บทที่ 11
หลี่ชีฉือย่อมต้องขี่ม้าเป็นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนเวลาเดินทางอยู่ข้างนอก นางไม่เคยเปิดเผยตัวตน มีบางครั้งที่ไม่อาจใช้รถม้าหรือเรือในการสัญจร
หากขี่ม้าไม่เป็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าระหว่างทางจะยุ่งยากวุ่นวายเพียงใด
ม้าของฝูถิงเป็นม้าศึกในกองทัพ สีดำปลอดเงาวับทั้งตัว ขายาวแข็งแรง เรือนร่างสูงใหญ่พ่วงพี
หลังนางขึ้นมานั่งบนหลังของมันแล้วสูงเด่นอยู่กลางคลื่นมนุษย์ ฝูงชนแน่นขนัดรอบตัวแทบเอื้อมมือมาแตะตัวนางไม่ถึงด้วยซ้ำ
เมื่อขี่ม้าฝ่าออกมาเรื่อยๆ จนพ้นกลุ่มคน นางก็รั้งบังเหียนให้ม้าหยุดยืน
อานหนังคลุมหลังม้าเก่าโทรมเต็มที กลายเป็นสีน้ำตาลมอซอ ซ้ำยังปริแตกเป็นริ้วๆ
นางลองใช้มือลูบก็พบแต่ความสากกร้าน พอนึกถึงตอนที่ถูกชายผู้นั้นอุ้มขึ้นหลังม้าแบบมัดมือชก นางก็เหลียวกลับไปมองข้างหลัง
จากตรงนี้มองประตูเมืองไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าเขาอยู่ทางนั้นสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง
ชิวซวงยังติดอยู่ข้างหลัง จนนางกลับมาถึงจวนแล้วครึ่งชั่วยามถึงเพิ่งตามกลับมาได้
ตอนแรกสาวใช้ยังเป็นกังวล แต่เดินเข้ามาในจวนเจอซินลู่บอกว่าหลี่ชีฉือกลับมาแล้วโดยสวัสดิภาพก็ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลี่ชีฉือกลับมาถึงก็หยิบสมุดบัญชีมาตรวจนับจำนวนร้านค้าของตนเองที่อยู่นอกเมืองเป็นอันดับแรก ก่อนจะเดินไปนั่งตรงริมหน้าต่าง นางนั่งนิ่ง คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างนอกตลอดเวลา
เสียงเซ็งแซ่จอแจบนถนนเงียบหายไปแล้ว
ชิวซวงเดินเข้ามาในห้อง ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อกลางฝ่ามือที่ซึมออกมาด้วยความกังวลพลางถามเบาๆ ว่า “นายหญิง ทีนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
ตอนนี้ออกจากเมืองไม่ได้เสียแล้ว
หลี่ชีฉือมองออกไปนอกหน้าต่าง “เห็นเพียงนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ ขอเพียงแก้ปัญหาผู้อพยพนอกเมืองได้อย่างเดียวก็สิ้นเรื่อง”
สาวใช้คนสนิทครุ่นคิดตาม ต้นตอปัญหามาจากผู้อพยพจริงๆ
ผู้เป็นนายนั่งตัวตรง ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่ง “หลัวเสี่ยวอี้บอกว่าวันนี้อาจมาที่จวนอีก เจ้ากับซินลู่ไปรออยู่ข้างนอก หากเขามาให้มาบอกข้า”
ชิวซวงยังไม่ทันได้รับคำสั่งหลังประโยคนั้น เสียงรัวกลองเป็นชุดก็ดังเข้าหูอีกครั้ง
ดวงเนตรงามมองออกไปนอกหน้าต่างใหม่
เสียงกลองรัวกระชั้นอยู่บนกำแพงเมือง
ชาวบ้านแยกย้ายไปหมดแล้ว เหลือเพียงทหารม้าสองกองตั้งแถวขึงขังตรงหน้าประตูเมือง
หลัวเสี่ยวอี้ขี่ม้ากลับมาหาฝูถิง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่หนาวจนแข็งของตนทีหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “พี่สาม จะทำอย่างไรดี คนเยอะเหลือเกิน!”
อยู่ๆ ผู้อพยพนอกเมืองก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาขี่ม้าออกไปสืบถามจนได้ความกระจ่าง ที่แท้ราษฎรที่อพยพไปพื้นที่ใต้การควบคุมของกองพลอื่นพากันแห่แหนมาที่นี่กันหมด
ฝูถิงบัญชาการแปดกองพลสิบสี่เมือง ไม่เพียงแต่จะทุ่มเงินทั้งหมดที่มีให้กองบัญชาการฮั่นไห่ ยังให้ความสำคัญกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองพลใต้อาณัติและการป้องกันเมืองทั้งสิบสี่ก่อนอย่างอื่น
ถึงอย่างนั้นจำนวนผู้อพยพปีนี้ก็มากกว่าปีก่อน เกินกำลังที่กองพลใหญ่อื่นๆ จะรับไหว
คนเหล่านั้นซมซานไปขอพึ่ง ไร้ที่รองรับไม่พอ ซ้ำร้ายยังถูกไล่ออกมาอีก สุดท้ายเลยพากันแห่แหนมาที่กองบัญชาการฮั่นไห่อันเป็นกองพลแม่
ผู้อพยพที่อยู่นอกกองบัญชาการฮั่นไห่แต่เดิมได้ยินว่าผู้อพยพกลุ่มอื่นถูกไล่มาที่นี่ ก็กลัวว่ากองบัญชาการจะขับไล่ไสส่งพวกตนเช่นกัน ทุกคนตกอยู่ในสภาพไร้ทางไปอยู่แล้ว พอข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย จึงชิงตื่นตูมกันไปเองก่อน
ฝูถิงถือดาบยืนเม้มปากแน่นอยู่ตรงหน้าประตูเมือง
หลัวเสี่ยวอี้เอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ยังมีคนใจบุญเอาเงินไปแจกจ่ายผู้อพยพ พวกนั้นเลยสงบเสงี่ยมไปพักหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ จะก่อความวุ่นวายขึ้นมาเช่นนี้”
ชายหนุ่มเอาแต่ใช้ความคิดเงียบๆ เหมือนไม่ได้ยิน
การอาศัยกำแพงเมืองป้องกันไม่ใช่ทางออก
เสียงกลองสัญญาณดังรัวขึ้นอีกครั้ง
ทางนั้นตีกลองเร่งจนไม่รู้จะเร่งอย่างไรแล้ว หลัวเสี่ยวอี้กระโดดลงจากหลังม้า ปราดเข้ามาหาฝูถิงอย่างร้อนใจแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “พี่สาม ตกลงจะเอาอย่างไร”
“ยังจะเอาอย่างไรได้เล่า” ฝูถิงทำหน้าเครียด คนเหล่านี้เป็นราษฎร ดาบในมือเขามีไว้สังหารข้าศึกต่างหาก หากไม่ต้องคอยป้องกันมิให้เกิดความสูญเสียขึ้นในเมือง เขาไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มฟังเสียงกลองพร้อมกัดฟันแน่น แล้วปล่อยมือออกจากด้ามดาบ “เปิดประตูเมือง”
หลัวเสี่ยวอี้ผงะ “จะให้พวกนั้นเข้ามาหรือ”
เมื่อผู้อพยพเข้าเมือง ใครเข้าร่วมกองทัพก็ไปเป็นทหาร ใครบุกเบิกที่ทางก็ตั้งบ้านเรือน ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแต่อย่างใด ทว่าบัดนี้จำนวนคนมากเหลือล้น ด้วยสภาพการเงินของพวกเขาในปัจจุบันอาจแบกรับภาระไม่ไหว
อะไรบางอย่างวาบเข้ามาในสมอง หลัวเสี่ยวอี้พึมพำอย่างบรรลุแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้พี่สามก็เก็บเงินส่วนตัวแต่เดิมก้อนนั้นไว้เพื่อการนี้นี่เอง”
ฝูถิงไม่ตอบ ทว่าก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน เขาตั้งใจจะขยายกองทัพนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้คิดว่าต้องมาทำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
“ข้าว่าลองคิดหาทางอื่นกันดีกว่า” หลัวเสี่ยวอี้มีท่าทางลังเล
ขยายกองทัพมีผลดี แต่ถ้าต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวมาช่วยคนมากมายเพียงนี้ให้ตั้งเนื้อตั้งตัวก็เกรงว่าจะไม่พอ ถึงอย่างไรก็ต้องมีช่องว่างที่อุดไม่อยู่
ฝูถิงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ไม่คิดจะฟังอีกฝ่ายชักแม่น้ำทั้งห้า “ไม่ต้องพูดมาก เปิดประตูเมือง!”
หลัวเสี่ยวอี้เหลือบมองสีหน้าคนสั่งแล้วยกมือลูบต้นคอ เดินไปปีนขึ้นม้าอย่างจำใจ เอาเข่ากระทุ้งควบอาชาทะยานไปข้างหน้าพร้อมตะโกนดังลั่น “ท่านผู้บัญชาการมีคำสั่งให้เปิดประตูเมืองรับคนเข้ามา!”
เสียงกลองหยุดลง ประตูเมืองเปิดออกจากกันช้าๆ
ช่วงพลบค่ำ หลี่ชีฉือเป็นห่วงว่าเหตุการณ์ในเมืองจะส่งผลกระทบมาถึงในจวน จึงเจียดเวลาไปดูหลานชาย
หลี่เยี่ยนกำลังอ่านหนังสือตามอาจารย์เช่นปกติ ยามนี้ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว
ประตูหน้าต่างปิดสนิท เด็กชายถือหนังสืออยู่ในมือ โคลงศีรษะเบาๆ ขณะท่องกลอนบทหนึ่ง ท่าทางตั้งอกตั้งใจมีสมาธิ ไม่ทันได้ยินเสียงเอะอะในเมืองด้วยซ้ำ
หลี่ชีฉือยืนมองผ่านช่องว่างระหว่างบานหน้าต่างอยู่สักพักก็กลับออกมา
นางเพิ่งจะเดินออกจากเรือนหลานชายก็เจอชิวซวงที่วิ่งเหยาะๆ ตามหาตนเองอยู่พอดี นางคาดเดาได้ไม่ผิด หลัวเสี่ยวอี้มาที่จวนจริงๆ
ซินลู่ได้เชิญเขาไปผิงไฟรอในเรือนชั้นนอกเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำแล้ว
ส่วนท่านผู้บัญชาการยังไม่กลับ
หลี่ชีฉือนึกในใจว่าเหมาะนัก เพราะเรื่องนี้นางต้องคุยกับหลัวเสี่ยวอี้ตามลำพังพอดี
อันที่จริงหลัวเสี่ยวอี้แค่ผ่านมาทางนี้ ฝูถิงนำกำลังพลกลับค่าย ส่วนเขาได้รับคำสั่งให้คุมผู้ใต้บังคับบัญชาจัดหาที่พักแก่ผู้อพยพ
ระหว่างทางผ่านจวนผู้บัญชาการ จึงตั้งใจจะแวะเข้ามาถามไถ่ดูว่าพี่สะใภ้เซี่ยนจู่ผู้นั้นกลับถึงจวนโดยสวัสดิภาพหรือไม่ จะได้กลับไปแจ้งพี่สามถูก แล้วถือโอกาสนำความเป็นไปมารายงานให้พี่สะใภ้สบายใจด้วย สุดท้ายเลยได้รับเชิญให้เข้ามาผิงไฟ
ขณะที่เขากำลังยื่นมือพลิกคว่ำพลิกหงายหน้ากระถางไฟ หลี่ชีฉือก็เดินเข้ามาในห้อง
หลัวเสี่ยวอี้รีบลุกขึ้นเอ่ยเรียก “พี่สะใภ้”
หลี่ชีฉือหยุดยืนประสานมือแค่ตรงหน้าประตู ไม่ได้เข้ามาข้างใน ร่างอ้อนแอ้นยืนย้อนแสง เขาจึงเห็นหน้านางไม่ถนัด “ผู้อพยพเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
หลัวเสี่ยวอี้กำลังกลัดกลุ้มด้วยเรื่องนี้อยู่พอดี จึงอุทธรณ์ให้ฟัง “พี่สามเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด เลยเปิดประตูรับเข้าเมืองมาแล้วล่ะขอรับ เพียงแต่…”
กล่าวได้เพียงเท่านี้เขาก็เงียบเสียง คิดว่าไม่ควรพูดมากเกินไปนัก ต้องรักษาหน้าพี่สามไว้บ้าง
ปรากฏว่านางกลับต่อให้เสียเอง “เพียงแต่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดูท่าเงินจะตึงมือขึ้นมาอีกกระมัง”
หลัวเสี่ยวอี้กระแอมแห้งๆ เมื่อนางตีแผ่ความจริงออกมาโต้งๆ
สวรรค์ สตรีของพี่สามจะเก่งกาจเกินไปแล้ว
หลี่ชีฉือคาดเดาได้แต่แรก ชายผู้นั้นปกครองกองทัพด้วยความเฉียบขาด ไร้ความลังเลมาจนปัจจุบัน ตัดสินแค่จากคุณสมบัติดังกล่าว ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้เขาควรจัดการได้ไปนานแล้ว
อะไรกันเล่าที่ทำให้เขาละล้าละลัง ก็มีแต่เรื่องเงินนี่ล่ะ
นางยกแขนเสื้อขึ้นป้องปากเอ่ยถาม “ยังขาดเท่าไร ข้าจะออกให้”
หลัวเสี่ยวอี้แทบจะสะดุดกระถางไฟล้มลงกับพื้น เขาคว้าชายเสื้อคลุม จ้องมองนางด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่สะใภ้พูดจริงหรือ”
หญิงสาวพยักหน้าทันที
ขุนพลหนุ่มได้ประจักษ์ในความใจใหญ่ของนางมาแล้ว ความปรีดาผุดขึ้นในวูบแรก แต่หลังจากนั้นกลับส่ายหน้า “ไม่ได้ เมื่อผู้อพยพเข้าเป็นทหารก็ต้องรับเบี้ยหวัดจากกองทัพ จะให้ท่านออกเงินเป็นค่าเบี้ยหวัดได้อย่างไร”
เรื่องนี้ไม่เหมือนการรักษาแผลให้พี่สาม หากพี่สามรู้เข้าคงได้จับเขาถลกหนัง
แม้ว่าใจหลัวเสี่ยวอี้จะหวั่นไหวอยากรับความช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่
“นั่นสินะ” หลี่ชีฉือตอบเนิบๆ “แต่หากมองภาพเล็กก็เท่ากับข้าช่วยสามีตนเอง เขาสบายก็จะเป็นผลดีต่อข้าด้วย หากมองภาพใหญ่ การช่วยผู้อพยพให้ตั้งตัวและการขยายกองทัพช่วยให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เป็นผลดีต่อแดนเหนืออันกว้างใหญ่ และยังประโยชน์แก่บ้านเมืองด้วยเช่นกัน ตัวข้าเองเป็นเชื้อพระวงศ์ เพื่อครอบครัวและแผ่นดินแล้ว เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า”
หลัวเสี่ยวอี้ไตร่ตรองตามโดยละเอียด แต่หาช่องโหว่มาแย้งนางไม่เจอแม้แต่ข้อเดียว เขาเบิกตากว้าง แทบอยากจะตบเข่าฉาด “พี่สะใภ้เป็นจูเก่อเลี่ยง* กลับชาติมาเกิดหรือ!”
แค่วาทศิลป์ของนางเพียงอย่างเดียวก็สามารถเรียกลมบูรพาได้แล้ว มิน่าเล่าถึงได้เอาพี่สามอยู่
หลี่ชีฉือแย้มยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลง”
หลัวเสี่ยวอี้ถูมือเข้าหากัน “ข้าน่ะได้อยู่หรอก แต่พี่สามนี่สิหลอกยาก เกรงว่าจะปิดไว้ไม่ได้แน่”
หญิงสาวย้อนในใจ แล้วอย่างไรเล่า รู้ก็รู้ไปสิ ใช่ว่าทำเรื่องเลวร้ายเสียที่ใด
หากแต่ที่เอ่ยออกมาจากปากคือ “เพราะรู้นิสัยพี่สามของเจ้านี่ล่ะ ข้าถึงได้พูดเรื่องนี้กับเจ้าคนเดียว ขอเพียงเจ้าไปจัดการตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”
หลัวเสี่ยวอี้คิดทบทวนโดยละเอียด จากนั้นก็ผงกศีรษะตอบรับ
หลี่ชีฉือเดินเข้าไปหาเขาก้าวหนึ่ง อธิบายแผนการที่คิดไว้ให้ฟังโดยละเอียด
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับ จดจำทุกสิ่งไว้อย่างขึ้นใจ ก่อนจะประสานมือคำนับและเดินกลับออกไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ แม้แต่อารมณ์จะอาลัยกระถางไฟยังไม่มี
จวบจนเดินออกจากจวนมาจับบังเหียนม้า ประโยคหนึ่งก็ดังขึ้นในใจ หรือว่าพี่สามจะเริ่มดวงดีขึ้นแล้ว
พี่สะใภ้ผู้นี้คอยช่วยเหลือสามีทุกอย่าง ไร้ที่ติจริงๆ
หลังหลัวเสี่ยวอี้จากไปไม่นาน ฟ้าก็มืดลง โคมไฟถูกจุดขึ้นในจวน
เมื่อเช้านี้หิมะตกลงมาบางๆ จนเฉลียงทางเดินเปียก บ่าวไพร่จึงช่วยกันทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน เวลานี้ยังเหลือรอยชื้นเล็กน้อย
ฝูถิงที่กลับเข้ามาจากข้างนอกย่างเท้าที่อยู่ในรองเท้าหุ้มแข้งแบบชาวหูเดินไปตามเฉลียง มุ่งหน้าไปทางห้องหนังสือ ทันใดนั้นก็พลันหยุดชะงัก แล้วหันไปมองเรือนใหญ่
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ คนที่อยู่ในเรือนหลังนั้นเป็นภรรยาของเขา ไม่ไปถามไถ่บ้างก็กระไรเลย หาไม่จะไม่สมเป็นบุรุษ
เขาเอาแส้ม้าเหน็บเอวไว้ ปลายเท้าเดินเลี้ยวไปอีกทาง
เขาไม่ได้มาเสียนาน ดูเหมือนเรือนใหญ่จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว ตรงหน้าประตูแขวนม่านบังลมเนื้อหนาเวลานี้ถูกตลบขึ้นไปเหนือประตู ชายม่านห้อยพู่หลายเส้นแบบที่กำลังนิยมกันในกวงโจว
เขามองกราดเข้าไป กลิ่นกำยานอบอวลอยู่เต็มเรือน ข้างในว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน ทว่าร่องรอยของหลี่ชีฉือกลับปรากฏอยู่ในทุกซอกมุมของเรือนหลังนี้
เขากวาดสายตาอีกรอบ ก่อนจะมองไปที่เฉลียงทางเดิน ไม่เห็นสาวใช้สองคนที่คอยติดหน้าตามหลังนางเป็นประจำเช่นกัน
หากหลัวเสี่ยวอี้ไม่ได้พูดให้ฟังว่านางกลับถึงจวนโดยสวัสดิภาพ ป่านนี้เขาคงได้ออกไปตามหาแล้ว
ฝูถิงยืนอยู่สักพักก็เดินกลับไปที่ห้องหนังสือ เดินมาถึงครึ่งทาง เสียงม้าร้องพลันดังเข้าหู ดูเหมือนจะเป็นม้าประจำตัวเขาเสียด้วย ชายหนุ่มจึงเดินไปตามเสียง
พอเขาเดินมาถึงคอกม้าก็ไม่เห็นใครอยู่ข้างใน แต่มีตะเกียงแขวนไว้กับเพิง
เขาก้มหัวเดินมุดเข้าไป ม้าศึกของเขายืนหายใจฟืดฟาด ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเป็นพักๆ เหมือนจะเตะคน
พออ้อมเข้าไปข้างใน ถึงได้เห็นมือเล็กขาวเนียนวางแนบอยู่บนท้องอาชา
เจ้าของมือลุกขึ้นมาจากข้างตัวม้า ดวงตาจ้องมองเขา
ฝูถิงมองดวงหน้าใต้แสงตะเกียงรัวรางของนางพลางนึกในใจว่า มิน่าเล่าถึงได้ไม่เห็น ที่แท้ก็มาอยู่ตรงนี้
“ข้าสั่งให้พวกซินลู่เปลี่ยนอานม้าให้ท่านใหม่ แต่พวกนางไม่กล้าเข้าใกล้ม้าท่าน ข้าเลยต้องจัดการเอง” หลี่ชีฉือชิงอธิบายโดยไม่รอให้เขาเอ่ยถาม
นางเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้หลังจากที่หลัวเสี่ยวอี้กลับไปแล้ว
ที่ลงไปนั่งยองๆ เมื่อครู่ก็เพื่อผูกอานม้า ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนแล้ว นางปล่อยมือจากชายกระโปรงที่รั้งรวบเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วรีดรอยยับ
ฝูถิงตวัดตามองอานม้าใหม่เอี่ยมที่ทำจากหนัง เขาเป็นคนง่ายๆ จึงไม่ได้เปลี่ยนอานกับบังเหียนมาหลายปีแล้วจริงๆ ที่ผ่านมาคนรอบข้างก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องหยุมหยิมพวกนี้แทนเขา
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางอีกครั้ง “ม้าตัวนี้ดุ อาจทำร้ายคนได้”
หลี่ชีฉือตอบ “ข้าขี่มาตลอดทางจนถึงจวน ไม่ยักรู้สึกว่ามันดุร้ายตรงที่ใด”
ฝูถิงนึกในใจ นั่นเพราะข้าอุ้มเจ้าขึ้นไปต่างหากเล่า ไม่เช่นนั้นก็ลองดูสิ
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้
เขาก้มหน้ามองหญิงสาวเขม็ง “ขี่ม้าเป็นไยจึงไม่บอก”
นัยน์ตาสตรีตรงหน้ากลอกไหวไปมานิดๆ ก่อนจะตอบเสียงเบา “ท่านไม่เคยถามนี่”
นางพูดตอบตามความจริง ตอนนั้นนางบอกแค่ว่าปีนขึ้นม้าไม่ไหวเท่านั้น เขาเป็นฝ่ายดูถูกนางเองไม่ใช่หรือ
ฝูถิงพูดไม่ออก ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยว่า “ใครจะไปถามเรื่องนี้กัน”
ทว่าในใจกลับคิดกับตนเอง…ดูท่าจะหลงกลนางเข้าอีกแล้ว
หลี่ชีฉืออมยิ้มนิดๆ เหลือบตามองคนตรงหน้า มายืนอยู่ในคอกม้าเช่นนี้ หัวเขาแทบชนคานหลังคาอยู่รอมร่อ
จากนั้นนางก็ลดสายตาลงมามองเรือนกายสูงตระหง่าน เขาเหน็บแส้ม้าไว้ที่เอว ดาบใบกว้างที่ยังไม่ได้ปลดออกพาดขวางอยู่ข้างหลัง เครื่องแบบทหารกระชับแนบเอวสอบ ขับเน้นความผึ่งผายของรูปร่าง
ฝูถิงสังเกตเห็นว่านางมองไปที่บั้นเอวตนเอง จึงเอื้อมมือไปปลดดาบลงมาถือไว้ เพราะเกรงจะทำให้นางหวาดกลัว ขณะที่เขากำลังจะก้มตัวมุดประตูเดินออกไป ก็พลันได้ยินเสียงแผ่วๆ ของนางดังขึ้นประชิดแผ่นหลัง
“หากท่านอยากทราบสิ่งใด ถามข้าตรงๆ ก็ได้ ไม่ถามข้าจะทราบได้อย่างไร”
ฝูถิงปลายเท้าหยุดนิ่ง พลันนึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นนางเคยพูดไว้ว่าเมื่อรักษาเขาหายแล้ว ขอให้เขาพูดจากับนางให้มากขึ้น
หลี่ชีฉือเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง นางเขย่งปลายเท้า ชะโงกหน้าเข้ามามองลำคอแกร่งใกล้ๆ“ขอข้าดูแผลหน่อย”
ฝูถิงแหงนหน้า ทว่าหลุบต่ำมองลงไปยังหน้าผากเนียน
มือเล็กกดลำคอเขาสองที คงเพราะตากลมอยู่ในนี้จนหนาว เขาจึงรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบบนลำคอเมื่อถูกนางสัมผัส
ม้าศึกที่อยู่ข้างๆ รู้จักจดจำเจ้านาย นึกว่าเขามีภัยประชิดตัว จึงดีดขาหน้าขึ้นมาทันที
ฝูถิงเอื้อมมือไปกดหน้าผากมันไว้
อาชาคู่ใจร้องฮี้ๆ อยู่สองทีก็นิ่งไป
หลี่ชีฉือปรายตามองม้า ก่อนจะเหลือบมองเขาแล้วชักมือกลับมา “ที่แท้ก็ดุจริงด้วย”
ฝูถิงมองนางอยู่นาน ถึงค่อยดึงมือออกจากหน้าผากม้าอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ จากนั้นก็ยกมือลูบคอตนเองโดยไม่รู้ตัว
อย่าว่าแต่ม้า กระทั่งข้าเองก็ต้องปรับตัวให้ชินกับเจ้าเช่นกัน
บทที่ 12
หิมะห่าใหญ่เพิ่งหยุดตกไปอีกครั้ง แสงอรุณก็ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
น้ำเย็นเฉียบในอ่างสะท้อนภาพดวงหน้าหล่อเหลา
หลังวางมีดเล็กสำหรับโกนหนวดลง ฝูถิงยกมือลูบคอ สัมผัสความแข็งสากของแผลที่ตกสะเก็ด
เขาก้มหน้าจัดเครื่องแบบให้เรียบร้อย แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ
มีคนเดินก้าวถี่ๆ เข้ามาจากข้างนอก ดึงความสนใจชายหนุ่มให้หันไปมอง
ไม่ใช่หลี่ชีฉือที่ควรมาเปลี่ยนผ้ายา หากแต่เป็นบ่าวผู้หนึ่งที่ยกอาหารเช้าเข้ามาให้
เขามองเลยออกไปนอกห้อง ฟ้าแจ้งมาได้สักพัก ปกติเวลานี้เขาควรออกไปกองทัพได้แล้ว แต่วันนี้กลับยังนั่งอยู่ที่นี่ มุมปากขยับนิดหนึ่งด้วยความขบขัน
นางเข้ามาเปลี่ยนผ้ายาให้ก่อนเขาออกจากจวนและหลังกลับเข้าจวนเป็นประจำติดต่อกันหลายวันจนกลายเป็นความเคยชิน
พอคิดได้อย่างนี้เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบแส้ม้า
เพิ่งจะก้าวพ้นเขตเรือนชั้นใน ก็เจอหลัวเสี่ยวอี้เดินมาจากทิศทางตรงข้าม
“พี่สามอย่าเพิ่งไป” ฝ่ายนั้นกระหืดกระหอบเข้ามายกมือห้ามเขาไว้ “ข้ามีข่าวดีจะบอก”
ฝูถิงชะงักเท้าทันที
วันนี้หลี่ชีฉือตื่นสาย นางนึกว่าชายผู้นั้นคงไปแล้ว แต่พอเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือก็พบว่าประตูเปิดอยู่
ตอนที่เอามือรั้งชายกระโปรงก้าวเข้าไป บุรุษที่อยู่ในห้องก็หันมามองทันที
ยังมีหลัวเสี่ยวอี้ยืนข้างๆ ด้วยอีกคน
นางเห็นดังนั้นก็แสร้งทำท่าจะหันหลัง “พวกท่านคงมีเรื่องคุยกัน ข้าออกไปก่อนดีกว่า”
หลัวเสี่ยวอี้รีบห้าม “พี่สะใภ้เป็นคนในครอบครัวพี่สาม จะต้องออกไปด้วยเหตุใด อยู่ด้วยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา”
หลี่ชีฉือมองไปทางสามี เขายืนตัวตรงสง่าในเครื่องแบบทหาร ดวงตายังคงจ้องมองนาง ไม่แย้งคำพูดของคนสนิท
นางมองว่าเขาเห็นชอบ จึงเดินเข้าไปข้างใน
ในขณะที่ผ่านร่างสูงใหญ่ นางรั้งฝีเท้าเล็กน้อยเหมือนไม่จงใจ ปรายตามองแผลบนลำคอแกร่ง
ส่วนที่ฉกรรจ์ที่สุดมีเนื้องอกใหม่เป็นสีแดงเรื่อ บ่งบอกว่าแผลใกล้หายเต็มที
หลี่ชีฉือปรารภในใจ ดูท่าคงไม่ต้องพึ่งมือข้าอีก
นางคิดแล้วก็กำผ้ายาผืนใหม่ที่ถือมาด้วยไว้ในฝ่ามือ
ดูเหมือนชายหนุ่มจะรับรู้ได้ จึงเอี้ยวหน้ามาทางนี้ เห็นนางเดินผละออกมาสองก้าว รั้งชายกระโปรงและนั่งคุกเข่าราบลงบนเบาะ
ฝูถิงหันไปมองหลัวเสี่ยวอี้
ฝ่ายนั้นส่งเสียงตะโกนเรียกออกไปนอกห้องโดยไม่รอให้เขาสั่ง
ทหารใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งอุ้มกล่องเข้ามาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินกลับออกไป
ฝูถิงตวัดตามอง “นี่อะไร”
หลัวเสี่ยวอี้เปิดฝากล่อง ยื่นไปให้ดู “เห็นชัดหรือไม่พี่สาม นี่คือใบเงินหลวง*”
ฝูถิงก้มลงมองแล้วสอดมือเข้าไปกรีดในกล่อง เป็นใบเงินหลวงจริงๆ ซ้ำยังซ้อนกันเป็นปึกหนาเสียด้วย
ใบเงินหลวงเหล่านี้เป็นใบรับรองมูลค่าเงินตรา ต้องใช้เงินสดแลกมาถึงจะมีได้
ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
เขาเงยหน้าขึ้นถาม “ไปเอามาจากที่ใด”
คนสนิทตอบ “ตอนที่ผู้อพยพก่อความวุ่นวายนอกประตูเมืองได้ทำให้การค้าขายชะงักงันไปไม่น้อย ข้าส่งคนไปเฝ้าคุมให้อยู่หลายวัน เวลานี้พวกพ่อค้ากลับมาทำมาค้าคล่อง จึงเกิดความซาบซึ้ง สมัครใจบริจาคใบเงินหลวงเหล่านี้มาให้ใช้เป็นเบี้ยหวัดในกองทัพ”
ฝูถิงขมวดคิ้วนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด
หลัวเสี่ยวอี้เห็นเขาไม่แสดงท่าทีใดๆ ก็ถามขึ้นว่า “พี่สามคิดอะไรอยู่ พวกเรากำลังขาดเงินที่จะใช้อุดรอยรั่วอยู่นะ ได้เงินก้อนนี้มาไม่ดีหรือ”
ฝูถิงเอ่ย “ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ได้”
พ่อค้าหวงแหนกำไร อยู่ๆ จะยอมสมัครใจให้เงินมาเองได้อย่างไรเล่า
หลัวเสี่ยวอี้ผงะ แต่ก็ไหวพริบดีพอที่จะตอบกลับไปทันที “คิดเสียว่าพวกเขาจ่ายภาษีมากหน่อยก็แล้วกัน ยามนี้แดนเหนือยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ก็มีแต่พวกพ่อค้านี่ล่ะที่พอจะเหลือกินเหลือใช้ ยอมเสียเงินบำรุงกองทัพเพื่อความปลอดภัยของตนเองก็สมเหตุสมผลแล้วนี่นา”
พูดจบเขาก็แอบเหลือบมองพี่สะใภ้ของตนแวบหนึ่งพลางบ่นพี่สามอยู่ในใจ
เรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อยู่แล้วล่ะ หากไม่ได้ภรรยาที่ท่านแต่งเข้าตระกูลมา
หลี่ชีฉือนั่งเงียบ ได้แต่หยิบส้มผลหนึ่งจากถาดไม้เคลือบเงาที่อยู่บนโต๊ะ
ส้มเหล่านี้นางสั่งมาจากทางใต้ด้วยราคาแพงลิบลิ่ว เพียงเพราะหลี่เยี่ยนบ่นว่าอยากกิน
พอได้มาแล้วก็ให้ซินลู่แบ่งบางส่วนมาวางไว้ในห้องหนังสือ ปรากฏว่าจนป่านนี้ชายหนุ่มก็ยังไม่หยิบกินแม้แต่ผลเดียว
ปลายนิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ปอกเปลือกส้ม เหมือนไม่ได้ฟังว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันบ้าง
ฝูถิงเอามือเท้าเอว ตามองกล่อง เดินกลับไปกลับมาช้าๆ
กว่าเขาจะมีวันนี้ได้ก็เพราะค่อยๆ บากบั่นฝากรอยเท้ามาตามทางทีละก้าว จึงไม่เคยเชื่อถือโชคลางใดๆ ทั้งสิ้น
บัดนี้อยู่ๆ โชคครั้งใหญ่ก็หล่นลงมาตรงหน้า ถ้าบอกว่าไม่แปลกใจเลยก็โกหกแล้ว
หลัวเสี่ยวอี้ที่คอยสังเกตสีหน้าพี่สามของตนมาโดยตลอดแอบเหลือบมองพี่สะใภ้ แต่นางทำท่าเหมือนเข้ามานั่งฟังอย่างเดียวจริงๆ ไม่ซักไม่ถาม เขาจึงกลั้นใจพูดออกไปว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ตอบตกลงรับของมาแล้ว ต่อให้พี่สามไม่อยากได้ก็ไม่มีทางเลือก”
ฝูถิงตวัดตามองด้วยใบหน้าคร่ำเครียด “เช่นนั้นยังจะมาบอกข้าด้วยเหตุใดอีก”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะ “ก็พี่สามเป็นผู้บัญชาการ ไม่บอกท่านแล้วจะให้บอกใครเล่า”
พอพูดจบเขาก็หันไปทางนาง “เลยทำให้พี่สะใภ้เห็นเรื่องน่าขันเสียได้”
หลี่ชีฉือที่กำลังปลิดกลีบส้มเงยหน้าขึ้น “พวกท่านคุยเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่ข้าไม่ได้สนใจฟัง”
หลัวเสี่ยวอี้ยิ้ม “นั่นสินะ เรื่องในกองทัพน่าเบื่อ พี่สะใภ้ไม่ต้องสนใจหรอก คิดเสียว่าข้ากับพี่สามคุยเล่นก็แล้วกันขอรับ”
หลังจากโต้ตอบกันด้วยคำพูดเป็นพิธีรีตองราวกับส่งรหัสลับแล้ว เขาก็หันไปบอกฝูถิง “พี่สามคุยกับพี่สะใภ้เถิด ข้าจะออกไปรอข้างนอก”
ถึงอย่างไรก็ทิ้งกล่องเงินไว้แล้ว พอพูดจบเขาจึงหมุนตัวเดินออกไปทันที
ฝูถิงเพิ่งจะหันไปมองนางก็ตอนนี้
หลี่ชีฉือเอาแต่นั่งปอกเปลือกส้มเงียบๆ ดูไม่ออกว่าไม่สนใจฟังจริงหรือไม่
เขาคิดกับตนเองในใจว่าไม่น่าพูดต่อหน้านางเลย หากนางรู้ว่ากองทัพอยู่ในภาวะเช่นไร เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
หลี่ชีฉือปลิดส้มกลีบหนึ่งขึ้นจรดริมฝีปาก พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขามองตนเองอยู่ก็วางผลไม้ลง
“เมื่อครู่ข้าเห็นแผลท่านดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ย
ฝูถิงยกมือลูบคอ “ตกสะเก็ดแล้ว”
นางรู้ว่าได้เวลาที่เขาควรออกจากจวน จึงลุกขึ้นเดินไปหยิบแส้ม้าที่วางไว้อีกทางมาเหน็บเอวให้
ชายหนุ่มก้มหน้ามองมือเล็กสอดแส้ม้าไว้ตรงข้างเอวตน
เข็มขัดแน่นขึ้น เพราะนางต้องใช้นิ้วรั้งไว้สองนิ้วถึงจะสอดแส้เข้ามาได้ ปลายนิ้วเรียวเล็กกดแนบอยู่กับเอวสอบ
กลิ่นหอมที่เคยคุ้นโชยมากระทบจมูกอีกครั้ง นัยน์ตาคมไหววาบเมื่อเห็นซอกคอขาวผ่องราวกับหิมะของคนตรงหน้า
“ทีนี้ข้าก็ไม่ต้องเข้ามาทุกเช้าทุกเย็นแล้ว” อยู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น
ฝูถิงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจว่านางพูดถึงแผล
หญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้มในดวงตา “แต่ดูเหมือนข้าจะมาจนชินเสียแล้ว ไม่ทราบว่าท่านชินด้วยหรือไม่”
เขาเม้มปากแน่น สายตาที่มองมาทำเอาเขาต้องเค้นสมองคิดว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
พอนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่…ดูเหมือนจะชินแล้วจริงๆ
ทว่านางดึงมือกลับไปเหมือนไม่ได้สนใจรอฟังคำตอบ “เรียบร้อยแล้ว ไปเถิด”
ฝูถิงเหน็บแส้ม้าเข้าที่เอวใหม่ รู้สึกราวกับสัมผัสจากปลายนิ้วนุ่มเนียนยังอ้อยอิ่งอยู่บนนั้น
จวบจนรู้ตัวว่าชักจะมองนางนานเกินไปแล้ว เขาถึงได้ก้าวเท้าออกเดิน
“ช้าก่อน” หลี่ชีฉือส่งเสียงเรียก
เขาหันมามอง เห็นนางชี้ไปยังกล่องบนโต๊ะ “ท่านไม่ได้เอาเงินไป”
ชายหนุ่มย้อนกลับไปหยิบกล่องมาหนีบไว้ใต้แขนข้างหนึ่ง พอเดินไปถึงประตูห้องก็รั้งฝีเท้าหันกลับมามองนาง
“ไม่ได้ใส่ใจฟังหรือ” เขาย้อนถามประโยคที่นางพูดเมื่อครู่นั่นเอง
หลี่ชีฉือประสานสายตากับอีกฝ่าย ร่างสูงสง่าของเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาที่ดำสนิทกว่าคนทั่วไปฉายแววเข้มลึกเมื่อจ้องมองนาง
หญิงสาวใจลอยไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วเบนสายตาไปอีกทาง ปลายนิ้วดึงชายแขนเสื้อแน่น “อืม”
แค่เห็นดวงหน้างามผินมองไปทางอื่นก็รู้แล้วว่านางได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ เขาเหยียดมุมปากออกจากกันเล็กน้อย รู้สึกอับจนด้วยคำพูด ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง
เมื่อออกมานอกจวน หลัวเสี่ยวอี้จูงม้าคู่ใจมารออยู่แล้ว ห่างออกไปคือกองทหารที่เจ้าตัวนำมาด้วย
ฝูถิงเดินเข้าไปรับบังเหียน
คนสนิทถูมือเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมใส่ ก่อนจะสัพยอก “พี่สามกับพี่สะใภ้คุยเรื่องส่วนตัวอะไรกัน ทำเอาข้ารอเสียนาน”
ถ้าเล่าให้ฟังได้ยังจะเรียกว่าเรื่องส่วนตัวอีกหรือ
เขาโยนกล่องใบนั้นไปให้ แล้วเหยียบโกลนขึ้นม้าทันที
หลัวเสี่ยวอี้รับไว้อย่างแม่นยำ กลับมาพูดจาเป็นการเป็นงานเหมือนเดิม “บอกตรงๆ นะพี่สาม ข้าสั่งให้คนล่วงหน้าไปจ่ายเบี้ยหวัดแล้วล่ะ ขาดแค่รอเอาเจ้ากล่องนี้ไปสมทบก็ครบพอดี”
นี่คือการบอกอ้อมๆ ว่าเงินในกล่องนี้ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องใช้
ฝูถิงดึงแส้ม้าออกจากเอว “คราวหน้าหากจัดการเองก่อนแล้วมารายงานทีหลัง ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่”
“แน่นอนอยู่แล้ว รับรองว่าไม่มีหนที่สองเด็ดขาด” หลัวเสี่ยวอี้ยิ้มพลางรีบเอ่ยรับรอง
พูดจบเขาก็ล้วงผ้าผืนหนึ่งจากในอกเสื้อมาห่อกล่องผูกคาดอกไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ตวัดตัวขึ้นหลังม้า โบกมือวูบเป็นสัญญาณออกเดินทาง ก่อนจะนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปขึ้นเงินสด
ภายในจวน หลี่ชีฉือนั่งลงตรงหน้ากระจก
นานเต็มทีแล้วที่ไม่ได้ใช้เงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ในคราวเดียว ครั้งสุดท้ายที่ใช้เงินมากเท่านี้คือตอนที่ช่วยพี่ชายส่งสินบรรณาการให้ฮ่องเต้ ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
นางถือสมุดบัญชีมือหนึ่ง อีกมือถือพู่กันลากเส้นขีดฆ่าหลายเส้น ก่อนจะปิดสมุดส่งให้ชิวซวง
รอยยิ้มในดวงตาของผู้เป็นนายทำให้สาวใช้ถามขึ้นอย่างกังขา “เสียเงินไปมากถึงเพียงนี้แท้ๆ เหตุใดยังดูอารมณ์ดีได้อีกเล่าเจ้าคะ” ทำเหมือนไม่ได้เสียเงิน แต่หาเงินมาได้มากกว่าอย่างไรอย่างนั้น
หลี่ชีฉือหัวเราะเบาๆ “เสียเงินไปอย่างคุ้มค่าย่อมต้องอารมณ์ดีอยู่แล้ว”
เสียเงินไปกับชายผู้นั้น ต่อให้มากเพียงใดก็คุ้ม
เขามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ในมือ เพียงแต่อยู่ในสภาพติดขัดไร้ทางออกเยี่ยงมังกรเกยหาดตื้น* ในเมื่อใช้เงินแก้ปัญหาได้ เหตุใดจะไม่น่ายินดีเล่า
การจ่ายเบี้ยหวัดในกองทัพกินเวลาอยู่นาน
หลัวเสี่ยวอี้เบาโล่งไปทั้งตัวเมื่อหมดปัญหาหนักอกไปอย่างหนึ่ง
เย็นวันนั้นเขาตามฝูถิงกลับจวนไปขอฝากท้องอย่างไร้ยางอายตามเคย
ตามความคิดของเขา เขาทั้งช่วยพี่สะใภ้ ทั้งช่วยพี่สาม ย่อมเป็นผู้มีความดีความชอบอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นคืนนี้ต้องขอดื่มกับพี่สามสักจอกให้ได้
เมื่อเขาเดินเข้าจวนมาไม่ทันไรก็เจอหลี่เยี่ยนที่เพิ่งเลิกเรียนเข้าโดยบังเอิญ
ซื่อจื่อน้อยสวมเสื้อนวมเดินออกมาจากข้างในเรือน ยังถือหนังสืออยู่ในมือหลายเล่ม
หลัวเสี่ยวอี้จะทำเป็นมองไม่เห็นก็ไม่ได้ จึงประสานมือคำนับ “ซื่อจื่อ”
หลี่เยี่ยนมองเขา ก่อนจะเลื่อนสายตามองเลยไปข้างหลัง แล้วเอ่ยเรียก “ท่านอาเขย”
ฝูถิงเพิ่งจะส่งม้าให้บ่าวจูงออกไป หันมาเห็นเด็กชายก็พยักหน้าให้
เป็นอีกครั้งแล้วที่หลี่เยี่ยนได้รับท่าทีเช่นนี้จากชายหนุ่ม พอนึกถึงคำที่ท่านอาหญิงเคยกล่าวไว้ว่าสามีเป็นคนเช่นนี้เอง เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี ได้แต่คำนับแล้วเดินจากไป
หลัวเสี่ยวอี้หันกลับมาชมเปาะ “พี่สาม ซื่อจื่อน้อยผู้นี้น่าสนใจดีแท้ ข้าเคยล่วงเกินเขา แต่เจอกันทีไรเขาไม่ยักทำปั้นปึ่งใส่ข้า แสดงว่าพี่สะใภ้สอนมาดี”
ฝูถิงปรายตามองคนสนิท ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสนิทสนมกับหลี่ชีฉือถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้ขยันเรียกพี่สะใภ้กว่าใคร
“ก็เป็นถึงซื่อจื่อนี่นะ” เขาเอ่ยตอบ
หลัวเสี่ยวอี้ถอนหายใจเฮือก ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไพล่คิดไปถึงเรื่องอื่นได้ “หากพี่สะใภ้กับพี่สามได้อยู่ด้วยกันเร็วกว่านี้ คงมีเจ้าตัวเล็กจนวิ่งได้แล้ว ดีไม่ดีอาจโตพอให้ข้าพาไปขี่ม้าด้วยซ้ำ”
ภาพซอกคอขาวผ่องกับปลายนิ้วนุ่มละมุนของสตรีผู้นั้นผุดขึ้นมาในมโนนึกของฝูถิงอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอ่ยย้อนในใจว่า แค่จะแตะต้องนางยังไม่เคย แล้วจะมีเจ้าตัวเล็กจากที่ใดได้เล่า
ฝูถิงโยนแส้ม้าไปให้อีกฝ่าย “ไสหัวไปผิงไฟเสียไป”
หลัวเสี่ยวอี้คว้าหมับ แล้วเดินออกไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
คนสนิทเพิ่งจะลับตัว บ่าวผู้หนึ่งก็นำความมารายงาน เห็นว่ามีพ่อค้าผู้หนึ่งมาขอพบขุนพลหลัวอยู่ข้างนอก เนื่องจากเมื่อตอนกลางวันเจ้าตัวนำใบเงินหลวงไปขึ้นเงินสด แต่ขึ้นไม่ทันครบก็ไปเสียก่อน ท่าทางดูรีบร้อนมาก ตนจึงตามมาเชิญให้ไปรับเงินส่วนที่เหลือ
ฝูถิงนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้บ่าวไปจูงม้าออกมาใหม่ แล้วไปจัดการด้วยตนเองโดยไม่เรียกน้องชายร่วมสาบาน
ด้านหลัวเสี่ยวอี้นั่งผิงไฟรอในห้องอยู่นานจนหิวไส้กิ่ว ก็ยังไม่เห็นพี่สามของตนเข้ามาเสียที
สุดท้ายเขาเลยจะออกไปดูอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่เพิ่งเปิดประตูก็ปะเข้ากับซินลู่เสียก่อน
สาวใช้แจ้งว่าผู้เป็นนายของนางทราบว่าเขามาและยังไม่ได้กินข้าว จึงเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว กำลังจะยกมาที่นี่
หลัวเสี่ยวอี้ซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที พี่สะใภ้เซี่ยนจู่ช่างรู้สึกเห็นใจผู้อื่นเหลือเกิน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่สามแต่งงานกับสตรีถูกคน
ระหว่างที่ซินลู่กำลังยกอาหารขึ้นโต๊ะ ใครผู้หนึ่งก็ก้าวสวบๆ เข้ามาในห้อง
หลัวเสี่ยวอี้เงยหน้าขึ้นร้องอย่างดีใจ “พี่สามมาได้จังหวะ มาถึงก็นั่งกินข้าวได้พอดี”
ฝูถิงกวาดตามองบ่าวไพร่ แล้วเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อหลัวเสี่ยวอี้ลากออกไปข้างนอก
คนอื่นๆ รีบถอยหลบไปด้วยความตระหนก
หลัวเสี่ยวอี้เองก็ตกใจไม่น้อย แต่ไม่กล้าขัดขืน พี่สามของเขาตัวสูงใหญ่และขายาว ย่อมจับเขาหิ้วออกไปได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
จวบจนมาถึงเฉลียงทางเดิน ฝูถิงถึงค่อยปล่อยมือ
หลัวเสี่ยวอี้ทรงตัวยืนบนเท้าตนเองพลางเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “นี่มันอะไรกันพี่สาม”
“เงินก้อนนั้นมาจากที่ใด” ฝูถิงถาม
ฝ่ายตรงข้ามผงะ “ข้าก็บอกพี่สามไปแล้วว่าพวกพ่อค้าช่วยกันออกให้”
ฝูถิงเสียงเข้ม “แล้วเหตุใดใบเงินหลวงมากมายเพียงนั้นถึงไปอยู่ในร้านเดียวกัน มิหนำซ้ำวันที่ได้รับยังเป็นวันเดียวกันอีก”
หลัวเสี่ยวอี้นึกในใจ แย่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะโดนจับได้จากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
เขาบอกพี่สะใภ้แต่แรกแล้วว่าพี่สามไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ
ฝูถิงไม่มีอารมณ์จะพูดเยิ่นเย้อให้มากความ “จะโดนไม้พลองทหารหรือจะตอบมาตามตรง เลือกเอา”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 65)
Comments
comments
No tags for this post.