที่อยากแต่งลูกสาวเจ้าเป็นภรรยามีไม่น้อย เจ้าหลับหูหลับตาเลือกลูกเขยสักสองคนก็หมดเรื่อง”

“พวกหยาบคายไม่รู้หนังสือสักตัวนั่นน่ะไม่ได้หรอก” ชิวเหล่าหู่ส่ายหน้า “ข้าเหมือนคนหูหนวกตาบอด ถูกเอารัดเอาเปรียบซึ่งหน้าก็ยังไม่รู้เรื่องมาตลอดชีวิต โดนเศรษฐีเจ้าของที่ดินบีบคั้นจนต้องขึ้นเขาไปเป็นโจร ตอนนี้ลืมตาอ้าปากได้แล้ว จะต้องหาคู่ครองที่เป็นปัญญาชนให้พวกลูกสาว จะได้มีหลานชายเป็นจอหงวนสักคน!” จากนั้นเขาก็หันไปตะโกนพูดกับหูชิง “กุนซือหู ข้ายกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าไปเลยทั้งคู่ก็แล้วกัน ถึงอย่างไรพวกนางสองพี่น้องก็รักใคร่กันดี แต่งคนหนึ่งกำนัลให้คนหนึ่งตามอย่างหวงๆ อิงๆ** อะไรนั่นก็ได้ รับรองว่าเจ้าไม่ขาดทุน!”

หูชิงแทบสำลัก กล่าวหยอกเย้า

“ลูกสาวท่านคนเดียวก็สามารถซ้อมข้าแทบปางตายได้ หากเป็นสองคนก็เอาชีวิตข้าไปเลยดีกว่า ทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เหลือทางรอดให้ข้าสักสายเถอะ”

ทุกคนหัวเราะครื้นเครงตามไปด้วย

“รอหลังจากสอบรับราชการครั้งหน้าเสร็จสิ้น พวกเราไปลักพาตัวคนที่สอบผ่านมาสองคน เอาที่หน้าตาเกลี้ยงเกลาสักหน่อย จากนั้นมัดตัวส่งเข้าห้องหอไปเลย ให้เป็นลูกเขยรังโจรปรนนิบัติน้องสาวทั้งสองดีหรือไม่”

ชิวเหล่าหู่ซัดกำปั้นใส่ตัวการออกความคิดพิเรนทร์ไปสองหมัด ตะโกนเอ่ยกับเยี่ยเจาโดยตรง

“ท่านแม่ทัพ! ท่านต้องเป็นธุระให้ลูกสาวข้านะ ความสุขชั่วชีวิตของพวกนางฝากไว้ที่ท่านแล้ว!”

เยี่ยเจารับคำซ้ำๆ

“ได้ๆ”

องครักษ์สวี่รีบรุดมาประชิดข้างกายชิวเหล่าหู่ กล่าวอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา

“พี่หู่ ยกน้องชิวหวาให้ข้าเถอะนะ ข้าอยากได้นางมาหลายปีแล้ว อย่าเอาของดีมีค่าไปให้บัณฑิตไส้แห้งพวกนั้นเลย หากมิใช่ตอนนั้นนางติดสอยห้อยตามท่านแม่ทัพทั้งเช้าทั้งเย็น ทำเอาทุกคนนึกว่านางเป็นผู้หญิงของท่านแม่ทัพจึงไม่กล้าลงมือ ป่านนี้ท่านคงได้เป็นท่านตาไปแล้ว”

ชิวเหล่าหู่เยาะเย้ยเสียงดัง

“ตามเกี้ยวสตรีคนหนึ่งยังไม่กล้า แค่เรื่องนี้เจ้าคู่ควรแต่งลูกสาวข้าเป็นภรรยารึ”

“นั่นสิ” เยี่ยเจาตบหน้าผากเขาพลางเอ่ยด้วยอาการเมาเล็กน้อย “เมื่อไรที่อ่านหนังสือออกครบทุกตัวและฝึกใจให้กล้าพอ เจ้าค่อยไปสู่ขอนางกับท่านพ่อตา”

ทุกคนหัวเราะครืนใหญ่อีกระลอก

ท่ามกลางเสียงคะยั้นคะยอให้ดื่ม เยี่ยเจากรอกสุราลงท้องไปอีกเจ็ดแปดจอกก็เริ่มเมามากขึ้น

“สาวงามล่ะ? ไฉนบนเรือสำราญลำนี้ไม่มีสาวงาม รีบไปเรียกสักสองคนมาร่ายรำสิ วันนี้ข้าจะสนุกกับทุกคนให้เต็มที่”

หูชิงเอ่ยยิ้มๆ

“พี่น้องสังสรรค์กัน ร่ำสุราสรวลเสเฮฮา จะต้องการสาวงามไปทำไม ตอนนี้แต่ละคนในนี้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่โต เจ้ายังกลัวพวกเขาจะเป็นเช่นเมื่อก่อน ไปเที่ยวซ่องนางโลมยังต้องขอติดหนี้ไว้ก่อนหรือ”

“ถูกต้อง!”

ทุกคนโคลงศีรษะ หวนคิดถึงความหลังแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจ

“ตอนนี้พวกเราไม่ขัดสนเงินทองไปเที่ยวซ่องนางโลมแล้ว ยิ่งกว่านั้นถ้าไปดื่มกับท่านแม่ทัพ หญิงโคมแดงแต่ละคนล้วนจ้องท่านตาเป็นประกาย พวกเราถึงไม่ต้องเสียอารมณ์ เคราะห์ดีที่ท่านเป็นสตรีถึงทำให้พวกนางถอดใจ มิเช่นนั้นคงหมดหวังจริงๆ”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”

เยี่ยเจาฉงนฉงาย

“มี!”

เสียงคำรามอย่างขัดเคืองดังสนั่นหูแทบแตก

เยี่ยเจาให้เหตุผล

“หญิงงามทิวทัศน์งามล้วนเป็นสิ่งเจริญตาเจริญใจ ข้าจึงชอบเหลียวมองซ้ำ มิได้คิดเป็นอื่น…”

“โห่!”

คนทั้งหมดพากันตบโต๊ะด้วยอารมณ์ฮึกเหิมลำพอง

เยี่ยเจาไม่ต่อปากต่อคำอีก ดื่มสุราเงียบๆ ดังเดิม

เมื่อไร้สาวงามให้มองชม พวกเขาได้แต่ชะเง้อชะแง้คอยาว จากนั้นก็เดินไปที่ดาดฟ้าเรือกันทีละคนสองคน แย่งกันดูสาวงามบนเรือสำราญลำอื่น

แม่ทัพโม่เอ่ยขึ้น

“ดูนั่น! ยังคงเป็นฝูหรงแห่งหอผกาหอมที่ทรวดทรงงามที่สุด! หน้าอกหน้าใจใหญ่อะร้าอร่ามจริงๆ ให้ตายสิ!”

ที่ปรึกษาเฉียนส่ายหน้า

“เจ้าคิดผิดถนัดแล้ว ฮวาซิวต่างหากที่มีนัยน์ตาสุกใสพราวเสน่ห์ ประกายตาหวานซึ้งแวววาวดุจพรายน้ำใส ทรวดทรงก็อ้อนแอ้นอรชรดั่งกิ่งหลิวลู่ลม เป็นหญิงงามเลิศไม่มีผู้ใดเทียม”

ขุนพลเชอจี้ขยับเข้ามาใกล้ เพ่งมองแล้วกล่าวเหยียดหยาม

“ตาไม่ถึง ลีลาเริงรักของพวกนางมีหรือจะสู้ลู่เชียนเชียนได้”

“ใช่แล้ว ช้าก่อน!” ชิวเหล่าหู่พลันตะเบ็งเสียงขึ้น “พวกสาวๆ บนเรือสำราญทางซ้ายนั่นรูปโฉมช่างพริ้มเพราจริงๆ พวกเจ้ารีบมาดูเร็ว หอคณิกาไหนกัน”

“คนตรงกลางงามแฉล้มที่สุด เพียงแต่ตัวสูงไปเล็กน้อย”

“ปัญญาทึบ! สตรีเอวบางขายาวถึงชวนมอง!”

“ท่วงท่าของสตรีคนนั้น…พวกคุณหนูตระกูลใหญ่ยังทาบไม่ติดเลย!”

“ดูเหมือนไม่เคยเห็นในหอคณิกาแถวแม่น้ำฉินมาก่อนเลย ให้คนเรือแล่นเรือเข้าไปใกล้ๆ สิ จะได้ดูให้เต็มตาอีกที”

พวกเขารีบร้องชวนทุกคนให้มาดูหญิงงาม ซ้ำยังผิวปากหยอกเย้านางด้วย

เยี่ยเจาก็เดินไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นางเห็นเรือสำราญใหม่เอี่ยมอยู่ไม่ไกล กำลังแล่นเข้ามาหาพวกตน

บนหัวเรือมีสาวงามหลายคนยืนห้อมล้อมคนงามซึ่งสวมเสื้อคลุมหนังขลิบริมด้วยขนจิ้งจอกสีขาว ยืนตระหง่านกลางผู้คน แลดูสง่าโดดเด่น เส้นผมดำขลับที่มัดรวบไว้ง่ายๆ ถูกลมตีหลุดรุ่ยร่ายลงมาหลายปอย รอจนเรือสำราญแล่นมาใกล้ พอจะเห็นผิวกายเรียบเนียนดุจหยกงามได้รำไร และดวงตาสีดำทอประกายระยิบระยับใต้โคมไฟ

แม้เห็นรูปหน้าไม่ชัดเจน ทว่าอาศัยเพียงรัศมีสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กายก็ข่มให้หญิงคณิกาชื่อดังทั้งหมดกลายเป็นหญิงงามดาษดื่นได้ พวกขี้เมาส่งเสียงผิวปากต่อไปอย่างทะลึ่งตึงตังหมายจะแทะโลม

เยี่ยเจามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระแอมไอเสียงหนักๆ

“หยุดผิวปากได้แล้ว นั่นสามีข้าเอง”

บทที่ 5

รูปโฉมโนมพรรณของนักพรตหญิงอารามเขาหนาวเหน็บจัดได้ว่างามเข้าขั้น ผิวกายนุ่มละมุน นัยน์ตาเย้ายวนชวนฝัน กิริยาอ่อนช้อย สุ้มเสียงออดอ้อน พอได้สวมอาภรณ์ผ้าไหมหรูหราและเครื่องประดับอัญมณี ความงามยิ่งฉายชัดเพิ่มขึ้นสามส่วน

นอกจากนี้ด้วยชีวิตกลางภูเขายากจนข้นแค้น ไร้อนาคต พวกนางจึงรักเงินทองยิ่งกว่าใครๆ เมื่อซย่าอวี้จิ่นหว่านเงินเป็นเบี้ยอย่างมือเติบ แต่ละคนล้วนกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า แสดงท่าไม่หวั่นเกรงความตายและไม่หวาดกลัวท่านแม่ทัพ ชม้ายชายตายั่วยวนได้น่าหลงใหลยิ่งกว่าหญิงคณิกาแม่น้ำฉินเสียอีก จึงยากจะโทษที่พวกชายฉกรรจ์ห่ามห้าวบนเรือสำราญของแม่ทัพใหญ่จะพากันผิวปากตบมือ จ้องเขม็งจนลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้ารอมร่อ

ซย่าอวี้จิ่นพึงพอใจอย่างมาก เขาให้เรือสำราญแล่นเข้าไปใกล้ขึ้นอีกอย่างอวดศักดา หมายให้ทุกคนเห็นได้ชัดถนัดตาว่าหนานผิงจวิ้นอ๋องเสเพลเจ้าสำราญ ลุ่มหลงนารี มีสตรีอยู่ในอ้อมแขนทั้งซ้ายขวาไม่น้อยหน้าภรรยาแม้แต่น้อย

ไม่คาดว่าพอเรือสำราญอยู่ใกล้กัน เขาก็ต้องประหลาดใจมากเมื่อพบว่าคนบนเรือสำราญฝั่งตรงข้ามที่ผิวปากพวกนั้นหุบปากเงียบกันหมด ส่วนเยี่ยเจายืนผงาดอยู่กลางกลุ่มคน มองดูเขาอย่างไม่ละสายตา สีหน้านางบูดบึ้งอยู่บ้าง พาให้บรรยากาศตึงเครียด

ใช่เลย! ผลลัพธ์เช่นนี้แหละที่เขาต้องการ!

ซย่าอวี้จิ่นกอดสาวงามอย่างดีอกดีใจ วางท่าผยองพองขนเต็มที่

มีขี้เมาคนหนึ่งขยับเข้าไปเอ่ยกับเยี่ยเจาสองสามคำเบาๆ ก่อนที่นางจะกระดิกนิ้วเรียกเขาเป็นเชิงบอกให้เอาเรือสำราญเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

ซย่าอวี้จิ่นย่อมไม่ยอมคล้อยตามเป็นธรรมดา ซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาให้ เยี่ยเจาจึงหยิบเชือกเส้นหนึ่งตรงข้างเรือขึ้นมามัดปลายกับกาสุราทองแดงใบหนึ่ง เหวี่ยงหมุนเป็นวงกลมสองรอบแล้วขว้างออกไป มันลอยพุ่งไปเกี่ยวรัดกับราวกั้นตรงกราบเรือฝั่งตรงข้ามในพริบตา จากนั้นนางก็กระโจนตัวขึ้นเดินไต่เชือกข้ามไปอย่างสบายๆ

นางจะซ้อมเขาต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้?

ซย่าอวี้จิ่นวิตกอยู่บ้าง แต่ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหากนำเรื่องการประทุษร้ายสามีต่อหน้าธารกำนัลไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ก็จะสามารถตกลงหย่ากันได้ทันที เขาก็ยินดีปรีดาเป็นการใหญ่ รีบยืดอกขึ้น บุ้ยใบ้ให้นักพรตหญิงถอยออกไปสองก้าว รอรับการทุบตีอย่างกล้าหาญ

ไม่คาดว่าเยี่ยเจาซึ่งเดินโซเซไต่เชือกข้ามมาถึงนั้นมีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว นางมองไปทางนักพรตหญิงก่อนแล้วค่อยมองดูเขาด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ

เขาถามเสียงเยาะ

“มองอะไร ไม่เคยเห็นผู้ชายเที่ยวหญิงคณิกาหรือไร อ๊ะ…ขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นพวกที่ดื่มเหล้าเคล้านารีจนเป็นนิสัย”

นางกวาดตามองนักพรตหญิงแวบหนึ่ง ขยับเข้าไปกระซิบถาม

“พวกนางมาจากที่ใดกัน”

เขาเชิดหน้ากล่าว

“ข้าจะหาความสุขกับสตรี กงการอะไรของเจ้าด้วย”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น อย่าเสียงดังนักสิ” นางโอบไหล่เขาพาเดินไปมุมหนึ่ง ลดสุ้มเสียงเบาลงยิ่งขึ้น เอ่ยถามอย่างมีลับลมคมใน “ผู้ช่วยแม่ทัพหลิวบอกว่าแม่นางตัวเตี้ยข้างกายท่านคนนั้นหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ท่าทางร่าเริงผิดจากผู้อื่น ให้ข้ามาถามดูว่าเป็นแม่นางของหอคณิกาใด จะได้ไปอุดหนุนสักหน่อย”

ซย่าอวี้จิ่นโกรธแทบอกแตกตาย เขาสะบัดตัวออกอย่างแรง ชี้หน้าเยี่ยเจา

“เมื่อครู่พวกเขาตะโกนตบมือชอบใจก็เพราะคิดจะแย่งผู้หญิงที่ข้าพามารึ!”

คำถามนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจเสียจริง

นางสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเบนสายตามองไปที่ผืนน้ำ ผงกศีรษะพลางเอ่ยอย่างหนักใจ

“ทำนองนั้นกระมัง…”

เขาลำพองใจอยู่บ้างจึงกล่าวโอ้อวด

“ฮึ ต่อให้เจ้าจับจองหญิงคณิกาในแถบแม่น้ำฉินไปจนเกลี้ยง ข้ายังคงหาคนที่งามกว่ามาปรนนิบัติได้อยู่ดี เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของข้า!”

เยี่ยเจาหันหน้ามามองแวบหนึ่ง เห็นขนจิ้งจอกสีขาวปลิวคลอเคลียริมหูเขา ใบหน้าซึ่งถูกลมตีจนแดงเรื่อฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง แลดูสดใสมีชีวิตชีวาอย่างมาก นางก็อดกล่าวอย่างเห็นพ้องด้วยมิได้

“เป็นคนงามจริงๆ”

เขาโบกมืออย่างรำคาญ

“เอาเป็นว่าข้าสำเริงสำราญกับหญิงงามของข้า ส่วนเจ้าก็กลับไปสำเริงสำราญกับบุรุษกลุ่มนั้นเถอะ”

“อย่าพูดส่งเดช” นางรีบอธิบาย “พวกเขาล้วนติดตามข้ามาหกปี เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ข้าเคยรับปากว่าหลังจากกรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะจะจัดงานเลี้ยงที่แม่น้ำฉินเพื่อเป็นการฉลองให้ทุกคน บัดนี้กว่าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้เลือดตาแทบกระเด็น ทั้งยังสร้างความดีความชอบและมีชื่อเสียงแล้ว เป็นลูกผู้ชายก็ต้องมีสัจจะ จะเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าไม่ได้”

“ผู้ใดอยากรู้เรื่องของเจ้ากัน”

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าที่นางกล่าวก็พอจะมีเหตุผลเล็กน้อย ทว่าในใจยังคงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

เยี่ยเจาโอบไหล่เขาเข้ามาอีกครั้งแล้วยื่นหน้าไปที่ข้างหู เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มอยู่บ้าง

“ท่านมิสู้…ข้ามไปร่วมดื่มสุรากับทุกคนด้วยเสียเลย ว่าอย่างไร”

เขาขมวดคิ้ว ปัดมือนางออกอย่างรังเกียจ

นางกลับยิ้มพราย พูดกระซิบกระซาบ

“ข้าจะแนะนำท่านให้พวกเขารู้จักดีหรือไม่”

สีหน้าเฉยเมยเป็นนิจของเยี่ยเจาละมุนลง มุมปากประดับรอยยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วฉ่ำปรือด้วยฤทธิ์สุรา เป็นประกายวาววับใต้แสงโคมสลัว แววตาแพรวพราวแฝงเสน่ห์รัดรึงใจหลายส่วน

ซย่าอวี้จิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงทำใจแข็ง ตั้งท่าจะเอ่ยปากปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

ไม่คาดว่ามีขี้เมาคนหนึ่งเปลือยกายท่อนบนพรวดพราดออกมาจากห้องในเรือฝั่งตรงข้าม ส่งเสียงโหวกเหวกมา

“สาวงามล่ะ? คนที่พวกเจ้าพูดว่างามหยาดเยิ้ม เอวบางขายาวน่ะอยู่ที่ไหน”

ชิวเหล่าหู่กำลังร่วมวงดูอยู่อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เห็นเจ้าคนความรู้สึกช้าผู้นี้ทำเสียบรรยากาศก็โมโหจนถีบเขาตกลงไปในแม่น้ำพลางสบถด่า

“เพ้อเจ้อเหลวไหล! ผายลมส่งเดช! สาวงามเอวบางขายาวอะไรกัน นั่นสามีของท่านแม่ทัพชัดๆ เจ้ายังจะสะเออะมาเกี้ยวพาราสี ไม่เห็นหรือไรว่าทุกคนหุบปากหมดแล้ว”

เยี่ยเจารู้สึกได้ว่าร่างของบุรุษในอ้อมแขนแข็งทื่อไปชั่วขณะ สีหน้าบูดบึ้งลงทุกที นางจึงคิดจะอธิบาย

ซย่าอวี้จิ่นกระทืบหลังเท้านางทีหนึ่งแล้วกำดินในกระถางดอกไม้ซัดใส่ดวงตานาง ดิ้นขัดขืนด้วยความโกรธเกรี้ยวดุร้ายยิ่งกว่าพยัคฆ์ติดกับดัก

นางจนปัญญา ได้แต่คลายมือออก เขาสบช่องพุ่งทะยานเข้าห้องในเรือไปแล้วเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง

ท่านแม่ทัพเดินไปเคาะประตูกล่าวขอขมา

“อย่ามีน้ำโหไปเลย พวกพี่น้องหาได้มีเจตนา เพียงแค่ตาลายไปชั่วขณะ”

“ไสหัวไปให้พ้น นางตัวดี! วันหลังอย่ามาให้ข้าเห็นหน้านะ!” เสียงตะโกนคำรามของซย่าอวี้จิ่นดังกลบเสียงดนตรี สะท้อนก้องเหนือแม่น้ำฉินอยู่เนิ่นนาน “ข้าขอสาบานต่อฟ้า วันหน้ามีเจ้าไม่มีข้า!”

บรรดานักพรตหญิงกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นไม่หยุด พากันคำนับอำลาเยี่ยเจาพลางลอบชำเลืองมองอีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งกลับไปปลอบประโลมบ่อเงินบ่อทองของพวกตน

เยี่ยเจาถูกปิดประตูใส่หน้าก็หน้าม่อยคอตกกลับไป เห็นพี่น้องแต่ละคนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

ชิวเหล่าหู่ซึ่งเป็นตัวการใหญ่กล่าวขึ้น

“เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เลว อยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ผู้กร้าวแกร่งปานนี้ รู้ทั้งรู้ว่ามิใช่คู่มือ ยังกล้าเหวี่ยงประตูใส่อย่างดื้อแพ่งแข็งข้อ มีความใจเด็ดดุจเดียวกับข้าในครั้งนั้นอยู่หลายส่วน ท่านแม่ทัพสายตาแหลมคมยิ่ง!”

นางเงื้อเท้าถีบก้นคนพูดจาเลอะเทอะเพ้อเจ้ออย่างแรงจนเขาตกน้ำลงไปอยู่เป็นเพื่อนกับพี่น้องคนก่อนหน้านี้ แล้วกลับไปดื่มสุราด้วยสีหน้าขุ่นมัว

“หนาวจะตายอยู่แล้ว!” ชิวเหล่าหู่ตะเกียกตะกายลอยคออยู่กลางน้ำพลางร้องโวยวาย “ท่านแม่ทัพ! ท่านเห็นบุรุษสำคัญกว่าสหายเกินไปแล้ว ข้าไม่ยอมเลิกราแน่”

เยี่ยเจาคว้ากาสุราใบหนึ่งขว้างลงไป

“ไสหัวไปซะ!”

หูชิงซึ่งนั่งกอดจอกสุราดื่มเงียบๆ มาตลอดขยี้ตาแล้วคลานเข้าไปพูดที่ข้างหูนาง

“แม่ทัพใหญ่ เจ้าเมาแล้ว”

เยี่ยเจากรอกสุราลงคออีกสองอึก ตบโต๊ะตวาดลั่น

“เหลวไหล! ข้าพันจอกไม่เมา!”

เขาพินิจดูนางอย่างจริงจังแล้วโคลงศีรษะ

“แล้วกันไปเถอะ รู้จักเจ้ามาเจ็ดแปดปี ทุกครั้งที่เจ้าเมาสุราเป็นต้องแทะโลมหญิงงาม คราวนี้คงชนกำแพงเข้าล่ะสิ”

นางกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ข้าแทะโลมสามีตัวเองนับว่าเป็นการแทะโลมด้วยหรือ อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าที่เมาสุราทีไรต้องไล่จับคนให้มาฟังเจ้าครวญเพลงชาวเขา ทั้งที่เสียงเจ้าแหบแห้งอย่างกับเป็ด ร้องก็ร้องหลงทำนองจากโม่เป่ยไปถึงหนานอี๋ ซ้ำยังมีแต่เรื่องความรักหวานเอียนชวนคลื่นไส้จนทำเอาอยากสำรอกอาหารคืนก่อนหน้าออกมา ข้าขอเตือนไว้นะ คราวนี้ถ้าเจ้าคิดจะร้องเพลงล่ะก็ ไปจับตัวชิวเหล่าหู่ข้างนอกนั่น ขืนมาร้องเพลงกับข้าอีกจะถีบเจ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ”

ดวงตาของหูชิงหม่นแสงลงวูบหนึ่ง แต่ชั่วอึดใจเดียวเขาก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ

“มีอะไรน่าขายหน้ากัน บุรุษชอบพอสตรีคนหนึ่ง เรื่องโง่งมอะไรก็ล้วนทำเพื่อนางได้ ทว่าสามีเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้เกรงว่าเขาจะไม่ชอบเจ้าอย่างมาก”

“ฮะ นับแต่เริ่มแรกเขาก็ใช้ความตายปฏิเสธการแต่งงาน ต่อมาก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาหาใช่ไม่ชอบข้าเพียงเท่านั้น แทบจะเกลียดชังเลยทีเดียวต่างหาก” นางเงยหน้ากระดกสุราในจอกหมดรวดเดียว “แต่ความโกรธของเขาก็จวนเจียนถึงขีดจำกัดแล้ว”

หูชิงถาม

“ศึกนี้ท่านแม่ทัพตั้งใจจะสู้อย่างไร”

เยี่ยเจาโยนจอกในมือทิ้ง จุ่มน้ำสุราวาดภาพเมืองหนึ่งซึ่งมีกำแพงปิดล้อมแน่นหนาทั้งสี่ทิศ จากนั้นก็กล่าวเสียงเรียบ

“เปิดฉากก็เป็นทางตัน สมควรเดินหมากเสี่ยง”

หูชิงถามอีก

“รุกแล้วรุกอีกก็ตีไม่แตก จะทำเช่นไร”

เยี่ยเจากล่าวอย่างเฉียบขาด

“ถอยชั่วคราว ล่อศัตรูออกมา”

หูชิงถาม

“โจมตียามใด”

เยี่ยเจาเอ่ย

“ราตรีนี้เลย”

จอกสุราถูกบีบแหลกละเอียดคามือ

แผ่นดินนี้ยังมีคู่ต่อสู้ที่นางไม่อาจเอาชนะหรือสัตว์ที่นางล่ามิได้อีกหรือ

 

แสงเดือนเลือนลับ ขอบฟ้าทิศบูรพาปรากฏแสงแรกแห่งวัน เสียงดนตรีเหนือแม่น้ำฉินเงียบหายไป ผู้คนเพิ่งแยกย้ายกลับบ้านไปทีละคนสองคน

ตลอดราตรีนั้นซย่าอวี้จิ่นมิได้รับความสนุกเพลิดเพลิน กลับโดนบุรุษหลายสิบคนรุมล้อมแทะโลม เป็นความอัปยศใหญ่หลวงครั้งที่สองนับแต่เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชายบำเรอเป็นต้นมา แม้แต่ความอ่อนหวานของนักพรตหญิงและคำพูดหว่านล้อมของกลุ่มสหายเสเพลยังไม่สามารถบรรเทาความโกรธเคืองในใจเขาลงได้ ส่วนสตรีที่นำความอัปยศมาให้เขาผู้นั้นยังเดินอาดๆ กลับไปหาความบันเทิงเริงใจต่อ คล้ายอยากยั่วให้เขาโมโหขาดใจตายไปจนแทบทนรอไม่ไหว

ทว่าเขาจะทำอย่างไรได้…

ทุบตีผู้หญิงเป็นเรื่องที่เขาไม่ลดเกียรติไปกระทำ มิหนำซ้ำถึงนางใช้นิ้วมือเดียวเขาก็ยังต่อกรมิได้

วิวาทกลางถนนเขาไม่เคยระย่อ แต่พอคิดในทางกลับกัน ไม่ว่าจะด่านางไร้ความเป็นหญิงหรือกดขี่บุรุษ คนที่อับอายขายหน้าล้วนเป็นเขาผู้เดียว

คิดจะยกมารดาขึ้นข่มอีกฝ่าย ก็กลัวมารดาตนจะหดหู่ตรอมใจตาย

อนุภรรยาและเมียบ่าวยิ่งมิต้องฝากความหวัง ต่างยื้อแย่งกันคบคิดศัตรูขายชาติ ถูกล่อลวงไปหมดแล้ว

เซียนกระโดด? นางเป็นสตรี จะกระโดดไปทำไม

วางแผนลวง? นางไม่ชมชอบเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่น ทุกวันถ้ามิใช่ยุ่งกับงานราชการก็ฝึกยุทธ์ ยังหาจุดอ่อนไม่พบ

ลักพาตัวขู่กรรโชก? เรื่องนี้เลิกคิดได้เลย…

จับญาติพี่น้องของนางมาเป็นเครื่องต่อรอง? แม้เขาจะเดรัจฉานมาก…แต่ยังไม่เดรัจฉานถึงขั้นนั้น

เทียบพลังยุทธ์ เทียบอำนาจอิทธิพล เทียบความชั่วร้าย เทียบนิสัยอันธพาล ฝีมือเขาล้วนอ่อนด้อยกว่านางขั้นหนึ่ง

ซย่าอวี้จิ่นตกอยู่กลางวงล้อมเพียงลำพัง เสบียงหมดสิ้น กำลังหนุนถูกตัดขาด หากเปิดประตูเมืองยอมแพ้ก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดแล้วจริงๆ ต้องอยู่อย่างอดสูใต้อาณัติสตรีตราบจนวันตาย ชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปนับแต่นี้ เป็นคนไร้ศักดิ์ศรีดั่งลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง ต้องระมัดระวังตัวและคอยพะเน้าพะนอภรรยาเพื่อมีกินอิ่มท้องไปวันๆ

ไม่! ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ต่อให้หัวเดียวกระเทียมลีบ เขาก็จะดื้อแพ่งแข็งข้อถึงที่สุด จะไม่ยอมให้สตรีน่าชังผู้นั้นเลี้ยงดูเขาอย่างลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง

ซย่าอวี้จิ่นคิดคำนึงจนเลือดในกายเดือดพล่าน ลืมตาที่ฉ่ำปรือแดงก่ำประหนึ่งตากระต่าย กำจอกสุรา ร้องตะโกนบอกฟ้า

“ข้าคือลูกชายของอดีตอันอ๋อง เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง มิใช่หนุ่มหน้าหยกที่ถูกเลี้ยงไว้ดูเล่น! ข้าจะกลับไปตัดขาดกับนางเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้ถูกจักรพรรดิลากตัวไปประหารที่ประตูอู่เหมินหน้าวังหลวง ข้าก็จะหย่ากับนางให้ได้!”

เหล่านักพรตหญิงเข้าไปขัดขวางเขา

“จวิ้นอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”

เขาเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

“อย่าห้ามข้า! หรือพวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวตาย จะบอกให้นะ หลังออกจากท้องมารดามา สิ่งที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือความตาย!”

พวกนางสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ท่านเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าวก็จะตกลงไปในแม่น้ำแล้วเจ้าค่ะ!”

“ว้าย! รีบมากันเร็วเข้า จวิ้นอ๋องตกน้ำแล้ว”

“ช่วยด้วย…“

แรกวสันต์จวนมาเยือน แม่น้ำฉินอุ่นคนรู้ก่อน

 

เหล่าคุณชายเสเพลล้วนเปลือยกายท่อนบนกลับบ้านไปแล้ว

ซย่าอวี้จิ่นสวมเสื้อผ้ามิดชิดแน่นหนา ประคองเตาพกเดินมุ่งหน้าไปยังวังอันอ๋องด้วยท่าทางฮึกเหิมห้าวหาญ ให้เด็กรับใช้ถือเสื้อคลุมที่เปียกโชกของตนไว้

วรชายาอันไท่เฟยรู้มานานแล้วว่าบุตรชายคนเล็กมักออกไปก่อความวุ่นวายนอกวังเสมอจึงเปิดประตูรอไว้และให้สาวใช้ข้างกายดุด่าเขาแรงๆ หลายคำ จากนั้นสั่งให้ลงกลอนประตูด้านข้าง ไม่อนุญาตให้ออกไปตามอำเภอใจอีก

เขาผลักคนที่ขวางทางออกไปด้วยสีหน้าถมึงทึง ถกแขนเสื้อขึ้น รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีบุกไปที่ห้องของเยี่ยเจา เตรียมการจะประหารก่อนรายงานทีหลัง สะบัดพู่กันเขียนหนังสือหย่าตัดขาดกับนางเพื่อเฉดหัวหญิงสารเลวที่ไม่เพียงไม่เอาใจใส่สามี ยังรวมหัวกับลูกน้องแทะโลมสามีออกจากประตูวัง

กู่โถว เด็กรับใช้ประจำตัวฉุดเขาไว้สุดกำลังพลางตะโกนพูด

“จวิ้นอ๋อง ท่านรีบสร่างเมาโดยไวเถอะ กระด้างกระเดื่องกับท่านแม่ทัพอาจจบชีวิตได้นะขอรับ นางสังหารคนมามากมายแล้ว เพิ่มท่านอีกคนก็ไม่ต่างกันเท่าไร ท่านสงสารเวทนาข้าด้วยเถอะ…”

ไม่คาดว่าสองนายบ่าวกลับไม่พบผู้ใด ในห้องว่างเปล่าโหวงเหวง มีเพียงชิวหวากับชิวสุ่ยงีบหลับอยู่ในห้องอุ่น

ซย่าอวี้จิ่นปลุกคนทั้งสองให้ตื่นขึ้นเพื่อถามความ

“ท่านแม่ทัพล่ะ?”

ชิวหวาส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมให้เขา ดูคล้ายเถ้าแก่เนี้ยร้านซาลาเปาเนื้อคน

ชิวสุ่ยมีใจอารีมากกว่า ชี้นิ้วบอกทางให้

เขามองไปตามทิศทางที่นางบอก เป็นห้องหนังสือที่ตัวเองพำนักอยู่ชั่วคราวพอดี เขารู้สึกเย็นวาบที่กลางอกจนขนลุกเกรียวอยู่สักหน่อย

ในห้องหนังสือจุดโคมแก้วดวงหนึ่ง เยี่ยเจาเอนตัวพิงอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย วางกระบี่ไว้ข้างกาย พลิกอ่านหนังสือซึ่งถืออยู่ในมือตามสบาย บรรยากาศชอบกลอย่างไรบอกไม่ถูก

ซย่าอวี้จิ่นถีบประตูเปิดก้าวเข้าไป เชิดหน้าเอ่ยถาม

“เจ้ามาที่นี่ทำอะไร”

เยี่ยเจาชูบันทึกจอมยุทธ์อุดรในมือโบกไปมา เอ่ยยิ้มๆ

“หนังสือในนี้สนุกดี”

ซย่าอวี้จิ่นยื่นมือไปกระชากหนังสือมา กล่าวอย่างเดือดดาล

“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามารื้อค้นในนี้ส่งเดช”

“แค่ดูๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้แน่นอน!” ซย่าอวี้จิ่นหวนนึกถึงเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อคืน ระบายอารมณ์อย่างกระฟัดกระเฟียด “เจ้าชิงเอาบ้านข้า ห้องข้า แล้วก็ชีวิตข้าไป กระทั่งอนุภรรยาและเมียบ่าวข้า เจ้าก็แย่งไปหมด ตอนนี้เจ้ายังมาปักหลักอยู่ในนี้ทำอะไร แม้แต่สถานที่ที่สงบเงียบแห่งสุดท้ายของข้าเจ้าก็จะแย่งเอาไปอีกหรือ หากเจ้าหมายบีบให้ข้าตาย ข้าก็จะขอแลกชีวิตกับเจ้าก่อน!”

“ใจเย็นๆ” เยี่ยเจาพยายามปลุกปลอบแมวที่ถูกไล่ต้อนจนพองขนชันตัว “ข้ามาก็เพราะอยากมอบของดีๆ อย่างหนึ่งให้ท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยปรามาส

“เจ้าจะให้ของดีๆ อะไรแก่ข้าได้”

เยี่ยเจาลุกขึ้นยืน หยิบกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งบนโต๊ะมาแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเขา

ซย่าอวี้จิ่นมองสีหน้าเคร่งขรึมของนางแล้วเบนสายตาไปที่กระดาษแผ่นนั้นในที่สุด

กระดาษสูเซวียน ชั้นดีมีอักษรตัวเล็กๆ ตวัดเส้นหนาหนักทรงพลังแฝงความอ่อนพลิ้วเขียนไว้หลายบรรทัด คำขึ้นต้นคือ ‘หนานผิงจวิ้นอ๋องและซย่าอวี้จิ่นเขียนหนังสือหย่านี้ขึ้นด้วยความเคารพยิ่ง’ ต่อมาเป็นคำขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณสั้นกระชับ จากนั้นเป็นถ้อยคำบอกกล่าวตามตรงว่าทั้งคู่อุปนิสัยไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างชิงชังรังเกียจ สิ้นรักตัดสัมพันธ์ เต็มใจตกลงหย่ากันด้วยดี นับแต่นี้ชายแต่งงานหญิงออกเรือนไม่ข้องเกี่ยวกันอีกต่อไป จบด้วยคำลงท้ายเป็นลายมือชื่อของเยี่ยเจา

“ขะ…ของจริง?”

เขามองกระดาษในมือซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ครั้นยืนยันจนแน่ใจว่าลายมือชื่อที่ลงไว้ไม่ผิดก็ตาค้างไปชั่วขณะ ความโกรธที่สุมแน่นอยู่ในอกคล้ายกลองหนังที่ถูกเจาะแตก ความตั้งใจที่จะหย่ากับนางมลายหายไปสิ้น เขาเพียงถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

“จะ…เจ้ายินยอมจริงๆ รึ”

เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ

“อย่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า บุรุษที่ถูกมัดมือชกย่อมปราศจากความจริงใจ เหตุผลนี้ข้ากระจ่างแจ้งดี เดิมทีข้าตั้งความหวังไว้ว่าเราสองอาจบังเอิญโชคดีนิสัยเข้ากันได้ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตเยี่ยงแมวกับหนู เช่นนี้ก็หาได้มีความจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันต่อไป ตกลงหย่ากันเร็วขึ้นยังพอจะหลงเหลือมิตรภาพอยู่หลายส่วน ผ่านมาพบกันก็ยังพูดคุยกันได้สะดวกใจ หากดันทุรังจนถึงที่สุดมีแต่จะบอบช้ำทั้งสองฝ่าย”

ไฉนเมื่อก่อนเขาถึงไม่ประจักษ์ว่านางมีเหตุมีผลปานนี้

เรื่องที่ใจจดใจจ่อถึงตลอดเวลาเป็นจริงขึ้นโดยพลัน ซย่าอวี้จิ่นตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา

“แต่…” เยี่ยเจาชะงักครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างลำบากใจ “พระพันปีเป็นผู้พระราชทานสมรสให้พวกเรา ถึงตอนนี้ผ่านไปเพียงสามสี่เดือนเท่านั้น หากตกลงหย่ากันรวดเร็วเกินไปจะเป็นการหมิ่นน้ำพระทัยอันเมตตาของจักรพรรดิกับพระพันปีเกินไป ข้าจึงกำหนดเวลาของการหย่าในอีกสามปีให้หลัง ถึงตอนนั้นข้าจะไปเข้าเฝ้ากราบทูลให้จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร”

ซย่าอวี้จิ่นมองดูหนังสือหย่า ขณะนี้เป็นรัชสมัยเต๋อจงปีที่เก้า เวลาที่เขียนไว้ด้านล่างคือรัชสมัยเต๋อจงปีที่สิบสอง

เยี่ยเจาเอ่ยสืบไป

“หนังสือหย่ามอบไว้ในมือท่านแล้ว ขอเพียงท่านลงลายมือชื่อและประทับตรา สามปีให้หลังส่งไปให้ทางการดำเนินเรื่องก็เป็นอันเรียบร้อย ข้ากับท่านได้มาเป็นสามีภรรยากัน ถึงจะเป็นเวรกรรม กระนั้นก็นับได้ว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันด้วย ดีชั่วอย่างไรต้องรักษาหน้าให้กับจักรพรรดิ พระพันปี วังอันอ๋อง และคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงบ้าง”

เวลาสามปีพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว มีหนังสือหย่าที่นางลงลายมือชื่อไว้เองแล้วแผ่นนี้อยู่ในมือ นางเล่นลวดลายอะไรมิได้แน่นอน

ซย่าอวี้จิ่นเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย แม้แต่ยามมองใบหน้าเยี่ยเจาก็ไม่รู้สึกขัดนัยน์ตาดังเดิม เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง

“ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบข้า ตกลงหย่ากันแล้วอย่างน้อยยามนอนเจ้าก็ไม่ต้องพกอาวุธติดกายกระมัง เจ้าไม่ต้องมองหน้าข้าหรอก ถึงอย่างไรวังอันอ๋องก็เป็นบ้านข้า คนที่นี่ก็เป็นคนของข้า ลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าแค่นี้ปิดบังข้าไม่ได้หรอก”

เยี่ยเจามองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล

“จัดการท่านยังต้องใช้อาวุธด้วยหรือ”

เขาหน้าแดง

“เช่นนั้นคืนวันแต่งงานเจ้าพกอาวุธไว้ทำไม จะขู่ให้ข้ากลัวใช่หรือไม่”

นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้น

“ท่านคิดมากไปเอง ก็แค่ความเคยชินที่ติดตัวข้ามาจากตอนออกรบเท่านั้น จะได้สะดวกต่อการลุกขึ้นมาบุกโจมตีหรือล่าถอยได้ทุกเมื่อ มีครั้งหนึ่งข้านอนหลับอยู่ เกือบถูกมือสังหารลอบทำร้าย ดังนั้นตอนนี้ไม่มีอาวุธอยู่ใต้หมอนข้าก็จะหลับไม่สนิท เรื่องนี้คงทำให้ท่านตกใจ กลับลืมอธิบาย ข้าเป็นคนผิดเอง”

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งงันไป คำบอกเล่าเรียบง่ายทำให้เสียงเล่าลือถึงการศึกที่ดุเดือดโหดร้ายของโม่เป่ยผุดขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง

สกุลเยี่ยถูกฆ่าล้างตระกูล โม่เป่ยถูกบดขยี้ราบคาบ ผู้กล้าทหารหาญสามพันนายโลหิตเจิ่งนองดุจสายน้ำ โครงกระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา

เบื้องหลังสมญานามพญายมแห่งแดนดินคือความศรัทธาและความแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า

ผู้ที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากดงหอกดาบและห่าฝนธนูเช่นนางสามารถเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่อาจกลายเป็นภรรยาธรรมดาคนหนึ่งได้

ทั่วทั้งเมืองหลวงมีบุรุษมากมายยินยอมทำงานอยู่ใต้อาณัตินาง ทว่าบุรุษที่ยินยอมแต่งนางเป็นภรรยากลับมีอยู่น้อยนิดแทบนับนิ้วได้ อีกทั้งนางก็หยิ่งทะนงตน ไหนเลยจะเต็มใจปรนนิบัติสามีเลี้ยงลูกเช่นเดียวกับสตรีทั่วไปตลอดชีวิต หากเป็นการตกลงหย่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เกรงว่าชาตินี้นางคงมิได้ออกเรือนอีกแล้ว

แต่นางยังคงยินยอมปล่อยเขาไปโดยเลือกที่จะตกลงหย่า

เขา…กระทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อยหรือไม่

หลังคลื่นลมสงบซย่าอวี้จิ่นถึงได้เริ่มไม่สบายใจ

“อย่ากังวลไปเลย นี่เป็นหนทางที่ข้าเลือกเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน” เยี่ยเจาอ่านออกว่าเขารู้สึกผิดในใจ มุมปากนางคล้ายจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นรางๆ “หากท่านรู้สึกละอายใจก็เลี้ยงสุราข้าเถอะ เป็นการฉลองที่พวกเราตกลงหย่ากันได้สำเร็จลุล่วง ดีชั่วอย่างไรก็ได้เป็นสามีภรรยากัน ถึงความรักความผูกพันสิ้นสุด หากแต่คุณธรรมน้ำมิตรยังคงอยู่ ภายภาคหน้ายังเป็นพี่น้องหรือสหายกันได้!”

ซย่าอวี้จิ่นเพียรดึงความคิดกลับคืนมา เอ่ยพลางยิ้มฝืดๆ

“ก็จริง อริน้อยลงหนึ่งคน พี่น้องเพิ่มขึ้นหนึ่งคน”

“จวิ้นอ๋องเป็นคนตรงไปตรงมาดี!” เยี่ยเจาตบมือ พูดอย่างเปิดเผย “ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สันทัดในเรื่องกินดื่มเที่ยวเล่นของเมืองหลวงที่สุด จะเลี้ยงข้าทั้งทีจะตระหนี่มิได้ ต้องให้ข้าได้ลิ้มรสสุราอาหารชั้นเลิศ!”

เขาตบอกรับรอง

“วางใจได้! วันหลังเจ้าอยากได้สิ่งใดเอ่ยปากมาได้เต็มที่! ข้าซย่าอวี้จิ่นถึงต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะหามาให้ถึงมือเจ้า!” จากนั้นเขาก็หมุนกายวิ่งออกไปพร้อมตะโกน “สุรารสดีที่สุดต้องหอดอกซิ่ง เนื้อแพะอร่อยที่สุดต้องร้านเหล่าเกา เหมาะจะกินคลายหนาวในฤดูหนาว เจ้าอยู่บนเรือสำราญมาทั้งคืนคงร่างกายเย็น ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้ากินแกล้มเหล้าสักสองสามชั่ง”

หลังจากเยี่ยเจามองเขาออกจากห้องไปแล้ว นางก็วาดภาพบนโต๊ะไปพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองไปพลาง

“หลักการทำสงคราม จู่โจมจิตใจเป็นหลัก ยามฝ่ายตั้งรับสูญสิ้นกำแพงล้อมรอบเมือง เข้าโจมตีได้”

 

การตกลงหย่าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าซย่าอวี้จิ่นจะทำตัวเหลวไหลเพียงใดก็ต้องไปแจ้งข่าวมารดาตนเป็นอันดับแรก

วรชายาอันไท่เฟยยกมือทาบอก น้ำตาเอ่อคลอ อุทานด้วยความปีติซ้ำๆ ไม่หยุด อีกทั้งรู้สึกโชคดีที่ตนมีข้ออ้างเต็มปากเต็มคำไม่ต้องตื่นขึ้นมารับการคารวะจากสะใภ้แต่เช้าทุกวัน แล้วก็มิต้องหวาดระแวงว่าสะใภ้แวะเวียนมาที่ห้องนางอยู่บ่อยๆ เพราะถูกตาถูกใจสาวใช้คนใด อยากขอตัวไปเป็นอนุภรรยาหรือไม่ และยิ่งมิต้องเป็นห่วงว่าบุตรชายคนเล็กจะถูกทุบตีทำร้าย ด้วยนับแต่แม่ทัพใหญ่สังหารคนไม่เลือกหน้าเพื่อสร้างระเบียบวินัยในกองทัพครั้งใหญ่เป็นต้นมา นางก็ฝันร้ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าบุตรชายคนเล็กถูกสะใภ้ลากตัวไปบั่นศีรษะ

ซย่าอวี้จิ่นบอกข่าวเรียบร้อยก็ออกไปซื้อหาสุราอาหารมาให้ภรรยาอย่างเริงร่าสุขใจ

หยางซื่อเห็นเขาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเป็นครั้งแรกในหลายวันนี้ นึกสังหรณ์ใจไม่ดี เรียกอวิ๋นเซียง สาวใช้คนสนิทไปสืบข่าวทันควัน

อวิ๋นเซียงเป็นคนฉลาดเฉลียวน่ารัก เป็นหญิงในดวงใจที่กู่โถว เด็กรับใช้ประจำตัวจวิ้นอ๋องหมายใจอยากสู่ขอมาเป็นภรรยาอยู่ทุกเช้าค่ำ เพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เขาจึงรีบบอกเรื่องการตกลงหย่าของเจ้านายอย่างหมดเปลือกและกล่าวสำทับกับนางว่าเรื่องนี้เป็นความลับ จะเปิดเผยให้คนนอกล่วงรู้มิได้เด็ดขาด

อวิ๋นเซียงรับคำแล้วกลับไปเล่าให้เจ้านายฟังอย่างครบถ้วนกระบวนความ หยางซื่อตะลึงพรึงเพริด

เดิมทีสกุลหยางเป็นพ่อค้าราชสำนักตกอับ บิดานางถูกบังคับให้เล่าเรียนเขียนอ่านนานยี่สิบกว่าปีถึงสอบรับราชการผ่านได้อย่างลำบากยากเย็น ต่อมายังทุ่มเทเงินทองและพึ่งพาเส้นสายจนได้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แต่เนื่องจากไม่มีความสามารถอื่นใดนอกจากเงินทอง ส่งผลให้เขาเป็นที่ดูแคลนในราชสำนักเป็นนิจ ไม่ว่าทำอะไรก็พบกำแพงอุปสรรคไปหมด

ฝ่ายอันอ๋องมีร่างกายพิการ ไม่สามารถรับตำแหน่งขุนนางเช่นคนอื่น จักรพรรดิจึงให้เขาควบคุมดูแลพ่อค้าราชสำนักเป็นกรณีพิเศษ มาตรว่าจะปราศจากอิทธิพลอำนาจ กลับเป็นงานที่ให้ผลประโยชน์มากมาย นับว่าเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดต่ออดีตอันอ๋องที่ตรากตรำทำงานจนจากไปก่อนเวลาอันควร

เมื่อสกุลหยางได้ข่าวว่าซย่าอวี้จิ่นจะรับอนุภรรยาเพื่อแก้เคล็ดเสริมมงคล ก็ยกบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งมิได้รับความเอ็นดูโปรดปรานให้แต่งงานด้วยเพื่อแลกกับความมั่งมีหลายปี

หยางซื่ออาศัยอยู่ในเรือนเล็กอย่างไม่เป็นที่โปรดปราน ต้องอยู่อย่างระมัดระวังตัวใต้อำนาจของนายหญิงของวังเพื่อมีข้าวกินอิ่มท้อง ถูกผู้อื่นปรามาส ปล่อยให้วันเวลาและวัยสาวล่วงเลยไปอย่างสูญเปล่าช้าๆ ทำได้เพียงตั้งความหวังถึงการเกิดใหม่ในภพหน้า

นี่คือชะตาชีวิตของนาง

ตอนแรกนางยอมรับชะตากรรมแล้ว นางกลับได้พบแม่ทัพใหญ่ผู้นี้

ท่านแม่ทัพมีงานยุ่ง จวิ้นอ๋องก็มีเรื่องยุ่ง ธุระปะปังในวังหนานผิงจวิ้นอ๋องจึงตกเป็นภาระของนางเพียงคนเดียว การส่งของขวัญของกำนัลส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านมือนางทั้งสิ้น หลายเดือนที่ผ่านมานี้งานการทุกด้านก็นับว่านางดูแลจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ท่านแม่ทัพพึงพอใจเหลือประมาณ พอรู้ว่านางมาจากตระกูลพ่อค้าราชสำนัก ได้เห็นได้ฟังมาแต่เล็กแต่น้อยก็ต้องมีความสามารถเรื่องทำการค้าติดตัวมาหลายส่วน ถือได้ว่ามีสติปัญญาหลักแหลม ถึงกับโยนหน้าที่ให้นางดูแลร้านค้ารวมถึงทรัพย์สินที่นาซึ่งเป็นสินเดิมเจ้าสาวของตนทั้งหมดและให้ผลประโยชน์อย่างงามก้อนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังรับปากนางอีกด้วยว่าหลังจากวังหนานผิงจวิ้นอ๋องสร้างเสร็จและแยกเรือนไปแล้วก็จะให้นางเป็นผู้รับผิดชอบความเรียบร้อยภายในวัง

สถานะของนางเมื่อก่อนมิอาจเทียบได้กับขณะนี้เลย นางเป็นคนที่พ่อบ้านบ่าวไพร่ทุกคนต้องประจบประแจง แม้แต่ฮูหยินของขุนนางตำแหน่งไม่สูงนักพบนางก็ยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจด้วยกลัวว่าจะล่วงเกินแม่ทัพใหญ่ที่หนุนหลังนางอยู่

อนุภรรยาได้ดูแลความเรียบร้อยภายในวัง อีกทั้งมิถูกตราหน้าว่าประพฤติผิดศีลธรรม ยั่วยวนมอมเมาสามี มันเป็นความโชคดีและเป็นเกียรติชั้นไหนกันล่ะนี่ ภรรยาหลวงไม่เพียงไม่หึงหวงอนุภรรยา ยังเอ็นดูตามใจทุกอย่างและให้ท้าย คงหาคนเช่นนี้จากเหย้าเรือนใดมิได้อีกแล้ว

หากท่านแม่ทัพกับจวิ้นอ๋องตกลงหย่ากันแล้วมีนายหญิงคนใหม่ นางจะเป็นเช่นไร

นางอับโชคถึงถูกบังคับให้เป็นอนุภรรยา หาใช่เกิดมาเป็นคนใฝ่ต่ำ

แม้นายหญิงคนใหม่มิใช่สตรีขี้หึง ทว่าไม่มีทางที่จะให้ประโยชน์มากเท่าครึ่งหนึ่งของที่ท่านแม่ทัพให้นาง!

เคยลิ้มรสน้ำผึ้งแล้วจะกลับไปกินหวงเหลียน ได้อย่างไร

เคยมีความหวังจะหวนไปจมปลักแห่งความสิ้นหวังอีกได้อย่างไรเล่า

หยางซื่อกัดฟันแน่น ขยำผ้าเช็ดหน้าจนยับยู่ยี่ นางตัดสินใจรีบเร่งส่งคนไปตามเหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์มาเพื่อหารือกลยุทธ์รับมือ

เหมยเหนียงน้ำตาแทบร่วงรินเมื่อได้ยินข่าวร้าย

ท่านแม่ทัพไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว กลับชมชอบหญิงงามแต่งกายประทินโฉมให้เฉิดฉายชวนพิศเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้กำไลหยกขาวที่สวมอยู่บนมือ ปิ่นมุกลายผีเสื้อบินหยอกบุปผาที่ปักข้างมวยผม ต่างหูโบตั๋นทองฝังไพลินที่เสียบบนหู ป้ายทองฝังหินโมราที่เหน็บตรงเอว ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านแม่ทัพมอบให้ ทั้งยังเป็นงานฝีมือของชาวหมานตะวันตกที่หาได้ยาก

นอกจากนี้ท่านแม่ทัพยังเอาแพรพรรณกับผ้าขนสัตว์ล้ำค่าสวยงามในสินเดิมเจ้าสาวของตนมอบให้นางไปตัดเย็บอาภรณ์ นางอยากอวดโฉมอย่างไรก็ได้ตามแต่ใจ

หลายวันก่อนเป็นวันประสูติเจ้าแม่กวนอิม สตรีในวังล้วนไปจุดธูปเซ่นไหว้ นางแต่งกายงามพริ้งโดดเด่นเกินหน้าใคร สายตาของคนอื่นที่จับจ้องมาด้วยความริษยาแทบจะทะลุทะลวงร่างนางเป็นรูพรุนเลยทีเดียว ถ้าเปลี่ยนเป็นนายหญิงที่ร้ายกาจ ชิงชังความงามของนางแล้วลงมือเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมจะทำอย่างไร

ฝ่ายเซวียนเอ๋อร์อ้าปากตาค้าง กล่าววาจาไม่ออกอยู่นาน

พี่ชายนางเป็นนายทหารชั้นล่าง มีนิสัยซื่อตรงจึงล่วงเกินขุนนางเบื้องบน เป็นเหตุให้การเลื่อนตำแหน่งถูกระงับยับยั้งทุกทาง แต่หลังจากท่านแม่ทัพมาแล้วได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ตรวจสอบทันที ครั้นยืนยันจนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาดก็เรียกตัวผู้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาอบรมสั่งสอนยกหนึ่ง จากนั้นไม่นานพี่ชายนางก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นทีเดียวสองขั้น ครอบครัวนางปลาบปลื้มเป็นสุขกันถ้วนหน้า

อีกประการหนึ่ง ท่านแม่ทัพยังรับปากว่าหลังจากแยกเรือนจะให้นางกลับไปเยี่ยมบ้านบ่อยๆ ปีนี้น้องชายคนเล็กนางอายุสามขวบ ฉลาดเฉลียว น่ารักปานกระต่ายตัวน้อย เห็นนางก็เรียกพี่สาวเสียงหวาน ทำให้นางทั้งรักทั้งหลง ถ้าเปลี่ยนเป็นนายหญิงที่เคร่งครัดธรรมเนียมไม่ให้นางกลับบ้านจะทำอย่างไร

ทุกคนล้วนรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน

ท่านแม่ทัพไปแล้ว…ชีวิตที่แสนสุขทั้งหมดล้วนมลายหายไป ไหนเลยพวกนางจะปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้

สตรีทั้งสามมีศัตรูร่วมกันก็จัดกระบวนทัพขึ้นในพริบตา พร้อมใจกันให้คำสัตย์ปฏิญาณ

“ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม จะปล่อยให้จวิ้นอ๋องกับท่านแม่ทัพตกลงหย่ากันมิได้เด็ดขาด!”

 

เยี่ยเจากำลังนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ ลับดาบไปพลางรอสุรากับเนื้อแพะไปพลางอย่างเบิกบานอารมณ์ดี

ฉับพลันนั้นเองแลเห็นหญิงงามสามคนเดินกรูกันเข้ามาด้วยท่าทางกระวีกระวาดอย่างออกนอกหน้า

หยางซื่อประคองน้ำแกงสร่างเมาในมือ เหมยเหนียงถือขนมโก๋เมล็ดซิ่งเหริน ส่วนเซวียนเอ๋อร์หิ้วส้มเขียวหวานมาตะกร้าใหญ่ รุมล้อมอยู่รอบตัวเยี่ยเจา แต่ละคนประชันกันส่งสายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มหวานซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มาให้ เห็นแล้วชวนให้หนาวเยือกที่กลางอก

เยี่ยเจาวางดาบใหญ่ในมือลง มองดูสตรีที่รายล้อมตนไว้อย่างคลางแคลงใจและถามอย่างเคร่งขรึม

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”

เหล่าหญิงงามตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านเมาสุรา พวกเราเลยตั้งใจมาปรนนิบัติเจ้าค่ะ”

เมื่อวานจวิ้นอ๋องเมาสุราตกลงไปในแม่น้ำ มิใช่เมาหนักกว่าหรือ

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ ยิ่งรู้สึกว่าคำตอบไม่กระจ่างชัด

เหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์ขยิบตาส่งกำลังใจให้หยางซื่อไม่หยุด หยางซื่อจึงหยิบช้อนเงินตักน้ำแกงสร่างเมาแล้วเป่าให้หายร้อน ป้อนใส่ปากเยี่ยเจาพลางเอ่ยเสียงเบา

“เรื่องเมื่อคืนเป็นจวิ้นอ๋องที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไป เกรงว่าคงทำให้ท่านขุ่นเคือง แต่ใช่ว่าเขาจะทำตัวเช่นนี้บ่อยๆ หญิงงามเมืองพวกนั้นแค่ชั่วข้ามราตรีจวิ้นอ๋องก็ลืมหมดแล้ว เทียบมิได้แม้แต่หมาแมวสักตัว ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ

อีกประการหนึ่ง จวิ้นอ๋องมิได้เลวร้ายขนาดนั้น เป็นคนอารมณ์เย็นใจดี บ่าวไพร่ทำอะไรผิดอย่างมากก็ดุด่าสองคำ น้อยครั้งนักที่ลงโทษรุนแรง มีบ้างที่เขาจะออกไปก่อความวุ่นวายข้างนอก แล้วก็มีบ้างที่เขาถูกคนตามมาทุบตีถึงประตูวัง แม้เขาจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่มิได้ถึงขั้นผลาญสมบัติ ฉะนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตร้ายแรงอะไร

ตอนจวิ้นอ๋องยังเด็กร่างกายอ่อนแอ ถูกวรชายาอันไท่เฟยบังคับให้อยู่แต่ในเรือนพักรักษาตัวสิบกว่าปี นางกลัวว่าเขาจะมีอันเป็นไป ไม่เหลือแม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขสักคนถึงได้รับพวกเราเข้ามา ทั้งที่ความจริงแล้วมิได้ชมชอบโปรดปรานเท่าไร ต่อมาร่างกายเขาดีขึ้นมาก เขาก็เลือดร้อนตามประสาเด็กหนุ่ม รักสนุกไปบ้าง สามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันแรกๆ ล้วนต้องกระทบกระทั่งกัน แต่อีกไม่นานก็จะเข้ากันได้ดี…”

เหมยเหนียงกล่าวต่อ

“จวิ้นอ๋องเป็นคนดีมากจริงๆ นะเจ้าคะ แล้วก็มิใช่คนโง่เขลาด้วย ลูกหลานเชื้อพระวงศ์ล้วนมีเมียบ่าวก่อนแต่งงานทั้งนั้น วรชายาอันไท่เฟยถึงเลือกข้ากับเซวียนเอ๋อร์มาปรนนิบัติ แต่จวิ้นอ๋องห่างเหินมาโดยตลอด ถึงจะมีมาหาบ้างกลับมิได้รักใคร่เอ็นดูนัก เวลานั้นข้ายังไม่เข้าใจเลยถามเขาว่าเพราะอะไร จวิ้นอ๋องบอกว่าป่าช้าทางเหนือมีศพที่ถูกหามออกมาจากเรือนหลังเพิ่มขึ้นอีกหลายศพ มีมาจากทั้งวังท่านอ๋องและคฤหาสน์ขุนนาง สตรีเหล่านั้นหากมิใช่ล่วงเกินนายหญิงจนถูกเล่นงานก็ถูกคนเจตนาไม่ดีใส่ความ ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหลายคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน ล้วนเป็นหญิงงามฉลาดปราดเปรื่อง กลับต้องพบจุดจบน่าสังเวชใจเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะได้รับความเอ็นดูโปรดปรานมากเกินไปหรือถึงสร้างความไม่พอใจให้ผู้อื่น

เขายังพูดว่าวันหน้าตัวเองต้องแต่งชายาเอกแน่นอน ถ้านางอ่อนโยนใจกว้าง เขารักเอ็นดูพวกเราก็เป็นการทำร้ายจิตใจนาง ถ้านางไม่อ่อนโยนใจกว้าง เขารักเอ็นดูพวกเราก็เป็นการทำร้ายชีวิต เขารู้จักคนต่ำช้ามากมาย กระจ่างแจ้งถึงความอำมหิตของคนเหล่านั้นดีและแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะระวังป้องกันเลยทีเดียว มิสู้ห่างเหินเช่นนี้แต่มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยไปตลอดจะเป็นการดีกว่า…”

เซวียนเอ๋อร์เอ่ยปากเป็นคนสุดท้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดคำชมไม่ออก

ครั้นถูกทุกคนถลึงตาใส่ นางพยายามอ้าปากหลายครั้ง ในที่สุดก็ขยับเข้าไปกล่าวออดอ้อน

“จวิ้นอ๋องรูปงามมากนะเจ้าคะ ฉะนั้นท่านอย่าโกรธเขาได้หรือไม่ สามีภรรยาต้องรักใคร่ให้เกียรติกัน…”

พวกนางทุ่มเทสุดความสามารถ เยินยอซย่าอวี้จิ่นเสียจนเลิศลอย เยี่ยเจาฟังแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ต้องเพียรกลั้นเอาไว้อย่างสุดกำลังก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เป็นเขาที่โกรธข้า”

หยางซื่อ

“ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ! ขอเพียงผู้ชายชอบท่าน โกรธเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้จะเป็นอย่างไร ข้าจะสอนวิธีทำตัวอ่อนโยนเป็นศรีภรรยาให้ท่านเอง รับรองว่าจวิ้นอ๋องคลายโทสะแน่นอน!”

เหมยเหนียง

“ข้าจะสอนท่านเองว่าจะประจบเอาใจวรชายาอันไท่เฟยอย่างไรเจ้าค่ะ”

เซวียนเอ๋อร์

“ขะ…ข้าอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ท่านนะเจ้าคะ”

เยี่ยเจามองดูสตรีทั้งสามที่กระเหี้ยนกระหือรือดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์แล้ว แม้คนกร้าวแกร่งเช่นนางก็อดหนาวสะท้านขึ้นมาเป็นระลอกมิได้

สบโอกาสชิวหวาขอพบ แม่ทัพใหญ่เผ่นหนีตะลีตะลานราวกับได้รับอภัยโทษก็ไม่ปาน

บทที่ 6

ทางวังหลวงส่งคนมาแจ้งว่าพระพันปีมีพระราชเสาวนีย์ให้เข้าเฝ้า เยี่ยเจากำชับองครักษ์ให้นำเรื่องนี้ไปบอกต่อคนของวังอันอ๋องอีกที จากนั้นก็รีบเร่งเปลี่ยนชุดเข้าวัง

กลางถนน ซย่าอวี้จิ่นสวมชุดเรียบง่าย ยืนจดๆ จ้องๆ นอกหอสุราอยู่นาน

เพราะไม่รู้ว่ารสชาติแบบใดที่ถูกปากเยี่ยเจา สุดท้ายเขาก็เร่งให้เด็กรับใช้ข้างกายสองคน คนหนึ่งอุ้มเหล้าเซ่อหงชุน ของหอดอกซิ่งไหหนึ่ง คนหนึ่งประคองเหล้านารีแดงของหอชมธารากาหนึ่งกลับไปก่อน ขณะที่ตัวเองเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยอันลึกลับซับซ้อนอย่างชำนาญทาง มุ่งหน้าไปที่ร้านเนื้อแพะของเหล่าเกา

เหล่าเกาสั่งสมฝีมือปรุงเนื้อแพะมานานหลายสิบปี รสชาติหอมอร่อยชั้นหนึ่งเหนือใคร แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังเช่นร้านอยู่ไกล เถ้าแก่เกียจคร้าน เถ้าแก่เนี้ยดุร้าย ลูกจ้างไม่พอ ปกติจึงขายแต่เนื้อแพะที่ปรุงเสร็จแล้วให้หอสุราใหญ่ ส่วนร้านเล็กๆ ของตัวเองกลับปิดประตูตลอดทั้งปีและต้อนรับเพียงลูกค้าประจำ ดังนั้นจึงมีคนมาที่ร้านน้อยยิ่งกว่าน้อย

ซย่าอวี้จิ่นเป็นลูกค้าประจำคนสำคัญที่ไม่ว่าดึกดื่นค่ำคืนหรือฝนตกฟ้าคะนอง เหล่าเกาก็จะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ทว่าวันนี้เหล่าเกามิได้ออกมาต้อนรับเขา

ในร้านมีเพียงเสียงด่าทอสาปแช่งฟ้าดินของเขากับเสียงร่ำไห้ฟูมฟายดังลั่นของภรรยา

“ร้องไห้หน้าศพกันรึ”

ซย่าอวี้จิ่นประสบเรื่องยินดี กำลังเริงรื่นชื่นบาน ครั้นได้ยินคนร้องไห้คร่ำครวญก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ตั้งท่าจะเข้าไปอบรมสั่งสอนสองสามคำ แต่พอเขาเห็นสภาพในร้านก็อดชะงักไปมิได้

ร้านเล็กๆ ถูกพังทำลายจนข้าวของกระจายเกลื่อนกลาด บุตรชายโทนของเหล่าเกามีเลือดออกเต็มหน้า นอนครางโอดโอยอยู่บนพื้น ภรรยาตาเดียวของเขาผมเผ้ายุ่งเหยิง ฟุบหน้ากับพื้นร้องไห้ฟูมฟาย และยังมีเสียงลับมีดที่ครัวด้านหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งบุตรสาวขี้เหร่ของเขาก็ถือดาบวิ่งออกมาตะโกนเสียงกร้าว

“ข้าขอแลกชีวิตกับพวกมันแล้ว!”

เหล่าเกาตกใจจนถลันเข้าไปห้ามนางไว้สุดชีวิต

ซย่าอวี้จินมองจนอ้าปากตาค้าง เห็นชุ่ยฮวาพุ่งทะยานมาทางเขาก็ลนลานถอยหลบไปด้านข้าง จะได้ไม่ขวางทางผู้ที่กำลังจะเอาดาบไปฟันคน เอ่ยถามเสียงเบา

“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

“จวิ้นอ๋อง…“

เหล่าเกาเพิ่งรับรู้ถึงการมาของเขาในเวลานี้ รีบส่งสายตาไปให้ภรรยากับบุตรสาว คนทั้งสามโผเข้าไปกอดขาเขาพร้อมกัน แผดเสียงร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย

“ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย!”

“ยะ…หยุดก่อน มีวาจาก็ค่อยๆ พูด มีลมก็ค่อยๆ ผาย! ข้ามิใช่ท่านเปาชิงเทียน เทพแห่งความยุติธรรม จะให้ความเป็นธรรมจากศาลใดแก่พวกเจ้าได้!” ซย่าอวี้จิ่นทั้งดิ้นทั้งถีบสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากปลอกเหล็กหกข้าง “สมควรตาย! เลิกร้องไห้ได้แล้ว ห้ามทำเสื้อผ้าข้าสกปรกนะ ขืนพวกเจ้ายังร้องไห้อยู่อีกข้าจะไปแล้ว!”

เหล่าเกาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็หยุดร่ำไห้ในพริบตา ใบหน้าหม่นหมองแปรเปลี่ยนเป็นสดใส ตวาดภรรยากับบุตรสาวให้หยุดร้องไห้และไปดูแลบุตรชาย ขณะที่ตัวเองเก็บเก้าอี้ที่ขาไม่หักตัวหนึ่งบนพื้นขึ้นมา เช็ดแล้วเช็ดอีก จากนั้นก็เชิญซย่าอวี้จิ่นนั่งลง เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างเดือดดาล

 

เขามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเกาเทียนเสียง ตัวเตี้ยม่อต้อ หน้าปรุ เป็นคนทึ่มทื่อที่ถูกทุบตีอย่างไรก็ไม่ปริปากพูดสักแอะ แต่คลั่งไคล้หมากรุกอยู่สักหน่อย ทุกครั้งที่เห็นคนเดินหมากก็จะห้ามใจไม่อยู่ ต้องเดิมพันแพ้ชนะสักสิบอีแปะ

เมื่อวานเขาถอนขนเนื้อแพะบนเตาเสร็จก็ออกไปซื้อเครื่องเทศ มีคนรู้จักคนหนึ่งชื่อเสี่ยวเอ้อร์จื่อชวนเขาไปเที่ยว ยามเดินผ่านตรอกข้างบ่อนรุ่งเรืองนานด้วยกัน เห็นคนหลายคนล้อมวงเดินหมาก ส่งเสียงเอะอะพนันขันต่อกัน ทว่าฝีมือกลับอ่อนด้อยเหลือจะกล่าว ด้านข้างยังวางเหรียญอีแปะหลายเหรียญเป็นเดิมพัน เขาเห็นแล้วก็คันไม้คันมืออยากร่วมวงด้วย

ท่านลู่คนตั้งกระดานหมากเอ่ย

‘ข้ารำคาญพวกไม่มีเงินจ่ายและเกลียดชังพวกขี้แพ้ชวนตีเป็นที่สุด เจ้าจะเล่นก็ต้องทำตามกฎ หนึ่งกระดานสามตัว! เล่นครบห้ากระดานถึงจะไปได้!’

เกาเทียนเสียงรู้สึกว่าถึงแพ้ทั้งห้ากระดานก็แค่สิบห้าอีแปะ ไม่นับว่ามากเท่าไร เขาจึงตอบตกลง รอหลังจากชายฉกรรจ์ซึ่งต่อแถวอยู่ด้านหน้าเล่นจบแล้วออกไปก็รีบตั้งกระดานหมากใหม่

หมากกระดานแรกจบ เขาแพ้ไปอย่างฉิวเฉียด พาให้นึกเจ็บใจเลยเล่นต่อ

คิดไม่ถึงว่าหมากกระดานที่สองยังคงแพ้อีก ตามมาด้วยหมากกระดานที่สาม หมากกระดานที่สี่…แพ้รวดติดกันทุกกระดาน

เวลานี้ชายฉกรรจ์ที่เดินออกไปแล้วคนนั้นกลับมาอีกครั้ง ในมือถือตั๋วเงินปึกหนึ่งยัดใส่มือของคนตั้งกระดานหมาก เอ่ยพลางยิ้มประจบ

‘ท่านลู่ฝีมือดี ข้าเสียให้ตั้งแปดตัว’

ท่านลู่รับตั๋วเงินมานับดูแล้วยื่นตั๋วเงินสองใบให้บุรุษด้านหลัง

‘เจ้าชนะสองตัว เอาไปเถอะ’

เกาเทียนเสียงลอบมองตั๋วเงินที่ล้วนมีมูลค่าใบละหนึ่งร้อยตำลึงแล้วถึงประจักษ์ได้ในเวลานี้ว่าดูคล้ายไม่ค่อยจะเข้าทีนัก เขาจึงฝืนยิ้มเอ่ยถาม

‘ที่ว่าตัวนี้คือ?’

ท่านลู่ถ่มน้ำลาย

‘ย่อมต้องเป็นตัวละหนึ่งร้อยตำลึงน่ะสิ’

คนจ่ายเงินกับคนรับเงินพยักพเยิดสนับสนุนกันใหญ่ ทั้งยังแอบยิ้มที่มุมปากไม่หยุด

เกาเทียนเสียงตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบลุกพรวดขึ้น

‘ข้าเข้าใจผิดไป ข้าไม่เดิมพันแล้ว’

กลุ่มคนที่ตั้งวงเดิมพันกับท่านลู่เข้ามายืนล้อมเอาไว้และชกเขาหมัดหนึ่งอย่างหนักหน่วงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ปากยังบริภาษด่าทอไปด้วย

‘ก็บอกแล้วว่าหนึ่งกระดานสามตัว เล่นครบห้ากระดานถึงจะไปได้! เจ้าหนุ่ม เจ้าริอ่านเข้ามาร่วมวงกับข้าแล้วยังกล้าหนีอีกหรือ มาเดิมพันกับข้าต่อซะดีๆ แล้วควักเงินออกมาจ่ายที่เสียพนันให้ข้าทั้งหมดด้วย หาไม่แล้วข้าจะกุดมือกุดเท้าเจ้าซะ! แล้วไม่ต้องมาพูดกับข้าเรื่องบ้านเมืองมีขื่อมีแปอะไรนั่นด้วย ไอ้หนุ่มตาบอดเอ๊ย ลองไปถามถึงคนชื่อท่านลู่ที่บ่อนรุ่งเรืองนานได้เลย คำพูดของท่านลู่คือกฎหมายบ้านเมือง!’

คนรอบข้างหัวเราะครืนใหญ่อีกระลอก ส่วนเสี่ยวเอ้อร์จื่อซึ่งพาเขามาที่นี่เผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้

เกาเทียนเสียงหัวหมุนคว้างระลอกหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางก็ไม่มีแก่ใจเดินหมากกระดานสุดท้าย

พริบตาเดียวเขาก็ติดหนี้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ซ้ำร้ายยังถูกบังคับให้ทำสัญญาหนี้

เรื่องราวต่อจากนั้นคือการทวงหนี้ ท่านลู่พาคนมาอาละวาดพังร้านเหล่าเกา ไม่ว่าเหล่าเกาจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ครั้นบีบจนถึงที่สุด ท่านลู่นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า คาบไม้จิ้มฟันในปาก

‘ในเมื่อคืนเงินไม่ได้ก็ช่างเถอะ ข้าเป็นคนใจดีอยู่เหมือนกัน จะยอมเสียเปรียบเจ้าสักครั้ง เหลือทางรอดให้เจ้าได้เดิน รสชาติเนื้อแพะร้านเจ้ายังพอมีดีอยู่หลายส่วน หากเจ้ามอบสูตรลับการปรุงมาก็จะถือเป็นการชดใช้หนี้หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงนี้’

เหล่าเกาแจ่มแจ้งในบัดดล เพิ่งจะรู้ว่าเป็นหอบุปผาเมามายที่ใช้อุบายสกปรกให้ร้ายบุตรชายตน ด้วยพักก่อนหอบุปผาเมามายถูกใจสูตรปรุงเนื้อแพะของเขา คิดอยากครอบครองเป็นของตัวเองผู้เดียวเพื่อใช้เป็นอาหารชูโรงประจำร้าน จึงส่งคนมาเจรจาหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

 

หลังจากซย่าอวี้จิ่นฟังจบก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่

“ท่านลู่…ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ เขาทำงานให้กับบ่อนรุ่งเรืองนาน ชอบใช้วิธีต่ำช้าพอดู บ่อนพนันนี้กับหอบุปผาเมามายหรือ เรื่องไม่ง่ายเลย เพราะทั้งสองแห่งนี้มีฉีอ๋องเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลัง คนผู้นี้ไม่เหมือนข้าที่อยู่เฉยๆ ลอยไปลอยมา เขารับผิดชอบงานในราชสำนัก ได้รับความสำคัญอย่างมาก ขุนนางที่ประจบสอพลอเขาก็มีไม่น้อย เจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง อีกทั้งเป็นการขัดแย้งกันในบ่อนพนัน หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมามีแต่ตายสถานเดียว”

เหล่าเกาเอ่ยด้วยสีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง

“ต้องยอมรับชะตากรรมไปเช่นนี้หรือ”

ภรรยากับบุตรสาวเขาเริ่มร้องโหยหวนขึ้นมาอีก

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินเสียงร้องปานสุกรถูกเชือดก็อดอุดหูมิได้ เขาลุกพรวดขึ้นแล้วพูดอย่างมีน้ำโห

“จะร้องไห้ทำไม! ข้ายังต้องซื้อเนื้อแพะไปให้ภรรยาข้านะ! เจ้าไปตั้งไฟตุ๋นเนื้อแพะให้เปื่อยสักนิด เอาเอ็นกับเนื้อติดกระดูกอย่างละห้าชั่ง อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนมารับ!”

จากนั้นก็เขาหมุนกายเดินจากไป

เหล่าเกาตั้งสติได้ก็ตบไหล่บุตรสาวทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มย่องผ่องใส

“จะร้องไห้ทำไม! ไม่ได้ยินจวิ้นอ๋องพูดหรือว่าอีกประเดี๋ยวจะมาเอาเนื้อแพะ ยังไม่รีบไปตั้งไฟอีก พวกเราค่อยๆ ตุ๋นเนื้อแพไปรอไป”

 

ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศยังหนาวเย็น ประตูหน้าของบ่อนรุ่งเรืองนานติดตัวอักษรคำว่า ‘เงินทองไหลมา’ ไว้ทางซ้าย ติดตัวอักษรคำว่า ‘เก่าไปใหม่มา’ ทางขวา ด้านในมีผู้คนเนืองแน่น แต่ละคนล้วนตื่นเต้นคึกคักจนเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก เสียงลูกเต๋าชนกระทบกันประสานเสียงตะโกนด้วยความดีใจและปวดใจ คละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของคนชั้นต่ำอย่างพรรณนาไม่ถูก

ไกลออกไปมีเกี้ยวหลังงามสีเหลืองประดับม่านบังสีแดง ปลายยอดหลังคาเป็นสีเงินสูงเด่นอวดสายตาผู้คนเคลื่อนใกล้เข้ามาและหยุดลงหน้าประตูช้าๆ

ผู้ติดตามทำหน้าละห้อยเข้าไปเลิกม่านขึ้น ด้านในเป็นคุณชายสูงศักดิ์รูปงามดุจหยกไร้ตำหนิ สวมเสื้อคลุมบรรดาศักดิ์ลายมังกรสี่เล็บสีขาว บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเจิดจ้า เขาประคองเตาพกให้ความอบอุ่นขณะก้าวเท้าเดินเอ้อระเหยเข้าไปในบ่อนพนัน

ท่านลู่เห็นเกี้ยวหลังนี้แต่ไกล นึกว่ามีคนใหญ่คนโตมาหาเรื่องเลยรีบร้อนออกมารับหน้า ครั้นเห็นผู้ที่มาคือซย่าอวี้จิ่น คุณชายเสเพลผู้โด่งดังก็อดระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจมิได้ แต่แล้วพลันฉุกคิดได้ว่าเขาชอบเล่นพนันจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทว่าน้อยครั้งนักที่จะมาเข้าบ่อนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ในใจนึกฉงนอยู่บ้างจึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้มประจบประแจง

“จวิ้นอ๋องก็จะมาเล่นสักตาสองตาหรือขอรับ”

“ข้าผ่านมาได้ยินเสียงลูกเต๋าเลยคันไม้คันมือขึ้นมา”

ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะผสมโรง เดินตามอีกฝ่ายไปทางนั้นทีทางโน้นที ดูจนทั่วรอบหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะพนันสูงต่ำ

เขาดูอยู่หลายตา จากนั้นขณะรอให้ลูกเต๋าหยุดสนิทแล้วกำลังจะหงายถ้วย เขาก็ล้วงกระดาษแผ่นเล็กยับยู่ยี่ใบหนึ่งจากอกเสื้อ ไม่แม้แต่จะมองก็โยนลงไปแทงในช่อง ‘ต่ำ’ คล้ายเป็นขยะชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น พร้อมพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน

“มา ข้าขอเล่นสักสองตา ลงสักห้าสิบตำลึงเถอะ”

บ่อนรุ่งเรืองนานเป็นหนึ่งในบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง มีลูกหลานล้างผลาญตระกูลมาวางเดิมพันเป็นพันชั่งที่นี่ ฉะนั้นถึงเงินห้าสิบตำลึงไม่นับว่าเป็นจำนวนเล็กน้อย ทว่าท่านลู่ยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตา เขากล่าวยิ้มๆ

“ท่านมาเล่นสองตา ข้าย่อมยินดีต้อนรับเป็นธรรมดาขอรับ”

จากนั้นเขาก็บุ้ยใบ้ให้เจ้ามือหงายถ้วย

ลูกเต๋าสามลูกทอยได้สอง สอง สี่ รวมเป็นแปดแต้ม ออกต่ำพอดี

เจ้ามือรีบหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมา ยื่นส่งให้ซย่าอวี้จิ่นอย่างพินอบพิเทา ทว่าซย่าอวี้จิ่นกลับอุทานด้วยความตกใจ เหยียดมือไปหยิบตั๋วเงินที่โยนลงไปบนโต๊ะใบนั้นขึ้นมา ค่อยๆ คลี่ออกจนเรียบ เปิดกางให้ทุกคนมองดูอย่างถนัดถนี่พลางเอ่ยยิ้มๆ

“ข้าไม่ระวังดูตั๋วเงินผิด ที่โยนลงไปเป็นหนึ่งพันตำลึงไปเสียได้ แล้วยังชนะอีก ฮ่าๆ ช่างดวงดีจริงๆ”

สีหน้าของท่านลู่ซีดเผือดลงในชั่วอึดใจเดียว

“กล้าได้กล้าเสียน่า” ซย่าอวี้จิ่นตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวปลอบใจ “กฎการแทงสูงต่ำ เมื่อแทงไปแล้วจะเปลี่ยนใจมิได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีได้มีเสีย ตานี้เป็นเจ้าที่ดวงไม่ดี แต่ว่านะ เสียหนักเกินไปเกรงว่าจะทำให้เจ้าทุกข์ใจเปล่าๆ ข้าเล่นแค่พอหอมปากหอมคอ เช่นนั้นก็หยุดแค่นี้เป็นอย่างไร”

บ่อนรุ่งเรืองนานเป็นกิจการของฉีอ๋อง เงินสองสามร้อยตำลึงพอจะขาดทุนได้ แต่ตาเดียวเสียถึงพันตำลึง เขาคงต้องถูกตำหนิรุนแรงอย่างเลี่ยงมิได้ จะอย่างไรก็ต้องหาหนทางเอาเงินก้อนนี้คืนมา

ท่านลู่คิดอ่านอย่างฉับไว มองเห็นซย่าอวี้จิ่นตั้งท่าจะไปก็เร่งรีบเข้าไปขวางหน้าไว้ เอ่ยยิ้มๆ

“ท่านเล่นตาเดียวก็กลับได้อย่างไรขอรับ มันจะดูเหมือนว่าข้าดูแลไม่ดี รับรองลูกค้าไม่ทั่วถึง ท่านต้องเล่นต่ออีกสักหลายๆ ตานะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นฉีกยิ้มกว้างพลางถาม

“เจ้าจะรั้งข้าให้เล่นจริงหรือ”

ท่านลู่ยิ้มประจบไม่หยุด

“แน่นอนขอรับ ท่านให้เกียรติมาเยือนทั้งที เป็นหน้าเป็นตาของบ่อนพนันเรา”

ซย่าอวี้จิ่น ‘ลังเล’ อยู่เป็นนานก่อนจะพูดเสียงเฉียบขาด

“เอาเถอะ วันนี้ข้ามีโชคลาภ ไม่ต้องกลัวถูกด่า เห็นแก่ที่บ่อนพนันเจ้ามีความตั้งใจจริง ข้าก็จะอยู่เล่นสักหลายๆ ตา!”

ท่านลู่กุลีกุจอสั่งคนไปยกน้ำชา ลอบกำชับให้เปลี่ยนตัวเจ้ามือที่เก่งกาจที่สุดมาและนั่งบัญชาการอยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง

ซย่าอวี้จิ่นก้มศีรษะ ใช้นิ้วกรีดตั๋วเงินมูลค่าสูงหลายใบในมือเล่นอย่างสุขุมเยือกเย็น รอหลังจากลูกเต๋าในถ้วยหยุดหมุนก็เลื่อนเงินสองพันตำลึงไปแทงในช่อง ‘สูง’ ทั้งหมดอย่างง่ายๆ เขานิ่งคิดแล้วรู้สึกว่าไม่พอ ค้นบนตัวได้ตั๋วเงินย่อยๆ อีกสองร้อยกว่าตำลึงก็วางลงไปด้วยกัน

เจ้ามือเริ่มสั่นสะท้าน ส่วนท่านลู่เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผาก

“จวิ้นอ๋อง…นะ…นี่จะแทงหนักเกินไปกระมังขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างปราศจากเล่ห์กล

“ข้าไม่กลัว ข้าน่ะชอบความระทึกใจ ทุ่มเงินทั้งหมดในคราวเดียวแบบนี้ยิ่งระทึกใจดี นี่! เจ้ามือชักช้าไม่เปิดถ้วยสักที คงมิใช่เล่นตุกติกกระมัง”

ผีพนันคนอื่นเห็นโต๊ะทางนี้น่าสนุกก็พากันเข้ามาล้อมวงมุงดู พวกเขาล้วนเป็นพวกที่เล่นพนันจนติดเป็นนิสัย เวลานี้จึงร่วมแรงร่วมใจกันจ้องมือของเจ้ามือเขม็งพร้อมตะโกนให้เปิดถ้วยเป็นเสียงเดียวกัน

เมื่อถูกบีบคั้นหนักเข้า เจ้ามือจำใจต้องเปิดถ้วย

ลูกเต๋าในนั้นทอยได้ห้าแต้มลูกหนึ่ง หกแต้มลูกหนึ่ง และสามแต้มลูกหนึ่ง รวมเป็นสี่สิบแต้ม ออกสูงพอดี

คนทั้งกลุ่มโห่ร้องชอบใจพร้อมกัน ท่านลู่หน้ามืดไปวูบหนึ่ง แทบเป็นลมล้มพับไป

ซย่าอวี้จิ่นเก็บตั๋วเงินมา ตะโกนอย่างดีใจ

“เล่นต่อ”

ท่านลู่กัดฟันพูด

“เล่นต่อ!”

เขาส่งสายตาบอกให้เจ้ามือถอยออกมาแล้วออกโรงด้วยตัวเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนผู้นี้จะมีโชคถึงเพียงนั้น!

ตาที่หนึ่ง ออกตองหก สิบแปดแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นไม่แทง

ตาที่สอง ออกตองสี่ สิบสองแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นไม่แทง

ตาที่สาม ออกตองสาม เก้าแต้ม เจ้ามือกินเรียบ

ซย่าอวี้จิ่นยังคงไม่แทง

ตาที่สี่ ท่านลู่ทนต่อไปไม่ไหว ไม่กล้าเขย่าลูกเต๋าเป็นแต้มตองเลยทอยให้ได้สามแต้มสองลูก ห้าแต้มหนึ่งลูก รวมเป็นสิบเอ็ดแต้ม ออกสูง

ซย่าอวี้จิ่นรีๆ รอๆ ไม่ยอมขยับ

ท่านลู่ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแผ่วๆ ตั้งท่าจะหงายถ้วยขึ้น อีกฝ่ายกลับตะโกนขึ้นว่า “ช้าก่อน” จากนั้นก็เอาเงินสี่พันห้าร้อยกว่าตำลึงวางกองในช่องสูงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

เงินเก้าพันตำลึงเป็นรายได้ของบ่อนพนันถึงสามเดือน

“ดวงดี…ดวงดี” ซย่าอวี้จิ่นนับตั๋วเงิน ตีหน้าซื่อแย้มยิ้มอย่างไร้พิษสง “เมื่อคืนมีเซียนมาเข้าฝันบอกว่าวันนี้ข้าจะมีโชคทางพนัน เห็นทีว่าจะเป็นความจริง”

ในที่สุดท่านลู่ก็รู้แล้วว่าตัวเองเจอกระดูกชิ้นโตเข้าแล้ว ฝีมือเล่นพนันของจวิ้นอ๋องมิใช่ธรรมดา เกรงว่าจะมีชั้นเชิงทีเด็ดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ วันนี้ตัวเองคงสู้มิได้แล้ว เขาจึงทำหน้าบึ้งกล่าวขอขมาลาโทษและเชิญอีกฝ่ายกลับไป

ซย่าอวี้จิ่นเก็บตั๋วเงินขึ้นมา เอ่ยอย่างเย็นชา

“เจ้ารั้งข้าให้อยู่เล่นก็ต้องเล่นเป็นเพื่อนจนถึงที่สุด! พนันกันต่อ!”

ท่านลู่โกรธจนสั่นระริกไปทั้งร่าง พูดเสียงห้วน

“วันนี้บ่อนรุ่งเรืองนานไม่มีเงิน ไม่พนันแล้ว!”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเรียบๆ

“ไม่มีเงินก็ทำสัญญายืมเงินสิ อย่างไรก็ขายลูกขายเมียมาใช้คืนได้”

ท่านลู่พูดอย่างเดือดดาล

“ข้าไม่มีเงิน ท่านยังจะบังคับให้ข้าเล่นพนัน?”

ซย่าอวี้จิ่นยกขาขึ้นไขว่ห้าง รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

“ก็วันนี้ข้ามาเพื่อบังคับให้เจ้าเล่นพนันน่ะสิ!”

ท่านลู่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าตัวเองไปล่วงเกินลูกหลานเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไร ครั้นเห็นใบหน้าสวยงามของเขาฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเต็มเปี่ยมก็นึกอยากสั่งให้นักเลงหัวไม้สิบกว่าคนซึ่งบ่อนพนันชุบเลี้ยงไว้และมีหน้าที่ลากตัวพวกก่อกวนไปสั่งสอนในตรอกมืดมาสับเขาให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้วโยนลงไปเลี้ยงปลาในคูเมืองจนแทบทนไม่ไหว

ซย่าอวี้จิ่นสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างหลากใจ

“ทำไม เจ้าอยากทุบตีข้ารึ”

ท่านลู่ต้องข่มใจสุดกำลังถึงจะเปล่งคำว่า “มิบังอาจ” ออกมาจากลำคอได้

“เจ้าเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง คงไม่บังอาจทุบตีจวิ้นอ๋องอย่างข้าเช่นกัน หรือเจ้าคิดจะล่วงเกินเบื้องสูง ต้องโทษประหารทั้งตระกูล?”

ซย่าอวี้จิ่นนับเงินอย่างสำราญใจต่อไป ซ้ำยังให้คนเอาตั๋วเงินมูลค่าน้อยหลายใบไปแลกเป็นเศษเงินตำลึง แจกจ่ายให้ทุกคนในบ่อนพนัน

“มา ข้าขอแบ่งโชคลาภให้ทุกคน”

ท่านลู่มองดูสีหน้าลำพองใจประหนึ่งคนถ่อยของซย่าอวี้จิ่นแล้วรู้สึกว่าไฟแค้นที่กลางอกเสมือนเนื้อเหล็กเหลวที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในเตาหลอมละลายที่พร้อมจะพวยพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ เขาเพียรระงับใจไว้จนแทบจะกลายเป็นลูกเต่าหดหัวไปแล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาหลายเฮือก เดินเข้าไปพูดเบาๆ ที่ริมหู

“จวิ้นอ๋อง ไว้หน้ากันบ้าง ท่านรู้หรือไม่ว่าเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังบ่อนพนันนี้…”

“เอ๊ะ? จะพูดอะไรก็เสียงดังหน่อยสิ!” ซย่าอวี้จิ่นหันหน้าไปตะเบ็งเสียงใส่เขา “เจ้าพูดว่าเจ้าของบ่อนพนันเสื่อมทรามนี้เป็นผู้ใดนะ แต่ตรองดูก็รู้ เจ้าคนที่เปิดบ่อนพนันพรรค์นี้ได้จะต้องมิใช่พวกคนดีมีศีลธรรมเป็นแน่”

แคว้นต้าฉินมีกฎห้ามมิให้เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์และข้าราชการทำการค้าโดยปราศจากข้อยกเว้น กระนั้นขุนนางแทบทุกคนล้วนคิดหาลู่ทางพลิกแพลงต่างๆ นานาเพื่อลอบทำการค้าส่วนตัวโดยใช้วิธีการดังเช่นร่วมมือกับคนอื่น ไม่ก็อาศัยชื่อญาติพี่น้องบังหน้า

เนื่องด้วยกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ฉะนั้นต่อให้จับได้ก็ล้วนหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

หอคณิกากับบ่อนพนันเป็นการค้าที่ทำเงินได้รวดเร็วที่สุด แต่ก็ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดด้วย

ซย่าอวี้จิ่นเสียหน้าได้ ทว่าฉีอ๋องเสียหน้ามิได้ ดุจคนเปลือยเท้าย่อมไม่เกรงกลัวคนใส่รองเท้า

เรื่องลอบเปิดบ่อนพนันพรรค์นี้หากถูกป่าวประกาศออกมาต่อหน้าธารกำนัล ก็จะกลบเกลื่อนปิดบังไว้ไม่ได้อีกต่อไป ไม่เพียงต้องถูกจักรพรรดิลงอาญา ยังกระทบต่อชื่อเสียงและอนาคตอย่างยิ่ง ขณะนี้ฉีอ๋องได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักอยู่มาก ไหนเลยจะทำลายชื่อเสียงตัวเองได้

ทว่าซย่าอวี้จิ่นนั้นเป็นพวกที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ถึงขีดสุดและไม่ใส่ใจยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้จักรพรรดิจับตัวเขากลับไปด่าทอ ตัดเบี้ยหวัดสองสามปี กักบริเวณระยะหนึ่ง เขาล้วนไม่เจ็บไม่คัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นสายเลือดกษัตริย์ ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของพระพันปีเหลือล้น หากไม่ทำความผิดมหันต์จนเกินอภัยก็จะไม่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง

แม้ฉีอ๋องจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนัก เขาก็ไม่อาจลงมือเล่นงานหนานผิงจวิ้นอ๋องต่อหน้าได้ คงได้แต่ระบายโทสะลงที่ผู้ดูแลบ่อนพนันทั้งหมด

มารดามันเถอะ สมควรตายจริงๆ คนที่บัดซบยิ่งกว่าคนพาลก็คือคนพาลสูงศักดิ์

ท่านลู่ก่นด่าอยู่ในใจหลายคำ จากนั้นก็ฝืนกล้ำกลืนคำว่าฉีอ๋องกลับลงคอไป ทว่าซย่าอวี้จิ่นกลับซักไซ้ไล่เลียงอย่างดึงดันไม่เลิกรา

“บ่อนพนันนี้เป็นของผู้ใดหรือ ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าคนหน้าด้านหน้าทนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้เป็นใคร คงมิใช่ขุนนางสูงศักดิ์คนใดกระมัง” เขานิ่งคิด โคลงศีรษะพลางเอ่ย “ต้องมิใช่แน่ๆ พระพันปีตรัสไว้ว่าการพนันจะนำความวิบัติมาสู่ราษฎร ปกติเวลาข้าเข้าบ่อนถี่ไปยังทรงดุด่าข้าตั้งครึ่งค่อนวัน แล้วจะมีเชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการหน้าไหนกล้าหักหาญน้ำพระทัยเปิดบ่อนพนันกันล่ะ เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ต่อให้รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวงว่าผู้หนุนหลังบ่อนพนันกับหอคณิกาทั้งหมดเป็นคนเหล่านี้ก็ทำได้เพียงโจษจันลับหลัง หามีใครกล้าพูดส่งเดชไปทั่ว

ท่านลู่อึดอัดคับใจเจียนคลั่งตาย กลับไม่สามารถพูดความจริงออกมาต่อหน้าผู้คนได้ แต่ซย่าอวี้จิ่นกลับคาดคั้นไม่หยุดจนเขาทัดทานไม่ไหว จำต้องกล่าวตอบออกไป

“ข้าเป็นคนเปิดบ่อนพนันนี้เองขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่าง ‘แจ่มแจ้งในบัดดล’

“คาดแล้วว่าต้องเป็นคนถ่อยเช่นเจ้า”

ท่านลู่ถูกเขาด่าประณามก็โมโหจนหน้าแดงก่ำ ได้แต่กำมือเป็นหมัด ไม่กล้าชกออกไปจริงๆ

ซย่าอวี้จิ่นนับเงินเรียบร้อยก็เคาะโต๊ะ

“มา! พนันกันต่อ วันนี้ข้ามือขึ้น!”

ท่านลู่กล่าวอย่างคั่งแค้น

“วันนี้ข้าขอยอมจำนน หากชีวิตไม่สิ้นต้องได้พานพบกันอีกครั้ง เงินเก้าพันกว่าตำลึงนี้ถือว่ามอบให้ท่าน หวังว่าท่านจะเมตตาปรานีด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นตะคอกอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย

“คนฐานะต่ำต้อยเช่นเจ้าถือดีอะไรมาพานพบข้า แล้วเงินที่ข้าชนะมาได้อย่างถูกต้องชอบธรรมยังต้องให้เจ้ามอบให้ด้วยหรือ”

ท่านลู่ใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนแล้ว ทว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ยอมขยับไปไหน

พวกผีพนันที่ตั้งใจลงเดิมพันตามซย่าอวี้จิ่นนับไม่ถ้วนทางด้านหลังตะโกนให้เริ่มเล่นหมายถอนทุนคืน

ท่านลู่ตรึกตรองอยู่เนิ่นนานก็คิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นได้ เขาเรียกพวกนักเลงหัวไม้มาแล้วประกาศ

“วันนี้บ่อนพนันเราปิดชั่วคราว เชิญทุกคนแยกย้ายกลับไป คราวหน้าค่อยมาใหม่!”

พวกนักเลงหัวไม้เข้าใจความหมายก็เริ่มตวาดไล่คน แม้ทุกคนจะไม่เต็มใจเหลือแสนก็ได้แต่ออกไปพร้อมเสียงสบถก่นด่า ชั่วอึดใจเดียวเหลือเพียงซย่าอวี้จิ่นกับเด็กรับใช้สองสามคนที่เขาพามาด้วยอยู่ในบ่อนพนันที่ว่างเปล่าโหรงเหรง

ท่านลู่แค่นยิ้มคราหนึ่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ประสานมือคารวะ

“จวิ้นอ๋องสุขภาพไม่ดี อยากพักผ่อนที่บ่อนพนัน ข้าก็จะจัดคนมาปรนนิบัติพัดวี รอท่านพักผ่อนพอแล้ว อยากไปเมื่อไรก็ได้ขอรับ”

กล่าวจบเขาก็บุ้ยใบ้บอกพวกนักเลงหัวไม้ให้อยู่จับตาดูไว้ ส่วนตัวเองสาวเท้ายาวๆ ออกนอกประตูไป ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะหลบหน้าเทพโรคระบาดผู้นี้สักสองสามวัน

เงินเก้าพันกว่าตำลึงเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่ซย่าอวี้จิ่นคาดเดาไว้ อย่างมากเขาค่อยมาใหม่วันหลัง ก่อกวนไปเรื่อยๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะปิดประตูเลิกกิจการ

แม้จะไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์เท่าไร เขาก็ได้แต่เก็บตั๋วเงิน ตั้งท่าจะลุกขึ้นเดินออกไป

ทันใดนั้นมีเสียงลมระลอกหนึ่งดังลอยมาจากนอกประตู

ท่านลู่คล้ายถุงกระสอบใบหนึ่งก็ไม่ปาน ปลิวหวือมากลางอากาศก่อนจะตกลงกระแทกโต๊ะพนันเบื้องหน้าซย่าอวี้จิ่นอย่างแรงจนแตกทะลุเป็นรูใหญ่

“บัดซบ!”

สุ้มเสียงเหี้ยมเกรียมประหนึ่งปลายคมดาบเปื้อนเลือดชวนให้สะท้านเยือกขนลุก

เยี่ยเจาสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีแดงทั้งชุด ถือดาบอยู่ในมือ นำทหารคนสนิทยี่สิบกว่านายปิดล้อมบ่อนพนันไว้ทุกด้าน จากนั้นสาวเท้าเนิบนาบเข้ามามองกวาดไปรอบทิศด้วยสายตาดุดันแล้วค่อยผงกศีรษะกับซย่าอวี้จิ่น สุดท้ายตรึงสายตาอยู่ที่ร่างท่านลู่ กล่าวขึ้นโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ

“พนันต่อ!”

ซย่าอวี้จิ่นอ่านสถานการณ์ได้แจ่มแจ้งก็หน้าบานด้วยความยินดี รีบกลับไปนั่งดังเดิม

ท่านลู่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเอ่ยเสียงดัง

“ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าผู้ทรงเกียรติ ถึงกับกล้าข่มเหงราษฎร ข้าจะไปฟ้องร้องท่าน!”

เยี่ยเจาเดินเข้าไปเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหน้าคว่ำอีกทีแล้วเหยียบหลังเขาไว้ ออกแรงกดเท้าลงช้าๆ พลางอธิบายอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“สามีข้าให้เจ้าพนัน เจ้าก็ต้องพนัน”

ซย่าอวี้จิ่นเข้าใจความหมายของนาง ตบมือพร้อมพูดยิ้มๆ

“เจ้าไม่รู้หรือว่ากษัตริย์เป็นหลักของขุนนาง บิดาเป็นหลักของบุตร สามีเป็นหลักของภรรยา ข้าให้เจ้าพนัน หากนางเป็นศรีภรรยาก็ย่อมต้องจับเจ้ามาพนันกับข้า หากนางไม่อยู่ในโอวาท ข้าจะหย่ากับนางซะเลยคอยดู!”

“อืม”

เยี่ยเจาเตะคนบนพื้นอีกหลายที เสียงกระดูกข้อมือหักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ฟังแล้วบาดหูอยู่บ้าง

นางเอ่ยต่อท้ายด้วยเสียงราบเรียบ

“สามีเป็นหลักของภรรยา นานทีปีหนเขาจะกำชับให้ข้าทำอะไรสักอย่าง ข้าจะอาศัยตำแหน่งตัวเองฝืนคำสั่งเขาอย่างโจ่งแจ้งก็คงไม่ดีนัก”

ซย่าอวี้จิ่นเอามือไพล่หลัง เปรยขึ้นอย่างลำพองใจ

“ดูไว้ซะ นี่ก็คือสามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตาม!”

“ตะ…ตามประสาอะไรกัน…”

ท่านลู่เจ็บจนชักกระตุกไปทั้งตัว เขายังคิดจะทำปากเก่งต่อ แต่แล้วฉุกคิดถึงกิตติศัพท์ความดุร้ายของพญายมแห่งแดนดินขึ้นได้กะทันหัน เขาจึงเร่งรีบหลับตาลงพยายามแสร้งตาย

เยี่ยเจาใช้ฝักดาบกระทุ้งท่านลู่พลางถาม

“เขาไม่พนันแล้วจะเอาอย่างไรดี”

ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างเฉียบขาด

“ก็งัดเอาความถนัดของเจ้าออกมาใช้สิ ซ้อมเขาต่อไป!”

เยี่ยเจาโน้มกายลง เอ่ยถามด้วย ‘เจตนาดี’

“นี่ ตกลงว่าเจ้าจะพนันหรือไม่ ได้ยินที่สามีข้าสั่งแล้วใช่ไหม ไม่ต้องห่วง เรื่องทำให้คนตายทั้งเป็นอย่างน้อยข้าก็รู้เป็นร้อยวิธี”

จวิ้นอ๋องอยากพนันก็ต้องพนันจนเขาพอใจ

ยามที่ซย่าอวี้จิ่นยอมรามืออย่างหนำใจ บ่อนรุ่งเรืองนานก็สูญเงินทั้งสิ้นสิบสองหมื่นสามพันแปดร้อยตำลึง มิหนำซ้ำท่านลู่ยังต้องชดใช้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

เรื่องน่าเสียดายคือหลังจากการพนันจบสิ้น เยี่ยเจาส่งทหารไปตรวจค้นทั่วทั้งบ่อนพนัน ทุบโต๊ะทุบเก้าอี้จนพังยับเยิน พบเงินเพียงหนึ่งหมื่นสองพันสองร้อยสามสิบสี่ตำลึง แล้วก็ยังมีวัตถุโบราณหลายชิ้นกับเศษเงินอีแปะกองใหญ่

ท่านลู่น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะขณะถูกดาบเล่มใหญ่จ่อไว้และบังคับให้ลงลายมือชื่อในสัญญาหนี้ ประทับรอยนิ้วมือด้วยเลือด

ซย่าอวี้จิ่นถือวัตถุโบราณพลิกดูไปมา พูดเหยียดหยามเป็นการสั่งสอนแกมให้ความรู้

“ล้วนเป็นของไร้ราคาทั้งนั้น ภาพวาดของหลี่ไป๋เหนียนภาพนี้ก็ยังเป็นของปลอม คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้านอกจากจะไม่เข้าขั้น ไม่มีคุณธรรมแล้ว แม้แต่สายตาก็ไม่เอาไหน วันหลังต้องใฝ่หาวิชาความรู้ให้มาก…เจ้าทำหน้าคับข้องใจอย่างนั้นให้ผู้ใดดูรึ ที่ข้าสั่งสอนเจ้าไม่ถูกต้องหรือไร”

เยี่ยเจาเคาะหัวท่านลู่ หรี่ตามองเขา

ท่านลู่ลุกลนคลานเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวอ้อนวอน

“ขอรับ…จวิ้นอ๋องสั่งสอนได้ถูกต้อง…ข้าไร้ความดี ไร้คุณธรรม มีตาแต่หามีแววไม่…”

“ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วก็ช่างเถอะ ข้าเป็นคนใจคอกว้างขวาง มิใช่คนชั่วที่พาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผลพรรค์นั้น ไหนเลยจะเก็บเรื่องที่เจ้าล่วงเกินเช่นนี้มาใส่ใจ”

ซย่าอวี้จิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวที่ไม่บุบสลายเพียงตัวเดียวในบ่อนพนัน บิดขี้เกียจคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบสัญญาหนี้ขึ้นมาตรวจทานอย่างถี่ถ้วนและโยนวัตถุโบราณที่ไร้ราคาสองสามชิ้นคืนไปอย่างใจกว้างมาก

เขาโบกมือพลางเอ่ย

“ก็แล้วกันไปแต่เพียงเท่านี้เถอะ แม้เขาจะปฏิเสธไม่ยอมพนัน ทำตัวเป็นอันธพาล แต่อะไรอภัยให้กันได้ก็อภัยให้กันซะ อย่าให้ผู้อื่นนึกว่าพวกเราวางอำนาจข่มเหงคน”

เยี่ยเจาเก็บดาบ

“จริงของท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นใช้ภาพวาดปลอมม้วนนั้นตีหัวท่านลู่ ถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งและกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน

“อย่าเสียใจไปเลย แพ้ชนะในบ่อนพนันเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็รับเงินเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ซะ ถึงเรื่องใหญ่โตปานไหนก็ไม่มีขวากหนามใดที่ข้ามผ่านไปมิได้ อย่าเสียใจมากเกินไปจนคิดสั้นเด็ดขาด แม่น้ำฉินน่ะหนาวมากเลยนะ”

ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ต่ำช้ากว่าคนผู้นี้อีกหรือ

ท่านลู่เดือดดาลจนเลือดลมตีกลับ กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

 

ซย่าอวี้จิ่นเดินอาดๆ ยกขบวนกลับ ไม่แม้แต่จะมองเลนตมบนพื้นแม้แต่แวบเดียว พอเดินถึงหน้าประตู เขาก็เอาเหรียญอีแปะกับเศษเงินตำลึงโปรยให้ชาวเมืองบนถนนที่มุงดูอยู่ด้วยความสนใจ และหยิบตั๋วเงินสองร้อยตำลึงใบหนึ่งส่งให้ทหารคนสนิทที่เยี่ยเจาพามาเอาไปดื่มชา

เขาก้มหัวมุดเข้าไปในเกี้ยว ยังมิทันได้นั่งดีๆ นางก็ตามเข้ามา ทั้งยังยื่นมือมาตรงหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ

“ค่าเหนื่อยของข้าล่ะ?”

“มีปัญญาแค่นี้ยังจะมีหน้าเป็นแม่ทัพใหญ่!” ซย่าอวี้จิ่นปัดมือเยี่ยเจาออกอย่างแรง ดึงตั๋วเงินสองพันตำลึงออกมายื่นให้อันคังซึ่งตามรับใช้อยู่ข้างกาย “ไปที่ร้านเหล่าเกาก่อน แอบยัดเยียดตั๋วเงินให้เขา แล้วซื้อเนื้อแพะกับเอ็นแพะมาอย่างละห้าชั่ง จากนั้นค่อยพาคนไปบอกเขาอีกทีว่าข้าท้องเดินเพราะกินเนื้อแพะที่เขาปรุง พังร้านเขาให้ราบสักตั้ง ตบหน้าเขาสักฉาดสองฉาด ไล่ออกไปจากเมืองหลวงทั้งครอบครัว บอกเขาว่าขืนกลับมาอีกล่ะก็เจอเมื่อไรโดนดีเมื่อนั้น!”

อันคังรับทราบแล้วพาคนไปทำงาน

เยี่ยเจาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฉีอ๋องไม่น่าจะปะติดปะต่อได้รวดเร็วว่าท่านกับเหล่าเกาเป็นสหายกัน ทว่าเขามิใช่คนโง่เขลา คงเฉลียวใจได้ในเวลาไม่นานนักแต่ก็ตามหาตัวเหล่าเกาไม่พบแล้ว เกรงว่าจะระบายความโกรธแค้นทั้งหมดลงที่ท่าน”

“ก็แค่เล่นพนันกันเท่านั้น สุนัขที่ตัวเองเลี้ยงไว้ไม่เอาไหน เขาจะทำอะไรข้าได้ กล่าวตามตรง นับแต่เมื่อสองปีก่อนที่จักรพรรดิทำพระทัยแข็งโบยข้ายี่สิบไม้และถูกพระพันปีดุด่าอีกครึ่งชั่วยาม พระองค์ก็ถอดพระทัยไปแล้ว ขอแค่ข้าไม่ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นก็จะทรงไม่ยุ่ง คนอื่นไม่เล่นงานข้าจนเป็นเรื่องใหญ่ก็จะทรงไม่ยุ่งเช่นกัน” ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างขัดเคือง “ฉะนั้นคนถ่อยกลุ่มนั้นถึงได้กล้าเยาะเย้ยถากถางข้าต่อหน้า”

นางอดถามมิได้

“ฉีอ๋องมาคิดบัญชีกับท่านจริงๆ จะทำอย่างไร”

เขายิ้มอย่างมีเลศนัย

“จะกลัวอะไร จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นโอรสของพระพันปีและเป็นพี่น้องคลานตามกันมากับท่านพ่อข้า รักใคร่สนิทสนมกันมาโดยตลอด หากฉีอ๋องคิดบัญชีอำมหิตเกินไป ข้าก็จะแสร้งทำท่าน่าสงสารไปทูลฟ้องพระพันปี แล้วมีหรือที่จะทรงไม่ออกหน้าช่วยหลานแท้ๆ”

เขาเห็นเยี่ยเจาหันก้มหน้าครุ่นคิดก็สองจิตสองใจชั่วครู่ ก่อนจะหยิบกระดาษแดงใกล้มือมาใบหนึ่งห่อสัญญาหนี้แล้วส่งให้ผู้ติดตาม

“ช่างเถอะ เป็นคนก็ต้องเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ ข้าก็กลัวว่าเขาจะโมโหจนมาดักตีข้าเหมือนกัน เจ้าเอาของขวัญชิ้นนี้ไปมอบให้ฉีอ๋อง บอกว่าหลานชายจัดงานฉลองครบเดือนให้ลูกสาวคนใหม่ที่เกิดจากอนุภรรยาเขา ไม่ต้องชดใช้คืนแล้ว”

“มีปัญญาแค่นี้ยังจะมีหน้าเป็นจวิ้นอ๋อง!” เยี่ยเจาฟังแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดอย่างขึงขังจริงจัง “วางใจเถอะ หากเขากล้าดักตีท่าน ข้าก็จะดักตีเขาทั้งตระกูลเลย เพียงแต่เงินที่ท่านชนะพนันมาก้อนนี้จะเก็บไว้มิได้”

“อืม ข้าก็มิใช่คนโง่เขลา” ซย่าอวี้จิ่นตอบอย่างเห็นพ้องด้วย “อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมายุหกสิบพรรษาของพระพันปี ท้องพระคลังร่อยหรอ จักรพรรดิกำลังกลัดกลุ้มพระทัยอยู่ ข้าก็มอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้พระองค์เป็นการแสดงความกตัญญูและถือโอกาสไปคุยเล่นกับพระพันปี เล่าเรื่องบ่อนพนันขี้โกงเคราะห์ร้ายให้คนแก่คนเฒ่าได้หัวเราะชอบใจ”

เยี่ยเจาโอบไหล่เขา

“นี่ ท่านใช้กลโกงอะไรกันแน่ถึงได้ชนะพนัน ฉวยโอกาสนี้ปลอดคนบอกให้ข้าฟังที”

“เคล็ดวิชาประจำตัวข้าจะถ่ายทอดให้คนนอกได้อย่างไร” ซย่าอวี้จิ่นผลักมือนาง แต่ผลักอยู่หลายครั้งก็ผลักไม่ออกจึงพูดตอบเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย “ข้าได้ยินเสียงของเซียนลูกเต๋า เป็นท่านที่บอกข้าว่ากี่แต้ม”

“ท่านฟังเสียงลูกเต๋ากระมัง ผู้ใดสอนท่าน”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเสียงฮึดฮัด

“ข้าเรียนรู้เอง”

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ

“เรื่องพรรค์นี้ต่อให้มีพรสวรรค์ก็ต้องหมั่นฝึกปรือนานสิบยี่สิบปี ดูไม่ออกเลยว่าท่านก็มีความมุ่งมั่นเช่นนี้อยู่เหมือนกัน”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงขุ่น

“ผู้ใดอยากเรียนรู้กัน ข้าเกิดมาร่างกายเย็น ตอนสี่ขวบไม่ระวังตกลงไปในน้ำเย็นจัดอีกจนอาการป่วยทรุดหนัก ต้องถูกกักอยู่ในเรือนถึงสิบสี่ปีเต็มๆ ออกไปข้างนอกมิได้ โดนห้ามโน่นห้ามนี่ทุกอย่าง ชีวิตเหี่ยวแห้งน่าเบื่อหน่ายแทบเฉาตาย นอกจากเล่นลูกเต๋าแล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีก มือซ้ายเล่นกับมือขวา เล่นนานเข้าไม่ว่าอะไรก็ล้วนแตกฉาน”

นับแต่เขารู้ความเป็นต้นมาร่างกายก็อ่อนแอมาก บางครั้งยืนอยู่ในสวนดอกไม้ เดินรับลมสองก้าวก็หมดสติไปโดยไม่รู้สาเหตุ ในห้องมีกลิ่นยาไม่เคยขาด มีหมอเคราเหลือง เคราขาว หรือไม่มีเครามาตรวจอาการตั้งไม่รู้กี่คนต่อกี่คนซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวว่าเขามีชีวิตอยู่ไม่พ้นอายุสิบแปด วรชายาอันไท่เฟยร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ เลี้ยงดูประคบประหงมเขาราวกับไข่ในหินที่แสนเปราะบาง ไม่กล้าให้เขาตรากตรำคร่ำเคร่ง หวาดหวั่นสุดใจว่ากระทบคราเดียวเขาก็จะแตกละเอียด

เขาไม่จำเป็นต้องเล่าเรียนเขียนอ่าน ด้วยถึงเรียนไปก็เสียเปล่า

เขาไม่จำเป็นต้องฝึกคัดตัวอักษร ด้วยถึงฝึกไปก็เสียเปล่า

เรื่องใดก็ตามที่ทุ่มเทลงไปกับผู้ที่จบชีวิตได้ทุกเมื่อล้วนเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ไม่ว่าร่ำเรียนมากแค่ไหนหรือดีเพียงใด ผ่านไปไม่กี่ปีก็อันตรธานหายไปสิ้น

บางคราวเขาแอบฟังพวกเด็กรับใช้กับสาวใช้พูดถึงโลกภายนอก อย่างเช่นเรื่องแม่น้ำฉินที่ยาวสิบลี้กับความหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ที่สิ้นสุดจนชวนให้ความคิดฝันไปไกล บางคราวเขานั่งพิงประตูเรือน ฟังเสียงตะโกนเอะอะครื้นเครงและเสียงฝีเท้าม้าของคนขายของจากข้างนอกที่ช่างร่าเริงสดใสปานนั้น บางคราวเขาหยิบหนังสือมาพลิกอ่าน ด้านในมีขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ ทุ่งหญ้าทะเลทราย งดงามดุจภาพวาด

เขามองเห็นเพียงกำแพงสี่ด้านกับผืนฟ้าสีครามด้านบน สร้างมโนภาพว่าหมู่เมฆเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

บ้างเหมือนวานร บ้างเหมือนนกกระจาบฝน บ้างเหมือนอาชาพ่วงพี…ทว่าเมื่อเหยียดมือออกไปกลับเอื้อมไม่ถึง

ปีที่เขามีอายุสิบสี่ ชาวหมานจินเข้ามารุกราน โม่เป่ยถูกทำลายล้าง

ข่าวแพร่มาถึง เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ของเมืองหลวงโกลาหลกันไปหมด เขาสบช่องยามผู้คุ้มกันหละหลวม เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เล็ดลอดหนีออกไป

เขายืนอยู่กลางถนนใหญ่คล้ายคนโง่เขลาก็ไม่ปาน มองดูทุกอย่างตรงหน้าอย่างสนใจใคร่รู้

บุรุษวัยกลางคนที่เปิดแสดงละครลิงตีกลองผ่านไป ชายฉกรรจ์แบกถังหูลู่บนบ่าร้องตะโกนตลอดทาง สรรพสิ่งรอบตัวราวกับถูกปลุกให้ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น ล้วนแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังมีสีสันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ

เขาเดินสะเปะสะปะ ได้ยินนักเล่านิทานในหอสุรากำลังเล่าถึงแม่ทัพเยี่ยอย่างออกรสออกชาติจึงชะงักฝีเท้าสดับฟัง

‘แม่ทัพเยี่ยมีอายุเพียงสิบหก กลับมีพรสวรรค์เกินคน ฝีมือบัญชาการรบฉกาจฉกรรจ์ไม่เป็นรองแม่ทัพใหญ่ในรัชสมัยก่อน เขามีรูปโฉมองอาจน่าเกรงขาม ร่างสูงเก้าเชียะ* ถือขวานศึกหนักหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง ขี่อาชาเมฆาขาว กล้าหาญชาญชัยอย่างที่บุรุษนับหมื่นไม่อาจเทียบเทียมได้โดยแท้ เขาเป็นทัพหน้าบุกทะลวงค่ายทหารข้าศึกด้วยตัวเอง ยามทหารข้าศึกพุ่งเข้ามา เขาตะคอกใส่เสียงหนึ่งพร้อมเงื้อขวานฟันฉับ หามีผู้ใดสกัดไว้ได้ กระทั่งศีรษะขาดตกลงบนพื้นก็ยังไม่รู้ตัว สมเป็นบุรุษเหนือบุรุษ เป็นผู้กล้าเหนือผู้กล้าขนานแท้จริงๆ’

ใต้หล้ามีบุรุษที่เก่งกาจปานนั้นเชียวหรือ

เขานั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว

ทั้งที่มีอายุต่างกันไม่มาก อีกฝ่ายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ผาดโผนไปทั่วหล้า เขากลับเป็นสิ่งไร้ค่าที่ถูกกักขังอยู่ในเรือน

ในใจเขารู้สึกชื่นชมระคนอิจฉาเล็กน้อย ไม่เต็มใจยอมรับบ้าง ทั้งยังอับจนหนทางอยู่สักหน่อย

เรื่องเล่ายังไม่จบ แผนการหนีออกจากบ้านยังไม่สำเร็จ เขาก็ถูกคนแทะโลมด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเด็กสาว

เขาสิ้นสติไปและถูกส่งกลับวัง

วรชายาอันไท่เฟยนั่งอยู่ตรงหัวเตียง ร่ำไห้ตลอดวัน

เขานอนฟังเงียบๆ พลางลอบอธิษฐานในใจ

หากปาฏิหาริย์มีจริงทำให้อาการป่วยข้าดีขึ้นได้ ขอให้ข้ากลายเป็นบุรุษที่องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยเจาด้วยเถอะ

ความใฝ่ฝันหนอความใฝ่ฝัน

“นี่” เยี่ยเจาตบไหล่เขาเยี่ยงชายชาตรี เอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง “ท่านใจลอยไปถึงไหน”

บุรุษที่เคยเลื่อมใสศรัทธากลายมาเป็นภรรยาตน

ซย่าอวี้จิ่นบังเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากหลั่งน้ำตา

เขาอยากเป็นแม่ทัพใหญ่ หาใช่ตบแต่งแม่ทัพใหญ่เป็นภรรยา!

ปัดโธ่! สวรรค์ ท่านหูหนวกไปแล้วหรือไร

ความใฝ่ฝันของซย่าอวี้จิ่นดับสลาย แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป

ทว่าวันนี้เยี่ยเจาวางตัวเป็นผู้ตามได้ดียิ่ง อ้าปากก็ยกให้สามีเช่นเขาเป็นผู้นำโดยตลอด ทำให้เขายืดอกด้วยความภูมิใจต่อหน้าผู้คน บรรเทาความคับข้องหมองใจตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ลงไม่น้อย พลอยทำให้รู้สึกว่าใบหน้านางไม่ขวางหูขวางตาอีก ด้วยเหตุนี้จึงขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มพรายพลางเอ่ยถาม

“ตอนข้ากลับวังไปเปลี่ยนชุด ได้ยินว่าเจ้าถูกพระพันปีเรียกตัวไปเข้าเฝ้า หรือจะทรงอบรมสั่งสอนหลักการเป็นภรรยาให้เจ้าด้วยพระองค์เอง”

ไม่คาดว่านางจะพยักหน้า ยอมรับว่าเป็นจริงตามคำสัพยอกของเขาและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดั่งยามนำทัพออกรบ

“ทรงหวังว่าข้าจะดีต่อท่านสักหน่อย แล้วยังตรัสอีกด้วยว่าสามีภรรยาอยู่ร่วมกัน อย่าถือใจตัวเองเป็นใหญ่เกินไปนัก ให้ข้าเรียนรู้จากสตรีคนอื่นในวังให้มาก วางศักดิ์ศรีลงบ้างในเวลาที่เหมาะสม ประทินโฉม ออดอ้อนฉอเลาะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ข้ายังตรึกตรองอยู่เลยว่าจะทำเช่นไร”

ซย่าอวี้จิ่นตะลึงลานไปกับถ้อยคำนี้

แม้เขาจะรังเกียจที่ภรรยาตัวเองไม่มีความเป็นสตรี แต่ภรรยาที่ไม่มีความเป็นสตรีกลับดันทุรังแสร้งทำเป็นสตรีแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะนี่

ในห้วงสมองเขาพลันวาดภาพเยี่ยเจาสวมเสื้อคลุมและกระโปรงสีแดงเข้ม มุ่นผมเป็นมวยเมฆายกสูงกลางศีรษะ ปักปิ่นทองกับหวีเสียบเงินฝังอัญมณีเต็มไปหมด เค้าหน้าเฉกเช่นบุรุษผัดแป้งขาวและแต่งแต้มกลางหน้าผากเป็นลายเหลือง* นั้นเย็นชาดุจน้ำแข็งฉายแววอำมหิต ในมือถือดาบใหญ่สองเล่ม เดินซอยเท้าสั้นๆ อย่างชดช้อย จากนั้นเรียกเขาว่าท่านพี่อย่าง ‘สะเทิ้นอาย’ พยายามทำท่าชม้ายชายตาคล้ายภรรยาบ้านอื่น

นี่จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวปานใด จะต้องทำให้คนขวัญผวาจนสำรอกสุราอาหารคืนก่อนหน้าออกมาได้เป็นแม่นมั่น

ซย่าอวี้จิ่นนึกภาพนั้นแล้วหน้าตาซีดเผือด กุมปากสั่นศีรษะสุดชีวิต

“อย่าเด็ดขาด เจ้าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว!”

เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“นั่นสิ ตั้งแต่เด็กข้าก็ไม่เคยหัดทำตัวเป็นสตรีมาก่อน ข้าก็รู้สึกว่ามันฝืนใจเกินไปแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวทวนตามคำพูดนางราวกับเป็นนกแก้ว

“ใช่ๆ มันฝืนใจเกินไปแล้ว”

เยี่ยเจาถาม

“ข้านึกว่าท่านจะเกลียดมากซะอีก?”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยตามสัตย์จริง

“ก็เกลียดมาก แต่ข้ายิ่งเกลียดการเสแสร้งแกล้งทำ ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง ทั้งที่ไม่ชอบกลับแสร้งทำท่าว่าชอบ คนจอมปลอมพรรค์นี้น่าชังนัก”

เยี่ยเจายกนิ้วโป้งให้เขา

“ดี! ข้าชื่นชมที่ท่านตรงไปตรงมานี่แหละ”

ซย่าอวี้จิ่นเบะปาก กล่าวอย่างปั้นปึ่ง

“มีอะไรน่าชื่นชมกัน!” เขานิ่งคิด เห็นว่ายามนี้บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ยังดีอยู่จึงเอ่ยถามในสิ่งที่เก็บอยู่ในใจมาเนิ่นนาน “เจ้ากับข้าไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน เจ้ากลับเลือกแต่งงานกับข้า คงมิใช่เป็นเพราะได้ยินข่าวลือเหลวไหลเลอะเทอะของข้ากระมัง”

เยี่ยเจาลังเลอยู่นานถึงเอ่ยขึ้น

“มิใช่ ข้าเพียงรู้สึกว่า…ตัวเองนิสัยคล้ายคลึงกับท่านอยู่บ้าง คงเข้ากันได้ดี”

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินแล้วเพียงรู้สึกถูกเยาะเย้ยถากถาง

“คล้ายคลึงอะไรกัน เจ้าเป็นผู้กล้า ข้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นเสาหลักของราชสำนัก ข้าเป็นตัวไร้ค่าของต้าฉิน เราสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว อันที่จริงสามปีให้หลังพอตกลงหย่ากันแล้ว เจ้าคงโล่งอกเช่นกันกระมัง อย่างน้อยเจ้าก็สามารถเลือกบุรุษที่ตัวเองพึงใจ ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับอันธพาลเกเรที่เจ้ารังเกียจ”

เยี่ยเจาตกตะลึงไปเล็กน้อย เงยหน้าขวับแล้วเอ่ยถาม

“ผู้ใดพูดว่าข้ารังเกียจที่ท่านเป็นอันธพาลเกเร”

ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงว่าหูชิงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนางจึงไม่อยากเปิดเผยออกไป เพียงพูดอย่างคลุมเครือ

“ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้ทั้งนั้น ตั้งแต่แต่งงานวันแรกเป็นต้นมาข้าไม่เคยรู้สึกเลยว่าเจ้าให้เกียรติข้า”

ในเกี้ยวเงียบงันไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าดังก้องกังวานอยู่ด้านนอก

ทันใดนั้นเยี่ยเจาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นท่ามกลางความเงียบ นางหัวเราะงอหาย เอามือกุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา จากนั้นนางก็สะกดกลั้นไว้ ชี้หน้าเขาพร้อมเอ่ย

“ไม่ว่าข้าจะรังเกียจท่านด้วยเรื่องใดก็ตาม ไม่มีทางที่ข้าจะรังเกียจที่ท่านเป็นอันธพาลเกเรเด็ดขาด”

ซย่าอวี้จิ่นหน้าแดงก่ำ ตะคอกถามอย่างฉุนเฉียว

“มีอะไรน่าขัน!”

“น้ำหน้าอย่างท่านน่ะหรือเป็นอันธพาลเกเร น่าขันจะตายอยู่แล้ว”

เยี่ยเจายังคงยืดตัวตรงไม่ไหว มือหนึ่งขยี้ตา

“ตั้งแต่อายุสิบสองข้าก็กล้าเป็นหัวโจกของพวกคุณชายเสเพล เที่ยวเกะกะระรานไปทั่วโม่เป่ย เป็นลูกพี่ของนักเลงเจ้าถิ่น เป็นหัวหน้าในหมู่อันธพาล ชอบใช้กำลังชกต่อยวิวาทไม่เว้นแต่ละวัน ขี้โมโหอารมณ์ร้าย เอะอะก็ทุบตีคนจนบาดเจ็บ เว้นแต่ผลักคนตาบอดลงแม่น้ำกับตีเด็กซ้อมผู้หญิงไม่เลือกหน้าแล้ว มีเรื่องชั่วช้าเลวทรามอะไรบ้างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ข้าก่อเรื่องอยู่หลายปี นับวันทำตัวเหลวไหลขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ท่านพ่อโกรธจนทนไม่ไหว คิดจะลงไม้ลงมือสั่งสอนข้า กลับถูกข้าทำกระดูกข้อมือหัก นอนอยู่บนเตียงนานครึ่งเดือน เกือบจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลอยู่แล้ว เป็นท่านทวดกับท่านแม่ยอมแลกด้วยชีวิตถึงปกป้องข้าไว้ได้ ในตอนนั้นมีคนมากมายในโม่เป่ยได้แต่โกรธแค้นอยู่ในใจ ไม่กล้าปริปากพูดออกมา พวกเขาล้วนแอบเผากระดาษเงินกระดาษทองไหว้พระ ภาวนาขอให้ข้าตายไวๆ ก็นับว่าเป็นการขจัดเภทภัยได้”

วัยเยาว์ที่เหลวไหลสิ้นคิด กระทำสิ่งเลวร้ายมากมายจนสาธยายอย่างไรก็ไม่หมด

ต่อมาโม่เป่ยตกอยู่ในอันตราย นางนำพากองทหารต่อต้านการรุกรานของชาวหมานจินและเสี่ยงตายโจมตีกลับ ผู้คนจึงเริ่มลืมเลือนอดีตเหล่านี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจดจำเพียงแต่แม่ทัพใหญ่ผู้กล้าหาญมากกลยุทธ์ องอาจปราศจากความพรั่นพรึงจนทำให้ข้าศึกได้ยินชื่อก็ขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น ทว่าความหลังที่ไม่อยากหวนกลับไปมองเหล่านั้นนางกลับไม่กล้าลืม มีความผิดบางอย่างที่นางกระทำเอาไว้ ต้องชดใช้ไปชั่วชีวิต

เยี่ยเจาแย้มยิ้มอยู่ดีๆ แต่แล้วจู่ๆ นางก็ยิ้มไม่ออก

เป็นครั้งแรกที่ซย่าอวี้จิ่นมองเห็นความสำนึกผิดอย่างล้ำลึกบนใบหน้าเยือกเย็นเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย

นางก้มหน้าลง ดวงตาหม่นหมอง

“เลิกพูดเถอะ เรื่องเลวทรามที่ข้าทำไว้มากกว่าท่านนัก”

ซย่าอวี้จิ่นขยับเข้าไปใกล้นาง ลูบศีรษะนางพลางกล่าวปลอบ

“นี่…เด็กดี ผู้หลงผิดกลับตัว ทองยังแลกมิได้นะ”

เยี่ยเจาทุกข์ใจอยู่บ้างในทีแรก แต่พอเห็นเขาแสดงท่าทางรนหาเรื่องเจ็บตัว หางตาก็กระตุกริกๆ

“ฟังดูแล้วเจ้าบัดซบกว่าข้าจริงๆ ก็ว่าไม่ได้ที่เจ้าไม่ชอบเอ่ยถึงอดีต” ซย่าอวี้จิ่นดูคล้ายไม่รู้ตัวสักนิด ยังคงพูดปลอบโยนต่อไป “แต่คนหาใช่เทวดา ตอนนี้เจ้ากลับเนื้อกลับตัวแล้ว ทุกคนก็คงให้อภัยเจ้า”

เยี่ยเจาเห็นพ้องด้วย

“นั่นสิ ถ้าเป็นนิสัยข้าในกาลก่อน พฤติกรรมของท่านในเวลานี้จะต้องถูกทุบตีจนกระดูกร้าวสองสามท่อนแล้วค่อยต่อยจมูกหัก นอนพักรักษาตัวบนเตียงครึ่งปีแน่นอน”

ซย่าอวี้จิ่นรีบหดมือกลับแล้วเปรยขึ้น

“เจ้ากลับตัวแล้วช่างดีจริงๆ หนอ”

นัยน์ตาดำขลับของเขากลิ้งกลอกหลุกหลิก ดูคล้ายเจ้าเพียงพอนหิมะที่กระทำเรื่องชั่วร้ายได้เป็นผลสำเร็จแล้วส่งยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์

เมื่อถูกถ้อยคำเหลวไหลเลอะเทอะของเขารบกวนภวังค์ความคิด เยี่ยเจาก็สลัดความทรงจำที่น่าชังทิ้งไปชั่วคราว นางล้วงตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“พระพันปีพระราชทาน ‘บัญญัติสตรี’ ที่อดีตอัครมเหสีเซี่ยวฮุ่ยทรงเขียนขึ้นเองให้ข้าเล่มหนึ่ง”

ซย่าอวี้จิ่นสบประมาท

“เจ้าอ่านไปก็เสียเปล่า”

เยี่ยเจาพูดอธิบาย

“ตั้งแต่เล็กข้าก็ชมชอบแต่เล่นดาบเล่นทวน เกลียดการท่องตำราเป็นที่สุด หลังจากเป็นทหารแล้วจำเป็นต้องอ่านตำราพิชัยยุทธ์กับสารต่างๆ ถึงได้เริ่มเล่าเรียนด้วยความจำใจ น่าเสียดายที่ข้าไร้พรสวรรค์ อ่านออกเขียนได้แค่งูๆ ปลาๆ จนบัดนี้พออ่านอะไรที่ใช้ถ้อยความสละสลวยสักหน่อยเป็นต้องปวดศีรษะ ดังนั้นผู้ใดก็ตามในกองทัพที่ส่งบันทึกมาแล้วข้าอ่านไม่เข้าใจ ข้าก็จะลากตัวคนผู้นั้นออกไปโบย ตอนนี้ทุกคนล้วนฉลาดขึ้น รู้จักสื่อความของตนด้วยวิธีการที่ง่ายดายที่สุดแล้ว น่าเสียดายที่อัครมเหสีเซี่ยวฮุ่ยทรงมีวิชาความรู้สูงส่ง ความสามารถเชิงประพันธ์โดดเด่น ถ้อยคำสำนวนไพเราะสวยงามยาวเหยียดเป็นบทๆ ยังมีโวหารเปรียบเทียบที่กินความลึกซึ้ง ข้าอ่านบัญญัติสตรีไปสามบรรทัดก็สัปหงกแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“เจ้าเขียนหนังสือหย่าได้ดีมากเลยมิใช่หรือ”

เยี่ยเจาเอามือไพล่หลัง เอ่ยอย่างทะนงตน

“พวกงานอักษรสารข้าย่อมต้องมีกุนซือทำแทนให้เป็นธรรมดา” นางชะงักครู่หนึ่งแล้วคุยอวด “เจ้าจิ้งจอกเขียนหนังสือได้เยี่ยมยอดเอาการอยู่ ลายมือก็สวยงามมาก”

หนังสือหย่ายังกล้าให้คนนอกเขียน

ซย่าอวี้จิ่นถูกคนตรงหน้ายั่วโมโหจนเริ่มระอาใจ แต่เยี่ยเจายังคงกล่าวสืบไป

“วันหลังข้าค่อยเอาบัญญัติสตรีไปให้พวกที่ปรึกษาทัพกับกุนซืออ่าน หลังจากพวกเขาอ่านเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วก็ให้อธิบายความให้ข้าฟังรอบหนึ่ง”

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องไปหากุนซือ เจ้ายังติงว่าตัวเองขายหน้าไม่พออีกหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นรีบแย่งบัญญัติสตรีมาพลางเอ่ยอย่างกระแทกกระทั้น

เยี่ยเจายักไหล่

“อีกไม่กี่วันพระพันปีอาจทดสอบข้าก็เป็นได้ อย่างน้อยข้าต้องทำความเข้าใจว่าในนั้นเขียนว่าอะไรบ้าง จะได้ตบตาเอาตัวรอดไปได้ มิต้องทำให้คนแก่คนเฒ่าผิดหวังเกินไป”

ซย่าอวี้จิ่นผลักนางออก พลิกตำราไปพลางพูดอย่างโมโหโทโสไปพลาง

“เอาเถอะ! ข้าจะอ่านให้เจ้าเอง”

เยี่ยเจาลูบศีรษะเขาอย่างพึงพอใจ

“ได้เช่นนี้ก็ดียิ่ง”

“ไสหัวไป!”

นางเห็นเขาบันดาลโทสะก็รีบมุดออกไปนอกเกี้ยว สองเท้าแตะพื้นเบาๆ ตัวก็โผนทะยานขึ้นไปบนหลังย่ำหิมะที่ติดตามมาโดยตลอด

นางโบกมือให้เขาก่อนจะตวัดแส้คราหนึ่ง ควบอาชาตะบึงไป

ซย่าอวี้จิ่นเอนหลังพิงพนัก ถือตำราอ่านอย่างขะมักเขม้น

อ่านไปพักใหญ่เขาพลันรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากลนัก

ไฉนสุดท้ายกลายเป็นเขาที่อ่านบัญญัติสตรีอย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนภรรยาเขากลับกลายเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร

บ้าเอ๊ย!

บทที่ 7

จักรพรรดิอยู่ในห้องทรงพระอักษร ยิ้มหน้าบานกับตั๋วเงิน

แผ่นดินระส่ำระสายจากศึกสงครามติดต่อกันหลายปี งานบ้านงานเมืองที่ถูกทิ้งร้างไว้มากมายล้วนต้องดำเนินการในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้ท้องพระคลังร่อยหรอ วังหลวงต้องประหยัดมัธยัสถ์ไปเสียทุกเรื่องเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องเป็นตัวตั้งตัวตีในการสวมอาภรณ์ที่มีรอยปะชุน ขณะที่อัครมเหสีก็ไม่กล้าซื้อหาเครื่องประดับชิ้นใหม่

จวบจนเยี่ยเจายกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะและสิ้นสงคราม เรือนผมของบรรดาสตรีตำหนักในถึงได้นับว่ามีสีสันสดใสขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ถึงวันฉลองพระชนมายุหกสิบพรรษาของพระพันปี แม้จักรพรรดิมีบัญชาลงไปให้จัดงานอย่างเรียบง่าย ทว่าจะทำอย่างไม่สมพระเกียรตินักก็มิได้เช่นกัน

เวลานี้ซย่าอวี้จิ่นส่งถ่านกลางหิมะ มาตรว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงไม่นับว่ามากมาย ทว่าเนื้อยุงก็ยังคงเป็นเนื้อ เรียกได้ว่าเขามีความกตัญญูน่าชื่นชม

จักรพรรดิพึงพอใจเป็นอันมาก พลอยให้รู้สึกชื่นชอบหลานชายไปด้วย

ส่วนที่มาของเงินก็นับว่าขาวสะอาดดี เดิมทีบ่อนพนันเป็นสถานที่ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของทางการถึงจะเปิดได้อย่างถูกต้องเปิดเผย ขอเพียงมิใช่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองและมิได้ข่มเหงราษฎร จะได้เงินหรือเสียเงินล้วนอาศัยความสามารถตน

ส่วนการพังบ่อนพนันไร้มนุษยธรรมแห่งสองแห่ง ทุบตีอันธพาลคนสองคน ขอเพียงไม่ได้ทำให้ใครถึงแก่ชีวิตหรือถูกขุนนางฝ่ายฎีกาเวียนกันมาถกแขนเสื้อชี้หน้าด่าทอ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นกัน พระองค์ถึงขั้นอยากให้ซย่าอวี้จิ่นกวาดล้างบ่อนพนันอีกหลายๆ แห่งใจจะขาดด้วยซ้ำ ทำให้เศรษฐีเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้พวกนั้นต้องเฉือนเนื้อตัวเองเสียบ้าง แล้วเอามาให้พระองค์ใช้แก้ปัญหาขาดแคลนเงินไปช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติทางตะวันตกเฉียงใต้

ซย่าอวี้จินกล่าวชม

“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องปรีชาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิรู้สึกไม่เหมาะ รีบซ่อนสีหน้ายินดีปรีดาแล้วตวาดดุ

“อวี้จิ่น! เจ้าประพฤติตัวเหลวไหลเกินไปแล้ว เป็นถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องผู้ทรงเกียรติ กลับเข้าบ่อนเกลือกกลั้วกับการพนัน เสื่อมเสียชื่อเสียง!”

ซย่าอวี้จิ่นก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอน

“คราวนี้เห็นแก่ที่เจ้ามีความกตัญญูต่อพระพันปีก็แล้วกันไปเถอะ” จักรพรรดิยื่นตั๋วเงินส่งให้ขันทีข้างกายเก็บไว้ด้วยท่าทางเคร่งขรึมน่ายำเกรง ถือเป็นการยุติเรื่องไปเท่านี้ จากนั้นก็เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เวลานี้เจ้าพวกนั้นนับวันยิ่งก่อเรื่องหนักข้อขึ้นทุกที อาณาเขตของฉีอ๋องก็อุดมสมบูรณ์มากพออยู่แล้ว เขายังจะเอื้อมมือเข้ามากอบโกยเงินทองในเมืองหลวง เปิดบ่อนพนันกับหอคณิกาลับหลัง ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ทั้งยังผูกขาดการค้าไว้เพียงผู้เดียว ช่างไม่รู้จักพอ! ยังมีองค์หญิงฉางผิงนั่นอีกคน แย่งชิงที่ดินผู้อื่นมาเพื่อสร้างตำหนักฤดูร้อน ซ้ำร้ายให้ท้ายพวกบ่าวไพร่ใจทราม บีบคั้นเจ้าของที่ดินจนจบชีวิตไปพร้อมกันทั้งครอบครัวสี่คน แล้วยังถูกถวายฎีกาฟ้องร้องอีก คิดจะยั่วโมโหเราให้ตายจริงๆ”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าอวี้จิ่นสบช่องเอาดีเข้าตัว พูดผสมโรงพร้อมคุยโว “ยังคงเป็นกระหม่อมที่ซื่อตรงที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยิบพัดใกล้มือเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ปาใส่ศีรษะของคนหน้าไม่อายตรงหน้าอย่างแรง

“ภาพวาดสาวงามฝีมือจิตรกรเอกอู๋เต้าจื่อจริงหรือนี่! วิเศษ! วิเศษเหลือเกิน!” ซย่าอวี้จิ่นคลี่พัดออก มองดูแวบหนึ่งแล้วรีบเก็บขึ้นโดยไวด้วยความยินดีจนออกนอกหน้า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”

จักรพรรดิเห็นท่าทางไร้ยางอายของเขาก็โกรธจนอยากถกแขนเสื้อขึ้นชกคนกับมือ

มีหลายครั้งที่พระองค์จวนเจียนลงมือสั่งสอนหลานชายอย่างรุนแรง แต่แล้วพระองค์ก็จะนึกถึงอดีตอันอ๋อง น้องชายร่วมสายเลือดของตนซึ่งผูกพันรักใคร่กันมาก อีกทั้งสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ในการช่วยพระองค์ขึ้นครองราชย์ แต่กลับล้มป่วยเพราะความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำและจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม เหลือบุตรชายไว้สองคน คนหนึ่งพิการ คนหนึ่งอมโรค ล้วนเป็นคนที่ไม่อาจเอาดีได้

ยังดีที่ซย่าอวี้เชวี่ยเป็นคนซื่อตรงเคร่งครัดธรรมเนียม ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นแม้จะสุขภาพอ่อนแอมาแต่เกิด แต่มีรูปโฉมและวาจาหวานหูเป็นที่ชมชอบของคนรอบข้าง ทั้งยังมีเงาของอดีตอันอ๋องอยู่หลายส่วน ดังนั้นคนทั้งวังหลวงล้วนรู้ว่านอกจากรัชทายาทแล้ว หลานที่พระพันปีรักเอ็นดูที่สุดก็คือเขา

เหนืออื่นใด ถึงซย่าอวี้จิ่นจะมีกิตติศัพท์เป็นพญามาร ทว่าเมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจังก็ไม่พบความผิดมหันต์อะไร มีก็แต่เรื่องบัดซบไร้สาระมากมายเหลือคณานับดังมาเข้าหูพระองค์อยู่เนืองๆ ยามปกติก็เอาแต่มั่วสุมกับสหายอันธพาลเกเร ก่อความวุ่นวาย สร้างความเสื่อมเสียให้กับเชื้อพระวงศ์นับครั้งไม่ถ้วน ทิ้งปัญหาน่าปวดศีรษะให้ตามสะสางอย่างไรก็ไม่จบไม่สิ้น

สองปีก่อนจักรพรรดิเคยใจแข็งขึ้นมาคราหนึ่ง ลากตัวซย่าอวี้จิ่นไปโบยยี่สิบไม้เป็นการสั่งสอน แม้จะกำชับขันทีให้ลงมือเบาๆ แต่โบยยังไม่ถึงสองไม้เขาก็สิ้นสติไป หลังจากนั้นพระพันปียันไม้เท้า เดินร่ำไห้น้ำมูกน้ำตานองหน้าปรี่เข้าไปกอดซย่าอวี้จิ่น พร่ำรำพันแต่ชื่อบิดาอายุสั้นของเขา เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเสียจนสุดท้ายจักรพรรดิต้องไปตำหนักเมตตาผาสุกขอขมาพระมารดาด้วยพระองค์เองและสาบานต่อฟ้าว่าจะไม่ทุบตีเจ้าแมวป่วยนั่นอีกต่อไป

จากเหตุการณ์นี้จักรพรรดิทรงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า…ซย่าอวี้จิ่นคือก้อนเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า ขอเพียงคิดเสียว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน พระองค์ก็จะไม่หงุดหงิดใจ

นับแต่นั้นมาฎีกาที่เกี่ยวข้องกับซย่าอวี้จิ่นทั้งหมด พระองค์ล้วนกวาดตามองผ่านๆ จนแน่ใจว่ามิใช่เรื่องร้ายแรงเป็นที่โกรธแค้นของทั้งคนทั้งเทวดาก็จะยับยั้งไว้ไม่ไปสนใจ ส่วนเรื่องการปูนบำเหน็จเลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ทุกอย่างในช่วงวันเทศกาลมงคล พระองค์ก็จะมองข้ามซย่าอวี้จิ่นไปทั้งหมดเช่นกัน กระทั่งซย่าอวี้จิ่นไปก่อเรื่องข้างนอก ถูกคนชกหลายหมัด พระองค์ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้

จนแม่ทัพใหญ่กรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ พระพันปีเอ่ยขึ้นว่าจะให้เยี่ยเจาแต่งงานกับซย่าอวี้จิ่น จักรพรรดิถึงได้นึกถึงเขาขึ้นมาได้และคล้อยตามความประสงค์ของพระพันปีอย่างสาสมใจในคราวเคราะห์ของเขา วาดหวังว่าแม่ทัพเยี่ยผู้ดุร้ายจะช่วยพระองค์เล่นงานหลานชายเหลือขอคนนี้ให้หนักๆ

ซย่าอวี้จิ่นยังคงไม่รู้ตัว เอ่ยอย่างร่าเริง

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวไปถวายพระพรพระพันปีนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ช้าก่อน” วันนี้จักรพรรดิอารมณ์ดีอย่างยิ่ง มองเห็นตัวไร้ค่าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ พระองค์เรียกหลานชายไว้ ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่แล้วเผยรอยยิ้มเมตตาออกมา “อวี้จิ่น เจ้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหนานผิงจวิ้นอ๋องมาหลายเดือนแล้ว แต่จะเล่นสนุกต่อไปเช่นนี้ตลอดชีวิตก็คงมิใช่หนทางที่ดี มิสู้ให้เจ้าเป็นขุนนางสักตำแหน่ง ถือเสียว่าเป็นการทุ่มเทแรงกายเพื่อแผ่นดินต้าฉินบ้าง”

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกราวกับอสนีสายหนึ่งฟาดผ่าลงมาจากกลางฟ้า ส่งเสียงดังกึกก้องอึงอลอยู่ในหู เมื่อดึงสติคืนมาได้ก็เริ่มสงสัยว่าเสด็จลุงของตนถูกนางจิ้งจอกยั่วยวนให้ลุ่มหลงจนอยากให้บ้านเมืองพินาศล่มจมแล้วหรือไร

เขากล่าวตอบเสียงอึกอัก

“พระองค์ก็ทราบว่ากระหม่อมมีความสามารถน้อยนิด นอกจากกินดื่มเที่ยวเล่นแล้วทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น ส่วนเรื่องตำรับตำราแม้จะเรียนบ้างไม่เรียนบ้างกับบัณฑิตหลงอยู่หลายปี อย่างมากก็พออ่านบทประพันธ์ได้รู้เรื่อง แต่หลักบริหารบ้านเมืองอะไรนั่นไม่เข้าใจสักอย่าง ให้กระหม่อมเป็นขุนนางอาจทำให้มีคนตายได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิแย้มยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นยิ่งขึ้น เดินเข้าไปตบบ่าซย่าอวี้จิ่นเบาๆ พร้อมกล่าว

“อย่าดูแคลนตัวเองเกินไป เราไตร่ตรองทบทวนแล้ว ตำแหน่งนี้หามีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าเจ้า”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นจักรพรรดิดูท่าทางไม่คล้ายเสียสติก็ถามขึ้นอย่างระแวงสงสัย

“ตำแหน่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผู้ตรวจการนครหลวง”

ซย่าอวี้จิ่นเกือบสำลัก

ตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงนี้ฟังดูน่าเกรงขาม แต่แท้จริงแล้วเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นหก มีผู้ใต้บังคับบัญชาร้อยกว่าคน ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและจับโจรผู้ร้ายตามท้องถนนในเมืองหลวง ทั้งยังต้องรับเรื่องร้องเรียนเล็กๆ น้อยๆ ดังเช่นหญิงสาวชาวบ้านทะเลาะตบตี นักเลงหัวไม้ต่อสู้วิวาท อันธพาลกินอาหารไม่จ่ายเงิน สุนัขดุข้างบ้านทำร้ายคน หมอไร้ฝีมือรักษาโรคผิด เที่ยวหอคณิกาไม่มีเงินจ่าย และอื่นๆ สรุปแล้วก็คือคนตรวจตราถนนดีๆ นี่เอง

แล้วการตรวจตราถนนใหญ่ในเมืองหลวงก็มิใช่เรื่องง่าย ใบไม้ร่วงจากต้นใบหนึ่งล้วนตกใส่ศีรษะผู้สูงศักดิ์สองสามคน มีทั้งขุนนางใหญ่ชุกชุมและบ่าวไพร่วางโตของพวกเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ยั้วเยี้ยราวกับฝูงมด ร้านค้าใหญ่โตทุกแห่งล้วนมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสลับซับซ้อน ส่วนผู้ตรวจการนครหลวงก็ยศต่ำจนคำพูดไร้น้ำหนัก มักเป็นฝ่ายล่วงเกินคนอยู่เสมอ ผลลัพธ์คือมิใช่โดนเล่นงานก็ถูกลงโทษ ไม่ก็ไม่กล้าแตะต้องใครเลย ส่งผลให้แต่ละปีต้องเปลี่ยนผู้ตรวจการนครหลวงถึงสามคนด้วยผู้ใดก็ไม่เต็มใจรับตำแหน่งเคราะห์ร้ายนี้

ซย่าอวี้จิ่นพยายามบอกปัด

“กระหม่อมไม่ทำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเอ่ยง่ายๆ

“ถึงอย่างไรเจ้าอยู่เฉยๆ ก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกทุกวัน เป็นผู้ตรวจการนครหลวงมิใช่เดินเล่นเหมือนกันหรอกหรือ แค่มีชื่อตำแหน่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทำงานไปตามหน้าที่ก็พอแล้ว อีกประการหนึ่ง กระทั่งฉีอ๋องเจ้ายังกล้าเล่นงาน จะจัดการคนอื่นอีกก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยถามโดยตั้งความหวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดี

“ถ้ากระหม่อมก่อความเสียหายขึ้น…จะทรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งเลยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิยืนกราน

“อย่าพูดอะไรชวนท้อใจเช่นนั้น เจ้าต้องทำได้แน่นอน ยิ่งกว่านั้นเราเองก็หักใจให้กรมปกครองสอบสวนความผิดเจ้าไม่ได้หรอก”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าโศกรันทด

“แล้วถ้าทุกคนไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติกระหม่อมจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิมองพัดที่เขาเก็บเข้าไปในอกเสื้อแวบหนึ่ง กล่าวปลอบอย่างใจเย็น

“ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องขี้ผงเท่านี้ ถึงอย่างไรเจ้ายังมีภรรยาหนุนหลังอยู่”

ต่อให้ถูกคุกคามขู่เข็ญด้วยอำนาจ ซย่าอวี้จิ่นก็หาใช่ผู้ที่จะยอมรับชะตากรรมโดยง่าย

จนปัญญาที่เขาเตร็ดเตร่อยู่ที่แม่น้ำฉินมาตลอดราตรี ครั้นออกไปซื้อเนื้อแพะแต่เช้าก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการบังคับพนันอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะจบเรื่อง เขาก็ตรงดิ่งเอาเงินมาส่งให้ที่วังหลวงโดยไม่หยุดพัก ระหว่างนั้นยังตกน้ำจนถูกความเย็น ร่างกายไม่ค่อยสบายแต่แรกแล้ว กอปรกับได้รับหนังสือหย่าของเยี่ยเจาและหนังสือแต่งตั้งของจักรพรรดิ บันดาลให้อารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ประเดี๋ยวยินดี ประเดี๋ยวตกใจ สุดท้ายร่างกายก็ทนไม่ไหว ยังมิทันได้อ้าปากพูดกับจักรพรรดิอย่างดื้อรั้นเกเร เขาก็ตาลายเห็นดาวระยิบระยับ ล้มลงกับพื้นโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องสักแอะ

ยามที่ฟื้นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องเล็กด้านข้างห้องทรงพระอักษร มีหนังสือแต่งตั้งวางอยู่ข้างๆ ประทับตราขนาดใหญ่สีแดงโร่ ส่วนจักรพรรดิกำลังจับตาดูแพทย์หลวงตรวจอาการให้เขาและถือยาชามหนึ่งที่รสขมยิ่งกว่าหวงเหลียนมาให้เองกับมือ เพื่อแสดงความรักใคร่อาทรระหว่างลุงกับหลาน พร้อมทั้งพูดปลอบอย่างสนิทสนม

“แค่ตรากตรำเกินไปเท่านั้น พักสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว เรานำเรื่องที่เจ้าได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงบอกกล่าวให้พระพันปีทราบแล้ว ยังตรัสว่าหลังจากเจ้าแต่งงานก็ยอมคิดถึงความก้าวหน้าในที่สุด ทรงปลาบปลื้มยินดีจนสวดมนต์เป็นการใหญ่”

ครั้นทางหนีทีไล่ถูกตัดขาด ซย่าอวี้จิ่นก็ดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้าย

“กระหม่อมเป็นถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องมีเกียรติสูงส่ง รับตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นหก ซ้ำยังต้องสวมเสื้อคลุมสีเขียว พอยืนอยู่ท่ามกลางญาติผู้พี่ผู้น้องที่สวมชุดแดงชุดม่วงจะน่าขายหน้าเพียงไหนกัน…”

“เจ้ายังมียางอายอยู่อีกหรือ” จักรพรรดิรำพึงขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่ดังพอจะได้ยินกันทุกคน จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ อย่างมีเมตตาอีกครั้ง “งานไม่มีต่ำต้อยสูงส่ง ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นคนที่ลงมือกระทำ ทำได้ดีค่อยเลื่อนขั้นวันหลัง ส่วนเรื่องเสื้อคลุมสีเขียวที่ไม่ค่อยจะสวยงามนั้น เจ้าเยาว์วัยรูปงาม กำลังหนุ่มแน่นเปี่ยมเสน่ห์ ไม่มีอะไรเสียหายนัก อย่างมากเราจะออกพระราชโองการอีกฉบับ อนุญาตให้ช่างปักปักลายดอกไม้สองสามดอกเพิ่มบนชุดขุนนางของเจ้า ขลิบริมสองด้านเป็นสีทอง ติดเพชรพลอยไข่มุกสักสองเม็ด ตกแต่งให้หรูหราขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบ่งบอกถึงศักดิ์ฐานะที่แตกต่างกัน”

ซย่าอวี้จิ่นมองดูใบหน้าที่เจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งกว่าเพียงพอนเหลือง นั่นแล้ว นึกสงสัยสุดใจว่าภาพเหมือนของปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาแคว้นต้าฉินในศาลบรรพกษัตริย์ซึ่งมีใบหน้าทรงคุณธรรมน่าเกรงขามเป็นเรื่องเท็จกระมัง ต้องเป็นคนพาลสักแค่ไหนกันแน่ถึงได้มีลูกหลานเป็นคนพาลมากมายปานนี้

ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศประจิมตั้งนานแล้ว ซย่าอวี้จิ่นถูกเพียงพอนเหลืองอบรมสั่งสอนจบก็โซซัดโซเซปีนขึ้นเกี้ยวหลังงาม ถือพระราชโองการกลับวังไปด้วยความเศร้าสร้อย

เพิ่งย่างเท้าผ่านประตูเรือนวาโยซึ่งเป็นที่พำนักของตน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะครึกครื้นดังแว่วออกมาเป็นระลอก มีพวกสาวใช้กำลังเอาตัวแนบกำแพงบังตา เขย่งเท้าชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน ซ้ำยังแอบส่งเสียงอุทานชอบใจด้วย

ซย่าอวี้จิ่นอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างก็เดินเข้าไปชะเง้อชะแง้ด้วย กลับเห็นเยี่ยเจากำลังซ้อมเพลงกระบี่อยู่ข้างต้นท้อที่เพิ่งผลิดอกตูม

เงาร่างสีแดงพลิกพลิ้วดุจมังกรเหิน กระบี่เปล่งประกายระยิบไหววูบดั่งพายุฝน นางควบคุมทิศทางของกระบวนท่ากระบี่ได้ดังใจนึกและง่ายดายเสียยิ่งกว่าควบคุมมือตัวเอง กอปรกับมีใบหน้าคมเข้มเย็นชา พาให้แลดูเป็นหนุ่มรูปงามผึ่งผายเสียจนทำให้บุรุษล้วนอยากอธิษฐานต่อสวรรค์ ขอให้ฟ้าผ่าคนบัดซบผู้นี้ตายไปไวๆ

สาวใช้คนหนึ่งดูจนลืมตัว มิได้สนใจว่าผู้ใดเข้ามาใกล้ เพียงรู้สึกว่ามีคนขยับเข้ามาชิดที่ด้านหลัง คล้ายคิดจะแย่งชิงทำเลทองกับตนก็ผลักไสออกไปอย่างขุ่นเคืองและเอ่ยอย่างมีน้ำโห

“ไปให้พ้น! ข้าจองที่ตรงนี้แล้ว เจ้าอยากดูก็ไปที่อื่นซะ”

ซย่าอวี้จิ่นจับศีรษะนางหันกลับมาประจันหน้ากับตนด้วยความโกรธ แสดงตัวให้เห็นด้วยท่าทางขึงขัง

สาวใช้ซึ่งแอบดูอยู่ทั้งกลุ่มตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง วิ่งหนีหายไปกันหมด

ซย่าอวี้จิ่นเดินอ้อมกำแพงบังตา พบว่าทั้งอนุภรรยาและเมียบ่าวของตนนั่งเรียงรายอยู่ในศาลาไม่ไกลจากต้นท้อ แต่ละคนมีสีหน้าแย้มยิ้มอย่างเริงรื่นชื่นบาน ดื่มสุราที่เขาซื้อกลับมาไปพลางกินเนื้อแพะที่เขาซื้อกลับมาไปพลาง ตบมือร้องชมเยี่ยเจา

เยี่ยเจาได้ยินเสียงกรีดร้องก็หยุดซ้อมกระบี่ มองตรงไปทางกำแพงบังตา

หยางซื่อยังคงไม่สังเกตเห็น กุลีกุจอวิ่งออกมาจากศาลา ล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายดอกบัวคู่จากอกเสื้อ เช็ดหยดเหงื่อสองสามเม็ดบนหน้าผากออกให้อย่างเบามือ แสดงความเป็นศรีภรรยาที่เอาใจใส่สามีจนดูคล้ายคู่ข้าวใหม่ปลามันก็ไม่ปาน บันดาลให้รูปโฉมซึ่งเดิมทีจัดอยู่ชั้นสามัญถึงกับงามขึ้นหลายส่วน

เซวียนเอ๋อร์ก็ปรี่เข้าไปอย่างไม่ยอมน้อยหน้า แต่นางเพิ่งล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาก็ถูกเหมยเหนียงซึ่งประคองสุราอุ่นไว้จอกหนึ่งวิ่งแซงหน้าไป ชนนางกระเด็นไปด้านข้างก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ท่านแม่ทัพ ดื่มสุราสักจอกนะเจ้าคะ”

เซวียนเอ๋อร์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถลึงตาใส่เหมยเหนียงอย่างดุดันหลายคราถึงได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มขวยเขิน พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ท่านแม่ทัพ พักผ่อนสักครู่เถอะเจ้าค่ะ”

ปกติเขาอยู่บ้านไม่เคยเห็นอนุภรรยาและเมียบ่าวช่วงชิงกันเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้

ซย่าอวี้จิ่นมองอย่างงุนงง คล้ายจะบังเกิดอุปาทานว่าจับชู้ได้อยู่สักหน่อย

เยี่ยเจาเก็บกระบี่ขึ้น ผละจากหญิงงามเดินรี่เข้าไปหาเขา พูดอธิบายอย่างละอายใจ

“ข้าหิวแล้วเลยกินไปก่อนนิดหน่อย”

ซย่าอวี้จิ่นชี้ไปทางพวกหยางซื่อ ชี้หน้านาง แล้วค่อยชี้ตัวเอง

อันว่าความรู้ยามถึงคราวต้องใช้ถึงนึกชังว่าเรียนมาน้อยไป เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะใช้ถ้อยคำใดมาบรรยายความรู้สึกสับสนปนเปของตัวเองในเวลานี้

เยี่ยเจาเข้าใจความหมายของเขา รีบขอขมา

“ตอนที่เนื้อแพะมาถึง พวกนางมาคารวะข้าพอดี ข้าเลยตัดสินใจโดยพลการ พวกนางกินเนื้อแพะของท่านได้ไม่กี่ชั่งหรอก เป็นเด็กดี อย่าใจแคบ”

ซย่าอวี้จิ่นหน้าบึ้ง นึกอยากตัดขาดกับภรรยาหลวง อนุภรรยา และเมียบ่าวที่คบชู้สู่ชาย สมรู้ร่วมคิดกันหมายจะยั่วโมโหเขาให้ตาย จากนั้นก็ขับไล่ไสส่งออกไปให้หมด

เยี่ยเจารู้ตัวว่าตนพลั้งวาจาไปก็ฉุดมือเขาเดินไปทางศาลา เสหัวเราะกลบเกลื่อน

“ข้าหยาบคายจนเคยตัว อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข้าเหลือเนื้อแพะส่วนที่ดีที่สุดไว้ให้ท่าน แล้วที่พวกนางดื่มก็เป็นเหล้าน้ำผึ้ง มิใช่นารีแดงที่ท่านเอากลับมา อีกประเดี๋ยวข้าจะอุ่นให้เองกับมือแล้วดื่มคารวะท่านสามจอก”

หยางซื่อเห็นจวิ้นอ๋องจะดื่มสุราพูดคุยกับท่านแม่ทัพเพื่อปรับความเข้าใจกันก็ยินดีจนแทบจะออกนอกหน้า นางรีบเอาเท้ายันเหมยเหนียงทีหนึ่งเป็นเชิงเตือนพลางดึงตัวเซวียนเอ๋อร์ที่หัวช้ากว่า ยังคิดจะกุลีกุจอไปรินสุราให้คนทั้งสองออกมา ก่อนจะกล่าวขอตัวออกไปอย่างลุกลน

ทุกคนกลับไปยังเรือนของตนพร้อมกันแล้วจุดธูปคนละดอกสองดอกไหว้เจ้าแม่บุพเพสันนิวาส ขอให้คุ้มครองคนคู่นั้นอยู่กันสองต่อสองแล้วความสัมพันธ์ดีขึ้นโดยไว อย่าได้หาเรื่องตกลงหย่ากันเด็ดขาด และขอให้คุ้มครองพวกนางให้มั่งมีศรีสุขไปตลอดชาติ

ซย่าอวี้จิ่นดิ้นขัดขืนอยู่หลายครั้งก็ดิ้นไม่หลุด ถูกกดตัวลงนั่ง หลังจากกรอกสุราเลิศรสลงท้องสองจอก เขานึกถึงหนังสือหย่าก็พาให้สติแจ่มใสขึ้นบ้าง และคิดได้ว่าภรรยาจะรูปงามแค่ไหนก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไม่อาจคบชู้กับอนุภรรยาและเมียบ่าวได้เด็ดขาด หมวกบนศีรษะตัวเองยังคงเป็นสีน้ำเงิน มิได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาก็สบายใจขึ้นบ้างในที่สุด

เยี่ยเจาดึงกริชคมกริบเล่มหนึ่งมาจากเอว ตวัดมือฉวัดเฉวียนแล่เนื้อแพะออกมาเป็นแผ่นบางดุจปีกจักจั่นแล้วคลุกกับเครื่องปรุงรสเช่นน้ำมันงา ต้นหอม กระเทียม และอื่นๆ จากนั้นก็ถือไปวางลงเบื้องหน้าเขากับมือ กุลีกุจอเอ่ย

“ท่านเสียเวลาอยู่ในวังหลวงนานครึ่งค่อนวัน เกรงว่าจะหิวแล้วกระมัง กินมากๆ หน่อย”

ฝีมือการแล่เนื้อแพะของนางไม่เลวเลยทีเดียว ซย่าอวี้จิ่นกินอย่างเอร็ดอร่อย

พอเห็นกริชในมือนางสวยงามวิจิตร เขาก็หยิบมาพิศดูอย่างละเอียดแล้วเอ่ยชมด้วยความประหลาดใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบเข้ากระดูกและความคมกริบไม่เป็นสองรองใคร

“นี่เป็นงานฝีมือของราชวงศ์ก่อนกระมัง ผลงานของช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อ?”

“ตาถึง!” เยี่ยเจาเห็นเขารู้จักของดีก็ชอบอกชอบใจ กล่าวโอ้อวด “มันคือกริชปีกจักจั่นที่ช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อเป็นคนตีขึ้น ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน ในครั้งนั้นที่จอมยุทธ์ฉางเฮ่าลอบสังหารขุนนางโฉดชั่วสามานย์ลู่หู่เฉินแล้วควักหัวใจเขาไปแกล้มสุราก็ใช้กริชเล่มนี้แหละ หลังจากข้าได้มันมาก็เคยควักหัวใจของฮาเอ่อร์มู่ แม่ทัพใหญ่ของหมานจินออกมาเป็นๆ แล้วแช่ในสุรา เอาไปร่วมดื่มกับครอบครัวของเหล่าทหารหาญที่ถูกปีศาจโหดเหี้ยมอำมหิตตนนี้คร่าชีวิตไป”

สังหารคนควักหัวใจได้…เป็นกริชชั้นดีโดยแท้…

ภรรยาเขาเคยกินคนมาก่อนจริงๆ

ซย่าอวี้จิ่นเคี้ยวเนื้อแพะชิ้นสุดท้ายในปากสองทีแล้วพยายามกลืนลงคอเงียบๆ

เยี่ยเจาถือกริชปีกจักจั่น เอ่ยถามเขาอย่างเอาอกเอาใจ

“ข้าหั่นเนื้อแพะให้ท่านอีกสักหน่อยนะ?”

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นลมไปเช่นเดิมจะเป็นการดีกว่า

ประเพณีของโม่เป่ยป่าเถื่อนโหดร้าย ส่วนเยี่ยเจาก็คลุกคลีกับชายฉกรรจ์หยาบคายในกองทัพจนเคยชิน คนข้างกายที่นับว่าสุภาพที่สุดก็คือเจ้าจิ้งจอก ทว่าความไวในการแย่งกินเนื้อของคนผู้นั้นก็มิได้ย่อหย่อนกว่าชิวเหล่าหู่เลย ด้วยเหตุนี้นางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดที่อ่อนไหวของเหล่าคุณชายเสเพลเมืองหลวงได้น้อยนิดอย่างยิ่ง สุดท้ายนางหันเหความคิดไปถึงพวกกุลสตรีโฉมงามในห้องหอที่รู้จัก ถึงพอจะคาดเดาได้ว่าสีหน้าไม่สู้ดีในยามนี้ของซย่าอวี้จิ่นมีสาเหตุมาจากอะไร นางจึงพูดขึ้นอย่างระแวดระวังเพื่อยืนยันให้แน่ใจ

“กริช…ล้างสะอาดแล้ว”

กริชสังหารคนล้างสะอาดแล้วก็สามารถหั่นผักได้อย่างนั้นหรือ

คงได้แต่ใช้คำว่าขุ่นข้องหมองใจเต็มทีมาบรรยายสีหน้าของซย่าอวี้จิ่นที่มองนางอยู่

เยี่ยเจาโคลงศีรษะ เรียกชิวสุ่ยกลับไปที่ห้องเอาดาบโค้งต้าสือ ใหม่เอี่ยมมาเล่มหนึ่ง แล้วเริ่มแล่เนื้อแพะอีกครั้งพลางพูดอธิบาย

“ดาบเล่มนี้เพิ่งถอดออกจากฝัก ยังมิได้สัมผัสโลหิต”

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อย

“ในครัวมีมีดเงินแล่เนื้อมิใช่หรือ”

เยี่ยเจากล่าวเหยียดหยาม

“เศษขยะก็คู่ควรจะเรียกว่ามีดด้วยหรือ”

เอ่ยอ้างถึงเมื่อครั้งพิธีผูกดวงแรกขวบ ตอนเป็นเด็กน้อย ว่ากันว่าทั่วห้องมีสิ่งของวางไว้เต็มไปหมด นางกลับปีนขึ้นไปบนตักท่านปู่แล้วกอดกระบี่หงส์เขียวแน่นไม่ยอมปล่อยมือ ท่านปู่ปลื้มปีติเหลือหลาย พูดลงความเห็นอย่างมั่นอกมั่นใจในตอนนั้นเลยว่าชั่วชีวิตนี้ของนางจะต้องเป็นผู้ที่เหมาะกับการฝึกยุทธ์

หลังจากเจริญวัยขึ้น นอกจากคลั่งไคล้วรยุทธ์แล้ว สิ่งที่นางชื่นชอบมากที่สุดก็คือสะสมอาวุธมีชื่อทุกชนิด ทุกครั้งที่เห็นของแปลกใหม่จะคันหัวใจยิบๆ ยากจะทานทน อดทุ่มเงินซื้อเอาไว้มิได้ อีกทั้งสนามรบก็เป็นสถานที่ชั้นดีในการรวบรวมอาวุธอีกด้วย ขณะนี้นางจึงมีอาวุธด้ามยาวด้ามสั้นทุกชนิด อาวุธซัดอาวุธลับ และอาวุธของนักรบแปลกพิสดารไม่น้อยกว่าหลายร้อยชิ้นอยู่ในครอบครอง แต่ละชิ้นล้วนเป็นฝีมือของช่างใหญ่ ไหนเลยจะเห็นของธรรมดาเช่นมีดเงินแล่เนื้ออยู่ในสายตา

ซย่าอวี้จิ่นเห็นดวงตานางเปล่งประกายน่ากลัวยามเอ่ยถึงเรื่องอาวุธก็รู้สึกสะท้านเยือกขึ้นมาจริงๆ และตัดสินใจว่าจะไม่ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาสนทนาอีก เขาพยายามลบความทรงจำเมื่อครู่ทิ้งไปให้หมด จดจ่อความคิดทั้งหมดไปที่เนื้อแพะของเหล่าเกาซึ่งหากเขายังไม่กินอีกก็จะอดกินแล้ว และเลือกเนื้อแพะชิ้นที่เพิ่งแล่ออกมากินลงท้องหลายคำ

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่จักรพรรดิมีบัญชาแต่งตั้งเขาในวันนี้ให้นางฟัง เอ่ยอย่างคับแค้นใจเป็นที่สุด

“คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าหนุนหลัง!”

เยี่ยเจารีบกล่าวปลอบ

“นั่นสิ ข้าต่างหากที่หวังว่าท่านจะหนุนหลังข้า”

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ พูดด้วยความโมโห

“เจ้ากำลังประชดข้าเช่นกันรึ”

เยี่ยเจาส่ายหน้า

“มิใช่เลย!”

ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างน้อยใจ

“ต้องใช่แน่ๆ!”

เยี่ยเจาทอดถอนใจ

“มิใช่จริงๆ”

ซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจว่าจะไม่เอาความคิดอันไร้เหตุผลของภรรยามาตรึกตรองอีก เขาเอ่ยขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“จักรพรรดิเลือกข้าเป็นผู้ตรวจการนครหลวงเพราะมองแค่ศักดิ์ฐานะของข้าเท่านั้น ต่อให้ข้าทำงานย่ำแย่แค่ไหนก็เป็นหลานแท้ๆ ของพระพันปี ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องไว้หน้าให้หลายส่วน ถึงอย่างไรตอนนี้ไม่มีคนเต็มใจรับตำแหน่งนี้ หากข้าทำได้ดีก็เป็นเรื่องน่ายินดี หากข้าทำได้ไม่ดีก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล ถือว่าใช้ประโยชน์ทุกอย่างจนคุ้มค่าเลย”

เยี่ยเจาเอ่ยขึ้น

“ท่านหาได้ย่ำแย่ขนาดนั้น”

ซย่าอวี้จิ่นเย้ยหยันตัวเอง

“ข้าปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่ามาสิบกว่าปี นอกจากทำตัวสำมะเลเทเมาแล้วไม่มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หากมิใช่ยังอยู่ในศักดิ์ฐานะนี้ จะว่าไปแล้วก็คงไม่มีใครหน้าไหนให้เกียรติข้า”

“ศักดิ์ฐานะของท่านคือคุณสมบัติที่คนรอบข้างอยากมีก็ใช่ว่าจะมีกันได้”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเยาะอย่างดูแคลน

“ข้าก็แค่มีติดตัวมาแต่เกิด”

เยี่ยเจาควงดาบโค้งในมือ พูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย

“ข้ามีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เหนือกว่าใครๆ ก็เป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่เกิด ศักดิ์ฐานะของข้าก็ไม่ต่างกัน หากข้ามิใช่ลูกชายของเยี่ยจง ได้อาศัยชื่อเสียงบารมีของสกุลเยี่ยนำทัพในโม่เป่ย ไหนเลยข้าจะมีผู้ติดตามมากมาย ไหนเลยข้าจะทำให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งได้ง่ายดาย หากท่านมิใช่หลานแท้ๆ ของพระพันปี…”

“บ้าเอ๊ย!” ซย่าอวี้จิ่นปากระดูกชิ้นหนึ่งในมือใส่ศีรษะนางพร้อมพูดตะคอก “เจ้าเป็นลูกสาวของเยี่ยจง มิใช่ลูกชาย จำใส่หัวซะบ้าง ข้ามิได้ตบแต่งบุรุษเข้ามาในตระกูล!”

“เคยปากน่ะ” เยี่ยเจาเบี่ยงกายหลบกระดูกที่ลอยหวือมา ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ อย่างกระดากใจ “ชาติกำเนิดขึ้นอยู่กับโชคชะตาซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ ท่านคิดว่าการที่จักรพรรดิยกข้าให้แต่งงานกับท่านเพื่อให้ข้าข่มรัศมีท่านหรือ ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้น พระองค์หวังว่าท่านจะช่วยหนุนหลังข้าต่างหาก”

คำพูดขบขันนี้ไม่ชวนขันเลย ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะฝืดๆ รู้สึกใบหน้ากระตุกน้อยๆ

เยี่ยเจาพูดอธิบายต่อ

“ยามแคว้นต้าฉินระส่ำระสาย ข้าที่เป็นสตรีกลับได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัยจริงๆ บัดนี้แผ่นดินสงบสุขแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักล้วนเป็นบุรุษ ในหมู่แม่ทัพนายกองมิใช่ว่าจะไร้ผู้มีความสามารถโดดเด่น แต่ต้องถูกสตรีกดหัวไว้จะทำใจยอมรับได้อย่างไร แม้พวกเขาจะอดกลั้นไว้ไม่เอ่ยถึง ทว่านานไปๆ ก็ต้องเคลื่อนไหวในที่สุด ยิ่งกว่านั้นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้ามีได้เพียงคนเดียว ทุกคนต่างจับจ้องกันตาเป็นมัน ตราบใดที่ข้าไม่ลงจากตำแหน่ง คนอื่นก็ผลัดเปลี่ยนเข้ามาแทนที่มิได้ตลอดไป”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“จักรพรรดิทรงพระปรีชา ขอเพียงเจ้าไม่เผด็จการบ้าอำนาจ มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน”

เยี่ยเจาส่ายหน้า

“แม้แต่ทองยังหลอมละลายด้วยอานุภาพของลมปาก มันทำร้ายคนมานักต่อนักแล้ว เรื่องในภายภาคหน้าไม่มีผู้ใดบอกได้แจ่มแจ้ง”

อีกประการหนึ่ง สิ่งที่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยคือนับแต่โบราณมา เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล แม่ทัพผู้สันทัดการรบมีความชอบใหญ่หลวงมักถูกระแวงสงสัย น้อยคนนักที่จะพบจุดจบที่ดี บัดนี้นางกุมกำลังทหารอยู่ในมือเพียงผู้เดียวมากมายปานนั้น ทั้งยังครองใจไพร่ฟ้าทั่วหล้า ถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะปรีชาสามารถ เชื่อมั่นในความจงรักภักดีของนางเป็นอันมาก แต่คงไม่กล้าไว้วางใจว่าลูกหลานของนางจะซื่อสัตย์อย่างถวายหัวกันทุกคน ส่วนนางก็ไม่กล้าปักใจเช่นกันว่าวันหน้าหลังจากรัชทายาทขึ้นครองราชย์จะลงมือเข่นฆ่าสังหารเพื่อยึดอำนาจทางการทหารคืนหรือไม่

ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงจุดจบของเหล่าขุนนางผู้มีความชอบในการบุกเบิกแผ่นดินก็ตระหนักขึ้นมาได้และบังเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน เดิมทีเขาจะพูดผสมโรงสองสามคำอย่างขุ่นเคือง แต่ฉุกคิดได้ว่าจะเป็นการด่าทอบรรพบุรุษของตัวเองจึงสงบปากสงบคำแต่โดยดีเพื่อมิต้องถูกตีน่วมยามไปพบพวกเขาในอนาคต

“เคราะห์ดีที่จักรพรรดิมีเมตตาธรรม มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง และเห็นอกเห็นใจผู้อยู่ใต้ปกครองจนขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ดีมาแต่ไหนแต่ไร” เยี่ยเจาเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วก็บอกความจริงออกมาตามตรง “ตอนที่โม่เป่ยได้ชัยชนะ ข้าก็ถวายหนังสือขออภัยโทษทันที เปิดเผยต่อคนทั้งแผ่นดินว่าตัวเองมีโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เวลานั้นอาณาประชาราษฎร์มีขวัญและกำลังใจ ขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนยกยอว่าจักรพรรดิมีความสามารถในการใช้คน ฉะนั้นต่อให้พระองค์ไม่พอใจก็คงไม่อยากขัดแย้งกับคนทั่วหล้าด้วยการปลดข้าออกจากตำแหน่งกะทันหัน จากนั้นข้าก็ส่งสารฉบับที่สองแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและหวังว่าจะได้ออกเรือน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของบิดามารดาบนสวรรค์”

นางชะงักลงตรงนี้ชั่วครู่แล้วถามยิ้มๆ

“ท่านว่า…จักรพรรดิจะให้ข้าออกเรือนไปกับผู้ใดได้”

ต่อให้เยี่ยเจายินยอมถอดเกราะ แต่ในกองทัพโม่เป่ยล้วนเป็นทหารที่ร่วมเป็นร่วมตายกับนางมา เคารพเชื่อฟังและเทิดทูนนางประหนึ่งเทพเจ้า ไม่ว่าจะมอบอำนาจทางการทหารแก่ผู้ใดก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับคล้อยตามของทุกคนได้

การพระราชทานแส้เหล็กไหล เพชรนิลจินดา ที่ดินเหย้าเรือนอะไรก็ตามล้วนเป็นของลวงทั้งสิ้น สินเดิมเจ้าสาวที่แท้จริงของนางคือกำลังทหารห้าสิบหมื่นของโม่เป่ย รวมถึงบารมีในกองทัพสกุลเยี่ยและความดีความชอบในการเผด็จศึกหมานจิน ไม่ว่านางจะแต่งงานกับใครล้วนทำให้เชื้อพระวงศ์กินไม่ได้นอนไม่หลับ บัดนี้ยกนางให้กับซย่าอวี้จิ่นที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงแม้แต่น้อยก็เท่ากับเป็นการเอาสินเดิมเจ้าสาวส่งคืนให้กับราชสำนัก

นับแต่นี้ไปนางไม่เพียงเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ยังเป็นชายาหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นสะใภ้ของเชื้อพระวงศ์ เป็นสตรีสกุลซย่า และเมื่อบุตรเป็นผู้รับตำแหน่งบิดา ลูกหลานของนางในวันหน้าจะต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์หนานผิงจวิ้นอ๋อง หาใช่อำนาจทางการทหารของสกุลเยี่ย

นอกจากนี้นางออกจากโม่เป่ยแล้วได้เลื่อนตำแหน่งและออกเรือน แต่ยังคงบัญชาการกำลังทหารทั้งแผ่นดินจึงสามารถควบคุมกองทัพโม่เป่ยซึ่งอยู่แดนไกลเอาไว้ได้ ทำให้ขุนนางฝ่ายทหารที่ราชสำนักส่งตัวไปไม่ถูกต่อต้านมากเกินไป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนคนแทนที่ รอกระทั่งนางเข้าสู่วัยชรา อำนาจทางการทหารก็จะกลับคืนสู่ราชสำนักอีกครั้งอย่างถูกต้องชอบธรรม แล้วนางกับจักรพรรดิก็จะมีชื่อเสียงว่าเป็นกษัตริย์ที่ดีและขุนนางผู้ซื่อสัตย์ไปตลอดชีวิต

เยี่ยเจาทอดถอนใจ

“จักรพรรดิทรงเป็นคนดีและฉลาดเฉลียว พระองค์ให้ข้าแต่งงานกับท่านเพื่อปกป้องข้า ต่อให้มีคนระดมปลุกปั่นไปทั่วหมายยุแยงใส่ร้ายป้ายสีข้าก็ต้องคำนึงถึงศักดิ์ฐานะทั้งสองนี้ หากดึงข้าลงจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ข้าก็จะอาศัยชื่อท่านและศักดิ์ฐานะของชายาจวิ้นอ๋องเล่นงานพวกเขาให้หนักเลย”

ซย่าอวี้จิ่นไม่นับว่าเป็นคนโง่เขลา เพียงถูกความโกรธเกรี้ยวบังตา หลังจากเขาตั้งสติขบคิดด้วยเหตุผลแล้วก็แจ่มแจ้งในบัดดล

ข้อแรก ต่างฝ่ายต่างเป็นเสมือนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์

ข้อสอง พวกเขาล้วนหนุนหลังซึ่งกันและกัน

ข้อสาม จักรพรรดิคือเพียงพอนเหลืองที่ใช้ประโยชน์ทุกสิ่งอย่างคุ้มค่า ไม่ยอมให้สิ้นเปลืองเด็ดขาด

ทว่าถ้าพวกเขาตกลงหย่ากันแล้ว เยี่ยเจาซึ่งปราศจากศักดิ์ฐานะของเชื้อพระวงศ์เป็นที่พึ่งจะเป็นอย่างไรต่อไป

นางโบกมือพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ จะอย่างไรก็คงหาหนทางจนได้”

สินเดิมเจ้าสาวเป็นเผือกร้อน นางไม่ออกเรือนมิได้ ราชสำนักไม่ไว้ใจลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่หนุ่มแน่นฮึกเหิมและมีความสามารถโดดเด่น แล้วก็ไม่อาจให้บุตรสาวสายเลือดโดยตรงของเจิ้นกั๋วกงเป็นอนุภรรยา ส่วนพวกที่เหลืออยู่หากมิใช่ท่านอ๋องชราวัยเจ็ดสิบแปดสิบก็เป็นบุตรอนุภรรยาของเชื้อพระวงศ์ที่มีพฤติกรรมบัดซบเลวทรามในเรื่องต่างๆ กันไป จะอย่างไรก็ไม่มีคู่ครองที่ดีรอนางอยู่

แม้นางจะเป็นภรรยาที่ไม่เอาไหน แต่กลับเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีความชอบต่อแคว้นต้าฉิน ไฉนถึงพบบทลงเอยเช่นนี้

แล้วจะให้นางสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือให้เขาดี ช่างน่าลำบากใจแท้

เยี่ยเจายิ้มพราย ยกจอกสุราให้เขาและเอ่ยขึ้น

“เลิกคิดเถอะ ดื่มสุรากัน หมดจอก!”

ซย่าอวี้จิ่นรับสุรามาแล้วชนจอกกับนางเบาๆ ไม่กล้ามองดูใบหน้าอ่อนเยาว์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของอีกฝ่าย

หัวใจเขาเริ่มอ่อนลงทีละเล็กทีละน้อยดั่งผิวน้ำที่กระเพื่อมแผ่วงออกไปอย่างแผ่วเบา

บทที่ 8

ซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจครั้งที่ยากเย็นที่สุดในชีวิต

เขากระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับจนขอบตาคล้ำเป็นวง แทบต้องฝืนมโนธรรมในใจถึงมองเห็นข้อดีในตัวเยี่ยเจาที่เหมาะจะเป็นภรรยาอยู่เหมือนกัน

เช่นว่านางไม่ขี้หึงจึงไม่เป็นเช่นเดียวกับฮูหยินของรองเสนาบดีสวีที่พอเห็นสามีดื่มเหล้าเคล้านารีก็เงื้อไม้นวดแป้งไล่ทุบตีไปไกลห้าถนน ส่วนเรื่องที่นางมาหาเขาเพื่อปรึกษาปัญหาเรื่องดื่มเหล้าเคล้านารีที่ใดได้รสชาติกว่า หรือหญิงงามของหอคณิกาไหนสะโพกใหญ่อะไรทำนองนี้อย่าไปคิดมากจะเป็นการดีที่สุด

แล้วก็เช่นว่าเดิมทีวรชายาอันไท่เฟยรังเกียจอยู่บ้างที่ชายาอันอ๋องมีชาติกำเนิดไม่สูงและฐานะต่ำต้อย มักเชิดหน้าปั้นปึ่ง ไม่ว่านางจะเอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่บังเกิดผล ทว่าหลังจากเยี่ยเจาแต่งเข้ามา เมื่อได้เปรียบเทียบสะใภ้ทั้งสองแล้ว ท่าทีของวรชายาอันไท่เฟยที่มีต่อสะใภ้ใหญ่ก็ดีขึ้นทันตาเห็น รู้สึกเพียงมองนางอย่างไรล้วนถูกตาไปหมด เป็นสะใภ้แสนดีและเป็นศรีภรรยาที่สุดในใต้หล้า เวลานี้ทั้งคู่รักใคร่กลมเกลียวกันจนเป็นที่อิจฉาของใครๆ แทบจะถูกยกให้เป็นแบบอย่างที่ดีของชาวเมืองเลยทีเดียว

ยังมีอีกเช่นว่าพี่ชายเขาขาพิการ ส่งผลให้เป็นคนเงียบขรึมหดหู่ไปบ้าง ตอนนี้ให้เมียบ่าวไปเล่าเรื่องขบขันในเรือนเขาให้ฟังทุกวัน ใบหน้ามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นบ้าง

เฮ้อ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องสุดวิสัย จะอย่างไรก็ต้องมีจิตใจเสียสละบ้าง

ขอเพียงเขากัดฟันทน ทำหน้าหนาแบกรับคำติฉินนินทาไว้ จากนั้นก็เก็บซ่อนหนังสือหย่าในมือไว้ให้ดี พูดคุยกับเยี่ยเจาให้เข้าใจ อบรมสั่งสอนนางมากๆ อย่างน้อยต้องทำให้นางเข้าใจสักหน่อยว่าการเป็นสตรีต้องทำอย่างไร อย่าเอาแต่กระทำตัวเยี่ยงชายอกสามศอกจนชวนให้เหลืออด เช่นนี้แล้วเขาก็พอจะฝืนใจไม่ตกลงหย่ากันได้

เมื่อซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจได้ก็ลงมือทันที เขาเริ่มด้วยการรื้อค้นตำราต่างๆ เช่น ‘บัญญัติสตรี’ ‘คัมภีร์ธิดา’ ‘ตำนานภรรยาประเสริฐ’ ‘ตำนานสตรีกล้าแกร่ง’ ‘รวมอรรถาธิบายสี่ตำราแห่งกุลสตรี’ ‘โอวาทสอนหญิง’ ออกมาจากห้องหนังสือทั้งหมด จากนั้นพุ่งตรงไปหาเยี่ยเจาซึ่งประชุมขุนนางกลับมาพร้อมวาดภาพฝันอันงดงามของการนั่งเคียงคู่กันท่องตำรายามราตรี

ขณะก้าวปราดๆ เข้าไปในห้องที่ได้เห็นอีกครั้งหลังจากเหินห่างไปนาน เขารู้สึกดวงตาพร่าพรายอย่างฉับพลัน

ตรงหน้าประตูมีแท่นตั้งอาวุธสองแถว บนนั้นมีอาวุธด้ามยาวนานาชนิดตั้งแต่หอก ขวานศึก ทวนวงเดือน สามง่าม คราดเก้าซี่ ง้าว และอื่นๆ ปักเรียงรายเอาไว้ ส่วนผนังห้องแขวนกระบองเขี้ยวหมาป่ากับเกาทัณฑ์หน้าไม้ ในแจกันลายครามลายเถาไม้เลื้อยก็มีดาบและกระบี่เสียบไว้หลายเล่ม บนโต๊ะยังมีขวาน กระบองเหล็ก แส้ยาว พลองสองท่อน พลองสามท่อนวางอยู่ ขณะที่ตู้ตั้งของประดับซึ่งเคยวางวัตถุโบราณล้ำค่าในตอนแรกล้วนถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธลับทั้งหมด

นี่มันคลังเก็บอาวุธของกองทหารหรือ

ซย่าอวี้จิ่นรีบถอยออกมาทางประตู ขยี้ตาแล้วเบิกตามองแผ่นป้ายซึ่งแขวนอยู่เหนือประตูเรือนวาโยนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อแน่ใจแล้วว่ามิได้เดินมาผิดที่ถึงก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปอีกครั้ง กระแอมไอดังๆ เสียงหนึ่งใส่เยี่ยเจาซึ่งนั่งขัดสมาธิชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แลดูไม่งามตาอย่างยิ่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ นางกำลังง่วนอยู่กับการเล่นดาบฝูซาง ที่เพิ่งได้มาใหม่อย่างเพลิดเพลิน

นางเห็นเขานานทีปีหนจะมาหาก็ปีติยินดีเหลือหลาย รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ

ซย่าอวี้จิ่นพักเรื่องที่ห้องตัวเองถูกตกแต่งประดับประดาใหม่ลงก่อนชั่วคราว ไม่ติดใจเอาความอีก เพียงวางตำรากองหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างแรง บอกกล่าวจุดประสงค์ที่มาว่าเขาจะรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหลักจริยาหญิงให้ด้วยตัวเอง

ทั้งคู่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับทราบถึงระดับสติปัญญาความรู้ของตัวเองก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่ามิใช่พวกอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

ซย่าอวี้จิ่นร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่อาจคร่ำเคร่งตรากตรำได้ เรียนหนังสือวันหนึ่งก็ต้องหยุดพักสามวัน ทว่าเขาเป็นคนฉลาดหัวไวมาแต่เกิด ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของพระพันปี อาจารย์ที่จ้างมาสอนล้วนเป็นบัณฑิตใหญ่แห่งยุคที่รอบรู้และเป็นพหูสูตอย่างแท้จริง แม้เขาจะร่ำเรียนมาแบบกระท่อนกระแท่นก็ยังมีความรู้เกือบเทียบชั้นผู้สอบได้ซิ่วไฉ หากจะสอนตำราจำพวกคัมภีร์สามอักษรt ก็หาใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ

ขณะที่เยี่ยเจาชื่นชอบฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก พอเห็นตำราก็ปวดศีรษะ กอปรกับมีนิสัยหยิ่งผยองและอารมณ์ร้อน จึงเกิดเรื่องราวระหว่างการศึกษาเล่าเรียนมากมายพอจะเขียนรวบรวมขึ้นเป็นบันทึกประวัติศาสตร์นองเลือดเคล้าน้ำตาของบรรดาอาจารย์ได้

นับแต่เริ่มร่ำเรียนเขียนอ่านเมื่ออายุแปดขวบ นางยั่วโมโหอาจารย์จนบอกศาลาไปราวๆ ปีละห้าคน สุดท้ายเนื่องจากบิดาของหูชิงมีฐานะยากจนมากจริงๆ ทั้งยังคิดจะผูกสัมพันธ์เพื่อให้บุตรชายได้มีอนาคตก้าวหน้า เขาจึงกล้ำกลืนความอัปยศอยู่รับหน้าที่ต่อไปอย่างอดทนอดกลั้นตามคำวิงวอนขอร้องของเยี่ยจง สิ้นเปลืองเวลาสองปีกว่า สรรหาทุกวิธีมาสอนนางด้วยความลำบากแสนสาหัส ในที่สุดเยี่ยเจาก็ท่องจำ ‘ตำราพันอักษร’ จนขึ้นใจได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้นางไม่ถึงขั้นไม่รู้หนังสือ

กระทั่งหลังจากนำทัพออกศึก เยี่ยเจาถึงได้ประจักษ์ว่าตัวเองมีความรู้น้อยนิดจนน่าใจหาย เมื่อสถานการณ์บังคับ นางจำใจต้องให้หูชิงรับหน้าที่เป็นอาจารย์ต่อจากบิดา พยายามเร่งสอนวิชาการทหารและประวัติศาสตร์ให้เป็นการด่วน

เมื่อเทียบกับ ‘อาจารย์หู’ ผู้มีวาจาสนุกสนานแฝงอารมณ์ขัน อธิบายเรื่องลึกซึ้งให้เข้าใจได้ง่ายแล้ว ฝีมือการสอนของ ‘อาจารย์ซย่า’ นั้นแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้เขาจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พูดอธิบายอย่างเอาจริงเอาจังอย่างมาก ทว่าจนปัญญาที่เขาทำได้แต่สอนตามตำรา ไม่รู้จักการอุปมาสาธก หัวข้อที่เลือกมาก็น่าเบื่อเหลือแสน

เดิมทีเยี่ยเจาใช่ว่าจะเป็นผู้มีความอดทนในการเล่าเรียน อีกทั้งเรื่องของสตรีก็ยิ่งไม่สนใจ นางฟังแล้วลอบหาวหวอดๆ เพียงเห็นแก่ที่อาจารย์รูปงามชวนน้ำลายหกจึงกัดด้ามพู่กันข่มใจไว้ พยายามแสร้งทำท่าตั้งอกตั้งใจพลางแอบชำเลืองมองดาบฝูซางที่ตัวเองเพิ่งได้มาใหม่ซ้ำๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่และใคร่ครวญว่าอีกประเดี๋ยวจะไปลองดาบที่ไหนดี

อาจารย์ซย่าสอนจนคอแหบคอแห้ง เคาะโต๊ะถามขึ้นด้วยสีหน้าขึงขัง

“อะไรคือเรือนสามน้ำสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไหนทวนให้ข้าฟังอีกทีซิ”

ลูกศิษย์เยี่ยตื่นขึ้นจากภวังค์ ได้ยินเพียงครึ่งเดียวก็มองเขาอย่างงุนงง นิ่งเป็นเบื้อใบ้อยู่พักใหญ่ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

“เรือน? เรือนอะไร งานปักผ้าอะไรนั่นข้าทำไม่เป็นนะ หรือว่า…กวาดพื้นเรือนให้ท่านวันละครั้ง?”

เจ้าอันธพาลสมควรตายผู้นี้มิได้ฟังเลยสักนิด!

ซย่าอวี้จิ่นโกรธเจียนคลั่งตาย หากมิใช่กลัวว่าจะไม่ระวังทำกระบองเขี้ยวหมาป่าบนผนังหล่นใส่เท้าตัวเอง เขาต้องฉวยมันลงมาขว้างใส่ศีรษะนางเป็นแน่

“อย่าโมโหๆ เวลาข้าเรียนหนังสือชอบเหม่อลอยเสมอ”

เยี่ยเจารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง กระวีกระวาดรินน้ำชาส่งให้เป็นการกล่อมเขาให้อารมณ์เย็นลงและเพื่อเบี่ยงเบนความขัดเคือง

นางยังหยิบกระบี่ธารมรกตที่ตัวเองสะสมเอาไว้ออกมาให้เขาชม เอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ

“อย่าคิดมากเลย การเรียนหนังสือใช่ว่าจะจบได้ในชั่วครู่ชั่วยาม กระบี่เล่มนี้เป็นของล้ำค่าที่มีเงินนับพันชั่งก็หาซื้อได้ยากเชียวนะ มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมันได้ ท่านอยากจับดูเล่นๆ ไหม”

ซย่าอวี้จิ่นลูบกระบี่ทีหนึ่งแล้วถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ฟันเจ้าตายได้หรือไม่”

“อาศัยท่าน?”

เยี่ยเจาส่ายหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ซย่าอวี้จิ่นฟุบหน้ากับโต๊ะอย่างสิ้นหวัง ไม่ขยับตัวอีก

ภรรยาเขาคลั่งไคล้อาวุธเข้าขั้นหมดทางเยียวยาแล้ว เขาหวั่นใจว่าตัวเองจะถูกยั่วโมโหจนต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันควร สุดท้ายจึงให้นางจดจำถ้อยคำหนึ่งให้ขึ้นใจ

“ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังคนต้องไว้หน้าสามี”

จากนั้นเขาก็ล้มเลิกแผนการสอนหนังสืออย่างสิ้นเชิง

 

ราวครึ่งเดือนต่อมาวังหนานผิงจวิ้นอ๋องก่อสร้างเสร็จสิ้น ตระกูลอันอ๋องต้องแยกเรือนกันต่างคนต่างอยู่

แม้วรชายาอันไท่เฟยจะรักเอ็นดูบุตรชายคนเล็ก แต่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่อยากอยู่กับเยี่ยเจาให้เจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยเหตุนี้นางยอมทนปวดร้าว ตัดใจรั้งอยู่ข้างกายบุตรชายคนโต เพียงคัดเลือกบ่าวคนสนิทหลายคนที่ทำงานเก่งและซื่อสัตย์ส่งไปที่วังหนานผิงจวิ้นอ๋องเพื่อให้บุตรชายคนเล็กเรียกใช้ มิให้เขาถูกภรรยาข่มเหงเกินไป

ซย่าอวี้จิ่นไม่แน่ใจว่าวันหน้าจะตกลงหย่ากับภรรยาหรือไม่ จึงไม่คิดจะอยู่ร่วมห้องกับนาง ทว่าพักนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นเล็กน้อย เขาจึงเลือกเรือนสองหลังซึ่งมีลานเชื่อมต่อกันแล้วแยกย้ายเข้าไปอยู่คนละหลัง นับแต่นี้ไปฟากหนึ่งคือดงอาวุธ แลเห็นเงาดาบประกายกระบี่ ฟากหนึ่งคือเสียงจิ้งหรีดลูกเต๋า เสนาะหูรื่นรมย์ ดูแล้วแปลกอย่างยิ่ง

หยางซื่อเลือกเรือนที่อยู่ห่างจากทั้งแม่ทัพใหญ่และจวิ้นอ๋องค่อนข้างไกลและขะมักเขม้นกับการเป็นผู้ดูแลวัง ส่วนเหมยเหนียงกับเซวียนเอ๋อร์แย่งชิงเรือนแว่วบุปผาซึ่งอยู่ใกล้กับเรือนเกล็ดน้ำค้างอันเป็นที่พำนักของท่านแม่ทัพมากที่สุด

พวกนางทะเลาะกันลั่นวัง คนหนึ่งบริภาษอีกฝ่ายเป็นนางจิ้งจอก คนหนึ่งด่าทออีกฝ่ายว่าอกใหญ่ไร้ปัญญา จวนเจียนจะบีบคอกันอยู่แล้ว สุดท้ายเป็นซย่าอวี้จิ่นมาพบเข้าและตวาดให้หยุด อัปเปหิทั้งคู่ไปอยู่เรือนจันทร์มืดที่อยู่ห่างจากเรือนเกล็ดน้ำค้างไกลที่สุด

ในวังอลหม่านโกลาหล ยุ่งวุ่นวายจนแม้แต่แม่สุกรยังต้องปีนขึ้นต้นไม้เลยทีเดียว

เมื่อการแบ่งเรือนเสร็จสิ้น ชุดขุนนางของซย่าอวี้จิ่นก็ส่งมาถึง ช่างปักในวังหลวงมีฝีมือไม่เลว เสื้อคลุมแพรใหม่เอี่ยมอ่องมีลายปักดอกไม้ด้วยด้ายทองบนพื้นสีเขียว แม้จะเรียบง่ายหากแฝงด้วยความประณีตบรรจง สวมใส่แล้วดูสง่างามไม่น้อย

เยี่ยเจาเอ่ยชม

“สวมบนตัวท่านแล้วดูไม่เลวจริงๆ มีราศีของขุนนางใหญ่”

“ชิ่วๆ ใครจะไปเชื่อสายตาเจ้า”

ซย่าอวี้จิ่นปากพูดแย้ง ในใจกลับปลาบปลื้มอยู่บ้างที่ได้รับคำชม

เขาเดินอยู่ในลานกว้างไม่กี่ก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าชิวหวากับชิวสุ่ย จึงถามพวกนางว่าเห็นเป็นอย่างไร

ด้วยท่านแม่ทัพยื่นคำขาดไว้ ชิวหวากับชิวสุ่ยไม่กล้าทำเสียงเย็นชาเหน็บแนมเขาอีกก็พร้อมใจกันพยายามพูดป้อยอ

“จวิ้นอ๋องดูเป็นผู้เป็นคนต่างจากเมื่อก่อน ไม่เลวจริงๆ เจ้าค่ะ!”

“ให้ช่างปักทำผ้าคาดศีรษะสีเขียวให้ท่านสักชิ้นดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วเอาไข่มุกเม็ดโตที่ท่านแม่ทัพสะสมไว้ติดประดับบนนั้น สวมเข้าคู่กันเป็นชุดจะต้องงามมากแน่ๆ เจ้าค่ะ!”

ซย่าอวี้จิ่นตั้งสัตย์ปฏิญาณ ถ้าเขาพูดกับคนข้างกายเยี่ยเจาอีก เขาก็คือสุกร!

ไม่ว่าชิวหวากับชิวสุ่ยจะใช้วาจาค่อนแคะแดกดันซย่าอวี้จิ่นลับหลังสักแค่ไหน ขอเพียงเยี่ยเจาปรากฏตัวขึ้น พวกนางก็กลายเป็นลูกแพะที่แสนเชื่องและว่าง่าย สีหน้าใสซื่อปราศจากพิษภัยเต็มประดา ราวกับเรื่องชั่วร้ายอะไรก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางทั้งสิ้น

สตรีช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วจนแทบต้องอุทานด้วยความทึ่งเลยทีเดียว ซย่าอวี้จิ่นสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโมโห

ชิวหวากับชิวสุ่ยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แผ่นหลังเขาทันควันและแอบตบมือดีใจกันเงียบๆ

เยี่ยเจารอหลังจากซย่าอวี้จิ่นเดินไปไกลแล้วค่อยมาที่ข้างกายพวกนาง ยื่นมือไปเขกหัวทั้งคู่อย่างแรงคนละที

“นับวันยิ่งไร้สัมมาคารวะขึ้นเรื่อยๆ จะรังแกสามีข้าก็อย่าให้เลยเถิดเกินไปนัก!”

ชิวหวากับชิวสุ่ยกุมหัวร้องโอดโอย มองท่านแม่ทัพใหญ่อย่างตัดพ้อพลางกล่าวแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“รังแกที่ไหนกันเจ้าคะ”

“ยังจะกล้าเฉไฉ? พวกเจ้าไม่รังแกเขา มีหรือที่เขาจะออกจากห้องข้าอย่างร่าเริงแต่ก้าวออกจากประตูไปอย่างฉุนเฉียว” เยี่ยเจาดุสั่งสอนต่อ “แต่ละคนดีแต่หาเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้ จะต้องก่อกวนจนเรือนลุกเป็นไฟถึงจะพอใจใช่หรือไม่”

หญิงสาวทั้งสองมองตากันปริบๆ หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วเวลาสั้นๆ ชิวหวาซึ่งเป็นคนขวานผ่าซากก็เก็บความในใจไว้ไม่อยู่ ชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“ท่านแม่ทัพ พวกเราไม่ชอบขี้หน้าเขาเลย! บุรุษไร้ค่าที่เติบโตขึ้นมาอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทอง มีบริวารห้อมล้อมเอาใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ท่านไม่รังเกียจเขานับว่าเป็นบุญกุศลที่เขาสั่งสมมาสามชาติ! เขากลับรังเกียจท่านก่อน เสียทีที่ท่านดีต่อเขาขนาดนั้น ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ! คนบัดซบไม่มีน้ำยาและไร้ยางอายพรรค์นี้สุ่มสี่สุ่มห้าเลือกหมาแมวสักตัวจากสามเหล่าทัพของเราล้วนเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น!”

ชิวสุ่ยพูดเสริม

“อย่างเช่นกุนซือหูยังดีกว่าเขาเป็นหมื่นเท่า ทั้งยังเคารพเชื่อฟังท่าน หากท่านให้เขาแต่งท่านเป็นภรรยา เขาจะต้องไม่ปริปากสักคำก็…”

“เจ้าจิ้งจอก?” เยี่ยเจานึกขันในวาจาไร้สาระของพวกนาง “อย่าพูดจาส่งเดช เขาจะต้องไม่ปริปากสักคำก็ปาดคอก่อนแล้วกระโดดน้ำตายทีหลัง พวกเจ้ายังเด็ก มีเรื่องราวในอดีตมากมายที่ไม่รู้…”

ในครั้งนั้นบิดาของหูชิงเป็นอาจารย์อยู่ในสกุลเยี่ย ส่วนหูชิงเป็นเด็กรับใช้ซึ่งติดตามพี่ชายคนรองของนาง ฟังอาจารย์สอนอยู่ข้างห้องเรียน

เยี่ยเจาเรียนหนังสือได้ย่ำแย่ พี่ชายคนรองก็มิได้ดีไปกว่านางเท่าไร ส่วนหูชิงที่อายุน้อยกลับฉลาดหลักแหลม เป็นเด็กดีรู้ความ ได้รับฉายาว่าเป็นเด็กอัจฉริยะมาแต่ไหนแต่ไร คนในสกุลเยี่ยเอ่ยถึงเขาไม่มีคนใดไม่กล่าวชม ครั้นมองดูเด็กไม่เอาไหนสองคนของตระกูลตัวเองก็อดทุบกำปั้นกับฝ่ามือตนพลางทอดถอนใจมิได้ มักยกคนทั้งสามมาเปรียบเทียบกันเสมอ อย่างเช่น ‘ดูหูชิงสิ แล้วดูเจ้าสิ’ ไม่ก็ ‘เด็กเหลือขอเช่นเจ้าสองคนรวมกันแล้วรู้ความได้ครึ่งหนึ่งของหูชิง ข้าคงอายุยืนอีกสิบปี’

เยี่ยเจามีนิสัยถือตนเป็นใหญ่ ไหนเลยจะรับฟังคำพูดเหล่านี้ นางพาสหายเกเรมากลั่นแกล้งหูชิงหนักมือยิ่งกว่าเดิม หาข้ออ้างสั่งสอนเขาแทบจะวันเว้นวัน ทำเอาบนตัวเขามีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ตามจุดที่มองไม่เห็นจากภายนอก เพียงเพื่อขับไล่พวกเขาพ่อลูกไป

หูชิงทำเพื่อบิดา ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ สะกดกลั้นไม่พูดออกมา แต่ในใจกลับเกลียดชังเยี่ยเจาเข้ากระดูกดำ อยากเติบโตโดยไวเพื่อไปสอบรับราชการ ได้เป็นขุนน้ำขุนนางหวนคืนสู่บ้านเกิดอย่างมีหน้ามีตา แล้วค่อยหาโอกาสชำระแค้นกับนางอย่างสาสม

ต่อมา…

ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มไม่มีเรื่องราวต่อมา วันนั้นเปลวเพลิงปะทุขึ้นทั้งสี่ทิศของโม่เป่ย เสียงเข่นฆ่าสังหารดังก้องนภา บ้านเรือนถูกทำลาย บิดามารดาของทั้งคู่ตายอย่างอนาถในระหว่างการฆ่าล้างเมือง เมื่อประสบกับความแค้นใหญ่หลวงที่แผ่นดินถูกรุกราน บุญคุณความแค้นในวัยเยาว์ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง

คนทั้งสองร่วมมือกันต่อต้านหมานจิน ความสัมพันธ์จึงเริ่มดีขึ้น

หูชิงยังคงชอบยียวนกวนโทสะนางเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นนิจ นับว่าเป็นการแก้แค้นเรื่องเมื่อครั้งอดีต

“เจ้าจิ้งจอกกับข้าเป็นพี่น้องกัน เขาอายุมากขนาดนั้นยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาก็น่าสงสารพอแล้ว พวกเจ้าก็อย่าทำลายชื่อเสียงเขาอีกเลย เขาจะยิ่งหาภรรยาไม่ได้ใหญ่ หากมิใช่เขายืนกรานว่าไม่อยากได้สตรีแข็งกระด้าง ข้าคงยกพวกเจ้าสองพี่น้องให้เขาไปแล้วเป็นแน่!” เยี่ยเจาชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดดุ “ขืนพวกเจ้าก่อความวุ่นวายอีก ข้าจะให้ชิวเหล่าหู่พาพวกเจ้ากลับไปอยู่บ้านเพื่อตั้งใจปักเสื้อคลุมเจ้าสาว รอการสอบรับราชการฤดูใบไม้ผลิจบสิ้น ข้าจะเป็นธุระเลือกบัณฑิตที่อ่อนแอปวกเปียกที่สุดมาสองคนแล้วให้พวกเจ้าออกเรือนซะ!”

ชิวหวากับชิวสุ่ยเห็นท่านแม่ทัพบันดาลโทสะก็ตกใจจนหน้าซีด ส่ายหน้าเป็นพัลวัน

เยี่ยเจาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

“ถึงซย่าอวี้จิ่นจะไม่ดีปานใดก็เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นหลานแท้ๆ ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระพันปี ทั้งยังเป็นเจ้าถิ่นในเมืองหลวง หากเขาตั้งใจจะเล่นงานพวกเจ้าจริงๆ ย่อมมีวิธีการเป็นสิบเอามาใช้ได้อย่างสบายๆ ตอนนี้เป็นเพราะเขาจิตใจดี ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงสองคน พวกเจ้าก็อย่าเอาความอดทนข่มกลั้นของเขามาเป็นข้อได้เปรียบ เหยียบจมูกเขาตามชอบใจ”

ชิวสุ่ยขยับปากขมุบขมิบ ยังอยากออกหน้าพูดแทนหูชิงอีก แต่ครั้นแลเห็นดวงตาเยี่ยเจาทอประกายวาวโรจน์ นางก็รีบกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงคอไป

เยี่ยเจาก้มหน้าลง กล่าวเตือนพวกนางด้วยสุ้มเสียงขึงขังและเนิบช้าที่สุด

“แต่ไรมาข้าเยี่ยเจามิเคยทำศึกที่ไร้ความหมาย ไม่โจมตีเมืองที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อข้าเลือกเขาแล้วก็แสดงว่าเขามีสิ่งที่ข้าต้องครอบครองให้ได้ ส่วนเขาจะเป็นคนอย่างไร ดีหรือไม่ดี เหมาะหรือไม่เหมาะ ข้ามีคำตอบอยู่ในใจ ยังต้องให้พวกเจ้ามาตัดสินด้วยรึ”

ชิวหวากับชิวสุ่ยยืนตัวตรง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ

เยี่ยเจากล่าวปิดท้าย

“เรื่องในวันนี้ข้าจะละเว้นให้สักครั้ง วันหน้าอย่าให้เกิดซ้ำสอง”

 

มาตรว่าผู้ตรวจการนครหลวงจะเป็นตำแหน่งเล็กๆ กระนั้นยังมีลูกน้องถึงร้อยกว่าคน

เหล่าหยางโถว ผู้รับผิดชอบงานอักษรได้ข่าวว่าจะมีผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่มารับตำแหน่ง เขาก็ใช้เวลาตลอดคืน ตะลีตะลานจัดเรียงบันทึกทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่พอได้ยินว่าผู้ตรวจการคนใหม่คือหนานผิงจวิ้นอ๋อง เขานิ่งอึ้งไปครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ใช้เวลาสิบคืนจัดเรียงและคัดลอกบันทึกบางส่วนอีกชุด ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนผ่ายผอมลงไปเป็นกอง

พอซย่าอวี้จิ่นมาถึงกองตระเวนตรวจพร้อมความขุ่นเคืองเต็มอก เขาขานชื่อและทำความรู้จักกับลูกน้องจนครบทุกคน พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนที่เห็นหน้าค่าตากันตามถนนมาก่อนจึงผูกมิตรกันได้อย่างง่ายดาย กระทั่งเหล่าหยางโถวนำบันทึกต่างๆ มาส่งให้ เขาเก็บแต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตรวจตราและวางกำลังป้องกันเมืองเอาไว้ แล้วเอารายชื่ออันธพาลนักเลงเจ้าถิ่นซึ่งถูกหมายหัวและคดีความต่างๆ วางลง โบกมือไปมาพลางพูดอย่างไม่มีพิธีรีตอง

“ไม่ต้องดูแล้ว เจ้าสารเลวพวกนี้มีคนใดบ้างที่ข้าไม่รู้จัก”

เหล่าหยางโถวพลันบังเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากร่ำไห้

หากรู้เช่นนี้แต่แรก ไยเขาต้องใช้เวลามากมายลบชื่อของหนานผิงจวิ้นอ๋องในบันทึกออกด้วย

ซย่าอวี้จิ่นรับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่ก็ออกไปเดินเล่นเป็นอันดับแรกโดยให้ลูกน้องพาตัวเองไปทำความคุ้นเคยกับงาน

ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นขี่ม้าเชื่องๆ ตัวหนึ่งเหยาะย่างนำหน้า ฝูงนักเลงอันธพาลก็กำลังชุลมุนวุ่นวายกันด้วยความตื่นเต้น ต่างชักชวนสมัครพรรคพวกรวมตัวกันมาเป็นกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ วิ่งออกมาร่วมวงนั่งดูอยู่ในหอน้ำชาโรงสุรา บ้างดื่มสุรา บ้างดื่มชา บ้างแทะเมล็ดแตง ชี้ไม้ชี้มือไปที่ซย่าอวี้จิ่นซึ่งสวมชุดขุนนางใหม่เอี่ยมพร้อมซุบซิบนินทา

ทุกคนคิดถึงพฤติกรรมของเขาในกาลก่อนแล้วเอาแต่พูดว่า…

“ใช้แมวเฝ้าปลาย่าง ขุนนางเป็นโจรเสียเอง”

ซย่าอวี้จิ่นชี้ตัวคนสองสามคนที่หัวเราะมากกว่าใครในนั้นแล้วสั่งการกับเจ้าหน้าที่

“เจ้าคนที่ใส่ชุดสีน้ำเงินกินอาหารในหอเมฆาเมามัวแล้วไม่จ่ายเงิน เจ้าอ้วนที่มีไฝอยู่ตรงคางมีส่วนรู้เห็นในคดีทำร้ายร่างกายเมื่อห้าวันก่อน ส่วนเจ้าคนที่ผอมเหมือนวานรนั่นพัวพันคดีต้มตุ๋น พาตัวกลับไปให้ข้าไต่สวนทั้งหมด”

คุณชายเสเพลทั้งหลายล้วนมีชนักติดหลังกันไม่มากก็น้อย พอเห็นซย่าอวี้จิ่นซึ่งอับอายจนพาลโกรธกำลังจะระบายโทสะแบบไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้นก็รีบหุบปาก กลั้นหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

หลังจากเห็นทุกคนสงบเสงี่ยมแล้ว ซย่าอวี้จิ่นขี่ม้าวนไปตามถนนเรื่อยๆ รอบหนึ่ง บอกเตือนคนที่รู้จักมักคุ้นกันว่าวันหลังพวกเขาจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไรก็ทำให้สะอาดหมดจดสักหน่อย อย่าให้เขาเสียหน้า แล้วก็อย่าให้เรื่องราวใหญ่โตจนรู้กันไปทั่ว

คนพวกนั้นแต่ละคนพากันแสดงอาการพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ พูดยิ้มๆ ว่ารับทราบและจะไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องเด็ดขาด

ขณะที่ผ่านหอดอกซิ่งเป็นยามเที่ยงตรงพอดี ได้กลิ่นหอมหวนของสุราอาหาร พาให้ท้องร้องจ๊อกๆ

ซย่าอวี้จิ่นปีนลงจากหลังม้าแล้วทิ้งมันไว้กับเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ามาต้อนรับ เขาพาพวกเจ้าหน้าที่กับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ตามมาพร้อมตนยี่สิบกว่าคนเข้าไปกินอาหาร

เดิมทีเขาเป็นคนรูปงาม เป็นที่ชื่นชอบของใครต่อใคร ทั้งยังมีนิสัยไม่ถือเนื้อถือตัว ส่วนคนอื่นก็มีเจตนาจะประจบสอพลออยู่แล้ว หลังจากร่วมดื่มกันไม่กี่จอกทุกคนก็สนิทสนมและเข้ากันได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นสหายสนิทที่รู้จักกันมานานนับสิบปี

ดื่มไปๆ ซย่าอวี้จิ่นตาไว เห็นร่างในชุดสีเขียวสาวเท้าเอื่อยๆ เข้ามา สั่งสุราหนึ่งกาและกับแกล้มสองจาน จากนั้นก็เดินปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างติดกับถนนตรงมุมร้าน รินสุราดื่มอย่างสำราญใจตามลำพัง

เขาสั่งกำชับลูกน้องคำหนึ่งก่อนจะเดินรี่เข้าไปตบบ่าคนผู้นั้นเบาๆ แล้วกล่าวยิ้มๆ

“หูชิงเพื่อนยาก หลายวันนี้ท่านยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นเลยหรือ เหตุใดสหายจะเลี้ยงสุราก็ไม่เห็นท่านปรากฏตัวขึ้นเลย”

หูชิงได้ยินเสียง มองดูจอกสุราในมือเงียบๆ และลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง

ยามเขาเงยหน้าขึ้น ประกายเหยียดหยันในดวงตายาวรีทั้งคู่ก็เลือนหายไป แทนที่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ท่านแม่ทัพมอบหมายภารกิจให้ข้ามากมาย ข้ายุ่งเสียจนกระทั่งยามนอนก็ข่มตาหลับมิได้”

“แม่เสือคนนั้นช่างถนัดการใช้งานคนจริงๆ ดูสีหน้าท่านอิดโรยซะ…เฮ้อ…”

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าที่ถูกภรรยาเขากดขี่ตามประสาคนหัวอกเดียวกัน ดึงตัวเถ้าแก่มาบอกให้ยกสุราฮวาเตียวเหลืองที่ดีที่สุดสองกากับหูหมูพะโล้ครึ่งชั่งมาให้ ก่อนจะนั่งลงพูดปลอบ

“ด้วยความสามารถของท่าน หากเข้าร่วมการสอบรับราชการฤดูใบไม้ผลิ จะสอบผ่านเป็นบัณฑิตจวี่เหรินหรือบัณฑิตเอกจิ้นซื่อก็ไม่เป็นปัญหา ไยต้องลำบากไปเป็นกุนซือเล็กๆ ด้วย มันออกจะกล้ำกลืนฝืนทนเกินไป”

หูชิงกล่าวเรียบๆ

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”

ซย่าอวี้จิ่นถาม

“ท่านรู้จักกับภรรยาข้าได้อย่างไร”

หูชิงนิ่งคิดแล้วเอ่ย

“ท่านพ่อข้าเป็นอาจารย์อยู่ในสกุลเยี่ย ข้ารู้จักกับนางตั้งแต่เยาว์วัย”

ซย่าอวี้จิ่นพูดยิ้มๆ

“ฮ่า นางบอกว่าตัวเองตอนเด็กๆ มิใช่ดุร้ายธรรมดา”

หูชิงพยักหน้า

“หาใช่แค่ดุร้าย แทบจะเป็นคนสารเลวคนหนึ่งเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กก็สวมใส่อาภรณ์บุรุษ วางอำนาจบาตรใหญ่ เกะกะระรานไปทั่ว เห็นคนไหนขัดหูขัดตาก็รังแกทุบตีตามอำเภอใจ เรื่องชั่วร้ายอะไรล้วนเข้าไปมีเอี่ยวด้วย ท่านแม่ทัพเยี่ยจงเกลียดชังพฤติกรรมของนางแทบตายที่ก่อเหตุทะเลาะต่อยตีแทบไม่เว้นแต่ละวัน ทุกครึ่งเดือนต้องมีเสียงตะโกนจะขับไล่นางออกจากตระกูลสักครั้ง”

ซย่าอวี้จิ่นถามอย่างสนใจใคร่รู้

“ชาวโม่เป่ยไม่รู้เลยหรือว่านางเป็นสตรี?”

หูชิงมองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่งอย่างเอือมระอา

“ท่านเห็นว่าการได้ชื่อว่ามีลูกชายเกกมะเหรกคนหนึ่งหรือมีลูกสาวเกกมะเหรกคนหนึ่งในตระกูล อย่างไหนดีกว่า”

ล้วนอับอายขายหน้าพอกัน ย่อมต้องเลือกที่ขายหน้าน้อยกว่าเป็นธรรมดา

สกุลเยี่ยทนความเหลือขอของเยี่ยเจาไม่ไหว แต่ก็ไม่อาจตากหน้ายอมรับว่านางเป็นบุตรสาว จำต้องออกคำสั่งปิดปากคนในบ้าน

เยี่ยเจามีเรือนร่างสูงโปร่ง วรยุทธ์สูงส่ง การพูดจาวางตัวดุดันห่ามห้าวยิ่งกว่าบุรุษ หากบอกว่านางเป็นสตรีก็ไม่ต่างจากการชี้ไปที่พยัคฆ์ตัวหนึ่งแล้วดันทุรังบอกว่าเป็นแพะ คงไม่มีใครเชื่อสักนิด นานวันเข้าชาวโม่เป่ยจึงนึกว่าสกุลเยี่ยมีบุตรชายสามคน

ซย่าอวี้จิ่นเข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้

“ในเมื่อท่านไม่ชอบขี้หน้านาง ไยต้องฝืนใจทำงานให้นางด้วย”

“ไม่ชอบขี้หน้า? บางทีกระมัง”

หูชิงดูเหม่อลอยอยู่บ้าง เขาหวนนึกถึงคืนนั้นเมื่อหกปีก่อนขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัวและจมอยู่ในภวังค์อดีตที่เป็นดั่งฝันร้ายที่ไม่อาจตื่นขึ้นได้ตลอดชีวิต

 

พระเพลิงโหมแรงรายล้อมรอบกาย กลิ่นเหม็นคาวลอยอวลติดปลายจมูก

เมืองยงกวนของโม่เป่ยแตกแล้ว สกุลเยี่ยตกเป็นเป้าหมายแรกในการตามล่าฆ่าล้างตระกูล ฮูหยิน พวกอนุภรรยา และบ่าวไพร่ไม่มีคนใดเคราะห์ดีหนีรอดไปได้

กลางคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟลุกโชนสู่ท้องฟ้า บิดาพาเขาไปซ่อนตัวอยู่ในตะกร้าใส่ของในห้องเก็บฟืนแล้วเอาเศษฟางคลุมทับด้านบนอีกชั้นพร้อมกำชับเขา

‘มีชีวิตรอดไปให้ได้’ เขาเห็นบิดายังไม่ทันวิ่งออกจากประตูหน้าก็ถูกทหารของหมานจินเงื้อดาบฟันศีรษะขาดในฉับเดียวต่อหน้าต่อตาอย่างสบายมือและถูกเอาไปเตะเล่นเป็นลูกหนัง พวกมันยังเอะอะโวยวายว่าลูกหนังของใครกลมกว่ากันหรือใครเตะได้ไกลกว่ากัน

โลหิตสีแดงฉานซึ่งไหลมาตามพื้นศิลาเขียวอย่างเชื่องช้าซึมผ่านตะกร้าหวาย ถูกชายเสื้อเขาจนเปียกแฉะ ยังหลงเหลือไออุ่นอยู่

ร่างของบิดาซึ่งหลังงองุ้มด้วยวัยชรานอนสงบนิ่งหลับใหลชั่วนิรันดร์

บิดาจะไม่ท่องตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า .  ด้วยเสียงระคายหูในยามดึกกล่อมเขาเข้านอนอีกต่อไปแล้ว

เสียงสรวลเสเฮฮาของเหล่าสัตว์เดรัจฉาน เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของสตรีที่ถูกขืนใจ และเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวของบุรุษดังกระทบโสตประสาท

เสียงด่าทอว่า ‘ไอ้ชาติชั่ว’ อย่างบ้าคลั่งนั่นเป็นเสียงของเสี่ยวหม่าที่แต่ไรมาเป็นคนขี้ขลาดตาขาวกระมัง

เสียงร้องไห้กระซิกอ้อนวอนนั่นเป็นของพี่หงซิ่วที่ใจดีเอายามาให้ในเวลาที่เขาได้รับบาดเจ็บกระมัง

เสี่ยวเหมา ลูกชายของป้าหลิวแม่ครัวลอยมากลางอากาศแล้วตกลงบนพื้นกลิ้งไปสองตลบ ร่างถูกดาบคมกริบแทงทะลุนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน เด็กน้อยไม่ต้องแอบมาหาเขาให้สอนอ่านหนังสือและฝันอยากเป็นซิ่วไฉอีกแล้วกระมัง

ยังมีผู้ใดอีก ยังมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้

เขาแตกตื่นลนลานจนขาดสติ

หลังจากตัวสั่นเทิ้มอย่างสะพรึงกลัวถึงขีดสุด รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด ครั้นล่วงเข้าสู่ราตรีกาล ทหารของหมานจินถือคบไฟค้นหาไปทั่ว บอกว่าจะตามหาเด็กชาติสุนัขของสกุลเยี่ย

การค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมส่งผลให้ไม่มีปลาตัวใดหลุดรอดจากแหไปได้

‘ตรงนี้ยังมีไอ้ลูกสุนัขอีกตัว! ซ่อนเก่งจริงๆ ทำเอาข้าหาแทบตาย’

ทหารของหมานจินที่จับเขาได้ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ดึงคอเสื้อเขาลากตัวออกมาจากตะกร้าหวายหิ้วไว้ในมือ จากนั้นมันมองเห็นตัวเองถูกฟันกลางลำตัวจนขาดเป็นสองท่อนอย่างงงงวย ก่อนจะล้มถลาลงกับพื้นพร้อมเขา

บนพื้นมีโลหิตไหลนองเต็มไปหมด หูชิงแหงนหน้าขึ้น

ท่ามกลางความงุนงง เขามองเห็นเทพนักรบผู้เหี้ยมหาญน่าเกรงขามยืนอยู่กลางประกายเพลิงเจิดจ้าบาดตาปานดอกบัวแดง

เรือนผมยาวรุ่ยร่ายปลิวสะบัดกลางสายลมหนาวเหน็บยามดึก ทั่วร่างถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต ดวงตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วแดงฉานจากการเข่นฆ่าศัตรู นางถือกระบี่ที่มีเลือดไหลหยดลงมาอยู่ในมือขวา ขณะที่ยื่นมือซ้ายมาหาเขา

เขานั่งอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายมิได้ชั่วขณะ

‘ไปกัน’ นางพูด ‘ไปกับข้า’

สุ้มเสียงเด็ดเดี่ยวปลุกขวัญนั้นทำให้เขาลุกขึ้นยืนได้และเดินตัวสั่นงันงกตามนางไป

ทั้งคู่มาถึงข้างกำแพงหลังห้องเก็บฟืน ตรงนั้นมีโพรงลับเล็กๆ ที่นางใช้แอบหนียามถูกกักตัว

หลังจากออกมาแล้วนางสังหารทหารของหมานจินตายไปสองคน อาศัยความชำนาญเส้นทางของเจ้าถิ่นเดินทะลุผ่านบ้านเรือนอีกสองหลัง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เล็ดลอดหูตาชาวหมานจินซึ่งวางกำลังปิดล้อมไว้ หลบหนีเข้าไปในป่าเขาวิหคนอกเมืองเป็นผลสำเร็จ

เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาทั้งคืน เหนื่อยหอบจนหายใจไม่ทัน สองเท้าคล้ายถูกถ่วงด้วยของหนักนับพันชั่ง ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป

‘พักสักครู่เถอะ’ นางหยุดฝีเท้าลงยืนอยู่ตรงไหล่เขา แลมองไปทางเชิงเขาพลางพูดเสียงเบา ‘ไฟไหม้ในเมืองยงกวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ’

พระพายคละเคล้าไอร้อนพัดโชยกิ่งไม้เสียดสีกันเป็นท่วงทำนองโหยไห้อาลัยชวนให้วังเวงใจ

เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ข้างหู

คนทั้งสองที่เคยจงเกลียดจงชังกันยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เฝ้ามองอย่างเงียบงัน ดูเปลวไฟโหมแรงสาดแสงสีแดงเจิดจรัสทาทาบเป็นวงใหญ่เหนือม่านรัตติกาลมืดมิด กลืนกินบ้านเกิดของตนอย่างเหี้ยมโหด

พวกพ้องในคฤหาสน์สกุลเยี่ย สหายร่วมเรียนในสำนักศึกษานิ่งคำนึง สุรารสเลิศของร้านสุราหอมหมื่นลี้ หญิงงามที่ถนนตะวันตก วัตถุโบราณของหอจันทร์เสี้ยว ดอกเหมยที่เรือนหมื่นกาล…มีเพียงยามสูญเสียไปแล้วจึงตระหนักถึงความงดงามของทุกสิ่งได้อย่างลึกซึ้ง

เขาฝันอยากสวมชุดขุนนางกลับสู่บ้านเกิด กตัญญูบิดา

ทว่าบ้านเกิดอยู่ที่ใด บิดาอยู่ที่ใด

เขากลับไปมิได้แล้ว กลับไปมิได้อีกต่อไปแล้ว

อากาศสดชื่นชำแรกเข้าสู่ปอดพาให้ความหวาดกลัวมลายหายไปและแทนที่ด้วยความปวดร้าวทรมานใจเจียนขาด สุดท้ายหยาดน้ำตาก็ไหลพรากลงมาหยดแล้วหยดเล่า หนุ่มแรกรุ่นวัยสิบหกกอดเข่าร่ำไห้สุดเสียง

เยี่ยเจานั่งอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ ตลอดราตรี นางไม่พูดจา ไม่หลั่งน้ำตา เพียงมองกระบี่ในมือ ครุ่นคิดอะไรอยู่ก็สุดรู้

บรรยากาศหม่นหมองด้วยความโศกเศร้าอาดูร ยามอรุณรุ่งเบิกฟ้า นางเอ่ยปากขึ้นในที่สุด

‘ตั้งแต่เด็กข้าก็หลงใหลในการฝึกยุทธ์ แต่ท่านพ่อบอกว่าข้าเป็นสตรี แม้จะแกร่งกล้าปานใด ภายภาคหน้าก็ต้องถูกขังอยู่ในเรือนล้อมรอบด้วยกำแพงสี่ด้านกับผืนฟ้าด้านบน แม้จะร่ำเรียนวิชายุทธ์ได้เก่งกาจปานใด นอกจากจะเป็นที่รังเกียจรังงอนของตระกูลสามีแล้วไร้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น’

หูชิงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างตะลึงลาน

สุ้มเสียงของเยี่ยเจาราบเรียบ ราวกับเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

‘ข้าทะนงตนว่ามีพรสวรรค์เหนือบุรุษ ทั้งยังเรียนรู้ได้ดีกว่าและมีความมานะบากบั่นมากกว่า หากต้องลงเอยเช่นนั้นจะให้ข้าทำใจยอมรับได้อย่างไร ข้าจึงโกรธแค้นท่านพ่อ ชิงชังโซ่ตรวนที่มาพร้อมความเป็นหญิง เกลียดทุกสิ่งของสกุลเยี่ยและโม่เป่ย ทุกวันพาสหายเกเรไปก่อเรื่องก่อราว ทะเลาะต่อยตี พอได้รับการยอมรับนับถือจากพวกนักเลงใหญ่ก็ใช้กำลังทำร้ายชาวบ้านตามแต่ความพอใจชั่วครู่ชั่วยาม ถึงขั้นขโมยตราแม่ทัพของท่านพ่อ ปลอมแปลงสารนำกำลังทหารไปสู้รบอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพราะอยากกวนโทสะเขา อยากพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกล้ากว่าบุรุษ…ข้านึกว่าทำเช่นนี้แล้วก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการและได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระสักที’

มีเพียงความเจ็บปวดแทบขาดใจเท่านั้นถึงจะทำให้เด็กที่อ่อนต่อโลกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน

เยี่ยเจาลูบตัวอักษรคำว่า ‘เจา’ ที่สลักอยู่บนกระบี่ พูดเสียงแผ่ว

‘ตอนที่ข้ารีบรุดกลับไปคฤหาสน์สกุลเยี่ย ท่านแม่ยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ท่านมอบกระบี่ที่ท่านพ่อหวงแหนที่สุดให้ข้า และบอกว่าข้าเป็นลูกสาวที่ท่านพ่อภาคภูมิใจและห่วงใยมากที่สุด คนสกุลเยี่ยจบชีวิตในสนามรบมากพอแล้ว ดังนั้นท่านพ่อไม่อยากให้ข้าเข้าสู่สนามรบโดยเอาชีวิตเข้าแลกอย่างพี่ชาย หากแต่ได้ออกเรือนมีความสุขที่เรียบง่ายเฉกเช่นสตรีทั่วไป’

ท่านแม่บอกว่าอย่าแก้แค้น ให้รีบหนีไปทางตะวันตก

ทิศตะวันตกของเมืองยงกวนคือหมู่บ้านเหมิงฉีซึ่งพวกหมานจินยังรุกรานไปไม่ถึง ฉวยโอกาสยามฟ้าสาง เป็นเวลาที่ผู้คนระมัดระวังตัวน้อยที่สุดรีบหนีโดยไว

เปลวเพลิงโหมแรงในเมืองยงกวนค่อยๆ ดับมอดลง

บ้านเกิดถูกเผาผลาญเกือบสิ้น มีคนรอดชีวิตไม่มาก หลงเหลือเพียงความเคียดแค้นชิงชัง

ท่านพ่อ ข้าขอโทษ

คำสั่งเสียของท่านข้าไม่อาจปฏิบัติตามได้ในตอนนี้

เยี่ยเจายืนเหยียดหลังตรง มองบ้านเกิดที่ถูกทำลายและเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่สุดจะเปรียบ

‘โม่เป่ยเป็นบ้านข้า ในตัวข้ามีเลือดสกุลเยี่ยไหลเวียนอยู่ ข้าเกะกะระรานอยู่ที่นี่หลายปี เคยทำความชั่วที่ไม่อาจอภัยให้ได้มากมาย บัดนี้โม่เป่ยประสบกับเภทภัยครั้งใหญ่หลวง ข้าจะทอดทิ้งชาวโม่เป่ยไว้แล้วจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร’

นางหยิบกระบี่ของบิดา ชูตราแม่ทัพขึ้น รวบรวมกำลังทหารที่เหลืออยู่เตรียมตะลุยเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง

นางตัดสินใจแล้วว่าจะไถ่บาปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ขอชดเชยความผิดที่เคยทำไว้ด้วยโลหิต

เยี่ยเจาเดินไปทางทิศบูรพา ดาวประกายพรึกส่องแสงระยิบระยับอยู่ที่ขอบฟ้า สวยงามกระจ่างตา

หูชิงเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วไล่กวดตามฝีเท้านาง ตะโกนถาม

‘นี่! เจ้าคนป่าเถื่อนเรียนหนังสือไม่ได้ความ เจ้าต้องการกุนซือหรือไม่!’

 

ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นฟังหูชิงเล่าเรื่องราวในอดีต เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าสีหน้าของอีกฝ่ายแปลกๆ ดูคล้ายเปี่ยมไปด้วยความรักและความศรัทธาต่อภรรยาตน

“นี่…ท่านกับแม่เสือนั่นคงมิได้…”

หูชิงส่ายศีรษะ สีหน้าหม่นหมอง

“นางมีศักดิ์ฐานะใด ข้ามีศักดิ์ฐานะใด ร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปีอย่างนั้น ตอนนี้นางอยู่ดีมีสุข ข้าก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว ท่านอย่าได้เข้าใจผิดเด็ดขาด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างข้ากับนางทั้งสิ้น เรื่องในวันนี้ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูด แค่พลั้งวาจาไปเพราะความเมาเถอะ”

บอกออกมาเป็นนัยแล้วชัดๆ

ซย่าอวี้จิ่นตะโกนก้องอยู่ในใจ นึกถึงตอนที่พบหูชิงขึ้นมาได้ เวลานั้นอีกฝ่ายมีสีหน้าท้อแท้ ก้มหน้าก้มตาดื่มสุราเงียบๆ จากนั้นพูดว่าสตรีที่ตัวเองหลงรักออกเรือนไปกับไอ้หนุ่มสารเลวคนหนึ่งซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะหมายถึงเขา

น่าสรรเสริญที่หูชิงยังนับพี่นับน้อง ร่วมวงสุราพูดคุยกับเขาได้ คงเพราะอยากรู้ว่าหญิงในดวงใจอยู่ดีมีสุขหรือไม่กระมัง

ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน อยู่ใกล้ชิดกันทั้งเช้าทั้งเย็นในสนามรบ จะก่อเกิดความรักขึ้นในใจก็สมควรอยู่

แม่ทัพคู่กุนซือหรือแม่ทัพคู่คุณชายเสเพล ขอแค่เป็นคนที่ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้างล้วนรู้ว่าคู่ไหนสมกันมากกว่า

ให้ตายสิ! เสด็จลุงของเขาเป็นหัวโจกอันธพาลที่ไร้ความเป็นคนจริงๆ

เพื่อแย่งสินเดิมเจ้าสาวของแม่ทัพใหญ่ ถึงกับเจตนาพรากคู่นกเป็ดน้ำ จับคู่รักหนุ่มสาวที่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกแยกออกจากกัน บังคับให้นางแต่งงานกับลูกหลานเสเพลในตระกูลตนจนกุนซือได้แต่แอบเจ็บช้ำน้ำใจ อาศัยสุราดับทุกข์เลียบาดแผลทุกเมื่อเชื่อวัน อีกทั้งเป็นตัวการทำให้ลูกหลานตัวเองต้องอยู่อย่างว้าวุ่นเป็นทุกข์ สับสนหลงทางภายใต้อุ้งมือของแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งกร้าว

ซย่าอวี้จิ่นตบไหล่หูชิงเบาๆ อย่างสะทกสะท้อนใจ ไม่รู้ว่าสมควรปลอบใจอย่างไรดี

แม้จะกระทำเรื่องไม่ดีมามาก ทว่าเขาถือตัวเกินกว่าจะไปแย่งชิงของรักของผู้อื่นพรรค์นี้ จนปัญญาที่หูชิงมิได้แซ่ซย่า ทั้งยังฉลาดเกินไป รักดีเกินไป ถึงได้ไม่อยู่ในสายตาของหัวโจกอันธพาล เหนืออื่นใด เขาปกป้องเยี่ยเจาจากอันตรายมิได้ ส่งผลให้คนรักกันไม่อาจลงเอยด้วยความสุขสมหวัง ส่วนเขาเป็นคนเลวที่แทรกอยู่ตรงกลางอย่างทรมานใจ

หูชิงเห็นท่าทางของซย่าอวี้จิ่นก็กล่าวทอดถอนใจ

“ชีวิตดุจละคร แต่ละคนไม่อาจแสดงบทบาทที่ตัวเองต้องการได้เสมอไป”

ซย่าอวี้จิ่นรีบให้กำลังใจ

“อย่างน้อยก็ต้องดิ้นรนต่อสู้”

“การแข่งขันยังไม่เริ่มต้นก็จบสิ้นแล้ว”

“จะล้มเลิกความตั้งใจโดยง่ายมิได้!”

หูชิงมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาแปลกๆ

“ท่านไม่อยากให้ข้าล้มเลิกความตั้งใจเรื่องใดกัน”

ซย่าอวี้จิ่นตระหนักได้ในที่สุดว่าตัวเองกำลังดิ้นรนอยากถูกสวมเขา ให้กำลังใจคนอื่นแย่งภรรยาตัวเอง เขาจะกระทำเกินไปสักหน่อยหรือไม่

หูชิงเห็นสีหน้าเขาประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด ดูไปแล้วคล้ายกับกระต่ายที่กระเสือกกระสนลนลานก็จวนเจียนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ กระนั้นด้วยอุปนิสัยของคนเช่นเขา เมื่อมีโอกาสสร้างความปั่นป่วนให้อีกฝ่ายก็จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด

กุนซือหนุ่มเบือนหน้าถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งได้อย่างแนบเนียนไปกับสถานการณ์ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วให้ผู้ดูแลร้านเทสุราใส่ในขวดน้ำเต้า เดินตุปัดตุเป๋ออกทางประตูหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังที่จากไปอย่างหงอยเหงา

ซย่าอวี้จิ่นนั่งเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ทางหนึ่งรู้สึกว่าการพรากคู่นกเป็ดน้ำเป็นเรื่องไม่สมควรยิ่งนัก ทางหนึ่งรู้สึกว่าภรรยาตนชอบพอกับคนอื่นทำให้เสียหน้ามากเช่นกัน ทางหนึ่งรู้สึกว่าเพื่อหูชิงแล้วสมควรทำดีต่อเยี่ยเจาบ้าง ทางหนึ่งรู้สึกว่าเพื่อหูชิงแล้วตนไม่สมควรดีต่อเยี่ยเจาเกินไป จะได้ไม่เป็นการทำลายความรักระหว่างทั้งคู่

เขาคิดไปคิดมา สุดท้ายรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่จะพูดระบายออกมาก็ไม่สะดวกใจ เขาจึงดื่มสุราเพิ่มอีกสองจอกโดยไม่รู้ตัว

สุราฮวาเตียวเหลืองจะเมาช้าแต่ออกฤทธิ์หนักหน่วง เมื่อเริ่มเวียนศีรษะเล็กน้อย ซย่าอวี้จิ่นก็เรียกผู้ติดตามมาสั่งกำชับเสียงอ้อแอ้

“กลับ! เตรียมเกี้ยวกลับวัง!”

เจ้าหน้าที่กับข้าราชการชั้นผู้น้อยหน้าเสีย พากันส่งเสียงเรียก

“จวิ้นอ๋อง อีกประเดี๋ยวต้องไปตรอกหกประสาน…”

ซย่าอวี้จิ่นสะบัดมือพลางพูดอย่างใจกว้าง

“ตรอกหกประสาน? ฮะ เจ้าพวกมากตัณหา คิดถึงแม่นางแห่งหอบุปผาเมามายอีกแล้วล่ะสิ”

เหล่าผู้ติดตามใกล้จะร่ำไห้อยู่รอมร่อ

“จวิ้นอ๋อง ไปออกตรวจตราต่างหาก…”

ซย่าอวี้จิ่นโบกไม้โบกมือตัดบท

“วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้าเคล้านารี วันหลังค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”

เขาสาวเท้าเดินโซเซไปทางวังอันอ๋อง

เหล่าผู้ติดตามไล่ตามหลังมาพลางร่ำไห้ออกมาจริงๆ

“จวิ้นอ๋อง ผิดทาง…”

ซย่าอวี้จิ่นนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแยกเรือนแล้วก็เปลี่ยนทางเดินไปยังวังหนานผิงจวิ้นอ๋อง

เหล่าผู้ติดตามมองตาค้างอ้าปากหวอ เห็นเขากำลังจะเดินห่างไปไกลแล้วก็แทบจะกระโจนเข้าไปดึงขาเขาไว้ประหนึ่งเสือหิวขย้ำเหยื่อ ร้องโอดครวญเป็นเสียงเดียวกัน

“จวิ้นอ๋อง ท่านยังต้องออกตรวจตราต่อนะขอรับ! จะละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่มิได้ เป็นความผิดร้ายแรง!” ผู้ติดตามทั้งหลายรู้ซึ้งถึงนิสัยของผู้เป็นนายดี หวั่นใจแต่เพียงว่าตนจะพลอยเดือดร้อนถูกลงโทษไปด้วยจึงรีบพูดเสริมทันที “ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่จะถูกโบยหรือตัดหัว! ท่านก็เห็นแล้วว่าพักก่อนท่านแม่ทัพน่ากลัวขนาดไหนขอรับ!”

ซย่าอวิ้จิ่นสองจิตสองใจครู่หนึ่ง

“อย่ากล่าวเหลวไหล” เหล่าหยางโถวเป็นคนซื่อสัตย์ เห็นทุกคนพูดจาเลยเถิดก็รีบตัดบท บอกกฎระเบียบของกองตระเวนตรวจให้ทราบโดยไม่แยแสสายตาของพวกผู้ติดตามที่ส่งมาให้ พูดประจบประแจงอย่างพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ “เมาสุราในเวลาเข้าเวร แม้ไม่ต้องถูกโบยหรือตัดหัวก็ต้องถูกขุนนางฝ่ายฎีกาฟ้องร้อง ลดตำแหน่งตัดเบี้ยหวัดขอรับ”

“ดีเลย! วิเศษมาก!” ซย่าอวี้จิ่นได้ฟังแล้วยินดียกใหญ่ ป่าวประกาศอย่างใจกล้าด้วยความเมา “ผู้ใดมีหนทางกราบทูลจักรพรรดิให้ปลดข้าออกจากตำแหน่ง ข้าจะให้เงินคนผู้นั้นหนึ่งร้อยตำลึงไปซื้อสุราดื่ม”

มีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้คนหนึ่งชวนให้กระอักโลหิต ทว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้กลุ่มหนึ่งก็ชวนให้ปลื้มใจ

ทุกคนตัดสินใจเลิกพูดกับเขาด้วยเหตุผล บ้างพยุง บ้างประคอง ช่วยกันคนละไม้คนละมือเอาตัวจวิ้นอ๋องขึ้นไปนั่งตัวตรงบนหลังม้าให้ได้และออกตรวจตราต่อให้เสร็จ ภาวนาว่าถนนสายที่เหลืออยู่จะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จวิ้นอ๋องจะได้ไม่กล่าววาจาน่าตกใจใดๆ อีก

จนปัญญาที่ฟ้าไม่เป็นใจ ขณะเดินไปถึงถนนตะวันออกมีเสียงร้องไห้ดังแว่วมาระลอกหนึ่ง

บุรุษวัยกลางคนสามสี่คนกับหญิงผู้หนึ่งพาเด็กชายหน้าตาซูบซีดมาเอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูเรือนยาคุ้มสงบ เงื้อง่าไม้คานตั้งท่าจะสู้กับลูกจ้างของร้านอยู่รอมร่อ

พลตรวจตราทั้งหลายเห็นสถานการณ์ไม่เข้าที คิดจะพาจวิ้นอ๋องอ้อมไปอีกทาง

“เกิดเรื่องใดขึ้น”

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินเสียงร้องไห้ก็คึกคักขึ้นมาในบัดดล กระโดดลงจากหลังม้าอย่างร่าเริงจนแทบจะหัวปักพื้น วิ่งซวนเซเข้าไปโดยมีกลิ่นสุราคลุ้งทั่วกาย เขาถกแขนเสื้อขึ้น เอามือปัดชุดขุนนางที่เปื้อนคราบน้ำมันสองดวง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประหนึ่งกำลังร้องละคร

“จงเล่าความมาให้หมด เทพแห่งความยุติธรรมจะตัดสินให้พวกเจ้าเอง”

รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนตาค้างไปตามๆ กัน

ซย่าอวี้จิ่นเดินเข้าไปด้านใน คว้าไม้เคาะในร้านขึ้นมาใช้เป็นค้อนทุบลงบนโต๊ะอย่างแรงเสมือนอยู่ในที่ว่าการศาล แล้วนั่งยกขาไขว่ห้างตะคอกขึ้น

“รีบพูดมา!”

สตรีผู้นั้นปัญญาไว เห็นว่าแม้ชุดขุนนางบนตัวเขาจะมีลักษณะแปลกตา ทว่าแพรพรรณที่ใช้กลับไม่คล้ายเป็นของปลอม ใบหน้าที่งามดั่งบุปผาเนียนดุจเนื้อหยก ดูแล้วมีสง่าราศียิ่ง คาดเดาได้ว่าเขาคงมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ นางจึงตัดสินใจถลาเข้าไปคุกเข่า เอ่ยขึ้นทันใด

“ข้ามีนามว่าจางหวงซื่อ ขอคารวะท่านเทพแห่งความยุติธรรม โปรดตัดสินความให้ด้วยเจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นฟังแล้วยินดียกใหญ่

“ฟังเจ้าพูดก็รู้ว่าเป็นคนดี”

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบจำหน้าซย่าอวี้จิ่นได้ ทว่าไม่เคยเห็นชุดขุนนางแปลกประหลาดอย่างนั้น พอได้ยินเขาพูดจาเลอะเทอะก็ร้อนใจเป็นการใหญ่ รีบเข้ามาพูด

“จวิ้นอ๋อง ท่านเมาแล้ว เรื่องนี้มอบหมายให้กองตระเวนตรวจจัดการจะดีกว่ากระมัง อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเลี้ยงสุราท่านสักจอก แล้วให้หญิงคณิกาที่งามที่สุดมาดื่มเป็นเพื่อนนะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นฟังแล้วเดือดดาลหนัก

“ฟังเจ้าพูดก็รู้ว่าเป็นคนถ่อย!”

เหล่าหยางโถวเห็นว่าเรื่องชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่ก็กระแอมไอดังๆ สองเสียงอยู่ด้านหลัง ประกาศขึ้นเหมือนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์

“ท่านผู้นี้คือผู้ตรวจการนครหลวงคนใหม่”

ทุกคนส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ นอกจากจางหวงซื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว คนอื่นพากันแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรู้สึกว่ามันมืดมนลงหลายส่วน

 

เรื่องราวง่ายดายมาก เจ้าทุกข์ที่สร้างความวุ่นวายขึ้นแซ่จาง มีนามว่าจางต้าเป่า อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลจางใกล้กับเมืองหลวง เมื่อเดือนก่อนบุตรชายเขาจางซานหลางล้มป่วย เขาจึงพามาให้หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบดูอาการ ซื้อยาไปสิบกว่าเทียบ ทว่าหลังจากเอากลับไปกินแล้วอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เมื่อวานกลางดึกทั้งสำรอกทั้งอาเจียน จะหมดลมอยู่รอมร่อ

จางต้าเป่าปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะหมอประจำเรือนยาคุ้มสงบไร้ฝีมือรักษาโรคผิด เขาจึงพาบุตรชาย ภรรยา และพี่น้องสามสี่คนมาดักรอหน้าประตูเพื่อขอคำอธิบาย ทว่าหมอประจำเรือนยาคุ้มสงบกล่าวอ้างว่าใบสั่งยากับสมุนไพรของตนไม่มีปัญหา เป็นจางซานหลางเองที่ป่วยหนักจนหมดทางเยียวยา อีกทั้งสกุลจางดูแลไม่ดี เป็นเหตุให้อาการทรุดลง ขณะที่เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบคิดว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง พาบุตรชายที่ใกล้จะหมดลมแล้วคนหนึ่งมาขู่กรรโชกเงินทองถึงหน้าประตู

จางหวงซื่อปาดน้ำตาออก กล่าวสะอึกสะอื้น

“แม้ข้าจะโฉดเขลาก็รู้ว่าเสือร้ายไม่กินลูกตัวเอง ในระยะสิบลี้รอบหมู่บ้านสกุลจางล้วนรู้ว่าซานหลางเป็นลูกที่ข้ารักมากที่สุด ไฉนจะใช้เขาขู่กรรโชกเงิน ข้าเพียงหวังว่าลูกชายจะสามารถหายดีได้ หากไม่หายข้าก็จะให้หมอไร้ฝีมือคนนี้ชดใช้ด้วยชีวิต”

“เหลวไหล!” เหล่าหยางโถวตะคอก “ต่อให้หมอไร้ฝีมือรักษาคนตายก็เพียงรับโทษตามกฎหมายด้วยการจ่ายเงินให้อีกฝ่ายเท่านั้น มีเหตุผลถึงขั้นชดใช้ด้วยชีวิตที่ไหนกัน”

จางต้าเป่าถามเสียงอ่อย

“จะชดใช้เท่าไรขอรับ”

จางหวงซื่อตบหน้าเขาอย่างแรงฉาดหนึ่งแล้วก่นด่า

“ภูตผีตนใดสิงใจเจ้ารึ! ลูกข้ายังไม่ตายนะ!”

จางต้าเป่าขอบตาแดงเรื่อ เอ่ยอย่างร้อนรน

“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลย! บ้านเรามีสภาพอย่างไรก็มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้! หลายปีมานี้แห้งแล้ง เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อย ต้องอดมื้อกินมื้อ แล้วสองเดือนที่ผ่านมานี้ยังต้องพาซานหลางไปหาหมอจนในเรือนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ตอนนี้ท่านหมอก็พูดว่าเขาไม่รอดแล้ว เจ้าข้าหิวตายก็ช่างเถอะ จะอย่างไรก็ต้องคิดถึงต้าหลาง เอ้อร์หลาง และนิวนิวบ้าง!”

คนอื่นยังไม่ทันเปิดปากพูดอะไร สองสามีภรรยาก็มีปากมีเสียงกันแล้ว ทำให้พี่น้องหลายคนที่อยู่รอบๆ เข้าไปห้ามทัพเป็นพัลวัน

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบเดินไปที่ข้างกายซย่าอวี้จิ่น โคลงศีรษะพลางเอ่ย

“ท่านดูสิ ข้าก็บอกแล้วว่าผียาจกสองคนนี้อยากกรรโชกเงิน”

หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบยังพูดอ้าง

“เรื่องการรักษาโรคไหนเลยจะมั่นใจได้ว่าต้องหายดีแน่นอน ลูกชายเขาป่วยหนักอยู่แต่แรก กินยาแล้วไม่หายก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต”

เดิมทีซย่าอวี้จิ่นรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง ครั้นเจอพวกเขาโต้เถียงกันไปมาก็ยิ่งวิงเวียนมากขึ้น เขาเดินออกนอกประตูแล้วเข้าไปใกล้เด็กน้อย ประคองใบหน้าเล็กที่ซูบซีดด้วยอาการป่วยพลิกดูซ้ายทีขวาที ซ้ำยังจับชีพจรด้วย

เหล่าหยางโถวตามออกมา ถามอย่างประจบประแจง

“จวิ้นอ๋องรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง กล่าวเสียงขุ่น

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

ไม่รู้ยังจะแสร้งวางท่า?

เหล่าหยางโถวพูดเยาะในใจแล้วเอ่ยถึงธรรมเนียมเดิมที่ใช้คลี่คลายเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเป็นการชี้แนะเขา

“แต่ก่อนหากมีเรื่องเช่นนี้ล้วนให้หมอจากร้านอื่นมาดูใบสั่งยา เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าคนป่วยจนรักษาไม่ได้แล้วจริงหรือไม่ หากเป็นความเข้าใจผิดก็เกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมกัน หากเป็นคนป่วยที่มีเจตนาใส่ร้ายก็ลงโทษด้วยการโบย แต่ถ้าเป็นความผิดของผู้รักษาก็ชดใช้เงินขอรับ”

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบถือเงินตำลึงเล็กๆ หลายก้อนอยู่ในมือ หมายจะพึ่งพาเส้นสายตามธรรมเนียมเดิมเช่นกัน ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นน้องชายของอันอ๋องซึ่งดูแลพ่อค้าราชสำนักและเป็นสามีของผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะขาดคุณธรรมหรือขาดความยั้งคิด สิ่งที่ไม่ขาดก็คือเงินทอง หากคิดจะใช้เงินซื้อตัวเขาหรือลูกน้องที่เขาจับจ้องอยู่ต่อหน้าธารกำนัล แทบจะรนหาที่ให้ตัวเองขายหน้าเลยทีเดียว

เมื่อไม่อาจติดสินบน เรื่องนี้คงได้แต่สะสางกันไปอย่างยุติธรรม

“ไปเรียกหมอร้านอื่นมาสิ” ซย่าอวี้จิ่นตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีก “เอามาหลายๆ คนเลย เรือนยาคุ้มสงบเป็นร้านยาใหญ่ของเมืองหลวง ผู้ใดจะรู้ว่าจะลำเอียงเข้าข้างช่วยกันปกปิดความผิดหรือไม่”

กองตระเวนตรวจได้รับคำสั่งก็ไปพาหมอมาสี่ห้าคน เมื่อดูใบสั่งยาของเด็กน้อยแล้ว แต่ละคนล้วนพยักหน้าบอกว่าไม่ผิด เป็นใบสั่งยาที่ดี

หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบฟังแล้วลำพองใจอย่างมาก วางท่าสะบัดแขนเสื้อ

“ข้าเป็นหมอมาสามสิบปี จะตรวจอาการผิดได้อย่างไร”

จางต้าเป่าฟังแล้วแสนจะผิดหวัง ส่วนจางหวงซื่อร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง

หมอที่มีอายุน้อยกว่าใครในกลุ่มเห็นแล้วอดรนทนไม่ไหว ร้องท้วงขึ้น

“ในเมื่อใบสั่งยาไม่มีปัญหา จะเป็นที่สมุนไพรหรือไม่”

จางหวงซื่อได้ยินก็ลุกลน หยิบห่อผ้าเล็กๆ ที่มีบางอย่างเป็นก้อนสีดำออกมาแล้วพูดเสียงดัง

“ข้าเอากากยาที่เหลืออยู่ติดตัวมาด้วย ท่านโปรดดูผ่านตา”

ซย่าอวี้จิ่นรีบกระถดตัวถอยหลัง

“ข้าไม่รู้วิชาแพทย์สักหน่อย จะให้ดูผ่านตาอะไร นี่! พวกเจ้าอย่ามัวแต่ดูยา ไปดูเด็กก่อนสิว่ายังรักษาได้หรือไม่”

พวกหมอดูกากยาเสร็จก็ถกเถียงกันอื้ออึง บ้างพูดว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม บ้างพูดว่าแปลกประหลาดเล็กน้อย มีบางคนพูดว่าเด็กยังรักษาได้ มีบางคนพูดว่ารักษาไม่ได้ สุดท้ายก็พาดพิงไปถึงฝีมือการรักษา ทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอย่างไม่มีใครยอมใคร

หมอประจำเรือนยาคุ้มสงบแผดเสียงขึ้น

“โวยวายอะไรกันนักหนา กากยานี่จะมีปัญหาใดได้ ต่อให้เมิ่งซิ่งเต๋อมาเองก็กล่าววาจามิได้แม้แต่ครึ่งคำ!”

“เมิ่งซิ่งเต๋อ? เป็นความคิดที่ดี” สติของซย่าอวี้จิ่นแจ่มใสขึ้นบ้างในที่สุด เขาตบไหล่เหล่าหยางโถวเบาๆ “ไปสำนักแพทย์หลวง เอาตัวตาเฒ่าเมิ่งมาที่นี่!”

เหล่าหยางโถวหน้าซีดเผือด ละล้าละลังไม่ก้าวขาสักที

เมิ่งซิ่งเต๋อเป็นหมออันดับหนึ่งของแคว้นต้าฉินซึ่งทำงานรับใช้อยู่ในวังหลวง เขาเป็นคนหยิ่งทะนง ถือเนื้อถือตัวอย่างที่สุด นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้วไม่แยแสผู้ใดทั้งสิ้น ชาวบ้านทั่วไปอยากพบก็ไม่แน่ว่าจะได้พบ นับประสาอะไรกับการให้เขารักษาอาการป่วยของเด็กยากจนคนหนึ่งที่นี่เพื่อไต่สวนคดี

ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างฉุนเฉียว

“ข้าเรียกให้เจ้าไปก็ไปสิ!”

“แต่…แพทย์หลวง…”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างปรามาส

“ก็แค่แพทย์หลวงคนหนึ่ง มิได้นับว่าเป็นคนใหญ่คนโตอะไร ข้าเรียกเขามา เขาก็ต้องมา!”

ถึงแพทย์หลวงในสายตาคนอื่นจะสูงส่งปานใดก็เป็นเพียงข้ารับใช้ที่รักษาอาการป่วยไข้ให้ราชสกุลซย่าโดยเฉพาะเท่านั้น หลานแท้ๆ ที่พระพันปีรักเอ็นดูที่สุดจะเรียกใช้มีอะไรต้องพะวักพะวนด้วย

เหล่าหยางโถวตระหนักขึ้นมาได้กะทันหันว่าเมื่อซย่าอวี้จิ่นมารับตำแหน่งนี้ ฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋นของตนก็ขยับเลื่อนขึ้นเสมือนน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงตาม กลายเป็นตำแหน่งที่จะใช้ขั้นขุนนางเป็นมาตรวัดมิได้แล้ว เขาก็อดลิงโลดใจมิได้

“จวิ้นอ๋องบอกว่าเป็นแค่แพทย์หลวงคนหนึ่งก็เป็นแค่แพทย์หลวงคนหนึ่ง รีบไปเชิญมาเร็วเข้า!”

ไม่ถึงชั่วครู่ใหญ่เมิ่งซิ่งเต๋อก็สะพายหีบยาพร้อมพาแพทย์หลวงติดตามมาด้วยสามสี่คน สั่งคนหามเกี้ยวให้เร่งฝีเท้าพุ่งทะยานมาถึงอย่างรวดเร็วราวกับเหาะได้ เขาไม่แยแสคำพูดประจบประแจงของหมอคนอื่น ผลักทุกคนออกแล้วเข้าไปพูดกับซย่าอวี้จิ่นอย่างพินอบพิเทา

“ร่างกายของท่านไม่ดี ต้องดื่มสุราให้น้อยลงนะขอรับ”

จางหวงซื่อถึงกับตาค้างเมื่อเห็นหมอผู้เลื่องชื่อลือนามไปทั้งแคว้นต้าฉินมาดูอาการให้บุตรชายตน ส่วนจางต้าเป่าคลำๆ ที่ถุงใส่เงินโดยไม่รู้ตัว ในนั้นดูคล้ายยังมีเงินอยู่อีกสามสี่อีแปะ

ซย่าอวี้จิ่นสั่งงานเมิ่งซิ่งเต๋อเรียบร้อยแล้วก็กำชับกับเหล่าหยางโถวสองสามคำ

“ใบสั่งยาบกพร่องเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วยังตรงกับอาการ” เมิ่งซิ่งเต๋อดูไปพลางส่ายหน้าถอนหายใจไปพลาง “เด็กร่างกายอ่อนแอ หมาหวง* ในใบสั่งยามากไปสองส่วน ผลการรักษาอาจด้อยไปบ้าง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นทนรับไม่ไหว เป็นไปได้ว่าเด็กจะตากลมในระหว่างที่รักษาตัวจนถูกความเย็น ส่งผลให้อาการทรุดหนักลง”

จางหวงซื่อสบถสาบาน

“หากข้าปล่อยให้ลูกชายถูกความเย็นก็ขอให้โดนฟ้าผ่ามิได้ตายดี!”

ซย่าอวี้จิ่นขยับเข้าไปเอ่ยถาม

“ยังรักษาได้หรือไม่”

เมิ่งซิ่งเต๋อฝังเข็มให้เด็กหลายเข็ม

“ใช้โสมประคองลมหายใจไว้ก่อน ข้าจะสั่งยาให้แล้วพักฟื้นให้ดี น่าจะยังช่วยได้ขอรับ”

ข้อเสียประการใหญ่ที่สุดของแพทย์หลวงคือสนใจแต่การรักษา ไม่สนใจว่าต้องเสียเงินเท่าไร สมุนไพรในใบสั่งยาที่กินแล้วกระฉับกระเฉงมีพลังปานหงส์ร่อนมังกรรำจึงมีราคาที่ทำให้คนที่ยังมิได้เจ็บป่วยตกใจจนล้มป่วยได้ทันตา

จางต้าเป่าทรุดลงนั่งแปะกับพื้น หอบหายใจหนักหน่วง ส่วนจางหวงซื่อยังฟังไม่เข้าใจก็คาดคั้นสามี โวยวายสะอึกสะอื้นจะช่วยเหลือบุตรชายให้ได้ จางต้าเป่าจึงบันดาลโทสะ ตบหน้านางฉาดหนึ่ง

“จับเจ้ากับลูกสาวมัดแล้วเอาไปขายในซ่องนางโลมพร้อมกันยังซื้อยาสักเทียบไม่ได้เลย!” เขาอ้อนวอนเมิ่งซิ่งเต๋อ “ท่านหมอเทวดา เปลี่ยนเป็นยาที่ราคาถูกสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”

เมิ่งซิ่งเต๋อเป็นผู้ฝักใฝ่ในศาสตร์การแพทย์ที่สมบูรณ์ไร้ข้อติติง ด้วยเหตุนี้จึงเผยสีหน้าดูแคลนพวกผียาจก ยืนกรานไม่เปลี่ยนใบสั่งยาให้

ซย่าอวี้จิ่นแคะเล็บเล่นอย่างเบื่อหน่ายพลางสั่งการ

“ในเมื่อเรือนยาคุ้มสงบมีฝีมือไม่ดีพอ รักษาไม่หายก็ต้องรับผิดชอบ แพทย์หลวงเมิ่งให้เกียรติมาเยือนและสอนให้พวกเขาได้รู้จักตำรับยาดีๆ ฉะนั้นสมุนไพรในตำรับนี้ถือเสียว่าเป็นค่าเล่าเรียน ย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นข้าจะตรวจค้นที่นี่ตั้งแต่หน้าร้านจรดท้ายร้านสักรอบ ดูว่ามีที่ใดบ้างที่ไม่สุจริต จะได้หาลำไพ่พิเศษให้ทุกคนดื่มชากัน”

พลตรวจตราล้วนเป็นพวกมือหนัก ให้พวกเขารื้อค้นในร้านคงทำกันจนเละเทะกระจัดกระจายไปหมด นับว่าสร้างความปั่นป่วนให้ผู้ดูแลร้านได้

เดิมทีไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหลังจากเมิ่งซิ่งเต๋อมา เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบซึ่งมีสีหน้าบูดบึ้งน้อยๆ มาโดยตลอดได้ยินผู้ตรวจการนครหลวงเอ่ยปากขึ้นในเวลานี้ก็ลังเลครู่หนึ่ง แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างพินอบพิเทาเกินกว่าเหตุ

“ถูกต้องขอรับ การช่วยชีวิตคนป่วยและคนใกล้ตายเป็นหน้าที่ที่ผู้เป็นหมอพึงกระทำ เรื่องนี้ก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้ พวกเราจะออกเงินให้เองขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นได้ยินอีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายก็ฉีกยิ้มกว้าง ขยับเข้าไปใกล้พินิจดูใบหน้าอวบอ้วนซ้ายทีขวาทีพักใหญ่ ก่อนจะแสร้งถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ใครๆ ล้วนพูดว่าเจ้าเป็นคนขี้งกที่ไม่ยอมควักเงินสักอีแปะเดียวและใจไม้ไส้ระกำที่สุด คนจนมาหาหมอถึงหน้าประตูล้วนถูกไล่ตีออกไป ไฉนวันนี้ถึงใจกว้างเช่นนี้ เจ้าร้อนตัวอะไรอยู่ใช่หรือไม่”

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบคั่งแค้นจนอยากกัดเขาสักคำ กระนั้นยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“นี่มิใช่เป็นการให้เกียรติท่านหรอกหรือขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ” ซย่าอวี้จิ่นพลันแสยะยิ้มออกมา “เจ้าให้เกียรติข้าหรือยาปลอมที่เจ้าขายกัน นับแต่บิดาเจ้าจากไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีกลาย เจ้าก็สืบทอดกิจการเรือนยาคุ้มสงบต่อ แต่ไม่ว่าดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา หรือเล่นพนันล้วนไม่มีเรื่องใดที่ไม่กระทำ ทุกครั้งที่ข้าไปดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นต้องพบเห็นเจ้าเสมอ ได้ยินว่าเจ้ายังติดเงินลูกพี่ใหญ่ก้อนหนึ่ง เลยคิดอุบายสกปรกทำยาปลอมขึ้นมาโดยเฉพาะแล้วผสมอยู่ในยาจริงที่มีราคาแพงเพื่อใช้หลอกเอาเงินคน แม้จะทำให้คนตายไปหลายคนแต่ก็ได้พี่สาวเจ้าที่เป็นอนุภรรยาของเจ้าเมืองนครหลวงช่วยทำให้เรื่องเงียบหายไปกระมัง”

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบพร่ำร้องว่าตนถูกใส่ความ

ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ ดีดนิ้วส่งสัญญาณเข้าไปในร้าน

เมื่อครู่เมิ่งซิ่งเต๋อตรวจอาการคนป่วยอยู่ด้านนอก ดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมดเอาไว้ ส่วนพลตรวจตราสองสามคนกับแพทย์หลวงที่เขาพามาได้รับคำสั่งแต่แรกให้ลอบเข้าไปด้านในเงียบๆ และควบคุมตัวผู้รับใช้ในร้าน

พวกเขารื้อค้นตู้ยาจนทั่ว จากนั้นก็หอบสมุนไพรออกมากองใหญ่แล้วเทลงบนพื้นอย่างแรง ในนั้นมีทั้งโสม เห็ดหลินจือ นอแรดหั่นเป็นแผ่น ดูแล้วไม่ต่างจากยาทั่วไป หากแต่เมื่อหยิบขึ้นมาพินิจให้ละเอียดกลับมีของปลอมที่คนทั่วไปดูไม่ออกผสมปนเปอยู่ด้วย ทุกคนส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ขึ้นอีกคำรบหนึ่ง

เถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบหน้าถอดสีไปถนัดตา สายตาที่มองซย่าอวี้จิ่นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ซย่าอวี้จิ่นทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ถีบยอดอกอีกฝ่ายทีหนึ่งอย่างแรงด้วยท่าทางองอาจตามอย่างภรรยาตนทันที เขาเซถอยหลังสองก้าวจนยืนทรงตัวได้แล้วก็พูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว

“ข้าบอกแล้วว่าเขามิใช่พวกคนดีมีสำนึก ยังไม่รีบจับกุมตัวโจรสุนัขชั่วช้าสามานย์ผู้นี้อีกรึ”

เหล่าพลตรวจตราเร่งรีบเข้าไปจับเถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบที่เข่าอ่อนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึมน่ายำเกรง

“โบยหนึ่งร้อยไม้ก่อนแล้วกุมตัวไปขังในคุกใหญ่ รอประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี เหล่าหยางโถวเข้าไปห้ามจวิ้นอ๋องที่กำลังให้คนหาของมาลงโทษโบยด้วยเสียงสั่นเครือ

“หยุดก่อนเถอะขอรับ ผู้ตรวจการนครหลวงไม่มีสิทธิ์ลงโทษ ต้องมอบให้ท่านเจ้าเมืองนครหลวงเป็นผู้จัดการ ท่านโบยเขามิได้…”

ซย่าอวี้จิ่นตวาด

“อาศัยอะไร ภรรยาข้าตัดหัวคนได้แต่ข้าทำไม่ได้ ไสหัวไปให้พ้น! วันนี้ข้าจะทุบตีเจ้าคนถ่อยนี่ให้ตายให้จงได้!”

เหล่าหยางโถวร้อง

“หยุดมือก่อน! ท่านตีผิดคนแล้ว นี่มันหัวข้าขอรับ!”

ทุกคนเสมองไปทางอื่น…จวิ้นอ๋องยังไม่สร่างเมากระมัง

มุมตรอกไม่ไกลจากเรือนยาคุ้มสงบมีเงาร่างสองสายยืนอยู่ในเงามืด ชมดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างสนใจครามครัน

ชิวเหล่าหู่ที่เกิดมาในครอบครัวยากจนอดกล่าวชมมิได้

“ท่านแม่ทัพ จวิ้นอ๋องยังมีดีพอตัว จิตใจก็ไม่เลว”

เยี่ยเจาตอบ

“เป็นธรรมดา”

“ดูท่านไม่เหนือความคาดหมายสักนิด หรือท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร”

“พอจะรู้”

“จวิ้นอ๋องทำงานได้ดี ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

“ข้าไม่ได้เป็นห่วงเขา แค่ผ่านมาเท่านั้น”

“ดูเหมือนพวกเราจะไปกรมพิธีการหารือเรื่องคณะทูตตงซย่ามาเยือนในเดือนหน้ากระมัง แล้วที่ทำการของกรมพิธีการดูเหมือนอยู่ทางตะวันตก พวกเราอ้อมมาตั้งไกลอย่างนี้ ตอนนี้ยังอยู่ที่ถนนตะวันออกอีก ท่านแน่ใจนะว่าเป็นทางผ่านจริงๆ”

“ใช่”

“…”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นแต่ไกลว่าแม่นางน้อยหลายคนชม้ายตาไปทางมุมตรอก นึกสงสัยว่าภรรยาสะกดรอยตามมาจึงปรี่เข้าไปมองหาด้วยท่าทางถมึงทึง กลับได้ยินเสียงลมพัดวูบผ่านไปแผ่วๆ

ในตรอกมืดมีชิวเหล่าหู่ยืนอยู่ลำพังคนเดียว ดวงตาดุดันของเขาเบิกโพลง

เขามองหลังคาแล้วมองกิ่งไม้ด้วยอาการลุกลี้ลุกลน พูดตะกุกตะกัก

“จะ…จวิ้นอ๋อง ข้าผ่านทางมา”

ซย่าอวี้จิ่นมองหาไปรอบๆ อย่างคลางแคลงใจ แต่ไม่พบวี่แววของเยี่ยเจา

ชิวเหล่าหู่พยายามวางท่าองอาจห้าวหาญเป็นธรรมชาติอย่างสุดความสามารถ เห็นกล้ามที่วงแขนเป็นมัด

ซย่าอวี้จิ่นมองใบหน้าดำคล้ำอัปลักษณ์พลางนึกชอบกลอยู่ในใจบ้าง

หรือสายตาของสตรีเมืองหลวงเปลี่ยนไป? มิน่าตั้งแต่เขาแต่งภรรยาแล้วดูเหมือนไม่เป็นที่นิยมชมชอบเช่นเมื่อก่อน

บทที่ 9

เยี่ยเจาเป็นแม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวในรอบร้อยปี บันดาลให้บรรดาสตรีเมืองหลวงหลงใหลบูชาแทบจะเข้าขั้นคลั่งไคล้

เมื่อแม่ทัพใหญ่ไม่อยู่แล้ว พวกนางล้วนจับจ้องมองไปที่สามีของท่านแม่ทัพเป็นตาเดียวกัน

ซย่าอวี้จิ่นถูกมองจนรู้สึกหนาวยะเยือกเป็นระลอก

“เมื่อครู่ภรรยาข้าอยู่หรือไม่”

ชิวเหล่าหู่คาดเดาความคิดของผู้เป็นนายแล้วสั่นศีรษะ

ซย่าอวี้จิ่นถามคนอื่น

“ไม่อยู่จริงๆ รึ”

แม่นางทั้งหลายเข้าใจความประสงค์ของเยี่ยเจาจากคำตอบของชิวเหล่าหู่ สั่นศีรษะเช่นกัน

ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดได้ว่าภรรยาตนเดินไปที่ใดล้วนมีสตรีทิ้งผ้าเช็ดหน้าทอดสะพานให้ตลอดทาง แม้แต่ในเวลานี้เขาไปเที่ยวเตร่ที่ใดที่มีสตรีเช่นหอคณิกาหรือเรือสำราญ บรรดาแม่เล้า หญิงคณิกา และนางขับร้องจะคอยพร่ำเตือนสั่งสอนเขา กระทั่งยายเฒ่ากวาดถนนยังบ่นว่าเขาสองคำว่า ‘ท่านรีบกลับไปเร็วๆ เถอะ อย่าทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวังเสียใจเลยนะเจ้าคะ’ ทำให้เขาพลันรู้สึกสลดหดหู่สุดจะเปรียบ

เขาเมาสุราสามส่วนและทดท้อใจสามส่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ครั้นฤทธิ์สุราแผ่ซ่านขึ้นไปถึงศีรษะจนมึนงง เขาอดเอามือถูหน้ามิได้

ปลายจมูกแดงเรื่อขึ้น ดวงตาสุกใสฉ่ำปรือแฝงความจนใจหลายส่วนและเคว้งคว้างหลายส่วน ดูไปก็คล้ายกับกระต่ายบาดเจ็บ

เกิดเป็นบุรุษแท้ๆ ไยต้องมีใบหน้าสวยงามปานนี้ ยากจะโทษที่ท่านแม่ทัพตัดใจมิได้!

ชิวเหล่าหู่หวั่นใจแต่เพียงว่าหากอยู่ต่อไปจะยั้งปากตัวเองไม่อยู่ รีบพูดว่าจะไปกรมพิธีการ จากนั้นก็หมุนกายวิ่งออกไป

ซย่าอวี้จิ่นถามไปก็ไม่ได้ความใดอีกจึงคิดทบทวนไปมา ตัดสินใจให้คนอื่นสลดหดหู่ยิ่งกว่าเขา

หลังจากพวกพลตรวจตรามัดตัวเถ้าแก่เรือนยาคุ้มสงบกับพวกลูกจ้างไปส่งให้เจ้าเมืองนครหลวงแล้ว เขาก็วิ่งตามไปอย่างเริงร่าคึกคักราวกับเด็กน้อย ฉุดตัวเจ้าเมืองนครหลวงออกมาจากเรือนด้านหลัง กล่าวอ้างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างยิ่ง จะต้องสะสางอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ส่วนเขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ทำให้จักรพรรดิต้องผิดหวังในตัวเอง ฉะนั้นตอนที่ตัดสินคดีจะมานั่งฟังอยู่ด้านข้างเพื่อเรียนรู้จากใต้เท้าทุกคนให้มากๆ

เจ้าเมืองนครหลวงเช็ดเหงื่อกาฬบนหน้าผากพลางกล่าวรับคำได้ไม่นาน เยี่ยเจาก็ส่งคนมาบอกเป็นนัยว่าระยะนี้ในเมืองหลวงมียาปลอมปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ซ้ำร้ายญาติห่างๆ ของนายทหารเล็กๆ คนหนึ่งยังตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอันมากจริงๆ

เจ้าเมืองนครหลวงกอดหมวกตำแหน่งบนศีรษะตนไว้ ใคร่ครวญอยู่ครึ่งเค่อ

ต่อให้อนุภรรยาคนงามของตนร่ำไห้น้ำตานองหน้าประหนึ่งบุปผาต้องหยาดฝนปานใดก็เปล่าประโยชน์

เขาลงมืออย่างเด็ดขาดฉับไว ส่งคนไปตรวจสอบร้านยาทั้งหมดประเดี๋ยวนั้นเลย จับกุมผู้กระทำผิดทั้งที่ลอบค้าและทำยาปลอมในลักษณะต่างๆ รวมได้สิบแปดคน วินิจฉัยคดีทันทีทันควัน ตัดสินโทษให้โบยผู้ที่เป็นตัวการใหญ่หกสิบที ตีตรวนสามวัน คุกเข่าประจานอยู่หน้าประตูร้าน และชดใช้เงินมากมาย ส่วนผู้ที่มีส่วนรู้เห็นถูกโบยสามสิบที ตีตรวนหนึ่งวัน

เมื่อถึงเวลาลงโทษ ซย่าอวี้จิ่นมาตามที่ลั่นวาจาไว้จริงๆ หลังจากโอภาปราศรัยกับเจ้าเมืองนครหลวงแล้วเขาก็ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างๆ ผู้ที่กำลังจะถูกลงโทษ ยกมือเท้าคาง เบิกตากว้างมองดูอย่างตื่นเต้น ทั้งยังพูดออกความเห็นไม่หยุดปาก

“คราวก่อนข้ายังมิได้เห็นภรรยาข้าโบยคน คราวนี้ข้าจะพลาดโอกาสมิได้ ทุกคนตั้งใจโบยให้ดี ผู้ใดโบยดีมีรางวัลให้อย่างงาม ส่วนคนที่นอนคว่ำกับพื้นก็ต้องร้องเสียงดังๆ นะ อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

เหล่าหยางโถวทำหน้าละห้อย เอ่ยปรามขึ้น

“จวิ้นอ๋อง โบยดีก็ไม่มีการตกรางวัลนะขอรับ”

เจ้าเมืองนครหลวงกล่าวปรามด้วย

“จวิ้นอ๋อง ก่อความวุ่นวายเกินกว่าเหตุจะถูกฟ้องร้องได้นะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นหันไปถามอย่างยินดีปรีดา

“ถูกฟ้องร้องแล้วถอดหมวกขุนนางได้หรือไม่”

อันว่าสุกรตายย่อมไม่กลัวถูกน้ำร้อนลวก

ทุกคนโมโหจนกล่าววาจาไม่ออกเพราะอันธพาลผู้นี้ เห็นทีการที่จักรพรรดิให้เขาทำงานก็คงผ่านการไตร่ตรองมาแล้วว่าเขาจะก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างไร ฉะนั้นขอแค่ไม่เลยเถิดเกินไปก็ปล่อยไปตามใจเขาแล้วให้จักรพรรดิชำระความเอาเอง

เดิมทีพวกเจ้าหน้าที่ของที่ทำการได้รับค่าตอบแทนจากเถ้าแก่ร้านยาเหล่านี้เพื่อให้โบยเบามือหน่อย แต่ตอนนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเอ่ยไปถึงเหตุการณ์โบยทหารในค่ายเมื่อคราวก่อนอีก จะอย่างไรหากโทษโบยหกสิบทีแบบเดียวกันได้ผลที่แตกต่างเกินไปคงไม่เข้าทีนัก พวกเขาจำต้องหักใจทิ้งเงิน สมควรโบยอย่างไรก็โบยไปตามนั้น โบยจนพ่อค้ายาสมุนไพรใจทรามที่ร่ำรวยอยู่ดีกินดีส่งเสียงโอดโอยดังลั่นไปหมด

หลังจากโบยเสร็จ ซย่าอวี้จิ่นลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจคราหนึ่ง เดินตามเจ้าหน้าที่ซึ่งตีตรวนนักโทษแล้วกุมตัวออกไป กล่าวปิดท้ายต่อหน้าฝูงชนที่มุงดูอยู่

“กลับไปรักษาบาดแผลให้ดี แผลของผู้ใดหายเร็วที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่ายาของร้านนั้นมีสรรพคุณดีที่สุด นี่จะเป็นตัวชูโรงเรียกลูกค้าเชียวนะ วันหน้าทุกคนก็จะพากันไปอุดหนุน”

ชาวเมืองฟังแล้วกุมท้องหัวเราะเสียงดัง แต่ละคนตบมือพยักพเยิดเห็นด้วย

สีหน้าของพวกพ่อค้ายาสมุนไพรใจทรามซีดขาวราวกระดาษ

ความรู้สึกที่ได้ใช้ไม้โบยลงโทษคนเป็นครั้งแรกไม่ค่อยเหมือนกับการลอบดักตีคนเช่นแต่ก่อน พาให้อารมณ์ของซย่าอวี้จิ่นแช่มชื่นเบิกบานเหลือหลาย มิน่าภรรยาเขาถึงชมชอบโบยคนนัก เห็นทีคงด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

ซย่าอวี้จิ่นคุยโม้โอ้อวดไปทั่วอย่างลำพองใจ กระทั่งกลางดึกยังคงนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้น ได้แต่ออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ในเวลานี้เองเขามองเห็นเยี่ยเจาเสร็จงานกลับมา หวนนึกถึงเรื่องคราวก่อนจึงเดินเข้าไปหา ถามหยั่งเชิง

“เมื่อวันก่อนตอนบ่ายเจ้ากับชิวเหล่าหู่ผ่านไปทางถนนตะวันออกหรือไม่”

เยี่ยเจากล่าวอย่างสุขุม

“เปล่า”

ซย่าอวี้จิ่นถาม

“ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่ใด”

เยี่ยเจาขมวดคิ้วพลางเอ่ย

“หลายวันนี้ข้าอยู่ที่กรมพิธีการหารือกับบรรดาใต้เท้าทุกท่านถึงงานด้านต่างๆ ที่ต้องทำตอนคณะทูตตงซย่ามาเยือนในเดือนหน้า กว่าจะตกลงกำหนดการได้มิใช่ง่ายดายเลย”

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งคิดแล้วถามอีก

“เจ้ากลับมาดึกดื่นป่านนี้ทุกวันเลยหรือ”

“ตงซย่าเคยลอบสนับสนุนอาวุธกับม้าให้ชาวหมานจินไม่น้อย ถึงขั้นตีชิงตามไฟ รุกรานหน้าด่านทางตะวันตกของเราด้วยซ้ำ ตอนนี้พวกเขาขอเจรจาสงบศึก หมายจะใช้ม้ามาแลกเสบียงและแพรพรรณกับแคว้นต้าฉิน เมื่อก่อนข้าเคยประมือกับตงซย่าอยู่หลายครั้ง คุ้นเคยกับทางนั้นมากกว่า กรมพิธีการถึงได้เรียกตัวไปไถ่ถามถึงสถานการณ์ของตงซย่าในเวลานี้ ทุกคนมีคำถามโต้เถียงกันค่อนข้างมากข้าจึงกลับดึก” เยี่ยเจาพยักหน้าแล้วมองสีหน้าเขาอีกครั้ง พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “วันนี้พอสะสางงานเสร็จสิ้น ก่อนกลับทุกคนครึ้มอกครึ้มใจ ท่านเสนาบดีจึงจัดงานเลี้ยงดื่มสุรากันเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีอะไรอย่างอื่นเด็ดขาด แล้วก็ข้ามิได้ไปเที่ยวหญิง…”

“หญิงอะไรของเจ้า” ซย่าอวี้จิ่นกระจ่างแจ้งความนัยในถ้อยคำนางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเตลิดไปไกลว่าตัวเองหึงหวง เขาโมโหจนเต้นผางๆ “ข้าไม่ได้ระแวงว่าเจ้าจะไปดื่มเหล้าเคล้านารี! อีกประการหนึ่ง ข้าจะใส่ใจไปทำไมว่าภรรยาตัวเองดื่มเหล้าเคล้านารีหรือไม่”

“ท่านไม่ใส่ใจหรือ”

เยี่ยเจาโน้มกายเข้ามาใกล้เล็กน้อย ได้กลิ่นสุราจางๆ ลอยอวล นัยน์ตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วทอประกายพราวระยับขึ้นอีกราวกับร่ายมนตร์ดึงดูดคนเข้าไปได้ จากนั้นนางก็วาดแขนเกี่ยวคอเขา ใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ยื่นหน้าเข้าไปแทบจะชิดติดข้างแก้ม เผยอปากพ่นลมหายใจอุ่นชื้นที่ข้างหู

“มิสู้…พวกเราไปดื่มด้วยกันคราวหน้า”

นางไปดื่มสุรากับสหายขุนนางด้วยกันก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เมาแล้วยังแทะโลมเขาอีก มันสุดจะทนไหวแล้ว!

ซย่าอวี้จิ่นตาขวาง ยกขากระทืบหลังเท้าเยี่ยเจาอย่างแรงพร้อมสบถด่า

“เจ้าผีขี้เมาสมควรตาย!”

ลมเย็นโชยมาพาให้เยี่ยเจาสร่างเมา นางรีบยืดตัวตรง ปรับสีหน้าเป็นจริงจังดังเดิม

ซย่าอวี้จิ่นซักถามอย่างดุดัน

“เจ้าเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ดื่มสุรารึ”

“ข้าดื่มสุราไม่เก่ง แค่ไม่กี่จอกก็เมาแล้ว มีบางคราวยากจะบอกปัดถึงได้ดื่ม”

“พอเมาแล้วเจอใครก็แทะโลม?”

“เปล่า แทะโลมแต่คนงาม…”

ซย่าอวี้จิ่นคับแค้นใจสุดจะกล่าว

“ช่างคออ่อนเหลือเกิน!”

สายตาของเยี่ยเจาวอกแวกไปวูบหนึ่งขณะพยายามพูดแก้ตัว

“คออ่อนแค่ไหนก็ดีกว่าเจ้าจิ้งจอก เวลาเขาร้องเพลงรักขึ้นมาผู้ที่เคราะห์ร้ายคือทหารทั้งค่าย”

ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงถ้อยคำที่หูชิงกล่าวกับตนขึ้นมาได้

แม้ในใจจะไม่ใส่ใจภรรยาแย่ๆ คนนี้มากเท่าไร ทว่าเขายังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่สักหน่อย

เขาค่อนข้างจะเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบเก็บงำความรู้สึกให้อึดอัดทรมานใจ ครั้นใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่เขาก็รู้สึกว่าถึงอย่างไรแม้เขากับนางดูภายนอกกลมเกลียวกัน แต่ที่แท้ต่างคนต่างอยู่ จะผิดใจกันเพิ่มขึ้นอีกสักเรื่องก็ไม่ต่างกันเท่าไร มิสู้ถามให้แจ่มแจ้งไปเลยดีกว่า ยิ่งกว่านั้นภรรยาเขาดูแล้วก็มิได้หน้าบางไปกว่าตัวเอง นางกล้าดื่มเหล้าเคล้านารี กล้าหาคนเขียนหนังสือหย่าแทน กล้าแทะโลมคนงาม แล้วเขายังต้องกลัวด้วยหรือว่านางจะทนถูกตราหน้าว่าคบชู้สู่ชายไม่ไหว

ซย่าอวี้จิ่นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนับแต่รู้จักกับหูชิงเป็นต้นมา รวมถึงการคาดเดาของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีตกหล่นและเสนอขึ้น

“หากเจ้ากับเขาผูกสมัครรักใคร่กัน สามปีให้หลังข้าสามารถไปขอพระเมตตาจากพระพันปีได้ เจ้าเพียงปล่อยมือจากอำนาจทางการทหารทีละน้อยก็ไม่ถึงขั้นว่าจะครองคู่กันมิได้อย่างสิ้นเชิง”

“หูชิงพูดว่าชอบข้ารึ” สีหน้าประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยเจาปรากฏรอยร้าวบางๆ ขึ้นในที่สุด อีกทั้งยังขยายกว้างมากขึ้นทุกขณะ “เขาพูดเช่นนี้จริงหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นรีบอธิบาย

“เขาไม่ได้พูดตรงๆ เป็นข้าคาดเดาเอาเอง”

เยี่ยเจาย้อนถาม

“ท่านเชื่อด้วย?”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างกระสับกระส่าย

“ก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ กระมัง…”

สายตานางที่มองเขาคล้ายมองดูเด็กน้อยที่พลาดพลั้งทำความผิดก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างเศร้าใจ

“ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคำพูดของเจ้าจิ้งจอกยังมีคนเชื่อถือด้วย…”

ซย่าอวี้จิ่นลนลานแก้ต่างแทนสหาย

“ข้าเห็นสีหน้าท่าทางของเขาดูไม่คล้ายแสร้งทำเลย ไฉนเจ้ากล่าวถึงเขาเช่นนี้”

เยี่ยเจาถาม

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชมชอบตัดแขนเสื้อ ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชอบหญิงม่าย ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าอีก

“ถ้าเขาพูดว่าเขาชอบเทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่ว ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าต่อไป

“ถ้าเขาพูดว่าเขาเป็นภิกษุกลับชาติมาเกิด อยากบำเพ็ญเพียรเป็นพระอรหันต์ ท่านเชื่อหรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าดุจเดิม

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ ถามอย่างคับแค้นใจเหลือหลาย

“แล้วไฉนพอเขาพูดว่าเขาชอบข้า ท่านก็โง่งมถึงกับไปเชื่อเขาเสียแล้วล่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ก็ตอนเขาพูดสีหน้าท่าทางไม่คล้ายแสร้งทำเลยนี่!”

“ทั้งหมดที่ข้าถามท่านเมื่อครู่มีเรื่องใดที่เขาพูดแล้วดูคล้ายแสร้งทำบ้าง เขายังเคยหลอกจนเหมาเอ้อร์หู่ไปเฝ้าอยู่ข้างพงหญ้าริมแม่น้ำลั่ว นั่งคอยเก้อทั้งคืนเพื่อแอบดูเทพธิดาอะไรนั่น พอกลับมาก็ล้มป่วยไปครึ่งเดือน” เยี่ยเจาพูดด้วยความหัวเสีย “ท่านนึกว่าสมญานามจิ้งจอกมีที่มาอย่างไร เจ้าตัวเหม็นผู้นี้เกิดมาก็เพื่อกวนโทสะคน ปั้นเรื่องโกหกได้โดยตาไม่กะพริบ พบผู้ใดก็กลั่นแกล้ง เป็นไปได้มากว่าเขาเห็นท่านขวางหูขวางตาถึงได้ปั่นหัวท่านเล่นแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นอดเชื่ออยู่หลายส่วนมิได้เมื่อเห็นสีหน้าเดือดดาลของนางไม่คล้ายแสร้งทำ พูดตะกุกตะกัก

“ตะ…แต่…”

“ไม่มีแต่!” เยี่ยเจาหวนคิดถึงความหลัง เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตอนเมาสุรา เขาจะร้องเพลงชาวเรือกับคนอื่นไปทั่ว ร้องกับข้า กับชิวหวา กับชิวสุ่ย กับเจ้าพยัคฆ์ กับตาเฒ่าคนหุงข้าวก็ยังร้องเลย ซ้ำยังร้องหลงทำนองสะเปะสะปะ ระคายหูได้มากเท่าไรก็ระคายหูมากเท่านั้น ทำเอาทั้งกองทัพอยู่ไม่เป็นสุข ตอนไม่เมา เขาก็จะโกหกคนไปทั่วเพื่อความสนุก เว้นแต่เรื่องงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำแล้ว เขาแทบจะพูดโป้ปดมดเท็จตลอดเวลา แต่ก็มีคนเบาปัญญาหลายคนที่ยังหลงเชื่อคำพูดเขา”

ใต้แสงจันทร์งามกระจ่าง ซย่าอวี้จิ่นยืนนิ่งตาค้างอยู่กับที่ด้วยความตะลึงลาน ในหัวสมองว่างเปล่า เป็นนานกว่าจะเค้นเสียงออกจากลำคออย่างยากเย็น

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

เขาหมุนกายไปด้วยท่าทางแข็งทื่อ ตั้งท่าจะกลับห้อง

“รอประเดี๋ยว!”

ฤทธิ์สุราทำให้ศีรษะเยี่ยเจาร้อนผ่าวอยู่บ้าง นางคว้าหมับที่ไหล่เขา ออกแรงเล็กน้อยดึงตัวเขากลับมาแล้วโน้มกายเข้าไปใกล้อีกครั้ง พิศดูใบหน้าเขาอย่างละเอียด

ฉับพลันนั้นเองมุมปากนางก็แย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง เผยฟันขาววาววับเรียงเป็นสองแถวอย่างน่ากลัว ขณะถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“เจ้าจิ้งจอกชอบข้า ดูเหมือนท่านจะดีใจมาก?”

“มิใช่นะ”

ซย่าอวี้จิ่นสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่สักหน่อย คิดจะสาวเท้าเดินหนี

“อย่างนั้นหรือ” ใต้แพขนตายาวเหยียดของเยี่ยเจา นัยน์ตาสีอ่อนใสเปลี่ยนเป็นดำเข้มด้วยเงามืด ฉายแววเย็นเยียบอำมหิต นางละม้ายคล้ายเสือดำกำลังเฝ้าดูเหยื่อ จากนั้นก็กางกรงเล็บแหลมคมตะปบเหยื่อไว้ในอุ้งมือ หากแต่สุ้มเสียงที่เอ่ยถามเนิบๆ กลับนุ่มนวลขึ้นเรื่อยๆ “เวลายังไม่ครบสามปี ท่านก็เร่งรีบหาบุรุษมารับทอดข้าต่อแล้วรึ”

ขอเพียงเป็นสัตว์ที่ยังมีสมองสักน้อยนิดล้วนฟังออกได้ว่าน้ำเสียงนุ่มนวลนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายสังหาร

“คือว่าข้า…” ซย่าอวี้จิ่นตกใจจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากสองเม็ด เพียรดิ้นขัดขืนอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล สายตาเขาล่อกแล่กไปมาด้วยความร้อนรน แม้จะไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ปากกลับยังพยายามพูดแก้ตัว “ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะอยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นหรือ” เยี่ยเจาโน้มกายเข้าไปใกล้อีกนิดจนริมฝีปากเฉียดผ่านข้างแก้มเขาไปอย่างไม่ตั้งใจ เรียกขานเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ “ท่านช่างปรารถนาดีเสียจริง ดีจนน่าตื้นตันใจนัก…”

สัมผัสอุ่นร้อนที่ไล้ผ่านใบหน้าบันดาลให้รู้สึกสั่นสะท้านระคนวาบหวิว ดวงตาเย้ายวนใจคู่นั้นทำให้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้คล้ายเคยประสบพบเจอมาก่อน

เขาคิดจะเอ่ยอะไรสักสองสามคำที่สมเหตุสมผลเป็นการโต้คืนเสียงแข็งบ้าง ทว่าคำพูดมารอที่ปลายลิ้นกลับหาวาจาเหมาะใจมิได้ เขาจึงสบถคำผรุสวาทไปเสียเลย

“หญิงแพศ…”

ซย่าอวี้จิ่นยังกล่าวไม่จบครบถ้อยกระทงความ ปากของเยี่ยเจาก็ประกบชิดปิดปากเขาไว้ เป็นการประทับจูบที่ฉับไวคละเคล้ากลิ่นสุราและลมหายใจอุ่นร้อน

นางผละออกห่างเพียงครึ่งองคุลี หยุดอยู่ในระยะที่ลมหายใจรินรดกัน เสียงหายใจเข้าออกดังที่ข้างหู ดวงตาประหนึ่งสัตว์ป่ายังเพ่งมองคนที่ถูกตรึงตัวแน่นเบื้องหน้าอย่างไม่วางตาและไม่เปิดช่องให้หลบหนี มุมปากประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมไว้ดุจเดิม ดูคล้ายกำลังหยอกเย้าเหยื่อก็ไม่ปาน

นางกระซิบถามเสียงกรุ้มกริ่มที่ริมหู

“ท่านอยากทำอะไรข้าหรือ เอาสิ”

ซย่าอวี้จิ่นใช้เวลานานครึ่งเค่อกว่าจะเรียกสติคืนมาได้ เขาโกรธจนหน้าแดงจรดใบหู ถลึงตาตวาดเอ็ดเสียงลั่น

“ข้าเคยเห็นสตรีหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นสตรีหน้าไม่อายขนาดนี้!”

เยี่ยเจาใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากเขาพร้อมเอ่ยถาม

“ที่แท้ท่านยังมียางอายอยู่หรือนี่”

“ปล่อยข้า!”

ซย่าอวี้จิ่นอยากกัดเจ้าอันธพาลตรงหน้าให้ตายใจแทบขาด เขาผ่อนลมหายใจยาวสองเฮือกให้หัวใจเต้นช้าลง พอมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มร้ายกาจอยู่ตลอดก็รู้ในที่สุดว่าสีหน้าเช่นนี้ตนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

นี่มันเหมือนกับเวลาที่เขาพาพวกสหายเสเพลไปแทะโลมหญิงสาวตามถนนอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยมิใช่หรือ

ครั้นกระจ่างแจ้งแล้วเขาก็ถามยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง

“บัดซบ นี่เจ้ากำลังแทะโลมข้าอยู่รึ”

เยี่ยเจาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“อืม ก็น่าจะเป็นการแทะโลมนะ”

“เจ้ามันบัดซบสิ้นดี! เคยแทะโลมคนมามากเท่าไรแล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นแทบอยากตีอกชกหัวตัวเองเพราะฝีมือการแทะโลมอันช่ำชองของภรรยาเขาเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการฝึกฝนหลายปีด้วยไม่อ่อนด้อยกว่าเขาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมาแล้วกี่คน ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี!

“ตอนเด็กข้าทำตัวเกะกะเกเร หลงตนว่าเป็นบุรุษ หยอกเอินเด็กสาวมาไม่น้อย…ระวัง” เยี่ยเจาคลายมือในที่สุด แต่แล้วนางก็ช่วยพยุงเขาไว้อีกที พูดอย่างสงบนิ่งมาก “ตอนนี้ข้าก็แทะโลมอยู่ แต่เป็นการแทะโลมสามีตัวเองสนุกๆ เท่านั้น”

ซย่าอวี้จิ่นยืนทรงตัวได้ก็ชี้หน้านางพลางด่าทอ

“เจ้าคนไร้ยางอาย! แผ่นดินนี้มีภรรยาบ้านไหนบ้างที่ประพฤติตนเช่นเจ้า บ้าเอ๊ย! ในที่สุดข้าก็รู้เช่นเห็นชาติแล้ว…”

“ท่านรู้เช่นเห็นชาติอะไร”

เยี่ยเจายกสองมือกอดอก ยิ้มพรายขณะถามขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างเดือดดาล

“ต่อให้เจ้ามีเปลือกนอกเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงเกียรติน่าเกรงขาม แต่เนื้อแท้ยังเป็นอันธพาลไร้ยางอายคนหนึ่ง”

เยี่ยเจาเลียริมฝีปาก กล่าวอย่างถวิลหา

“ถึงอย่างไรข้าก็เคยเป็นอันธพาลมาหลายปีอย่างนั้น บางครั้งข้าก็อยากระลึกความหลังบ้าง”

“เจ้ายังกล้ายอมรับอีกรึ” ซย่าอวี้จิ่นยิ่งโมโห “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบอก…บอก…”

เขาพูดไปๆ สุ้มเสียงก็เบาลงทุกที ไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร นางจึงเอ่ยเตือนด้วย ‘ความหวังดี’

“ท่านจะบอกคนอื่นว่าภรรยาท่านเป็นอันธพาลมาก อีกทั้งท่านยังถูกนางปล้ำจูบและแทะโลมด้วยอย่างนั้นหรือ”

เรื่องพรรค์นี้จะมีบุรุษคนใดมีหน้าเอ่ยถึง

ซย่าอวี้จิ่นได้แต่น้ำท่วมปาก มีความทุกข์หากแต่พูดไม่ออก

เขาปลอบใจตัวเองไม่หยุดว่าถึงอย่างไรเขาก็มีอนุภรรยาและเมียบ่าวหลายคน ไปหอคณิกาเรือสำราญกอดจูบลูบคลำสตรีบ่อยๆ จนมีประสบการณ์โชกโชน บัดนี้เพียงตกเป็นฝ่ายถูกภรรยาลวนลามบ้าง นับว่าไม่เสียเปรียบมากนัก

“เป็นชายอกสามศอก อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพรรค์นี้เลย”

เยี่ยเจารู้ตัวว่าเป็นเพราะตัวเองดื่มสุรา เลยกระทำเรื่องที่ขาดความยับยั้งชั่งใจไปสักหน่อยและไม่สุขุมเยือกเย็นพอ ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็ฉวยโอกาสลวนลาม ทำตัวเป็นอันธพาลไปแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นได้อีก

นางจะจับตัวเขามาสานต่อให้คืบหน้าไปอีกขั้นก็ไม่เป็นปัญหา ทว่าดูเหมือนเขาไม่ชอบถูกแทะโลม ครั้นจะทำให้เขาโมโหเกินไปก็ดูเหมือนไม่เป็นการดี เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน

ซย่าอวี้จิ่นเห็นนางยืนคิดคำนึงอยู่ที่เดิมก็เอ่ยอย่างขัดเคืองใจ

“ไปให้พ้น!”

“ได้ ท่านเองก็รีบไปพักผ่อนเช่นกัน”

เยี่ยเจาไม่ยั่วโทสะอีกฝ่ายต่อ หมุนกายเดินเอ้อระเหยกลับไปเข้านอนโดยไม่เหลียวหลัง

นางเล่นสนุกกับเขาพอแล้วก็จากไปอย่างนี้?

ซย่าอวี้จิ่นอ้าปากค้าง มองแผ่นหลังนางห่างออกไปเรื่อยๆ

เขากำหมัดชกใส่ต้นไทรข้างกายอย่างฉุนเฉียว จากนั้นก็เอามือกุมกำปั้นไว้ เจ็บปวดจนแทบน้ำตาไหลออกมา

 

ที่หมู่บ้านไม่ไกลจากกองทัพนครหลวงมีเรือนเล็กหลังหนึ่ง ด้านในปลูกต้นท้อไว้สามต้น แผ่กิ่งก้านรกครึ้มยื่นออกมานอกกำแพงซึ่งมีสุนัขล่าเนื้อเป็นขี้เรื้อนบนหลังตัวหนึ่งกำลังอาบแสงตะวันยามเช้า แทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย

เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงถี่รัวดังแว่วมาระลอกหนึ่งก่อนจะกระชั้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

สุนัขล่าเนื้อตกใจ ทะลึ่งตัวขึ้นมาเห่ากระโชกอย่างบ้าคลั่งเพื่อปกป้องกระดูกของมันด้วยวิญญาณนักสู้เต็มเปี่ยม

อาชาสีขาวปานหิมะยกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศแล้วหยุดลงตรงเบื้องหน้ามัน

สุนัขล่าเนื้อโก่งหลัง ยกหางตั้งขึ้น แสยะเขี้ยวแหลมคมมีน้ำลายไหลย้อย ส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ ทว่าอาชาสีขาวกลับแผดเสียงร้องอย่างเย่อหยิ่ง บนหลังของมัน เสื้อคลุมสีดำสนิทแผ่กางออกตามแรงลมพร้อมชุดทหารสีแดงด้านในปลิวสะบัด

ในชั่วเสี้ยวอึดใจ คนผู้นั้นพลิกกายลงมาด้วยท่วงท่าพลิ้วเบาดุจดอกท้อลอยลิ่วลม ปราดเปรียวดั่งเหยี่ยวถลาโฉบเหยื่อ วงหน้าทั้งคมคายและคร้ามเข้มอันเป็นลักษณะเด่นของชนต่างเผ่า ท่วงทีผึ่งผายคล้ายกระบี่ชื่อดังหลุดออกจากฝัก งดงามทว่าอาบย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉาน สามารถล่อลวงคนให้ลุ่มหลง และยิ่งทำให้คนสะพรึงกลัวได้อีกด้วย

นางเงยศีรษะกวาดตามองไปรอบๆ ในมือกำแส้หางดำแน่นจนกระดูกข้อนิ้วลั่นเปาะๆ

ยามที่สุนัขล่าเนื้อสบสายตาคู่นี้ก็สะท้านเยือกขึ้นมาในพริบตา ไม่กล้าส่งเสียงเห่าอีกต่อไป มันก้มหัวลงอย่างสิ้นพยศ คาบกระดูกบนพื้นขึ้นมาแล้ววิ่งหางจุกก้นหนีไปโดยไว

ประตูหน้าของเรือนถูกผลักเปิดออก ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดด้วยความเก่าทรุดโทรม

ตาเฒ่าหัวหงอกนั่งสัปหงกอยู่ข้างประตูลุกพรวดขึ้นกะทันหัน ยื่นมือไปฉวยมีดผ่าฟืนบนพื้นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ดวงตาฉายแววอำมหิตเฉกเช่นผู้ที่ผ่านการกรำศึกมามาก ทว่ายามมองเห็นผู้มาเยือนชัดถนัดตา ประกายอำมหิตก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปชั่วครู่กว่าจะได้สติคืนมา เขาร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ทะ…ท่านแม่ทัพ ท่านมาได้อย่างไรขอรับ”

เยี่ยเจาถามอย่างเฉยชา

“เจ้าจิ้งจอกล่ะ”

“ท่านมาหาทะ…ท่านกุนซือ…” สีหน้าของตาเฒ่าจืดเจื่อนไปถนัดตา สุ้มเสียงก็แปร่งปร่าด้วยความตื่นตกใจ เขาพยายามถ่วงรั้งฝีเท้าของอีกฝ่ายไว้พลางตะโกนลากเสียงยาว “ทะ…ท่านแม่ทัพ เขาไม่อยู่ข้างในขอรับ ขะ…เขา…”

เยี่ยเจาผลักอีกฝ่ายออก สาวเท้าก้าวยาวเดินฉับๆ อ้อมผ่านเรือนกลางเข้าไปถึงห้องหนังสืออย่างคุ้นทาง นางทนรอเสียงอนุญาตจากข้างในไม่ไหวก็ยกเท้าถีบประตูเปิดออก แผดเสียงดังด้วยท่าทางถมึงทึง

“เจ้าจิ้งจอกตัวดี! ไสหัวออกมานะ!”

ในห้องมีชั้นหนังสือสูงใหญ่เจ็ดแปดแถว บนนั้นมีตำรับตำราวางกองอยู่นับไม่ถ้วน หมึกในแท่นฝนหมึกยังไม่แห้ง พู่กันขนเพียงพอนถูกทิ้งไว้ด้านข้าง หน้าต่างอ้ากว้าง ขยับไปมาเบาๆ ตามแรงลม ดูเหมือนยังมีไออุ่นจากกายคนหลงเหลืออยู่ในอากาศ

เยี่ยเจาขมวดคิ้ว

“เขาหนีไปแล้ว?”

ตาเฒ่าทำหน้าม่อย ถูมือไปมา ทั้งไม่กล้าขัดขวางและไม่กล้าส่งเสียงพูด

“ช่างหนีได้รวดเร็วจริงๆ นะ เขามีขากระต่ายงอกออกมาจากตัวแล้วหรือไร” เยี่ยเจาพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายไปพูดกำชับ “พอเขากลับมาก็บอกด้วยว่าข้ามีบัญชีต้องสะสางกับเขา”

ตาเฒ่าพยักหน้าถี่รัว

“แน่นอนขอรับ”

เยี่ยเจากวาดตามองในห้องอีกรอบแล้วออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

เสียงฝีเท้าม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ราวสามสี่เค่อ แผ่นกระดานในห้องหนังสือขยับออก เผยช่องขนาดใหญ่ดำทะมึน

ศีรษะคนผู้หนึ่งชะโงกออกมาอย่างระแวดระวัง ดวงตายาวรีมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดคนถึงก้าวออกจากช่องนั้นอย่างว่องไว ทว่าเพิ่งจะได้บิดคอยืดกล้ามเนื้อที่แข็งตึงให้คลายออก ตั้งท่าจะเขียนหนังสือต่อ กลับเห็นตาเฒ่าที่รับใช้เขาทางนอกหน้าต่างมีสีหน้าเหยเกสุดจะกล่าว ดูคล้ายเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังลูบคอขยิบตาบุ้ยใบ้ไม่หยุด

หูชิงหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

ไม่รอให้เขาได้ทันตั้งตัวก็มีลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง เยี่ยเจากระโดดลงจากหลังคา สองขาเกี่ยวขอบหน้าต่างไว้แล้วม้วนตัวกลางอากาศคราหนึ่งอย่างแผ่วพลิ้ว ร่างนางก็มาอยู่ด้านหลังของหูชิงและวางมือบนไหล่เขา

นางจับตัวอีกฝ่ายกระชากเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“ลูกไม้เดิมใช้อีกก็ไม่ได้ผลแล้ว เจ้านึกว่าหลบได้ครั้งหนึ่งก็จะหลบไปได้ตลอดหรือไร”

“หามิได้ๆ พักนี้ข้ากำลังฝึกกรรมฐานอยู่” ชั่วพริบตาใบหน้าของหูชิงเผยรอยยิ้มบางๆ อย่างใสซื่อ หางตาโค้งลงเหมือนจันทร์เสี้ยว ฉายความอบอุ่นดั่งน้ำแข็งละลาย วสันตฤดูคืนสู่ปฐพี “ข้าแค่ไปกวาดห้องใต้ดิน ไม่นึกว่าวันนี้เจ้าจะว่างถึงขั้นมาหาข้าได้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”

“ก็มิใช่ธุระสำคัญอะไร” เยี่ยเจายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ากลัว เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเพียงมาถามคำถามเจ้าไม่กี่ข้อ”

หูชิงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง

“ท่านแม่ทัพมีบัญชา ข้าย่อมต้องตอบทุกสิ่งที่รู้และจะพูดโดยไม่ปิดบังอำพราง”

เยี่ยเจาบีบมือแรงขึ้นอีกหลายส่วนพร้อมถามขึ้นเอื่อยๆ โดยไม่แยแสใบหน้าบิดเบี้ยวของเขา

“เจ้าเติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เล็ก ไยจะไม่รู้จิตใจข้า หลังจากชนะศึกที่โม่เป่ยก็เป็นเจ้าที่วางแผนให้ข้า ใช้กำลังทหารห้าสิบหมื่นเป็นเหยื่อล่อให้จักรพรรดิยกข้าให้แต่งงานกับซย่าอวี้จิ่น ช่วยให้ข้าสมหวังดังที่เฝ้าปรารถนามาเนิ่นนาน อีกทั้งได้อยู่รอดปลอดภัยไปชั่วชีวิต แต่เหตุใดหลังจากแผนการสำเร็จลุล่วงแล้วเจ้ากลับขัดแข้งขัดขาข้าลับหลัง”

หูชิงงุนงง

“ข้าไปขัดแข้งขัดขาเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างเดือดดาล

“หน็อย! ตอนนั้นข้ากลัดกลุ้มว่าหลังจากสงครามจบลงแล้วจะทำเช่นไรเพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของท่านพ่อ เจ้าทำหน้าเศร้าโอดครวญ ยกนิ้วชี้ฟ้าสาบานว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง จะให้ผู้ใดเสียสละก็ได้ทั้งนั้น ขออย่าเป็นเจ้าเด็ดขาด แต่ละคำที่เจ้าพูดทำเอาข้าโมโหจนอยากทุบตีเจ้าให้ตาย ตอนนี้กว่าข้าจะได้แต่งงานกับซย่าอวี้จิ่นมิใช่ง่ายดาย การสานสัมพันธ์ให้คืบหน้าก็ยากเย็นแสนเข็ญ เจ้ากลับโพนทะนาไปทั่ว ทำให้ทุกคนคิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน นี่เจ้าคิดจะเล่นงานเขาหรือข้า เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตายจริงๆ”

หูชิงกล่าวอย่าง ‘ฉงนใจ’

“ข้าโพนทะนาอะไรกัน ข้าแค่บอกว่าสตรีที่ข้าชอบพอออกเรือนไปแล้ว นางเป็นคนที่ท่านพ่อข้าหมั้นหมายให้ตั้งแต่เด็ก ทั้งงามพริ้มเพราและเป็นกุลสตรี ตอนนั้นเกิดศึกวุ่นวาย นางนึกว่าข้าตายไปแล้วถึงได้ออกเรือนไปกับคนอื่น ตอนนี้ข้าอยากรำพันด้วยความโศกเศร้าบ้างก็มิได้หรือ เป็นจวิ้นอ๋องที่คิดฟุ้งซ่านไปเองจึงเข้าใจผิดกระมัง”

เยี่ยเจาหรี่ตาลงเล็กน้อย เพ่งพิศสีหน้าเขา

“เจ้ามิได้พูดจริงๆ รึ”

หูชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“ข้าก็มีพูดถึงบางเรื่องเมื่อครั้งที่ทำสงครามด้วยกันในโม่เป่ย”

เยี่ยเจาถามอีก

“เหตุใดชิวหวากับชิวสุ่ยก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”

หูชิงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ย

“อาจเป็นเพราะตอนชิวเหล่าหู่บังคับให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวเขา ข้าคงทนถูกทุบตีไม่ไหวถึงได้พูดจาเรื่อยเปื่อย อ้างถึงเจ้าเพื่อเอาตัวรอดว่าท่านแม่ทัพยังไม่แต่งงาน ข้าเป็นลูกน้องไหนเลยจะมีหน้าแต่งงานอะไรได้ จากนั้นเขาเลยเข้าใจผิด ไม่กล้าบังคับข้าแล้ว”

เยี่ยเจาตวาด

“เหลวไหลสิ้นดี!”

หูชิงแบมือยักไหล่อย่างจนปัญญา

“ก็มิใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้นิสัยป่าเถื่อนของโจรอย่างชิวเหล่าหู่ หากข้าพูดว่าไม่ถูกตาต้องใจลูกสาวเขา เขาคงตีข้าหัวแบะแน่”

เยี่ยเจาระบายลมหายใจในที่สุด จากนั้นก็เห็นคนตรงหน้ามีท่าทางใสซื่อแฝงเล่ห์ร้ายดุจเดิม นางยังรู้สึกโกรธเคืองสุดจะทน ต่อยเขาสองสามหมัดโดยผ่อนแรงลงพร้อมพูดด่า

“เจ้าคนบัดซบ วันใดไม่กวนโทสะข้า ในใจคงอึดอัดมากสินะ!”

หูชิงวอนขอความเห็นใจยิ้มๆ

“ผู้ใดใช้ให้ตอนเด็กเจ้ากลั่นแกล้งข้าทุกวันล่ะ”

เยี่ยเจาหยุดมือแล้วปล่อยเขา ถามอย่างจริงจัง

“เจ้าแค่ล้อเล่นจริงๆ?”

ดวงตาของหูชิงมีประกายหม่นเศร้าวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แปดปีที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน จากความเกลียดชังในตอนแรกกลายเป็นความช่วยเหลือเกื้อกูล จะไร้ความรักความผูกพันได้อย่างไร

ในใจเขา นางเป็นเหยี่ยวที่เหินบินอหังการ เป็นพยัคฆ์ที่เผ่นโผนลำพอง เป็นเจ้าอสูรอาบโลหิต เป็นดาวประกายพรึกบนฟากฟ้า เป็นความเลื่อมใสศรัทธาเพียงหนึ่งเดียว นอกจากนี้แล้วไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อาจเป็นได้

สิ่งที่ไม่สมควรคิดก็อย่าคิดมากเกินไป สิ่งที่ครอบครองมิได้ก็อย่าเอื้อมมือออกไป กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง สำหรับคนที่มีชีวิตรอดจากนรกมาเช่นเขา ความรักเป็นสิ่งที่เพ้อฝันเกินไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วระลึกถึงฝันร้ายสีเลือดที่โม่เป่ยครั้งแล้วครั้งเล่า

ยามหักห้ามใจไว้ไม่อยู่จนพลั้งปากพูดออกไปยิ่งต้องยิ้มสู้เข้าไว้ ใช้คำโกหกนับไม่ถ้วนกลบฝังความจริง และเขาก็ทำได้สำเร็จ

หูชิงทบทวนความรู้สึกของตนจนแจ่มชัดแล้วก็คลายมือที่กำเป็นหมัดแน่น อมยิ้มอย่างว่องไว

“ล้อเล่นแน่นอน ข้าก็แค่อยากดูว่าเจ้ามีความรักต่อฮูหยินลึกซึ้งเพียงใดเท่านั้นเอง”

“ฮึ!” คราวนี้เยี่ยเจาจับความได้ทันควัน เขกหัวเขาทีหนึ่งและตะคอกดุ “เขาเป็นสามีข้า เป็นบุรุษ!”

“พูดผิดเล็กๆ น้อยๆ ไยต้องถือสาด้วย” หูชิงยังคงแย้มยิ้มตาหยี “สามีเจ้าอย่างอื่นใช้ไม่ได้ ใบหน้ากลับงามดี แม้มีนิสัยบัดซบ แต่เทียบชั้นกับเจ้าแล้วยังห่างไกลนัก ครั้งนี้นักเลงน้อยปะทะนักเลงใหญ่ เกรงว่าจะเสียเปรียบไม่น้อยกระมัง เจ้ามีวาสนากับหนุ่มรูปงามไม่เบา”

เยี่ยเจาหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ลูบริมฝีปากกล่าวยิ้มๆ อย่างมีนัยกำกวม

“รสชาติไม่เลว”

หูชิงทอดถอนใจ

“หน้าไม่อายจริงๆ”

“เช่นกันๆ”

เขาถูกนางกวนโทสะบ้างพลันรู้สึกว่าการได้รู้จักกับสตรีผู้นี้อาจเป็นผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในชาติก่อน ชักจะเห็นใจซย่าอวี้จิ่นขึ้นมาสักหน่อยที่ต้องแต่งภรรยาที่เป็นอันธพาลยิ่งกว่าอันธพาล

บัญชีเกิดตายของยมบาลบันทึกหนี้กรรมไว้มากเท่าไรกันแน่

วันหน้าเจอเด็กน้อยผู้น่าเวทนาคนนั้น เขาสมควรกลั่นแกล้งให้น้อยลงดีหรือไม่

บทที่ 10

แท้จริงแล้วเยี่ยเจามาหาหูชิงด้วยเรื่องที่คณะทูตตงซย่าจะมาเยือน ส่วนการไล่เลียงเอาความเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น

ต้าฉินเป็นแคว้นที่เจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดีงาม จักรพรรดิมีบัญชาว่าจะต้องแสดงบารมีราชวงศ์แห่งสวรรค์ให้พวกชนเผ่าป่าเถื่อนได้ประจักษ์ กรมพิธีการได้กำหนดแผนการต้อนรับคณะขององค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่าไว้แล้ว จากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงตระเตรียมงานในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต่อไป

น่าเสียดายที่ตงซย่ามีเขตแดนติดกับหมานจิน ในกาลก่อนจึงมีสันถวไมตรีกับต้าฉินน้อยนิดอย่างยิ่ง ประเพณีและภาษาของทั้งสองแคว้นก็แตกต่างกันมาก เวลากระชั้นชิดเช่นนี้จะหาผู้ที่รอบรู้เรื่องนี้สักคนออกจะฉุกละหุกอยู่บ้าง

หูชิงเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาแต่เกิด ในช่วงแปดปีของการเดินทัพ เขาเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นของแคว้นรอบโม่เป่ยเจ็ดแปดแคว้นได้อย่างแตกฉาน อีกทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมา วิถีชีวิต รวมถึงประเพณีข้อห้ามของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง กรมพิธีการจึงตั้งใจส่งเยี่ยเจามาเชิญหูชิงไปร่วมปรึกษาหารือเรื่องนี้

หลังจากหูชิงฟังจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ออกความเห็นอย่างสุขุม

“ไสหัวไปไกลๆ เลย!”

 

อีกด้านหนึ่ง ซย่าอวี้จิ่นทำใจยอมรับไม่ได้อย่างมากที่ถูกภรรยาแทะโลมเมื่อวาน เขานอนอยู่บนเตียง หมายจะลืมเลือนเรื่องน่าชิงชังไปเสีย ทว่าความทรงจำของคนเราช่างใฝ่ต่ำสิ้นดี ความรู้สึกถูกคุกคามที่ชวนให้ใจเต้นระทึกและความวาบหวิวที่แทรกขึ้นกลางความตื่นตระหนกราวกับยังวนเวียนอยู่ในกาย

เขาพลิกตัวไปมา ในห้วงความคิดมีแต่รอยยิ้มดุจปีศาจร้ายของอีกฝ่าย ทำอย่างไรก็ลืมไม่ลง ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ได้แต่ลอบก่นด่าเยี่ยเจาอยู่ในใจเป็นร้อยตลบ ยามขอบฟ้าปรากฏแสงสลัวขึ้นเขาถึงหรี่ตาลงหลับไปไม่ลึกนักในที่สุด

ไม่คาดว่าจักรพรรดิจะมีพระราชโองการในตอนประชุมขุนนาง ให้เสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้ดำเนินการนำเจ้าเมืองนครหลวง ผู้ตรวจการนครหลวง และกองกรมต่างๆ ต้อนรับคณะทูตตงซย่า

เสนาบดีกรมพิธีการส่งคนสนิทมาที่กองตระเวนตรวจเพื่อเชิญผู้ตรวจการนครหลวงโดยเฉพาะ เหล่าหยางโถวได้รับคำสั่งก็รอแล้วรอเล่า ทว่าซย่าอวี้จิ่นไม่มาสักที เขารอจนทนไม่ไหวแล้วก็พุ่งตรงไปที่วังหนานผิงจวิ้นอ๋องแต่ไม่พบตัว เขาจึงวิ่งไปที่วังอันอ๋องอีก เมื่อได้วรชายาอันไท่เฟยเป็นผู้บอกความ เขาถึงปลุกผู้ตรวจการนครหลวงที่แสร้งตายอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นมาได้

ซย่าอวี้จิ่นอ้าปากหาว หงุดหงิดใจที่ถูกบังคับให้ไปประชุมที่กรมพิธีการ

เสนาบดีกรมพิธีการเบิกตาที่ไม่ใหญ่กว่าเมล็ดแตงสักกี่มากน้อย ลูบเคราแพะที่มีอยู่สามกระจุกแล้วยิ้มตาหยีขณะมอบหมายงานให้เขา

“คณะทูตตงซย่าจะมาเยือนกลางเดือนหน้าและอยู่พำนักราวสิบวัน ในช่วงเวลานี้หวังว่าจะมีเรื่องขโมยขโจรและอันธพาลนักเลงหัวไม้ก่อกวนน้อยลงบ้าง คงต้องรบกวนจวิ้นอ๋องให้ลำบากเพิ่มขึ้นแล้วขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นผงกศีรษะคล้ายลูกไก่จิกเมล็ดข้าวกิน

เสนาบดีกรมพิธีการมอบหมายงานต่อไป

“คณะทูตจะเคลื่อนผ่านทางถนนเต่านิลและถนนตามสวรรค์ ฉะนั้นถนนหนทางจะต้องสะอาดหมดจด ไม่มีขยะปรากฏให้เห็น ขอให้จวิ้นอ๋องตรวจตราการทำความสะอาดด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นผงกศีรษะเป็นลูกไก่จิกเมล็ดข้าวกินต่อไป

ผ่านไปชั่วครู่เขาตื่นจากสัปหงกแล้วดึงตัวอีกฝ่ายมาถามไถ่

“เจ้าจะให้ข้าไปกวาดถนนรึ”

เสนาบดีกรมพิธีการปฏิเสธ

“ถ้อยคำนี้ของท่านผิดถนัด มิใช่ให้ท่านลงมือกวาดถนนด้วยตัวเอง หากแต่ตรวจตราการกวาดถนน อีกประการหนึ่ง…จักรพรรดิก็ทรงไม่หวังให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นหรอกขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นแจ่มแจ้งในบัดดล

“ข้ากลับไปจะตรวจตราเหล่าหยางโถวด้วยตัวเอง แล้วให้เหล่าหยางโถวตรวจตราการกวาดถนนด้วยตัวเอง”

“ได้เช่นนี้ก็ดียิ่งนักขอรับ”

เสนาบดีกรมพิธีการเบาใจในที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้วว่าพญามารจะทำเสียเรื่องจนพลอยมาทุบหม้อข้าวของเขาไปด้วย

ซย่าอวี้จิ่นรับงานเสร็จก็คิดจะกลับไปนอนชดเชยที่กองตระเวนตรวจ ระหว่างทางเหลือบมองไปที่ศาลารับรองแขกแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ กลับเห็นร่างคนสองคนนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือซึ่งทำจากไม้แดง กำลังหารือเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ท่านแม่ทัพทางด้านซ้ายมีสีหน้าเฉยเมย เคร่งขรึมน่าเกรงขาม แลดูเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมจรรยา แม้กล่าววาจาไม่มาก ทว่าทุกถ้อยทุกคำล้วนชัดเจนเฉียบขาดชวนให้ยอมรับนับถือ ขณะที่กุนซือทางด้านขวาวางตัวได้พอเหมาะพอดี ไม่โอหังไม่ต่ำต้อย สุภาพนุ่มนวล แลดูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งเหนือใคร ถ้อยคำเสนอความคิดพรั่งพรูออกจากปากอย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ทั้งน่าสนใจและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันอย่างคนเจ้าคารม

ช่างเป็นพวกคดในข้องอในกระดูกที่เข้าคู่กันได้เหมาะเจาะลงตัวราวกับผีเน่ากับโลงผุโดยแท้!

ซย่าอวี้จิ่นมองคนบัดซบไร้ยางอายคู่นี้ด้วยสายตาดุดันที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากให้เยี่ยเจากระจ่างแจ้งถึงความโกรธแค้นในใจตน

นางสัมผัสได้ถึงสายตา ‘อบอุ่น’ ของเขาก็ชะงักไปเล็กน้อยครู่หนึ่งแล้วยินดียกใหญ่ เอ่ยถามหูชิงเสียงแผ่ว

“นี่สามีข้า…ส่งสายตาสื่อความในใจมาให้ข้าอยู่หรือ”

หูชิงพินิจดูซ้ำๆ อย่างจริงจัง นิ่งคิดแล้วตอบอย่างมั่นใจ

“ไม่ผิด”

ซย่าอวี้จิ่นยังคงถลึงตาใส่ภรรยาอย่างเต็มที่ พลันเห็นนางหันศีรษะมาส่งยิ้มบางๆ ให้

ดวงตาเย็นชาคู่นั้นคล้ายหิมะหลอมละลาย มิหนำซ้ำหางตายังโค้งขึ้นอีกด้วย อ่อนโยนได้มากเท่าไรก็อ่อนโยนมากเท่านั้น เขามองจนตาค้างไปหมด ไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดตัวเองแสดงท่าทางดุดันแล้วนางยังอารมณ์เย็นอยู่ได้

อันว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้ แม้เขาจะแค้นใจมากก็ละอายใจเกินกว่าจะอาละวาดอยู่ที่นี่ต่อไป คิดจะเดินกลับไปอย่างห่อเหี่ยว

เยี่ยเจารีบส่งคนมาบอกความ

“จวิ้นอ๋องโปรดหยุดก่อน รอกลับพร้อมท่านแม่ทัพด้วยขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้ารับ แต่แล้วกลับหันหลังวิ่งจากไปด้วยความว่องไวยิ่งกว่ากระต่าย

เยี่ยเจามองหูชิงด้วยสีหน้าขุ่นข้องขณะเอ่ยถาม

“นี่…”

หูชิงไขความกระจ่างโดยไม่รอนางกล่าวจบ

“เขากำลังขวยอาย”

เยี่ยเจาตกอยู่ในภวังค์ความคิด คิดว่าบางทีที่นางแทะโลมเขาด้วยความเมาอาจเป็นการกระทำที่ใจเร็วด่วนได้เกินไป

ยังจำได้ว่าตอนเด็กนางขโมยจูบแก้มสาวน้อยที่เป็นญาติกัน ส่งผลให้อีกฝ่ายร้องไห้น้ำตาไหลพรากไม่หยุดอย่างน่าสงสาร นางกลัวแต่ว่าจะถูกบิดามารดาดุด่า จำต้องปีนขึ้นไปเด็ดดอกไม้บนต้นไม้ แสร้งทำท่าตลกขบขันเหมือนลิง ซื้อถังหูลู่ ขนมดอกพลับ ให้สัญญาเรื่องนั้นเรื่องนี้ พูดปลอบอยู่สามวันเต็มๆ ถึงทำให้ญาติผู้นั้นหันหน้ามาได้

ทว่าซย่าอวี้จิ่นมิใช่กุลสตรี มิใช่หญิงคณิกา หากแต่เป็นสามีนาง เป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัว ต่อให้นางผลักเขาล้มลงนอนแล้วรวบหัวรวบหางก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม ไม่จำเป็นต้องทำแง่งอนด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการพลอดรักตามประสาสามีภรรยากระมัง

หูชิงพินิจพิเคราะห์

“เขารู้สึกว่าคนที่เจ้าลวนลามเมื่อก่อนมิใช่ตัวเองเลยหึงหวงน่ะสิ”

เยี่ยเจาสบช่องปลอดคน คว้าคอเขาไว้แล้วถามว่าอยากลิ้มรสกระบวนท่าใหม่ที่สุดของมวยปล้ำตงซย่าหรือไม่

หูชิงรีบเอ่ยแก้

“มีบุรุษที่ไหนกันถูกสตรีแทะโลมแล้วดีใจบ้าง”

เยี่ยเจาบอกคำตอบได้อย่างรวดเร็ว

“หอคณิกา?”

ถึงจะถูกโกรธอย่างไร้เหตุผล เยี่ยเจาก็รู้สึกว่ายามซย่าอวี้จิ่นแง่งอนช่างน่ารักนักหนา ความรู้สึกที่ได้จุมพิตเขาก็ไม่เลวจริงๆ โดยเฉพาะดวงตาแตกตื่นลนลานเพราะความตกใจคู่นั้นละม้ายคล้ายเพียงพอนหิมะที่นางเคยไล่ตามตอนล่าสัตว์อย่างไม่ผิดเพี้ยน

โจมตีเร็วเกินไปจะทำให้เหยื่อตกใจวิ่งหนี ต้องวางกับดักล่อออกมาแล้วค่อยๆ ต้อนให้จนมุมทีละก้าว

ซย่าอวี้จิ่นหยิ่งในศักดิ์ศรีตนอย่างมาก สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะถือใจตัวเองเป็นใหญ่เกินไปมิได้เด็ดขาด อย่างไรก็ต้องให้ยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายถึงจะดี สมรภูมิรักดุจสนามรบ ย่อมต้องมีเรื่องเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจควบคุมได้ สำคัญที่สุดคือต้องกลับมากุมสถานการณ์ให้อยู่หมัดดังเก่า

ส่วนใหญ่เยี่ยเจามักเยือกเย็นเสมอ นางสะกดอารมณ์ชั่วแล่นที่จะไปแทะโลมซย่าอวี้จิ่นเพื่อสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกครั้งแล้วเริ่มวางแผนใหม่

 

ซย่าอวี้จิ่นกำลังกลัดกลุ้มใจ

ในครั้งนั้นตอนเขาถูกเศรษฐีนักเดินเรือหนวดเคราเฟิ้มแทะโลมที่หอชายบำเรอ เขารู้สึกแต่เพียงอยากสำรอก คราใดที่คิดถึงขึ้นมาล้วนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย ทว่าตอนถูกเยี่ยเจาแทะโลม จุมพิตที่เคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นกลับไม่ทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอมใดๆ มีแต่ทำให้เขาใจเต้นรัวและตื่นตกใจ

บางทีอาจเป็นเพราะเยี่ยเจาเป็นสตรี ทั้งยังเป็นภรรยาเขา

บางทีอาจเป็นเพราะแม้เยี่ยเจาจะสมชายชาตรี ทว่ารูปโฉมไม่เลว

บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีที่นางปฏิบัติต่อเขา เมื่อเปรียบเทียบกับที่นางปฏิบัติต่อผู้อื่นแล้วนับว่าไม่เลวจริงๆ

กระนั้นทั้งหมดนี้ไม่อาจใช้เป็นเหตุผลที่เขาจะลดตัวลงไปให้อภัยนาง ภรรยาที่ทำตัวเป็นอันธพาลลวนลามบุรุษจะเอาไว้มิได้เด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้ซย่าอวี้จิ่นจึงไม่แยแสการประจบเอาใจของเยี่ยเจา ทุกวันตรงดิ่งไปยังกองตระเวนตรวจ ยามเช้างีบหลับ ตกบ่ายจับพวกลักเล็กขโมยน้อยมาด่าสั่งสอน และจับตาดูเหล่าหยางโถวพาคนไปกวาดถนน จากนั้นตรวจงานสามสี่รอบจนดึกดื่นค่อนคืนถึงกลับวัง

ทุกคนต้องวิ่งวุ่นกันหัวปั่น น้ำตาคลอเบ้า วันๆ จุดธูปบนบานศาลกล่าวขอให้จักรพรรดิถอดหมวกขุนนางเขาเร็วๆ ให้เขากลับบ้านไปอาศัยภรรยาเลี้ยงดู

เยี่ยเจาหัวเสียด้วยเรื่องนี้เป็นอันมาก แม้นางจะควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ระบายโทสะลงที่คนอื่น แต่พวกทหารในค่ายมองเห็นสีหน้าน่ากลัวของท่านแม่ทัพก็คิดถึงพฤติการณ์ที่ผ่านมาของนาง บันดาลให้รู้สึกกระวนกระวายใจกันอย่างมาก

มีทหารหลายนายที่รู้จักซย่าอวี้จิ่นได้รับการไหว้วานจากพี่น้องคนอื่นให้ไปพูดกับเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมถ่ายทอดวิธีเอาใจภรรยาสารพัดอย่างให้ เพียงหวังว่าเขาจะมีจิตใจเสียสละบ้างสักนิด รีบอ่อนข้อให้ท่านแม่ทัพโดยไวเพื่อให้กองทัพนครหลวงได้พบฟ้าหลังฝนสักที ทุกคนจะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าบูดบึ้งของพญายมอีกต่อไป

ท่ามกลางความโกลาหลในครอบครัวและการงานที่ยุ่งวุ่นวาย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว องค์ชายอีนั่วจะนำพาคณะทูตหนึ่งร้อยสี่สิบสามคนเข้าสู่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้

รุ่งเช้าวันต่อมาคณะทูตตงซย่าเดินทางมาถึงนอกเมืองอย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า จากนั้นทำการปลดอาวุธก่อนจะเคลื่อนขบวนผ่านถนนเต่านิล มุ่งหน้าสู่ประตูฉงเหวินพร้อมขุนนางกรมพิธีการและทหารของต้าฉินแปดร้อยนาย

เหล่าชาวเมืองให้ความสนใจชนเผ่าป่าเถื่อนซึ่งมาจากตงซย่า พากันแสดงอัธยาศัยไมตรีอันอบอุ่นด้วยการแห่แหนไปจับจองที่นั่งในหอสุราและร้านน้ำชาทุกแห่ง ตั้งวงซุบซิบนินทาพลางชะเง้อคอยาวรอดูกันอย่างครึกครื้นเช่นเคย

ซย่าอวี้จิ่นก็มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน พอตรวจตราการทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จก็วิ่งไปที่ร้านน้ำชาใหญ่ที่สุดริมถนนสงบสุข บังคับเถ้าแก่หาที่นั่งให้จนได้ จากนั้นเขาก็แทะเมล็ดแตง ดื่มชาหอมอร่อย รอดูว่าองค์ชายอีนั่วที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วดุจเดียวกันจะมีรูปลักษณ์หยาบช้าป่าเถื่อนเช่นไร

ฝ่ายเยี่ยเจาซึ่งค่อยๆ ต้อนเขาให้จนมุมอยู่นั้น ระยะนี้ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่เป็นต้องแวะเวียนมาหาเขาเสมอ ตอนนี้พวกทหารที่เดินตามองค์ชายอีนั่วมาจากค่ายของนาง นางเลยใช้เป็นเหตุผลได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่วางใจคณะทูตตงซย่า ต้องการจับตาดูว่าเจ้าพวกชาติสุนัขจะก่อความวุ่นวายหรือไม่ จากนั้นก็โยนงานอักษรให้หูชิงแล้วหลบมาที่ร้านน้ำชาด้วย

นางแทรกตัวลงนั่งข้างๆ ซย่าอวี้จิ่น ร่วมวงรอดูเป็นเพื่อนเขา

ซย่าอวี้จิ่นจะหมางเมินภรรยาต่อหน้าผู้คนมากมายก็ไม่เป็นการดีนัก อีกทั้งไม่อยากโดนภรรยาแทะโลมต่อหน้าธารกำนัลจนต้องเสียหน้า เขาจึงได้แต่ยิ้มที่มุมปาก ปล่อยให้นางแกะเปลือกเมล็ดแตงรินน้ำชาให้ตัวเองเป็นระยะ ซ้ำยังมีบางคราวที่เขาเป็นฝ่ายชวนสนทนาขึ้น

“ได้ยินว่าองค์ชายอีนั่วฆ่าคนตาไม่กะพริบ ใจคอเหี้ยมเกรียมมาก เจ้าเคยเจอเขาหรือไม่”

“ก็เคยอยู่บ้าง” เยี่ยเจาไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องขององค์ชายอีนั่ว เพียงสนใจเจ้าเพียงพอนขาวที่กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้า ทว่าเพื่อมิให้อีกฝ่ายผิดหวัง นางนิ่งคิดแล้วเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “ชาวตงซย่าเป็นชนเผ่าที่ค่อนข้างดุดันแข็งกร้าว ทุกคนพกดาบ ชมชอบการต่อสู้ นิยมนักรบเลื่อมใสนักสู้ องค์ชายอีนั่วกำพร้ามารดาแต่เด็กและไม่ลงรอยกับมารดาเลี้ยง ระหว่างนั้นดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างจนเขาถูกใส่ร้ายหลายครั้งหลายครา ตัวเขาเป็นผู้มีสติปัญญาโดดเด่น สังหารหมาป่าได้ตั้งแต่แปดขวบ อายุสิบสองปลิดชีพอาที่รังแกเขาเองกับมือ พออายุสิบห้าก็ออกศึกสร้างความดีความชอบ ต่อมายังฆ่าล้างตระกูลมารดาเลี้ยง ใครๆ โจษจันถึงความโหดเหี้ยม กระนั้นกษัตริย์แห่งตงซย่ากลับโปรดปรานเขาเป็นพิเศษ”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าทอดถอนใจ

“ล้วนเป็นพวกเดรัจฉานทั้งนั้น”

เยี่ยเจาเอ่ยเสียงเบา

“เป็นเดรัจฉานหรือไม่ หากมิได้ลงไปคลุกคลีด้วยตัวเองก็คงมองไม่แจ่มชัด”

รอคอยอยู่ราวครึ่งชั่วยามคณะทูตจึงเยื้องย่างมาถึง มีรถซึ่งบรรทุกของขวัญจนเต็มสิบกว่าคันอยู่เบื้องหน้า ในนั้นล้วนเป็นหนังสัตว์ทุกสีสันวางเรียงเป็นกองๆ ยังมีม้าพันธุ์ดีที่เพาะเลี้ยงกันเฉพาะในตงซย่าอีกหลายตัว ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญที่จะมอบให้แก่แคว้นต้าฉิน

ผู้ที่ตามมาด้านหลังขบวนคือองค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่า เขามีเรือนร่างสูงเก้าเชียะ ควบขี่อาชาพ่วงพีสีดำที่สูงใหญ่อย่างยิ่ง ผิวกายดำคล้ำ กล้ามเนื้อทุกมัดครัดเคร่งแข็งแรงประหนึ่งสัตว์ป่า เรือนผมยาวประบ่าถักเป็นเปียหลวมๆ สองสามเส้นอย่างง่ายๆ อาภรณ์ขลิบริมด้วยหนังสัตว์อย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยทองกับกระดูกสัตว์เทอะทะมากมาย รูปหน้าคมสันบึกบึนราวกับตีจากเหล็กกล้า จมูกโด่งสูง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบมีชีวิตชีวา ดูคล้ายพญาเหยี่ยวกลางหาว

ทุกคนกล่าวชมเป็นเสียงเดียวกัน

“รูปโฉมเช่นนี้ เรือนร่างเช่นนี้ ท่วงท่าเช่นนี้…สมเป็นชายชาตรีแท้ๆ ลำพังแค่ยืนนิ่งอยู่บนพื้นก็คล้ายเป็นคนหนังทองแดงกระดูกเหล็กก็ไม่ปาน ดูท่าทางก็รู้ว่าเชี่ยวชาญในเรื่องการต่อสู้ฆ่าฟัน”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นข้อเปรียบเทียบกับร่างกายที่ผอมบางและรูปโฉมสุภาพของตัวเองแล้วก็ทั้งอิจฉาริษยาและโกรธเคือง ปรารถนาว่าตนจะมีเรือนร่างกำยำล่ำสันดังเช่นองค์ชายอีนั่วบ้างเหลือเกิน จะได้จับภรรยาตัวดีมาแทะโลมอย่างสาสมใจ ให้นางได้ลิ้มรสความอับอายดูบ้าง ทั้งยังสามารถอบรมสั่งสอนนางได้ว่าอะไรคือว่านอนสอนง่าย วันหน้าสามีบอกให้ไปซ้ายก็ห้ามไปขวา บอกให้ไปขวาก็ห้ามไปซ้าย

จนแล้วจนรอดความเพ้อฝันก็คือความเพ้อฝัน เขาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง หันหน้ากลับมาอย่างท้อแท้ กลับเห็นเยี่ยเจากำลังมองเขาอยู่เงียบๆ เขาก็อดถามขึ้นมิได้

“เจ้าไม่สนใจองค์ชายอีนั่วรึ”

“ไม่เห็นมีอะไรชวนมอง”

ซย่าอวี้จิ่นไม่เข้าใจ

“เพราะอะไร”

เยี่ยเจากวาดตามององค์ชายอีนั่วแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างปรามาส

“ผู้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือข้าไยคู่ควรให้เอ่ยถึง”

ภาพเพ้อฝันในห้วงคำนึงหายวับไปในพริบตา ซย่าอวี้จิ่นบังเกิดความรู้สึกชั่ววูบ อยากกัดภรรยาให้ม้วยมรณาขึ้นมาฉับพลัน

 

ยามราตรี จักรพรรดิจัดงานเลี้ยงพระราชทานที่หอหวนไมตรี ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายมาร่วมงานกันพร้อมหน้า

ถึงผู้ตรวจการนครหลวงจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่หนานผิงจวิ้นอ๋องเป็นบรรดาศักดิ์ที่ไม่เล็กเลย เขาจึงอยู่ในรายชื่อที่ได้รับเชิญด้วย ทว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่จักรพรรดิหาได้ใส่ใจ เพียงกำชับให้เยี่ยเจามาร่วมงานเท่านั้น

ซย่าอวี้จิ่นไม่ค่อยอยากไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็กินพระกระยาหารของจักรพรรดิจนเบื่อแล้ว อีกทั้งการออกไปข้างนอกพร้อมเยี่ยเจาก็มักมีคนมาถามนั่นถามนี่ หมายจะดูเรื่องตลกชวนหัวของพวกเขา กอปรกับเขายังขุ่นข้องหมองใจที่ถูกภรรยาทำร้ายความรู้สึกหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่อยากไยดีนาง

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทูตต่างแคว้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งทำเป็นรักใคร่กันเพื่อรักษาเกียรติยศของแคว้นต้าฉินและไว้หน้าราชสำนักบ้าง หาไม่แล้วจักรพรรดิคงสามารถชักกระบี่มังกรเขียวฟันเขาตายคามือได้

เยี่ยเจาก็จับจุดสำคัญของเรื่องนี้ได้ เพียรชักชวนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ซย่าอวี้จิ่นไม่คล้อยตามท่าเดียว

นางกล่าวขึ้น

“ข้ากับองค์ชายอีนั่วเคยประมือกันในสนามรบ นับว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ไปร่วมงานนี้ลงท้ายคงต้องดื่มเป็นเพื่อนเขาหลายจอก”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“เจ้าอย่ากลับมาเมาอาละวาดก็พอแล้ว”

“พูดยาก”

เยี่ยเจามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่างก่อนจะหมุนกายจากไป ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกขึ้นมาคราหนึ่ง

ครู่ต่อมาหยางซื่อพาเมียบ่าวสองคนมาหาเขาอย่างลุกลน พวกนางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายใหม่กับยาบำรุงที่เพิ่งลงครัวต้มมาให้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสามีเป็นข้ออ้างบังหน้า หากแต่ในใจซ่อนแผนการใดไว้ก็สุดรู้

ซย่าอวี้จิ่นเหล่มองด้วยสายตาเย็นชาพลางถาม

“ไฉนบนผ้าเช็ดหน้าปักลายใบไม้”

เหมยเหนียงกลอกตาไปมาแล้วพูดอธิบาย

“นี่เป็นลายใหม่ที่สุดของปีนี้เจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นลากเสียงยาวว่า “อ๋อ” จากนั้นก็เขี่ยๆ ในชามยาบำรุง ชิมหนึ่งคำและถามอีก

“วุ้นหนังลาใช้บำรุงโลหิตสตรีมิใช่หรือ ไฉนถึงใส่มาให้ข้ากินด้วย”

เซวียนเอ๋อร์กล่าวตามสัตย์จริง

“คือว่า…ตอนแรกพวกเราจะต้มยาบำรุงให้ท่านมะ…” หยางซื่อกับเหมยเหนียงยกขาเตะสะกิดนางพร้อมกัน เซวียนเอ๋อร์สะดุ้งโหยงคราหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “มะ…มีกำลังวังชา เลือดลมหมุนเวียนดีเจ้าค่ะ”

ซย่าอวี้จิ่นหรี่ตาลง

“พวกเจ้ายังรู้เหมือนกันนี่นะว่าข้าถูกยั่วโมโหจนเลือดลมปั่นป่วน”

“เจ้าค่ะ!”

ตอนที่วรชายาอันไท่เฟยเลือกอนุภรรยาและเมียบ่าวให้มีเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือรูปโฉมงดงามและนิสัยซื่อตรง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นเล่ห์เพทุบายกันในเรือนหลัง บัดนี้ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าสตรีที่พูดจาเถรตรงเกินไปก็มิใช่เรื่องดี ช้าเร็วคงทำให้เขาโมโหตายสักวัน

เหมยเหนียงรีบดึงเซวียนเอ๋อร์ไปด้านข้าง ขณะที่ตัวเองเอ่ยขึ้นพลางยิ้มประจบ

“จวิ้นอ๋อง ได้ข่าวว่าจักรพรรดิพระราชทานงานเลี้ยงแล้วให้ท่านแม่ทัพนั่งเป็นเพื่อนองค์ชายอีนั่วหรือเจ้าคะ”

นางพูดเน้นคำว่านั่งเป็นเพื่อนดังๆ สายตามองซย่าอวี้จิ่นคล้ายจะบอกว่าบนศีรษะเขาถูกสวมเขา

หยางซื่อดุนางเสียงเข้มทันที

“จวิ้นอ๋องของเราใจคอกว้างขวาง จะถือสาที่ภรรยาดื่มสุราไม่กี่จอกกับบุรุษได้อย่างไร ใครใช้ให้พวกเจ้าคิดอะไรฟุ้งซ่าน”

เหมยเหนียงเอ่ยแก้ทันควัน

“นั่นสิ จวิ้นอ๋องของเราใจกว้างเป็นที่สุด แม้องค์ชายอีนั่วจะสูงใหญ่หล่อเหลาบึกบึน เป็นสหายเก่ากับท่านแม่ทัพ ฉะนั้นท่านแม่ทัพดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาสักจอกก็สมควรแล้ว วังหลวงก็มิใช่ที่รโหฐาน ใครต่อใครล้วนจับจ้องมองอยู่ คนที่คิดอกุศลล้วนเป็นพวกที่ไม่สุจริตใจ”

พวกนางผลัดกันพูดคนละคำสองคำ หากแต่ทุกคำล้วนยุแยงใส่ไฟ ทำให้ซย่าอวี้จิ่นฉุกคิดได้ในที่สุดว่าต่อให้เยี่ยเจาย่ำแย่แค่ไหนก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาตน หากนางอยู่ข้างนอกตามลำพัง ดื่มสุราเป็นเพื่อนบุรุษรูปงามต่อหน้าผู้คน ส่วนเขากลับไม่ออกโรงรับศึกก็คล้ายเต่าถูกสวมเขาหดหัวอยู่ในกระดอง เป็นที่หัวเราะเยาะของใต้หล้า

ซย่าอวี้จิ่นถามเสียงอ่อย

“เยี่ยเจาคงไม่ถึงกับไม่รู้การควรไม่ควรกระมัง”

หยางซื่อตอบ

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเพียงไม่ยึดติดในธรรมเนียมหยุมหยิมเท่านั้น”

แม้ซย่าอวี้จิ่นจะรู้สึกว่าอนุภรรยาและเมียบ่าวกำลังทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม กระนั้นเมื่อนึกถึงรอยยิ้มน้อยๆ น่ากลัวของเยี่ยเจาก่อนออกไปนั่นแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าคำขู่ขวัญนี้มีความเป็นไปได้อยู่มาก ถ้านางอยากกวนโทสะเขาขึ้นมาโดยการเกี้ยวพาราสีกับบุรุษในงานเลี้ยง เขาคงต้องอับอายครั้งใหญ่แล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำ เพื่อจับตาดูภรรยาให้วางตัวเรียบร้อยสักหน่อยและห้ามนางชนจอกกับบุรุษ

งานเลี้ยงในวังหลวงจะต้องสวมใส่เครื่องแบบประจำยศตามพิธีการ

ซย่าอวี้จิ่นรังเกียจที่ตำแหน่งของตนต่ำต้อย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมสวมชุดขุนนางสีเขียวที่จักรพรรดิใจดีสั่งตัดเย็บให้เป็นพิเศษต่อหน้าเหล่าญาติพี่น้องฝ่ายชาย เขาจึงใส่ชุดจวิ้นอ๋องลายดอกกลมสีม่วง คาดสายรัดเอวยึดด้วยตะขอหยก สวมหมวกทอง แลดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก

หากว่ากันตามเหตุผลที่ว่าสามีเป็นหลักของภรรยา เยี่ยเจาสมควรตามอย่างสามี แต่งกายด้วยชุดชายาจวิ้นอ๋อง สวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างและตกแต่งเรือนผมด้วยเครื่องประดับต่างๆ

นางมิได้ตัดสินใจโดยพลการ ส่งคนไปถามความเห็นของซย่าอวี้จิ่นอย่างเป็นศรีภรรยา

“แม้ข้าจะเดินสาวเท้ากว้างไปสักนิด กิริยาท่าทางหยาบกระด้างไปสักหน่อย วางตัวไม่เหมาะสมไปบ้าง แต่ข้าขอปฏิบัติตามความต้องการของท่านทุกอย่าง จะให้สวมอะไรก็สวมอย่างนั้น ไม่กลัวขายหน้าเด็ดขาด”

ซย่าอวี้จิ่นใคร่ครวญด้วยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยว่านางสวมอาภรณ์บุรุษ ดีชั่วอย่างไรยังมีความหวังว่าคนอื่นจะตาลาย ไม่รู้ว่าคนที่เป็นบุรุษเสียยิ่งกว่าบุรุษคนนี้เป็นภรรยาเขา

“ปกติเจ้าสวมอย่างไรก็สวมอย่างนั้น เจ้าไม่กลัวขายหน้า แต่ข้ายังมียางอายอยู่”

เยี่ยเจาจึงสวมชุดขุนนางลายดอกกลมสีม่วงแบบเดียวกันอย่างเต็มภาคภูมิ ท่วงท่าของนางทะมัดทะแมง งามสง่าผ่าเผย ยามยืนอยู่ข้างกายซย่าอวี้จิ่นที่มีใบหน้างามเกลี้ยงเกลาดุจหยกเนื้อดีดูสมกันเป็นพิเศษ

ขันทีน้อยที่เป็นคนนำทางเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นานได้โอกาสดีเช่นนี้ก็รีบประจบเอาใจด้วยสุ้มเสียงใสกังวาน

“หนานผิงจวิ้นอ๋อง เซวียนอู่โหว พวกท่านมาถึงพร้อมกัน ช่างบังเอิญจริงๆ นะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นพยักหน้าถี่รัว

“ใช่ บังเอิญมาก พวกเราพบกันระหว่างทางน่ะ”

เยี่ยเจากระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่ง คนรอบข้างแอบหัวเราะ ในที่สุดขันทีน้อยผู้น่าสงสารจึงนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนท่านแม่ทัพจะเป็นชายาจวิ้นอ๋องด้วย

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ทั้งคู่มาถึงหอหวนไมตรีซึ่งเป็นเรือนสูงสองชั้นตั้งอยู่กลางน้ำ

ต้นท้อซึ่งกำลังผลิดอกบานสะพรั่งได้เหล่านางกำนัลช่างประดิดประดอยนำโคมแก้วนับไม่ถ้วนมาแขวนห้อยตามกิ่งไม้ ภายใต้เงาแสงโคมที่ทับซ้อนกัน นางขับร้องถือเครื่องดนตรีคนละชิ้น ดีดบรรเลงพร้อมครวญเพลงคลอเสียงเบา ขณะที่นางระบำก็ออกลีลาร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยพลิ้วไหว ทั้งยังมีกลิ่นสุราหอมหวนลอยอวลทุกทิศ เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาไม่ขาดสาย ดุจสวรรค์บนดิน

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการนำทางแขกเหรื่อไปนั่งที่โต๊ะ จักรพรรดิออกปากให้ทุกคนไม่ต้องเคร่งครัดระวังตัวเกินไปนัก พระองค์อยู่ในงานเลี้ยงราวครึ่งชั่วยาม ดื่มสุรากับองค์ชายอีนั่ว สนทนาโอภาปราศรัยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกเหตุผลว่าตัวเองสูงวัย ร่างกายอ่อนแอจึงคออ่อนเมาง่าย และขอตัวกลับก่อน ทิ้งรัชทายาทอยู่เป็นเจ้าภาพ

หลังจากร่วมดื่มกันไปไม่กี่จอก บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย พวกขุนนางที่คุ้นเคยชอบพอกัน บ้างชนจอก บ้างว่ากลอน บ้างพิงราวกั้นชมดอกท้อ

ซย่าอวี้จิ่นผลักศอกภรรยาเป็นครั้งที่สามสิบแปด กำชับเสียงเบา

“ห้ามดื่มมากเกินไปเด็ดขาด!”

เยี่ยเจามองนัยน์ตาดำขลับของเขาแล้วก็นิ่งงันไปก่อนจะขานรับอย่างเริงรื่นชื่นบาน

“วางใจได้ ต่อให้ข้าเมาก็จะไม่อาละวาดต่อหน้าคนอื่น”

ซย่าอวี้จิ่นกระซิบอย่างมีน้ำโห

“อาละวาดลับหลังคนอื่นก็ไม่ได้!”

เยี่ยเจาแอบบีบมือซย่าอวี้จิ่นที่ใต้โต๊ะ ปลายนิ้วเขาขาวสะอาด เรียวยาวสวยงามอย่างยิ่ง นางตอบพลางอมยิ้มน้อยๆ

“ได้ๆ ข้าเชื่อท่านทุกอย่างเลย”

ซย่าอวี้จิ่นชักมือคืนอย่างโกรธเคือง พูดด้วยสุ้มเสียงที่แทบจะเป็นการคำรามในลำคอ

“ขืนเจ้าทำปากว่ามือถึงอีก ข้าจะ…จะ…”

เยี่ยเจาเอียงคอกระซิบถาม

“จะแทะโลมข้าคืน?”

ซย่าอวี้จิ่นอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ก่อนออกมาเขาอุตส่าห์ไปหาคนซื่อตรงเปิดเผยอย่างชิวเหล่าหู่เพื่อถามว่าเยี่ยเจาคอแข็งแค่ไหน กลับลืมไปว่าสุราเลิศรสหมักบ่มด้วยสูตรลับของวังหลวงกับสุราชาวบ้านจะเทียบกันได้อย่างไร ผลสุดท้ายเขาทัดทานการดื่มคารวะน้อยไปสองจอก ภรรยาก็เริ่มมีอาการเมานิดหน่อยแล้ว หากโดนนางล่วงเกินต่อหน้าผู้คน เขาก็คงได้แต่กระโดดลงจากหอหวนไมตรี ใช้ความตายยืนยันความบริสุทธิ์สถานเดียว

เวลานี้เขาจับจอกสุราของเยี่ยเจาแน่น ผู้ใดมาขอดื่มคารวะล้วนถูกเขาใช้สายตาพิฆาตตะเพิดกลับไป

ทุกคนเห็นแล้วถอนหายใจเฮือก

“ใครว่าจวิ้นอ๋องไม่ไยดีภรรยา วันๆ เอะอะจะขอหย่า นี่มิใช่รักใคร่กันดีหรอกหรือ”

องค์ชายอีนั่วแห่งตงซย่าถือจอกสุราเดินมา หยุดอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเจาครู่หนึ่งแล้วอมยิ้มเอ่ยขึ้น

“แม่ทัพเยี่ยกล้าหาญชาญชัย ชนะศึกทุกทิศ ข้าไม่นึกไม่ฝันจริงๆ เลยว่าท่านจะเป็นสตรี ยามที่ข่าวแพร่สะพัดมาถึงตงซย่า ท่านอาข้าที่ถูกท่านปล่อยตัวกลับมาอดสูจนเกือบปาดคอตาย กระนั้นก็เป็นเคราะห์ดีที่ท่านเป็นสตรี องค์หญิงอิ๋นชวน น้องสาวข้าหลงรักท่านตั้งแต่แรกพบในสนามรบ เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมออกเรือน เฝ้าแต่คิดจะเรียกตัวท่านไปเป็นราชบุตรเขย พอนางรู้ข่าวก็หลบอยู่ในกระโจมร้องไห้สามวัน ในที่สุดก็ออกเรือนตามบัญชาของเสด็จพ่อไปแต่โดยดีแล้ว”

เล่าลือกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าองค์หญิงอิ๋นชวนเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของตงซย่า ไฉนมีตาหามีแววไม่ถึงได้มาถูกตาต้องใจภรรยาเขา

ซย่าอวี้จิ่นนึกอิจฉาจนหยิกเยี่ยเจาอย่างแรงทีหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์

นางรู้สึกเจ็บ แต่สีหน้ายังนิ่งสนิท เพียงเอ่ยเรียบๆ

“ตอนนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว”

องค์ชายอีนั่วหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย จากนั้นก็ยกจอกแล้วเอ่ยขึ้นอีก

“บัดนี้ตงซย่ากับต้าฉินปรองดองกันแล้ว พวกเราก็นับว่าเป็นสหายที่ไม่วิวาทไม่รู้จักกัน สมควรร่วมดื่มสักจอก!”

สุราจอกนี้จะบ่ายเบี่ยงบอกปัดคงไม่ดีนัก

เยี่ยเจาลังเล ยกจอกสุราขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นเห็นท่าไม่ดี รีบลงมืออย่างรวดเร็ว เขาแย่งจอกสุราในมือนางมา ละล้าละลังครู่หนึ่งก็นึกไม่ออกว่าจะเรียกขานภรรยาตนว่าอะไรดี ได้แต่เอ่ยยิ้มๆ อย่างฝืดเฝื่อน

“อาเจาดื่มสุราไม่เก่ง ให้ข้าดื่มแทนดีกว่า”

องค์ชายอีนั่วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแย้มยิ้มเช่นกัน

“พวกท่านสองสามีภรรยาช่างรักใคร่และห่วงใยเอาใจใส่กันอย่างลึกซึ้งโดยแท้”

ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตต่างแคว้น ซย่าอวี้จิ่นจำต้องกัดฟันทน ตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน*

“สมควรแล้ว”

องค์ชายอีนั่วเอ่ยชมเชย

“ชาวตงซย่าล้วนกล่าวว่าวีรบุรุษต้องขี่อาชาพยศที่สุดและตบแต่งสตรีแกร่งกล้าที่สุดเป็นภรรยา จวิ้นอ๋องดูภายนอกสุภาพนุ่มนวล กลับสยบสตรีที่แกร่งกล้าที่สุดของต้าฉินได้ จะต้องเป็นวีรบุรุษขนานแท้ในหมู่วีรบุรุษเป็นแน่ คนเราจะตัดสินกันที่เปลือกนอกมิได้จริงๆ น่ายกย่อง น่านับถือ”

เยี่ยเจาสงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่จา ส่วนซย่าอวี้จิ่นได้แต่แสร้งว่าอ้วนต่อไป

“กล่าวได้ดีๆ”

เขารู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนหน้าแข็งทื่อหมดแล้ว

องค์ชายอีนั่วเปรยขึ้นอย่างระลึกถึง

“เสด็จแม่ข้าก็สามารถขี่ม้าฝีเท้าจัดพร้อมยิงเกาทัณฑ์ไม้แข็งได้แม่นยำราวกับจับวาง ตอนเป็นสาวแรกรุ่นเคยสังหารหมีดำกับมือ นอกจากข้าที่ไม่ได้ความอยู่สักหน่อย ลูกชายที่นางให้กำเนิดคนอื่นล้วนเป็นวีรบุรุษที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เป็นที่ยอมรับนับถือในกองทัพ เห็นทีลูกชายของท่านกับแม่ทัพเยี่ยจะต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่ามารดา จนปัญญาที่ตอนนี้สองแคว้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หาไม่แล้วหากวีรบุรุษกับวีรบุรุษได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันสักครั้งก็เป็นเรื่องน่ายินดีในชีวิต”

รัชทายาทสดับฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มดุจเดิม

เยี่ยเจาใจกระตุกวูบหนึ่ง รู้สึกขึ้นฉับพลันทันใดว่าถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนสนิทสนมเป็นกันเองนี้ออกจะไม่เข้าทีอยู่บ้าง

ราชสำนักตงซย่าเปลี่ยนชายาเอกมาสองคนแล้ว ชายาเอกคนที่สองอยากให้บุตรชายตนสืบทอดบัลลังก์ ปรากฏว่ากลับเป็นฝ่ายถูกพวกองค์ชายคนอื่นโดยมีองค์ชายอีนั่วเป็นผู้นำกำจัดจนสิ้นซาก บัดนี้เขาเอ่ยถึงวรยุทธ์และอำนาจทางการทหารของนางต่อหน้ารัชทายาท จากนั้นก็เอ่ยต่อไปถึงทายาทอีก ฟังแล้วเป็นการยุแยงใส่ไฟอยู่สักหน่อย คล้ายจะบ่งบอกเป็นนัยว่าบุตรชายนางมีกำลังความสามารถที่จะแย่งชิงบัลลังก์ได้

หากหว่านเมล็ดแห่งความเคลือบแคลงสงสัยลงในใจรัชทายาทจนเขาระแวงระวังไปเสียทุกเรื่อง เห็นจะเป็นเรื่องไม่เข้าทีเสียแล้ว

นางมองอย่างคลางแคลงใจ ทว่าใบหน้าขององค์ชายอีนั่วฉายแววบริสุทธิ์ใจเต็มเปี่ยม ดูคล้ายไม่กระจ่างแจ้งว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป เพียงคะยั้นคะยอให้ดื่มสุรา

“ช่างเถอะ!” ซย่าอวี้จิ่นดื่มร่วมกับเขาสามจอก เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “ถึงอาเจาจะร่างกายแข็งแรงมาก แต่ข้าสุขภาพไม่ดี คนหนึ่งขาดคนหนึ่งเกินอย่างนี้เกรงว่าลูกชายข้าคงไม่ได้ดีเด่ไปเท่าไร ท่านแม่ข้ากลัวเลือด กลัวตาย กลัวสงคราม ไหนเลยจะยอมให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนไปออกรบ มิสู้ให้ศึกษาหาความรู้มากๆ วันหน้าจะได้เป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ!”

เยี่ยเจาอดทุบเขาทีหนึ่งมิได้

“ต้องเจ้าสำราญด้วยหรือ!”

ซย่าอวี้จิ่นถลึงตาใส่นางแวบหนึ่ง ตะโกนเสียงกร้าวอย่างฮึกเหิมด้วยฤทธิ์สุรา

“ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ากล้าดีส่งลูกออกรบ ข้าจะตัดขาดกับเจ้าทันที!”

ถ้อยคำที่เอ่ยขึ้นด้วยความเมามายนี้เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

องค์ชายอีนั่วเอ่ยอย่างเสียดาย

“เช่นนั้นวิชายุทธ์ของแม่ทัพเยี่ยมิต้องปราศจากผู้สืบทอดหรือ”

เยี่ยเจาเอ่ยยิ้มๆ

“สกุลเยี่ยของข้ายังมีหลานชายสองคน วันหน้าพวกเขาซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิและแทนคุณแผ่นดินก็ไม่ต่างกัน”

รัชทายาทกล่าวอย่างเห็นพ้องด้วย

“คนสกุลเยี่ยล้วนจงรักภักดี หลานชายนางจะต้องดีแน่นอน”

องค์ชายอีนั่วคล้ายครุ่นคิดขณะมองซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า

“ตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”

รอกระทั่งพวกเขาเดินห่างออกไปไกลแล้วเยี่ยเจาค่อยพูดกระซิบกับซย่าอวี้จิ่น

“ขอบคุณนะ”

เขางุนงงมาก

“เจ้าเลอะเลือนหรือไม่ ข้าทำอะไรให้อย่างนั้นหรือ”

นางไม่แน่ใจว่าเขาแสร้งตีหน้าเซ่อหรือไม่รู้เรื่องจริงๆ จึงได้แต่พูดขึ้น

“องค์ชายอีนั่วอันตรายมาก”

ซย่าอวี้จิ่นมองแผ่นหลังขององค์ชายอีนั่วแวบหนึ่งแล้วพูดคล้อยตาม

“กำปั้นใหญ่ขนาดนั้น ต้องอันตรายอย่างยิ่งจริงๆ”

เยี่ยเจาส่ายหน้า

“ข้ารู้สึกว่าเขามีเจตนาไม่ดี ท่านก็อยู่ห่างๆ เขาหน่อย”

ซย่าอวี้จิ่นเป็นลาดื้อที่ภรรยาบอกให้ไปทางขวาก็จะไปทางซ้าย เขากล่าวเหน็บแนมทันที

“เขาพูดชมข้าคือมีเจตนาไม่ดี? พวกสตรีก็จู้จี้ขี้บ่น ใจคอคับแคบเช่นนี้แหละ”

“อย่างนั้นหรือ” เยี่ยเจาคลี่ยิ้มร้ายกาจ โน้มกายไปหาเขาช้าๆ พ่นลมหายใจพลางกล่าวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งเบาๆ หากแต่สำแดงอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน “ตอนอยู่โม่เป่ย มีข่าวลือว่าเขาชมชอบตัดแขนเสื้อ ท่าน…จะใกล้ชิดเขาจริงหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกวูบหนึ่ง ถามเสียงอ่อย

“เจ้าพูดโกหกกระมัง”

เยี่ยเจายักไหล่

“สุดแท้แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าเชื่อก็แล้วกัน”

ซย่าอวี้จิ่นมองดูเรือนร่างที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย ยังมีสายตาที่มองมาเป็นระยะด้วย

สองจิตสองใจอยู่เนิ่นนาน…ความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก เขาเชื่อไว้ก่อนดีกว่า

บทที่ 11

ไม่ว่าจะเป็นต้าฉินหรือโม่เป่ย ยามมีงานเลี้ยงล้วนถือว่าการมอมสุราสหายจนเมามายจึงจะแสดงถึงมิตรไมตรีที่มีต่ออาคันตุกะ ทุกคนเห็นซย่าอวี้จิ่นช่วยดื่มสุราแทนภรรยาสุดกำลังก็มีใจอยากกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ต่างผลัดกันเข้าไปคะยั้นคะยอให้ดื่มคนละจอกสองจอกจนเขาหัวหมุนตาลาย กระทั่งตัวเองชื่อแซ่ใดก็แทบจะจำมิได้แล้ว ยามงานเลี้ยงเลิกราเป็นเยี่ยเจาที่พยุงซย่าอวี้จิ่นกลับ

ตอนที่เขาตื่นขึ้นก็อยู่ในเกี้ยวที่ส่ายโคลงเคลงไปมา เยี่ยเจาหลับตางีบอยู่ข้างกาย ส่วนเขากลับซบไหล่นางอย่างน่าขายหน้า

ความทระนงในศักดิ์ศรีของบุรุษพลุ่งขึ้นมาท่ามกลางสติที่พร่าเลือนด้วยฤทธิ์สุรา

เป็นชายอกสามศอกจะนอนพิงสตรีได้อย่างไรกัน นี่มันแทบจะเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูสิ้นดีเลยทีเดียว!

เขาปรับเปลี่ยนอิริยาบถโดยไม่รีรอ เอนหลังพิงพนัก จากนั้นสบช่องเยี่ยเจาหลับอยู่ดันศีรษะนางเข้ามาซบไหล่ตัวเองถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจและสะลึมสะลือหลับต่อไป

รอหลังจากรอบตัวปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ เยี่ยเจาแอบลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เหลือบซ้ายแลขวาสังเกตการณ์พลางสูดกลิ่นอายหอมหวลชวนดมจากกายซย่าอวี้จิ่น ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ฉวยโอกาสอันหายากนี้เอานิ้วจิ้มๆ ที่ตัวเขา

ซย่าอวี้จิ่นตะโกนละเมอ

“หยุดนะ! ข้าอยู่ข้างบนต่างหาก!”

เยี่ยเจาพูดกล่อม

“ได้ๆ ท่านอยู่ข้างบน”

“นี่สิถึงเป็นเด็กดี! ถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะหย่ากับเจ้า!” ซย่าอวี้จิ่นขบฟันไปมาอย่างย่ามใจ “คิกๆ แม่นาง…เอวก็คอด ขาก็สวย ไอ้สุนัขตาย! อย่ามาแย่งกับข้านะ!”

เยี่ยเจาขบคิดอยู่เป็นนานก็ไม่รู้ว่าเขาฝันถึงอะไร

ยามที่ซย่าอวี้จิ่นตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาปวดศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยง

เยี่ยเจาซึ่งสวมอาภรณ์เรียบร้อยยืนอยู่ข้างเตียง ถือน้ำแกงสร่างเมาชามหนึ่งให้เขา ดูคล้ายเป็นศรีภรรยาอย่างยิ่ง

เขาดื่มเข้าไปสองคำ นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรวจดูเสื้อผ้าของตัวเอง แต่แล้วก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง ถามอย่างลุกลน

“เมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกันหรือ เจ้า…มิได้…ทำอะไรข้ากระมัง”

เยี่ยเจาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าเป็นเหมือนพวกชอบกระทำมิดีมิร้ายพรรค์นั้นหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นลอบระบายลมหายใจ ดื่มน้ำแกงสร่างเมาจนหมดแล้วนอนแผ่บนเตียงหลับต่อ

เยี่ยเจารับชามคืนมายื่นให้สาวใช้ก่อนจะก้าวเท้าปราดๆ ออกไป

ผ่านไปพักใหญ่ซย่าอวี้จิ่นย้อนคิดถึงบทสนทนาของทั้งคู่ขึ้นมา

มารดามันเถอะ…เหตุการณ์คล้ายกับเวลาพวกอันธพาลเมาสุราแล้วเกิดกำหนัดจนปลุกปล้ำหญิงสาวดีๆ ให้ตกเป็นของตนเลยนี่

แหวะๆ คล้ายที่ไหนกัน เป็นอุปาทานทั้งนั้น เลิกคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลได้แล้ว!

เขาเอาผ้าห่มคลุมโปง สลัดความคิดที่ไม่สมควรมีออกไปจากห้วงสมอง จากนั้นก็ให้กู่โถวไปบอกความต่อเหล่าหยางโถว

“วันนี้ข้าจะหยุดงาน มีเรื่องอะไรก็ให้เขาทำไปตามที่เห็นควร”

กู่โถวไปหาเจ้าหนอนน่าเวทนาอย่างรู้หน้าที่

ไม่ง่ายกว่าซย่าอวี้จิ่นจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ขณะที่เขาย่างเท้าออกจากประตูใหญ่ก็เห็นเซวียนเอ๋อร์ถือห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งเตรียมตัวกลับไปเยี่ยมบ้าน

เซวียนเอ๋อร์เป็นคนที่เก็บความในใจไม่อยู่ พอเห็นเขามีท่าทางกระปรี้กระเปร่า นางสองจิตสองใจอยู่เป็นนาน แต่ในที่สุดก็ห้ามปากที่คันยุบยิบด้วยความอยากรู้อยากเห็นไว้มิได้ ส่งเสียงถามเบาๆ

“จวิ้นอ๋อง เมื่อคืนท่านแม่ทัพเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ท่าน ทั้งยังอยู่ดูแลตลอดคืนตามลำพัง สมเป็นศรีภรรยาจริงๆ ว่าแต่เรื่องนั้น…ท่านคงอ่อนโยนกับนางดีกระมัง”

ซย่าอวี้จิ่นสำลักน้ำลายไปแล้ว เมื่อครู่เป็นผู้ใดกันที่โง่เง่ายิ่งกว่าสุกรจนหลงเชื่อว่านางไม่คล้ายพวกชอบกระทำมิดีมิร้าย

เขาวิ่งถลาไปจับตัวซีซ่วยซึ่งเป็นคนปรนนิบัติรับใช้ตนไว้แล้วถามคาดคั้น

“เมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น”

ซีซ่วยตอบ

“ท่านเมาหนักมากจนอาเจียน ท่านแม่ทัพเลยพาท่านกลับไปที่ห้อง ขอน้ำอ่างหนึ่งแล้วคอยดูแลท่านทั้งคืน เรื่องอื่นก็ไม่มีแล้วขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นถามอีก

“นางมิได้ทำ…มิใช่ ข้ามิได้ทำอะไรนางกระมัง”

ซีซ่วยตอบ

“ไม่ได้ยินเสียงดิ้นขัดขืน คงไม่มีขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นระบายลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ตบไหล่ซีซ่วยเบาๆ และเอ่ยอบรม

“นั่นน่ะสิ เมาสุราแล้วเกิดกำหนัดจนข่มเหงน้ำใจสตรีเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด เจ้านายของพวกเจ้าไม่เคยทำเรื่องไร้ศีลธรรมพรรค์นี้!”

ทุกคนกลั้นหัวเราะ พยักหน้าเออออตาม

หลังจากงานเลี้ยงที่หอหวนไมตรี คณะทูตตงซย่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี นอกจากไปร่วมงานเลี้ยงตามที่ต่างๆ แล้วดูเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

ฝ่ายเยี่ยเจาก็คล้ายจะไม่เก็บเรื่องในคืนนั้นมาใส่ใจ เพียงแต่มีงานยุ่งมากขึ้น ทุกวันไปประชุมขุนนางแต่เช้า จากนั้นก็สะสางงานมากมายในกองทัพนครหลวง พอกลับมาแทบจะหัวถึงหมอนก็หลับ กระทั่งเวลาฝึกยุทธ์ที่ฝนตกแดดออกอย่างไรไม่เคยว่างเว้นยังลดน้อยลงไปครึ่งชั่วยาม

ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าอีกฝ่ายคอยดูแลเขาที่เมามายอาเจียนโดยไม่หลับไม่นอนตลอดคืน แม้จะคลางแคลงใจว่าตนถูกแอบลวนลาม ทว่านางก็คงลำบากเหน็ดเหนื่อยเอาการอยู่ เขาสมควรแสดงไมตรีเล็กๆ น้อยๆ บ้างจึงคิดจะไปพูดคุยทักทายกับนางอยู่หลายครั้ง ถือเป็นการขอบคุณ

ทว่ายามกลางวันเขาตามหาเยี่ยเจาไปทั่วแต่ไม่พบตัว ส่วนยามเย็นน่ะหรือ…นับแต่เขารับตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงเป็นต้นมา มีสหายชักชวนออกไปเที่ยวเตร่มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจปลีกตัวได้จริงๆ เอาเถอะ ในเมื่อนางกลับมาดึกดื่นเอง จะโทษเขามิได้เช่นกัน เมื่อผ่านไปหลายวันเข้าเรื่องนี้ก็ลบเลือนไปจากห้วงความคิดของเขา

พลบค่ำ พวกสหายเสเพลชักชวนเขาออกไปอีก บอกว่าที่หอหยกวสันต์ริมแม่น้ำฉินมีนางขับร้องคนใหม่มานามว่าเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ งดงามเย้ายวน นัยน์ตาหวานซึ้งชวนฝัน น้ำเสียงนุ่มละมุน ไพเราะได้มากเท่าไรก็ไพเราะมากเท่านั้น

เขารีบตามไปฟังเสียงนางด้วยความตื่นเต้นคึกคักเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกฉีอ๋องชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง จับจองหอหยกวสันต์ไปทั้งหมด ไม่เพียงจัดงานเลี้ยงมิตรสหาย ยังเชื้อเชิญองค์ชายอีนั่วมารื่นเริงสังสรรค์กันที่นี่

ซย่าอวี้จิ่นขุ่นเคืองใจเป็นอันมากที่ต้องหมดสนุกไปพอสมควรเพราะท่านลุงที่ตนเกลียดชัง

องค์ชายอีนั่วมองเห็นเขาก็เร่งรีบเข้ามาหา ใบหน้าที่กรำแดดจนคล้ำเข้มฉายแววสัตย์ซื่อจริงใจเต็มเปี่ยม เขาค้อมกายคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“ชาวต้าฉินมีคำกล่าวว่านัดพบมิสู้เจอะเจอโดยบังเอิญ จวิ้นอ๋องดื่มสุราเก่ง เข้าไปดื่มเป็นเพื่อนสหายอย่างข้าสักสองจอกเป็นอย่างไร”

ซย่าอวี้จิ่นมีอคติต่ออีกฝ่ายอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ว่าดูอย่างไรล้วนรู้สึกว่าองค์ชายอีนั่วมีเจตนาร้ายแอบแฝง จึงปฏิเสธโดยอ้างว่าตนนัดหมายกับสหายไว้แล้วเดินเข้าไปในหอดอกซิ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอหยกวสันต์ เรียกตัวนางขับร้องมาสองสามคนและร่ำสุราหาความสำราญของตนไป ทว่าหางตากลับเหลือบแลไปทางหอสุราอีกแห่งบ่อยๆ อย่างรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก

“เอ๊ะ! ภรรยาท่านมาโน่นแล้ว!” สหายในวงสุราตะโกนเสียงดัง “ยังสนทนากับองค์ชายอีนั่วด้วย!”

“เป็นไปได้อย่างไร นางไม่ได้ชมชอบท่านลุงข้า ทั้งยังไม่เคยเก็บงำสีหน้าท่าทางมาแต่ไหนแต่ไร แล้วนางจะมาร่วมงานได้อย่างไร” ลางสังหรณ์ของซย่าอวี้จิ่นเป็นจริง เขาขยี้ตาด้วยความประหลาดใจ กล่าวรำพึงไม่หยุด “นางยังบอกข้าว่าอย่าเข้าใกล้องค์ชายลักเพศนั่น ไฉนกลับวิ่งไปหาเสียเอง”

กระนั้นเขาจะขยี้อย่างไร เยี่ยเจาก็ยังคงตามติดองค์ชายอีนั่วเป็นเงาตามตัว สนทนากันไม่หยุด แม้แต่ฉีอ๋องเข้าไปดื่มคารวะก็ยังกล่าววาจาได้ไม่กี่คำ ขณะที่องค์ชายอีนั่วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างเปิดเผยเป็นระยะ กระทั่งอยู่ที่หอดอกซิ่งฝั่งตรงข้ามยังได้ยินชัดถนัดหู

ผ่านไปไม่นานนักองค์ชายอีนั่วลุกออกจากงานเลี้ยง นางก็เดินตามไป ทั้งคู่ยืนอยู่ริมแม่น้ำฉิน พูดคุยยิ้มหัว เมื่อมองดูจากทางด้านหลัง รูปร่างเหมาะเจาะพอดี ช่างคล้ายเป็นคู่รักที่รูปงามสมกัน ก็ไม่รู้ว่าคุยเรื่องเลวทรามบัดซบตามประสาหญิงร้ายชายเลวอะไรกันอยู่

ซย่าอวี้จิ่นมองจนตาร้อนผ่าวไปหมด เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปลอบตัวเอง

“ผู้กล้าย่อมเลื่อมใสในผู้กล้า พวกเขาพูดคุยถูกคอ ดื่มสุราด้วยกันหลายจอกก็เป็นเรื่องสมควรอยู่”

“จริงของท่าน พวกเขารู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้ว มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถึงอย่างไรก็ดีกว่าดื่มเหล้าเคล้านารีกับบุรุษห้าร้อยกว่าคน” สหายในวงสุราพูดประจบเสียงเบา “จวิ้นอ๋อง ระวังด้วย เหล้าของท่านกระฉอกออกมาแล้ว”

“จริงบ้าอะไร!”

ซย่าอวี้จิ่นขว้างจอกสุราทิ้งอย่างแรง บัญชีแค้นทั้งใหม่และเก่าพลุ่งขึ้นกลางอกพร้อมความโกรธแค้นที่ล้นทะลักออกมาด้วย

นางจับมือถือแขนกับสหายเก่าต่อหน้าธารกำนัล ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย หรือนางจะคิดจริงๆ ว่าพยัคฆ์ไม่สำแดงฤทธิ์เดชเช่นเขามิใช่บุรุษใช่หรือไม่!

เขาถอดเสื้อคลุมยาวสีขาวงาช้างหรูหราออกแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของสหาย จากนั้นก็กำชับให้พวกเขาสรวลเสเฮฮากันเสียงดังต่อไป ส่วนตัวเองลอบลุกออกจากโต๊ะ แฝงกายเข้าไปในฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะโหวกเหวกอยู่ริมแม่น้ำฉินจนมาถึงใต้สะพานไม่ไกลจากพวกเยี่ยเจา

เขายอบกายลงต่ำมองสำรวจชัยภูมิรอบหนึ่ง สะกิดเรียกขอทานสกปรกที่นอนหลับอยู่ด้านข้าง โยนเงินให้สองเหรียญและบอกให้แกล้งไปขอเงินใกล้ๆ องค์ชายอีนั่ว ใช้กลิ่นเหม็นสาบจากตัวไล่พวกเขาให้เดินมาทางสะพาน เขาจะได้แอบฟังได้สะดวกว่าทั้งคู่กำลังผายลมสุนัขพร่ำพลอดสัญญารักมั่นนิรันดร์อะไรกันอยู่

ขอทานได้รับคำสั่งก็ปฏิบัติตามอย่างฉับไว

องค์ชายอีนั่วเดินมาที่ข้างสะพานกับเยี่ยเจา เขาอาศัยที่ตนมีเรือนร่างสูงใหญ่กวาดตามองไปทางซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่งแล้วก้มศีรษะลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ามุมปากกลับเผยรอยยิ้มบางๆ แฝงเล่ห์ร้ายออกมา

ริมแม่น้ำฉิน แสงโคมสว่างไสวดุจยามกลางวัน ผู้คนที่มาเที่ยวเล่นส่งเสียงเอ็ดอึงเซ็งแซ่

ในทะเลทรายเกิดพายุฝุ่นทรายบ่อยๆ ยามพูดคุยกันจำเป็นต้องตะเบ็งเสียง องค์ชายอีนั่วจึงเสียงดังเป็นพิเศษ ขณะที่เยี่ยเจาต้องตะโกนออกคำสั่งสู้รบในสมรภูมิมาเป็นเวลานาน มาตรว่าสุ้มเสียงจะค่อนข้างทุ้มพร่า แต่เสียงก็ไม่เบาไปกว่าบุรุษทั่วไป ยิ่งกว่านั้นซย่าอวี้จิ่นฝึกการฟังเสียงลูกเต๋ามาอย่างชำนาญ ทำให้โสตประสาทไวกว่าคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้แม้จะนั่งยองๆ อยู่ในจุดที่ห่างออกไปสักหน่อยและมีเสียงเอะอะอึงอล หูเขาก็ยังคงสามารถได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองจนหมดสิ้น

องค์ชายอีนั่ววางสีหน้าเป็นปกติ เดินเข้าไปใกล้สะพานอีกสองก้าวเพื่อบังสายตาของเยี่ยเจาไว้ หลังจากเขาชี้ชวนให้นางชมดูเรือสำราญบนแม่น้ำฉินพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อยไม่กี่คำแล้วก็เปรยขึ้น

“พบกันในสนามรบเมื่อสามปีก่อน แม่ทัพเยี่ยองอาจกล้าหาญสมเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง ไม่คาดว่าจะกลายเป็นสตรีไปได้ หากท่านเกิดในตงซย่า เกรงว่าคงมีบุรุษไปสู่ขอจนหัวกระไดไม่แห้ง เห็นทีผู้ที่เป็นสามีท่านจะต้องเป็นบุรุษที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในต้าฉิน ถึงเป็นที่ต้องตาต้องใจท่าน”

ใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่าหนานผิงจวิ้นอ๋องเป็นคุณชายเสเพล ถ้อยคำของบุรุษชาติสุนัขผู้นี้แทบจะเป็นการตีแสกหน้าประชดกันเลยทีเดียว แต่เขายังคงแสร้งทำสีหน้าว่า ‘ข้าเป็นชาวต่างแคว้นที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น’ สร้างความแค้นใจให้ซย่าอวี้จิ่นจนไม่รู้ว่าจะกระอักเลือดอย่างไรดี

เยี่ยเจากลับผงกศีรษะและตอบรับด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ไม่ผิด”

องค์ชายอีนั่วคิดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้ รีบพูดต่ออย่างนอบน้อม

“ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องโดดเด่นในด้านบุ๋นหรือมีความสามารถด้านบู๊เป็นเลิศให้อาคันตุกะจากแดนไกลเช่นข้ายึดถือเป็นแบบอย่างบ้างได้หรือไม่”

เยี่ยเจากล่าวขึ้นสั้นๆ

“ข้อดีของเขา ท่านทำตามอย่างมิได้หรอก”

องค์ชายอีนั่วลูบจมูกไปมา เอ่ยขึ้นราวกับรู้สึกละอายใจ

“กล่าวตามตรง นับแต่ข้าได้ทราบว่าท่านเป็นสตรีก็มีใจนิยมชมชอบอยู่สามส่วน จนปัญญาที่สองแคว้นต่างกัน อีกทั้งไข่มุกงามก็มีเจ้าของแล้ว กระนั้นในใจข้าก็รู้สึกขัดข้องอยู่ไม่วาย ดีชั่วอย่างไรให้ข้าได้รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ในเรื่องใดกันแน่”

การกล่าวถ้อยคำนี้กับหญิงสาวที่มีสามีแล้วเป็นเรื่องเสียมารยาทเกินไปจริงๆ

ซย่าอวี้จิ่นคาดเดาไปในทางร้ายว่า…หรือเจ้าคนลักเพศถูกตาเยี่ยเจาที่มีรูปโฉมคล้ายคลึงบุรุษถึงได้ติดเนื้อพึงใจนาง

เยี่ยเจาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเช่นกัน แต่ติดขัดที่ศักดิ์ฐานะ จะออกปากตำหนิติเตียนเขาก็ไม่ดีนัก

องค์ชายอีนั่วไม่ลดละย่อท้อ เอ่ยยิ้มๆ อย่างตรงไปตรงมา

“เขาดูสุภาพอ่อนโยน เกรงว่าวรยุทธ์คงด้อยกว่าท่านกระมัง”

เยี่ยเจากล่าวย้อนเป็นเชิงประชดประชัน

“ถูกต้อง วรยุทธ์ของเขาด้อยกว่าข้า เกรงว่าจะสู้ได้ไม่เกินสามกระบวนท่า ส่วนท่านอย่างน้อยยังสู้ได้ถึงร้อยกระบวนท่า เทียบกันแล้วห่างไกลกว่ามากจริงๆ”

“จริงของท่าน” องค์ชายอีนั่วอดสูใจอยู่บ้างเมื่อนางเอ่ยถึงอดีต รีบพูดเยาะตัวเอง “พวกเราล้วนเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือท่านไม่ต่างกัน กระนั้นเขาก็โฉมงามกว่าข้า”

“เจ้าสิโฉมงาม เจ้าลูกเต่าตงซย่าป่าเถื่อนสมควรตาย!”

ซย่าอวี้จิ่นชิงชังที่คนอื่นกล่าวชมตัวเองว่าโฉมงาม แต่ยิ่งชิงชังบุรุษที่ต้องสงสัยว่าชมชอบตัดแขนเสื้อแล้วยังยกยอตัวเองว่าโฉมงามมากขึ้นไปอีก เขาโมโหจนบ่นพึมพำไม่หยุด น่าเสียดายที่หากถูกจับได้ว่าแอบฟังนั้นมันไม่น่าดูจริงๆ เขาจึงได้แต่ระงับใจแทบคลั่งตาย ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา

เยี่ยเจาเอ่ยเรียบๆ

“ก็มิใช่โฉมงามสักทีเดียว เขาดีมากจริงๆ”

องค์ชายอีนั่วไม่ลดละย่อท้อ

“ยินดีรับฟัง จะอย่างไรก็ให้ข้าศิโรราบทั้งกายใจ”

เยี่ยเจานิ่งงันไป นางนึกถึงซย่าอวี้จิ่นแล้วสีหน้าพลันแปรเป็นเก้อกระดากรางๆ ไม่เฉยเมยเย็นชาดังเดิม ทว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ น่าอายพรรค์นี้ไหนเลยจะเอ่ยออกจากปากต่อหน้าผู้คนง่ายๆ มันน่าอับอายขายหน้าโดยแท้ นางจึงแสร้งกระแอมไอเสียงหนึ่ง พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

จนปัญญาที่ชาวตงซย่าเปิดเผยโผงผาง ไม่เคยชินกับการปิดบังเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งองค์ชายอีนั่วรู้ดีแก่ใจว่าซย่าอวี้จิ่นเป็นคนจำพวกใด มีเจตนาสร้างความร้าวฉานและรอชมเรื่องตลกขบขัน

เขาเอ่ยปากหยั่งเชิงครั้งแล้วครั้งเล่าและถึงขั้นยั่วยุ

“หรือจวิ้นอ๋องย่ำแย่ถึงขนาดนั้นจริงๆ จนทำให้ท่านนึกไม่ออก ต้องเฉไฉบ่ายเบี่ยง แม้แต่จะชมเชยเขาสักคำก็พูดไม่ออก เฮ้อ ข้าได้ยินใครต่อใครพูดว่าจวิ้นอ๋องไม่ค่อยจะเอาถ่านนัก เดิมทียังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูท่าว่า…เขาคงเป็นแพะน้อยเชื่องๆ น่ารักตัวหนึ่งกระมัง”

ชมสตรีคล้ายแพะเป็นคำยอ ชมบุรุษคล้ายแพะเป็นคำสบประมาท

เยี่ยเจาเดือดดาลขึ้นมาในที่สุด ซัดฝ่ามือกระแทกต้นหลิวขนาดสองคนโอบต้นหนึ่งข้างตัว มันไหวโยกไปมาอย่างรุนแรงราวกับจะล้มโค่นลงมาอยู่แล้ว บันดาลให้ซย่าอวี้จิ่นซึ่งหลบอยู่ข้างๆ ตกใจแทบตาย หลังจากนั้นนางก็สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างสะกดกลั้น พูดแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เขาเป็นเหยี่ยว หาใช่แพะ”

องค์ชายอีนั่วลากเสียงยาว พูดราวกับไม่อยากเชื่อ

“เหยี่ยว?” จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะแอบยิ้มเยาะเป็นการใหญ่ “เป็นลูกเหยี่ยวที่โฉมงามตัวหนึ่งจริงๆ”

“มีนกที่สามปีไม่บิน แต่บินคราเดียวก็พุ่งทะยานถึงฟ้า สามปีไม่ร้อง แต่ร้องคราเดียวก็ดังก้องน่าตกใจ วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก” เยี่ยเจาบันดาลโทสะแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวเน้นทีละคำอย่างช้าๆ “อย่าดูถูกคนหนุ่มว่ายากแค้น”

“อย่าเพิ่งมีน้ำโหสิ” องค์ชายอีนั่วมองซ้ายมองขวา แน่ใจว่าซย่าอวี้จิ่นยังหลบซ่อนคล้ายมุสิกตัวหนึ่ง คงไม่ถูกพบตัว จากนั้นเขาก็พิศดูสีหน้าของเยี่ยเจาอีกครั้งแล้วรีบพูดปลอบด้วยท่าทางไม่คล้ายล้อเล่น “ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น”

“เขาเป็นลูกเหยี่ยวที่ยังไม่สลัดขนทิ้งตัวหนึ่ง แต่สักวันมันจะกางปีกออกในที่สุดและบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามเช่นเดียวกับเหยี่ยวทุกตัว” เยี่ยเจาไม่แยแส พรั่งพรูวาจาสืบไปเรื่อยๆ ราวกับระบายความในใจก็ไม่ปาน “เขาฉลาดเฉลียว สามารถอ่านตำราที่มีเนื้อหาลึกซึ้งเจ็ดแปดเล่มจนเข้าใจแตกฉานได้ภายในสองวัน ทั้งยังจดจำได้ทั้งหมดและพูดทวนซ้ำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เขาเกิดมามีฐานะสูงศักดิ์ กลับจิตใจดี แต่ไรมาไม่เคยรังแกชาวบ้านยากจน เอาใจใส่คนรอบข้างอยู่เสมอ ผดุงความเป็นธรรมและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเท่าที่ความสามารถของตนจะกระทำได้ เขามีความมุ่งมั่น สามารถอดทนต่อการฝึกฝนที่จำเจน่าเบื่อนับสิบกว่าปี ศึกษาเรื่องเรื่องเดียวซ้ำไปซ้ำมาจนทำได้ดีที่สุด เขามีความกล้าหาญ ไม่เคยยอมจำนนเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง เขามีไหวพริบช่างพลิกแพลง สามารถใช้วิธีไม่ธรรมดาแก้ปัญหาได้ เขากระตือรือร้นมีพลัง แม้จะเจ็บป่วยเป็นเวลานาน วนเวียนอยู่กับความเป็นความตาย แต่มันไม่เคยทำให้จิตใจเขาปราศจากแสงแห่งความหวัง…ท่านยังจะให้ข้ากล่าวต่ออีกหรือไม่”

องค์ชายอีนั่วอ้าปากตาค้าง

“หรือเขาจะไม่มีอะไรไม่ดีเลย?”

เยี่ยเจาพูดอย่างหนักแน่นเฉียบขาด

“สิ่งที่ไม่ดีของเขาข้าล้วนชมชอบทั้งสิ้น”

บนปฐพีนี้ไม่มีวันเสาะหาคู่รักที่เพียบพร้อมไร้ที่ติอย่างแท้จริงได้พบ ทว่าบางทีอาจมีคนผู้หนึ่งซึ่งข้อบกพร่องแต่ละจุดของเขาล้วนน่ารักเหลือเกินในสายตาตน เช่นนั้นก็จะประกอบกันขึ้นเป็นความงามที่สมบูรณ์ได้

เวลานี้องค์ชายอีนั่วพลันประจักษ์ได้ว่าดูเหมือนตัวเองจะอวดฉลาดจนทำเรื่องโฉดเขลาเสียแล้ว เขารีบหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน เอะอะว่าจะกลับไปดื่มสุรา

แม้เยี่ยเจาจะหงุดหงิด ทว่านางจำต้องฝืนใจกลับไปเป็นเพื่อนเขาจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

ตรงเชิงสะพาน ซย่าอวี้จิ่นนั่งกอดเข่า ตาลอยเหม่อมองพื้นหิน

ร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เยาว์วัยทำให้เขาละทิ้งการเล่าเรียนเขียนอ่าน ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า เขาถูกเลี้ยงดูประคบประหงมอยู่แต่ในเรือนไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง หลังจากเติบใหญ่ขึ้น คนวัยเดียวกันล้วนก้าวหน้าไปไกลลิบ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านบุ๋นและด้านบู๊เทียบผู้อื่นมิได้สักอย่าง ครั้นร่างกายดีขึ้นเขาก็ยังลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งเริงรมย์ต่างๆ จนฉุดรั้งตัวเองให้หยุดอยู่กับที่

’แดดแรง อย่าดูตีคลีเลย รีบกลับไปพักเร็วเข้า’

’ไม่ต้องยืนตามธรรมเนียมอย่างคนอื่น เจ้าทนไม่ไหวหรอก รีบไปยกม้านั่งมาเร็วเข้า’

’ชมดอกไม้สำคัญกว่าร่างกายรึ เจ้าไปอยู่ในศาลาพักร้อนด้านข้างดีกว่าเถอะ’

’เพิ่งหายดี อย่าอ่านตำรานานเกินไป ระวังจะเจ็บตา’

’ถึงอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆ ของเรา ต่อให้ไม่มีความสามารถใดๆ มีหรือที่เราจะไม่ดูดำดูดีเจ้าได้’

’เราติดค้างเขามาหลายปีอย่างไม่เป็นธรรม ต่อให้เขาออกไปก่อความวุ่นวายนิดๆ หน่อยๆ ขอเพียงมิใช่เรื่องใหญ่โตก็ไม่นับว่ามีอะไร’

’ชื่อเสียง? เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ยังมีคนบังอาจวิพากษ์วิจารณ์รึ’

’ดูนั่น เขาก็คือท่านอ๋องน้อยจอมเสเพลอย่างไรล่ะ โฉมงามตรงข้ามกับความไม่เอาไหน คิกๆ’

ในสายตาของทุกคน เขาเป็นคนโฉดเขลาไร้สามารถ นักเลงเหลือขอ คนเสเพล ตัวบัดซบ ยอดแห่งตัวไร้ค่าที่ใช้การใดมิได้ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างเคว้งคว้างเลื่อนลอย

แต่ไรมาไม่มีคนตั้งความหวังกับเขาแม้แต่น้อย

แต่ไรมาไม่มีคนรู้ว่าในใจเขาก็เคยมีความใฝ่ฝัน

แต่ไรมาไม่มีคนรู้ว่า…

เขาเคยฝันอยากเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญ สู้รบในสมรภูมิ

เขาเคยปรารถนาอยากเป็นจอมยุทธ์ ผดุงความเป็นธรรม ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ

เขาเคยวาดหวังอยากเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน มีความรอบรู้อย่างลึกซึ้งแตกฉาน

เขาเคยนึกภาพตัวเองเป็นขุนนางใหญ่ รับใช้ราชสำนักอย่างใจซื่อมือสะอาด

เมื่อเจริญวัยขึ้น ความเป็นจริงทำลายความฝันไปทีละเล็กทีละน้อย สุดท้ายเขากลายเป็นคนเสเพล

เขานึกว่าตัวเองล้มเลิกความคิดไปนานแล้วและจะไม่หวนนึกถึงความใฝ่ฝันด้วยใจที่ฮึกเหิมเมื่อครั้งวัยเยาว์เหล่านี้อีก

นางกระจ่างแจ้งข้อดีของเขา ชื่นชมข้อเสียของเขา ทั้งยังลั่นวาจาจากใจจริงว่ายินยอมเชื่อมั่นในตัวเขา

ทว่าบินคราเดียวก็พุ่งทะยานถึงฟ้า เรื่องพรรค์นี้…จะทำได้อย่างไร

หญิงสมควรตายผู้นี้พูดจาเกินความจริงมากไปแล้ว!

เหยี่ยวอะไรกัน น่าคลื่นไส้ขนลุก หลอกเอาเจ้าหน้าโง่ที่มาจากตงซย่าหลงเชื่อว่าเป็นความจริง!

หากดังไปเข้าหูผู้อื่นคงเหมือนเรื่องชวนหัวจริงๆ ให้ตายสิ!

ซย่าอวี้จิ่นถ่มน้ำลายคำหนึ่งอย่างแรงประหนึ่งต้องการลืมเลือนเรื่องเมื่อครู่ไปให้หมด ทว่ากลับมีก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกลำคอ และแล้วน้ำตาก็ไหลผ่านแก้มหยดลงมาเบาๆ อย่างไม่เอาไหน เขารีบปิดหน้าไว้แล้วก้มศีรษะลง ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดสุดความสามารถ ไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นภาพน่าอายนี้ แต่ยังคงมีหยดน้ำไหลซึมออกมาตามร่องปลายนิ้วขาวสะอาด เช็ดอย่างไรก็ไม่แห้งเหือด

อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้…น้ำตาลูกผู้ชายจะไหลออกมาง่ายๆ มิได้

ในห้วงสมองมีถ้อยคำที่เหล่าเกาเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้นานมาแล้วผุดขึ้น

’อันว่าสตรีนี้สำคัญที่สุดคือคนที่ดีต่อท่านอย่างหมดจิตหมดใจและดูแลท่านด้วยน้ำใสใจจริง’

หลังจากแต่งงานมาสามเดือนเจ็ดวัน ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักเยี่ยเจาเป็นครั้งแรก

 

เขาตาแดงก่ำเหมือนกระต่าย หากนางเห็นเข้า เขาจะไม่โดนหัวเราะเยาะหรือไร

ซย่าอวี้จิ่นขยับอาภรณ์บนตัวให้เรียบร้อย ยืนเหม่ออยู่ริมแม่น้ำครู่หนึ่ง หลังจากอารมณ์สงบลงแล้วถึงกลับไปหาพวกสหายกินสหายเที่ยวที่หอสุราและเปลี่ยนชุดคืน

เขากล่าวเพียงว่าลมพัดฝุ่นเข้าตา ให้คนไปหยิบคันฉ่องมาส่องดูหางตา เมื่อแน่ใจว่าไม่ต่างจากยามปกติก็บ่ายหน้าไปที่ตรอกนางแอ่น ผลุบกายหายเข้าไปในเรือนโกโรโกโสหลังหนึ่ง พูดจาข่มขู่คุกคามจนเอาของชิ้นหนึ่งมาได้ จากนั้นก็เร่งรีบกลับวัง

เยี่ยเจายังไม่นอน นางลองกระบี่อยู่ใต้แสงโคม จะรอคอยเขาอยู่หรือไม่ก็สุดรู้

ด้วยแต่ไรมาไม่เคยแสดงไมตรีกับภรรยามาก่อน ซย่าอวี้จิ่นไม่วายรู้สึกเก้อกระดาก เขายืนอยู่หน้าประตู เตรียมใจอยู่นานสองนาน ทว่าผ่านไปหลายชั่วเค่อแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มอย่างไรดี สุดท้ายเป็นเยี่ยเจาที่เดินเข้ามาหา

นางพิงตัวหมิ่นๆ กับกรอบประตู ยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง

“ทำไมรึ ดึกดื่นป่านนี้เพิ่งกลับมา ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”

การแอบฟังเป็นเรื่องน่าขายหน้าอย่างที่สุด ไหนเลยซย่าอวี้จิ่นจะกล้าพูด เขาอึกๆ อักๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ข้ามาดูว่าเจ้านอนหรือยัง ข้าอยากใส่ใจเจ้าบ้างก็มิได้หรือ”

“เอ๊ะ?”

เยี่ยเจาแปลกใจอยู่สักหน่อย นางมองท้องฟ้า ดูคล้ายมีเมฆดำบดบังแสงจันทร์ จากนั้นก็ก้มศีรษะลงมองดูขาสองข้างของอีกฝ่ายที่ยืนบิดไปบิดมา ในใจกระจ่างแจ้งขึ้นบ้างโดยพลันจึงถามหยั่งเชิง

“หรือท่านรู้มาว่าระยะนี้ข้าอยู่กับองค์ชายอีนั่ว ถูกคนอื่นซุบซิบนินทาอีกเช่นเคยเลยอึดอัดใจ?”

“มีบ้างเล็กน้อย” ซย่าอวี้จิ่นไม่เคยชินกับการพูดจาดีๆ กับนางจริงๆ กระนั้นก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงจะชักแม่น้ำสักกี่สายหรือซักซ้อมคำพูดในหัวสักกี่ครั้ง สิ่งที่เขาพูดออกมายังคงเป็นเรื่องที่ฉีกหน้าตัวเองอย่างมาก “ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงอยู่กับคนลักเพศสมควรตายนั่นทุกวัน คงมิใช่เขามีตาแต่ไร้แวว มาหลงชอบเจ้ากระมัง”

กล่าวจบเขารู้สึกว่าตนเป็นชายอกสามศอก จะซักไซ้ภรรยาก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม เขาจึงยืดอกขึ้น แสร้งวางท่าเคร่งขรึมสุดความสามารถขณะรอคอยคำตอบ

“องค์ชายอีนั่วมิได้ธรรมดาเช่นที่เห็นภายนอก เขาเป็นผู้กล้าระดับหัวแถวของตงซย่า ชื่นชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน ใจคอโหดเหี้ยมเด็ดขาด เขามีชายาสี่ห้าคนซึ่งแทบจะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ฉะนั้นท่านอย่าคิดฟุ้งซ่าน ข้าเป็นแม่ทัพของต้าฉิน หากเรื่องแพร่ออกไปทำให้เป็นที่กินแหนงแคลงใจของผู้อื่นจะไม่เป็นผลดี”

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ สองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ถึงเอ่ยพลางยิ้มฝืดๆ

“จักรพรรดิทรงเห็นว่าราชสำนักตงซย่ามักใหญ่ใฝ่สูง คงไม่อ่อนข้อยอมจำนนโดยง่าย การมาเยือนในครั้งนี้เกรงว่าจะเป็นกลลวง ด้วยเหตุนี้จึงมีบัญชาให้ข้ากับใต้เท้าราชมนตรีฝ่ายอักษรสารที่เคยทำหน้าที่ทูตไปเยือนตงซย่าอ้างฐานะสหายผลัดกันพาเขาเที่ยวชมที่ต่างๆ เป็นการจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เขาก่อปัญหาวุ่นวายขึ้น”

เพียงพอนเหลืองมิให้ภรรยาตัวเองไปอยู่เป็นเพื่อนบุรุษป่าเถื่อน กลับให้ภรรยาเขาไปรึ!

ซย่าอวี้จิ่นทำสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง ลอบก่นด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเพียงพอนเหลืองอยู่ในใจหลายตลบ

“จักรพรรดิทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ข้าว่าแล้วว่าหมอนั่นมิใช่คนดี!”

เยี่ยเจาเอ่ยยิ้มๆ

“ท่านก็รู้เช่นกันหรือ”

ซย่าอวี้จิ่นจนวาจาไปชั่วขณะ เคราะห์ดีที่เขาปัญญาไว อ้างเหตุผลมาสาธยายได้เป็นคุ้งเป็นแคว “ข้าเพียงรู้สึกว่าเงื่อนไขในการสงบศึกของเขาสมเหตุสมผลเกินไป การเจรจาก็ราบรื่นเกินไป ดูท่าทางเหมือนไม่อยากสร้างความพอใจให้จักรพรรดิกับเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊อย่างสิ้นเชิง แต่มีใครที่ไหนกันที่ทำการค้าแล้วไม่โลภมาก ทั้งยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าตั้งราคาสูงเสียดฟ้า ต่อราคาต่ำติดดิน หรือเขาจะนึกว่าตัวเองเป็นขงจื๊อเม่งจื๊อกลับชาติมาเกิด?”

เยี่ยเจาเอ่ย

“ก็มีคนซื่อตรงที่ทำการค้าอย่างสุจริตอยู่เหมือนกัน”

ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ

“คนพวกนี้มิใช่ไม่ละโมบ เพียงแต่ฉลาดมากต่างหาก พวกเขาหมายจะหากินกับลูกค้าประจำก็จำต้องใช้ความซื่อสัตย์เป็นการสร้างชื่อแบบปากต่อปาก จะได้ทำการค้ากันได้เนิ่นนาน ไม่นอกลู่นอกทางเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันจนตัดเส้นทางสู่ความมั่งคั่งในระยะยาว การเจรจาแลกเปลี่ยนระหว่างแคว้นต่อแคว้นพรรค์นี้…กระทั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังไม่เข้ามายุ่ง ถึงตีกันหัวแตกเลือดตกยางออกไปข้างหนึ่ง จบเรื่องแล้วยังหันหน้ามาจับมือเป็นมิตรกันได้ ฉะนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องขูดเลือดขูดเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

เยี่ยเจาฟังแล้วหัวเราะร่วนพลางพูดซ้ำๆ

“หลักแหลม!”

ซย่าอวี้จิ่นเห็นบรรยากาศผ่อนคลาย เป็นจังหวะอันดียิ่งก็หยิบห่อผ้าไหมทรงยาวออกมาจากด้านหลังยัดใส่มือนาง

“แล้วก็…นั่น…ข้าให้เจ้า อย่าโมโหนะ”

เยี่ยเจารับมาอย่างยินดี พอเปิดออกดูก็นิ่งตาค้าง

ในห่อผ้าไหมเป็นกริชยาว ด้ามจับเป็นหัวเสือ รูปทรงเรียบง่ายเก่าแก่หากแต่ฝีมือวิจิตรบรรจง บนนั้นสลักตัวอักษรโบราณคำว่า ‘พยัคฆ์คำราม’ เอาไว้

เยี่ยเจาแทบจะกระโจนไปที่โต๊ะประทินโฉมของตัวเองอย่างว่องไว นางรื้อหากล่องไม้ต้นถง ใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วเปิดออกดู ในนั้นมีกริชพยัคฆ์คำรามแบบเดียวกัน เป็นวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อนและเป็นของสุดรักสุดหวงของนาง

นางถือกริชสองเล่มไว้แล้วคะเนน้ำหนักในมือ พิศดูอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยพื้นผิวหรือสัมผัสมือล้วนเหมือนกันทุกประการจนแยกแยะของจริงของปลอมไม่ออก

“ไม่ต้องดูแล้ว” ซย่าอวี้จิ่นกล่าวเนิบๆ “ผลงานของช่างใหญ่หลี่ไหนเลยจะให้เจ้าจับผิดได้โดยง่าย”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างงงงวย

“ข้าแย่งมันมาจากในสนามรบเมื่อสามปีก่อน ไฉนจะเป็นของปลอมไปได้”

ซย่าอวี้จิ่นถาม

“หลังจากเจ้ากลับมาเคยให้ผู้อื่นหยิบยืมหรือไม่”

“สองเดือนก่อนฝักกริชมีรอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่ง ข้าเลยเอาไปซ่อมที่หอหิ้งสมบัติ…หรือว่า?”

“เถ้าแก่หอหิ้งสมบัติเป็นสหายเก่าของช่างใหญ่หลี่”

ซย่าอวี้จิ่นหยิบกริชที่นางเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะประทินโฉมมา ดึงด้ามหัวเสือออกจากใบมีด

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมชี้ลวดลายเล็กๆ ดูคล้ายรอยขูดขีดอย่างไม่ตั้งใจที่จุดหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาตรงมุมขวาด้านบน

“สิ่งของที่เขาทำปลอมขึ้นล้วนทำสัญลักษณ์ประจำตัวไว้ เจ้าส่องดูลายเส้นนี้กับแสงไฟก็จะเห็นชื่อเขา”

เยี่ยเจาเดินไปพินิจดูใต้แสงเทียนแล้วเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ถามขึ้นอย่างร้อนรน

“ท่านรู้มาจากที่ใด”

ซย่าอวี้จิ่นลูบจมูกอย่างละอายใจ

“ช่างใหญ่หลี่เป็นคนเจ้าปัญญา มีอารมณ์ขัน เขายกตนว่ามีพรสวรรค์ ไม่ฝักใฝ่เงินทอง ไม่มัวเมานารี หลงใหลเพียงการทำของปลอม ฝีมือเขาไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน ไม่ว่าจะทำเรื่องใดล้วนใจกล้าไม่ยั้งคิด ทุกปีเขาจะปลอมแปลงงานฝีมือที่เลียนแบบยากที่สุดชิ้นหนึ่ง เอาไปหลอกคนที่ถูกหลอกได้ยากที่สุด จากนั้นทุกคนจะเดิมพันลับหลังว่าสำเร็จหรือไม่ สองปีก่อนคนที่หลงกลคือข้า ของที่ใช้หลอกเป็นลูกหินสิงโตหยกขาวฉลุลาย แต่ข้าดวงดี ไม่ระวังทำมันตกแตกถึงจับพิรุธได้ นับแต่นั้นมาข้ากับเขาก็นับว่าไม่วิวาทไม่รู้จักกัน ปีนี้เขาปล่อยข่าวในหมู่พวกเราตั้งนานแล้วว่าคนที่เขาจะหลอกก็คือเจ้าที่มีกิตติศัพท์เป็นผู้รอบรู้เรื่องศัสตราวุธ ข้าเดิมพันว่าเจ้าจับไม่ได้ ชนะเงินมาพันกว่าตำลึง…”

ซย่าอวี้จิ่นพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนมาก

แม้เยี่ยเจาไม่รู้ว่าเขาเกิดมีมโนธรรมในใจเผยความจริงออกมาด้วยเหตุผลใด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการแสดงไมตรี ในใจนางรู้สึกปีติยินดีอยู่บ้าง ไม่อยากไล่เลียงเอาความ

นางแบมือออก กล่าวทีเล่นทีจริง

“เงินที่ท่านชนะมาได้จะไม่แบ่งให้ข้าด้วยรึ”

ซย่าอวี้จิ่นล้วงถุงเงินออกมาแต่โดยดีทันใด รีบเร่งหยิบตั๋วเงินสองปึกส่งให้นางพลางถามเสียงอ่อย

“เจ้าไม่โมโหกระมัง” เขาเห็นว่าอีกฝ่ายดูคล้ายไม่มีท่าทีตำหนิโทษก็รีบทวงความชอบ “ข้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปตั้งมาก ทั้งขู่ทั้งหลอกกว่าจะเอาของคืนมาจากช่างใหญ่หลี่ได้นะ”

เยี่ยเจาไม่แม้แต่มองดูก็เก็บตั๋วเงินขึ้น หยิบกริชสองเล่มพร้อมอุทานชม

“กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย ผลงานของช่างใหญ่หลี่เยี่ยมยอดอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียมจริงๆ ข้าถึงกับจับสังเกตไม่ได้แม้แต่น้อยเชียวหรือนี่”

ซย่าอวี้จิ่นระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง

เยี่ยเจาถามอีก

“ข้ามีดาบคู่ยวนยาง แต่พลั้งเผลอทำหล่นหายไปเล่มหนึ่ง ให้ช่างทั่วไปตีเล่มใหม่ออกมา จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ความรู้สึกเหมือนคู่เดิมของมัน ไม่รู้ว่าช่างใหญ่หลี่จะตีดาบตามแบบอีกเล่มให้เข้าคู่กับเล่มที่ข้ามีอยู่ได้หรือไม่”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“ยิ่งเป็นสิ่งของที่คนทั่วไปทำไม่ได้เขายิ่งชอบ อีกประการหนึ่ง เจ้าล่วงรู้ความจริงเรื่องกริชพยัคฆ์คำรามแล้ว เขาคงกระวนกระวายใจอยู่เหมือนกัน หากตกลงให้ค่าจ้างอย่างงามแล้วค่อยข่มขู่อีกสักคำสองคำ คิดว่าเขาจะต้องยินยอมแน่”

เยี่ยเจาดีใจยกใหญ่ นัดหมายกับเขาว่าวันรุ่งขึ้นกลับจากประชุมขุนนางแล้วจะไปตรอกนางแอ่นพบช่างใหญ่หลี่ด้วยกัน

 

ทว่าในวันต่อมาพวกเขาเพิ่งถึงปากตรอกนางแอ่นก็ได้ยินข่าวร้าย

ช่างใหญ่หลี่ตายแล้ว เขาถูกแทงกลางอกสิ้นใจในดาบเดียว เถี่ยตั้นซึ่งมาส่งของที่เรือนเขาในตอนเช้าเป็นคนพบศพ

ผู้พลิกศพคะเนเวลาที่เสียชีวิตคือยามจื่อ ของเมื่อคืน

เจ้าเมืองนครหลวงส่งมือปราบออกไปสืบข่าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทุกคนยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากซย่าอวี้จิ่นแล้วไม่มีผู้ใดมาที่เรือนของช่างใหญ่หลี่ และไม่มีผู้ใดบาดหมางกับเขาด้วย

ซย่าอวี้จิ่นนิ่งงันตาค้าง รู้สึกว่าแผ่นดินนี้พิลึกพิลั่นไปหมด

เมื่อวานเขาเอากริชไปผูกไมตรีกับภรรยา วันนี้ก็ถูกลือว่าสังหารคนและโดน ‘เพียงพอนเหลือง’ เรียกตัวไปซักถาม ความวุ่นวายโกลาหลทั้งหมดนี้เกิดจากเรื่องใดกันแน่

วรชายาอันไท่เฟยปักใจเชื่อว่าสะใภ้เป็นดาวข่มบุตรชายคนเล็ก

หยางซื่อเห็นว่าสวรรค์มอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่แก่คนเช่นนี้แล

เหมยเหนียงพูดว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

เซวียนเอ๋อร์เอ่ยอย่างมั่นใจมากว่าพักนี้เวลาที่จวิ้นอ๋องเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้ความจริงใจ พระโพธิสัตว์จึงไม่คุ้มครอง

เยี่ยเจากล่าวอย่างเยือกเย็น

“ปลงๆ ซะบ้าง ถึงอย่างไรท่านก็เคราะห์ร้ายมาโดยตลอดอยู่แล้ว”

ซย่าอวี้จิ่นสติขาดผึงอย่างสิ้นเชิง

“บ้าเอ๊ย! เจ้าตั้งใจจะใช้วิธียั่วโมโหข้าให้ตายเป็นการกำจัดสามีทิ้งใช่หรือไม่”

จักรพรรดิเห็นว่าคณะทูตตงซย่ายังอยู่ หากมีข่าวลือว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์สังหารคนแพร่ออกไปจะต้องเป็นเรื่องฉาวโฉ่อย่างเลี่ยงมิได้ พระองค์ไม่อยากให้เรื่องนี้โจษจันกันไปทุกตรอกซอกซอยจึงเรียกตัวเจ้าเมืองนครหลวงและเจ้าหน้าที่สืบคดีที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยซย่าอวี้จิ่นกับภรรยามาไต่ถามในห้องทรงพระอักษร กำชับว่าจะต้องจัดการเรื่องใหญ่จนเป็นเรื่องเล็ก และจากเรื่องเล็กจนไม่มีเรื่อง

ซย่าอวี้จิ่นได้แต่เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นรอบหนึ่ง อธิบายว่าเขาได้ด่าทอช่างใหญ่หลี่จริง ซ้ำยังใช้อำนาจข่มขู่และผลประโยชน์หลอกล่อ จากนั้นก็แย่งของแล้วหนีออกมาจนทำให้อีกฝ่ายโมโหมาก แต่ตัวเองมิได้ลงมือสังหารเด็ดขาด

จักรพรรดิฟังแล้วขมวดคิ้ว ดุด่าเขาซ้ำๆ ว่าเหลวไหลสิ้นคิดแล้วหันไปซักถามเจ้าเมืองนครหลวงต่อ

เจ้าเมืองนครหลวงพิศดูสีพระพักตร์ก็แจ่มแจ้งถึงพระประสงค์ เขารู้ว่าหากตัวเองพูดว่าคนร้ายคดีนี้มิใช่ซย่าอวี้จิ่นจะต้องถูกจักรพรรดิบังคับให้ไขคดี และถ้าไขคดีมิได้ก็คงไม่อาจรักษาหมวกขุนนางบนศีรษะไว้ มิสู้ใช้ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่มีอยู่ในตอนนี้มาปิดคดีอย่างรวดเร็วจะดีกว่า

อีกประการหนึ่ง เรื่องยาปลอมคราวก่อน เขาถูกขุนนางตำแหน่งเล็กๆ เช่นผู้ตรวจการนครหลวงบีบให้ต้องตัดสินคดีอย่างยุติธรรม กลับบ้านไปถูกอนุภรรยาคนโปรดโวยวายตัดพ้ออยู่นานครึ่งเดือน ไฟโทสะสุมอยู่ในใจไม่น้อย บัดนี้เห็นอีกฝ่ายเคราะห์ร้าย เขาอดลอบยินดีปรีดามิได้

หลังจากขบคิดดูแล้ว เจ้าเมืองนครหลวงก็เอ่ยอย่างระมัดระวังถ้อยคำ

“สาเหตุการตายของช่างใหญ่หลี่คือถูกแทงทีเดียวสิ้นใจ อาวุธคือกริชสั้นซึ่งถูกทิ้งไว้ด้านข้าง บนร่างกายปราศจากร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้ มือปราบสอบถามจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้ว นอกจากกล่าวว่าจวิ้นอ๋องไปที่นั่นและเกิดการทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย แต่หาได้มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าจวิ้นอ๋องเป็นผู้สังหาร กระหม่อมขอบังอาจคาดเดาว่าช่างใหญ่หลี่อาจคับแค้นจวิ้นอ๋องด้วยเรื่องหมางใจเล็กน้อยจนปลงไม่ตกไปชั่วขณะเลยปลิดชีพตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาซึ่งเข้ามาช่วยในการสืบคดีนี้สนิทสนมกับฉีอ๋องไม่น้อย เขาก็ทอดถอนใจตามไปด้วย

“ไฉนชาวบ้านผู้นั้นถึงปลงไม่ตกเพียงนั้น พลอยทำให้ชื่อเสียงของจวิ้นอ๋องต้องเสื่อมเสียไปด้วย”

องค์หญิงฉางผิงรับบัญชาจากพระพันปีมาช่วยขอความเมตตาให้ญาติผู้น้อง นางเบะปากเอ่ยยิ้มๆ

“ต่อให้ฆ่าแล้วจะเป็นอย่างไร ก็แค่สามัญชนต่ำต้อยคนหนึ่ง อย่างมากก็ให้เงินชดเชยเป็นค่าทำศพเพิ่มขึ้นสักหน่อย ครอบครัวเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากความแล้ว”

แม่นมหลิวที่พระพันปีส่งตัวมาเช่นกันรับฟังการลงความเห็นจบก็ยกมือทาบอกกล่าวขึ้น

“อมิตาภพุทธ คนผู้นี้จิตใจคับแคบนัก ตายแล้วยังให้ร้ายผู้อื่น ช่างน่าชังจริงๆ”

พวกเขาผลัดกันวิพากษ์วิจารณ์คนละคำสองคำ ซ้ำยังยกเรื่องวุ่นวายที่ซย่าอวี้จิ่นก่อไว้ในอดีตขึ้นมาหลายเรื่อง แม้ไม่ทำให้ผู้ใดถึงแก่ชีวิต แต่มีนานาสารพัดรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้

ทุกคนถกเถียงกันเสียงระงมจนสุดท้ายกระทั่งจักรพรรดิก็ชักจะเชื่อว่าคราวนี้ซย่าอวี้จิ่นกระทำเกินกว่าเหตุ แล้วยังประสบกับเจ้าทุกข์ที่คิดเล็กคิดน้อยจึงเกิดเรื่องปลิดชีพตัวเองด้วยความคับแค้นใจ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าขุ่นมัว

“พวกเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้สมควรยุติลงเช่นไร”

องค์หญิงฉางผิงชิงตัดหน้าก้าวหนึ่ง พูดอย่างกระเง้ากระงอด

“ก็เหมือนเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อทรงสั่งสอนหม่อมฉันสิเพคะ ตัดเบี้ยหวัดเขา ห้ามออกไปที่ไหนอีกสามเดือน”

เจ้าเมืองนครหลวงกล่าว

“ให้ค่าชดเชยครอบครัวผู้ตายกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงเล็กๆ น้อยๆ เป็นการปิดปากทุกคนไว้โดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาเอ่ย

“จวิ้นอ๋องกระทำผิดโดยไร้เจตนา ว่ากล่าวตักเตือนเป็นการส่วนตัวแล้วก็แล้วกันไป อย่าทำให้พระพันปีต้องเสียพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

แม้จะกล่าวว่าโอรสสวรรค์ทำผิดมีโทษเท่าสามัญชน ทว่านับแต่โบราณมา เว้นแต่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือผู้สูงศักดิ์ที่ถูกจักรพรรดิหวาดระแวงและจงใจหาข้ออ้างเล่นงานให้ถึงที่ตายแล้ว หาได้เคยมีกรณีที่เชื้อพระวงศ์ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพราะสังหารราษฎร

แม้แต่ขุนนางซื่อสัตย์สุจริตในเรื่องเล่าที่มีคนแต่งขึ้นก็เพียงสังหารราชบุตรเขยกับบุตรชายของท่านอ๋องพระญาติห่างๆ ไหนเลยจะกล้าบั่นศีรษะองค์หญิงองค์ชายจริงๆ

ไม่ว่าซย่าอวี้จิ่นจะมิได้สังหารคน เพียงบีบคั้นผู้อื่นให้ตาย หรือถึงจะสังหารคนจริงๆ ก็ตาม อย่างมากก็ถูกจับตัวไปตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงยกหนึ่งลับหลัง จ่ายเงินชดเชยและถูกกักบริเวณเท่านั้น ขอเพียงเขายอมรับผิด คดีก็สามารถปิดลงได้ทันทีและมีคำตอบให้แก่ทุกฝ่าย ครอบครัวผู้ตายได้รับเงินชดใช้ก้อนโต นอกจากผีเคราะห์ร้ายที่ตายไปจะน่าเวทนาอยู่สักหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดีต่อท่าน ต่อข้า และต่อทุกคน

จักรพรรดิชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วตั้งท่าจะแสร้งทำเป็นเลอะเลือน ผลักเรือตามน้ำ เอ่ยอย่างรวบรัดตัดความเพื่อให้เรื่องจบลงโดยไว

“อวี้จิ่น เจ้าทำอะไรเหลวไหลเกินไปแล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ถลึงตาใส่เยี่ยเจาแวบหนึ่ง “เป็นภรรยาก็ไม่กวดขันสามีตัวเองให้ดี ปล่อยให้ออกไปก่อความวุ่นวายข้างนอก ไม่ได้เรื่อง!”

นางขมวดคิ้วน้อยๆ ดูคล้ายไม่ใคร่ชอบใจนัก

“เรื่องนี้จะยุติลงเช่นนี้หรือเพคะ”

จักรพรรดิถาม

“เจ้าอยากให้เราโบยเขารึ ให้เขาไสหัวกลับไปเอาเงินก้อนหนึ่งมาปลอบขวัญครอบครัวผู้ตายและทำให้ทุกคนพึงพอใจให้ได้ ครึ่งปีหลังจากนี้อยู่แต่ในวัง ห้ามก้าวเท้าออกนอกประตู ตั้งใจอ่านคำสอนของนักปราชญ์ผู้รู้มากๆ จะได้เข้าใจหลักในการประพฤติปฏิบัติตนเสียบ้าง รอหลังจากครึ่งปีเรื่องนี้ก็ย่อมเงียบหายไปเป็นธรรมดา”

ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียงกัน

“ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยพระปรีชาญาณ ทำให้ผองชนศิโรราบทั้งกายใจ”

ซย่าอวี้จิ่นซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากขึ้น

“ไม่! ข้าไม่ศิโรราบ!”

จักรพรรดิโมโหจนกล่าววาจาไม่ยั้งปาก

“เจ้าคนบัดซบ ยังคิดจะเอาอย่างไรอีก”

“ครอบครัว?” ซย่าอวี้จิ่นคลี่ยิ้ม “ช่างใหญ่หลี่เป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดา กระทั่งพื้นเพที่มาก็ยังไม่แจ่มแจ้ง เขาลุ่มหลงในงานฝีมือ ไม่มีลูกเมีย ไหนเลยจะมีครอบครัวได้ หรือแม้แต่เรื่องนี้พวกท่านก็มิได้สืบให้กระจ่างชัด”

เจ้าเมืองนครหลวงเอ่ยอย่างตกตะลึง

“เขาย้ายจากเหอซีมาตั้งรกรากในเมืองหลวง ในหนังสือทะเบียนที่ทางที่ว่าการส่งมาให้มีบันทึก…”

ซย่าอวี้จิ่นโคลงศีรษะ

“หนังสือทะเบียนของที่ว่าการนั่นเป็นของปลอม ตอนเขาอายุราวสิบขวบอาศัยอยู่ที่ลั่วตง ประทังชีพด้วยการทำของปลอมหลอกคนจนล่วงเกินผู้มีอิทธิพลเข้า เขากลัวถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องจึงปลอมแปลงหนังสือทะเบียนของที่ว่าการลั่วตงขึ้น จากนั้นเปลี่ยนชื่อแซ่และย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองหลวง”

เจ้าเมืองนครหลวงเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด

“ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง คนผู้นี้สมควรตาย!”

ซย่าอวี้จิ่นมองเขาอย่างเย็นชา

“ปลอมแปลงหนังสือราชการ หากว่ากันตามกฎหมายแล้วสมควรตายจริงๆ ทว่าเขาสมควรตายที่หน้าตลาด มิใช่ถูกคนสังหารในบ้าน นี่ยังคงเป็นคดีอุกฉกรรจ์อยู่ดี!”

จักรพรรดิโกรธจนหนวดกระดิก พระองค์ผ่อนลมหายใจหลายเฮือกก่อนถามขึ้น

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าเขาถูกสังหาร เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด”

ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า

“แต่กระหม่อมทราบว่าเขามิได้ปลิดชีพตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมอาญาถาม

“ท่านอาศัยอะไรถึงยืนกรานเช่นนี้”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย

“ช่างใหญ่หลี่มิใช่ช่างต่ำชั้นที่ทำของปลอมดาษดื่นทั่วไป เขาเป็นนายช่างใหญ่ในการปลอมแปลงอย่างแท้จริง ในครั้งนั้นเขาเอาลูกหินสิงโตหยกขาวฉลุลายมาหลอกเงินข้าไปแปดพันตำลึง ข้ายังไม่โกรธเคือง กลับชื่นชมว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถ ทั้งยังเคยดื่มสุราร่วมกันเป็นบางครั้งจนนับได้ว่าเป็นสหายกัน อีกประการหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ละโมบในเงินทอง ใช้ชีวิตเรียบง่าย เพียงหลงใหลในศาสตร์การปลอมแปลงสิ่งของ

กริชของเยี่ยเจามีราคาแค่ห้าพันกว่าตำลึง แต่ที่ข้ากับเขามีปากเสียงกันมาจากสาเหตุที่คนที่จับได้ว่ากริชเป็นของปลอมมิใช่เยี่ยเจา ไม่สอดคล้องกับหลักการที่เขาจะคืนของให้ พวกเราทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนราตรี ข้าเลยเดิมพันกับเขาว่าภาพวาดของหลี่ป๋อเหนียนยากแก่การปลอมแปลงที่สุด ฉะนั้นข้าจะเอา ’ภาพเที่ยวยามสารท’ ในวังข้ามาให้เขาทำปลอมชิ้นหนึ่ง เมื่อทำเสร็จแล้วให้เขานำภาพจริงกับภาพปลอมวางไว้ด้วยกัน หากข้าทายถูก เรื่องกริชก็เลิกแล้วต่อกันเท่านี้ ถ้าข้าทายผิด ข้าจะมอบภาพจริงให้เขา ตอนนี้เขายังไม่ได้ภาพวาดไว้ในมือ จะหักใจตายไปได้อย่างไร”

เจ้าเมืองนครหลวงรีบเอ่ย

“จวิ้นอ๋อง ท่านอย่ากล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า หากเขามิได้ปลิดชีพตัวเอง แต่ในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยของผู้อื่นเลย อย่าลืมว่าบ้านเรือนรอบข้างยังเลี้ยงสุนัขอีกเจ็ดแปดตัวนะขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นจนวาจาไปชั่วขณะ

เยี่ยเจามองลำคอของเจ้าเมืองนครหลวงแล้วหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ เอ่ยทีเล่นทีจริง

“ใต้เท้าเหอ ในเรือนของท่านดูเหมือนจะเลี้ยงสุนัขไว้ไม่น้อย หากข้าอยากลอบเข้าไปปาดคอท่านกลางดึก รับรองว่าไม่ทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน จะทดสอบดูหรือไม่”

เจ้าเมืองนครหลวงรู้สึกเสียววาบที่ลำคอกะทันหัน เขาเอ่ยพลางยิ้มอย่างจืดเจื่อน

“คือว่า…ท่านแม่ทัพมีวรยุทธ์สูงส่ง ไม่จำเป็นต้องทดสอบ ข้าก็เชื่อขอรับ”

เยี่ยเจาถามอีก

“เหตุใดท่านไม่เชื่อว่าคนที่สังหารช่างใหญ่หลี่ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน”

เจ้าเมืองนครหลวงพูดตะกุกตะกัก

“ขะ…เขาเป็นแค่คนต่ำต้อยไม่สลักสำคัญอะไร ผู้ใดจะใช้ยอดฝีมือมาจัดการเขาขอรับ”

ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในห้วงสมองของซย่าอวี้จิ่นฉับพลัน เขาเอ่ยอย่างร้อนรน

“หากมีคนให้เขาปลอมแปลงของสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ จากนั้นฆ่าคนปิดปากล่ะ อาเจา เจ้าพูดว่าคณะทูตตงซย่าอาจมีแผนการร้ายอะไรบางอย่างอยู่มิใช่หรือ หากแผนการที่พวกเขาวางไว้คือเอาของปลอมชิ้นนี้มาทำเรื่องไม่ดีล่ะ”

ยอดช่างเลียนแบบผู้หนึ่งกับของสำคัญซึ่งเป็นของปลอมตบตาชิ้นหนึ่งจะก่อเรื่องใดขึ้นได้ ทุกคนคิดไปแล้วพลันขนลุกชันอยู่บ้าง

เยี่ยเจาพูดอย่างขึงขัง

“เรื่องนี้กันไว้ดีกว่าแก้ ต้องสืบให้ถึงที่สุด”

องค์หญิงฉางผิงถามอย่างลังเล

“อวี้จิ่น เรื่องนี้เจ้าตั้งใจจะ…”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวด้วยสุ้มเสียงแน่วแน่เด็ดขาดที่สุด

“ข้าจะร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เขาเอง!”

เยี่ยเจาเดินเข้าไปยืนข้างกายเขาด้วยสีหน้านิ่งสนิท

 

ปกติไม่มีผู้ต้องสงสัยคนใดวิ่งออกไปสืบคดีด้วยตัวเอง ทว่าจักรพรรดิสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายของเรื่องนี้ พระองค์จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ไม่เอ่ยอนุญาตและไม่เอ่ยว่าไม่อนุญาต เพียงถอนคำสั่งกักบริเวณ ปล่อยให้ซย่าอวี้จิ่นไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ

เจ้าเมืองนครหลวงก็ฉลาดหัวไวยิ่ง ปฏิบัติตามคำสั่งทันควัน พาคนทั้งสองไปที่ห้องผ่าศพ ให้พวกเขาตรวจดูศพของช่างใหญ่หลี่

ในห้องผ่าศพส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล เยี่ยเจาสาวเท้าปราดๆ เข้าไปโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เดินไปสองก้าวเห็นด้านหลังไม่มีคนตามมาก็หันหน้าไป เห็นซย่าอวี้จิ่นหน้าซีด เอามืออุดจมูก ใกล้จะอาเจียนรอมร่อ นางจึงหยุดฝีเท้าลง แสร้งทำท่าชมทิวทัศน์ข้างทางไปพลางรอเขาไปพลาง

ผ่านไปพักใหญ่ซย่าอวี้จิ่นหายใจได้เป็นปกติดังเดิม เขามองภรรยาที่กำลังสำรวจดูศพด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายๆ พาให้รู้สึกเสียหน้า ต้องกัดฟันแสดงความเป็นชายชาตรีออกมา แสร้งทำเป็นไม่หวาดหวั่นสักนิดสุดความสามารถขณะก้าวเท้าข้ามธรณีประตู เดินไปที่ข้างศพและเอ่ยเสียงดัง

“จะอย่างไรก็ต้องดูสาเหตุการตาย ไม่แน่ว่าอาจตรวจสอบอะไรตกหล่นไปก็เป็นได้”

ผู้พลิกศพของคดีนี้แซ่สวี่ รับผิดชอบการวินิจฉัยศพมาสามสิบห้าปีแล้ว เนื่องจากเป็นงานต่ำต้อย หมดหวังกับการเลื่อนขั้นตำแหน่ง ทั้งจะหาภรรยาก็มิได้ เลยทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดศึกษาการวินิจฉัยศพ

เขาแทบจะโมโหจนเนื้อเต้นเลยทีเดียวที่ซย่าอวี้จิ่นเคลือบแคลงในความถนัดเชี่ยวชาญของตน ลากเสียงยาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“จวิ้นอ๋องสายตาแหลมคมดุจมีตาทิพย์ จะต้องมองเห็นสาเหตุการตายอย่างอื่นนอกเหนือจากจบชีวิตในดาบเดียวเป็นแน่”

ซย่าอวี้จิ่นมาหาร่องรอยเงื่อนงำโดยตั้งความหวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดีเพียงอย่างเดียว พอได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เยี่ยเจาเอ่ยปากขึ้นเนิบๆ

“ฝีมือพลิกศพของท่านเป็นหนึ่งในต้าฉินอย่างแน่นอน ใต้เท้าเหอกล่าวว่าท่านแค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเสียชีวิตเวลาไหนอย่างไรได้โดยไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่แค่นเสียงฮึ

ผู้ที่มีดีอยู่ในตัวมักเจ้าอารมณ์ ผู้ที่คลุกคลีอยู่แต่กับศพทุกวันล้วนมีนิสัยประหลาด ดังนั้นเยี่ยเจาหาได้ใส่ใจกับความเย่อหยิ่งของเขา เอ่ยสืบไป

“ข้าหลงใหลวิชายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก สังหารคนมาก็ไม่น้อย พอจะมีความรู้ด้านอาวุธที่พบเห็นบ่อยๆ ทั่วหล้าอยู่บ้าง อีกทั้งคุ้นเคยวิธีสังหารคนด้วยดาบและกระบี่ รวมถึงลักษณะการตายอย่างมาก ข้าเลยอยากขอคำชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ จากท่าน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่คิดถึงข่าวลือของแม่ทัพเยี่ยขึ้นมาได้ในที่สุดจึงพยักหน้าอย่างเสียมิได้

เยี่ยเจาทรุดตัวลงนั่งยองๆ พินิจพิเคราะห์บาดแผลอย่างจริงจัง นางยังยื่นนิ้วจิ้มเข้าไปคะเนความลึกของแผลอย่างถี่ถ้วน

ซย่าอวี้จิ่นจับไหล่นางพยุงตัวไว้ ฝืนเกร็งคอเพ่งมองตรงๆ โดยไม่เผยสีหน้าตื่นกลัว ผิดแผกไปจากยามปกติจนคนรอบข้างต้องแปลกใจเลยทีเดียว

เยี่ยเจาลุกขึ้น

“แทงเข้าหัวใจในดาบเดียว เฉียบขาดทรงพลัง จากนั้นหมุนคว้านหัวใจอย่างรวดเร็วให้เหวอะหวะ ลักษณะการตายเช่นนี้มิใช่ปลิดชีพตัวเองแน่นอน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ถูกต้องขอรับ ยามที่คนปลิดชีพตัวเองมักลังเล ปากแผลคงไม่เรียบลึกปานนั้น อีกประการหนึ่ง หลังจากแทงเข้าหัวใจแล้วสองมือจะต้องไร้เรี่ยวแรง เป็นไปไม่ได้ที่จะหมุนมือคว้านหัวใจจนเหวอะหวะ ข้าบอกเรื่องนี้ให้ใต้เท้าเหอทราบแล้ว…แต่เขาไม่ให้ข้าพูด”

ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยอย่างมีน้ำโห

“มารดามันเถอะ! ขุนนางสุนัขผู้นี้คิดจะให้ข้ารับผิดแทนเพื่อปิดคดี!”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างมีนัยลึกซึ้ง

“สุนัขรอบข้างเห็นคนคุ้นหน้ายังไม่เห่า บางทีใต้เท้าเหอไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่”

ซย่าอวี้จิ่นขุ่นเคือง

“มองอะไร! ข้ากับสุนัขมิได้เป็นมิตรกัน! ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา!”

เยี่ยเจาตบไหล่เขาเบาๆ พลางพูดปลอบ

“อืม ตั้งแต่แรกเริ่มข้าก็มั่นใจว่าท่านไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา”

ซย่าอวี้จิ่นกล่าวอย่างเบิกบานใจ

“เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนั้น!”

“ก็มิใช่สักทีเดียว” เยี่ยเจาเอ่ย “สาเหตุการตายแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเป็นคนลงมือ”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ถาม

“ไยท่านคิดเช่นนั้นขอรับ”

เยี่ยเจาล้วงกริชสั้นออกมาจากอกเสื้อโยนส่งให้เขาแล้วถาม

“สมมติว่าท่านใช้กริชเล่มนี้แทงข้า จะลงมือตรงจุดไหน”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่รับกริชมาแล้วลองออกท่าทาง

“ส่วนท้องอ่อนนุ่มแทงง่าย แม้อาจตายไม่เร็วเท่าไร แต่ขอแค่แทงเข้าไปได้แล้วหมุนกริชนิดเดียว ไม่ว่าจะทำร้ายถูกอวัยวะภายในส่วนใดก็ล้วนจบชีวิตเพราะเสียเลือดได้ทั้งสิ้น”

เยี่ยเจาถามต่อ

“เหตุใดไม่เลือกหัวใจ”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ด้านหน้าหัวใจมีกระดูกหลายท่อน หากมุมที่แทงคลาดเคลื่อน เป็นไปได้มากว่าจะแทงเข้ากระดูก” เขากล่าวถึงตรงนี้ก็หูตาสว่างในบัดดล พูดอย่างตื่นเต้น “คนทั่วไปลงมือสังหารคนล้วนแทงที่ส่วนท้องซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ก็ใช้ของหนักตีศีรษะ หากเลือกลงมือที่หัวใจ เป็นเรื่องยากมากที่จะปลิดชีพด้วยการจู่โจมครั้งเดียว การสังหารคนด้วยอารมณ์ชั่ววูบคงไม่คิดรอบคอบเช่นนี้”

เยี่ยเจาถามต่อ

“หากท่านแทงกริชเข้าที่หัวใจข้า จะหมุนมือไปทางใด”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ลองทำไม้ทำมือดู

“ทางขวา”

เยี่ยเจาพยักหน้า

“ช่างใหญ่หลี่กับข้าตัวสูงพอกัน สมมติว่าคนร้ายก็สูงไม่ต่างจากข้ามากนักหรือเตี้ยกว่า หากใช้กริชแทงผ่านกระดูกเสียบเข้าที่หัวใจอย่างแม่นยำล่ะก็ จะต้องเงื้อมือค่อนข้างสูง หลังมือข้างที่กำกริชจะต้องหันไปด้านบน การจะคว้านหัวใจให้เละต้องหมุนมือออกถึงจะถนัด แต่ทิศทางการคว้านหัวใจของช่างใหญ่หลี่กลับเป็นการหมุนมือเข้า ข้าจึงคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่เคยชินกับการใช้มือซ้าย”

“ฉะนั้นต่อให้คนร้ายที่สังหารช่างใหญ่หลี่มิใช่ยอดฝีมือ ก็ต้องเป็นนักฆ่าซึ่งมีทักษะสูงมากอย่างที่จวิ้นอ๋องไม่สามารถทำได้” ผู้พลิกศพแซ่สวี่ฟังถ้อยคำของเยี่ยเจาแล้วยอมรับนับถือนางทั้งกายใจจนร้องชมไม่หยุด “ท่านแม่ทัพละเอียดถ้วนถี่! ล้ำเลิศ!”

เยี่ยเจารีบเอ่ย

“ท่านเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจหาสาเหตุการตาย มิได้สังหารคนบ่อยๆ จะไม่ล่วงรู้รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ อันที่จริงข้าเพียงเข้าใจเรื่องดาบเรื่องกระบี่อยู่บ้างเท่านั้น ทว่าเรื่องการวินิจฉัยศพข้าไม่มีความรู้แม้แต่น้อย”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ยชื่นชม

“ถ่อมตนแล้ว ท่านแม่ทัพเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งโดยแท้”

ทั้งคู่กล่าวสรรเสริญกันไปมา

ชั่วชีวิตของผู้พลิกศพแซ่สวี่นั้นยากนักจะหาผู้เข้าใจในงานของตน พาให้ปลื้มปีติเสียจนอยากลากศพของคดีอื่นออกมาให้เยี่ยเจาดูทั้งหมด

“พวกเจ้าพูดเยินยอกันพอหรือยัง”

หลังจากซย่าอวี้จิ่นดีอกดีใจที่ได้หลักฐานล้างมลทินแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าภรรยาเป็นยอดฝีมือในการสังหารคน ส่วนตัวเองแม้แต่ฆ่าไก่ก็ยังทำไม่ได้ ในใจรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าอยู่สักหน่อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหน้าขึ้งเคียด นั่งยองๆ ด้านข้างครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็นึกถึงสิ่งที่จะพิสูจน์ความสามารถของตนจนได้

“กริชที่ตกอยู่ข้างศพเป็นของที่ร้านเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์ตีขึ้น ข้าจำฝีมือได้!”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่คุยกับเยี่ยเจาอย่างออกรสออกชาติ ได้ยินซย่าอวี้จิ่นกล่าวขัดจังหวะก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยพลางโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญ

“จวิ้นอ๋อง บนกริชก็มีตราประทับของร้านเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์อยู่แล้ว ใต้เท้าเหอสอบสวนจนกระจ่างชัดแต่แรกแล้วว่าก่อนเกิดเหตุช่างใหญ่หลี่เป็นคนซื้อมาเอง”

ซย่าอวี้จิ่นหน้าม่อย เป็นผู้ดูอยู่ด้านข้างต่อไป

เยี่ยเจาวัดความยาวของบาดแผลแล้วถามขึ้นอีก

“ท่านแน่ใจนะว่าอาวุธสังหารคือกริชเล่มนี้?”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่เอ่ย

“ความยาวเท่ากันขอรับ”

“ยอดฝีมือล้วนมีอาวุธคู่มือของตัวเอง น้อยนักที่จะใช้เศษขยะที่ขายกันตามตลาด เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากสังหารคนแล้ว คนร้ายใช้มันเป็นเครื่องอำพราง หมายจะป้ายความผิดให้อวี้จิ่น อย่างเช่นใช้กระบี่เรียวบางที่ถนัดมือฆ่าให้ตายก่อน แล้วค่อยเอากริชเล่มนี้แทงซ้ำอีกทีเพื่อสร้างภาพลวงตาว่ากริชเป็นอาวุธสังหาร”

“พวกอาวุธที่ทำปลอมขึ้นลักษณะภายนอกอาจเหมือนกันได้ ทว่าคมมีดน่าจะผิดกันอยู่บ้าง” ผู้พลิกศพแซ่สวี่ตรึกตรองครู่หนึ่ง หมุนกายไปหยิบเครื่องมือแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ควักหัวใจออกมาตรวจสอบดูเถอะขอรับ”

เยี่ยเจาพยักหน้าหงึกหงัก

ซย่าอวี้จิ่นถามอย่างยุ่งยากใจ

“นี่…จะเป็นการไม่เคารพคนตายเกินไปกระมัง”

ผู้พลิกศพแซ่สวี่ทำงานไปกล่าววาจาไปอย่างเบิกบานใจ

“ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีครอบครัวเป็นเจ้าทุกข์ อีกประการหนึ่ง นี่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขา เขาจะต้องไม่ถือสาแน่ขอรับ”

ครู่เดียวก็ตรวจสอบบาดแผลในหัวใจได้แจ่มแจ้ง

ผู้พลิกศพแซ่สวี่พูดขึ้นพร้อมเอามือฟาดที่น่องของศพ

“ข้าถึงกับมองพลาดไปเชียวหรือนี่! ด้านในมีรอยแผลสองรอยไม่เหมือนกัน แผลจากกริชเป็นการแทงซ้ำทีหลังเพื่อทิ้งร่องรอยตบตา ส่วนอาวุธสังหารที่แท้จริงน่าจะเป็น…”

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่

“กระบี่สั้น”

มันเป็นเรื่องน่าเยาะหยันอยู่สักหน่อยที่ศพของยอดช่างเลียนแบบปรากฏสาเหตุการตายที่ปลอมแปลงขึ้น

ซย่าอวี้จิ่นลงความเห็น

“พวกเราต้องหายอดฝีมือที่ถนัดมือซ้าย ถนัดใช้กระบี่ และวิชาตัวเบายอดเยี่ยมมาก?”

เยี่ยเจาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มขณะลูบคางมองเขา จากนั้นพลันกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“เหตุใดคนร้ายต้องใส่ความท่านด้วย จะเป็นการสุ่มหาแพะรับบาป วางแผนอำพรางฐานะแล้วบังเอิญให้ร้ายท่านโดยมิได้ตั้งใจ หรือเขามีเจตนาเป็นปฏิปักษ์กับท่าน?”

ซย่าอวี้จิ่นสะท้านเยือกขึ้นมาจริงๆ เขาเอ่ยยิ้มๆ อย่างกระดากใจ

“ไม่กระมัง พักนี้ข้ามิได้ล่วงเกินใครที่ไหน…”

เยี่ยเจาทำท่านับนิ้ว

“หลิวเชียน เฉินเต๋อไห่ ลู่เหล่าเอ้อร์ อูยา…”

บนหน้าผากซย่าอวี้จิ่นมีเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นหลายเม็ด

เยี่ยเจาเอ่ยอย่างเด็ดขาด

“ข้าจะจัดคนสองสามคนไปเฝ้าเวรยามดึกให้ท่านก็แล้วกัน”

 

ยามราตรี หลังจากกลับวัง ซย่าอวี้จิ่นคิดคำนึงเรื่องคนร้ายที่สังหารช่างใหญ่หลี่ซึ่งไปมาไร้ร่องรอยแล้วก็หวนนึกถึงศพน่ากลัวที่เห็นในวันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง พาให้ในใจบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงจนต้องกัดผ้าห่มไว้ พอได้ยินเสียงลมพัดยอดหญ้าไหวก็ตกใจสะดุ้งเฮือก แม้แต่เงาของสาวใช้หรือเด็กรับใช้ที่เดินผ่านหน้าต่างไปล้วนคล้ายปีศาจร้ายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น หมายจะเล็ดลอดมาที่ข้างเตียงปลิดชีพเขาในดาบเดียว

ซย่าอวี้จิ่นยิ่งคิดยิ่งหวาดผวา นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ

เมื่อเขาพลิกตัวไปมาเป็นครั้งที่เก้าสิบแปดก็เรียกซีซ่วยเข้ามาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ต้องฝืนข่มความกลัวเอาไว้ขณะกล่าวขึ้น

“คือว่า…ข้านอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

ซีซ่วยเข้าใจความหมายของเขา

“ท่านนอนเพียงลำพังคงยากจะหลับลงได้ จะหาคนปรนนิบัติหรือไม่ขอรับ”

ซย่าอวี้จิ่นคิดๆ ดู รู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่เลว

“ใช่!”

ทว่าจะไปหาคนไหนดี

หลังจากหยางซื่อเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในวังก็มีสง่าราศีผิดหูผิดตา อีกทั้งนิสัยนางก็ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นที่หนึ่ง กลัวอยู่เรื่องเดียวว่าอนุภรรยาได้กุมอำนาจจะถูกผู้อื่นครหาว่ายั่วยวนมอมเมาสามีแล้วโดนดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้นจึงระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่องต้องยึดตามธรรมเนียม อายุยังน้อยก็วางตัวเคร่งครัดคร่ำครึคล้ายยายเฒ่าน้อยๆ คนหนึ่ง มิหนำซ้ำเอะอะอะไรก็จะไปฟ้องเยี่ยเจา หากนอนกับนางคงต้องทรมานน่าดูชม

เหมยเหนียงเป็นพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คนใดมีผลประโยชน์ให้ก็นับคนผู้นั้นเป็นมารดาตน ท่าทางที่แทบจะกระดิกหางเฉกเดียวกับสุนัขแสนเชื่องเวลามองเห็นเยี่ยเจาชวนให้สุดจะทนดูได้จริงๆ

เซวียนเอ๋อร์ยังพอทำเนา แต่เผอิญเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ทั้งยังชอบส่งเสียงกรีดร้อง หากนอนกับนาง ถ้ามีแมลงสาบหรือหนูวิ่งเข้ามาในห้อง มิต้องรอให้นักฆ่าเข้าประตูมา เขาคงตกใจตายด้วยเสียงกรีดร้องของนางไปแล้ว

ซย่าอวี้จิ่นใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน จวบจนซีซ่วยเอ่ยถามเป็นคำรบที่สาม

เขาก้าวเท้าออกเดินไปยังเรือนของเยี่ยเจาอย่างเด็ดเดี่ยว

นางเพิ่งเช็ดผมแห้งเตรียมตัวจะเข้านอน พอเห็นเขาเข้ามาก็ถามพร้อมยิ้มบางๆ

“ดึกๆ ดื่นๆ ไฉนท่านมีเวลาว่างมาหาข้าได้”

“มีไม่มีเวลาว่างอะไรกัน” ซย่าอวี้จิ่นรวบรวมความกล้าพูดขึ้น “ข้ามานอนกับภรรยาตัวเองเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม ยังต้องรายงานให้รู้ด้วยหรือ คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่!”

เยี่ยเจาเลิกคิ้วสูง เอ่ยอย่างมีนัยกำกวม

“ได้สิ”

มิใช่ปีนขึ้นเตียงสตรีเป็นครั้งแรกสักหน่อย มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหนา

ซย่าอวี้จิ่นได้รับคำอนุญาตจากเยี่ยเจาก็รีบถอดเสื้อออก ขึ้นไปบนเตียงไม้พะยูงของนางทันที เขากลิ้งตัวสองรอบจนมั่นใจว่าฟูกนอนกว้างขวางสบาย จากนั้นก็แตะๆ คลำๆ ทางนั้นทางนี้ พบว่านอกจากกริชใต้หมอนแล้ว มีกระบี่เรียวบางเล่มหนึ่งซุกอยู่เตียงด้านใน มีเมล็ดบัวเหล็กเล็กกะทัดรัดน่ารักห้อยอยู่ทั้งสี่มุมของผ้าห่ม ติดอาวุธพร้อมพรักไร้ช่องโหว่ มั่นใจได้เต็มเปี่ยม

ใต้หล้านี้ยังมีองครักษ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจได้ยิ่งกว่าภรรยาอีกหรือ

ซย่าอวี้จิ่นได้กลิ่นหอมอ่อนๆ บนหมอน ความตึงเครียดในใจผ่อนคลายลงช้าๆ พร้อมความหวาดกลัวที่มลายหายไป แทนที่ด้วยความอ่อนล้าที่จู่โจมเข้ามา เปลือกตาบนหลุบลงมาชนเปลือกตาล่างไม่หยุด

เขากอดผ้าห่ม เพิ่งจะขดตัวเป็นก้อนกลมก็เห็นเยี่ยเจาสะบัดแขนเสื้อดับเปลวเทียน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่ว พูดกับเขา

“คืนผ้าห่มให้ข้า”

“ผู้หญิงสมควรนอนด้านใน!”

แม้ซย่าอวี้จิ่นจะง่วงมาก แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการของตน เขากอดผ้าห่มปีนข้ามตัวนาง พลิกกายลงนอนฝั่งด้านนอกของเตียง

ท่ามกลางความรู้สึกสะลึมสะลือ เสียงหัวเราะของเยี่ยเจาดังแว่วที่ข้างหู ดูเหมือนนางเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าเขาเหนื่อยเกินไปจริงๆ จึงขานตอบ “อืมๆ” ส่งเดชก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

เยี่ยเจาโน้มกายไปดู

แสงจันทร์สีเงินรำไรส่องลอดม่านโปร่งใต้เงาโคม กระทบใบหน้างามปานหยกสลัก เรือนผมยาวดำสนิทเรียบลื่นสยายรุ่ยร่ายคล้ายผ้าต่วนแพรหรูหรา ขนตาดกหนาเหมือนผีเสื้อพยับปีกน้อยๆ ด้านหลังใบหูมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ นวลเนียนน่ารัก ผิวกายเรียบลื่นดูน่าสัมผัสอย่างยิ่ง

“นี่”

นางส่งเสียงเรียกหยั่งเชิง

เขาพลิกตัวทีหนึ่ง

“นี่”

นางเรียกเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมผลักเขาทีหนึ่ง

ซย่าอวี้จิ่นเคี้ยวฟันกรอดๆ

เยี่ยเจาสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่แล้วลงมือโดยไม่รอช้า เอานิ้วจิ้มๆ ที่หน้าเขา ผิวขาวกระจ่างเรียบเนียนละเอียดตามคาด ซ้ำยังเย็นเล็กน้อยไม่ว่าลูบกี่ครั้งก็ล้วนสนุก

นางหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบาๆ สัมผัสได้ถึงความเต่งตึงนุ่มมือยิ่งกว่า

เขาขมวดคิ้ว ดิ้นขยุกขยิก พูดเสียงงึมงำ

“คนเลว ไม่เอา ไม่เอา…”

นางรีบคลายมือออก เอ่ยปลอบ

“ไม่เอาก็ไม่เอา”

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาพลันยิ้มแหะๆ ออกมา

“แม่นางน้อยคนสวย มานี่ ให้ข้าหอมแก้มที”

ฝันอยู่ยังไม่วายแทะโลมหญิงสาว ดีๆ สามีนางมีหน่วยก้านในการเป็นอันธพาลแฝงอยู่มาก เสียดายเพียงขาดความกล้า ท่าทางเก้งก้างเงอะงะไม่เข้าขั้น หากเทียบกับนางในกาลก่อนที่แค่ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ก็ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ของโม่เป่ยอายม้วนต้วนกันไปหมดแล้ว ช่างห่างชั้นกันลิบลับจริงๆ

ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยเจาหรี่ลง นางเลียริมฝีปาก ตัดสินใจจะรื้อฟื้นวิชา ถ่ายทอดให้เขากระจ่างแจ้งว่าอะไรคือแก่นแท้ของการเป็นอันธพาล

นางก้มหน้าลงจุมพิตขนตาซย่าอวี้จิ่นเบาๆ จากนั้นก็เอาปากแตะที่ปลายจมูก สุดท้ายประทับบนเรียวปากที่ชื้นเล็กน้อยและเล็มแผ่วๆ ลิ้มรสอยู่ด้านนอก มิได้คลึงเคล้าซุกไซ้ด้วยกลัวทำให้อีกฝ่ายตกใจตื่น

เยี่ยเจากอดเขาหลวมๆ แล้วล้มตัวลงนอน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

นางรู้วิธีเป็นคนพาลเกเร หากแต่ไม่รู้วิธีเป็นภรรยา

นางช่ำชองเรื่องรบในสมรภูมิ หากแต่ไม่ช่ำชองเรื่องรักในห้องหอ

ก่อนแต่งงาน หวงซื่อเคยสอนเรื่องในคืนส่งตัวเข้าหอ ทว่าพูดคลุมเครืออย่างยิ่ง ไม่โจ่งแจ้งเท่าถ้อยคำสัปดนยามทุกคนกินเนื้อสัตว์แกล้มสุรา คุยเรื่องนารีเมื่อครั้งอยู่ในกองทัพ

นางยังจำที่ผู้ช่วยแม่ทัพหม่ากล่าวว่าบนเตียงสตรีจะต้องเป็นฝ่ายรุก ยิ่งดุเดือดยิ่งระทึกใจ ส่วนรองแม่ทัพหวังพูดว่าสตรีต้องจูบอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จูบจนพอใจแล้วยามหาความสุขกันถึงจะหรรษา

ทุกคนล้วนแย่งกันคุยโอ้ว่าตนมีลีลาชั้นยอด

ชิวเหล่าหู่ถอดเสื้อตัวบนออก อวดรอยเล็บแปดรอยบนหลัง เชิดหน้าพูดอย่างหยิ่งผยอง

‘เมื่อคืนข้าถูกหญิงที่ซ่องนางโลมข่วนเอา’

ทุกคนส่งเสียงฮือฮาด้วยความเลื่อมใส พูดชมกันไม่หยุดว่าเขาเป็น ‘บุรุษขนานแท้’ ‘หนุ่มทรงพลัง’ ‘ลูกผู้ชาย’ กระทั่งรองแม่ทัพหลันซึ่งบั่นศีรษะคนไปยี่สิบกว่าศพตัวคนเดียวก่อนหน้านี้ยังมิได้รับคำชื่นชมอย่างสูงขนาดนั้น

รองแม่ทัพหลันเห็นเขาลำพองใจแล้วขัดนัยน์ตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉา

‘อย่าลืมสิว่าทั้งกองทัพ บุรุษที่แกร่งกร้าวที่สุดคือท่านแม่ทัพ’

เยี่ยเจากำลังง่วนอยู่กับการแทะน่องแพะ ได้ยินพวกเขาพูดคุยพาดพิงมาถึงตัวเองก็เงยศีรษะขึ้นอย่างงุนงง

ทหารคนอื่นหมายเหยียบหางของชิวเหล่าหู่ที่ชูขึ้นสูงลงไปก็ตะโกนผสมโรงไปด้วย

‘ท่านแม่ทัพออกโรง ต้องหนึ่งต่อสาม!’

‘พวกสตรีเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ต้องแตะตัวก็อ่อนระทวยแล้ว!’

‘ท่านแม่ทัพเก่งกล้าองอาจ ปราบสี่ยอดหญิงงามหอคณิการาบคาบ!’

‘ปัดโธ่! ท่านแม่ทัพมีวรยุทธ์เป็นหนึ่งในใต้หล้า จะอย่างไรก็สยบได้เจ็ดแปดคนต่างหาก!’

นางนับถือในความช่างคิดเพ้อเจ้อของทุกคนจากใจจริง

ชิวเหล่าหู่เสียเชิง ขอคำยืนยันอย่างไม่ใคร่ยอมจำนนนัก

‘ท่านแม่ทัพ คืนหนึ่งท่านได้มากที่สุดกี่คน’

เยี่ยเจามีสำนึกในความเป็นชายอยู่มาก รู้สึกว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เป็นไก่อ่อนสอนขันต่อหน้าพี่น้องเป็นเรื่องน่าอายอย่างยิ่ง อีกทั้งนางก็ไม่คิดจะพูดเท็จ นางจึงเอ่ยกำกวม

‘เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ข้าไม่จดจำใส่ใจหรอก ลืมไปแล้ว’

คิดไม่ถึงว่าหูชิงซึ่งดื่มสุราเงียบๆ ด้านข้างยังไม่ลืมทำหน้าที่เป็นผู้กระหน่ำซ้ำเติม เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมสุดจะเปรียบทันควัน

‘ท่านแม่ทัพต้องยอดเยี่ยมเป็นธรรมดา อายุสิบสี่เริ่มเข้าซ่องนางโลม พอย่างสิบหกก็ผ่านหมู่มวลนารีมาอย่างโชกโชน คืนหนึ่งสี่ห้าคนไม่ต้องหยุดพัก เคราะห์ดีที่ตอนนี้ท่านแม่ทัพเบื่อหน่ายแล้วถึงได้วางมือ รักษากายใจให้บริสุทธิ์ฝึกยุทธ์ หาไม่แล้วไหนเลยพวกเจ้าจะมีโอกาสสำแดงฝีมือ’

เยี่ยเจาสำลักเนื้อแพะเกือบขาดใจตาย รอจนหายใจได้เป็นปกติ หูชิงก็พูดเป็นตุเป็นตะจนสร้างข่าวลือได้เป็นผลสำเร็จ

ทหารทั้งหมดล้วนจ้องนางเขม็งด้วยสายตาน่ากลัวที่แฝงด้วยความอิจฉาริษยา

ด้วยติดขัดที่ตนเป็นหญิง เยี่ยเจายากจะปริปากแก้ต่างได้ ราตรีนั้นนางลงมือซ้อมหูชิงจนน้ำตาร่วงด้วยความโกรธจัด

ต่อมาคำเล่าลือยิ่งแพร่ออกไปก็ยิ่งต่อเติมเสริมแต่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงม่ายของโม่เป่ยพบเจอนางก็ทำตาลุกวาวเป็นสีเขียวเรืองๆ คล้ายหมาป่ามองเห็นเนื้ออันโอชะ

ยามสตรีหิวกระหายขึ้นมาแสนจะน่าสะพรึงกลัวจริงๆ ซึ่งมันได้ทิ้งเงามืดในใจนางอย่างลึกล้ำเลยทีเดียว

กระนั้นดูเหมือนว่าบุรุษจะชมชอบสตรีที่หิวกระหายจนน่ากลัว

ต้องร่ำเรียนแล้วสินะ…

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: