X
    Categories: Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 20

บทที่ 1 มีชีวิตชีวา

ปี 2006 ณ กรุงปักกิ่ง

ฤดูร้อนมาเยือนเร็วเป็นพิเศษ อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากพ้นเดือนพฤษภาคม ดวงอาทิตย์เจิดจ้าแผดเผาพื้นดิน ร้อนอบอ้าวและแห้งแล้งในตอนกลางวัน กระทั่งเข้าสู่เวลากลางคืนถึงมีลมเย็นโชยเบาๆ เป็นลักษณะของช่วงต้นฤดูร้อน

เจียงเหม่ยซีลงจากรถ MPV ของบริษัท ย่ำรองเท้าส้นสูงสิบสองเซนติเมตรเดินโซซัดโซเซตรงไปยังเขตคอนโดมิเนียมของตนเอง

เธอดื่มเหล้าไปนิดหน่อยขณะที่กินอาหารเป็นเพื่อนเจ้านายและลูกค้า สำหรับคนปกติแล้วมันเป็นปริมาณที่นิดเดียวจริงๆ แต่กลับเธอผู้มีฉายาว่า ‘เจียงสามแก้ว’ ซึ่งนั่นหมายความว่าแค่สามแก้วก็ล้มแล้ว

เจียงเหม่ยซีจำไม่ได้แล้วว่าวันนี้ตัวเองดื่มไปกี่แก้ว แต่ก็ยังฝืนเดินจากประตูใหญ่ของเขตคอนโดฯ กลับห้องได้ แค่ต้องเปลืองแรงนิดหน่อย

เขตคอนโดฯ ที่เธอพักอยู่แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โต แต่สถาปนิกก็ออกแบบสะพานเล็กๆ พร้อมกับสายน้ำไหลคดเคี้ยวลึกเข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ใหญ่โตนี้จึงไม่ค่อยเป็นมิตรกับรองเท้าส้นสูงของเธอสักเท่าไรนัก

เจียงเหม่ยซีเดินหนึ่งก้าวโยกสามทีโซซัดโซเซ อาศัยสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่น้อยนิดคลำทางไปจนถึงหน้า ‘ประตูห้อง’ ภายใต้แสงไฟสลัวเธอกดรหัสปลดล็อกอย่างยากลำบาก ผลกลายเป็นว่ามันไม่ถูก!

ลองอีกครั้ง…ยังไม่ถูก!

ครั้งที่สาม…ไม่ถูกอีกแล้ว!!

เจียงเหม่ยซีมึนงงเล็กน้อยจึงหันกลับไปมองหมายเลขชั้นบนผนังอย่างช้าๆ ชั้นแปดไม่ผิด!

ครั้งนี้เธอท่องรหัสปลดล็อกออกมาดังๆ ท่องหนึ่งตัวกดหนึ่งที แต่ก็ยังผิดอยู่ดี

วันนี้มันเป็นอะไรเนี่ย ตอนบ่ายก็ทะเลาะกับเจ้านายเพราะเรื่องงาน ตอนกินเลี้ยงเมื่อกี้ยังถูกลูกค้าแทะโลมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้แม้แต่ประตูไม่รักดีนี่ก็ยังหาเรื่องเธออีก!

ในตอนที่เจียงเหม่ยซีที่มึนเมากำลังจะอาละวาด ประตูบานนี้ก็เปิดออกเองอย่างคาดไม่ถึง

คนที่เปิดประตูให้เธอเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผอม สวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาวหลวมโพรก กางเกงขาสั้นสีดำยาวถึงเข่า และรองเท้าแตะคีบ แต่งตัวเหมือนอยู่บ้าน ผมของชายหนุ่มยาวเล็กน้อย และเพราะเขาหันหลังให้กับแสงไฟจึงทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดนัก แต่ก็ยังมองเห็นดวงตาอันลึกล้ำและรูปร่างเค้าโครงของเขาได้

เจียงเหม่ยซีมองเขาอย่างงงงันไปพักหนึ่งถึงได้สติคืนมา “คุณเป็นใครน่ะ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจียงเหม่ยซี?”

เจียงเหม่ยซีอึ้งเล็กน้อยไปก่อนจะหัวเราะออกมา เกือบไปแล้ว เธอคิดว่าตัวเองมาผิดห้อง แต่เขารู้จักว่าเธอเป็นใคร ดูท่าว่าจะไม่ผิด

เธอผลักเขาแล้วเดินซวนเซเข้าไปในห้อง เดินไปพลางเตะรองเท้าออกไปพลาง “ใครให้คุณเข้ามาเนี่ย คุณนายเจียงอีกแล้วเหรอ? เดี๋ยวนี้แม่ฉันอัพเกรดบังคับนัดบอดแล้วเหรอเนี่ย ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่อยากเจอ ยังจะยัดเยียดให้เข้ามาในห้องโต้งๆ อย่างนี้เลย เกินไปแล้วนะ!”

ขณะที่กำลังพูดจู่ๆ เกิดขาของเธอก็เกิดอ่อนแรงขึ้นมาอีกครั้งจนล้มลงไปบนโซฟาทั้งตัว

ภาพตรงหน้าหมุนไปชั่วขณะ เจียงเหม่ยซีหลับตาลงทันที แค่ขยับยังไม่อยากจะขยับ

เธอได้ยินเสียงปิดประตูดังจากไกลๆ ตามมาด้วยเสียงลากรองเท้าเสียดสีกับพื้นห้องไปๆ มาๆ สุดท้ายเสียงฝีเท้านั้นก็หยุดลงที่ข้างตัวเธอ

“ลุกขึ้น”

เจียงเหม่ยซีพยายามเปิดเปลือกตา เธอหรี่ตามองคนพูด ตอนนี้ในมือเขากำลังถือน้ำอยู่แก้วหนึ่ง

“ดื่มน้ำ” เขาพูด

พอถูกเตือนอย่างนี้เธอก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมาจริงๆ แต่ว่าทั้งตัวเธออ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ต้องออกแรงอยู่นานกว่าจะทำให้ตัวเองลุกขึ้นมานั่งได้ พอหมายจะยื่นมือไปรับแก้วน้ำ มือก็กลับไม่ฟังคำสั่ง ดันตรงไปคว้าข้อมือของชายหนุ่มข้างที่ถือแก้วน้ำอยู่ข้างนั้น

อุณหภูมิจากผิวของเขาตรงกันข้ามกับความร้อนรุ่มที่อยู่บนตัวเธอโดยสิ้นเชิง บริเวณที่ปลายนิ้วของเธอสัมผัสนั้นเย็นเฉียบ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกสบาย ไหนๆ ก็ไหนๆ เธอทำตัวรุ่มร่ามไปแล้ว เจียงเหม่ยซีจึงใช้สองมือประคองมือข้างนั้นของชายหนุ่มให้ขยับแก้วน้ำเข้ามาใกล้ริมฝีปากแล้วดื่มน้ำในแก้วลงไปหลายอึก

ตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มไม่พูดไม่จาสักคำ เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เธอแต๊ะอั๋ง ทำให้เจียงเหม่ยซีรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันใด

เธอใช้หลังมือเช็ดปากสะเปะสะปะ ก่อนจะพูดลิ้นพันกัน “คุณไปเถอะ”

“ไป? ไปไหน”

นี่หมายความว่าไม่อยากไปอย่างนั้นเหรอ

เจียงเหม่ยซีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมส่งยิ้มให้เขา “เพิ่งเจอกันครั้งแรกคุณก็จะอยู่ที่นี่แล้ว จะไม่คืบหน้าเร็วเกินไปหน่อยเหรอ”

ท่าทีของเธอชัดเจนมากว่านี่คือการไล่แขก

แต่ชายหนุ่มกลับมองเธออย่างไม่สะทกสะท้าน “เจอกันครั้งแรกคุณก็เมาจนกลายเป็นอย่างนี้ ความคืบหน้าก็ไม่นับว่าช้าแล้ว”

การโต้ตอบนี้ทำให้เจียงเหม่ยซีรู้สึกเกินคาดมาก จู่ๆ เธอก็อยากมองสักหน่อยว่าคนคนนี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่แสงไฟในห้องไม่ดีนัก และเธอก็เมามากแล้วจริงๆ เมาจนตาทั้งสองไม่อาจเพ่งมองได้ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าล้วนวูบไหวไปมา

ดังนั้นตอนที่เธอกำลังจะเขย่งเท้าเพื่อมองหน้าเขาให้ชัด เท้าก็พลิกโดยไม่ทันระวัง ทั้งตัวเอนล้มไปทางโต๊ะรับแขกที่อยู่ข้างๆ

ดีที่ปฏิกิริยาตอบรับของชายหนุ่มนั้นรวดเร็ว เขาคว้าตัวเธอไว้ทันในตอนที่เธอเกือบล้มลง ทำให้เธอไม่ล้มลงไปบนโต๊ะรับแขกแข็งๆ นั่น แล้วล้มลงบนโซฟาหนังแท้นุ่มๆ แทน เพียงแต่ว่าเขาเองก็ล้มตามลงมาด้วย…

ไม่มีความเจ็บปวดอย่างที่เธอกลัวล่วงหน้า อีกทั้งบริเวณที่ผิวหนังสัมผัสกันก็เกิดความรู้สึกอันเย็นเฉียบทำให้เธอไม่ทรมานขนาดนั้นแล้ว ในชั่วขณะสุดท้ายก่อนสติสัมปชัญญะของเธอทั้งหมดกระเจิดกระเจิงไปเจียงเหม่ยซีคิดว่าในเมื่อเขาไม่ยอมออกไป ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ต่อเถอะ

พอสมองเธอถูกกระตุ้น มือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นไปคล้องคอเขาเอาไว้ พาตัวเองที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

ในบริษัททั้งระดับบนระดับล่างต่างก็บอกว่าเธอเป็นคนวางอำนาจและเด็ดขาด แต่การบังคับจูบผู้ชายคนหนึ่งอย่างวางอำนาจและเด็ดขาดเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของคนที่อายุย่างเข้าสามสิบอย่างเธอ

เจียงเหม่ยซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ริมฝีปากของเธอแตะกับของเขา ชายหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ชั่วเวลานั้นเธอได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นผิดปกติไปเล็กน้อย หรือว่าเธอเข้าใจผิดไป เขาไม่ยินยอมอย่างนั้นเหรอ

โชคดีที่หลังจากนั้นเพียงพริบตาเขาก็โต้ตอบกลับมา เริ่มจากอ่อนโยนดูดดื่ม แล้วจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง

ความร้อนในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นมา เจียงเหม่ยซีดำดิ่งอยู่ในจูบอันละเมียดละไมราวกับหยาดฝนโปรยของชายหนุ่ม

เวลานี้ลมราตรีค่อยๆ แรงขึ้น พัดต้นไม้ใบหญ้าที่นอกหน้าต่างส่งเสียงดังสวบสาบ ราวกับกำลังแวะรับใครสักคนเพื่อไปให้ทันการนัดหมายที่เร่งด่วน

เจียงเหม่ยซีไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นควบคุมและปลุกเร้าตั้งแต่ห้วงอารมณ์ไปจนถึงร่างกายและความคิด ในตอนที่ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างอาการแขนขาชาหนึบและหัวใจเต้นเร็วเข้าจู่โจมฉับพลัน เจียงเหม่ยซีถึงได้คิดอยากจะรีบหลบหลีกด้วยปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เธออยากจะให้ทุกอย่างหยุดลงทันที

และในความเป็นจริงเธอเองก็หยุดมันลงไปแล้ว

ชายหนุ่มเงยหน้ามองเธออย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเขากำลังใช้สายตาถามว่าทำไม

เจียงเหม่ยซีนั่งลงตรงหน้าเขาพลางย้อนนึกไปถึงความรู้สึกแปลกปลอมเมื่อครู่ด้วยจิตใจว้าวุ่น เธอยกมือกุมหน้าอกโดยอัตโนมัติ “ฉัน…เหมือนว่า…จะเป็นโรคหัวใจ”

“โรคหัวใจ?”

“ใช่ มือเท้าชา หัวใจเต้นเร็วเกินไป รู้สึกขาดอากาศหายใจ…”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปจากนั้นจึงหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นดูไร้พิษภัย ริมฝีปากของเขาเฉียดใบหูเธอเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงค่อย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่โรคหัวใจหรอก นั่นเรียกว่า ‘ชอบ’ ต่างหาก”

 

เมื่อคืนเธอไม่ได้ดึงม่านหน้าต่างปิด แสงอรุณในฤดูร้อนจึงสาดส่องและทะลุเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ไม่นับว่าแสบตา แต่ก็พอที่จะปลุกให้เจียงเหม่ยซีตื่นขึ้นมา

เธอหรี่ตาพินิจมองท้องฟ้านอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ นับว่าเป็นวันที่อากาศดีวันหนึ่งเลยทีเดียว

เจียงเหม่ยซีหลับตาลงอีกครั้งแล้วพลิกตัวตามความเคยชิน ทว่ามันต่างไปจากวันก่อนๆ ใต้ฝ่ามือไม่ใช่ผ้าปูเตียงและผ้าห่มอันเย็นเฉียบ แต่กลับแข็ง อุ่น ลื่น เหมือนกับผิวหนังของ…คน?

การรับรู้นี้ทำให้เจียงเหม่ยซีสร่างขึ้นมาในพริบตา เธอรีบลืมตาทันที สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาก็คือแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผู้ชายคนหนึ่ง และมือเธอก็กำลังวางอยู่บนหลังของเขา

เธอชักมือกลับทันทีราวกับถูกลวกพร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันใด

คนคนนี้เป็นใครกัน

ภาพเหตุการณ์บางอย่างหลังกลับถึงห้องเมื่อคืนค่อยๆ ผุดขึ้นมา เธอพยายามนึกลำดับเหตุการณ์ให้ชัดแล้ว ทว่าความทรงจำกลับคล้ายสายสร้อยไข่มุกที่ขาดกระจัดกระจายจนไม่อาจรวบรวมไข่มุกเก็บกลับมาได้ และไม่จำเป็นต้องมองตัวเองที่อยู่ใต้ผ้าห่ม ความรู้สึกของร่างกายก็บอกเธอแล้วว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

เจียงเหม่ยซีมีนิสัยเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่งคือเมื่อเธอรู้สึกตื่นเต้นหรืออายก็มักจะหาของมากำเอาไว้ และตอนนี้เธอก็คว้าผ้าปูเตียงที่อยู่ใต้ฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าสัมผัสนี้แปลกไปจากปกติ พอก้มดูก็พบว่าไม่เพียงแต่ผ้าปูเตียงเท่านั้นที่แปลก แต่ทุกอย่างภายในห้องนี้ล้วนแปลกไปทั้งหมด!

แม้ห้องนอนห้องนี้จะตกแต่งคล้ายคลึงกับห้องนอนของเธอ แต่ผ้าปูเตียงผืนนี้ ผ้าม่านผืนนี้ อีกทั้งสไตล์ของเฟอร์นิเจอร์ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เธอคุ้นเคย…

เธอรีบลุกขึ้นมองไปที่นอกหน้าต่าง เป็นอย่างที่คิด วิวของคอนโดฯ ที่อยู่นอกหน้าต่างเองก็ต่างจากที่เธอเห็นทุกเช้านิดหน่อย

ตึกหลายตึกในเขตคอนโดฯ นี้หากมองจากภายนอกก็จะเห็นว่าขนาดใหญ่เล็กต่างกัน แต่ลักษณะภายในคอนโดฯ ล้วนเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด หรือว่าเมื่อคืนเธอจะเข้าห้องผิด?

หลังความคิดนี้ผุดขึ้นมา ภาพเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็เชื่อมเข้ากับข้อสงสัยที่ว่า ดูเหมือนทุกสิ่งล้วนมีมูลทั้งสิ้น

เจียงเหม่ยซีลอบร้องกับตัวเองว่าแย่แล้ว เธอไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดีไปชั่วขณะ ทว่าพอหันไปเห็นผู้ชายที่อยู่บนเตียงยังคงหลับอย่างเงียบเชียบถึงได้ค่อยๆ ใจเย็นลง

ชายหนุ่มห่มผ้าห่มผืนบางๆ ไว้ตรงช่วงเอวลงไป ผิวของร่างกายท่อนบนที่โผล่ออกมานั้นมันวาวและสะอาดสะอ้าน กล้ามเนื้อได้สัดส่วน เพราะท่านอนกึ่งคว่ำกึ่งตะแคงจึงเผยให้เจียงเหม่ยซีเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่ขนตายาวเป็นแพหนา สันจมูกสูงโด่ง และสันกรามเป็นแนวเส้นงดงาม ล้วนมองออกได้ไม่ยากว่าเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาทีเดียว

เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าไม่ได้อารมณ์เสียขนาดนั้นแล้ว

เธอหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างเบามือเบาเท้า หมายจะฉวยโอกาสรีบหนีไปก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะตื่น แต่ตอนที่เก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะหิ้วรองเท้าส้นสูงออกไปจากห้อง เธอกลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงอย่างไรเมื่อคืนเธอก็เป็นคนที่มาผิดห้องก่อน และในความทรงจำก็ดูเหมือนว่าเธอเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย ทัศนคติในเรื่องแบบนี้ของเจียงเหม่ยซีนั้นคล้ายกับเจ้านายของเธอคือค่อนข้างจะหัวตะวันตก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพียงคิดว่าต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น

เจียงเหม่ยซีกวาดตามองห้องที่สภาพเละเทะไปทั่ว เมื่อคืนเขาเองก็ปล่อยให้เธออยู่ ทั้งยังคอยดูแลเธอ และที่สำคัญเรื่องบางอย่างก็ดูเหมือนจะค่อนข้างเข้ากันได้ดีอีกด้วย แต่เธอกลับทำห้องของเขาเละเทะไปหมด โดยเฉพาะโซฟาในห้องรับแขกชุดนั้นที่ดูท่าทางจะราคาแพงไม่น้อย ทว่ากลับมีคราบเหมือนว่าเธอเคยอาเจียนใส่มันปรากฏอยู่ด้วย จากไปโดยไม่ลาแบบนี้ดูเหมือนจะน่าเกลียดไปหน่อย…

เธอกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งแล้วค้นเอาเงินสดทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะตรงหัวเตียงแล้วใช้นาฬิกาข้อมือของเขาวางทับเอาไว้ คิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่พอจึงทิ้งกระดาษโน้ตไว้แผ่นหนึ่ง เขียนเบอร์โทรศัพท์ของตนเองรวมถึงข้อความประโยคหนึ่งว่า

 

ถ้าไม่พอ กรุณาติดต่อฉันอีกที

 

เสียงปิดประตูด้านนอกดังขึ้น เยี่ยสวี่ค่อยๆ ลืมตา จินตนาการถึงท่าทางของใครบางคนที่ทำราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่โตตั้งแต่เช้าก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อกวาดสายตามองเห็นเงินที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงรอยยิ้มของเขาก็แข็งค้างไปทันที เยี่ยสวี่ลุกขึ้นนั่งก่อนเอื้อมไปหยิบกระดาษโน้ตที่อยู่ข้างใต้นาฬิกาข้อมือออกมา เพียงอ่านแวบเดียวสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ

 

เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะกลับถึงห้องเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา วันนี้เธอตื่นเช้ากว่าปกติสิบห้านาที และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องของบริษัทที่สำคัญมากซึ่งเธอต้องไปจัดการ นั่นก็คือขั้นตอนสุดท้ายในการรับสมัครพนักงานใหม่ที่มีปีละครั้งของโยวจี้…การสัมภาษณ์โดยกรรมการผู้จัดการจะดำเนินไปในเช้าวันนี้

ที่บอกว่าสำคัญนั้นมีอยู่สองเหตุผลนั่นคือหนึ่ง เธอต้องไปเป็นคนสัมภาษณ์แทนกรรมการผู้จัดการ สอง ในจำนวนคนที่มาสอบสัมภาษณ์นั้นมีมู่ตี๋ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของอยู่เธอด้วย

นึกถึงมู่ตี๋แล้วเจียงเหม่ยซีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย

ด้วยทัศนคติของมู่ตี๋ที่ทำอะไรถูๆ ไถๆ ให้ผ่านไปวันๆ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นพวกหัวกะทิ ดังนั้นแม้เจ้าตัวจะฟลุกสอบติดมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงินแล้วอยู่รอดจนจบมหาวิทยาลัย แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานในการรับคนเข้าทำงานของโยวจี้แล้วมู่ตี๋ยังขาดคุณสมบัติไปไม่น้อยจริงๆ ทว่าดูเหมือนหลานสาวคนนี้ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่ว่าจะเข้าโยวจี้ได้หรือเปล่า แต่คุณนายเจียงสองคนที่บ้าน…แม่ของเจียงเหม่ยซีกับพี่สาวของเธอต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังพูดบางอย่างที่มีความหมายโดยนัยว่าหากมู่ตี๋ไม่ได้เข้าทำงานที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะความไม่รับผิดชอบของน้าเล็กอย่างเจียงเหม่ยซี

เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะถึงบริษัทและจอดรถเสร็จ สายโทรศัพท์จากคุณนายเจียงก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างที่คิดไว้

เพื่อไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองเธอย่อมต้องปลอบใจมารดาเอาไว้ก่อน แต่เพื่อป้องกันเผื่อว่าผลในการสอบสัมภาษณ์จะมีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริงๆ ก่อนจะวางสายเธอจึงกล่าวเตือนปลายสายเอาไว้ก่อนเช่นกัน “แม่สบายใจได้ เรื่องของเสี่ยวตี๋หนูจะพยายามให้เต็มที่ แต่แม่ก็ต้องวางแผนเผื่อดีเผื่อร้ายด้วย…ถึงยังไงบริษัทก็ไม่ใช่กิจการของครอบครัวเรา ต่อให้กรรมการผู้จัดการพูดก็ใช่ว่าการตัดสินจะเป็นอันสิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้อำนวยการกระจอกๆ ที่สัมภาษณ์แทนกรรมการผู้จัดการชั่วคราวอย่างหนูน่ะนะ…จะสำเร็จหรือเปล่าสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับผลงานของเสี่ยวตี๋อยู่ดี”

แต่คุณนายเจียงกลับไม่สะทกสะท้าน “แม่ว่านะเหม่ยซี…ลูกช่วยมีกึ๋นหน่อยได้หรือเปล่า ถ้าลูกยืนกรานว่าจะเก็บไว้ใครมันจะพูดอะไรได้ คนหัวแข็งอย่างลูกน่ะ สองปีแล้วยังไม่ไปถึงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แม่ว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ เหม่ย…”

เจียงเหม่ยซีพบว่าตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับคุณนายเจียงนั้น คำพูดแต่ละประโยคล้วนมีแต่น้ำ พอมองดูเวลาเธอก็เห็นว่าใกล้จะสายแล้วจึงตัดบทผู้เป็นแม่ “เอาล่ะๆ หนูรู้แล้ว หนูจะจัดการเอง ถ้าแม่ไม่มีธุระอื่นแล้วหนูวางสายก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นเองคุณนายเจียงก็ผ่อนน้ำเสียงลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวจางนัดกับลูกตั้งกี่ครั้งกี่หน ลูกก็เอาแต่ทำโอที เมื่อวานบอกไว้ดิบดีว่าจะไปเจอเขาก็ไม่ไปอีกแล้ว ว่างเมื่อไหร่ก็รีบไปเจอสักหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นกังวลอีก”

ถ้าแม่ไม่พูดเรื่องนี้ก็ดีไป แต่พอพูดขึ้นมาเจียงเหม่ยซีก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อเมื่อวานทันใด เธอเพิ่งจะฝืนสะกดอารมณ์โมโหเอาไว้ได้แท้ๆ ทว่าตอนนี้มันกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งจนได้

พนักงานในบริษัทที่เดินสวนกันเอ่ยทักทายเธอ เจียงเหม่ยซีจึงผงกศีรษะตอบรับเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้าไปในลิฟต์

เวลานี้ในลิฟต์มีแค่เธอเพียงคนเดียว ดังนั้นทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดเธอก็ไม่สะกดโทสะเอาไว้อีกต่อไป “หนูว่านะแม่ แม่เลิกจัดแจงเรื่องนัดบอดไร้สาระพรรค์นี้ให้หนูสักทีได้ไหม ใครเป็นคนบอกว่าคนเรามีชีวิตอยู่แล้วต้องแต่งงานกันล่ะ หนูเคยเห็นชีวิตแต่งงานพังไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้ว ทั้งของแม่ ของพี่ ทำไมแม่ถึงยังยึดติดอยู่กับเรื่องแต่งงานขนาดนี้นัก นี่เป็นหนึ่งในอาการของสต็อกโฮล์มซินโดรม เหรอ การแต่งงานทำร้ายแม่มาร้อยรอบพันรอบ แต่แม่ก็ยังทำเหมือนการแต่งงานเป็นรักแรกอยู่ได้ หนูขอเตือนแม่กับพี่ไว้เลยนะ แทนที่จะเอาเวลามาเกลี้ยกล่อมหนูให้แต่งงาน เอาเวลาไปหาหมอก่อนดีกว่า!”

“เจียง! เหม่ย! ซี!” โทสะของคุณนายเจียงจากปลายสายส่งมายังเจียงเหม่ยซีโดยไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย มารดาของเธอแผดเสียงตอบกลับมาทันที “ตระกูลเจียงของเราไม่เคยมีลูกสาวที่แต่งไม่ออก! ต่อให้ท้ายที่สุดจะต้องหย่า ลูกก็ต้องหาคนมาแต่งงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน! อีกอย่าง แม่ไม่ได้ป่วย ถ้าจะป่วยก็เป็นเพราะลูกยั่วโมโหนี่แหละ!”

พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่รอให้เจียงเหม่ยซีได้ตอบกลับ

เจียงเหม่ยซีฟังเสียงสัญญาณที่ถูกตัดดัง ‘ตู๊ดๆ’ แล้วก็เหม่อลอยไปพักหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้

ในความทรงจำของเธอ การต่อสู้นี้ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบสิบปีแล้ว เมื่อไหร่แม่จะคิดถึงความรู้สึกของเธอจริงๆ และเลิกบังคับให้เธอทำเรื่องที่ไม่อยากทำเพราะแคร์สายตาของคนอื่นได้สักที

ในชั่วพริบตานั้นเจียงเหม่ยซีนึกสงสัยว่าตัวเองคงใกล้จะระเบิดแล้ว แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดอีกครั้งเธอก็รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ทำราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้นก่อนจะก้าวยาวๆ ออกจากลิฟต์ไป

เลขาฯ หลินจยาเห็นเธอปรากฏตัวก็พรูลมหายใจออกมา “แม็กกี้! ในที่สุดคุณก็มาสักที รถติดเหรอคะ”

เจียงเหม่ยซีไม่ตอบแต่ถามหลินจยากลับ “สอบสัมภาษณ์ที่ห้องไหน”

“ห้องประชุมห้องที่สามค่ะ” พูดถึงตรงนี้หลินจยาก็ระบายยิ้มออกมา “เพิ่งเริ่ม”

เจียงเหม่ยซีเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเธอรับหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์และยังไปไม่ถึงห้องทำไมจึงเริ่มแล้ว

หลินจยาเข้าใจอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีเควินด้วยหรอกเหรอคะ”

“ใครใช้ให้เขายุ่งไม่เข้าเรื่อง”

หลินจยามองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีคนอยู่ถึงได้กดเสียงให้เบาลง “เขาบอกว่าเป็นความต้องการของบอสน่ะค่ะ ให้พวกคุณสองคนรับผิดชอบเรื่องการสัมภาษณ์ด้วยกัน ฉันเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากนัก”

หลังได้ยินคำพูดนี้เจียงเหม่ยซีก็หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างเย้ยหยัน แต่เป็นการเย้ยหยันลู่สืออวี่เพื่อนเก่าของเธอคนนั้น หรือเย้ยหยันบอสที่คิดจะถ่วงดุลเธอกับเขาอยู่ตลอดเวลา เธอเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน และไม่อยากจะไปคิดจุกจิกอีกด้วย

ตอนนี้พวกเธอทั้งคู่เดินมาถึงหน้าประตูห้องประชุมห้องที่สามแล้ว หลินจยากำลังจะเคาะประตู แต่เจียงเหม่ยซีทำเหมือนไม่เห็น เธอผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไปทันที

ในห้องประชุมตอนนี้มีคนแค่สองคนนั่งอยู่ คนที่นั่งตำแหน่งผู้สัมภาษณ์คือลู่สืออวี่ ส่วนอีกคนกำลังหันหลังให้เธออยู่ และเมื่อได้ยินเสียงเขาก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา มีเพียงลู่สืออวี่ที่แสร้งส่งยิ้มให้เธอมาแต่ไกล

แม้กระทั่งจะทักทายอย่างลวกๆ เจียงเหม่ยซีก็ยังคร้านจะทำ เธอไม่พูดอะไรสักประโยคแต่เดินตรงไปนั่งประจำที่ข้างๆ ลู่สืออวี่ และเมื่อเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าชัดๆ ทั่วทั้งตัวก็กลายเป็นหินไปในพริบตา

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน คนคนนั้นที่เธอเจอเมื่อเช้าคือเขาอย่างนั้นเหรอ?!

เธอมองชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายเองก็จ้องมองเธออยู่เช่นกัน แววตานั้นดูเอื้ออารี ไม่เย่อหยิ่งเกินไปและไม่ถ่อมตนเกินไป

“รถติดเหรอ” จู่ๆ ลู่สืออวี่ก็เอ่ยปากถามขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยซีได้สติคืนมา

เธอรีบก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นอ่านประวัติย่อที่อยู่บนโต๊ะ ขณะเดียวกันก็จัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้เรียบร้อย

เห็นเธอไม่ตอบ ลู่สืออวี่ก็ไม่ได้โกรธ เขาช่วยแนะนำเธอให้กับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายๆ “แดเนียล ผู้หญิงท่านนี้คือคนที่ผมพูดถึงให้คุณฟังเมื่อกี้ แม็กกี้ ผู้อำนวยการอีกคนของฝ่ายเรา แม็กกี้…ก่อนที่เธอจะมาพวกเราเพิ่งจะเริ่มกัน ภาษาอังกฤษของแดเนียลไม่เลวเลยทีเดียว ผลการเรียนในสาขาวิชาก็ยอดเยี่ยม”

เจียงเหม่ยซียิ้มพลางพยักหน้า สายตากวาดอ่านประวัติตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ที่แท้เขาชื่อเยี่ยสวี่นี่เอง ชื่อภาษาอังกฤษคือแดเนียล ปีนี้อายุยี่สิบสอง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงิน สาขาวิชาการเงิน เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

“งั้นพวกเราต่อกันเลย” ลู่สืออวี่พูดต่อ “ผมว่าผลการเรียนของคุณไม่เลวทีเดียว ทำไมถึงไม่เลือกเป็นผู้สอบบัญชีที่วาณิชธนกิจล่ะครับ”

“จริงๆ ไม่มีอะไรที่พิเศษหรอกครับ แค่อยากจะเรียนรู้อะไรสักหน่อย”

ลู่สืออวี่ได้ยินคำตอบนี้แล้วหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไว้หน้าอีกฝ่าย “อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละครับ แต่สำนักงานดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ทำไมคุณถึงเลือกโยวจี้ของพวกเราล่ะ”

การถามคำถามประเภทนี้เห็นได้ชัดว่าอยากจะฟังคนอื่นยกยอตัวเอง ดังนั้นเจียงเหม่ยซีเลยไม่ได้ใส่ใจ ใครจะรู้ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบจากเยี่ยสวี่ เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงพบว่าอีกฝ่ายจ้องเธออยู่อย่างไม่ไหวติง

ทั้งสองสบตากันโดยมีโต๊ะประชุมกั้นอยู่ ขณะที่เขาค่อยๆ ยกมุมปาก ก้นบึ้งหัวใจของเจียงเหม่ยซีก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีตามไปด้วย

“เพื่อคนคนหนึ่งครับ”

ภายในห้องประชุมเงียบสงัดไปชั่วครู่

หลังจากนั้นลู่สืออวี่ก็ร้องว้าวออกมาพร้อมชะโงกตัวไปข้างหน้าด้วยท่าทางอย่างคนขี้นินทา “ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าเพื่อใคร”

ตอนนั้นเองเยี่ยสวี่ถึงได้มองไปทางเขาและอธิบายด้วยรอยยิ้ม “จริงๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เมื่อสามปีก่อนผมบังเอิญเคยเข้าร่วมมหกรรมรับสมัครงานในสถานศึกษาของโยวจี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณแม็กกี้กล่าวสุนทรพจน์ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ทำให้ผมมุ่งมั่นในแวดวงธุรกิจนี้”

เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจ

ลู่สืออวี่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เขาพูดพลางมองไปทางเจียงเหม่ยซี “ดูท่าทางเธอจะมีแฟนบอยโดยไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ย”

เจียงเหม่ยซียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้วล่ะค่ะ”

แต่ในขณะที่พูดเธอก็ทำการตัดสินใจแล้ว…ในช่วงเวลาสำคัญที่เธอกับลู่สืออวี่แข่งขันกันเพื่อที่จะได้เป็นกรรมการผู้จัดการ ความผิดพลาดเล็กน้อยใดๆ ล้วนสามารถกลายเป็นยันต์เร่งตายในหน้าที่การงานของเธอได้ทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยสวี่คนนี้จะมีเจตนาอะไร ดีหรือไม่ดีก็ตาม เธอจะให้เขาเข้ามาในบริษัทไม่ได้เด็ดขาด!

เพราะเจียงเหม่ยซีไม่ได้ถามอะไรมากมาย การสอบสัมภาษณ์รอบนี้จึงเข้าสู่ช่วงท้ายอย่างรวดเร็ว

ลู่สืออวี่ถามคำถามสุดท้ายพอเป็นพิธี “งั้นคุณมีคำถามอะไรอยากจะถามพวกเราไหมครับ”

การให้โอกาสผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ได้ถามคำถามในตอนสุดท้ายนี่ดูเหมือนจะเป็นกระบวนการพื้นฐานในการสอบสัมภาษณ์ไปแล้ว ในอินเตอร์เน็ตมีกลยุทธ์ชี้แนะผู้สำเร็จการศึกษาว่าควรถามผู้สัมภาษณ์กลับอย่างไรอยู่ไม่น้อย หลักการก็มีแค่ ‘ไม่ต้องมีความดีความชอบอะไร แค่ไม่มีข้อผิดพลาดก็พอ’

เดิมทีเจียงเหม่ยซีคิดว่าเยี่ยสวี่คงจะถามคำถามที่ผิวเผินทั่วไป แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมองเธอและถามขึ้นว่า “คุณลืมแล้วจริงๆ เหรอครับว่าพวกเราเคยเจอกันมาก่อน”

เจียงเหม่ยซีไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมานิยามความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ เธอถึงขั้นไม่กล้าหันไปมองลู่สืออวี่ด้วยซ้ำ กลัวว่าแค่เหลือบตาไปก็จะถูกจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้มองพิรุธอะไรออก

สักพักเธอก็ยิ้ม “ขอโทษค่ะ มันนานมากแล้ว ฉันจำไม่ได้จริงๆ”

“อย่างนั้นเหรอครับ” เยี่ยสวี่เองก็ยิ้มเช่นกัน “แต่สำหรับผมแล้วยังเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือวันนี้อยู่เลย”

เจียงเหม่ยซีจินตนาการได้เลยว่าหากยังให้โอกาสเยี่ยสวี่ได้พูดต่ออีก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโพล่งอะไรๆ ออกมาและลู่สืออวี่ก็จะต้องจับพิรุธได้แน่ๆ จากนั้นก็จะใช้เรื่องนี้มาประโคมให้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเธอจึงไม่ตอบรับคำเขา แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงหลินจยาที่รออยู่นอกห้อง “เรียกคนต่อไปเข้ามาเลย”

 

หลังจากเยี่ยสวี่ออกไป เจียงเหม่ยซีก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าลู่สืออวี่พอใจในตัวเยี่ยสวี่มาก เขาอาจจะได้กลิ่นอะไรที่ผิดปกติและกำลังวางแผนขุดค้นให้ลึกลงไป…หากเป็นเช่นนั้นแล้วเธอจะใช้เหตุผลอะไรมาปฏิเสธการรับเยี่ยสวี่เข้าทำงานล่ะ

สำหรับผู้สมัครอีกไม่กี่คนถัดมา เจียงเหม่ยซีก็เพียงแค่รับมือกับพวกเขาครู่เดียวแล้วผ่านไป จนกระทั่งเมื่อถึงคนสุดท้าย…ในตอนที่มู่ตี๋เดินเข้ามาในห้อง เธอก็มีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับท่าทีของเธอก็คือหลังจากมู่ตี๋เริ่มแนะนำตัวโดยใช้ภาษาอังกฤษ ลู่สืออวี่กลับแสดงออกว่าไม่สนใจ

เจียงเหม่ยซีเห็นสถานการณ์นี้แล้วก็ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไรมานั้นภาวะจิตใจของมู่ตี๋ก็ไม่ค่อยจะดีนัก ท่าทีของลู่สืออวี่จะต้องส่งผลต่อการแสดงความสามารถของหลานสาวเธอแน่ๆ

และเป็นอย่างที่คาดไว้ มู่ตี๋แนะนำตัวเองไปได้ครึ่งหนึ่งก็เริ่มพูดตะกุกตะกัก

ลู่สืออวี่ถึงกับยิ้มออกมา ยิ้มไปพลางส่ายหน้าไปพลาง

ท่าทีนี้แสดงออกชัดมาก

หลังมู่ตี๋แนะนำตัวเองเสร็จ ลู่สืออวี่จึงเริ่มถามคำถามไปเรื่อยเปื่อยพอเป็นพิธี เจียงเหม่ยซีได้ยินคำถามก็ลอบพรูลมหายใจออกมาเงียบๆ เพราะนี่คือคำถามที่ก่อนหน้านี้เธอเคยไกด์ให้มู่ตี๋ อีกฝ่ายน่าจะเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว

แต่ใครจะรู้ แม้แต่มู่ตี๋เองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองตื่นเต้นเกินไปหรือเป็นอะไรจึงอึกๆ อักๆ อยู่นาน พูดเพียงแค่ว่า “คือว่า…เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ชัด คุณช่วยพูดอีกรอบได้ไหมคะ”

เมื่อเห็นท่าทีของลู่สืออวี่เปลี่ยนจากดูแคลนเป็นประหลาดใจและดูเหมือนกำลังจะพูดออกมาว่า ‘นี่เธอยังฟังไม่ออกเหรอ’ เจียงเหม่ยซีก็รีบใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันที่เป็นมาตรฐานแต่เนิบช้ากว่าปกติพูดคำถามเมื่อครู่ของลู่สืออวี่ซ้ำอีกรอบก่อนที่เขาจะเอ่ยปากอีกครั้ง

ครั้งนี้มู่ตี๋ฟังจบก็ให้คำตอบที่อยู่ในเกณฑ์ออกมาอย่างรวดเร็ว

ทว่าคนที่อยู่ในห้องประชุมตอนนี้นอกจากตัวมู่ตี๋เองแล้วก็เกรงว่าคงไม่มีใครสนใจว่าตกลงเธอพูดอะไรกันแน่

ลู่สืออวี่มองเจียงเหม่ยซีด้วยความแปลกใจ เธอรู้สึกถึงสายตาของเขามาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับไปเพราะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่…เจียงเหม่ยซีที่เข้มงวดกับตัวเองและก็จุกจิกกับคนอื่นมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใจอ่อนผ่อนปรนกับพนักงานใหม่ ทว่าครั้งนี้กลับแสดงความเมตตาออกมาอย่างผิดปกติ จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่

แม้เจียงเหม่ยซีจะรักษาความสุขุมบนใบหน้าไว้ แต่ในใจกลับท้อแท้เป็นอย่างมาก…ครึ่งวันมานี้ช่องโหว่ของเธอจะมีมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเยี่ยสวี่ หรือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่ตี๋ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด

เธอกลัวว่าลู่สืออวี่จะเอาเรื่องเยี่ยสวี่มาเล่นงานตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความผิดพลาดเท่านั้น ส่วนความสัมพันธ์กับมู่ตี๋นั้น…แค่คุณสมบัติของหลานสาวของเธอมู่ตี๋ก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าโยวจี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งเธอจำเป็นจะต้องไปอธิบายกับผู้ใหญ่สองท่านที่บ้าน ดังนั้นจึงเหลือแค่ ‘การใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ’ ทางเดียวแล้ว ในเมื่อไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไรก็จัดการโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นมีดในมือของลู่สืออวี่ได้เช่นกัน

แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือลู่สืออวี่เกิดสงสัยขึ้นมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเจียงเหม่ยซีจึงต้องคิดคำนวณไว้ว่าอีกสักพักตอนที่ลู่สืออวี่ถาม เธอจะต้องรับมืออย่างไร

อาจเป็นเพราะการออกหน้าของเธอ ลู่สืออวี่จึงไม่แกล้งมู่ตี๋อีกและปล่อยผ่านสถานการณ์ไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังส่งเธอออกไปอย่างเบิกบาน

เมื่อการสอบสัมภาษณ์จบลงเจียงเหม่ยซีก็ไม่รั้งอยู่ที่ห้องประชุมนานนัก เธอรีบลุกขึ้นแล้วผละจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยลู่สืออวี่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ ขนาดนั้น เขาเดินตามหลังออกมาติดๆ

ดีที่ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดีในบริษัทจึงไม่มีคน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่ผู้อำนวยการสองคนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำกับไฟไม่ถูกกัน เจอหน้าก็หยิกกันกลับมากะหนุงกะหนิงไล่ตามกันอย่างนี้ หากถูกบรรดาน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทมาเห็นเข้าไม่รู้ว่าจะลือออกไปอย่างไรบ้าง

ตรงหน้าเธอคือลิฟต์ เมื่อเจียงเหม่ยซีเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิดจึงรีบเร่งฝีเท้าตรงไปกดปุ่มลงชั้นล่างไว้ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท ประตูที่กำลังจะปิดจึงค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง

ก่อนลู่สืออวี่จะตามทันเธอก็แวบหายเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนลงอย่างราบรื่น เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมายาวๆ

เมื่อผ่อนคลายลงเธอก็กวาดสายตามองคนที่อยู่ในลิฟต์แวบหนึ่ง การกวาดตามองในครั้งนี้ทำให้สภาพจิตใจของเธอที่เพิ่งผ่อนคลายลงต้องเคียดขึ้งขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเป็นคนแรกที่สอบสัมภาษณ์เสร็จก็น่าจะออกจากบริษัทไปตั้งนานแล้วนี่ ทำไมถึงยังไม่ไปกัน

สัญญาณเตือนในใจเจียงเหม่ยซีส่งเสียงดัง

เยี่ยสวี่ยืนอยู่อีกด้านของลิฟต์ ในแววตาที่กำลังมองเธอมีรอยยิ้มเจืออยู่รางๆ

ในตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เจียงเหม่ยซีก็คร้านจะเสแสร้งอีก “สัมภาษณ์เสร็จตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเพิ่งกลับล่ะ”

“ผมกำลังรอคนอยู่”

ประโยคนี้ยั่วโมโหเจียงเหม่ยซีเข้า

เธอเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ตกลงว่านายกำลังคิดยังไงกันแน่ เรื่องเมื่อคืนมันเป็นแค่ความผิดพลาด นายไม่เข้าใจหรือไง ตามพัวพันไม่เลิกราอย่างนี้สนุกไหม”

“ตามพัวพันไม่เลิกรา?” เยี่ยสวี่เลิกคิ้ว

เจียงเหม่ยซียิ้มเย็น “ไม่ใช่หรอกเหรอ ฉันไม่คิดว่าพวกเรายังมีอะไรที่จะต้องพัวพันกันต่อไป และการชดเชยที่ฉันสมควรทำก็ทำไปหมดแล้ว”

“คุณเรียกนั่นว่าการชดเชย?”

เจียงเหม่ยซีพบว่าถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่พอพูดถึงขึ้นมา สีหน้าเยี่ยสวี่ก็ไม่น่ามองเอามากๆ อย่างเห็นได้ชัด…หรือว่าเธอไม่เพียงทำโซฟาในห้องของเขาสกปรก แต่ยังทำพังอีกด้วย? ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็เอาเงินพวกนั้นไปจ้างทำความสะอาดง่ายๆ สักครั้งก็น่าจะพอแล้วนี่ ทว่าเจียงเหม่ยซีก็นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายแค่อยากจะฉวยโอกาสหลอกเอาเงินเธอ

พอคิดถึงตรงนี้เจียงเหม่ยซีก็พูดอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ฉันรู้ว่านายคิดยังไง แต่ฉันขอเตือนให้หยุดเท่าที่เหมาะสมเถอะ”

เยี่ยสวี่จ้องเธอสักพัก จากนั้นก็หัวเราะออกมาทันใด “งั้นคุณว่าผมควรทำยังไงถึงจะนับว่าหยุดเท่าที่เหมาะสมล่ะครับ”

“ง่ายมาก อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย เหตุการณ์ที่ดักฉันแถวๆ ลิฟต์อย่างในวันนี้ ฉันหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

เยี่ยสวี่ได้ยินแล้วก็หัวเราะ “คุณนี่ขี้มโนจริงๆ”

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงติ๊งดังขึ้นมา ลิฟต์หยุดลงอีกครั้ง ประตูลิฟต์เปิดออกอย่างช้าๆ ข้างนอกแออัดไปด้วยพนักงานของโยวจี้ที่กำลังรอลิฟต์กันอยู่หลังกลับมาจากกินข้าวเสร็จ

ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เยี่ยสวี่หันไปมองเจียงเหม่ยซีแวบหนึ่ง “ในเมื่อเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความผิดพลาด งั้นการสอบสัมภาษณ์ในวันนี้สามารถยุติธรรมและเที่ยงตรงหน่อยได้ไหมครับ”

“แน่นอนค่ะ” เจียงเหม่ยซีตอบกลับ

แล้วตอนนั้นเองจู่ๆ ในกลุ่มคนก็มีคนเรียกชื่อเยี่ยสวี่

เจียงเหม่ยซีหันมองไปตามเสียงเห็นคนรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งกำลังกระโดดโหยงเหยงพลางกวักมือเรียก “ฉันอยู่นี่!”

เจียงเหม่ยซีจำได้ คนคนนั้นเป็นผู้ที่มาเข้าร่วมสอบสัมภาษณ์เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะชื่อหลิวกัง ดูจากสาขาวิชาที่จบการศึกษาก็น่าจะเป็นเพื่อนกับเยี่ยสวี่

เยี่ยสวี่มองหลิวกังคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะมองเธออีกครั้งแล้วเดินออกจากลิฟต์ไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ตอนที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง เธอก็ได้ยินหลิวกังบ่นว่า “นายบอกว่าจะรอฉัน แต่ดันไม่บอกว่ารอที่ไหน ฉันหานายตั้งนาน”

เขากำลังรอคนอยู่จริงๆ แต่คนที่เขารอไม่ใช่เธอ?

ตอนเจียงเหม่ยซีได้สติคืนมาก็พบว่าลิฟต์กลับมาถึงชั้นที่ออฟฟิศของเธอตั้งอยู่อีกครั้ง ประตูลิฟต์เปิดออกทำให้เห็นลู่สืออวี่ที่กำลังกดปุ่มอยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจียงเหม่ยซี เบื้องหน้าเขาก็พลันสว่างวาบขึ้นมา “เฮ้! ฉันกำลังจะไปตามหาเธออยู่พอดี เป็นยังไงบ้าง เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหม”

เจียงเหม่ยซีออกจากลิฟต์ เดินผ่านหน้าเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่อยาก”

ลู่สืออวี่รีบตามไปทันที “งั้นก็ดีเลย เรามาคุยเรื่องรายชื่อรับเข้าทำงานกันหน่อยเถอะ”

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เจียงเหม่ยซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ “ก็ได้”

เธอพุ่งประเด็นไปที่ผู้สัมภาษณ์หลายคนเมื่อเช้า ลู่สืออวี่เป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาก่อน เจียงเหม่ยซียอมรับในการตัดสินใจของเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่มีเพียงผู้สมัครสองคนเท่านั้นที่ความเห็นของเธอกับเขาไม่ตรงกันว่าจะคัดออกหรือเก็บไว้ นั่นก็คือเยี่ยสวี่กับมู่ตี๋

ลู่สืออวี่ยิ้ม “คุณสมบัติข้อนี้ของเขา พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ”

“ก็เพราะคุณสมบัติดีเกินไปถึงต้องปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะใช้พวกเราเป็นสะพานลงเรือหรอกเหรอ”

“บริษัทของเรามีสถิติพนักงานที่อายุงานสามปีมีอัตราการลาออกสูงถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็เหมือนกัน ทำไมถึงเหี้ยมกับเขาขนาดนี้แค่คนเดียวล่ะ”

เจียงเหม่ยซีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “สรุปแล้วยังไงเขาก็ไม่โอเค”

จู่ๆ ลู่สืออวี่ก็หัวเราะออกมา “ฉันว่านะเจียงเหม่ยซี ตกลงว่าหนุ่มหล่อคนนั้นไปแหย่อะไรเธอเข้ากันแน่ พวกเธอไม่รู้จักกันมาก่อนจริงๆ เหรอ”

เจียงเหม่ยซีหันไปมองอีกฝ่าย “ถ้าฉันบอกว่าฉันรู้จักกับเขา แถมยังสนิทกันมากด้วย หลังจากเขาเข้ามาในบริษัทก็จะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฉัน แบบนี้เขาก็จะถูกไล่ออกได้ใช่ไหม”

ลู่สืออวี่นิ่งอึ้งไปสักพักก็หัวเราะออกมาแล้วก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันมาคิดดูดีๆ แล้ว เธอกับเขาจะมีความสัมพันธ์อะไรกันได้ ญาติ? ไม่หรอก ครอบครัวเธอขึ้นชื่อว่าผู้หญิงดกผู้ชายบาง และดูยีนก็ไม่เหมือนด้วย เพื่อน? คนอย่างเธอนอกจากฉันแล้วยังจะมีเพื่อนที่ไหนอีก แฟน? ยิ่งเป็นไปไม่ได้ คนหัวแข็งอย่างเธอจะต้องไม่คบเด็กแน่ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นสต็อกโฮล์มซินโดรมล่ะก็…คงไม่มีทางเลือกเธอหรอก”

พูดจบลู่สืออวี่ก็หัวเราะฮ่าๆ ราวกับว่ากำลังอารมณ์ดีเสียเต็มประดา

เจียงเหม่ยซีขับเคี่ยวกับเขามาหลายปี เธอไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดเหล่านี้จึงทำเพียงแก้ไขคำพูดของเขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อย่างอื่นถูกหมด มีแค่ข้อสองข้อเดียว นายอย่าหลงคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยเลย ฉันกับนายไม่นับว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”

ลู่สืออวี่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ทำร้ายความรู้สึกกันเกินไปแล้วล่ะมั้ง เจียงเหม่ยซี”

เจียงเหม่ยซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “การทำร้ายความรู้สึกนั้นรุนแรงกว่าทำร้ายอย่างอื่น ถึงยังไงสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดในทุกวันนี้ก็คือความรู้สึก สรุปว่าฉันไม่เห็นด้วยที่จะรับเยี่ยสวี่เข้าทำงาน…หรือไม่ก็เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ไว้ฉันจะไปคุยกับบอสเอง”

ลู่สืออวี่มองเจียงเหม่ยซีสักพักแล้วจึงเอ่ยอย่างนึกเสียดายว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นฉันก็เคารพเจตนาของเธอก็แล้วกัน ไม่รับเข้าทำงานทั้งเยี่ยสวี่และมู่ตี๋”

เจียงเหม่ยซีนิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”

ลู่สืออวี่มองเธอด้วยสีหน้างุนงง “เป็นอะไรไป”

หากเธอปฏิเสธเยี่ยสวี่ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามลู่สืออวี่ก็คงกัดไปปล่อย เขาต้องไม่รับมู่ตี๋ไว้แน่ๆ ทั้งยังมีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธมากกว่าเธอเสียอีก

เห็นท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องของเขา เจียงเหม่ยซีก็สับสนอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ ฉันได้ยินว่าภาระงานในปีนี้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ในเมื่อนายชอบเยี่ยสวี่ขนาดนั้น งั้นก็เก็บพวกเขาไว้ทั้งสองคนเถอะ”

ลู่สืออวี่ไม่ได้จับผิดตรรกะที่อยู่ในคำพูดของเธอ เขาทำเพียงพยักหน้าด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่ง “งั้นดีเลย ตอนบ่ายฉันจะให้ฝ่ายบุคคลแจ้งผล”

เมื่อส่งลู่สืออวี่ออกไปแล้วเจียงเหม่ยซีก็แทบจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อมู่ตี๋ เธอจำเป็นต้องประนีประนอมกับลู่สืออวี่เอาไว้ แต่ต่อไปทางหนึ่งก็จะต้องคอยจัดการกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างลู่สืออวี่ อีกทางก็ต้องป้องกันไม่ให้เด็กบ้าอย่างเยี่ยสวี่เปิดโปงเรื่องระหว่างเธอกับเขาออกไป และยิ่งต้องหยุดไม่ให้สองคนนั้นเข้าข้างกันแล้วสมคบคิดกันได้เด็ดขาด!

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันในการทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…

 

อุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน อากาศเปลี่ยนเป็นเหนียวเหนอะและเปียกชื้น วันซาวน่า* ในตำนานมาเยือนอีกครั้งแล้ว และก็ร้ายแรงมากทีเดียว

บรรดานักศึกษาล้วนกำลังยุ่งอยู่กับพิธีจบการศึกษา หลังจากการสอบสัมภาษณ์สนามนั้น โยวจี้ก็เข้าสู่ฤดูกาลซบเซาของปี

ยามท้องฟ้าฉาบทาด้วยสีดำ เจียงเหม่ยซีก็กลับถึงห้อง เธอหยิบน้ำอัดลมออกมาจากตู้เย็นหนึ่งกระป๋องแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างตามความเคยชิน ดื่มไปพลางมองนอกหน้าต่างไปพลาง

ตอนนี้เป็นเวลาที่เริ่มเปิดไฟสว่างไสวพอดี แสงไฟหลากสีประปรายประดับตามตึกที่พักในเขตคอนโดฯ มีกลิ่นอายของดอกไม้ไฟที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

เธอคิดถึงเช้าวันนั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ออกจากห้องของเยี่ยสวี่เธอถึงได้เข้าใจว่าทำไมทั้งๆ ที่จำได้ว่าตัวเองกลับถึงห้องแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นตื่นขึ้นมาในห้องของผู้ชายคนหนึ่งซะได้…ตึกสองหลังที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเธอดื่มเหล้าเข้าไปจนเมาจึงเข้าผิดประตู

แต่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งเหตุผลนั่นก็คือตอนเปิดประตูเขาเรียกชื่อเธอออกมาอย่างชัดเจน…ดูท่าว่าเขาจะรู้จักเธอก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้วจริงๆ และไม่ได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของเธอเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามวันนั้นยังมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นภายหลังอยู่ดี เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วเจียงเหม่ยซีก็กุมหน้าโดยอัตโนมัติ

ในตอนนั้นเองจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น

เจียงเหม่ยซีดูเบอร์โทรศัพท์แวบหนึ่ง เป็นเบอร์พนักงานฝ่ายฝึกอบรม…นี่เป็นการเตือนเจียงเหม่ยซีว่าเยี่ยสวี่และมู่ตี๋ใกล้จะเข้ามาทำงานในบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว

ตามธรรมเนียมของบริษัทโยวจี้ ทุกปีก่อนที่พนักงานใหม่จะได้รับการบรรจุจะต้องเข้ารับฝึกอบรมแบบปิดเป็นเวลาสี่สัปดาห์หนึ่งครั้งซึ่งจัดโดยฝ่ายฝึกอบรม ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกๆ ปี พนักงานฝ่ายฝึกอบรมก็จะรบกวนกรรมการผู้จัดการ ผู้อำนวยการ หรือไม่ก็ผู้จัดการระดับสูง เชิญพวกเขาไปแบ่งปันประสบการณ์แก่พนักงานใหม่

ลินดา เจ้านายของเจียงเหม่ยซีมีนิสัยเป็นกันเองและสร้างบรรยากาศเก่ง เสียงตอบรับในการบรรยายแต่ละครั้งก็ไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนลู่สืออวี่ที่แต่งตัวเนี้ยบ ท่าทางสุขุม ในความคิดของเจียงเหม่ยซีแล้วอย่างอื่นเขาไม่แน่ว่าจะดี แต่เรื่องล้างสมองเด็กพรรค์นี้น่ะเก่งมากทีเดียว ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงต่างเป็นลูกค้าประจำของที่นั่น ไปเป็นผู้บรรยายประจำทุกปี

เธอเองไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องประเภทนี้จึงปฏิเสธไปแทบทุกครั้ง ที่พนักงานคนนี้โทรมาหาเธอกว่าครึ่งก็คงเพราะไม่อยากจะข้ามหน้าข้ามตา แต่ครั้งนี้เจียงเหม่ยซีตัดสินใจจะไป

พนักงานคนนั้นเองก็ไม่ปกปิดความแปลกใจ “จริงๆ ที่ฉันโทรมาก็ไม่ได้คาดหวังหรอกนะ แม็กกี้ทำไมปีนี้เธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ”

เจียงเหม่ยซียิ้ม “ช่วงนี้ก็แค่ว่างพอดีน่ะ”

ความจริงแล้วเจียงเหม่ยซีก็ว่างในเวลานี้ทุกปี แต่สาเหตุที่แท้จริงที่กระตุ้นให้เธอไปบรรยายให้กับพนักงานใหม่มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเยี่ยสวี่

ตอนแยกกันครั้งก่อนเธอมั่นใจว่าเขาจะไม่ได้เข้ามาทำงานบริษัทแน่ๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องบางเรื่องต้องคุยให้เคลียร์เป็นการล่วงหน้าถึงจะดี อีกอย่างจิ้งจอกเฒ่าอย่างลู่สืออวี่นั่นจะต้องเกิดสงสัยอะไรขึ้นมาแน่ ดีไม่ดีอาจจะอาศัยโอกาสตอนฝึกอบรมครั้งนี้ไปหลอกถามเยี่ยสวี่ ถึงตอนนั้นเรื่องแดงขึ้นมา ไหนเลยโยวจี้จะยังมีที่ให้เธอยืนอีก

 

สถานที่ฝึกอบรมตั้งอยู่ที่ศูนย์อบรมบริเวณชานเมือง ในความทรงจำของเจียงเหม่ยซี ละแวกนั้นเป็นเขตทุรกันดาร แม้กระทั่งที่ที่ขายผลไม้ก็ยังไม่มี

แม้ปากบอกว่าต้องการจะไปสั่งสอนเยี่ยสวี่ แต่จริงๆ แล้วเธอเองก็อยากจะถือโอกาสไปดูสักหน่อยว่ามู่ตี๋ปรับตัวใช้ชีวิตที่ศูนย์อบรมได้หรือไม่

ก่อนจะไปที่นั่น เธอตั้งใจจะไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อของใช้ประจำวันและผลไม้สักหน่อย

ช่วงนี้เป็นเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เหงื่อออกแล้ว พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตกำลังโปรโมตแก้วเก็บความเย็นเธอเลยถือโอกาสซื้อมาใบหนึ่ง จากนั้นก็ไปเติมน้ำส้มแช่เย็นที่บาร์น้ำชาตรงประตูซูเปอร์มาร์เก็ตใส่ไว้ในแก้ว ตั้งใจว่าอีกประเดี๋ยวจะเอาไปให้มู่ตี๋

ทว่าตอนที่ตามจีพีเอสมาจนถึงศูนย์อบรมตรงชานเมืองของปักกิ่ง เจียงเหม่ยซีถึงได้รู้ว่าข้อมูลที่รับรู้มานั้นมีข้อผิดพลาด ศูนย์อบรมในปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไปแล้ว บรรยากาศรอบๆ คึกคัก มีซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ร้านอาหารเล็กๆ เยอะแยะมากมาย ของกินของใช้พร้อมพรัก

เธอมองถุงใบใหญ่ใบเล็กที่อยู่บนเบาะข้างคนขับแล้วลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยิบแค่แก้วเก็บความเย็นที่บรรจุน้ำส้มใบนั้นลงจากรถ

ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าคลาสช่วงบ่าย เธอไม่ได้ตรงไปหามู่ตี๋ แต่ไปที่ห้องว่างๆ ห้องหนึ่งก่อน เมื่อมั่นใจว่าในครึ่งชั่วโมงนี้จะไม่มีคนเดินเข้ามา เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเยี่ยสวี่

“ฮัลโหล”

โทรศัพท์ส่งเสียงร้องดังอยู่นานมากกว่าจะถูกรับสาย เสียงที่ดังลอดออกมาฟังดูวุ่นวายเล็กน้อย เหมือนว่าปลายสายคงอยู่ในร้านอาหาร แล้วยังมีคนเรียกชื่อเขาด้วย เขาคงไม่ได้ไปกินข้าวคนเดียว

เจียงเหม่ยซีกดเสียงพูดให้เบาลง “ฉันแม็กกี้”

“ใครนะครับ”

เจียงเหม่ยซีหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็เร่งเสียงพูดให้ดังขึ้น “ฉันคือเจียงเหม่ยซี”

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง แล้วในที่สุดเยี่ยสวี่ก็เอ่ยปากพูด ตอนนี้เสียงรอบตัวเขาไม่ได้อึกทึกเท่าเมื่อครู่แล้ว

“มีธุระอะไรครับ”

“ตอนนี้ว่างไหม ลงมาที่ห้องสามศูนย์สองหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

“ผมกำลังกินข้าวอยู่”

เจียงเหม่ยซีสะกดไฟโทสะพลางเอ่ยถามด้วยความอดทน “อีกนานแค่ไหน”

“บอกไม่ได้” เยี่ยสวี่ชะงักแล้วถามขึ้นว่า “มีเรื่องสำคัญอะไรที่พูดในโทรศัพท์ไม่ได้เหรอครับ”

เจียงเหม่ยซีพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สำหรับเขาแล้วนี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรหรอก แต่สำหรับเธอมันต่างกัน

เห็นเธอไม่พูด เขาก็หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าคุณอยากจะให้เงินผมอีก?”

เจียงเหม่ยซีไม่สนใจคำหยอกเย้าของเขา รีบตัดบทจบสายสนทนาอย่างฉับไว “ก่อนบ่ายโมง ฉันจะรออยู่ที่ห้องสามศูนย์สอง”

เธอนึกว่าเขาจะปล่อยให้เธอรอเก้อ ใช้เวลาไปราวๆ สิบห้านาทีเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากไม่ใกล้ไม่ไกลที่นอกประตู เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเยี่ยสวี่ที่สวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงลำลองสีน้ำตาลอ่อน หิ้วขวดน้ำแร่ที่มีอยู่ครึ่งขวดเข้ามาให้ห้อง

เขาเดินมาหยุดตรงหน้า วางน้ำครึ่งขวดนั้นไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังแล้วถามเธอว่า “มีธุระอะไรครับ”

เจียงเหม่ยซียกแขนขึ้นกอดอกและเงยหน้ามองชายหนุ่ม ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะดูจากหน้าตา รูปร่าง หรือแม้กระทั่งความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง เขาล้วนเป็นบุคคลในอุดมคติของเด็กสาวหลายๆ คน แต่เพราะความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องในตอนนี้ การมีอยู่ของเขาจึงเป็นเหมือนฟันผุซี่หนึ่งของเธอ อาการกำเริบนานๆ ที แต่ก็เอาเธอถึงตายได้

“ยังไม่ได้ยินดีกับนายเลยที่เข้าโยวจี้ได้อย่างราบรื่น” เจียงเหม่ยซีเอ่ยขึ้น

“แล้ว?” เยี่ยสวี่ซุกมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ประสานสายตากับเธอจากมุมสูง “อยากจะบอกผมว่าโยวจี้ยุติธรรมและเที่ยงตรงอย่างที่คุณพูดเหรอครับ”

เจียงเหม่ยซีด่าเด็กบ้าคนนี้อยู่หลายร้อยรอบในใจ แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง “ฉันจะบอกว่าตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบเจ้านายลูกน้อง น้ำเสียงที่นายใช้พูดกับฉันควรจะมีความเกรงใจบ้าง”

เยี่ยสวี่ยิ้มเย็น “คุณเรียกผมมาก็เพราะ…”

“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ เจียงเหม่ยซีก็ส่งเสียงตัดบทอีกฝ่าย เพราะเหมือนเธอจะได้ยินว่ามีคนอื่นกำลังคุยกันอยู่ พอฟังดีๆ แล้วก็พบว่ามีคนอยู่แถวนี้จริงๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และมาทางที่เธอกับเขาอยู่พอดี

เจียงเหม่ยซีมองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง เห็นพนักงานฝ่ายฝึกอบรมกำลังเดินมาทางนี้

เพื่อไม่ให้ถูกพบเข้า ห้องที่เธอเลือกจึงอยู่ตรงสุดทางเดิน เมื่อพนักงานคนนั้นมาทางนี้ก็ไม่มีทางหนีทีไล่อื่นแล้ว

เจียงเหม่ยซีเกิดไหวพริบขึ้นมาในยามคับขัน เธอปราดมองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรวดเร็ว ไม่มีที่ให้ซ่อน มีเพียงประตูบานเดียวเท่านั้น

เวลานี้พวกเขาสองคนจะออกไปพร้อมกันหรือออกไปตามลำดับก่อนหลังก็ล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น แต่ถ้ายังพูดคุยกันตามประสาอยู่ที่นี่ คนอื่นก็จะยังเอาไปคิดเพ้อเจ้อได้เช่นกัน เวลาเช่นนี้เห็นทีว่าจะมีเพียงลูกไม้สุดท้ายแล้ว

เจียงเหม่ยซีหยิบแก้วเก็บความเย็นบรรจุน้ำส้มบนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังขึ้นมา ตอนนั้นเองเธอก็เกิดลังเลไปชั่วขณะก่อนจะวางแก้วลงแล้วเปลี่ยนไปหยิบขวดน้ำแร่ที่มีน้ำครึ่งขวดที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาแทน เธอหมุนฝาเปิดอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พนักงานคนนั้นก้าวเข้าประตูห้องมาเจียงเหม่ยซีก็เอาน้ำที่มีอยู่ครึ่งขวดสาดใส่หน้าเยี่ยสวี่ที่ยืนอยู่ตรงข้าม

“คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน!” เธอตำหนิอย่างรุนแรง “เรียกฉันมาที่นี่ก็เพื่อเรื่องแค่นี้? คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์มากนักหรือไง สามารถคบกับเจ้านายได้ตามใจชอบใช่ไหม ฉันจะบอกคุณให้นะ อย่าคิดว่าคุณเข้ามาในบริษัทแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ถ้าให้ฉันรู้ว่าคุณไม่มีความสามารถมากพอหรือประพฤติตัวไม่เหมาะสมอีก ฉันสามารถทำให้คุณออกไปจากบริษัทนี้ได้!”

เยี่ยสวี่เช็ดน้ำบนใบหน้า มองเจียงเหม่ยซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เจียงเหม่ยซีเองก็มองอยู่เช่นกัน แต่สายตาของเธอนั้นจับจ้องไปยังทิศทางของประตู หลังจากเห็นพนักงานคนนั้นผละจากไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึง เจียงเหม่ยซีถึงได้พรูลมหายใจออกมา แต่เมื่อหันกลับมาดูเยี่ยสวี่ที่สภาพกระเซอะกระเซิง และขวดน้ำแร่ที่ว่างเปล่าใบนั้น เธอก็ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย

เยี่ยสวี่กัดฟันพลางพยักหน้าให้เธอด้วยรอยยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว ยังมีธุระอื่นอีกไหมครับ”

จู่ๆ เจียงเหม่ยซีก็รู้สึกน้ำท่วมปาก เธอจะอธิบายสถานการณ์เมื่อครู่กับเขาอย่างไรดี แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถ้อยคำที่ต้องการพูดจริงๆ ออกมา เธอกลับพูดขึ้นว่า “ยังมีอีก”

“ยังมีอีก?”

ห่างกันครึ่งเมตรเพียงอากาศคั่น เจียงเหม่ยซีจึงรู้สึกถึงไฟโทสะของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

แม้การสาดน้ำใส่หน้าจะทำให้เจียงเหม่ยซีรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่คนที่บีบให้เธอมาถึงขั้นนี้ในวันนี้ไม่ใช่เขาหรอกเหรอ

คิดถึงตรงนี้แล้วเจียงเหม่ยซีจึงเอ่ยว่า “ฉันยังอยากจะเตือนนายอีกสักหน่อย ที่ทำงานเทียบกับมหา’ลัยไม่ได้ คนมากมายไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เห็นหรอกนะ เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อน ดังนั้นเรื่องที่นอกเหนือจากการทำงานก็อย่าเอาไปพูดกับเพื่อนร่วมงาน”

เยี่ยสวี่ยิ้มเย็น “วางใจได้ ผมไม่ได้ทำตัวน่าเบื่อขนาดนั้นอย่างที่คุณคิดหรอก”

พูดจบเขาก็ไม่รอให้เจียงเหม่ยซีได้โต้ตอบ เยี่ยสวี่หมุนตัวเดินผ่านประตูออกไปทันที ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันกลับมาพูดอีกครั้ง “แต่ว่านี่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์อีกทีนะครับ”

เจียงเหม่ยซีนิ่งอึ้งไป ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “หมายความว่ายังไง”

เยี่ยสวี่ยิ้ม “หมายความว่าตอนที่ผมอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะทำเรื่องน่าเบื่อบางอย่างเพื่อระบายอารมณ์ก็ได้”

กระทั่งหลังเยี่ยสวี่ผละจากไปนานแล้ว เจียงเหม่ยซีถึงได้ตระหนักว่าเดิมทีเธอคิดจะอาศัยความเป็นผู้อาวุโสของตนในบริษัทตักเตือนเด็กบ้านั่น แต่ผลกลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายตอกกลับเสียได้!

ขณะที่กำลังเดือดดาล จู่ๆ โทรศัพท์ที่เจียงเหม่ยซีถือไว้ในมือก็ดังขึ้นมา เธอรับสายด้วยความหงุดหงิด อีกฝ่ายจึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “ใครไปแหย่น้าล่ะเนี่ย”

เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเธอนัดมู่ตี๋เอาไว้ด้วย “ยังจะมีใครได้อีก ก็เธอน่ะสิ! นี่มันกี่โมงแล้ว เธออยู่ไหนล่ะ?!”

มู่ตี๋หัวเราะแหะๆ ก่อนจะตอบกลับมา “เมื่อกี้ไปจองที่นั่งที่ห้องก่อนเลยเลตนิดนึง กลัวว่าน้าจะโกรธถึงโทรมาหาน้าก่อนนี่ไง หนูใกล้จะถึงแล้ว!”

สักพักมู่ตี๋มาถึง พอเข้ามาเธอก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “ของที่หนูต้องการล่ะคะ”

เจียงเหม่ยซีขมวดคิ้ว “ของอะไร”

“น้าลืมจริงๆ เหรอ หนูบอกให้น้าพกนิยายรักมาให้หนูสักสองสามเล่มไง ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว!”

เจียงเหม่ยซีจนคำจะต่อว่าหลานสาว “นี่มันเวลาไหนแล้ว เธอยังอ่านนิยายอยู่อีก?”

“เวลาไหนน่ะเหรอ ก็เวลาที่จะเป็นบ้าได้แล้วน่ะสิคะ! ใครไม่รู้บ้างว่างานของโยวจี้ยุ่งจะตาย พวกเราไม่ได้อยู่เป็นสุขมาตั้งหลายวันแล้ว”

แต่ไหนแต่ไรมามู่ตี๋ไม่ค่อยจะมีความก้าวหน้าในชีวิตเท่าไหร่นัก แต่เธอก็พูดไม่ผิด เจียงเหม่ยซีจึงไม่ได้อบรมหลานสาวต่ออย่างหาได้ยาก ทำเพียงส่งน้ำส้มเย็นๆ ที่พกมาด้วยให้อีกฝ่าย “เอาไว้ดื่มตอนเข้าเรียนเถอะ คลายร้อนสักหน่อย”

“ขอบคุณค่ะน้าเล็ก”

เจียงเหม่ยซีอดไม่ได้ที่จะกำชับหลานอีกสักสองสามประโยค “อย่านึกว่าเข้าโยวจี้ได้แล้วจะโชคดีไปทุกอย่างล่ะ ต่อไปทุกปีจะมีการคัดคนออกส่วนหนึ่ง เธอชั่งน้ำหนักให้ดีๆ เองแล้วกัน”

มู่ตี๋ตอบรับอย่างหงุดหงิด จากนั้นจึงถามเจียงเหม่ยซีออกมา “ว่าแต่น้าเล็กเถอะ น้าเรียกหนูมาเพื่อจะให้น้ำแก้วนี้เนี่ยนะ”

เจียงเหม่ยซีคิดไปถึงเรื่องของเยี่ยสวี่ อารมณ์ก็เกิดสับสนวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง เธอเรียบเรียงคำพูดแล้วถามมู่ตี๋ว่า “อ้อจริงสิ ฉันได้ยินมาว่าในรุ่นของพวกเธอมีเด็กที่ค่อนข้างเป็นหัวกะทิ…”

เธอพูดยังไม่จบ มู่ตี๋ก็ตัดบททันที “น้าหมายถึงเยี่ยสวี่?”

เจียงเหม่ยซีนิ่งงันไป “อ้อ ดูเหมือนว่าจะชื่อนี้แหละ…”

“เขาเป็นเด็กหัวกะทิจริงๆ ได้อันดับหนึ่งในสาขาของพวกเขา ได้ยินมาว่าตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะไปต่างประเทศ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหนีมาหางานทำซะได้”

“ฉันจำได้ว่าเขากับเธอไม่ได้อยู่สาขาเดียวกันนี่ ทำไมเธอถึงรู้เรื่องของเขาเยอะขนาดนี้”

“ผู้ทรงอิทธิพลนี่นา! ทุกคนสนใจเขากันทั้งนั้นแหละ อีกอย่างตอนนี้พวกเรานั่งเรียนด้วยกันทุกวันเลยคุ้นเคยกันดี”

พอเจียงเหม่ยซีฟังแล้วแอบรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา “ว่าไงนะ! มู่ตี๋เธอคงไม่…”

“หยุดเลย! หยุด!! รู้อยู่แล้วว่าน้าจะต้องคิดเหลวไหล เขาดีมากก็จริง แต่ไม่ใช่ไทป์ที่หนูชอบหรอก”

เจียงเหม่ยซีถอนหายใจ แต่เธอยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี รูปร่างหน้าตาอย่างเยี่ยสวี่ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน

“ทำไมล่ะ” เธอถามมู่ตี๋

มู่ตี๋คิดครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกมาอย่างฝืนใจ “ศัตรูหัวใจเยอะเกินไป คอยระแวงระวังทั้งวัน น่ารำคาญจะตายไป”

เจียงเหม่ยซีหัวเราะ คำตอบนี้สมกับเป็น ‘มู่ตี๋’ มาก

“งั้นเธอยังตัวติดกับเขาทั้งวันเพราะอะไรล่ะ”

มู่ตี๋หัวเราะคิกคักพลางเอ่ย “ฝึกอบรมเสร็จแล้วยังมีสอบจบคอร์สอีกไม่ใช่เหรอคะ ตีสนิทไว้ก่อนค่อยว่ากัน”

“ไม่ใช่แล้วมั้ง! ฉันว่านะคุณมู่ตี๋ การสอบแบบนี้เธอยังคิดจะโกงอีกเหรอ”

“ทุกคนโกงกันทั้งนั้นแหละ น้าก็แค่ไม่รู้!” มู่ตี๋มองเวลาอย่างไม่สะทกสะท้าน “เฮ้ย! ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว”

เจียงเหม่ยซีโบกมือให้เธออย่างหงุดหงิด “รีบไป! รีบไป! เจอเธอแล้วฉันล่ะปวดหัว!”

“คุณแม็กกี้ที่รัก ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

การจะเป็นเพื่อนกับเด็กเนิร์ดจำเป็นต้องใช้จังหวะเวลา สถานที่ที่เหมาะสม และแรงสามัคคี มู่ตี๋กับเยี่ยสวี่เป็นศิษย์เก่าสายเดียวกัน นี่คือจังหวะเวลา ทั้งสองคนเข้าโยวจี้ด้วยกัน นี่คือสถานที่ที่เหมาะสม ส่วนที่เหลือก็ขาดแค่แรงสามัคคีแล้ว

มู่ตี๋ค้นพบนานแล้วว่าทุกครั้งเยี่ยสวี่จะมาถึงห้องสายมาก ทำให้บางครั้งก็หาที่นั่งไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงอาศัยชื่อของการเป็นเพื่อนเก่าเสนอไปว่าจะช่วยเขาจองที่ เยี่ยสวี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ หนทางของการตีสนิทเด็กเนิร์ดของเธอจึงเริ่มต้นขึ้น

ดีที่มู่ตี๋จองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะไปพบเจียงเหม่ยซี ทั้งยังส่งข้อความบอกตำแหน่งคร่าวๆ ของที่นั่งให้เยี่ยสวี่รู้ ไม่อย่างนั้นถึงเธอจะรีบมาตอนนี้ก็คงจะไม่มีที่นั่งแล้วจริงๆ

วันนี้เยี่ยสวี่มาถึงเร็วกว่าเธอ เขากำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ประจำที่ มู่ตี๋เดินเข้าไปนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆ ชายหนุ่ม แล้ววางแก้วเก็บความเย็นในมือไว้ที่มุมโต๊ะ

เยี่ยสวี่หันไปมองเธอแวบหนึ่งเป็นการทักทาย ทว่าตอนสายตากวาดมองแก้วเก็บความเย็นสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าเธอเขาก็ขมวดคิ้ว

“ได้มาจากไหน”

มู่ตี๋นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะมองตามสายตาของเขา เธอถึงได้เข้าใจว่าเขากำลังถามอะไร แม้จะไม่เข้าใจว่าคนที่ปกติไม่เคยสนใจเรื่องอะไรเลย ทำไมจู่ๆ ถึงได้สนใจแก้วน้ำของเธอขนาดนี้กัน แต่ก็ยังเลือกที่จะพูดคำโกหกโง่ๆ ที่คิดเอาไว้ระหว่างทางที่กลับมาออกไป

“ก็พกมาด้วยตลอดนั่นแหละ เมื่อกี้หิวน้ำมากเลยออกไปเติมน้ำน่ะ”

พูดเฉยๆ กลัวว่าเยี่ยสวี่จะไม่เชื่อ เธอจึงจงใจเปิดฝาหมายจะดื่มสักอึก แต่พอเปิดออกถึงพบว่าข้างในเป็นน้ำส้ม

ดังนั้นจึงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “เติมน้ำส้มมาน่ะ…น้ำส้ม…”

มู่ตี๋พิจารณาตัวเอง คำพูดเซ่อซ่าที่พูดมาทั้งชีวิตมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่เซ่อซ่าขนาดนี้เหมือนวันนี้จะเป็นครั้งแรก ทว่าเธอก็เบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว

“แล้วทำไมนายถึงหัวเปียกล่ะ เสื้อผ้าก็ด้วย…” เธอมองไปนอกหน้าต่าง “ฝนก็ไม่ได้ตกนี่”

เยี่ยสวี่อารมณ์ไม่ดี “ล้างหน้ามา”

มู่ตี๋กวาดตามองเสื้อยืดของเขาที่เปียกชุ่มแทบจะทั้งตัว หัวเราะแกนๆ สองทีแล้วเอ่ยว่า “ล้างหน้าได้หมดจดทีเดียว”

 

เจียงเหม่ยซีดูเวลา กะไว้ว่ามู่ตี๋คงจะไปถึงแล้วจึงได้หิ้วกระเป๋าตรงไปยังห้องแบบสโลป

เธอไม่ได้เดินไปที่ประตูหลัก แต่เข้าจากทางประตูหลัง เดินไปยังโพเดียมทีละก้าวๆ ผ่านระหว่างกลางบรรดาพนักงานใหม่

ห้องที่เดิมทีวุ่นวายเจี๊ยวจ๊าวสงบลงทันใด เงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นห้อง ไม่เหมือนห้องที่มีคนสามสี่ร้อยคนนั่งอยู่เลยสักนิด

เธอเดินไปทีละก้าวๆ ทั้งอย่างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ วางกระเป๋าสะพายลง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาปิดเสียงแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูผู้คนที่นั่งอยู่ในห้อง

ไม่มีพาวเวอร์พ้อยต์ ไม่มีสื่อการสอน เธอกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อแม็กกี้”

เจียงเหม่ยซีจำได้ว่าตัวเองก็เคยกล่าวถ้อยคำเดียวกันนี้ที่นี่ ตอนนั้นวิทยากรให้ทุกคนแนะนำตัวเอง สำหรับการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ทุกคนต่างคิดหาวิธีทำให้ตัวเองเป็นที่จดจำ มีเพียงแค่เธอที่แนะนำตัวเองด้วยประโยคเดียวง่ายๆ เช่นนี้ออกมา เธอไม่ได้อยากทำตัวโดดเด่น แต่เพราะความประหม่าจึงทำให้ลืมคำพูดที่เตรียมไว้จนหมดสิ้น ใครจะไปคิดว่าเด็กผู้หญิงที่ขี้ขลาดในตอนนั้นจะกลายมาเป็นเธอในตอนนี้

สถานการณ์เป็นอย่างไร…เจียงเหม่ยซีกวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ บ้างก็สุมหัวกระซิบกระซาบ บ้างก็ไม่กล้าหายใจ เธอหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

พวกเขานึกว่าเธอจะไม่เห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ สินะ พวกเขากำลังพูดอะไรอยู่ คิดว่าเธอเดาไม่ออกงั้นเหรอ เธอไม่สนใจแต่ไม่ใช่ว่าไม่แคร์ เพียงแค่ว่าสิ่งที่เธอเคยแบกรับมาก่อนนั้นมันมากมายยิ่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้เสียอีก

เจียงเหม่ยซีรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงจึงหันไปมองตามความรู้สึกนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งกระด้างไปโดยฉับพลัน

เยี่ยสวี่นั่งมองเธออย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ทำทีเยาะเย้ยราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่

น้ำบนใบหน้าเขาถูกเช็ดจนแห้งแล้ว แต่เสื้อผ้าหน้าผมที่เปียกซ่กทำให้เธอรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

ไม่นานนักเธอก็ละสายตาออกมา กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง และเริ่มเนื้อหาในวันนี้

เจียงเหม่ยซีไม่ได้เริ่มต้นด้วยประวัติและวัฒนธรรมองค์กรของโยวจี้เหมือนกับวิทยากรคนอื่นๆ แต่แบ่งปันประสบการณ์ทำงานหลายๆ เคสโดยตรง เนื้อหาทั้งหมดล้วนแต่เป็นประสบการณ์จริง และเธอเล่าได้เข้าใจง่ายอีกทั้งยังกระฉับกระเฉงเป็นอย่างมาก ดังนั้นตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มในห้องฝึกอบรมจึงเงียบเป็นเป่าสาก

กระทั่งเหลืออีกไม่กี่นาทีก่อนจะเลิกคลาส เจียงเหม่ยซีคิดว่าจำเป็นต้องหาใครสักสองสามคนมาถามคำถามเพื่อเช็กประสิทธิผลในการบรรยาย

สายตากวาดมองไปที่ด้านล่างเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าคนที่เมื่อครู่จะตั้งใจฟังหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เวลานี้ต่างพากันหลบเลี่ยงที่จะสบตากับเธอ

พนักงานหญิงนามสมมติว่าเอที่อยู่ข้างหลังพวกเยี่ยสวี่เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วจึงถามพนักงานหญิงบีอย่างไม่เข้าใจ “จริงๆ ฉันอยากจะถามตั้งแต่ตอนเริ่มเรียนแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าทุกคนก็กลัวแม็กกี้คนนี้กันนะ”

บีตอบกลับเสียงเบา “งั้นเธอต้องรู้ข่าวซุบซิบในโยวจี้เพิ่มเติมบ้างแล้วล่ะ ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าโยวจี้มีเสืออยู่สองตัว ตัวผู้หนึ่งกับตัวเมียอีกหนึ่ง”

พนักงานหญิงเอแปลกใจ “ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่งอะไรกัน”

“ตัวผู้ก็คือเควินที่มาบรรยายให้พวกเราฟังเมื่อตอนเช้า คนเรียกเขาว่าพยัคฆ์หน้ายิ้ม ว่ากันว่าปกติแล้วเขาจะเป็นกันเอง แต่ถ้าอยู่ในโหมดทำงานเมื่อไหร่ล่ะก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เที่ยงตรงและเข้มงวดโดยไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น กดดันลูกน้องทำงานตัวเป็นเกลียวตอนทำโปรเจ็กต์เป็นเรื่องปกติ ป่วยก็ไม่อนุญาตให้ลางาน!”

“ซี้ด…” พนักงานหญิงเออดถูแขนตัวเองไม่ได้ “น่ากลัวขนาดนั้นเชียว! งั้นแม็กกี้ล่ะ?”

“เธอน่ะเหรอ ชื่อเสียงกระฉ่อนยิ่งกว่าอีก ดังไปทั่วทั้งประเทศเชียวล่ะ ลือกันว่าแม็กกี้น่ะเคร่ง! หยิ่ง! จุกจิก! บ้างาน! ไม่มีเพื่อน!”

พนักงานหญิงเอลอบยิ้ม “สองคนนั้นก็เหมาะกันดีนะ”

“ที่ไหนกัน เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ไม่เคยได้ยินเหรอ สองคนนี้สู้กันไม่มีใครยอมใครเพื่อชิงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเชียวนะ!”

“งั้นเธอคิดว่าใครมีหวังกว่ากัน”

“ฉันคิดว่าเป็นเควินนะ ผู้หญิงน่ะ…ในที่ทำงานจะต้องด้อยกว่าผู้ชายแน่ๆ”

มู่ตี๋ที่แอบฟังสองคนข้างหน้าคุยกันมาตลอดได้ยินถึงตรงนี้ก็นั่งไม่ติด อย่างอื่นเธอทนได้ ถึงขั้นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่มาบอกว่าน้าเล็กของเธอเป็นกรรมการผู้จัดการไม่ได้ คนตระกูลเจียงทนไม่ได้เด็ดขาด!

ขณะที่มู่ตี๋กำลังจะหันไปต่อว่าพนักงานหญิงบีสักสองประโยค เยี่ยสวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ชิงหันไปก่อนเธอแล้ว “หนวกหู!”

สองคนที่อยู่ข้างหลังเงียบเสียงทันที แต่เยี่ยสวี่ยังพูดไม่จบ เขารีบพูดเสริมต่ออีกประโยคหนึ่ง “ไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานแต่คิดไปเองแล้วว่าตัวเองเทียบคนอื่นไม่ได้อย่างพวกเธอ ทำไมโยวจี้ถึงรับเข้ามา”

คำพูดนี้สะใจจริงเชียว! มู่ตี๋ลอบยินดีอยู่ในใจ ทว่าตอนที่ได้สติคืนมาถึงได้พบว่าบรรยากาศในห้องดูเหมือนจะแปลกๆ ไป

ทุกคนรวมถึงเจียงเหม่ยซีต่างกำลังมองมาที่พวกเธอ

“พนักงานชายคนนั้น…” เสียงของเจียงเหม่ยซีไม่ได้นุ่มนวลอะไรนัก

ในห้องอบรมเงียบสนิท มีเพียงเสียงหมุนหึ่งๆ ที่ดังมาจากพัดลมเหนือศีรษะ

เยี่ยสวี่สบตาเจียงเหม่ยซีครู่หนึ่ง ในตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ก็ได้ยินเธอเปลี่ยนประเด็นกะทันหัน “พนักงานหญิงที่อยู่ข้างหลังนั่นน่ะ เธอมาตอบคำถามเมื่อกี้หน่อยซิ”

เยี่ยสวี่นิ่งอึ้งก่อนจะนั่งกลับลงไปที่เดิม

พนักงานหญิงบีชี้ตัวเองด้วยความสงสัย “ฉันเหรอคะ”

เจียงเหม่ยซีพยักหน้าช้าๆ บนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ที่มากเกินไปนัก

พนักงานหญิงบียืนขึ้นอย่างสั่นเทา เจียงเหม่ยซีโจมตีอีกฝ่ายด้วยหมัดฮุคสุดท้ายอีกครั้ง “กรุณาใช้ภาษาอังกฤษตอบด้วย”

เมื่อครู่พนักงานหญิงบีกำลังหมกมุ่นอยู่กับการซุบซิบนินทา ไม่ได้ฟังคำถามของเจียงเหม่ยซีแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาได้ยินว่าต้องใช้ภาษาอังกฤษตอบอีก ได้แค่คิดก็แทบจะแทรกแผ่นดินหนี คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นหัวกะทิของมหาวิทยาลัย ถูกสั่งสอนด้วยการให้ยืนอยู่แบบนี้มันน่าขายหน้าจริงๆ ดังนั้นเธอจึงหลับตาข่มใจและปั้นเรื่องขึ้นมา

ในห้องอบรมเกิดเสียงหัวเราะซุบซิบดังขึ้นเบาๆ ทว่าเจียงเหม่ยซีกลับไม่ไหวติง เธอยกแขนขึ้น ทำท่าทีบอกให้ทุกคนตั้งใจฟัง ไม่ได้หมายความว่าให้พนักงานหญิงบีหยุดแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดพนักงานหญิงบีก็ไม่ต่อไปถูกจริงๆ ถึงได้หยุดไปเอง

ในห้องเงียบลงอีกครั้ง ผ่านไปสักพักเจียงเหม่ยซีถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น “พนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเราเคยส่งข้อมูลสถิติให้ฉัน อัตราการลาออกของพนักงานที่เข้าทำงานหลังจากสามปีสูงถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คุณรู้ไหมว่าพวกเขาไปไหนกันหมด”

ยังไม่ทันได้เข้าบริษัทอย่างเป็นทางการ พนักงานหญิงบีก็ถูกทำให้ขายหน้าขนาดนี้ ในใจมีอารมณ์คุกรุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงตอบด้วยความขุ่นเคืองกลับไปว่า “ก็เปลี่ยนงานไงคะ”

เจียงเหม่ยซีส่ายหน้าก่อนจะแก้ไขคำตอบให้ถูกต้องอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถูกเลิกจ้างต่างหาก ดังนั้นไม่ใช่ว่าเข้าโยวจี้แล้วก็จะราบรื่นไปหมดทุกอย่าง จะอยู่ต่อได้หรือไม่ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคนด้วย”

เสียงกริ่งเลิกคลาสดังขึ้นในเวลานี้พอดี เจียงเหม่ยซีปรบมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะ วันนี้ถึงแค่นี้ก็แล้วกัน ขอบคุณทุกคนมากที่มาฟังคลาสของฉัน หวังว่าจะช่วยพวกคุณได้บ้าง”

 

ในตอนที่เจียงเหม่ยซีกำลังจะประกาศเลิกคลาส จู่ๆ พนักงานฝ่ายฝึกอบรมก็พุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน คนที่ตามมาข้างหลังคือลู่สืออวี่ที่ออกไปแล้วแต่วกกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งยังมีลินดาบอสของเธอด้วย

ลินดาส่งยิ้มให้เจียงเหม่ยซีที่อยู่บนโพเดียม เจียงเหม่ยซีเรียกสติกลับคืนมาได้ในระหว่างที่เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่นั้นก็ส่งยิ้มกลับไปและเดินลงจากโพเดียม

พนักงานของฝ่ายฝึกอบรมแนะนำกับทุกคนว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เชิญคุณลินดา หนึ่งในกรรมการผู้จัดการที่โดดเด่นที่สุดของโยวจี้เรามาในวันนี้ คุณลินดางานยุ่งมาก เรียกว่าเป็น ‘มนุษย์บิน’ ตัวอย่างเลยทีเดียว เวลาที่อยู่บริษัทก็น้อยมาก วันนี้คุณลินดาสละเวลามาบรรยายให้กับทุกคน ขอให้ปรบมือต้อนรับด้วยค่ะ!”

ลินดาเดินขึ้นโพเดียมท่ามกลางเสียงปรบมือจากทุกคน เจียงเหม่ยซีและลู่สืออวี่นั่งลงตรงตำแหน่งที่อยู่แถวหน้า

เจียงเหม่ยซีถามลู่สืออวี่ “ไม่ใช่ว่านายควรจะกลับเข้าเมืองตั้งนานแล้วหรอกเหรอ”

ลู่สืออวี่ยักไหล่ “ไปได้ครึ่งทางแล้วได้ยินว่าจู่ๆ บอสจะมา ฉันเองก็ไม่มีธุระอะไรพอดีก็เลยวกกลับมาอีกรอบ กะจะมาประจบบอสสักหน่อย”

เจียงเหม่ยซีแค่นเสียงเย็น “ขี้ประจบ!”

ลู่สืออวี่ก็ไม่ได้โกรธ เขายิ้มอย่างไม่ถือสา “ช่วยไม่ได้ เทียบกับทีมสายตรงที่บอสปั้นมากับมืออย่างเธอไม่ได้นี่นา!”

“นี่เธอดูแม็กกี้กับเควินสิท่าทางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เลวเลยนะ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่บอกเลย…” คนที่พูดคือพนักงานหญิงเอ

พนักงานหญิงบีส่งร้องเสียงเฮอะออกมาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ทำเป็นวางท่าใครทำไม่เป็นบ้างล่ะ”

มู่ตี๋ไม่ชอบที่ได้ยินคนอื่นว่าร้ายเจียงเหม่ยซีจึงหันหน้าไปเตือนผู้หญิงสองคนข้างหลังเสียงเบา “หยุดพูดได้แล้ว ระวังเดี๋ยวจะโดนเรียกชื่อ”

พนักงานหญิงสองคนเบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ตอนที่มู่ตี๋หันหน้ามา สายตาก็กวาดมองไปยังเยี่ยสวี่ที่อยู่ข้างๆ พบว่าสีหน้าของชายหนุ่มดูไม่สบอารมณ์นัก เธอมองตามสายตาของเขาก็เห็นเจียงเหม่ยซีกับลู่สืออวี่ที่นั่งอยู่แถวหน้ากำลังพูดคุยกะหนุงกะหนิงกัน

“นายเองก็ไม่ชอบพวกเขาสองคนใช่ไหม” มู่ตี๋ถามเสียงค่อย

ความจริงแล้วข่าวลือเกี่ยวกับเสือสองตัวของโยวจี้เธอเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว แต่ไม่เคยขอคำยืนยันจากเจียงเหม่ยซี ด้านหนึ่งคือไม่กล้า อีกด้านหนึ่งจากการที่เธอรู้จักเจียงเหม่ยซีดี…กว่าครึ่งเป็นเรื่องจริง

“เปล่า แค่ไม่ชอบหนึ่งในนั้น”

“อ้อ” มู่ตี๋ไม่กล้าถามเขาว่าไม่ชอบใคร เธอไม่มั่นใจในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ของน้าเล็กเธอเลยจริงๆ

มู่ตี๋ไม่ได้มีเจตนาจะถามซอกแซก แต่กลับเป็นเยี่ยสวี่ที่จู่ๆ หันหน้ามา สายตาเขามองไปยังแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะ สุดท้ายก็ย้ายมาหยุดที่ใบหน้าของเธอ

“พวกเธอมีความสัมพันธ์อะไรกัน เพื่อน? ญาติ?”

มู่ตี๋ถูกถามเข้ากะทันหันจึงงุนงงเล็กน้อย “นายกำลังพูดถึงอะไรอยู่?”

เยี่ยสวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ช่างเถอะ”

 

คำปราศรัยของลินดาที่อยู่บนเวทีนั้นดูสุขุมแต่ก็ยังมีอารมณ์ขันทำให้เกิดเสียงหัวเราะจาก ‘เด็กๆ’ ทุกคนที่นั่งอยู่เป็นครั้งคราว ทว่าเธอไม่ได้พูดนานนัก ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จบหัวข้อทั้งหมด

อันที่จริงเป้าหมายสำคัญที่ลินดามาในครั้งนี้คือเพื่อมาพบพนักงานคนใหม่ของฝ่ายตัวเอง ดังนั้นจึงคุยกับลู่สืออวี่ไว้แต่แรกแล้วว่าตอนเย็นจะชวนพนักงานใหม่เหล่านี้ไปกินข้าวด้วยกัน

ด้านหลังศูนย์อบรมมีทะเลสาบ ริมทะเลสาบมีร้านบาร์บีคิวริมทางหลายร้าน ลู่สืออวี่ก็เลยจัดเตรียมงานเลี้ยงของเย็นนี้ที่ร้านหนึ่งในนั้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำของวัน แถบชานเมืองก็โล่งว่างและเงียบเหงากว่าในเมืองอย่างเห็นได้ชัด บริเวณริมทะเลสาบนอกจากร้านบาร์บีคิวไม่กี่ร้านในละแวกนี้ที่ยังนับว่าคึกคัก ร้านอื่นๆ ก็ล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับราตรีอันมืดมิดไปแล้ว

ลู่สืออวี่กวักมือเรียกทุกคนมานั่ง ก่อนจะส่งใบเมนูให้พวกเด็กใหม่ทุกคนสั่งอาหาร “ปกติเจ้านายมักจะขูดรีดทุกคนตลอด เรื่องดีๆ อย่างการ ‘กินอาหารของเศรษฐี’ ในวันนี้ ผมเองเข้ามาทำงานนานก็ยังพลาดไปหลายครั้ง นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากดังนั้นทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”

ความจริงระหว่างทางที่มาร้าน ทุกคนบ้างก็พูดคุยบ้างก็หัวเราะกันมาตลอดทาง ไม่เกร็งเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกขนาดนั้นแล้ว

โดยเฉพาะลินดาที่ไม่ได้มีมาดของการเป็นเจ้านายเลยสักนิด ตอนได้ยินลู่สืออวี่พูดอย่างนี้แล้วเธอก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ “นายไม่ต้องมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีที่นี่หรอกน่า! อย่าคิดว่าฉันไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของนายนะ”

ลินดาพูดพลางมองไปทางพวกมู่ตี๋ “ใครขูดรีดใครกันแน่ ไม่นานพวกเธอก็จะรู้เอง!”

ลู่สืออวี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ผมน่ะไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทำอย่างไรผู้น้อยตามอย่างนั้นหรือไง!”

พอเขาพูดอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา

ลู่สืออวี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบรรยากาศ ตอนแรกยังมีพนักงานใหม่บางคนรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะมีคนระดับหัวหน้าอยู่ด้วย ต่อมาดูเหมือนพวกเขาจะค้นพบว่าบรรดาหัวหน้างานก็ไม่ได้ต่างกับคนธรรมดาทั่วไปจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หลังกินข้าวกันไปได้สักพัก พวกเขายังคงพอมีเวลาเหลืออยู่ ทันใดนั้นเองก็มีคนเสนอแนะให้เล่นเกม ปรึกษากันไปปรึกษากันมา สุดท้ายก็เลือกเกมทายเลขที่ง่ายที่สุด

กติกาของเกมคือให้ใครคนหนึ่งตั้งตัวเลขขึ้นมาจำนวนหนึ่งเขียนลงบนกระดาษ แล้วให้คนอื่นๆ ทายว่าตัวเลขนั้นอยู่ในช่วงจำนวนเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทายตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ก็เป็นอันจบเกม คนที่ทายถูกสามารถออกคำสั่งให้คนสองคนที่อยู่ข้างๆ แสดงความสามารถหรือดื่มเบียร์เพื่อเป็นการลงโทษก็ได้

ตอนกินข้าวเจียงเหม่ยซีถูกบังคับให้ดื่มเบียร์ไปแล้วสองแก้ว เธอรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อยจึงปล่อยให้ทุกคนจัดแจงกันตามสบาย

บทลงโทษและรางวัลจากเกมหลายรอบก่อนหน้านี้ล้วนไม่ได้เอี่ยวมาถึงเธอ เจียงเหม่ยซีได้แต่มองดูบรรยากาศครึกครื้นของทุกคนอย่างสนุกสนาน ต่อมาก็ถึงตาเธอคิดตัวเลขแล้ว

เจียงเหม่ยซีรับกระดาษกับปากกาที่มู่ตี๋ส่งมาให้ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขียนเลขสามสิบแปดลงไปบนกระดาษ

จะว่าไปก็แปลก หลายรอบก่อนหน้านี้ทายอย่างมากที่สุดแปดเก้าครั้งก็ทายถูกแล้ว แต่รอบนี้เล่นนานมากกลับยังไม่มีใครทายคำตอบที่ถูกต้องออกมาสักที

มาจนถึงตาของมู่ตี๋ทาย เธอเดาว่าเจียงเหม่ยซีน่าจะเขียนตัวเลขที่เกี่ยวกับวันเกิด และอีกฝ่ายเกิดวันที่ยี่สิบมกราคม เธอจึงทายว่าเป็นเลขยี่สิบไปแต่ก็ยังไม่ถูกอยู่ดี

พอถึงตาเยี่ยสวี่ เขาคิดว่าก่อนหน้านี้น่าจะมีคนทายอายุหรือวันเกิดของเจียงเหม่ยซีไปแล้วก็เลยไม่มีเบาะแสอะไรจริงๆ จึงทายเลขสิบแปดซึ่งเป็นเลขท้ายเบอร์โทรศัพท์ของเธอไป ผลก็คือยังไม่ถูก

ต่อจากเยี่ยสวี่คือลู่สืออวี่ ในตอนนี้ขอบเขตตัวเลขของคำตอบที่ถูกต้องยังคงกว้างมาก แต่ลู่สืออวี่กลับทำตัวสบายๆ เขาดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง มองเจียงเหม่ยซีที่อยู่ตรงข้ามแล้วถามว่า “สามสิบแปดใช่ไหม”

เจียงเหม่ยซีอึ้งไปสักพัก “นายรู้ได้ยังไง”

นี่หมายความว่าทายถูกแล้ว! ทุกคนโห่ร้องอย่างยินดี ลินดาที่มั่นใจว่าตัวเองรู้จักเจียงเหม่ยซีดีก็ยังทายไม่ถูก อดถามลู่สืออวี่ไม่ได้เช่นกันว่าเขาเดาถูกได้อย่างไร

“ฉันเห็นคนก่อนหน้าทายอายุ ทายวันเกิด เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักแม็กกี้ดีเลย! แม็กกี้ของเราน่ะถึงจะแกร่งกล้าแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เลยวัยยี่สิบห้าไปแล้วย่อมเริ่มหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอายุของตัวเอง ดังนั้นเธอจะต้องไม่ให้โอกาสทุกคนพูดถึงเรื่องนี้แน่ ส่วนคนที่ทายวันเกิดน่ะ แม็กกี้ทุ่มเทให้กับงานมาก เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนบ้างาน เป็นไปได้ว่าเธอเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าวันเกิดของตัวเองคือวันไหนใช่ไหมล่ะ”

มีคนที่ทนรอไม่ไหวแล้วโพล่งถามออกมา “งั้นเลขสามสิบแปดมันมีความหมายพิเศษอะไรกันแน่”

ลู่สืออวี่ยิ้มพลางเหลือบมองคนคนนั้นแวบหนึ่ง “ทำงานในแวดวงธุรกิจนี้มานานก็จะอ่อนไหวกับตัวเลขมาก ดังนั้นทิศทางของฉันกับพวกเธอก็เลยต่างกัน ฉันเดาว่าแม็กกี้จะต้องเขียนเลขจากมาตรฐานการบัญชี* ฉบับใดฉบับหนึ่งแน่ บังเอิญว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ตอนฉันไปที่ห้องทำงานของเธอ บนโต๊ะมี IAS ฉบับที่ 38* เปิดไว้พอดี”

ลินดาเข้าใจในทันที หันหน้ากลับมาถามเจียงเหม่ยซี “เป็นอย่างนี้จริงเหรอ”

เจียงเหม่ยซีหัวเราะโดยที่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

ทุกคนรีบประจบทันที ต่างชมว่าลู่สืออวี่มีความคิดรอบคอบ แม้แต่มู่ตี๋เองก็ทอดถอนใจ “ดูท่าทางเควินจะรู้จักแม็กกี้ดีจริงๆ”

มีเพียงเยี่ยสวี่ที่รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง เมื่อทุกคนคร่ำครวญกันไปพอสมควรแล้ว เขาก็เอ่ยถาม “จะลงโทษยังไงครับ”

ลู่สืออวี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อ้อ ใช่แล้ว เกือบลืมว่ายังมีเรื่องการลงโทษด้วย พนักงานใหม่เยี่ยสวี่มีสติมาก!”

ข้างหนึ่งของลู่สืออวี่มีเยี่ยสวี่นั่งอยู่ ส่วนอีกข้างเป็นพนักงานหญิงบีที่นั่งอยู่ข้างหลังเยี่ยสวี่ตอนอบรม หญิงสาวคิดหาวิธีเข้าใกล้เยี่ยสวี่ตั้งแต่ตอนสอบสัมภาษณ์แล้ว คนตาแหลมต่างมองออกว่าเธอสนใจเยี่ยสวี่ เวลานี้ทำให้เธอได้แสดงความสามารถกับเยี่ยสวี่พอดี ทุกคนจึงถือโอกาสแสดงน้ำใจ ส่งเสียงเชียร์ให้ทั้งสองคนจูบกัน

เจียงเหม่ยซีคาดไม่ถึงว่าเด็กสมัยนี้จะเปิดเผยกันขนาดนี้ แต่เมื่อคิดว่าคนที่ถูกลงโทษคือเด็กบ้านั่น ในใจก็รู้สึกยินดีในความโชคร้ายของเขานิดหน่อย แต่ด้วยสถานะของตัวเองเธอจึงไม่สะดวกที่จะราดน้ำมันลงบนกองไฟอย่างโจ่งแจ้งทำได้แค่มองดูทุกคนส่งเสียงเชียร์ด้วยรอยยิ้มราวกับชมไฟริมฝั่ง*

จู่ๆ เยี่ยสวี่ก็ลุกขึ้นยืน พนักงานหญิงบีเห็นสถานการณ์แล้วใบหน้าก็แดงเรื่อทันที

ขณะที่ทุกคนคิดว่าเยี่ยสวี่จะเดินไปทางพนักงานหญิงบี เขากลับพูดขึ้นว่า “ผมคิดว่าการลงโทษแบบนี้ไม่ยุติธรรม”

ทุกคนแปลกใจ “หมายความว่ายังไง”

“คนที่ถูกคนอื่นเดาความคิดได้ง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าควรได้รับการลงโทษมากกว่าหรอกเหรอครับ”

ลู่สืออวี่งุนงง “คุณหมายถึงใคร”

เยี่ยสวี่มองเจียงเหม่ยซี “เธอ”

“แม็กกี้?”

“ใช่ ผมคิดว่าคนที่ควรได้รับการลงโทษมากที่สุดก็คือเธอ”

เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยงนั้นไม่ได้ผ่านพ้นไป คนที่ถูกสาดน้ำใส่หน้ากำลังคิดหาวิธีแก้แค้นเธออยู่ เธอจึงพูดขัดขึ้น “แต่หลายรอบก่อนหน้าก็ทำตามกติกานี้กัน จะมาเปลี่ยนเอาตอนนี้ต่างหากที่ไม่ยุติธรรม”

เยี่ยสวี่ไม่ได้ตอบเธอโดยตรงแต่หันไปพูดกับลินดา “เพื่อแสดงความยุติธรรมต่อคนที่ได้รับโทษก่อนหน้า ผมยินดีรับการลงโทษ แต่ผมคิดว่าเธอควรได้รับการลงโทษมากกว่าครับ”

ลินดาเองถูกเยี่ยสวี่ทำให้สับสนจึงถามกลับอย่างงุนงง “แล้วถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะสมเหตุสมผลล่ะ”

เยี่ยสวี่มองไปทางเจียงเหม่ยซีก่อนจะเอ่ยออกมา “งั้นผมจะฝืนใจจูบเธอก็แล้วกัน”

มู่ตี๋ได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็สูดลมเย็นๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง ลู่สืออวี่และลินดามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

คนอื่นๆ ลืมกันไปนานแล้วว่าแม็กกี้อยู่ในฐานะอะไร ทั้งยังลืมข่าวลือเกี่ยวกับเสือสองตัวของโยวจี้ไปแล้วด้วยเช่นกัน หลังจากความเงียบที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ ก็ตามมาด้วยระเบิดเสียงเฮฮาดังทะลุฟ้าในยามค่ำคืน…ทุกคนต่างรู้สึกภูมิใจที่มีคนแบบนี้ในหมู่พวกเขา

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทุกคน เยี่ยสวี่เดินเข้าไปหาเจียงเหม่ยซี

เจียงเหม่ยซีนึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะวกโยงเข้าหาตัวเองทันใด

เธอมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟังเสียงหัวใจของตนเองที่เต้นราวกับรัวกลอง คำว่า ‘นายกล้า’ ที่ไม่มีความดุดันเลยแม้แต่นิดกำลังจะหลุดออกจากปาก ทว่ามันกลับถูกกลบท่ามกลางเสียงหวีดแหลมของทุกคน และในขณะเดียวกันนี้เองภาพตรงหน้าของเธอก็มืดลง…เขาจูบลงมาจริงๆ

เขาถึงกับจูบเธอจริงๆ!

นี่ไม่ใช่การจูบแบบแตะกันแป๊บเดียวเพราะจำใจ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ ในที่สุดจูบอันดูดดื่มและยาวนานของเขาก็สิ้นสุดลง

เจียงเหม่ยซีเงยหน้ามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยลมหายใจขาดห้วงและความรู้สึกที่เหลือเชื่อ “นายบ้าไปแล้วหรือไง”

ทว่านอกจากเยี่ยสวี่แล้วก็ไม่มีใครได้ยินว่าเธอกำลังพูดอะไร

ขณะที่ทุกคนยังหวีดร้องกันไม่จบไม่สิ้น เยี่ยสวี่ก็กลับไปประจำที่แล้ว

ลินดาแตะแขนของเจียงเหม่ยซี “รู้สึกยังไงบ้าง”

เจียงเหม่ยซีตอบอีกฝ่ายด้วยการกระทำ…เธอเช็ดปากอย่างเกรี้ยวกราด “จะซัดเขาให้คว่ำเลย!”

ลินดาหัวเราะพรืด “เธอน่ะ นิสัยขี้โมโหนี่ควรลดๆ ลงหน่อย ถูกคนเรียกว่าแม่เสือบ่อยๆ ก็ไม่น่าฟังเลย แต่ฉันว่านะ…เด็กคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว!”

เจียงเหม่ยซีมองเจ้านายอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดอะไรน่ะ!”

ลินดายิ้มแล้วกดเสียงให้เบาลง “ฉันคิดมาตลอดว่าเธอกับเควินจะเข้ากันได้ แล้วก็คิดมาตลอดว่าอยากจะจับคู่พวกเธอ แต่พวกเธอสองคนน่ะ คนหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียยิ่งกว่าอีกคน…ตอนนี้เบื้องบนมีความตั้งใจว่าจะเลื่อนขั้นหนึ่งในพวกเธอสองคนให้ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ พอฉันได้ยินเรื่องนี้ก็รู้เลยว่าความพยายามหลายปีมาของฉันเปล่าประโยชน์ซะแล้ว! เพราะงั้นมีตัวเลือกใหม่ก็ไม่เลว”

เจียงเหม่ยซีเอ่ยอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าคุณมีความคิดนี้”

ลินดาหัวเราะพลางพูด “พูดจริงนะ เด็กคนนั้นน่ะไม่เลวทีเดียว รูปร่างหน้าตาน่าดึงดูดกว่าเควิน เขากล้าจูบเธอต่อหน้าคนขนาดนี้แสดงว่าไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ”

เจียงเหม่ยซีมองไปทางอื่นด้วยความว้าวุ่นในใจ “ก็แค่เด็กน้อยเท่านั้น จะเป็นไปได้ยังไง”

จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับลินดาว่า “ฉันจะไปห้องน้ำสักหน่อย”

ลินดาผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ ถือโอกาสเติมหน้าหน่อยนะ”

เหตุการณ์ไคลแมกซ์ที่เยี่ยสวี่บังคับจูบเจียงเหม่ยซีเมื่อครู่ทำเอาทุกคนไม่มีอารมณ์ที่จะเล่นเกมต่อ เพราะเมื่อเทียบกัน รอบหลังๆ ก็คงไม่มีเรื่องที่ตื่นเต้นไปกว่านี้อีกแล้ว

ดังนั้นก็เลยต่างฝ่ายต่างดื่มเบียร์ พูดคุย อวยพรกันและกัน

ลู่สืออวี่ยกแก้วเบียร์และเปลี่ยนที่นั่งกับเยี่ยสวี่ มู่ตี๋เห็นเขานั่งลงมาเธอก็รีบยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นมา แล้วเรียกชื่อเควินอย่างระมัดระวัง

ลู่สืออวี่ชนแก้วกับเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทว่าคำถามที่ถามออกมากลับไม่อ่อนโยนเท่าไหร่นัก “คุณกับแม็กกี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน คุณรู้วันเกิดเธอด้วย”

มู่ตี๋นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบปฏิเสธ “ฉันกับแม็กกี้จะมีความสัมพันธ์อะไรกันได้ล่ะคะ ตัวเลขนั้นฉันเดาไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ นะคะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่สืออวี่ไม่เปลี่ยน “เธอบอกคุณว่าห้ามบอกความสัมพันธ์ของพวกคุณโดยเฉพาะกับผมใช่ไหม กลัวอะไรล่ะ ผมกับแม็กกี้เป็นเพื่อนเก่ากัน คุณรู้ไหม ญาติสนิทมิตรสหายของเธอก็คือญาติสนิทมิตรสหายของผม”

มู่ตี๋นึกถึงข่าวลือที่คนภายนอกบอกว่าเขาคือพยัคฆ์หน้ายิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เธอยังไม่เคยได้สัมผัสกับคำนี้กับตัว แต่ตอนนี้เธอคิดแค่ว่าอยากจะยกสองมือสองเท้ามากดไลค์ว่าเห็นด้วย

“ฉันเดามั่วๆ จริงๆ…”

เยี่ยสวี่ที่นั่งฟังอยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ ก็อดยกมุมปากไม่ได้ ตอนนั้นเองโทรศัพท์ที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด เขาหยิบออกมาเปิดดู เป็นข้อความข้อความหนึ่ง

 

ฉันอยู่ที่ริมทะเลสาบ ให้เวลาห้านาที มาพบฉัน!’

 

เยี่ยสวี่เงยหน้ามองไปทางริมน้ำ นอกจากม่านราตรีอันมืดมิดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย

“แปดสองศูนย์คือใครเหรอ มีคนชื่อนี้ด้วย?”

ไม่รู้ว่าลู่สืออวี่เข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นเนื้อหาในข้อความไปมากน้อยแค่ไหน

เยี่ยสวี่เก็บโทรศัพท์มือถืออย่างไม่เร่งรีบและบอกเขาว่า “เพิ่งจะดื่มเบียร์ไปนิดหน่อยเลยรู้สึกมึนๆ ผมจะออกไปสูดอากาศหน่อย”

ลู่สืออวี่ตบบ่าเขาอย่างมีนัยลึกซึ้ง “มึนก็ถูกแล้ว ไปเถอะ!”

เยี่ยสวี่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังริมทะเลสาบ

หลังเดินห่างออกมาจากกลุ่มคน เยี่ยสวี่ก็นึกถึงคำถามเมื่อครู่ของลู่สืออวี่ขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเสียงเยือกเย็นอย่างอดไม่ได้ เบอร์โทรนั้นถูกบันทึกเก็บไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าโยวจี้แล้ว ส่วนทำไมถึงบันทึกชื่อเป็นแปดสองศูนย์ก็คงต้องถามเจ้าของเบอร์แล้วล่ะว่า…แปดร้อยยี่สิบหยวนถ้วน เธอตั้งราคาเขาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน

 

ทะเลสาบชานเมืองที่ดูไม่ได้โอ่อ่าและไม่ได้กว้างใหญ่ในตอนกลางวัน เวลานี้กลับถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางราตรีอันไร้สิ้นสุดทำให้ดูลึกลับและอ้างว้างขึ้นมาไม่น้อย

เจียงเหม่ยซีรอเขาตรงริมทะเลสาบอยู่นานถึงเพิ่งจะได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง เมื่อเทียบกับความกระวนกระวายใจของเธอในตอนนี้แล้ว จังหวะก้าวเดินของเขามั่นคงและสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

เธอหันกลับไปมองเห็นเงาร่างสูงผอมเดินออกมาจากความมืดอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงที่ที่ห่างออกไปจากเธอประมาณสองเมตร

ปฏิกิริยาแรกของเจียงเหม่ยซีคือมองไปที่ข้างหลังของชายหนุ่ม เธออยากจะเช็กให้แน่ใจว่าเขาถูกคนอื่นพบเข้าหรือเปล่า

เยี่ยสวี่เหมือนจะมองออกถึงความกังวลของเธอจึงยิ้มอย่างหยอกเย้าและเอ่ยว่า “สบายใจได้ เดินไปข้างหน้าอีกสองสามกิโลเมตรก็ไม่ใช่ปักกิ่งแล้วเหรอ คนพวกนั้นตามมาไม่ถึงที่นี่หรอกครับ”

เจียงเหม่ยซีพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นถึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

เธอมองเยี่ยสวี่อย่างโกรธเกรี้ยว “เมื่อกี้นายหมายความว่ายังไง”

เยี่ยสวี่ซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ก็แค่เกมเท่านั้น”

“เกม? กติกาของเกมไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!”

เยี่ยสวี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงยังไงสำหรับพวกเราสองคนนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เทียบกับพนักงานหญิงที่ผมไม่รู้จักคนนั้นแล้ว ผมเลือกคุณ มีอะไรที่เข้าใจยากเหรอครับ คุณคงไม่คิดว่าผมอยากจะจูบคุณเป็นพิเศษหรอกนะ?”

เธอรู้ว่าเขาไม่มีทางคิดแค่นั้นแน่ ในความคิดของเธอ ทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่การแก้แค้นแบบเด็กๆ ของเยี่ยสวี่เท่านั้น

เจียงเหม่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ตกลงว่านายต้องการอะไรกันแน่”

“คำพูดนี้ควรเป็นผมถามคุณมากกว่า เรียกผมมาด้วยเรื่องอะไรกันแน่”

“ฉันจะเตือนนายว่าคิดในสิ่งที่นายควรคิด ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นยังไง ตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์เป็นเจ้านายกับลูกน้อง นายรู้หรือเปล่าว่าคำพูดของคนมันน่ากลัว เข้าใจไหมว่าควรระวังการกระทำและคำพูดของนายทุกครั้ง แล้วเหตุการณ์ที่เหมือนกับเมื่อกี้ต่อไปก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก!”

“งั้นเหรอครับ” เยี่ยสวี่หัวเราะ “ถ้ารู้ว่าคำพูดของคนมันน่ากลัวจริงๆ ก็ไม่ควรนัดลูกน้องผู้ชายมาเจอตามลำพังในสถานที่ที่ไม่มีคนแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือเปล่าครับ”

เจียงเหม่ยซีถูกทำให้สะอึกจนพูดไม่ออกสักประโยค

เยี่ยสวี่ผงกศีรษะ “นั่นน่ะสิครับ คำพูดคนมันน่ากลัว งั้นถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

พูดจบเยี่ยสวี่ก็หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่มา ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุด

“อ้อ ใช่แล้ว…” เขาหันกลับมามองเจียงเหม่ยซี จู่ๆ ก็ลูบริมฝีปากล่างของตัวเอง “ไม่มีใครบอกคุณเหรอครับว่าลิปสติกสีนี้น่ะไม่เหมาะกับคุณเลย”

พูดจบก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในม่านราตรีอันมืดมิด

เธอใกล้จะบ้าตายอยู่แล้ว ตอนเที่ยงคิดจะขู่เขา ผลกลับถูกเขาขู่ซะเอง เมื่อกี้เรียกเขาออกมาตั้งใจว่าจะสั่งสอนเขาสักสองสามประโยค ผลก็กลับถูกเขาแกล้งเล่นอีกแล้ว

เจียงเหม่ยซีโตมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยรู้สึกอัดอั้นตันใจขนาดนี้มาก่อนเลย! โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ลูกหมาป่าที่เพิ่งออกจากรังแบบนี้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะต้องทำให้เขาไปจากโยวจี้ให้ได้!

 

ชีวิตเกือบสามสิบปีมานี้ของเจียงเหม่ยซีความจริงแล้วค่อนข้าง ‘มีสีสัน’ ทีเดียว ตอนเธออายุสี่ห้าขวบ จู่ๆ พ่อก็หอบเอาของมีค่าทั้งบ้านหายไปอย่างกะทันหัน ทิ้งเธอและพี่สาวไว้กับแม่ที่ไม่ได้ทำงาน ตอนอายุยี่สิบกว่า จู่ๆ แฟนหนุ่มที่คุยๆ ไว้ว่าจะแต่งงานกันบอกเลิกเธอกะทันหัน เจียงเหม่ยซีที่รอคอยว่าจะได้แต่งงานกลับกลายเป็นคนโสดในชั่วข้ามคืน อยู่ในบริษัทมาหลายปี เธอก็เปลี่ยนตัวเองจากคนขี้ขลาดในที่ทำงานกลายมาเป็นแม่มดอย่างที่ทุกคนเรียกกัน

เจียงเหม่ยซีเคยขลาดกลัว แต่นับวันก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากเธอกลัวความยากลำบาก ความยากลำบากนั้นก็จะกลั่นแกล้งเธอ หากไม่กลัวปัญหา ปัญหาก็จะเบี่ยงทางไปเอง

สู้กับฟ้า สู้กับดิน มีความสุขอันยาวนานไม่สิ้นสุด ถ้อยคำประโยคนี้สะท้อนอยู่บนตัวของเจียงเหม่ยซีอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

แต่ตอนนี้ตรงหน้าเจียงเหม่ยซีมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วบนนั้นก็ยังคงมีเพียงเลขหนึ่งปรากฏอยู่ตัวเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย

เธอจำเป็นจะต้องวางแผนไล่เด็กบ้านั่นอย่างละเอียด กลิ่นคาวเลือดของการต่อสู้ครั้งนี้เข้มข้นมาก แต่เจียงเหม่ยซีที่ชอบการต่อสู้กลับผิดแปลกไปจากปกติ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงเลือดร้อนพลุ่งพล่านเท่านั้น กลับกันเธอยังรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก…

หลังจากศึกษากฎหมายแรงงานกับกฎและข้อบังคับของบริษัทอย่างละเอียดแล้ว เจียงเหม่ยซีจึงค้นพบว่าสิ่งที่ตนเองสามารถใช้ได้มีเพียงสิทธิ์ประเมินผลใน ‘การประชุมลับ’ ช่วงปลายปีซึ่งมีปีละครั้งเท่านั้น

การประชุมลับมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อพนักงานของโยวจี้ทุกคน เพราะนี่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพนักงานจะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นหรือไม่

‘ถูกเลิกจ้าง’ ที่เจียงเหม่ยซียกมาพูดถึงตอนบรรยายไม่ใช่แค่คำพูดข่มขวัญให้หวาดกลัว เพราะพนักงานส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนปรารถนาว่าจะได้อยู่ที่โยวจี้ ยกเว้นนอกเสียจากว่าตัวเองเลื่อนขั้นไม่ได้ หากพนักงานในรุ่นเดียวกันกลายเป็นหัวหน้าของตน ทั้งยังสามารถชี้นิ้วสั่งได้ คนส่วนใหญ่ไม่มีทางยอมรับการตกเป็นเบี้ยล่างพรรค์นี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน

ผู้ที่จะมีส่วนร่วมในการให้คะแนนรวมรอบสุดท้ายของพนักงานได้นั้น นอกจากเหล่าผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมแล้ว สิทธิ์อำนาจในคำพูดของหัวหน้าพนักงานคนนั้นๆ ก็มีน้ำหนักมากเช่นกัน

ดังนั้นสิ่งที่เจียงเหม่ยซีจะต้องทำในขั้นต่อไปก็คือพยายามเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ของเยี่ยสวี่ให้ได้ แต่การจะเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ของเขาได้ เธอก็จำเป็นจะต้องพาเขาไปทำงานด้วยในทุกๆ โปรเจ็กต์ นอกจากนี้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าคนอื่น เธอยังต้องลดเวลาไม่ให้เขาไปคลุกคลีกับพนักงานคนอื่นๆ นานเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนั่นก็หมายความว่าเธอต้องจะหอบหิ้วเขาไว้กับตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้!

เดิมทีสถานะพิเศษนี้เธอวางแผนว่าจะเก็บไว้ใช้กับมู่ตี๋ แต่ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และเธอก็ได้แต่ต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้กับเด็กนั่น

พอดีกับที่ลินดาเพิ่งมาคุยถึงโปรเจ็กต์ IPO มันโปรเจ็กต์ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ปกติแล้วไม่ต้องให้คนระดับผู้อำนวยการมาพาทีมไปด้วยตัวเอง อีกทั้งคุณสมบัติของบริษัทก็ไม่ได้นับว่าดีมากนัก แต่ผู้บริหารของบริษัทนี้เป็นคนที่คนรู้จักของลินดาแนะนำมา ลินดาเคยกำชับเอาไว้เป็นพิเศษว่า ‘ให้เจียงเหม่ยซีรับช่วงต่อด้วยตัวเองจะดีที่สุด เธอถึงจะวางใจ’ ทีแรกเจียงเหม่ยซียังลังเลอยู่นิดหน่อยเพราะงานในมือของเธอยังมีอยู่เยอะมาก แต่ตอนนี้มีเยี่ยสวี่ที่เป็นคล้ายระเบิดเวลาเพิ่มมาอีกคน เธอจึงตัดสินใจว่าจะมาทำโปรเจ็กต์นี้ด้วยตัวเอง

ตอนแรกหลังจากยืนยันเรื่องนี้ไปแล้วเธอก็แจ้งให้เลขาฯ หลินจยาทำการจองช่วงเวลาสามเดือนหลังทั้งหมดของเยี่ยสวี่ไว้ให้เรียบร้อย

พนักงานใหม่เข้ามาในบริษัทและรับโปรเจ็กต์นั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่ตอนที่เจียงเหม่ยซีบังเอิญได้ยินพนักงานคนอื่นๆ คุยเรื่องนี้กันที่ห้องน้ำเธอถึงได้ตระหนักว่าตัวเองประเมินความสามารถในการจินตนาการของผู้คนต่ำไปอีกแล้ว

พนักงานหญิงเอพูดจาอย่างใหญ่โต “ฉันได้ยินพนักงานของฝ่ายฝึกอบรมบอกว่าดูเหมือนหนุ่มหล่อที่มาใหม่คนนั้นจะไม่รู้จักดูสถานการณ์ คิดแต่จะหาที่พึ่งพิง ผลคือรนหาที่ตายไปพึ่งแม็กกี้ ทั้งยังนัดเธอไปเจอที่ห้องว่างๆ ด้วย”

พนักงานหญิงบีเออออผสมโรงไปด้วย “แรงขนาดนั้นเชียว! แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“คนคนนี้เป็นเจ้านายแบบไหนเธอก็รู้ ไม่ใช่แค่ไม่มีความเป็นผู้หญิงนะ แต่ยังไม่มีความเป็นมนุษย์ด้วย! หนุ่มหล่อคนนั้นน่ะถูกทำร้ายด้วยล่ะ ว่ากันว่าเขาสารภาพความในใจกับเธอ เธอก็สาดน้ำใส่หน้าเขาโดยไม่พูดไม่จาเลย สาดจริงๆ นะ! แล้วยังบอกอีกว่า ‘อย่าคิดว่าคุณเข้ามาในบริษัทแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ถ้าให้ฉันรู้ว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอหรือประพฤติตัวไม่เหมาะสมอีก ฉันสามารถทำให้คุณออกไปจากบริษัทนี้ได้!’ ”

“ว้าว เป็นแม็กกี้อย่างที่คิดจริงๆ มีสง่าราศี ที่ว่าไม่เข้าใจมุกจีบหญิงก็เป็นเรื่องจริง…”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ เธอไม่เคยเห็นว่าหนุ่มหล่อคนนั้นเป็นยังไงน่ะสิ ถ้าคนที่เขาชอบเป็นฉันล่ะก็ ฉันรับรองว่าจะตอบรับเขาทันทีเลย!”

พนักงานบีหัวเราะ “เธอนี่บ้าผู้ชายอีกแล้ว! อ้อใช่ หลังจากนั้นล่ะเป็นยังไง”

“หลังจากนั้นลินดาไปก็เลี้ยงข้าวพนักงานใหม่กลุ่มนี้น่ะสิ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เล่นเกมกัน หนุ่มหล่อคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ ด้วยนะ ตอนนั้นตามกติกาของเกมคือเขาจะต้องจูบกับพนักงานหญิงอีกคน แต่คงอยากจะแก้แค้น เขาก็เลยเป็นฝ่ายบอกลินดาเองว่าจะจูบแม็กกี้!”

พนักงานบีร้องเสียงแหลม “จริงเหรอ!”

“จริงแท้แน่นอน ตอนนี้รู้กันหมดทั้งบริษัทแล้ว”

“งั้นโปรเจ็กต์ IPO นั่นน่ะ ที่แม็กกี้จิ้มชื่อว่าจะพาหนุ่มหล่อคนนั้นไป…ความจริงแล้วเพื่อรอโอกาสเชือดเขางั้นเหรอ”

เจียงเหม่ยซีจัดระเบียบเสื้อผ้า เสียงกริ๊กดังขึ้น เธอเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องน้ำมาหยุดหน้าอ่างล้างมืออย่างไม่รีบไม่ร้อน เจียงเหม่ยซีเปิดก๊อกน้ำและเริ่มล้างมืออย่างเอื่อยเฉื่อย

เธอล้างไปพลางกวาดมองพนักงานสองคนนั้นจากในกระจกไปพลาง “ฉันจะเชือดใครนะ”

“แม็กกี้! จริงๆ พวกเราก็ได้ยินมาจาก…ที่ฝ่ายฝึกอบรมลือกันมาน่ะค่ะ…”

“ใช่ๆๆ!”

พนักงานหญิงสองคนนั้นพอเห็นว่าตัวละครหลักในหัวข้อสนทนาอยู่ที่นี่ด้วยก็ตกใจจนสติเตลิดแล้ว ทั้งคู่ละล่ำละลักกล่าวขอโทษแล้วชิ่งหนีไป

หลังจากพวกเธอทั้งคู่ออกไป ห้องน้ำก็เงียบลงอีกครั้ง ตอนนั้นเองเจียงเหม่ยซีถึงได้รู้ตัวว่าเวลาฝึกอบรมหนึ่งเดือนสิ้นสุดลงแล้ว และเยี่ยสวี่ก็ได้เข้าบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอกลับเป็นภาพเหตุการณ์ที่เขาจูบเธอต่อหน้าทุกคนในวันนั้น ตอนที่พวกเราพบกันเป็นครั้งแรก รวมไปถึงตอนที่เธอประคองใบหน้าของเขา แววตาของเขาที่มองมาที่เธอ…

เจียงเหม่ยซีรู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับกำลังเต้นตุบๆ เธออดยื่นมือไปกดเอาไว้ไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจนวัยนี้แล้วยังจะต้องมาเจอกับเรื่องใหญ่แบบนี้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.พ. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 20

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: