X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพใหญ่ผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 5

ห้าวันให้หลัง หิมะยังคงตกหนักเป็นพักๆ

ซินลู่พาผู้เฒ่าหนวดเคราขาวโพลนผู้หนึ่งเข้ามาในจวนผู้บัญชาการ เขาก็คืออาจารย์คนใหม่ที่ก่อนหน้านี้นางได้ไปเชิญมาสอนซื่อจื่อหลี่เยี่ยนนั่นเอง

ระหว่างก้าวไปตามเฉลียงทางเดินจะเห็นผู้คนทำงานมือเป็นระวิงอยู่ในจวน บ่าวไพร่กำลังปลูกต้นไม้ดอกไม้ใหม่ในสวน ปัดกวาดห้องหับ ใต้ชายคาเฉลียงทางเดินนั่นพวกสาวใช้กำลังช่วยกันแขวนมู่ลี่บังลม ข้ารับใช้ล้วนเดินไปเดินมาระหว่างทำงานในหน้าที่ของตน ไม่มีใครอยู่เฉยแม้แต่คนเดียว

ไม่นานนักก็เดินเข้ามาในเรือนศึกษาที่จัดเตรียมไว้ทางฝั่งตะวันตกของจวน

ชายชราผู้นี้เป็นผู้ถือสันโดษที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกองบัญชาการฮั่นไห่ เป็นพหูสูตผู้มีความรู้กว้างขวาง กระนั้นเมื่อได้เห็นว่าในเรือนพรักพร้อมไปด้วยกระดาษจากลั่วหยาง หมึกจากฮุยโจว ที่ทับกระดาษซึ่งทำจากหินไท่หู ชั้นดี ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนคัดสรรมาอย่างประณีต ก็ยังอดลูบเครานึกชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้

สมแล้วที่เป็นจวนผู้บัญชาการของขุนศึกฝ่ายเหนือ

ผู้สูงวัยเอ่ยถามอย่างไม่คิดอะไรมาก “ในเทียบคารวะลงนามชิงหลิวเซี่ยนจู่ แต่เหตุใดถึงให้เข้ามาสอนในจวนผู้บัญชาการแห่งนี้กันเล่า”

ซินลู่สังเกตเห็นประกายชื่นชมในดวงตาอีกฝ่ายได้แต่แรก จึงตอบกลับไปยิ้มๆ “เวลานี้จวนผู้บัญชาการแห่งนี้อยู่ในการดูแลของเซี่ยนจู่”

หาไม่…มีหรือที่นี่จะเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตาภายในชั่วเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน

ต้องอย่างนี้ล่ะถึงค่อยสมศักดิ์ศรีจวนผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพพิทักษ์อุดรหน่อย

ความเก่งกาจที่เจ้านายแสดงให้ประจักษ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาทำให้บ่าวไพร่ในจวนเลื่อมใสไปตามๆ กัน ซินลู่คิดแล้วให้ภูมิใจอยู่นิดๆ

 

หลี่เยี่ยนเริ่มศึกษาวิชาแล้ว

พอไม่มีหลานชายคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ หลี่ชีฉือก็มีเวลาว่างมากขึ้น เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำบัญชีรายจ่ายในจวนพอดี

สำหรับนางแล้ว การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

ชิวซวงถือโถกำยานเข้ามาให้ เห็นบัญชีที่นายหญิงจดบันทึกลงไปอย่างคล่องแคล่วว่องไวมีแต่รายจ่ายทั้งสิ้น ไม่มีรายรับแม้แต่รายการเดียว ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ใครจะไปคิดว่าสิ่งแรกที่นายหญิงทำเมื่อมาถึงที่นี่คือจ่ายเงิน”

หลี่ชีฉือเองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีนางนึกว่ากองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรที่คุมกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือจะมั่งคั่งมั่นคงที่สุดทางเหนือ ใครเลยจะล่วงรู้ว่าไส้ในเป็นเยี่ยงนี้ นางเอ่ยตอบยิ้มๆ “เงินทองหามาไว้ใช้จ่าย หากไม่ใช้ข้ายังต้องหาไปไยกันเล่า”

เวลานี้ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป อีกอย่างนางก็พาคนเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยมากมาย ตกแต่งให้น่าอยู่ขึ้น ตนเองก็พลอยสบายด้วยไม่ใช่หรือ

ชิวซวงกลอกตาไปมา ความคิดไพล่ไปอีกทางเมื่อได้ยินดังนั้น…จริงสินะ หากท่านผู้บัญชาการนั่นกลับมาเห็นเข้าคงต้องซึ้งใจจนน้ำตาไหล ทีนี้ก็จะปกป้องดูแลและให้เกียรตินายหญิงเป็นอย่างดี ต่อให้เสียเงินไปมากกว่านี้ก็คุ้ม

เสร็จงานได้ไม่ทันไร หลี่เยี่ยนก็กลับมา วันนี้เพียงแค่คารวะอาจารย์เท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มร่ำเรียนจริงจัง

ซินลู่เดินตามหลังเขาเข้ามาด้วย ยิ้มกว้างรายงานนายหญิง “ท่านอาจารย์ชมว่าซื่อจื่อหน่วยก้านดี ไม่เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านั้น เป็นเด็กมีแววที่ควรค่าแก่การสั่งสอนขัดเกลาเจ้าค่ะ”

ดวงหน้าเล็กๆ ของหลี่เยี่ยนแดงก่ำเพราะเขินอายที่ถูกชม ขณะเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ผู้เป็นอา

หลี่ชีฉือยกมือขึ้นลูบหัวหลานชาย “เช่นนั้นก็มิเสียแรงที่อาพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ ตั้งใจศึกษาร่ำเรียนวิชาให้ดี ภายภาคหน้าคนที่เคยดูถูกเจ้าจะได้สู้เจ้าไม่ได้สักคน”

ยงอ๋องซื่อจื่อกับสมัครพรรคพวกลอยเข้ามาในความคิดทันที หลี่เยี่ยนกะพริบตาปริบๆ มองนาง “ที่แท้ท่านอาก็ตั้งใจไว้เช่นนี้เองหรือขอรับ”

“แน่นอนสิ อย่าลืมเสียล่ะว่าเจ้ายังต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์กวงอ๋อง”

บัดนี้หลี่เยี่ยนตระหนักแล้วว่าผู้เป็นอาลำบากลำบนทุ่มเทให้ตนเพียงไร พอนึกถึงบิดาผู้จากโลกนี้ไปทั้งที่ยังหนุ่มแน่น เด็กชายก็แสบร้อนในโพรงจมูก ผละจากอ้อมกอดนางยืดตัวยืนตรง “หลานน้อมรับโอวาท จะกลับเรือนเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“กลับไปด้วยเหตุใด”

“ทบทวนตำรา”

หลี่ชีฉือหัวเราะขัน “อะไรของเจ้า บทจะทำก็ทำปุบปับเชียวนะ”

หลี่เยี่ยนเขินอายหนักกว่าเดิม ก่อนจะหมุนตัววิ่งเหยาะๆ ออกไป

รอยยิ้มบนใบหน้างามของหลี่ชีฉือเหือดหายไปทันที เมื่อนึกถึงพี่ชาย ความทรงจำเก่าๆ ก็โถมถั่งเข้ามาในความคิด ถึงอย่างไรนางก็อดจะปวดใจไม่ได้

ลาจากแดนละมุนอย่างกวงโจวมาอยู่ทางเหนือที่มีแต่ลมหนาวพัดกระโชกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากพี่ชายที่อยู่ในปรโลกรู้เข้าจะมองว่านางทำถูกหรือไม่

ซินลู่เห็นผู้เป็นนายหน้าหมอง ใต้ตาดำคล้ำ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายวุ่นวายกับงานต่างๆ ในจวนจนพักผ่อนไม่พอ ดังนั้นจึงเดินไปแหวกม่านที่เพิ่งแขวนไว้หน้าตั่งพลางว่า “นายหญิงนอนพักสักงีบเถิดเจ้าค่ะ ตั้งแต่ออกเดินทางจนเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ ท่านยังไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย”

หลี่ชีฉือพยักหน้า แต่ตอนลุกเดินไปที่ตั่งยังไม่วายกวักมือเรียกชิวซวง “หยิบบัญชีเล่มที่เพิ่งส่งมาถึงเมื่อครู่มาให้ทีซิ หากนอนไม่หลับข้าจะได้เปิดดู”

ชิวซวงเปิดกล่องไม้หาบัญชีพลางสัพยอก “นายหญิงต้องดูว่าตนเองหาเงินมาใส่บัญชีเพิ่มได้อีกเท่าไรถึงจะมีความสุข”

นางเลิกคิ้ว “ถูกเผงเลย”

สาวใช้คนสนิททั้งสองหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เสียงหัวเราะของพวกนางทำให้หลี่ชีฉือพลอยเบิกบานตามไปด้วย นางไม่ใช่คนที่จะจมปลักกับความเศร้าเสียใจอยู่แล้ว

 

ข้ารับใช้พากันออกไป ถ่านไฟที่จุดไว้เผาไหม้ลุกโชน แผ่ไอร้อนให้อุ่นสบายไปทั้งห้อง

หลี่ชีฉือนอนอ่านบัญชีบนตั่งได้ค่อนเล่มก็เริ่มง่วง จึงพลิกตัวนอนตะแคง เอาสมุดบัญชีซุกไว้ใต้หมอนแล้วหลับตาลง

ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในช่วงใกล้เคลิ้มหลับ…จนป่านนี้ชายผู้นั้นก็ยังไม่กลับจวน

จากนั้นนางก็จมสู่ห้วงนิทรา

ใบหูแว่วเสียงกริ๊กแกร๊กเบาๆ คล้ายเสียงปลดตะขอโลหะ ไม่รู้ว่าดังอยู่ในความฝันหรือความเป็นจริง

ตามมาด้วยเสียงหนักทึบเหมือนอะไรบางอย่างล้มลง

หลี่ชีฉือเผยอเปลือกตาขึ้น คิดกับตนเองอย่างงัวเงียว่าถ้าไม่ซินลู่ก็คงชิวซวง ไม่รู้ว่ามือเท้าหนักกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ทันใดนั้นนางก็เบิกตาโพลง ด้วยนึกได้ว่าข้ารับใช้รอบตัวไม่มีทางแสดงกิริยาเช่นนี้แม้แต่คนเดียว

นางเอื้อมมือไปแหวกม่าน ค่อยๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นอย่างแช่มช้า พื้นห้องเพิ่งปูพรมขนสัตว์จากซีอวี้ใหม่ๆ แม้เดินเปลือยเท้าก็ไม่หนาวเย็น

นางลุกลงจากตั่งมาเยื้องย่างเบากริบ เดินไปได้สามสี่ก้าวก็เห็นคราบน้ำอยู่บนพื้น

เนตรงามไล่มองตามคราบน้ำที่เปียกเป็นหย่อมๆ จนถึงเข็มขัดเส้นเท่านิ้วมือที่พาดอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยุดลงที่เตียงนอน

พื้นหน้าเตียงก็เปียกน้ำเป็นแอ่งเช่นกัน

หลี่ชีฉือเดินลงปลายเท้าเข้าไปใกล้ แล้วเห็นร่างที่นอนอยู่บนเตียงเป็นอันดับแรก รองเท้าหุ้มแข้งแบบชาวหู ยังไม่ถูกถอดออก หิมะที่เกาะตามรองเท้าละลายเป็นน้ำ ไหลหยดลงบนพื้นห้อง

เมื่อไล่สายตาขึ้นไปข้างบน นางก็เห็นหน้าเขา

ปรากฏว่าอยู่ๆ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นในจังหวะนั้น หลี่ชีฉือสะดุ้งวาบ รีบหันหลังเดินออกไปโดยไม่รู้ตัว

คนข้างหลังลุกพรวดขึ้นนั่งพร้อมเอื้อมมือมารั้งเอวนางกลับไป ใช้มืออีกข้างปิดปากบางไว้

“อย่าร้อง” เสียงทุ้มพร่าดังขึ้นข้างหูเบาๆ “ข้าเอง”

หลี่ชีฉือเซล้มลงไปนั่งข้างหน้าเขา ปลายนิ้วแตะถูกกระบี่ที่อีกฝ่ายพกติดตัว เป็นเล่มเดียวกับที่นางเห็นวันนั้น

มือบุรุษที่ปิดปากนางไว้สากกร้าน แผ่ไอเย็นที่ได้มาจากลมหิมะข้างนอก

นางไม่ได้จะร้อง เพราะเดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเขา

คนที่จะเข้ามาถึงเรือนชั้นในได้ นอกจากบุรุษผู้เป็นเจ้าของจวนแล้วย่อมไม่มีใครอื่น

หญิงสาวใช้นิ้วเกี่ยวหลังมือเขาเบาๆ

มือใหญ่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผละออก

หลี่ชีฉือยกมือขึ้นแตะกลีบปากที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่โดยไม่หันไปมองเขา หัวใจยังเต้นแรงมาจนบัดนี้จากความตกใจเมื่อครู่ นางพยายามตั้งสติครุ่นคิดว่าเวลาสามีภรรยาได้พบหน้ากันอีกครั้งเช่นนี้ ควรจะพูดอะไรเป็นประโยคแรกดี

“นายหญิง!” ประตูพลันถูกเปิดออกพร้อมกับซินลู่ที่ก้าวเข้ามา แต่พอเห็นภาพที่เกิดขึ้นในห้องก็ชะงัก ตั้งตัวได้อย่างว่องไว แล้วรีบก้มหน้าเดินกลับออกไปทันที

ผู้เป็นนายของนางนั่งอยู่บนเตียง ถูกใครคนหนึ่งสวมกอดไว้จากข้างหลัง แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าเป็นใคร

เสียงของหลัวเสี่ยวอี้ดังขึ้นหน้าห้อง “ข้าผิดเองๆ ต้องโทษข้าที่ทำตัวทะเล่อทะล่าจนพี่สาวทุกท่านตื่นตกใจ”

หลี่ชีฉือได้ยินเสียงคนอยู่ข้างนอกก็ลุกจากเตียง ยกมือลูบผมตรงข้างขมับให้เข้าที่ แล้วร้องเรียกซินลู่

สาวใช้ประจำตัวเปิดเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินก้มหน้าไปยกเก้าอี้ขาไขว้มาวาง สวมเสื้อคลุมกันลมให้แล้วประคองนางนั่งลง ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามากระซิบอธิบายต้นสายปลายเหตุตรงริมหู

ที่แท้เป็นเพราะเมื่อครู่ชิวซวงเดินผ่านห้องหนึ่ง พบว่าประตูห้องเปิดทิ้งไว้จึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นหลัวเสี่ยวอี้นอนแผ่หลาไม่กระดุกกระดิกอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าหลับหรือหมดสติกันแน่ จึงแตกตื่นกันยกใหญ่

ซินลู่รีบร้อนนำความมารายงานหลี่ชีฉือ ไม่นึกว่าห้องนี้ก็มีคนเช่นกัน…

หลี่ชีฉือเพิ่งจะหันกลับไปมองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงอีกครั้งก็ตอนนี้

ฝูถิงเองก็กำลังมองนางอยู่ เขาสวมเครื่องแบบทหารเนื้อหนาสองชั้น แบะปกเสื้อแบบชาวหู เสื้อตัวในที่ควรกระชับแนบร่างที่สุดเวลานี้คลายหลวมๆ อยู่บนตัวเพราะเข็มขัดถูกปลดออก ให้บรรยากาศปล่อยตัวสบายๆ

ขนาดนั่งอยู่ตรงนั้น หลี่ชีฉือยังรับรู้ถึงความสูงใหญ่กำยำของเขาได้

นางหลุบตาลง เพียงครู่เดียวก็ช้อนตาขึ้นมาใหม่

เขายังคงจ้องมองนางเขม็ง ความอ่อนเพลียสะท้อนอยู่ในแววตา

เรื่องราวในอดีตพลันวาบเข้ามากระทบความคิดเมื่อเห็นหน้าเขา

ก่อนจะตบแต่งกัน กวงอ๋องเคยแอบส่งคนมาแดนเหนือเพื่อสืบดูว่าผู้บัญชาการของกองทัพพิทักษ์อุดรรูปร่างหน้าตาอย่างไร

สายสืบกลับมารายงานว่าแม้ท่านผู้บัญชาการจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ทว่าหล่อเหลาองอาจกว่าพวกชนชั้นสูงมากนัก

ตอนนั้นนางถามพี่ชายว่า ‘ท่านจะต้องสืบเรื่องเช่นนี้ไปไยกัน เขาเป็นคู่สมรสพระราชทาน ต่อให้หน้าตาขี้ริ้ว ท่านจะขอยกเลิกการแต่งงานได้หรือ’

พี่ชายตอบว่า ‘สืบให้รู้จะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย พวกหน้าตาอัปลักษณ์จะคู่ควรกับรูปโฉมเจ้าได้อย่างไร’

ความคิดล่องลอยไปไกล กว่านางจะได้สติกลับมา เสียงของหลัวเสี่ยวอี้ที่ได้ยินก็ดังอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว

“รบกวนพี่สะใภ้เซี่ยนจู่แล้วจริงๆ ข้าน้อยเพิ่งติดตามท่านผู้บัญชาการกลับมาที่จวน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวันจึงอ่อนเพลียจนทนไม่ไหว เดินเข้าห้องได้ก็หลับเป็นตาย โปรดอย่าได้ถือโทษความรุ่มร่ามของข้าเลย”

หลี่ชีฉือรู้ว่าที่ผ่านมาจวนแห่งนี้ไม่มีคนอยู่ หลัวเสี่ยวอี้คงจะทำตัวตามสบายจนชิน จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ “ไม่เป็นไร”

“พี่สะใภ้คนดีช่างใจกว้างเหลือเกิน!” นายทหารหนุ่มป้อยออย่างปากหวาน ก่อนจะอุทานด้วยความตกใจเมื่อยื่นหน้าเข้าไปข้างในได้ครึ่งหนึ่ง “พี่สาม ห้องท่านอุ่นถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนี่”

ฝูถิงได้ยินคนสนิทพูดดังนั้นถึงเพิ่งรู้สึก

เขาเร่งติดตามไล่ล่าสายลับทูเจวี๋ยอยู่หลายวันจนไปถึงชายแดน หากไม่เพราะม้าเหนื่อยตายไปตัวจนไล่ตามต่อไม่ไหวจริงๆ แล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าป่านนี้ก็คงยังอยู่ข้างนอก

พอกลับเข้าห้องก็หลับสนิท เพิ่งสังเกตเอาตอนนี้เองว่าห้องนอนอุ่นสบายราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ มิน่าเล่าเมื่อครู่ถึงได้หลับทันทีที่หัวถึงหมอน

ดวงตาคมค่อยๆ กวาดมองภายในห้องทีละนิด

ตอนตื่นนอนใหม่ๆ ยังคิดว่าห้องนี้แปลกไปเพียงเพราะมีสตรีเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง แต่เท่าที่ดูเห็นจะไม่ใช่แค่นั้น

กระดาษปิดหน้าต่างเป็นของใหม่ ตามมุมห้องมีฐานโคมไฟ ภาพเขียนบนฉากบังตาก็ถูกวาดใหม่ มีข้าวของเครื่องใช้ขนาดต่างๆ เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าอย่าง เช่น กระถางไฟ โถกำยาน ม่านแพรเนื้อบาง ล้วนแต่เป็นของที่เมื่อก่อนไม่มีทั้งสิ้น

เมื่อมองดูจนทั่ว สายตาก็ไปหยุดอยู่บนพรมปูพื้น แล้วไล่มองขึ้นไปตามร่างหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้น

ชายเสื้อคลุมกระเพื่อมนิดๆ เพราะหลี่ชีฉือหดเท้าเปลือยของตนเข้าไปใต้อาภรณ์ เขาจึงมองเห็นเพียงความขาวผ่องแวบผ่านนัยน์ตาไปไวๆ

“เจ้าจัดการหรือ” เขาเอ่ยถาม

หลี่ชีฉือปรายตามองไปทางประตูแวบหนึ่ง หลัวเสี่ยวอี้ยื่นหน้าเข้ามาในห้อง ท่าทางจะติดใจสงสัยข้อนี้มากเช่นกัน นางจึงพยักหน้าตอบ “เจ้าค่ะ”

หากไม่ใช่นางจัดการ จะยังมีคนอื่นอีกหรือไร

ฝูถิงจ้องมองนาง คิ้วดกหนาขมวดมุ่น เพียงครู่เดียวก็คลายออก

กระนั้นหลี่ชีฉือก็ยังมองเห็น แล้วคิดกับตนเองว่าหรือเขาจะไม่สบอารมณ์ที่นางถือวิสาสะวุ่นวายตามใจชอบ

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลัวเสี่ยวอี้ดังเข้าหู

หลัวเสี่ยวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูพูดขึ้นทันทีอย่างรู้ใจ “พี่สะใภ้เซี่ยนจู่จ่ายไปเท่าไรให้สาวใช้มาบอกข้า ท่านผู้บัญชาการจะได้คืนเงินให้ถูกขอรับ”

ความจริงแล้วที่พูดนี่เสียดายใจแทบขาด พวกสตรีสูงศักดิ์ช่างฟุ้งเฟ้อแท้ๆ เพิ่งจะมาถึงก็ใช้เงินราวกับหว่านเล่น

พี่สามของเขายังบาดเจ็บอยู่ พูดจาไม่สะดวก เลยให้เขาพูดแทน แต่ปากพูดออกไปสบายๆ อย่างนั้น ถึงเวลาจริงจะเอาเงินที่ใดมาให้กัน

แม้เขาจะคิดเช่นนี้ แต่กระถางไฟในห้องก็อุ่นสบายดีจริงๆ ไม่ได้สัมผัสไออุ่นท่ามกลางสภาพอากาศหนาวจัดของที่นี่มาหลายปีดีดักแล้ว

หลัวเสี่ยวอี้ขยับเข้าไปข้างในอีกนิดโดยไม่รู้ตัว

จากนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆ ก็ดึงดูดความสนใจให้ต้องเหลือบมอง

หลี่ชีฉือนั่นเอง นางหัวเราะเบานิดเดียวเพราะกลั้นไม่อยู่จริงๆ ไม่คิดเลยว่าชายผู้นี้จะมีศักดิ์ศรีในตนเองสูงลิ่ว “แต่ก่อนพอถึงเทศกาลทีไรท่านมักจะส่งของไปที่กวงโจวไม่ขาด ทั้งที่จวนผู้บัญชาการก็อยู่ในสภาพนี้ ถือว่าข้ามอบของตอบแทนท่านบ้างจะเป็นไรไป”

ส่วนหนึ่งของถ้อยคำเหล่านี้เอ่ยเอื้อนออกมาจากใจจริง ความขุ่นเคืองที่มีอยู่แต่เดิมพลอยสลายหายไปไม่น้อยเมื่อคิดถึงข้อนี้

ฝูถิงไม่เอ่ยอะไร แต่กลับเหลือบตามองไปทางประตู

หลัวเสี่ยวอี้ทำตาหลุกหลิกลุกลน

ฝูถิงจำไม่ได้ว่าตนเองเคยส่งของไปที่กวงโจวด้วย หากเดาไม่ผิด จะต้องเป็นฝีมือหลัวเสี่ยวอี้แน่

นับตั้งแต่แต่งงานมา ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทมักคะยั้นคะยอให้เขาไปกวงโจวอยู่บ่อยครั้ง จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงภิกษุทั้งที่มีภรรยาแล้ว

คนใกล้ชิดที่คอยใส่ใจเรื่องส่วนตัวของเขา นอกจากจอมจุ้นจ้านตรงหน้า เขาก็นึกไม่ออกว่ายังมีใครได้อีก

หลี่ชีฉือสังเกตเห็นสายตาที่ทั้งคู่มองกันก็พอจะเข้าใจได้เลาๆ

นางเหลือบมองฝูถิงแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ซินลู่ ทำกระถางไฟไปวางไว้ในห้องขุนพลหลัวด้วย พวกเราออกไปกันก่อนเถิด จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านผู้บัญชาการกับท่านขุนพล”

ซินลู่รับคำว่า ‘เจ้าค่ะ’ แล้วประคองผู้เป็นนายเดินกลับไปนั่งที่ตั่งยาว เอาตัวบังไว้ขณะสวมรองเท้าถุงเท้าให้นางเงียบๆ

หลัวเสี่ยวอี้ที่อยู่ตรงประตูปวดใจด้วยความเสียดายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยิน

จุดกระถางไฟเพิ่มก็เท่ากับต้องจ่ายเงินเพิ่ม

หากไม่เพราะเวลานี้ห้องนอนของพี่สามมีเจ้าของเพิ่มขึ้นอีกคน เขาอยากโพล่งออกไปเหลือเกินว่าขออาศัยนอนห้องนี้ด้วยก็ได้ จะต้องเปลืองเงินเปลืองทองโดยใช่เหตุไปไย

ส่วนฝูถิงไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

เขาเห็นหลี่ชีฉือสวมถุงเท้ารองเท้าอยู่วอมแวมเพราะมีสาวใช้บังไว้ จากนั้นนางก็ลุกเดินออกจากห้องในสภาพแต่งกายเรียบร้อย มีเพียงปอยผมข้างหูที่ยุ่งไปเล็กน้อยด้วยฝีมือเขาเมื่อครู่

ชายหนุ่มรวบนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน ปลายนิ้วยังจดจำสัมผัสจากริมฝีปากนางได้ถนัดถนี่

จากนั้นคำที่หลัวเสี่ยวอี้เคยพูดไว้ก็ดังขึ้นในมโนนึก… ‘ดูนุ่มละมุนไปหมดราวกับว่าทั้งเนื้อทั้งตัวทำจากน้ำก็มิปาน’

หลี่ชีฉือเดินออกจากห้อง

หลัวเสี่ยวอี้หลบไปยืนแอบข้างๆ เพื่อเปิดทางให้

ปลายเท้าของนางหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณท่านขุนพลมากที่เมื่อก่อนยอมสิ้นเปลืองส่งของขวัญมาให้หลายครั้งหลายครา”

ไหนๆ นางก็รู้แล้ว หลัวเสี่ยวอี้จึงตอบผ่านรอยยิ้มแห้งๆ โดยไม่ปิดบัง “โปรดอย่าได้เกรงใจ ข้าส่งไปให้แทนท่านผู้บัญชาการต่างหาก ของขวัญเหล่านั้นเป็นความรู้สึกที่ท่านผู้บัญชาการมีต่อท่าน”

หลี่ชีฉือพยักหน้ายิ้มๆ แล้วออกเดินต่อ จวบจนเดินเลี้ยวไปตามโค้งเฉลียง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหาย

ตอนที่ซินลู่เหลือบมองไปอีกครั้ง ก็พบว่าเรียวปากผู้เป็นนายขยับเบาๆ

“ฝูถิง…” นางเอ่ยชื่อชายผู้นั้นพลางใช้นิ้วแตะปอยผมข้างใบหู หัวใจขุ่นหมองอย่างยากจะบรรยาย

ที่แท้ข้าก็ทึกทักไปเอง

บทที่ 6

เมื่อเห็นว่าหลี่ชีฉือเดินจากไปไกลแล้ว หลัวเสี่ยวอี้ก็ผลุบเข้าไปในห้องทันที

ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากกระถางไฟผิงร่างให้อุ่นสบายไปทั้งตัว ทว่าเขาไม่มีอารมณ์จะดื่มด่ำ รีบปรี่เข้าไปตรงหน้าเตียงแล้วถามเบาๆ “พี่สาม ท่านใจป้ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ข้าสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าทุกอย่างในจวนเปลี่ยนไปผิดหูผิดตา นางใช้เงินไปเพียงนี้ เราจะจ่ายคืนให้อย่างไรไหว”

ฝูถิงไม่ตอบ กลับเป็นฝ่ายถามว่า “เจ้าเอาเงินกองทัพซื้อของขวัญส่งไปให้นางหรือ”

คนสนิทเถียง “เงินกองทัพที่ใด นั่นมันเงินภาษีที่ท่านควรได้ต่างหาก แต่ท่านดันยกให้เป็นเงินกองทัพหมด ข้าเจียดไว้ให้ท่านใช้จ่ายในบ้านบ้างจะเป็นไรเชียว”

คำตอบเช่นนี้เลอะเทอะสิ้นดีในความคิดของฝูถิง หากกองทัพไร้งบไว้ป้องกันข้าศึกภายนอก แม้แต่ชีวิตก็จะสิ้นสูญ นับประสาอะไรกับเรื่องในบ้าน

เขานั่งเงียบอยู่พักใหญ่ ก้อนจะล้วงตราประทับในอกเสื้อออกมาโยนให้อีกฝ่าย

หลัวเสี่ยวอี้รับไว้ด้วยสองมือ แล้วเบิกตาโตเป็นลูกกระพรวน เพราะเข้าใจเจตนาเขาได้โดยไม่ต้องรอฟังคำอธิบาย “พี่สามจะให้เอาเงินส่วนตัวแต่เดิมที่ใส่ไว้ในกองทัพไปให้นางอย่างนั้นหรือ”

ฝูถิงย้อน “ภรรยาข้า ไม่ใช้เงินข้าจะใช้เงินใคร”

หลัวเสี่ยวอี้ใช้ความคิดอย่างหนัก พี่สามของเขาไม่มีนิสัยชอบสะสมเงินทอง ที่ยังเก็บเงินก้อนนี้มาตลอดโดยไม่นำออกมาใช้จ่าย จะต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง

เสียงของซินลู่ดังขึ้นข้างนอกในจังหวะนั้น บอกว่าจุดกระถางไฟไปวางไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว ให้เขาเข้าไปพักผ่อนได้

ฝูถิงไล่ “ไปเถิด”

หลัวเสี่ยวอี้กัดฟันพลางคิดกับตนเองในใจ ถึงอย่างไรก็ต้องเสียเงินอยู่แล้วทั้งที ต้องเข้าไปนอนผิงไฟให้อุ่น จะได้ถอนทุนคืนได้บ้าง!

พอคิดแล้วเขาก็หมุนตัวออกไปโดยไม่รอช้า

ซินลู่ที่อยู่ข้างนอกปิดประตูห้องให้อย่างใส่ใจ

ฝูถิงโยนกระบี่ที่วางอยู่ข้างตัวลงบนพื้น ถอดรองเท้าหุ้มแข้งแบบทหารออกแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

ฟูกนอนก็เปลี่ยนใหม่เช่นกัน สัมผัสใต้ร่างนุ่มสบายจากขนแกะที่ยัดไว้เป็นชั้นหนา

กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมาจากหมอนหนุน เขาใช้นิ้วคีบเส้นผมบางยาวขึ้นมาเส้นหนึ่ง

ที่เพิ่มขึ้นมา…คือกลิ่นอายสตรี

คราวนี้ฝูถิงหลับยาวจนฟ้ามืด

ที่ตื่นก็เพราะในห้องร้อนเกินไป

ฝูถิงลืมตาลุกขึ้นมานั่ง ร้อนจนเหงื่อซึมเลยทีเดียว

เขาลงจากเตียงเดินไปที่โต๊ะ เห็นชุดน้ำชาประณีตงดงามวางอยู่บนนั้น

เพิ่งจะยกกาน้ำบนเตาที่ไม่ได้จุดไฟมาแหงนหน้าเทน้ำเย็นๆ กรอกปาก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

สาวใช้สองคนเดินก้มหน้าเข้ามาย่อตัวคำนับ “ท่านผู้บัญชาการตื่นแล้ว พวกบ่าวเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านผู้บัญชาการอาบตามคำสั่งของนายหญิงแล้วเจ้าค่ะ”

พูดจบซินลู่ก็เดินไปหยิบโคมไฟ ส่วนชิวซวงไปกางฉากบังตา

จากนั้นโคมสิบกว่าดวงก็ถูกจุดขึ้นในห้องจนสว่างไสวราวกับกลางวัน เมื่อเทน้ำร้อนใส่ถังอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็เดินกลับออกไป

พวกนางเข้ามาทันทีที่เขาลงจากเตียง บ่งบอกว่ายืนรออยู่แต่แรก

เขามองไปทางเก้าอี้ขาไขว้พลางใช้ลิ้นเลียฟันที่ถูกน้ำเย็นชโลมเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้ภรรยาของเขานั่งตัวตรงสง่าอยู่บนนั้น

หญิงเชื้อพระวงศ์คงมีกิริยาไร้ที่ติเช่นนี้หมดทุกคนกระมัง

ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าก้าวลงน้ำ ข้างถังมีถาดทองบรรจุเม็ดสบู่จำนวนหลายสิบ แต่ละลูกกลมเกลี้ยง ขาวพิสุทธิ์ราวกับหิมะ ส่งกลิ่นหอมรวยรื่นแตะจมูก

ของเช่นนี้พวกเชื้อพระวงศ์ในฉางอันกับลั่วหยางชอบใช้กันนักหนา เขาอยู่แต่ในกองทัพมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยใช้มาก่อน

เม็ดสบู่คุณภาพดีแบบที่อยู่ตรงหน้านี้คิดราคาเป็นลูก แต่ละลูกแพงระยับราวกับยัดทองคำไว้ข้างใน บางทีแม้แต่ในวังหลวงยังได้ใช้กันแค่ไม่กี่ครั้ง

หลี่ชีฉือ…ฟุ้งเฟ้อกรีดกรายกว่าที่เขาคิดไว้

 

ตอนที่หลัวเสี่ยวอี้มาหาอีกครั้ง ฝูถิงก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พวกบ่าวไพร่เพิ่งจัดห้องเสร็จใหม่ๆ

“พี่สาม ที่นี่หรูหราสุขสบายราวกับอยู่บนสวรรค์อย่างนั้นล่ะ ข้าชักไม่อยากไปแล้วสิ”

หลัวเสี่ยวอี้นอนหลับเต็มอิ่มก็อาบน้ำแล้วเช่นกัน แต่ผิดกับฝูถิงตรงที่เห็นได้ชัดว่าประโคมใช้เม็ดสบู่ไปไม่น้อย เพราะยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้กลิ่นหอมฉุยมาแต่ไกล

ซินลู่กับชิวซวงเดินเข้ามาพอดี ได้ยินดังนั้นก็กลั้นยิ้มไว้ในหน้า

พวกนางเข้ามาเชิญฝูถิงกินข้าว ในเมื่อหลัวเสี่ยวอี้อยู่ในห้องท่านผู้บัญชาการ จึงยกข้าวปลาอาหารเข้ามาที่นี่เลย

โต๊ะอาหารถูกยกเข้ามาตั้ง สองคนแยกกันนั่งคนละโต๊ะ

ฝูถิงสวมเสื้อคลุม นั่งขัดสมาธิเท้าแขนกับหัวเข่า ไม่มีใครกล้ามองท่านผู้บัญชาการในอิริยาบถนี้มากนัก

อาหารทยอยขึ้นโต๊ะจานแล้วจานเล่า หลัวเสี่ยวอี้เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

กล่าวกันว่าอาหารการกินนั้นสูงค่าที่ความวิจิตรเลิศรส มิใช่ที่ปริมาณ ตั้งแต่เป็นทหารมา เขายังไม่เคยกินของพวกนี้มาก่อน

บ่าวไพร่เหล่านั้นยังยืนรออยู่ข้างนอก ดูท่าเมื่อพวกเขากินอาหารบนโต๊ะหมดเมื่อไรก็คงจะยกของใหม่มาเพิ่มให้อีก

นึกว่าเท่าที่เห็นตอนแรกหรูหรามากแล้ว มาเจออาหารตรงหน้าถึงได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงของหายากที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น

หลัวเสี่ยวอี้ชะโงกตัวเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างอดรนทนไม่ไหว “พี่สาม ถ้าอย่างไรข้าไปเตือนให้พี่สะใภ้มัธยัสถ์หน่อยดีหรือไม่”

“อย่าพูดมาก” ฝูถิงตอบกลับพลางหยิบตะเกียบ ความหมายคือ ‘จะกินก็กิน ไม่กินก็ไสหัวไป’

หลัวเสี่ยวอี้ยกมือลูบหน้า พี่สามของเขาเป็นชายชาติอาชาไนยผู้สมบุกสมบัน ส่วนชิงหลิวเซี่ยนจู่นั่นเป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้เคยชินกับความหรูหราฟุ้งเฟ้อ แล้วเช่นนี้จะร่วมชีวิตกันได้อย่างไร

อาหารมื้อนั้นผ่านไปด้วยความกลัดกลุ้ม หลัวเสี่ยวอี้เอ่ยลาเพราะมารบกวนเจ้าบ้านมากพอแล้ว

เพิ่งจะเดินออกจากห้องก็ฝืนทำเป็นยิ้มทะเล้นพูดหยอกล้อว่า “วันนี้พี่สามเสียเงินไปอักโข ต้องถอนทุนคืนจากพี่สะใภ้ให้มาก ข้าไม่อยู่ขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของพวกท่านสองสามีภรรยาแล้วล่ะ”

ฝูถิงไม่สนใจคนสนิท ในหัวมีแต่ภาพปลายนิ้วเท้าขาวผ่องที่เห็นแค่ไวๆ ภาพนั้น

หลัวเสี่ยวอี้เห็นนัยน์ตาอีกฝ่ายเป็นสีเข้มลึกใต้แสงตะเกียงราวกับหมาป่า ก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

แต่ตอนกำลังจะเลี้ยวไปตามโค้งเฉลียงทางเดิน เขาก็ปะเข้ากับชิวซวงที่มาแจ้งว่า “นายหญิงเชิญท่านขุนพลไปคุยกันหน่อย”

ความคิดของหลัวเสี่ยวอี้แล่นไปอีกทาง

เห็นทีจะคุยเรื่องเงินกระมัง อย่าบอกนะว่านางร้อนใจอยากได้เงินคืนเร็วๆ

 

หลี่ชีฉืออยู่ที่เรือนหลี่เยี่ยน

นางใช้เวลาระหว่างที่ฝูถิงนอนหลับจนถึงกินข้าวมานั่งคัดอักษรเป็นเพื่อนหลานชายอยู่นาน จนได้ยินสาวใช้รายงานว่าเชิญคนที่ต้องการพบมาแล้ว ถึงค่อยหยุดมือ

หลี่เยี่ยนนำสมุดคัดลายมือสองเล่มไปเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พอเหลือบตาขึ้นมาเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องเป็นใครก็เบ้ปาก แล้วเข้าไปยืนข้างผู้เป็นอาโดยไม่ส่งเสียง

หลัวเสี่ยวอี้เห็นว่าซื่อจื่อที่ตนเคยล่วงเกินอยู่ในห้องด้วยก็ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะประสานมือคำนับ “ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้เซี่ยนจู่มีสิ่งใดจะบัญชาถึงได้ให้คนไปตามข้าน้อยมา”

หลี่ชีฉือนั่งอยู่ในเงามืด มองเห็นหน้าไม่ถนัด นางเพียงแค่ยกมือทีเดียว จากนั้นซินลู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ประคองกล่องไม้ใบหนึ่งมามอบให้เขา

หลัวเสี่ยวอี้รับมาเปิดดูด้วยความสงสัย สิ่งที่อยู่ข้างในคือมีดสั้นสองคม ปลอกทำจากทองคำแท้ หยิบขึ้นมาถือแล้วหนักอึ้งอยู่ในมือ

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังขา “นี่คือ?”

หลี่ชีฉือเอ่ย “ตอบแทนที่เมื่อก่อนเจ้าสิ้นเปลืองส่งของขวัญไปให้หลายครั้ง”

หลัวเสี่ยวอี้ใจหายวาบ ถ้าจะทำตามที่พี่สามบอก พวกเขาก็ต้องจ่ายค่ามีดสั้นนี่ด้วย แล้วเขาจะต้องรับของของพี่สามให้สิ้นเปลืองไปไย

หลัวเสี่ยวอี้กำลังจะหาข้ออ้างปฏิเสธก็ได้ยินนางพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ข้าเรียกเจ้ามานี่ก็เพื่อจะบอกกล่าวกันให้เข้าใจ ที่ท่านผู้บัญชาการพูดว่าจะแบกรับค่าใช้จ่ายของข้านั้น เจ้าไม่ต้องทำตามหรอก อย่างไรเขากับข้าก็เป็นสามีภรรยากัน ใช้เงินแค่นี้จะมาคอยคิดเล็กคิดน้อยเป็นคนอื่นคนไกลไปด้วยเหตุใด”

หลัวเสี่ยวอี้ชะงัก ด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะใจกว้างและเข้าอกเข้าใจผู้อื่นถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ไม่รับอย่างเดียว ยังเป็นฝ่ายให้เสียเอง

เขาลองหยั่งเชิง “แต่เงินก้อนนี้ไม่ใช่น้อยๆ นะขอรับ”

คำตอบของหลี่ชีฉือกลั้วเสียงหัวเราะไว้ด้วย “วางใจเถิด สมัยอยู่ตำหนักกวงอ๋องข้าก็ดูแลบ้านเรือนมาหลายปี หากใช้เงินมือเติบไม่คะน่ำคะเน ป่านนี้คงไม่มีข้ากับกวงอ๋องซื่อจื่อที่เจ้าเห็นแล้ว”

หลัวเสี่ยวอี้ฟังดังนั้นก็เข้าใจ นางหมายความว่านางจ่ายไหว

สวรรค์ พี่สามของข้าได้สตรีแบบใดมาเป็นภรรยากันนี่ หรือว่าสตรีเชื้อพระวงศ์จะร่ำรวยและใจป้ำเช่นนี้กันทุกคน

เวลานี้ดึกมากแล้ว หากพูดคุยกับบุรุษที่ไม่ใช่คนในบ้านนานเกินไปจะไม่งาม หลี่ชีฉือจึงปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาคิดฟุ้งซ่านได้ไม่เท่าไร ก็วกเข้าจุดประสงค์ที่เรียกเขามาพบ “ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าที่นี่เป็นถึงจวนผู้บัญชาการแห่งกองทัพพิทักษ์อุดร เหตุใดถึงอยู่ในสภาพเช่นปัจจุบันได้”

เสียเงินนั้นเรื่องเล็ก สิ่งที่นางต้องการคือความกระจ่าง

เท่าที่นางรู้ กองทัพพิทักษ์ดินแดนสำคัญๆ ไม่ต้องส่งสินบรรณาการแก่ราชสำนัก สามารถนำเงินภาษีที่เก็บได้ไปใช้ทำนุบำรุงกองทัพอย่างเต็มที่ หากไม่มีสาเหตุก็ไม่ควรตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

หลัวเสี่ยวอี้ถือกล่องไม้ใบนั้นด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างลูบตราประจำตัวในอกเสื้อที่ได้มาจากฝูถิง หะแรกยังกลัวว่าพูดไปแล้วจะเสียหน้า แต่คิดอีกที ผ่านไปนานเข้ากระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด บอกนางอย่างตรงไปตรงมาตอนนี้เลยดีกว่า

ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นหลังจากถอนหายใจเฮือก “พี่สะใภ้เซี่ยนจู่ไม่รู้อะไร อันที่จริงแต่ก่อนไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกขอรับ…”

แดนเหนือกินอาณาเขตกว้างขวาง เต็มไปด้วยชนเผ่ากลุ่มต่างๆ ในอดีตการเก็บภาษีไม่เคยเป็นปัญหา

น่าเสียดายที่เมื่อหลายปีก่อนเกิดโรคระบาดครั้งสำคัญ แพะวัวล้มตายไปนับหมื่น ไร่นาอันกว้างใหญ่ก็ไม่ได้ผลผลิตเลยแม้แต่เมล็ดเดียว

เก็บภาษีไม่ได้ติดต่อกันหลายปี ซ้ำร้ายพวกทูเจวี๋ยยังฉวยโอกาสนี้บุกรุกชายแดน

ทำศึกก็เหมือนเผาเงิน ออกรบได้ศึกสองศึก เงินในคลังก็หมดเกลี้ยง

ขับไล่ข้าศึกออกไปได้แล้วยังต้องคอยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพเพื่อเตรียมรับมือกับศึกสงครามทุกปี เป็นเช่นนี้นานเข้าย่อมชักหน้าไม่ถึงหลัง

หากชนชั้นสูงมาเป็นผู้บัญชาการอยู่ที่นี่ก็ยังพอมีวงศ์ตระกูลช่วยเหลือ แต่พี่สามของเขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นด้วยสองมือ ใครเล่าจะมาช่วย

หลี่เยี่ยนกำแขนเสื้อผู้เป็นอาแน่นโดยไม่รู้ตัวด้วยตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง

หลี่ชีฉือดึงมือหลานชายมาจับไว้ พร้อมถามว่า “ราชสำนักไม่มาดูแลบ้างหรือ”

หลัวเสี่ยวอี้หัวเราะสองทีอย่างอ่อนใจ “ราชสำนักเคยมาดูแลอยู่หรอกขอรับ แต่ก็แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นกองทัพพิทักษ์ดินแดนอื่นๆ ก็แย่งกันโอดครวญว่าตนเองยากจนบ้าง ทั้งแผ่นดินมีกองทัพพิทักษ์ดินแดนสำคัญๆ หกกองทัพ ช่วยไปช่วยมา ฮ่องเต้เองยังต้องส่ายหน้า มิหนำซ้ำกองทัพพิทักษ์อุดรเรายังมีกำลังทหารแข็งแกร่งเสียด้วย…”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าเป็นเชื้อพระวงศ์ เขาก็รีบยั้งปากตนเองไว้เพียงเท่านั้น แล้วใช้นิ้วชี้เการ่องใต้จมูก

หลี่ชีฉือเข้าใจแล้ว แต่ก่อนราชสำนักพยายามสนับสนุนขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากสามัญชน มาบัดนี้เมื่อขุนนางเหล่านั้นเริ่มปีกกล้าขาแข็ง จากที่เคยสนับสนุนก็กลายเป็นระแวงระวัง

ฮ่องเต้ต้องการเก็บฝูถิงไว้ใช้สอย ในขณะเดียวกันก็คอยระวังเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสมรสพระราชทานของเขาและนาง

“ขอบใจท่านขุนพลที่เล่าให้ฟัง” นางค้อมศีรษะน้อยๆ แล้วสั่งให้ซินลู่ส่งแขก

หลัวเสี่ยวอี้เดินออกจากห้องแล้วก็นึกถึงมีดสั้นทองคำเล่มนั้นขึ้นมาได้ เขาพยายามจะคืนกลับไป แต่ทำอย่างไรซินลู่ก็ไม่รับ

กล่าวว่าเมื่อผู้เป็นนายของนางยกอะไรให้ใครแล้ว ไม่มีเสียล่ะที่จะเอาคืน

ความหมายแฝงคือเงินที่จ่ายไปกับพี่สามของเขาก็ไม่เอาคืนเหมือนกันใช่หรือไม่

หลัวเสี่ยวอี้เดินไปเรื่อยๆ พลางหวนคิดถึงสิ่งที่ตนเองพูดเมื่อครู่ เขาพยายามใช้วาจาให้น่าฟังที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าเซี่ยนจู่ผู้งามละมุนผู้นั้นฟังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

จะทอดทิ้งพี่สามแล้วหันหลังกลับกวงโจวหรือไม่นะ

 

“ท่านอาคิดเช่นไรขอรับ”

ภายในห้อง หลี่เยี่ยนเอ่ยออกมาเป็นคนแรก ขณะที่ใครต่อใครยังตกตะลึงไม่หายกับสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่

หลี่ชีฉือลุกเดินไปนั่งตรงจุดที่แสงโคมส่องสว่าง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นัก “จะคิดอย่างไรเล่า มาก็มาแล้ว จะสะบัดหน้าจากไปทั้งอย่างนี้หรือ”

หลานชายเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ว่าไปแล้วก็เป็นเหตุสุดวิสัย หากจากไปจริง จะกลายเป็นว่าพวกเราใจดำ”

นางกระเซ้า “อายุแค่นี้ช่างคิดจริงนะ”

เวลานี้ดึกมากแล้ว ซินลู่เดินเข้ามาเตือน

“ควรเข้านอนได้แล้วนะเจ้าคะ” สีหน้าของนางดูมีเลศนัยชอบกลยามพูดประโยคนั้น

ขนตาของหลี่ชีฉือไหวระริก ทาบเงาดำเป็นแพที่ใต้ตา

ความหมายนี่ก็คือ…ท่านผู้บัญชาการกำลังรออยู่?

นางใช้ปลายนิ้วแตะคางเบาๆ รู้สึกราวกับไอเย็นเฉียบจากกระบี่ของเขายังไม่จางหายไป

หากไม่นับเรื่องที่จำนางได้ น่ากลัวว่าชายผู้นั้นคงไม่เคยสนใจนางเลย

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาบอก “ไปเรียนท่านผู้บัญชาการให้ข้าที”

ซินลู่เอียงหูมาใกล้ๆ พอได้ฟังคำพูดของนางเท่านั้นก็มุ่นหัวคิ้ว มองผู้เป็นนายอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ยังไปปฏิบัติตามคำสั่ง

ฝูถิงยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง

อากาศในห้องร้อนเกินไปสำหรับเขา ครั้นจะดับกระถางไฟแล้วจุดใหม่ก็ยุ่งยากเกินไป เขาจึงเลือกที่จะเปิดหน้าต่างยืนรับลมหนาวสักครู่ มือถือสุรารสร้อนแรงที่เหลือครึ่งถุงจากเครื่องแบบทหาร

สุราสองอึกไหลลงคอ เนื้อตัวตากลมจนเย็นจัด ทว่าช่องท้องกลับร้อนดุจไฟแผดเผา

พอดื่มอึกที่สามก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากลิ่นสุราอวลอยู่ในลำคอ หากนางได้กลิ่นอาจจะไม่ชอบ จึงยกมือขึ้นเช็ดปากแล้วปิดฝาจุก

ความจริงเขาจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าหญิงบอบบางเช่นนั้นชอบไม่ชอบอะไรบ้าง

หากชอบชีวิตฟุ้งเฟ้อรุ่มรวย เขาในตอนนี้…ย่อมให้ไม่ได้

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เขาหันไปมอง แต่เห็นแค่เพียงสาวใช้ผู้หนึ่ง

ซินลู่ย่อตัวคำนับ “นายหญิงให้บ่าวมาขอขมาท่านผู้บัญชาการ ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้นางเสียขวัญ รู้สึกไม่ใคร่สบาย เวลานี้จึงนอนพักผ่อนในเรือนอื่นแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านผู้บัญชาการเข้านอนได้เลย”

ฝูถิงลูบถุงสุราในมือพลางเหยียดยิ้มตรงมุมปาก

ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะผิดปกติตรงที่ใด ขนาดถูกเขารั้งไว้แนบอกยังไม่ตื่นตกใจสักนิด อยู่ๆ ก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดคุ้ยเรื่องเก่า แสดงว่าจงใจจะเอาคืนเขาในเวลาเช่นนี้

“นางอยู่ที่ใด”

แต่เดิมซินลู่ก็ออกจะเกรงๆ แม่ทัพหนุ่มอยู่แล้ว พอได้ยินคำถามนั้นจึงผงะไป

ฝูถิงสั่งโดยไม่รอให้สาวใช้ตอบ “ไปเชิญนางมา”

ซินลู่รีบเดินออกไปทันที

 

ท่าทีเหล่านี้ของเขาอยู่ในการคาดเดาของหลี่ชีฉือ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเรียกนางไปพบ

หรือว่าต้องการจะปะทะกันซึ่งหน้า

นางปลอบโยนหลานชายที่มีท่าทางกังวล แล้วลุกเดินไปที่เรือนเขาอย่างแช่มช้า

เพิ่งจะมาถึงหน้าเรือนก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังออกมาจากข้างใน

นางเอามือรั้งชายกระโปรงก้าวเข้าไปในห้อง เห็นชายผู้นั้นสวมรองเท้าหุ้มแข้งแบบทหาร ถือกระบี่คู่ใจ ก้าวยาวๆ มาหา

พอมาถึงตัว เขาก็ชะงักเท้า ทอดตามองนาง

หลี่ชีฉือจำต้องแหงนหน้ามองตอบ

ปลายคางคมสันมีเหลี่ยมมุมชัดเจนราวกับแกะขึ้นด้วยดาบ

“เจ้านอนที่นี่” เขาโพล่งขึ้น หลังจากตรึงสายตาอยู่บนร่างนางชั่วอึดใจก็เดินออกไป

หลี่ชีฉือมองร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากห้องโดยมีซินลู่ตามไปด้วย

ไม่นานนักสาวใช้ประจำตัวก็ย้อนกลับมาบอกนางว่า “ท่านผู้บัญชาการไปนอนในห้องหนังสือแล้วเจ้าค่ะ”

“เขาเป็นใบ้หรือไรกันนะ…” หลี่ชีฉือพึมพำ

ซินลู่กระซิบกระซาบอยู่ข้างหู “ดูท่าท่านผู้บัญชาการจะเป็นคนพูดน้อย ก่อนหน้านี้ก็ให้ขุนพลหลัวพูดแทนจนเหมือนเป็นใบ้จริงๆ”

หลี่ชีฉือบีบนิ้วตนเองเบาๆ มองค้อนไปยังทิศทางที่เขาเดินจากไปพลางคิดในใจ บุรุษอะไรก็ไม่รู้ แค่พูดจาอ่อนหวานสักคำยังไม่ทำ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: