X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 7

ฮ่องเต้น้อยนิ่งเงียบ

มีหรือผู้เป็นอาจะดูไม่ออกว่าใจเจ้าตัวยังไม่ยอมรับเหตุผลนี้ จึงเอ่ยยิ้มๆ “ยังไม่ยอมจำนนอีก อยากพูดอะไรก็พูดมาได้เต็มที่เลย”

“ท่านบอกให้ข้าพูดเองนะ!” ซู่เจี่ยนเอ่ยงึมงำ “ข้าไม่เชื่อหรอก ทั้งต้าเว่ยมีเพียงเจียงจู่วั่งคนเดียวหรือไรที่รบเป็น เสด็จอาสามถึงต้องซื้อใจเขาด้วยวิธีนี้…”

“ถูกของเจ้า ต้าเว่ยสถาปนาแคว้นขึ้นได้จากการทำศึก ความจริงคนที่สามารถนำทัพออกรบมีมากประหนึ่งดาวบนฟ้าด้วยซ้ำ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่เสด็จปู่ของเจ้าประทานตำแหน่งขุนนาง ลำพังแค่ผู้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์กง ขั้นหนึ่งก็มีไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว ภายในเวลาเพียงสิบกว่าปี ทุกวันนี้ขุนนางผู้มีความดีความชอบในอดีตบ้างหลงระเริงอยู่กับความสุข บ้างกำลังวังชาถดถอย บ้างเย่อหยิ่งจองหอง ถือตัวว่าเคยสร้างคุณงามความดี ยากที่จะนำมาใช้งาน

เจี่ยนเอ๋อร์ หลายสิบปีมานี้ชาวเป่ยตี๋ตั้งตนเป็นราชันแห่งผู้กล้าเลียนแบบการตั้งแคว้นสถาปนาฮ่องเต้ของจงหยวน ซ้ำร้ายยังอ้างว่าวางกองทัพตรึงกำลังพลถึงหนึ่งร้อยหมื่นนายไว้ควบคุมกลุ่มดินแดนทางเหนือที่ถูกพวกมันชิงไป แม้จะฟังดูเกินจริงอยู่บ้าง แต่กำลังทหารของพวกมันก็แข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าองค์ชายในแคว้นก็ใช่จะกระจอก หนึ่งในนั้นมีนามว่าชื่อซู เก่งกาจสามารถเป็นพิเศษ ถึงขั้นทำให้ชาวฮั่นเสนอตัวรับใช้ได้ หลังจบศึกที่ราบชิงมู่คนผู้นี้ก็นั่งปกครองดินแดนแถบมณฑลเยียนโจวและซั่วโจว ครองบรรดาศักดิ์หนานอ๋อง หากคิดจะช่วงชิงดินแดนทางเหนือของต้าเว่ยคืนมา สงครามชี้ชะตาครั้งสุดท้ายจะถือเป็นศึกของแผ่นดิน บางทีอาจยากยิ่งกว่าศึกที่เสด็จปู่ของเจ้าทรงเคยผ่านมาในอดีตด้วยซ้ำ หากไม่ใช่แม่ทัพแกล้วกล้าไม่กลัวตายย่อมไม่อาจยกทัพออกรบขับไล่ศัตรูให้แตกพ่าย ผู้ที่จะมาคุมทัพต้องสามารถวางกลยุทธ์อย่างเฉียบคมและทำภารกิจอันยากเข็ญให้สำเร็จได้โดยง่าย เท่าที่พิจารณาทั้งราชสำนักในตอนนี้เห็นจะมีแค่เจียงจู่วั่งเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ในวันข้างหน้า”

ตอนแรกฮ่องเต้น้อยยังทำหน้าไม่ยอมแพ้ แต่ฟังไปเรื่อยๆ ก็จ้องมองผู้เป็นอาตาไม่กะพริบ

ซู่เซิ่นฮุยนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ยังมีอีกเรื่อง ตอนแรกไม่ทันได้พูดให้เจ้าฟัง ตั้งใจจะเล่าเร็วๆ นี้นี่ล่ะ ตอนเข้ามาเป็นทหารในกองทัพใหม่ๆ เจียงจู่วั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเกาอ๋อง เคยได้รับการสนับสนุนจากเขาให้เติบโตในหน้าที่การงาน ที่ผ่านมาเกาอ๋องหมายจะเก็บเจียงจู่วั่งไว้ใช้งานมาโดยตลอด นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้าใช้การสู่ขอครานี้ยั่วยุเขาจนอยู่เฉยไม่ไหว ไม่เพียงเท่านี้หลายเดือนก่อนเฉิงอ๋องยังลอบส่งคนไปพบเจียงจู่วั่งเป็นการลับอีกด้วย…”

ตรงมุมลิบๆ นั่นแมงมุมที่ตกจากรังกำลังไต่อยู่บนแท่นวางที่เป็นดั่งทะเลคัมภีร์ มันหาทางกลับขึ้นไปบนรังที่ชักใยถักทอขึ้นอย่างยากเย็น ทว่าสับสนไร้ทิศทาง หลังหมุนไปหมุนมาอยู่กับที่อย่างลนลานมันก็ไต่สะเปะสะปะไปยังหน้าต่างฉลุลายที่อยู่ใกล้ๆ

ฮ่องเต้น้อยอุทานด้วยความตกใจ “อะไรนะ! มีเรื่องเช่นนี้ด้วย หรือว่าเจียงจู่วั่งจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา?”

อ๋องผู้สำเร็จราชการส่ายหน้า “เจียงจู่วั่งคนนี้หัวเก่าและคิดอ่านรอบคอบ หลายปีที่ผ่านมาย่อมมองความเห่อเหิมทะเยอทะยานของเกาอ๋องออก คงกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อนไปด้วย เท่าที่ข้ารู้เขาไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อก่อนเลย ครานี้ทูตของเฉิงอ๋องเจรจาเรื่องใดกับเขาบ้างยังไม่กระจ่าง แต่คาดว่าคงไม่พ้นเตือนให้เขาระวังว่าผลงานจะโดดเด่นเกินเจ้าแผ่นดิน และหาทางดึงเขาเข้าเป็นพวก เจียงจู่วั่งน่าจะไม่ได้ตอบตกลง ทว่าก็ไม่ได้รายงานราชสำนักเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน เขาผ่านประสบการณ์มามาก กาลเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้เป็นไปไม่ได้ว่าจะอ่านเจตนาของคนเยี่ยงเกาอ๋องและเฉิงอ๋องไม่ออก”

ฮ่องเต้น้อยหัวฟัดหัวเหวี่ยง “แสดงว่าเขาก็เหมือนคนพวกนั้น คอยนั่งบนยอดกำแพงเพื่อสังเกตทางลม แล้วค่อยเลือกข้างอย่างนั้นสิ”

ซู่เซิ่นฮุยวิเคราะห์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงปิดบังเรื่องนี้กับราชสำนัก แต่ทางเราก็จำต้องป้องกันไว้ก่อน เหมือนอย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ในเวลาเช่นนี้การแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจที่ราชสำนักมีต่อเขาเป็นสิ่งจำเป็น นับแต่โบราณมาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นทางลัดที่ช่วยให้สองตระกูลแน่นแฟ้นเป็นทองแผ่นเดียวกัน หากราชวงศ์จะแสดงบุญคุณและความเชื่อใจต่อขุนนางก็ต้องใช้วิธีเช่นนี้ วันข้างหน้าเป็นอย่างไรค่อยพูดกันอีกที อย่างน้อยเวลานี้ข้าก็ใช้การสู่ขอแสดงไมตรีต่อเขา ขอเพียงเขาจงรักภักดีต่อราชสำนัก ทั้งราชสำนักและฝ่าบาทก็มีแต่จะฝากความหวังไว้กับเขา ไม่มีทางจะคิดร้ายไปได้ เพื่อแสดงออกว่าพวกเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เสด็จปู่ของเจ้าจึงทรงรับหน้าที่เสด็จไปเจรจาเรื่องแต่งงานให้ข้า ตอนไปเยี่ยมเยียนชายแดนในอดีตข้าเคยใช้เวลาอยู่กับเจียงจู่วั่งหลายวัน แม้ไม่นับว่านาน แต่ก็พอมองออกว่าเขาเป็นคนมีความคิดความอ่าน เชื่อว่าย่อมต้องเข้าใจจุดประสงค์ที่ข้าทำเช่นนี้ แล้วให้คำตอบอย่างที่ควรให้ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา”

“แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ หากปะเหมาะเคราะห์ร้ายเขามีใจโลเลเช่นเดียวกับคนพวกนั้น ซุ่มรอดูว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ…” เด็กหนุ่มหยุดพูดกลางคัน

ซู่เซิ่นฮุยยิ้มบางๆ “นี่คือเหตุผลที่เกาอ๋องต้องตาย ข้าตั้งใจตีป่าให้เสือตื่น ให้คนที่โลเลไม่เลือกข้างมานานได้ตระหนักว่ากลับตัวกลับใจตอนนี้ยังไม่สาย”

“เหตุใดต้องให้โอกาสคนโลเลเช่นนั้นด้วยเล่า ไฉนถึงไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดทิ้งเสียให้หมด ไม่ให้เป็นหนามยอกอกในภายหลัง!” ฮ่องเต้น้อยถามอย่างแค้นเคือง

“เจี่ยนเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ให้มั่น สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุดในโลกนี้คือใจคน วิถีแห่งคนซับซ้อนแพรวพราว ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องใด ทุกอย่างย่อมมีกฎเกณฑ์ของมันเสมอ ก่อนกระทำควรสอนสั่งอย่างมีคุณธรรม หลังกระทำควรตกรางวัลตามความชอบ ลงโทษตามความผิด เช่นนี้แล้วถึงจะสร้างความเป็นปึกแผ่น ปกครองผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เจ้าเคยอ่านคำกล่าวนี้กระมัง” เขามองฮ่องเต้น้อย

ซู่เจี่ยนตอบ “คำกล่าวในตำราจารีต”

ผู้เป็นอาพยักหน้า “ถูกต้อง ภายใต้ฮ่องเต้คนหนึ่งย่อมมีทั้งขุนนางที่จงรักภักดีจนยอมตายแทนได้และพวกโลเลไม่ตัดสินใจเลือกข้างอยู่เสมอ ฆ่าทิ้งไม่หวาดไม่ไหวหรอก แม้แต่ในสมัยของฮ่องเต้เซิ่งอู่ เจ้านึกว่าไม่มีหรือ พวกมันแค่กริ่งเกรงในพระเดชานุภาพจนไม่กล้าคิดเป็นอื่นเท่านั้นเอง ในฐานะฮ่องเต้สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือปรับตัวให้ชินกับการเมืองการปกครองพร้อมค่อยๆ สั่งสมบารมีสร้างความน่าเกรงขาม เมื่อวันหนึ่งอำนาจบารมีของเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าก็สามารถใช้ทั้งพระเดชและพระคุณเป็นแส้ควบคุมราชสำนักได้เต็มที่ ให้ทุกคนเป็นประโยชน์ต่อเจ้า รวมทั้งพวกคนที่เคยโลเลไม่จงรักภักดีต่อเจ้าด้วย

ที่ข้าสู่ขอบุตรสาวเจียงจู่วั่งในครานี้ นอกจากต้องการแสดงไมตรีต่อเขาแล้ว ยังมีจุดประสงค์อีกประการ ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเกาอ๋อง สมัยก่อนเคยติดต่อคบหากันไม่น้อย บัดนี้เกาอ๋องล้มลงแล้ว คาดว่าคงมีลูกตาไม่รู้กี่คู่แอบจับสังเกตเขาอยู่ พอเห็นว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่ประสบเคราะห์ ยังกลายเป็นแม่ทัพที่ราชสำนักให้ความสำคัญ ทำเช่นนี้เท่ากับส่งต่อเจตนาของราชสำนักไปให้ทุกคนได้รู้ว่าขอเพียงไม่ใช่ตัวการ และต่อไปยอมจงรักภักดีต่อราชสำนักก็สามารถลบล้างความผิดในอดีตได้ เจี่ยนเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

ฮ่องเต้น้อยกระจ่างแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว! เสด็จอาสาม ท่านถ่ายทอดความรู้ได้น่าติดตามกว่าราชครูติงมากนัก! ข้าฟังเขาสอนทีไรเป็นต้องง่วงทุกที!”

“ราชครูติงมีความรู้แตกฉานลึกล้ำกว่าข้ามาก เจ้าอย่าคะนองปาก!”

“ขอรับ ข้าทราบแล้ว” ฮ่องเต้น้อยตอบอย่างว่าง่าย ก่อนจะมองซู่เซิ่นฮุยอย่างละล้าละลัง ในที่สุดก็ทำหน้าเหมือนตัดสินใจเรื่องอันยากเข็ญได้ แล้วกัดฟันพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวแกมหมองเศร้า “เสด็จอาสาม หากมีผู้ใดต้องแต่งงานกับบุตรสาวเจียงจู่วั่งก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านแต่งหรอก! ข้าเองก็ทำได้! ข้าจะแต่งกับนางเอง!”

ดูเหมือนซู่เซิ่นฮุยคิดไม่ถึงว่าคำพูดเช่นนี้จะหลุดออกจากปากเด็กหนุ่ม จึงตกตะลึงและมองพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่ “เจ้า? เมื่อครู่เจ้ายังดูถูกแม่ทัพหญิงผู้นั้นต่างๆ นานาอยู่เลยไม่ใช่หรือ”

ซู่เจี่ยนหน้าแดงวาบ “เสด็จอาสาม อย่ามองว่าข้ายังเป็นเด็กสิ ข้าเข้าใจทุกอย่างนั่นล่ะ! บุตรสาวสกุลเวินที่เดินออกไปเมื่อครู่กับท่านต่างมีใจให้กัน! ต้องเป็นเพราะนางรู้ว่าท่านจะแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเจียงจึงเสียใจ ข้ารู้ว่าในใจเสด็จอาสามก็ต้องเจ็บปวดไม่ต่างกัน…” พูดมาถึงตรงนี้เขาก็ยืดอก สีหน้าขึงขังเหมือนยอมพลีชีพเพื่อความถูกต้อง “เสด็จอาสามทำทุกอย่างเพื่อต้าเว่ยและราชสำนัก ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้! แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮ่องเต้นะ! การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อต้าเว่ยควรเป็นหน้าที่ของฮ่องเต้เช่นข้ามากกว่า ไม่ควรต้องให้เสด็จอาสามมาแบกรับแทนเลย เท่านี้ท่านก็เหน็ดเหนื่อยตรากตรำเพื่อข้ามาพอแล้ว!” เขาเว้นช่วงไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเป็นเพราะข้ายังเด็ก ยังไม่ถึงวัยแต่งงาน ก็เจรจาตกลงกันไว้ก่อนก็ได้นี่ ไว้ข้าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เมื่อไรค่อยจัดพิธีแต่งงาน ทำเช่นนี้ก็ค่าเท่ากันไม่ใช่หรือ”

ได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากหลานชายพลางมองสีหน้าแน่วแน่ของเจ้าตัว ซู่เซิ่นฮุยก็พลันนึกขบขันขึ้นมา แต่เพียงไม่นานสิ่งที่เอ่อท้นขึ้นในหัวใจมากกว่าคือความตื้นตันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ฮ่องเต้น้อยมีนิสัยร่าเริง รักอิสระ ไม่ชอบกฎเกณฑ์ ทำให้ซู่เซิ่นฮุยกังวลอยู่บ่อยครั้งว่าไม่รู้วันใดเจ้าตัวถึงจะสุขุมเยือกเย็นขึ้น แล้วเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าในขณะที่ผู้เป็นฮ่องเต้เสวยสุขกับเกียรติยศและอำนาจอันไร้ขอบเขต บ่าทั้งสองข้างต้องแบกภาระหน้าที่อันไร้จุดสิ้นสุดเฉกเช่นกัน บัดนี้แม้คำพูดที่ออกจากปากหลานชายยังฟังดูเป็นเด็กน้อย แต่ก็แสดงให้เห็นน้ำใจได้มากพอ

เขาตอบกลับไปว่า “เจี่ยนเอ๋อร์ ฟังให้ดีนะ ประการแรกสำหรับข้าแล้วการแต่งงานนี้ไม่ใช่การเสียสละ แต่อยู่ในแผนการของข้า ประการต่อมาวัยของข้าใกล้เคียงกับนางมากกว่า วันข้างหน้าเจ้าจะได้เจอสตรีที่เหมาะสมกับเจ้ายิ่งกว่านี้”

“แต่เสด็จอาสาม ท่านกับบุตรสาวสกุลเวินเหมาะสมกันราวกับคู่สวรรค์สร้างแท้ๆ! ข้าทนเห็นท่านต้องแยกจากหญิงที่รักเพราะเหตุนี้ไม่ได้จริงๆ…”

“เจี่ยนเอ๋อร์!” ซู่เซิ่นฮุยเรียกชื่อหลานชายเป็นเชิงปรามอีกครั้ง ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้ากับนางแค่รู้จักกันตั้งแต่เด็กผ่านท่านราชครู และคุ้นเคยกันมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษทั้งสิ้น ต่อไปเจ้าอย่าได้เอ่ยวาจาที่ทำให้ชื่อเสียงสตรีมัวหมองเช่นนี้อีก!”

ฮ่องเต้น้อยงึมงำเบาๆ เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำอธิบายของผู้เป็นอา “…ข้าไม่ได้พูดเองเสียหน่อย ข้างนอกเขาลือกันทั้งนั้นว่าที่นางยังไม่ออกเรือนจนทุกวันนี้เพราะรอเสด็จอาสาม…”

เด็กหนุ่มตาไว พอเห็นฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วก็รีบหุบปากทันที

“เจี่ยนเอ๋อร์ เจ้าจำไว้ให้มั่น” ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่ทัพใหญ่เจียงเป็นแม่ทัพนามอุโฆษของต้าเว่ย แม้ข้าจะไม่เคยเห็นหน้าบุตรสาวเขา แต่เชื่อว่านางต้องอยู่ในระดับที่คนทั่วไปเทียบไม่ติด จะปฏิบัติต่อนางอย่างขอไปทีไม่ได้ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ต่อไปก็ต้องปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น จงอย่ามีใจดูหมิ่นนางแม้แต่นิดเดียว”

“เข้าใจแล้วขอรับ…” ฮ่องเต้น้อยงึมงำเสียงอู้อี้

อ๋องผู้สำเร็จราชการเหลือบตามองเงาแดด “ได้เวลาแล้ว ข้าควรกลับเมืองหลวงเสียที เจ้าเองก็ต้องกลับวังหลวงเช่นกัน ไปกันเถิด”

นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสออกมาข้างนอก ตอนนี้ต้องกลับเสียแล้ว ซู่เจี่ยนไม่อยากกลับเอาเสียเลย แต่ก็เข้าใจดีว่าวันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ตอนเช้าเกิดเหตุใหญ่ร้ายแรง เวลานี้แม้จะควบคุมเหล่าขุนนางคนสำคัญในเมืองหลวงที่มีส่วนเกี่ยวข้องไว้ได้แล้ว เสด็จอาสามก็ยังต้องกลับไปอยู่ดี

ระหว่างกำลังอ้อยอิ่ง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินลิ่วๆ เข้ามาจากด้านนอก ที่อยู่หน้าสุดคือหลิวเซี่ยง มีทหารรักษาพระองค์ตามมาข้างหลัง

หลิวเซี่ยงเห็นฮ่องเต้น้อยในปราดเดียว มาอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างที่คิดจริงๆ เห็นดังนั้นก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วตั้งสติสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชิงคุกเข่าขอรับโทษก่อน “กระหม่อมถวายอารักขาระหว่างทางบกพร่อง ขอฝ่าบาทและอ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดทรงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ที่แท้เมื่อครู่หลังจากที่เขาไล่ตามขบวนเสด็จทัน ฮ่องเต้น้อยลงจากรถม้าไปปล่อยเบา จากนั้นก็กลับขึ้นรถม้า ออกเดินทางต่อไปได้สักพักเขาสังเกตเห็นว่าข้ารับใช้ที่เดินตามรถม้าอยู่ข้างนอกหายไปคนหนึ่ง พอนึกถึงพฤติกรรมชอบแอบหนีที่ผ่านมาของฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยก็เอะใจสงสัย จึงเดินไปข้างรถม้า หาเรื่องมาไถ่ถามเพื่อเจรจาโต้ตอบกับคนในรถม้า ปรากฏว่าคนข้างในเอาแต่นิ่งเงียบอยู่นาน เขารู้ว่าผิดปกติแน่แล้ว จึงออกคำสั่งให้หยุดขบวน เมื่อเปิดประตูรถม้าออก ฮ่องเต้น้อยก็หายไปจริงๆ มีเพียงข้ารับใช้สวมฉลองพระองค์ชุดนั้นนั่งคุกเข่าหน้าซีดเป็นศพตัวสั่นพั่บๆ อยู่ในรถม้า

เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางที่ติดตามแตกตื่นกันยกใหญ่ คาดเดากันไปต่างๆ นานา หลิวเซี่ยงรายงานเหตุแก่หลันไทเฮาที่โดยสารรถม้าคันข้างหน้า ไทเฮาถึงเพิ่งทราบว่าโอรสแอบหนีขบวนกลางทาง ทั้งโกรธทั้งโมโห ถึงกับสั่งให้ประหารข้ารับใช้ที่กล้าหมิ่นเบื้องสูงเสียตรงนั้น แต่หลิวเซี่ยงเอ่ยวาจาทัดทานว่าวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ไม่ควรให้มีเลือดตกยางออก ถึงสามารถช่วยชีวิตข้ารับใช้คนดังกล่าวให้รอดมาได้ เขาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอารักขาไทเฮากลับเข้าวังหลวงก่อน ส่วนตนเองรีบย้อนกลับมาตามหาฮ่องเต้น้อย

ฮ่องเต้น้อยปลอดภัยก็จริง แต่เช้าวันนี้ตนบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงติดกันถึงสองครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายามนี้สภาพจิตใจของหลิวเซี่ยงเป็นอย่างไร

ดีที่อ๋องผู้สำเร็จราชการเหมือนจะไม่ติดใจเอาเรื่อง แค่หันไปมองฮ่องเต้น้อยทีหนึ่งตอนได้ยินว่าหลันไทเฮาสั่งประหารข้ารับใช้ผู้นั้นด้วยแรงโทสะ

ฮ่องเต้น้อยก้มหน้า

“ฝ่าบาท เสด็จกลับเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

คราวนี้ซู่เจี่ยนเดินหน้าม่อยคอตกนำออกไปก่อนโดยไม่กล้าถ่วงเวลาอีก อ๋องผู้สำเร็จราชการเดินออกไปเป็นคนที่สอง จากนั้นหลิวเซี่ยงถึงค่อยรีบลุกขึ้นจากพื้น นำผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามไป

ทุกคนเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าค่อยๆ แผ่วลงจนไม่ได้ยิน เหลือเพียงความเงียบสงัดทั่วบริเวณ

สายลมฤดูใบไม้ร่วงรำเพยเข้ามาจากหน้าต่างทางทิศใต้ ใบไม้เหลืองแห้งปลิวว่อน ก่อนจะร่อนลงพื้นเงียบๆ

ณ มุมลึกมืดสลัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอคัมภีร์ แมงมุมตัวนั้นพยายามไต่ขึ้นไปข้างบนจนในที่สุดก็พ้นหน้าต่างฉลุลายกลับไปอยู่บนแท่นวางพระคัมภีร์อีกครั้ง เหนือขึ้นไปอีกนิดคือใยที่ขาดกลาง อนิจจาที่ใยเส้นนั้นแกว่งไปแกว่งมาในอากาศตามแรงลม มันตะกายไปหาใยนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศเปล่าๆ ทุกครั้ง กระนั้นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาต่อไปเหมือนจะพยายามจนตัวตาย

ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมานิ่งค้างข้างมัน เฝ้ารอเงียบๆ จนแมงมุมน้อยไต่ขึ้นนิ้ว ก่อนที่มือข้างเดิมจะยกขึ้นไปจ่อให้ตรงปลายใยที่ขาดกลางเบาๆ

เจ้าแมงมุมได้โอกาสคว้าหมับ ไต่ใยขึ้นไปข้างบนเร็วรี่จนกลับมาอยู่กลางรัง ทรงตัวให้มั่นคง แล้วสาละวนพ่นใยชักใยต่ออย่างไม่ยอมหยุดพักแม้อึดใจเดียว

บทที่ 8

ด่านซีสิงแห่งเมืองเยี่ยนเหมิน เดือนสิบเอ็ด หญ้าแห้งลู่ลมดังแซ่กซ่า

เดือนกว่าแล้วที่บุตรสาวของเขาทิ้งประโยคสั้นๆ ไว้แล้วหายตัวไปจนถึงตอนนี้ สำหรับเจียงจู่วั่งแล้วแต่ละวันที่ผ่านไปยาวนานดุจแรมปี

เมืองอวิ๋นลั่วตั้งอยู่สุดขอบตะวันตก ระยะทางจากที่นี่ไม่นับว่าใกล้ จึงยังไม่มีข่าวคราวจากฝานจิ้ง แต่ที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจยิ่งกว่านั้นคือเสียนอ๋องที่ถูกเขาส่งให้ไปพักอยู่ในเมืองโดยอ้างว่า ‘กระโจมในค่ายไม่อาจต้านความเหน็บหนาวยามรัตติกาล’ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกลับเมืองหลวง ซ้ำยังให้คนมาถามความคืบหน้าเป็นระยะ

ก่อนหน้านี้เขาให้เหตุผลว่าบุตรสาวยังไม่กลับจากเดินทางไปไหว้หลุมศพผู้เป็นตาในโอกาสครบรอบปี แต่ละครั้งจะอ้างว่าหนทางห่างไกล ทั้งข่าวทั้งคนกว่าจะไปกว่าจะกลับต้องใช้เวลา ส่วนเมืองที่เสียนอ๋องพักอยู่นั้น เขาหลบเลี่ยงไม่ยอมย่างกรายไปใกล้ เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้ามรู้จะถูกเอาเรื่อง

วันนี้ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจ พลทหารได้เข้ามารายงานว่าในที่สุดฝานจิ้งก็กลับมาแล้ว

น่าเสียดาย ข่าวที่ฝานจิ้งนำกลับมาด้วยทำให้เจียงจู่วั่งผิดหวังอย่างรุนแรง

แม่ทัพหญิงไม่ได้อยู่ในเมืองอวิ๋นลั่ว ตามที่น้าชายเจ้าตัวบอก…นางไม่ได้ไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

หลังช่วงสั้นๆ แห่งความผิดหวัง สิ่งที่ตามมาคือความห่วงใยอันเข้มข้น

บุตรสาวเขาพูดเป็นช้า หลังจากพูดได้ นับแต่เด็กจนโตแม้จะมีนิสัยเงียบขรึมไม่ช่างจำนรรจา แต่ก็สุขุมอย่างยิ่ง ไม่เคยไปที่ใดโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้สักครั้ง ก่อนไปนางทิ้งข้อความไว้ก็จริง ทว่าจะให้เจียงจู่วั่งสบายใจอย่างไรไหว

เมื่อฟังฝานจิ้งรายงานความเป็นไปจบ แม่ทัพใหญ่ก็เอาแต่ขมวดคิ้วยืนนิ่งกลางกระโจม ไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน

ฝานจิ้งรู้สึกผิดยิ่งยวด “ผู้น้อยด้อยความสามารถ ตามหาท่านแม่ทัพไม่พบ แต่ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าได้วิตกกังวลไปขอรับ ผู้น้อยจะนำกำลังคนไปหาที่อื่นเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่ถูกเจียงจู่วั่งปรามไว้

“ช่างเถิด นางสุขุมเยือกเย็นมาตั้งแต่เด็ก มีเรื่องในใจก็ไม่ยอมพูดให้ใครฟัง ถึงข้าจะเป็นบิดาก็ยังไม่รู้เลยว่าใจนางคิดอย่างไรกันแน่ ในเมื่อไม่ได้อยู่ที่อวิ๋นลั่ว แดนเหนือกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เจ้าตามหาอย่างไร้จุดหมายจะไปเจอนางได้ที่ใด”

“แต่…”

แม่ทัพใหญ่โบกมือ “นางมีความคิดเป็นของตนเองตั้งแต่เล็ก ในเมื่อทิ้งข้อความเตือนแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก ทำตามความประสงค์ของนางแล้วกัน ไม่ว่านางต้องการไปทำอะไร เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะกลับมาเอง” พูดจบก็มองฝานจิ้ง “เจ้าเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนคงเหนื่อยแย่ ไปพักผ่อนเถิด…”

“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่! เสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์ พระพันปี! เสียน! อ๋อง! เสด็จ…”

เจียงจู่วั่งพูดยังไม่ทันขาดคำ หยางหู่ที่อยู่ข้างนอกก็พลันลากเสียงรายงานซึ่งฟังดูเหมือนแผดเสียงตะโกนมากกว่า แน่นอนว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนคนในกระโจมใหญ่ให้รู้ตัวว่าแขกไม่ได้รับเชิญมาถึงด้านนอกแล้ว

ฝานจิ้งหันไปมอง เจียงจู่วั่งรีบพยักพเยิดให้หลบออกไปก่อน อีกฝ่ายเข้าใจดี รีบออกจากกระโจมอย่างไม่รอช้า

เจียงจู่วั่งเดินลิ่วๆ ออกไปข้างนอก แล้วเห็นหยางหู่ประคองชายชราคนหนึ่งเดินมาทางนี้ได้แต่ไกล ชายชราผู้นั้นไว้เครายาวพลิ้ว กำลังก้าวเท้ารีบเร่งตรงมายังกระโจมใหญ่ทั้งที่ดูกระย่องกระแย่งเต็มที

“เจ้าคือเจ้าหนูเจ็ดจากสกุลหยางของอันอู่จวิ้นกงสินะ จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เจ้าเคยตามพ่อเจ้ามากินเลี้ยงเทศกาลฉงหยาง* ที่จวนข้าอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าเห็นเจ้าดูเป็นเด็กซื่อๆ ร่างกายแข็งแรง ท่าทางฉลาดเฉลียว เลยให้เจ้าท่องโคลงกลอนให้ฟัง เจ้าก็ท่องอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นหน้าแค่ไม่กี่ปี เหตุใดตอนนี้เสียงถึงดังนัก เบาหน่อยๆ หูข้าจะหนวกเพราะเจ้าอยู่แล้ว…”

ชายชราที่กำลังขมวดคิ้วพูดอยู่นี้คือเสียนอ๋องซู่อวิ้นนั่นเอง

หยางหู่ระลึกความหลังแล้วยังแค้นไม่หาย เขาเสียหน้าเพราะท่องกลอนท่ามกลางธารกำนัลไม่ออก กลับถึงบ้านจึงถูกผู้อาวุโสตีเสียก้นลาย

“ทูลพระพันปี อยู่ในค่ายทหารต้องพูดเสียงดังเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ อย่างกระหม่อมถือว่าสุภาพแล้ว! หาไม่เวลายกทัพทำสงครามระหว่างรบกับข้าศึกจะไม่ได้ยินว่าคนฝ่ายตนเองตะโกนว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! พระ! พัน! ปี!“

เขาจงใจยิ้มระรื่นพลางชะโงกหน้าเข้าไปตะโกนเสียงดังลั่นใกล้ๆ

“โอย! เจ้าเด็กนี่ ข้าว่าเจ้าจงใจทำให้ข้าหูหนวกเสียมากกว่ากระมัง!”

“ต่อให้กระหม่อมกล้ากว่านี้เป็นร้อยเท่าก็ไม่บังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ! พระพันปีทรงปรักปรำกระหม่อมเสียแล้ว…”

หนึ่งคนเฒ่าหนึ่งคนหนุ่มโต้ตอบกันคนละที ฟังดูราวกับปะทะฝีปากกันอย่างไรอย่างนั้น

เจียงจู่วั่งรีบรุดมาต้อนรับ สะกดความกลัดกลุ้มไว้ในอกแล้วออกตัวว่า “ค่ายใหญ่อยู่ไกลจากตัวเมืองหลายสิบหลี่ หากมีเรื่องอันใด เหตุใดพระพันปีจึงไม่ให้คนมาแจ้ง กระหม่อมไปเข้าเฝ้าในเมืองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไหนเลยจะรบกวนให้พระพันปีทรงเหน็ดเหนื่อยเสด็จมาถึงที่นี่ด้วยพระองค์เอง”

นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาทแต่อย่างใด

ซู่อวิ้นอยู่ในฐานะสูงส่ง เป็นโอรสที่เกิดจากชายาเอกขององค์เกาจู่ พี่ชายร่วมอุทรของฮ่องเต้เซิ่งอู่ แรกเริ่มเดิมทีองค์เกาจู่ประสงค์จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท แต่ซู่อวิ้นเล็งเห็นว่าศัตรูอันแข็งแกร่งยังมีจำนวนมากล้น ต้าเว่ยจำต้องมีรัชทายาทที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและความกล้าหาญ ทว่าความสามารถของตนอยู่ในระดับธรรมดา เทียบไม่ได้กับน้องชายร่วมอุทร จึงยืนกรานไม่รับตำแหน่งรัชทายาท เมื่อฮ่องเต้เซิ่งอู่สืบราชสมบัติก็ดีต่อพี่ชายคนนี้เป็นอันมาก แต่งตั้งให้เป็นพระหมื่นปีเสมอกัน แต่ซู่อวิ้นไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายรับไว้แค่เพียงบรรดาศักดิ์เสียนอ๋อง ซึ่งก็สมกับนิสัยใจคอของเจ้าตัว…ทรงคุณธรรม รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความโอบอ้อมอารีทำให้ซู่อวิ้นเป็นที่เคารพยกย่องของเหล่าขุนนาง ใครต่อใครต่างเรียกขานว่า ‘พระพันปี’ ในสมัยฮ่องเต้หมิงตี้ ซู่อวิ้นก็ได้รับพระราชทานเก้าอี้ให้นั่งต่างหากเวลาเข้าประชุมราชสำนัก แม้แต่เกาอ๋องซู่ฮุยผู้เรืองอำนาจยังไม่กล้าเสียมารยาทกับพี่ชายต่างมารดาผู้นี้

เท่านั้นยังพอทำเนา ปัญหาคือซู่อวิ้นอายุมากแล้ว กระทั่งเดินยังต้องมีคนช่วยประคอง หนทางมาชายแดนเหนือก็มีแต่ถนนขรุขระ ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอนในรถม้า ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเกิดเอวเดาะหรือข้อเข่าหลุดระหว่างทาง ใครก็รับผิดชอบไม่ไหว

“ท่านแม่ทัพใหญ่มีงานในค่ายรัดตัว ไม่เห็นท่านเข้าเมืองหลายวันแล้ว ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ วันนี้จึงมาเยือนด้วยตนเอง หากเผลอรบกวนท่านแม่ทัพใหญ่เข้าก็โปรดอย่าได้ถือสา” ซู่อวิ้นยิ้มละไม

“กระหม่อมมิบังอาจ”

เจียงจู่วั่งรับช่วงต่อจากหยางหู่ ทำท่าจะประคองชายชราเข้าไปในกระโจมใหญ่

“ไม่ต้องๆ เห็นแก่ๆ เช่นนี้ แต่ข้ายังแข็งแรงดี! เดินเองได้ ไม่ต้องให้ท่านแม่ทัพใหญ่ประคองหรอก!”

ซู่อวิ้นดันมือเจียงจู่วั่งที่ยื่นมาหาตนเองออกไป เจียงจู่วั่งเลยได้แต่คอยอารักขาอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวัง พอเข้าไปในกระโจมก็เชื้อเชิญอย่างนอบน้อมให้อาคันตุกะนั่งตรงกลางสุด

เสียนอ๋องปฏิเสธ “ที่นั่งผู้บัญชาการในกระโจมใหญ่ ข้าไหนเลยจะนั่งได้ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสด็จด้วยพระองค์เองก็ยังแย่งนั่งไม่ได้”

เจียงจู่วั่งเลยได้แต่สั่งให้คนจัดที่นั่งใหม่ให้พระพันปี พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วซู่อวิ้นก็มองออกไปนอกกระโจม “เมื่อครู่ตอนมาถึงประตูค่ายข้าได้ยินพลทหารพูดว่าแม่ทัพฝานที่อยู่ในสังกัดแม่ทัพใหญ่เพิ่งกลับถึงค่ายวันนี้ พอเข้ามาในค่ายก็เห็นได้ไวๆ ว่ามีแม่ทัพนายหนึ่งเดินออกจากกระโจมท่าน หนวดเคราเต็มหน้า รูปร่างกำยำล่ำสัน ท่าทางเหี้ยมหาญชาญชัยมิมีใครเทียบ อยากจะเพ่งมองให้ชัดๆ ก็เกิดตาฝ้าฟางขึ้นมา พริบตาเดียวเขาก็หายไปเสียแล้ว ไม่ทราบว่าแม่ทัพนายนั้นชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร ดำรงตำแหน่งอะไรกัน”

ไม่คิดเลยว่าซู่อวิ้นจะร้ายไม่เบา อยู่ตั้งไกลถึงเพียงนั้นยังอุตส่าห์เห็น เจียงจู่วั่งได้แต่ตอบกลับไปว่า “น่าจะเป็นแม่ทัพฝานนั่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ซู่อวิ้นตาเป็นประกาย “หรือแม่ทัพหญิงจะกลับมาด้วยกันกับเขา”

“แม่ทัพฝานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาบุตรสาวกระหม่อมจริงๆ แต่ครานี้เขาออกเดินทางเพราะมีภารกิจสำคัญ ไม่เกี่ยวกับนาง ทางบุตรสาวกระหม่อมนั้นไม่กี่วันก่อนกระหม่อมก็ได้ส่งความคืบหน้าไปทูลให้ท่านอ๋องทรงทราบแล้วว่านางยังไม่กลับ ไว้นางกลับมาเมื่อไร กระหม่อมจะรีบส่งคนไปกราบทูลทันที!”

ซู่อวิ้นเผยสีหน้าผิดหวัง ลูบเคราพลางพยักหน้าน้อยๆ “อย่างนี้นี่เอง ข้านึกว่าแม่ทัพหญิงกลับมาแล้วเสียอีก”

เจียงจู่วั่งเอ่ยขอขมา บอกว่าจังหวะเวลาไม่ตรงกัน ทำให้อีกฝ่ายต้องรอนาน

ซู่อวิ้นตอบว่าไม่เป็นไร “ขนาดข้าอยู่ในเมืองหลวงยังได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหญิงมานานแล้ว เมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการอยากสู่ขอนางมาเป็นชายา ข้าจึงออกอาสามาเจรจาให้ นอกจากจะช่วยแสดงไมตรีแทนอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว ข้าก็ยังมีความต้องการส่วนตัว นั่นคืออยากเห็นหน้าบุตรสาวสุดที่รักของท่านแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชสำนักให้เร็วกว่าผู้อื่นเขา! แต่ดันมาไม่ถูกจังหวะอย่างที่ท่านว่า น่าเสียดายยิ่งนัก กระนั้นระหว่างพักอยู่ในเมืองช่วงที่ผ่านมาข้าก็ยังได้ยินชื่อเสียงการทำศึกอย่างกล้าหาญของแม่ทัพหญิงมาหนาหู จำได้ว่าหลายปีก่อนพื้นที่แถบที่ราบชิงมู่ยังอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวตี๋ ก็เป็นแม่ทัพหญิงนี่ล่ะที่ยกทัพไปช่วงชิงกลับคืนมา แล้วสร้างค่ายขึ้นที่นั่น ตรึงกำลังทหารไว้ด้วยตนเอง แนวป้องกันทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกจึงได้เชื่อมถึงกันตลอด พอพูดถึงแม่ทัพหญิงคราใด ชาวบ้านในเมืองล้วนแต่เลื่อมใสศรัทธานางกันทุกครั้ง ครานี้ต้องเดินทางรอนแรมไกลอยู่สักหน่อย แต่ก็นับว่าไม่เสียเที่ยว!”

เจียงจู่วั่งไหนเลยจะมีอารมณ์มาฟังซู่อวิ้นพล่ามพูดเรื่องพวกนี้ อยากเชิญผู้สูงศักดิ์ตรงหน้ากลับไปเต็มที จึงได้แต่เออออไปตามเรื่องพร้อมถ่อมตัวแทนบุตรสาว จากนั้นก็มองออกไปนอกกระโจม

“พระพันปีทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แถบชายแดนไม่เหมือนกับเมืองหลวง ฤดูนี้ฟ้ามืดเร็วนัก พอตกกลางคืนอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับ หนาวเหน็บไม่แพ้ฤดูเหมันต์เลยทีเดียว กระโจมในค่ายลมลอดเข้าได้ ไม่อบอุ่น พระวรกายพระพันปีสำคัญถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างไรกระหม่อมจะส่งเสด็จกลับเข้าเมืองก่อนค่ำดีกว่า พระพันปีจะได้ไม่ทรงหนาว”

ซู่อวิ้นหัวเราะ “ดูท่าวันนี้ข้าจะมาไม่ถูกจังหวะ เลยรบกวนท่านแม่ทัพใหญ่เข้าเสียแล้ว นี่คือคำสั่งไล่แขกของท่านสินะ”

แน่นอนว่าเจียงจู่วั่งรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน

สีหน้าของเสียนอ๋องจริงจังขึ้น “เอาเถิด ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องอยากแจ้งให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ วันนี้ข้าเพิ่งได้รับข่าวด่วนจากเมืองหลวง…” หลังเว้นจังหวะเล็กน้อยเขาก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดพูดต่อขรึมๆ “สมุหกลาโหมเกาอ๋องล้มป่วยจนสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าจำต้องกลับเมืองหลวงโดยด่วน”

แม่ทัพใหญ่ตกตะลึงพรึงเพริด

จริงอยู่ว่าเกาอ๋องซู่ฮุยอายุกว่าครึ่งร้อย แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยกำลังวังชา ได้ยินว่าเรือนหลังของจวนอ๋องเลี้ยงหญิงงามไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน บรรเลงดนตรีครื้นเครงทุกค่ำคืน คิดไม่ถึงเลยว่าแค่เกิดป่วยขึ้นมาปุบปับจะตายไปง่ายๆ เช่นนี้

ท่ามกลางความตื่นตกใจ ความคิดของเขาพลันโยงไปหาเรื่องหนึ่ง แล้วให้ใจเต้นแรงรัว เหงื่อเย็นซึมแผ่นหลังด้วยความพรั่นพรึง

เจียงจู่วั่งนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น

ซู่อวิ้นกล่าวต่อไปว่า “เมื่อแรกตั้งใจจะรอเจอแม่ทัพหญิงก่อนแล้วค่อยกลับ ตอนนี้ดูท่าคงรอไม่ไหว ต้องกลับไปก่อนเสียแล้ว แต่ข้าคิดว่าเรื่องการสู่ขอของอ๋องผู้สำเร็จราชการนั้นท่านแม่ทัพใหญ่เหมือนจะเห็นชอบ ทว่าก็ไม่ได้ตอบตกลงให้ชัดเจนเสียที หากกลับไปทั้งอย่างนี้ข้าจะอธิบายกับอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ถูก”

ดวงตาฝ้าฟางมองคู่สนทนาเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ “ว่าอย่างไร ที่ข้าเรียนถามไปวันนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง อ๋องผู้สำเร็จราชการอยากสู่ขอบุตรสาวของท่านจากใจจริง ผู้อาวุโสในราชวงศ์เช่นข้าก็เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่ง”

เขาปรบมือเบาๆ ผู้ติดตามสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอก คนหนึ่งประคองกล่องยาวด้วยมือทั้งสองข้าง อีกคนค่อยๆ เปิดฝากล่องออกอย่างระมัดระวัง

ดาบสั้นทรงโค้งดุจวงเดือนยาวประมาณหนึ่งฉื่อนอนนิ่งอยู่ในกล่อง มีห่วงอยู่ตรงด้ามดาบ ฝักดาบหุ้มหนังแรด พันทับด้วยเส้นไหมสีดำฝังอัญมณี ทุกองค์ประกอบดูโบราณ เรียบง่าย กะทัดรัด ทว่ายังคงความงามหรูไปพร้อมกัน

เสียนอ๋องหันไปมองแม่ทัพใหญ่ยิ้มๆ “ดาบเล่มนี้ช่างชั้นครูทำขึ้นด้วยวิธีโบราณ ชุบน้ำจากแม่น้ำชิงจาง หลอมตีเป็นร้อยครั้งกว่าจะได้เป็นดาบ วาววับดุจดาวจรัส คมกริบชนิดตัดเส้นขนได้ เดิมทีเป็นดาบประจำพระองค์ของฮ่องเต้เซิ่งอู่ ติดตามพระองค์ออกศึกทั่วทุกสารทิศ ต่อมาได้ถูกพระราชทานให้อันเล่ออ๋องที่ในเวลานั้นยังอายุไม่ครบสิบสี่ ดาบเล่มนี้อยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการมาหลายปีแล้ว เป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา ครานี้เขายินดีใช้มันเป็นของแทนตัวเพื่อแสดงความจริงใจ…

ความจริงไม่ควรนำสิ่งที่เคยดื่มเลือดมานักต่อนักอย่างอาวุธมาเจรจาสู่ขอ แต่แม่ทัพหญิงหาใช่สตรีธรรมดาทั่วไป อ๋องผู้สำเร็จราชการมองว่าต้องใช้ของดีที่สุดที่มีเป็นของแทนตัวเท่านั้น ถึงจะสมศักดิ์ศรีแม่ทัพหญิง หากท่านแม่ทัพใหญ่เห็นชอบ ข้าก็จะขอเป็นตัวแทนอ๋องผู้สำเร็จราชการมอบดาบวงเดือนเล่มนี้ไว้ให้ แล้วกลับไปบอกกล่าวความเป็นไปแก่อ๋องผู้สำเร็จราชการ”

เจียงจู่วั่งตอบไม่ออกอยู่นาน สุดท้ายก็ค่อยๆ คุกเข่าให้ดาบสั้นเล่มนั้น “กระหม่อมซาบซึ้งตื้นตันในไมตรีของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นล้นพ้น เพียงแต่…บุตรสาวกระหม่อมเติบโตอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่จะมีนิสัยทื่อๆ กิริยายังกระโดกกระเดกไม่ต่างจากบุรุษ กระหม่อม…กระหม่อมกลัวเหลือเกินว่าหานหยวนจะรับตำแหน่งชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ไหว…”

ซู่อวิ้นมองเขานิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย ก่อนจะกระแอมทีหนึ่ง “ท่านแม่ทัพใหญ่กำลังดูหมิ่นอ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่หรือ” มีความกดดันอยู่ในน้ำเสียง

เจียงจู่วั่งเหงื่อตก กลั้นใจตอบกลับไปเบาๆ ว่า “กระหม่อมมิบังอาจ…กระหม่อมมิบังอาจ! พระพันปีโปรดประทานอภัยด้วย! แค่…”

แค่…เขาไม่รู้เช่นกันว่าตนเองควรพูดอะไร ระหว่างกำลังว้าวุ่นใจก็ได้ยินเสียนอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น “ช่างเถิด หัวอกคนเป็นพ่อจะคิดหนักเรื่องคู่ครองลูกก็สมควรแล้ว ข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ยังมีเวลาอีกหนึ่งคืน ท่านแม่ทัพใหญ่ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบข้าก็ได้!”

เจียงจู่วั่งออกไปส่งแขก

 

ม่านราตรีโรยตัว เจียงจู่วั่งนั่งอยู่ในกระโจมตามลำพัง มองดาบวงเดือนที่เสียนอ๋องวางทิ้งไว้ไม่ได้นำกลับไปด้วย

ตัวดาบส่องประกายเย็นเยียบ

ลมเหนือปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดหวีดหวิวในอากาศเหนือทุ่งเวิ้งว้างตรงชายแดนทั้งคืน จวบจนใกล้รุ่งถึงค่อยสงบลงทีละน้อย

แสงตะเกียงในกระโจมใหญ่ก็ส่องสว่างทั้งคืนเช่นกัน

เจียงจู่วั่งนอนไม่หลับ ซู่อวิ้นกำลังรอคำตอบ เขารู้ว่าตนเองต้องตัดสินใจแล้ว

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจครั้งสุดท้าย

แม่ทัพใหญ่ผลุนผลันลุกขึ้นคว้าดาบวงเดือนก้าวฉับๆ ออกจากกระโจม เดินไปทางประตูค่าย

ยามรุ่งสางต้นฤดูเหมันต์ทางเหนือรัตติกาลยังย้อมสีนภาเหนือศีรษะอย่างเข้มข้น เสียงแตรเขาสัตว์ที่ปลุกพลทหารให้ตื่นมาฝึกซ้อมช่วงเช้ายังไม่ดัง

เขามองออกไปนอกประตูค่าย ยืนรับลมตอนเช้าตรู่ รับม้าที่ทหารคนสนิทจูงมาให้ หมายใจจะขี่ม้าเข้าเมือง ทว่าในจังหวะที่กำลังจะขึ้นม้าก็พลันเห็นร่างหนึ่งขี่อาชามาแต่ไกล

เจียงจู่วั่งหยุดชะงักพลางเขม้นมองไป

ร่างนั้นใกล้เข้ามาทุกที จนมองออกว่าเป็นเจียงหานหยวน! บุตรสาวที่หายเงียบไร้ข่าวคราวของตนนั่นเอง

เจียงหานหยวนควบม้ามาจนถึงประตูค่ายก็พลิกตัวลงมาก่อนสาวเท้ายาวๆ ไปหยุดตรงหน้าบิดา

นางแต่งกายทะมัดทะแมงเยี่ยงคนเดินทาง เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น ใบหน้ามีน้ำค้างแข็งที่ถูกสายลมราตรีพัดมาเคลือบบางๆ บ่งบอกว่าอาบลมห่มจันทร์เร่งเดินทางในยามวิกาลจนกลับมาถึงที่นี่

สีหน้าปรีดาในแวบแรกจางหายกลายเป็นความขุ่นขึ้ง เจียงจู่วั่งจ้องมองบุตรสาวโดยไม่ได้พูดอะไรทันที

“แต่งงาน…ได้”

นางมองบิดาแล้วเอ่ยออกมาสั้นๆ

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 2567)

 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: