X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 95-96

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 95

ซู่เจี่ยนเห็นหลี่ไท่เฟยเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมใช้สายตาอารีทอดมองตน จากนั้นก็ทอดถอนใจด้วยสีหน้าสงสาร “ระยะนี้ทั้งในและนอกราชสำนักเกิดเหตุขึ้นมิได้หยุดหย่อน ไม่มีเรื่องใดทำให้ฝ่าบาทเบาใจได้เลย แล้ววันนี้ยังต้องประชุมใหญ่ราชสำนัก เชื่อว่าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยามเป็นอย่างต่ำ ข้าได้ยินเสด็จแม่ของฝ่าบาทบอกว่าระยะนี้ฝ่าบาทกินไม่ใคร่ได้ นอนไม่ใคร่หลับ ฟังแล้วเป็นห่วงนัก วันนี้จึงเตรียมอาหารเช้ามาให้ฝ่าบาทเป็นพิเศษ มีแต่ของที่ฝ่าบาทโปรดปรานมาตั้งแต่เด็กทั้งนั้น เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก ไม่ต้องรีบร้อน กินอาหารเช้าให้เสร็จก่อนเถิด ไว้พวกขุนนางมาถึงเมื่อไรค่อยออกไปตำหนักเซวียนเจิ้งก็ยังไม่สาย”

พอนางพูดจบ ข้ารับใช้หลายคนก็หิ้วกล่องอาหารเขียนลายทองซอยเท้าเดินเข้ามาข้างใน แล้วเรียงอาหารเช้าลงบนโต๊ะทีละอย่าง

“ฝ่าบาท มากินอาหารก่อนมา” หลี่ไท่เฟยเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน

ซู่เจี่ยนเดินลิ่วออกไปข้างนอกเหมือนไม่ได้ยิน เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว เสียงตวาดแหวก็ดังขึ้นด้านหลัง “หยุดนะ!”

เขาชะงักเท้าแล้วหันไปมอง ดวงหน้ายิ้มแย้มอารีของหลี่ไท่เฟยหายวับไปแล้ว นางตวัดตามองรอบตัว ข้ารับใช้ที่ตามมาจากตำหนักตุนอี้พากันถอยออกไปโดยไม่รอช้า เหลือเพียงคนในตำหนักบรรทมของเขา

“พวกเจ้าก็ออกไปให้หมด! ข้ามีเรื่องจะพูดกับฝ่าบาท”

นางหันไปสั่งจย่าซิว

จย่าซิวมองฮ่องเต้น้อย เห็นเจ้าตัวได้แต่ทำหน้าตึงโดยไม่พูดอะไร หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ค้อมคำนับแล้วพาคนอื่นๆ ออกไปเช่นกัน

สุดท้ายภายในตำหนักบรรทมจึงเหลือแค่ซู่เจี่ยนกับหลี่ไท่เฟยสองคน

“เมื่อคืนอยู่ๆ เวรยามนอกประตูทักษิณก็เปลี่ยนผลัดเป็นการลับ พวกท่านคิดจะทำอะไร” ซู่เจี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

หลี่ไท่เฟยตอบ “ข้าเห็นฝ่าบาทเหมือนจะตัดใจไม่ลงเสียที เวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ทั้งยังสบโอกาสเหมาะพอดี ข้าจึงจำต้องตัดสินใจลงมือแทนฝ่าบาทอย่างไม่มีทางเลือก”

เด็กหนุ่มหน้าถอดสี “พวกท่านคิดจะลงมือตอนเขาเข้าวังหลวงหรือ”

“ฝ่าบาท! จนป่านนี้แล้วฝ่าบาทยังมัวคิดถึงสายสัมพันธ์เก่าก่อนจนเอาแต่ลังเลอยู่อีกหรือไร”

ฮ่องเต้น้อยชะงัก

“ก่อนหน้านี้เขาไม่แยแสความประสงค์ของฝ่าบาท บังคับให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการสั่งเคลื่อนพล ลำพังแค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ยืนยันได้แล้วว่าเขามีใจทรยศ มีโทษถึงตาย ต่อให้ถูกแล่เนื้อเถือหนังเป็นหมื่นชิ้นก็ยังไม่สาสมแก่ความผิดด้วยซ้ำ! ต่อมาเกิดเหตุขึ้นกับด่านซีกวน สวรรค์เบื้องบนส่งคำเตือนมาให้ชัดๆ เขาก็ยังไม่รู้สำนึก รั้นจะทำตามความคิดตนเองให้ได้!

เปิดศึกยังพอทำเนา แต่นอกจากคนสกุลเจียงแล้ว ราชสำนักต้าเว่ยอันยิ่งใหญ่ของเราไม่มีผู้อื่นให้ใช้สอยได้เชียวหรือ เกาเฮ่อเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งไว้ให้ฝ่าบาท จงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างหาที่สุดมิได้ ภายภาคหน้าสามารถช่วยขจัดภัยร้ายให้ฝ่าบาท นำความผาสุกมาให้แผ่นดิน แต่คนผู้นั้นกลับไม่ยอมใช้สอย หลายปีที่ผ่านมาเกาเฮ่อต้องหนีอำนาจของคนผู้นั้น จึงอ้างว่ากลับบ้านเดิมไปปรนนิบัติดูแลมารดาเพื่อรักษาตัวให้พ้นภัย ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วแท้ๆ เขาก็ยังไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของขุนนางทั้งราชสำนัก รั้นจะแต่งตั้งสตรีนางหนึ่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของแผ่นดิน! น่าแปลกสิ้นดี! ใครเขาทำกันเช่นนี้บ้าง! สตรีนางนั้นเป็นอะไรกับเขา ฝ่าบาทไม่รู้เชียวหรือ ทำพูดว่าไว้รอประชุมราชสำนักวันนี้ก่อนค่อยถกกันใหม่ จงใจถ่วงเวลาเพื่อกดดันพวกขุนนางให้มายืนข้างตนเองชัดๆ!

หากวันนี้เขายังเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีตบตา หลอกฝ่าบาทให้หลงผิดอยู่ยังพอว่า แต่มาถึงขั้นนี้เขาทำกับฝ่าบาทอย่างไรบ้าง ฝ่าบาทยังไม่รู้อีกหรือ เขาประพฤติผิดทำนองคลองธรรมจนถึงขั้นนี้ เคยเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาด้วยหรือ…ก็ไม่ เหตุใดจนป่านนี้ฮ่องเต้ถึงยังไม่ยอมตาสว่างอีก หากยังไม่ลงมือเสียที รอจนเขากำจัดขุนนางผู้จงรักภักดีที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งไว้ให้หมดลงเมื่อไร ข้ากลัวว่าฝ่าบาทจะมานึกเสียใจทีหลังก็สายเกินแก้แล้ว!”

สายตาของซู่เจี่ยนจับจ้องอยู่บนใบหน้าฝ่ายตรงข้าม เขาเค้นเสียงถามทีละคำ “เมื่อปีกลายเขาถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน ตอนนี้มาคิดดู คงเป็นความประสงค์ของไท่หวงไท่เฟยด้วยสินะ”

ความจริงหลี่ไท่เฟยอายุยังไม่ถึงห้าสิบ แต่ด้วยรูปร่างอ้วนเผละ ปกติไม่ใคร่เคลื่อนไหวเท่าไร พอยืนพูดยาวเหยียดถึงเพียงนี้อยู่สักพักจึงเริ่มหมดแรงจนหอบหายใจ นางนั่งลงเองช้าๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าเป็นคนจัดการเอง เสียดายนักที่ตอนนั้นลงมือไม่สำเร็จ!” ว่าพลางยกมือขึ้นตบที่เท้าแขนเก้าอี้ดังป้าบๆๆ อย่างแค้นใจ

“หากสามารถกำจัดคนโฉดช้าให้ฝ่าบาทสำเร็จเสียตั้งแต่ตอนนั้น มีหรือแผ่นดินและราชสำนักจะยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างทุกวันนี้”

ซู่เจี่ยนเหลือบตามองท้องฟ้าข้างนอกแล้วออกเดินอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร หลี่ไท่เฟยลุกพรวดขึ้นยืนพลางตวาดแหว “ฝ่าบาทลืมพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้แล้วหรือ อดีตฮ่องเต้ทุกข์ใจเพียงไร ฟ้าดินเป็นพยานได้ ฝ่าบาทกล้าขัดพระราชโองการอย่างนั้นหรือ!”

เสียงของนางแหลมคมราวกับลูกศรที่พุ่งเข้าเสียบร่างซู่เจี่ยนจากข้างหลัง ปักตรึงสองเท้าของเขาเอาไว้กับที่

จากที่เดินมาถึงประตูตำหนักบรรทมแล้ว เขาพลันหยุดชะงัก ก้าวขาต่อไม่ออก

“ต่อให้ฝ่าบาทกล่าวโทษข้า ข้าก็ทำได้เพียงยอมรับ บัดนี้เป็นเวลาชี้เป็นชี้ตาย เป็นโอกาสเหมาะให้กำจัดคนโฉดชั่วผู้นี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำ รวมทั้งแผนการในวันนี้ล้วนแต่เป็นคำสั่งก่อนตายของอดีตฮ่องเต้ที่ต้องการปกปักรักษาดินแดนและแคว้นต้าเว่ย ตลอดจนความยิ่งใหญ่ของราชบัลลังก์ฝ่าบาท!”

ฮ่องเต้น้อยยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดทางประตูทักษิณที่อยู่นอกวังหลวง

ทันใดนั้นเสียงขานเค่อยาวเหยียดก็ดังเข้าหู

ในวันที่มีประชุมใหญ่ราชสำนักเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องเวลาในวังหลวงจะส่งเสียงขานเค่อเตือนฮ่องเต้ให้เตรียมตัวตรงเวลา โดยหลังผ่านยามอิ๋นสี่เค่อไปแล้วจะเริ่มขานเวลาทุกๆ หนึ่งเค่อ

กิจวัตรการเดินทางนับแต่ปีใหม่เป็นต้นมาของซู่เซิ่นฮุยเป็นอย่างไร ซู่เจี่ยนย่อมตระหนักดี

เขารู้ว่าเมื่อเสียงขานเค่อครั้งนี้ดังขึ้น เสด็จอาสามผู้นั้นของเขาจะต้องใกล้ถึงประตูทักษิณแล้ว

หากปล่อยไปตามนี้ เมื่อได้เวลาขานเค่อครั้งถัดไป น่ากลัวว่าเสด็จอาสามคงเหลือแต่ศพล้มนอนอยู่บนพื้น ใช้เลือดอาบประตูทักษิณ…

ซู่เจี่ยนสะท้านเฮือก ได้สติกลับมาโดยฉับพลัน

เขากัดฟันเค้นเสียงออกมาทีละคำ “หากต้องลงมือจริง ข้าจะจัดการเอง!” พูดจบก็ทิ้งหลี่ไท่เฟยไว้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก ไม่นึกว่าหลันหรงจะยืนอยู่ตรงเชิงบันได ฝ่ายนั้นรีบวิ่งขึ้นมาทันที

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดีๆ เถิด ทรงอย่าวู่วาม! คนของเสนาบดีเกาไปซุ่มรอแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้วนะ! ต่อให้ฝ่าบาทออกไปสั่งให้หยุดก็ไม่มีทางตบตาเขาได้หรอก มีหรือเขาจะยอมปล่อยไป พวกเราน่ะไม่เท่าไร เพราะทุกคนทำตามพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้เพื่อปกป้องฝ่าบาทเท่านั้น จะมีจุดจบเช่นไรก็สุดแท้แต่สวรรค์จะบัญชา! แต่ฝ่าบาทน่ะไม่ได้เด็ดขาด! เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะต้องเกลียดชังฝ่าบาทเข้ากระดูกดำเป็นแน่ ฝ่าบาทจะพาพระองค์เองไปเสี่ยงไม่ได้เชียวนะ!”

“ขวางเขาไว้! ขวางเขาไว้!”

หลี่ไท่เฟยวิ่งตามออกมาอย่างลนลาน แต่ความเจ้าเนื้อทำให้ลมหายใจหอบกระชั้น สุดท้ายต้องฝืนเกาะประตูตำหนักพยุงตัวหยุดพัก ได้แต่ตะโกนสั่งหลันหรงจนเสียงแตก

ฮ่องเต้น้อยผลักหลันหรงออกจากตัวแล้ววิ่งไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ยิน ปากก็ตะโกนเรียกจย่าซิวไปด้วย

หลันหรงตะลึงงันด้วยความตกใจ

เขาได้ล่วงรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลี่ไท่เฟยตั้งแต่ตอนที่ซู่เซิ่นฮุยสู่ขอเจียงหานหยวนเมื่อปีกลาย

หลี่ไท่เฟยลอบติดต่อกับเขาผ่านหลันไทเฮาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จนมีความคิดเห็นตรงกัน

ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งตระหนักว่าที่แท้ตุนอี้ไท่หวงไท่เฟยที่ถูกตนมองข้ามมาตลอดผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้แต่เกาเฮ่อที่เขาต้องให้เกียรติเวลาเจอกันยังเป็นคนของนาง นางชิงชังซู่เซิ่นฮุยสุดหัวใจ ต้องกำจัดให้ตายตกเท่านั้นถึงจะเป็นสุขได้ หลันหรงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็จริง ทว่าพอคาดเดาได้ว่าคงไม่แคล้วเกิดจากการแก่งแย่งชิงดีของฝ่ายในในอดีต แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร ความประสงค์ของนางก็ตรงกับจุดมุ่งหมายของเขาพอดี สำหรับเขาแล้วการกำจัดซู่เซิ่นฮุยทิ้งมีผลดีเหลือคณานับ ไม่มีผลเสียเลยแม้แต่ประการเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะพาตนเองมาเป็นส่วนหนึ่งในผู้ร่วมแผนการของนางด้วยท่าทีนอบน้อม

ซู่เซิ่นฮุยถูกคนร้ายลอบสังหารหน้าประตูจวนในคืนแต่งงานคืนนั้น เรื่องนี้หลันหรงไม่ได้เป็นผู้บงการ แค่ใช้อำนาจในมือช่วยอำนวยความสะดวกลับๆ เปิดทางให้นักฆ่าแฝงตัวเข้าไปดักซุ่มอย่างราบรื่น คนที่จัดการเรื่องนี้คือเกาเฮ่อที่ตอนนั้นเจื่อนจางไปจากสายตาทุกคนต่างหาก

ครั้งนั้นหลันหรงนึกว่าจะต้องสำเร็จเป็นแม่นมั่น ปรากฏว่ากลับล้มเหลว คืนนั้นเขาถูกซู่เซิ่นฮุยเรียกตัวไปซักถาม หลังจากนั้นมาก็หวาดกลัวจับใจ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม และไม่ยอมตอบตกลงช่วยเหลือหลี่ไท่เฟยง่ายๆ อีก จวบจนปลายปีกลายเมื่อได้รู้ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้มีพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้อยู่ในมือ เขาถึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเหตุใดเกาเฮ่อถึงได้กล้าก่อเหตุอุกอาจ

แผนการครานี้เกาเฮ่อก็เป็นคนเสนอความคิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน

คนผู้นี้สนิทสนมแน่นแฟ้นกับหลี่ไท่เฟย ที่ผ่านมาเอาแต่เก็บตัวเงียบ ตอนนี้เมื่อโอกาสเป็นใหญ่มาถึงก็แสร้งทำท่าคับอกคับใจ พร่ำบอกว่าตนเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี ตั้งใจสนับสนุนค้ำจุนฮ่องเต้น้อย แต่แท้ที่จริงมีจุดประสงค์ใดในใจ มีหรือหลันหรงจะไม่รู้

เกาเฮ่อมีหลานสาววัยออกเรือนอยู่คนหนึ่ง จึงหมายตาตำแหน่งฮองเฮาเช่นกัน เห็นว่ายังได้รับความเห็นชอบจากอดีตฮ่องเต้อีกด้วย

หลันหรงเหยียดหยามคนผู้นี้ มองว่าเป็นแค่คนมักใหญ่ใฝ่สูงที่อาศัยบารมีสตรีพยายามเข้ามากุมอำนาจแทนที่ซู่เซิ่นฮุย แต่เรื่องเหล่านี้เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง คนที่พวกเขาต้องร่วมกันจัดการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือซู่เซิ่นฮุยต่างหาก

แผนการครั้งนี้ผ่านการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างถ้วนถี่ แม้แต่หลันหรงที่มีนิสัยรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษพิจารณาแล้วยังเห็นว่าทำได้

ปิดบังฮ่องเต้น้อย ลงมือก่อนแล้วค่อยกราบทูลทีหลัง เจ้าตัวจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ทว่านี่ถือเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของแผนการนี้แล้ว

ถึงอย่างไรตัวเขาก็มีหลี่ไท่เฟยเป็นเกราะกำบัง พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ก็ยังอยู่ หลังจบเรื่องต่อให้ฮ่องเต้น้อยจะเอาผิดจริง เขาก็สามารถวิงวอนขอความเมตตาว่าต้องทำเพราะความจำเป็นบังคับ

ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือทุกวันนี้แม้ภายนอกฮ่องเต้น้อยจะไม่ได้แตกหักกับอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างเปิดเผย แต่ในใจจะต้องเกิดความเคลือบแคลงแน่นอนอยู่แล้ว ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยกันเลยทีเดียว

จิ้งจอกเฒ่าเกาเฮ่อกล้าก่อเหตุร้ายแรงก็ต้องเป็นเพราะมองจุดนี้ออกเช่นกัน และต้องคิดด้วยว่าขอเพียงกำจัดซู่เซิ่นฮุยได้ ต่อไปฮ่องเต้น้อยก็จะตกอยู่ในกำมือตนเอง แผนลอบสังหารจึงถูกนำมาใช้งานจริงเพราะอย่างนี้

หลันหรงไตร่ตรองครบถ้วนทุกด้าน คิดคำนวณเผื่อไว้ด้วยซ้ำว่าหลังจบเรื่องตนจะกำจัดหลี่ไท่เฟยและเกาเฮ่อทิ้งอย่างไร อย่างเดียวที่มองข้ามไปคือไม่คิดว่าฮ่องเต้น้อยจะมีท่าทีต่อต้านแผนการรุนแรงถึงเพียงนี้

เขาหน้าซีดไร้สีเลือด ก่อนจะตะเกียกตะกายคลานเข้าไปคุกเข่ากับพื้น

“ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาพูดพลางกอดขาซู่เจี่ยนแน่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“ฝ่าบาท! ธนูง้างสายแล้วดึงกลับมาไม่ได้! เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฝ่าบาทยังทรงคิดอีกหรือว่าหากถอนกำลังคนออกมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่าบาทกับเขาจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้ แม้ฝ่าบาททรงประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ยอมเลิกราแน่ มีแต่จะต้องฆ่าแกงกันให้ตาย…”

จย่าซิวนำผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งเข้ามาในจังหวะนั้น “ฝ่าบาท!”

“จย่าซิวฟังคำบัญชา! ใครมันกล้าขวางเราให้ฆ่าไม่เว้น!”

หลันหรงเห็นฮ่องเต้น้อยก้มหน้าลงถลึงตาวาววับดุดันจ้องมองตนก็นึกถึงภาพที่ตนเองเกือบทิ้งชีวิตไว้ใต้คมกระบี่อีกฝ่ายในคืนส่งท้ายปีขึ้นมาได้ เขาสะท้านเฮือกทีหนึ่ง พอปล่อยมือออกก็ถูกฮ่องเต้น้อยถีบกระเด็น

จย่าซิวได้สติ เห็นฮ่องเต้น้อยวิ่งเต็มเหยียดออกจากตำหนักก็รีบตามไปบ้าง

หลี่ไท่เฟยให้คนประคองจนกระหืดกระหอบตามมาถึงตรงนี้ หน้าตาคล้ำเครียด แก้มหย่อนยานทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด “เร็วเข้าสิ! รีบนำกำลังคนไปสกัดฮ่องเต้เอาไว้ให้ได้! เกิดอะไรขึ้นข้าจะออกหน้ารับให้เอง! ครานี้หากแผนล้มเหลวจนมันรอดไปได้ ฮ่องเต้อาจไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าอย่าได้คิดจะพบจุดจบที่ดีแม้แต่คนเดียว!”

หลันหรงรู้ถึงผลได้ผลเสียดี เขารีบตะกายร่างขึ้นจากพื้น วิ่งออกจากตำหนักบรรทมอย่างร้อนรน ไล่ตามไปทางประตูทักษิณ

จากตำหนักฮ่องเต้ถึงประตูทักษิณของวังหลวงขวางกั้นด้วยกำแพงสามชั้น ประตูไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ปกติหากเดินเร็วหน่อยและเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อ

จย่าซิวตะโกนสั่งข้างหน้าให้รีบเปิดประตูไปตลอดทาง คนเฝ้าประตูทำตามอย่างว่องไว ซู่เจี่ยนวิ่งเต็มเหยียดผ่านไปโดยไร้อุปสรรคกีดขวาง จนมาถึงกำแพงวังหลวงชั้นนอกสุดโดยไม่หยุดพัก

ทว่าเมื่อประตูทักษิณอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว ฝีเท้าของเขากลับพลันชะลอลงเสียอย่างนั้น

จะเกิดอะไรขึ้นที่ประตูทักษิณ เมื่อครู่จย่าซิวพอจะคาดเดาได้แล้ว

แม้เขาเป็นคนของฮ่องเต้น้อย และบัดนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการกับฮ่องเต้น้อยขัดแย้งกันอยู่เงียบๆ แต่ใจเขาก็ยังเคารพยกย่องอ๋องผู้สำเร็จราชการกับชายาอย่างมาก ได้ยินข่าวที่กำลังลือกันหนาหูอยู่ข้างนอกทีไรก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นความจริง ครั้นได้รู้ว่าฮ่องเต้น้อยจะออกมายับยั้งเหตุลอบสังหารที่กำลังจะเกิดขึ้น จย่าซิวยังแอบโล่งอกอยู่เงียบๆ แทบอยากติดปีกบินไปประตูทักษิณเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงตรงนี้แล้วเห็นผู้เป็นนายชะงักเท้า เขาก็อดจะผงะไปไม่ได้ ก่อนจะหยุดวิ่งตามแล้วมองไป เห็นฮ่องเต้น้อยเอามือจับประตูหอบหายใจพลางเอ่ยด้วยนัยน์ตาแดงฉาน “ถ่ายทอดคำสั่งของเราลงไปเดี๋ยวนี้ ใครกล้าฆ่าเขา เราจะสั่งประหารมันเก้าชั่วโคตร!”

เด็กหนุ่มเว้นช่วงไปเล็กน้อย “จากนั้นเจ้านำกำลังคนพาเขาไปส่งที่จวนด้วยตนเอง รอคำสั่งจากข้า!”

เสียงพูดสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทว่ากระจ่างชัดเจนในทุกพยางค์

จย่าซิวรู้ว่าคำสั่งนี้หมายถึงการกักบริเวณ

หัวใจของเขาหนักอึ้ง ทว่าก็รับคำบัญชาทันควัน “รับด้วยเกล้า!”

พูดจบก็หมุนตัวนำกองทหารวังหลวงวิ่งออกไปยังประตูทักษิณ

หลังสั่งจบซู่เจี่ยนมองตามหลังจย่าซิวจนลับสายตา ทันใดนั้นแข้งขาก็อ่อนยวบเหมือนเรี่ยวแรงในกายถูกสูบไปจนหมดสิ้น แค่จะยืนยังยืนไม่อยู่

เขาพิงหลังเข้ากับกำแพงวังหลวง ค่อยๆ ไถลตัวลงไปนั่งกับพื้น

“ฝ่าบาท!”

หลันหรงตามมาจนทัน เห็นอย่างนั้นก็คาดเดาไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่กล้าตามออกไปอีก ได้แต่คุกเข่าอยู่อีกทาง อธิษฐานอยู่ในใจขออย่าให้ทางเกาเฮ่อเกิดเหตุผิดพลาดเป็นอันขาด

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด ซู่เจี่ยนเอาแต่นั่งอยู่บนถนนในวังหลวงราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว ถัดไปมีหลันหรงนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้กัน ไกลออกไปอีกคือขันที นางกำนัล และทหารองครักษ์ที่คุกเข่าตามเป็นแถวยาวเหยียด

เสียงกลองเนิบทุ้มบอกเวลายามอิ๋นหกเค่อกังวานแว่วมาจากหอกลองในวังหลวง

ในวันปกติเมื่อถึงเวลานี้ซู่เซิ่นฮุยจะผ่านประตูทักษิณเข้ามาข้างในแล้ว และอยู่ระหว่างทางไปหอเหวินหลิน

ผ่านไปครู่หนึ่งหลันหรงก็ใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นจย่าซิววิ่งกลับเข้ามา แต่พบว่าอีกฝ่ายปราดเข้าไปตรงหน้าฮ่องเต้น้อยแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท! ไม่พบอ๋องผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องไม่ได้เสด็จเข้าวังหลวงจากทางนั้น!”

ซู่เจี่ยนเงยหน้าพรวด ตะลึงงันอยู่อึดใจหนึ่งก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น วิ่งถลันออกไปข้างหน้า

เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูทักษิณ

ท้องฟ้ายังมืดอยู่ ทางเดินว่างเปล่า ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

 

แสงอ่อนรำไรเริ่มจับขอบฟ้า ใกล้ยามอิ๋นแล้ว

ขุนนางราชสำนักทยอยกันเดินเข้าประตูทักษิณเหมือนปกติ มายืนรวมตัวกันหน้าตำหนักเซวียนเจิ้ง

ประชุมราชสำนักวันนี้จะต้องหนักหน่วงไม่เบา

ตั้งแต่ขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูงเช่นเสียนอ๋องและฟางชิงลงไปถึงขุนนางทั่วไป ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายแม้แต่คนเดียว ครั้นได้เวลาทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการที่ไม่เคยขาดประชุมถึงยังไม่มา ไม่เพียงเท่านั้นเสนาบดีกรมทหารเกาเฮ่อและหลันหรงก็หายหน้าไปอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นกัน

ทุกคนอดซุบซิบพูดคุยกันด้วยความกังขาไม่ได้

จังหวะนั้นเสียงลั่นกลองบอกยามอิ๋นตรงก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงประกาศเรียกขึ้นตำหนักเป็นกังวานเจื้อยแจ้วที่ดังมาจากข้างใน

เหล่าขุนนางพากันเงียบเสียง รีบเข้าแถวเดินขึ้นตำหนักใหญ่ตามลำดับ แล้วต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่ามีคนยืนอยู่ข้างในแล้ว

คนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสุด ใกล้กับแผ่นศิลาสลักประดับบันได

แสงจากในตำหนักส่องออกมาลากเงาดำยาวเหยียดจากใต้เท้าเขา

อ๋องผู้สำเร็จราชการซู่เซิ่นฮุยนั่นเอง

ที่แท้เจ้าตัวก็มาถึงนานแล้ว

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ถึงเข้าตำหนักมายืนประจำตำแหน่งล่วงหน้าอยู่คนเดียว

เมื่อเหล่าขุนนางเข้าประจำที่ ซู่เซิ่นฮุยก็หันไปพูดกับขันทีประจำตำหนักด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเป็นปกติ “ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จขึ้นราชบัลลังก์”

บทที่ 96

ยามอิ๋นหกเค่อโดยประมาณ ซู่เซิ่นฮุยที่เกาเฮ่อรอก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที บริเวณประตูทักษิณของวังหลวงดูสงบเรียบร้อยเหมือนเก่า ทว่าแท้ที่จริงแล้วตกอยู่ในความอลหม่าน ไม่ต่างจากใจเกาเฮ่อในเวลานี้ที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งใกล้เคียงกับความสิ้นหวังเลยก็ว่าได้

เห็นชัดว่าข่าวรั่ว แผนการล้มเหลวเสียแล้ว

หลังความตื่นตระหนกช่วงสั้นๆ ผ่านพ้น เกาเฮ่อก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะกล้าประมาทฝ่ายตรงข้าม ระหว่างรอให้การประชุมราชสำนักในวันนี้มาถึงเขาไม่กล้ามั่นใจเลยว่าแผนที่วางไว้จะต้องสำเร็จ สามารถจู่โจมฆ่าคนผู้นั้นให้ดับดิ้นหน้าประตูทักษิณได้

หากแผนการล้มเหลว ซู่เซิ่นฮุยจะต้องโจมตีกลับ และเฉินหลุนก็คือดาบคมกริบในมือเจ้าตัว

เกาเฮ่อเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าเช่นกัน โดยส่งคนไปจับตามองเฉินหลุนกับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการลับตั้งแต่เมื่อคืน เฝ้าระวังการเรียกใช้กำลังทหารใดๆ

เรื่องมาถึงขั้นนี้ การปะทะกันด้วยกำลังทหารเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แค่ต้องดูว่าดาบในมือใครจะแข็งและคมกว่ากันเท่านั้น หลังแผนการตอนรุ่งสางล้มเหลวเขาก็เกร็งเครียดเตรียมพร้อม ขอเพียงเฉินหลุนมีความเคลื่อนไหวผิดปกติแม้เพียงนิดเดียว เขาจะเข้าไปขัดขวางโดยไม่ลังเลทันที โดยใช้เหตุผล ‘การระงับความพยายามก่อกบฏ’ ขึ้นบังหน้า

ปรากฏว่าทางเฉินหลุนเงียบสนิท ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่เพียงเท่านั้นซู่เซิ่นฮุยยังหายตัวไปด้วย ตามที่สายข่าวซึ่งซ่อนตัวอยู่แถวจวนอ๋องเมื่อคืนรายงานมา เช้ามืดวันนี้เจ้าตัวออกจากจวนมาวังหลวงตามกิจวัตรปกติจริงๆ

เช่นนั้นเมื่อออกมาแล้วชายหนุ่มไปที่ใด และคิดวางแผนทำสิ่งใดอยู่ลับๆ กันแน่

ระหว่างที่กำลังร้อนใจดังไฟลนเกาเฮ่อก็ได้รับข่าวว่าคนผู้นั้นเข้าวังหลวงเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำเวลานี้ยังอยู่ในตำหนักเซวียนเจิ้ง กำกับการประชุมราชสำนักเหมือนเช่นที่ผ่านมา

เกาเฮ่อไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้

ราวกับเสยหมัดต่อยกองนุ่นเต็มแรงก็ไม่ปาน แผนการที่วางไว้ยุ่งเหยิงปั่นป่วนจนเขาตั้งตัวไม่ติด ที่ยิ่งกว่านั้นคือเดาไม่ออกว่าศัตรูคิดจะทำอะไรกันแน่

ซู่เซิ่นฮุยจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหรือ ไม่น่าเป็นไปได้

ในสถานการณ์เช่นนี้เกาเฮ่อจะกล้าทะเล่อทะล่าไปเข้าประชุมได้อย่างไรเล่า

ไม่ใช่แค่เขา เวลานี้ฮ่องเต้น้อยก็ยังไม่ปรากฏตัวเช่นกัน

เมื่อเช้าเด็กหนุ่มวิ่งไปถึงประตูทักษิณแล้วยืนเคว้งคว้างตรงนั้นอยู่นาน สุดท้ายถึงค่อยกลับตำหนักบรรทมด้วยอาการใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและปิดประตูเงียบ

ดูท่าวันนี้คงไม่คิดจะไปตำหนักเซวียนเจิ้งแล้ว

เจ้าตัวยังเด็ก เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นจะไม่กล้าเผชิญหน้าด้วยตรงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ

เกาเฮ่อไม่ใส่ใจสักนิดว่าตอนนี้ฮ่องเต้น้อยคิดอย่างไร เรื่องสำคัญเร่งด่วนคือต้องจัดการกับความยุ่งเหยิงที่เป็นเหมือนไฟไหม้ขนคิ้วอยู่ต่างหาก

หลังเสียงย่ำกลองบอกยามอิ๋น ระหว่างที่เหล่าขุนนางยืนชุมนุมรอเวลาเข้าประชุมหน้าตำหนักเซวียนเจิ้ง เกาเฮ่อกำลังหารือแผนรับมือที่ตำหนักหลี่ไท่เฟยอย่างร้อนรน เดิมทีเขาเรียกหลันหรงมาด้วย ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมมา บอกแต่เพียงว่าฮ่องเต้น้อยเสียขวัญอย่างมาก ตนต้องอยู่เคียงข้างเพื่อถวายอารักขา ขอให้เขาไม่ต้องพะวักพะวน ไม่ว่าจะใช้แผนใดรับมือ ตนก็เห็นชอบทุกอย่าง

เกาเฮ่อสบถออกมาดังลั่นตรงนั้น เพราะรู้ว่าหลันหรงเห็นท่าไม่ดี เดาได้ว่าเขาต้องดิ้นรนต่อ เลยไปหลบคลื่นลมอยู่ด้านหลังฮ่องเต้น้อยแล้วผลักไสทุกอย่างมาให้เขา

หลันหรงทำได้ แต่ตัวเขาไม่มีทางให้ถอยได้เลยจริงๆ

เกาเฮ่อสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกที ขณะที่หลี่ไท่เฟยทั้งตื่นตระหนกทั้งฉุนเฉียว หน้าตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด ตวาดเสียงแหลมว่าเขาไม่ได้ความ ทำการไม่เคยสำเร็จ ดีแต่ทำให้เสียเรื่อง

“ครานี้เจ้าเป็นต้นความคิด! วางกำลังคนซุ่มสังหารริมทางที่เขาใช้เข้าวังหลวง! เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เจ้าคิดจะทำให้ข้ากับฝ่าบาทเดือดร้อนให้ได้หรืออย่างไร”

จิตสังหารดำทะมึนวาบขึ้นในดวงตาเกาเฮ่อ เขากำมือแน่นจนข้อกระดูกลั่นกร๊อบถี่ๆ “เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้!”

ประกาศพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้หมิงตี้ต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรง แล้วจู่โจมฆ่าซู่เซิ่นฮุยเสียที่นั่น

ไม่ว่าซู่เซิ่นฮุยจะมีจุดประสงค์ใด แต่สำหรับทางฝั่งเขาก็เหมือนชักดาบออกจากฝักแล้ว เหลือแค่ใช้คมอาวุธประจันหน้ากันเท่านั้น

ความจริงแล้วพระราชโองการฉบับสุดท้ายดังกล่าวเป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สร้างความมั่นใจให้พวกเขามาโดยตลอด เปรียบได้ดังกระบี่คมกริบที่ทรงอำนาจอย่างหาใดเสมอเหมือน เป็นของวิเศษสูงสุดที่สามารถกดข่มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ด้วยซ้ำ มีของวิเศษชิ้นนี้อยู่ในมือ พวกเขาย่อมมีจุดยืนอันชอบธรรมตลอดจนอำนาจในการเป็นฝ่ายลงมือสร้างเรื่องขึ้นมาก่อนได้ทุกเมื่อ

หลี่ไท่เฟยกัดฟันกรอด “อนุญาต!”

การเตรียมกำลังคนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตัวแปรที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือฮ่องเต้น้อยต่างหาก

นางนึกถึงท่าทีของเด็กหนุ่มเมื่อเช้าแล้วให้เสียใจนัก “ข้าผิดเองที่ชะล่าใจประเมินเขาสูงไป ดันเอาพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไปให้ ตอนนี้พระราชโองการจึงอยู่กับเขา! เจ้าตามข้าไปเอากลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”

เกาเฮ่อบริภาษอยู่ในใจว่ายายแก่เลอะเลือนสิ้นดี พร้อมกันนั้นก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าหากฮ่องเต้น้อยไม่ให้ความร่วมมือก็อย่าตำหนิที่เขาบังคับด้วยกำลังแล้วกัน หลี่ไท่เฟยพูดจบก็หอบแฮกแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อเดินไปตำหนักฮ่องเต้โดยมีข้าราชบริพารช่วยประคอง เขาเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปบ้าง ไม่นึกว่าเพิ่งจะออกมาข้างนอก ปลายเท้าก็พลันสะดุดลง

ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยมาด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนอยู่หน้าบันได มีจย่าซิวยืนอารักขาอยู่ด้านหลัง พกกระบี่ห้อยเอว หน้าตาขึงขัง

เสียงกลองเรียกเข้าประชุมเพิ่งจะดังมาจากตำหนักเซวียนเจิ้งอีกครั้ง พระอาทิตย์รุ่งอรุณเริ่มฉายแสงรำไรอยู่ข้างหลังฮ่องเต้น้อย ส่องสะท้อนให้ใบหน้าดวงนั้นดูซีดขาวกว่าปกติ ทว่าดวงตากลับเป็นประกายเย็นชาดุดัน พอเจ้าตัวตวัดตามองมา เกาเฮ่อก็สัมผัสได้ถึงอำนาจบารมีของโอรสสวรรค์จนต้องสะท้านวาบ ได้แต่คุกเข่าหมอบคำนับ

หลี่ไท่เฟยเอ่ย “ฝ่าบาทมาได้จังหวะพอดี! เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว จะต้องนำพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ออกมาแก้ปัญหาเดี๋ยวนี้เลย”

เกาเฮ่อสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้น้อยเบนสายตาจากหลี่ไท่เฟยมามองตนเอง เขาสะท้านร่างอีกคำรบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอธิบาย “ฝ่าบาท! จากสถานการณ์ตอนนี้ไม่เราก็เขาต้องตายไปข้างเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถูกแล้วว่าก่อนหน้านี้เขายังแสร้งนอบน้อมยอมอยู่ใต้อำนาจฝ่าบาทอยู่บ้าง แต่หลังจากนี้เขาจะต้องก่อเหตุขึ้นแน่นอน ฝ่าบาททรงตกอยู่ในอันตรายแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงลังเลไม่ได้อีกแล้ว!”

พูดจบก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นจ้องมองตนเองเขม็ง จึงได้แต่ก้มหน้าหมอบคู้ลงไปอีกครั้ง ผ่านไปสักพักระหว่างกำลังกระสับกระส่ายเกาเฮ่อก็ได้ยินเสียงเนือยๆ ดังขึ้นเหนือกระหม่อม “ไปเข้าประชุมราชสำนักกันให้หมด! ในการประชุมวันนี้คุมคนของเจ้าไว้ให้ดี ไม่ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการว่าอย่างไร จงดำเนินการตามความประสงค์ของเขาทุกประการ อย่าได้โต้แย้งอีก”

เกาเฮ่อดีดตัวพรวดขึ้นมาอย่างลืมตัว “ฝ่าบาท! เขาจะเสนอชื่อหญิงสกุลเจียง…”

“เราสั่งให้เจ้าเข้าประชุมและคุมคนของเจ้าให้ดี ไม่ได้ยินหรือไร”

ฮ่องเต้น้อยพลันตัดบทกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

เกาเฮ่อสะดุ้งวาบ

“ไม่เสนอชื่อนาง จะให้เสนอชื่อเจ้าหรือ” เด็กหนุ่มแค่นเสียง “นางใช่ผู้เหมาะสมที่สุดที่จะควบคุมการทำสงครามหรือไม่ เรารู้ดียิ่งกว่าเจ้า! หากยังไม่ได้ส่งทหารออกไปยังพอว่า นี่เปิดศึกผลาญทรัพยากรแผ่นดินมาถึงเพียงนี้ เสียเงินไปแล้ว ตระเตรียมการแล้ว จะให้ยกเลิกง่ายๆ หรือ แต่จนป่านนี้พวกเจ้าก็ยังไม่เลิกร้องแรกขอให้ถอนทัพแล้วเจรจากันโดยสันติ เราอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าหากพวกเจ้าไม่โง่เขลาจนถึงขั้นถูกใบไม้ใบเดียวบังตา* ก็ต้องจงใจอยากให้ต้าเว่ยเราล่มจม!”

เกาเฮ่อไม่เคยเห็นฮ่องเต้น้อยวางอำนาจกดดันผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน เขาอดรู้สึกร้อนตัวเงียบๆ ไม่ได้ ก่อนจะรีบโขกศีรษะ “ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมมีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง ตะวันจันทราเป็นพยานได้! เพียงแต่ก่อนหน้านี้ได้รับพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้ กลัวว่าเขาจะใช้สงครามสร้างความชอบให้ตนเองแล้วกลายเป็นภัยร้ายต่อฝ่าบาท เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว จึงจำใจเลือกทางที่เสียหายน้อยที่สุดเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ!”

พูดจบก็หมอบกรานลงไปอีกครั้ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหลี่ไท่เฟยพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างร้อนรน แต่ไม่ได้ยินฮ่องเต้น้อยพูดอะไรอีก เขาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาแต่แหงนหน้ามองไปข้างบน คล้ายกำลังจับจ้องสิ่งหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ พอลองเอี้ยวหน้ามองตามก็พบว่าสิ่งนั้นคือตัวชือเหวิ่นสูงใหญ่ทำจากแก้วที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดหลังคา

มองขึ้นไปจากมุมนี้ ชือเหวิ่นเชิดเศียรตั้งตรงเสียดเมฆ หลุบตามองสรรพชีวิตเบื้องล่างอย่างผู้อยู่เหนือกว่า

เขาไม่เข้าใจท่าทีฮ่องเต้น้อย และไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงก้มหน้าลงอีกครั้ง คาดเดาไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ยิ่งเห็นจย่าซิวจ้องมองตนเองก็ยิ่งร้อนรนจนไม่กล้าขยับตัว ระหว่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น เสียงเดิมก็พลันดังเข้าหูเป็นครั้งที่สอง

“ให้คนของเจ้าประสานกับหลันหรงควบคุมกองทหารประตูนภากาศ สกัดเฉินหลุนไว้นอกวังหลวง วันนี้หลังเลิกประชุมราชสำนักเราจะรั้งตัวอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้เอง”

เด็กหนุ่มบอกเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไปโดยมีจย่าซิวตามหลัง

เกาเฮ่อได้สติหลุดจากภวังค์ หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ในอก ยินดีเจียนคลั่ง

เขาเข้าใจแล้ว! ในที่สุดฮ่องเต้น้อยก็ตัดสินใจได้เสียที!

การศึกทางเหนือยังมองไม่ออกว่าจะจบลงอย่างไร ด้วยความเจ้าเล่ห์ของซู่เซิ่นฮุย ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะงัดข้อกับฮ่องเต้น้อยต่อหน้าขุนนางในการประชุมราชสำนัก เว้นเสียแต่จะไม่กลัวตกเป็นที่ติฉินของผู้คนทั้งใต้หล้าเท่านั้น ถึงจะแข็งข้อใส่อย่างเปิดเผย…หากจะทำเช่นนั้นจริง ซู่เซิ่นฮุยคงไม่ต้องเปลืองแรงวางแผนสงครามใหญ่ชายแดนเหนือครั้งนี้ขึ้นมา อีกประการหนึ่งในตำหนักยังมีจย่าซิวนำคนจับตาเฝ้าดูอยู่ ชายหนุ่มทำอะไรโฉ่งฉ่างในการประชุมเช้านี้ไม่ได้แน่ ต่อให้อยากตอบโต้เขาก็ต้องรอให้ประชุมเสร็จก่อน

เห็นทีอีกฝ่ายคงกระเสี้ยนกระสันอยากดันหญิงสกุลเจียงขึ้นรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เต็มแก่ ถึงได้เข้าประชุมราชสำนักตามแผนการเดิม

สำหรับพวกเขาการควบคุมความเคลื่อนไหวของเฉินหลุนคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้

ซู่เซิ่นฮุยคงคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าฮ่องเต้น้อยจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าก้าวหนึ่ง วันนี้หลังเลิกประชุม รอจนขุนนางออกไปแล้ว ฮ่องเต้น้อยจะฆ่าเจ้าตัวกลางตำหนักอย่างนั้นหรือ

แต่พริบตาเดียวเกาเฮ่อก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ หากเขาเป็นฮ่องเต้น้อย สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงชิงอำนาจกลับมาแล้วจับอีกฝ่ายขัง ละเว้นชีวิตไว้ เพื่อใช้เป็นตัวควบคุมกองทัพที่เยี่ยนเหมินต่อไป รอให้เสร็จสงครามและดึงอำนาจทางการทหารกลับคืนมาก่อน เมื่อถึงเวลานั้นแค่พูดคำเดียวก็สามารถชี้เป็นชี้ตายซู่เซิ่นฮุยได้อยู่แล้ว

“น้อมรับพระบัญชา!”

เกาเฮ่อโขกศีรษะให้แผ่นหลังที่คล้อยห่างออกไป รู้สึกสงบใจได้เสียที

ซู่เจี่ยนเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่ ฝ่าเท้าโหวงหวิวเหมือนย่างย่ำอยู่บนเมฆ

เช้าตรู่วันนี้เขากลับจากประตูทักษิณมาที่ตำหนักบรรทมด้วยความรู้สึกมึนตื้อ พอได้ยินเสียงย่ำกลองเรียกเข้าประชุมลอยแว่วมาจากทางตำหนักเซวียนเจิ้งก็อยากปิดประตูตำหนักให้แน่นแล้วไม่ออกไปข้างนอกอีกเลย จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเสด็จอาสามของตนไปชั่วชีวิต

ทว่าเสียงกลองเรียกประชุมที่สร้างความพรั่นพรึงให้เขายังคงดังไม่หยุด

เมื่อข้าราชบริพารนำความมาบอกเป็นครั้งที่สามว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการและเหล่าขุนนางรอฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการอยู่ในตำหนักเซวียนเจิ้ง เขาก็ค่อยๆ กลับมามีสติโดยสมบูรณ์

เรื่องราวลุกลามมาถึงขั้นนี้ เขาหนีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

นี่เป็นทางตันที่เขาต้องเผชิญหน้าตรงๆ

เมื่อก่อนหากมีคนบอกเขาว่าสักวันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะต้องแค่นหัวเราะเสียงขึ้นจมูกใส่ แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าหากเสด็จอาสามของเขาอยากได้ราชบัลลังก์ เขาจะรีบยกให้ด้วยความยินดีเลยทีเดียว

แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้

เขาไม่อาจทำได้

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดตนเองถึงได้เดินมาถึงจุดนี้

เขาออกคำสั่งให้จัดการคนที่เคยไว้ใจที่สุดด้วยตนเอง

เรื่องทั้งหมดดูเหลวไหลเหลือเชื่อ ไม่ควรเกิดขึ้นได้จริง เหมือนเป็นฝันร้ายอย่างนั้น

คิดแล้วก็แค้นใจนัก แค้นเสด็จพ่อที่แม้ตายไปก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เขาอยู่อย่างเป็นสุข แค้นหลี่ไท่เฟยที่ยังมีชีวิตอยู่ แค้นเกาเฮ่อกับหลันหรง แค้นทุกคนที่ผลักเขามาอยู่ในหุบเหวที่ไม่อาจหวนกลับ

หากไม่มีคนเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา

ทุกคนรวมหัวกันพาเขามายืนตรงหุบเหวอย่างไม่มีวันย้อนกลับไปได้

ภายภาคหน้าเขาจะไม่มีวันปล่อยคนเหล่านั้นไปเด็ดขาด

ซู่เจี่ยนหยุดยืนบนถนนกลางวังหลวง เหลือบตาแดงก่ำของตนขึ้นมองผ่านสายม่านมุกที่ห้อยบังหน้าผากไปยังยอดหลังคาสูงตระหง่านของตำหนักใหญ่ที่อาบแสงอรุณอยู่เบื้องหน้าพลางคิดในใจอย่างเย็นชา

กาลเวลาไหลรินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้านในตำหนักเซวียนเจิ้งค่อยๆ สว่างขึ้นเป็นลำดับ จนมองเห็นดวงหน้าที่แสดงความรู้สึกแตกต่างกัน

เหล่าขุนนางต่างฉงนสงสัย แต่เพราะเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการยังคงยืนประจำตำแหน่งด้านหน้าอย่างมั่นคง แผ่นหลังสงบนิ่ง จึงจำต้องสะกดความรู้สึกต่างๆ แล้วรอต่อไปบ้าง

ในที่สุดเมื่อท้องฟ้าสว่างจ้าหลันหรงก็ก้าวฉับๆ เข้ามาในตำหนักเป็นคนแรก ก้มหน้าเดินลิ่วไปหาตำแหน่งประจำภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง จากนั้นก็เอาแต่หลุบตายืนนิ่งไม่ขยับ คนถัดมาคือเกาเฮ่อ ทว่าผิดกับหลันหรง เจ้าตัวเชิดหน้าก้าวเดินอย่างองอาจมั่นใจ ระบายยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า ผงกศีรษะทักทายคนที่ได้ยินเสียงแล้วหันมามอง ปรายตามองหลันหรงด้วยสายตาเหยียดหยามตอนเดินผ่าน สุดท้ายก็หยุดยืนตรงตำแหน่งของตน

ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่เสียงอึงอลดังขึ้นในตำหนัก ร่างที่อยู่หน้าสุดยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับไม่ได้ยินเสียงใด

ผ่านไปอีกสักพักเสียงประกาศลากยาวก็ดังออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก “ฮ่องเต้เสด็จ…”

ทุกคนมองขึ้นไป เห็นฮ่องเต้น้อยเดินเข้ามาโดยมีขบวนเกียรติยศนำหน้า

ซู่เซิ่นฮุยนำขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่ข้างหลังคุกเข่ารับเสด็จ เด็กหนุ่มก้าวขึ้นฐานบัลลังก์ไปนั่ง สั่งให้ลุกขึ้น จากนั้นก็บอกด้วยเสียงต่ำขรึมว่าเช้าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายจึงพักเล็กน้อยถึงค่อยออกมา

เหล่าขุนนางพากันปลอบโยน

เวลานี้เป็นยามเหม่าสี่เค่อ

การประชุมราชสำนักวันนี้ล่าช้าไปถึงครึ่งชั่วยามเต็ม เมื่อเริ่มเปิดประชุมก็เป็นไปตามความคาดหมายของทุกคน ประเด็นแรกที่อ๋องผู้สำเร็จราชการยกขึ้นมาเสนอฮ่องเต้น้อยคือคำขอของเจียงจู่วั่งที่สร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในราชสำนักเมื่อสามวันก่อน

ชายหนุ่มกล่าว “อดีตฮ่องเต้พระราชทานนามฉางหนิงให้ มิใช่เพราะนางเป็นบุตรสาวของใคร นางรู้จักภูมิประเทศแถบชายแดนเหนือโดยละเอียด สร้างผลงานทางการศึกเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ และได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพน้อยใหญ่ในกองทัพ นางมีความสามารถพอจะรับหน้าที่นี้ กระหม่อมคิดว่านอกจากนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีความสามารถพอจะแบกรับตำแหน่งสำคัญนี้ได้อีก”

เสียนอ๋องก้าวออกมาแสดงความเห็นพ้องทันที ตามด้วยพวกฟางชิงที่ทยอยออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

จากนั้นกลุ่มขุนนางที่ไม่กล้าออกเสียงก็พบว่าวันนี้เกาเฮ่อที่เคยเป็นหัวหอกคัดค้านเมื่อสามวันก่อนไม่พูดอะไรสักคำ

พอเกาเฮ่อไม่ออกเสียง พวกพ้องของเขาย่อมไม่กล้าทะเล่อทะล่าพูดอะไรเอง ได้แต่คอยเหลือบมองเขาเงียบๆ แต่วันนี้เขาเหมือนเป็นใบ้ จนแล้วจนรอดก็ไม่แสดงอากัปกิริยาใดๆ

ในสายตาคนจำนวนมาก ความคิดเห็นของเกาเฮ่อก็คือความคิดเห็นของฮ่องเต้น้อย

ประเด็นนี้จึงจบลงอย่างง่ายดาย

ข้อเสนอของอ๋องผู้สำเร็จราชการได้รับการเห็นชอบท่ามกลางเสียงเห็นพ้องทั้งท้องพระโรง

เจียงหานหยวนจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนบิดาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน กำกับควบคุมสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ทางเหนือในปัจจุบัน

ประเด็นใหญ่สุดในการประชุมราชสำนักวันนี้คลี่คลายอย่างรวดเร็ว ไม่มีการปะทะกันทางความคิดเห็นเหมือนอย่างที่คาดเดาไว้

หลังจบประเด็นนี้ซู่เซิ่นฮุยไม่ได้พูดอะไรอีก

เขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้าทั้งสิ้น เหมือนเร้นกายล่องหน พอเขาเงียบไป บรรยากาศในตำหนักก็ผ่อนคลายขึ้นทันตา

ขุนนางอาวุโสคนอื่นก้าวออกมาพูดเรื่องงานในกรมกองของตนตามปกติ แล้วถวายฎีการอหนังสือสั่งการจากฮ่องเต้น้อย

การประชุมดำเนินมาถึงช่วงท้ายในลักษณะนี้

ขุนนางจำนวนมากที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะกลัวว่าวันนี้จะถูกบีบให้เลือกข้างต่างลอบพรูลมหายใจกันถ้วนหน้าเหมือนได้รับอภัยโทษ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าจย่าซิวพกกระบี่ก้าวเข้าตำหนักอย่างไร้สุ้มเสียง มายืนเงียบในมุมไม่สะดุดตาใกล้ประตูตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้

สุดท้ายก็ได้เวลาเลิกประชุมเสียที

“ฝ่าบาทตรัสว่าหากวันนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดจะรายงานแล้ว ให้เลิกประชุม…”

ขันทีประจำตำหนักที่ยืนข้างฐานราชบัลลังก์ลากเสียงประกาศยาวเหยียดอีกครั้ง พอสิ้นเสียงนั้น กลุ่มขุนนางเตรียมคำนับส่งเสด็จ นึกไม่ถึงว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการกลับก้าวออกจากแถวเป็นคำรบสอง

ทุกคนชะงักแล้วหันไปมอง เห็นเขาคำนับฮ่องเต้น้อยที่อยู่บนราชบัลลังก์ จากนั้นก็ยืดตัวยืนตรง

“กระหม่อมยังมีอีกเรื่องที่ต้องกราบทูลฝ่าบาท”

ตำหนักโอ่อ่าเงียบกริบ มีเพียงเสียงของอ๋องผู้สำเร็จราชการกล่าวต่อไปว่า “ฝ่าบาทน่าจะยังทรงจำได้ ต้นปีที่แล้วกระหม่อมเคยถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน หากตอนนั้นมิใช่ดวงยังไม่ถึงฆาตจนแคล้วคลาดมาได้ กระหม่อมคงตายไปนานแล้ว ในที่สุดกระหม่อมก็ได้สืบจนกระจ่างแล้วว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร…”

ชายหนุ่มนิ่งไป

ราวกับโยนหินลงน้ำ เกิดวงคลื่นกระจายออกมาวงแล้ววงเล่าอย่างนั้น

ไม่มีใครคาดคิดทั้งสิ้นว่าอยู่ๆ เขาจะยกเรื่องที่เกือบถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้วขึ้นมาตอนกำลังจะเลิกประชุมราชสำนักในวันนี้

บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังความประหลาดใจผ่านพ้น ทุกคนในที่นั้นล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ซู่เซิ่นฮุยหมุนตัวมาไล่สายตาไปตามใบหน้าเหล่าขุนนาง แต่ละคนที่สายตาของเขากวาดผ่านต่างอกสั่นขวัญแขวนอย่างห้ามไม่อยู่ เขามองหน้าคนใกล้ตัวทีละคน ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนใบหน้าหลันหรง ฝ่ายนั้นหน้าผิดสี สัมผัสได้ถึงไอชื้นที่ซึมออกมาบนหน้าผาก แต่แล้วเขาก็พลันถอนสายตาไปมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้กันแทน “คนที่วางแผนลอบสังหารกระหม่อมก็คือเสนาบดีกรมทหาร เกาเฮ่อ”

ฮ่องเต้น้อยขยับพรวด แต่เพิ่งจะผละออกจากราชบัลลังก์ก็พลันหยุดชะงักกลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งกลับลงไปใหม่ ทว่าตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขาแม้แต่คนเดียว คนทั้งตำหนักย้ายสายตาจากหลันหรงไปหาเกาเฮ่อกันหมด

ตอนแรกเกาเฮ่อหน้าถอดสีเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเยือกเย็นเป็นปกติ ร้องลั่นว่าถูกปรักปรำ ขอให้ฮ่องเต้น้อยช่วยคืนความเป็นธรรมให้ตน ขุนนางคนหนึ่งที่เป็นผู้จงรักภักดีต่อเขาอย่างยิ่งก็ช่วยพูดเช่นกัน “เสนาบดีเกาเป็นคนสมถะ จิตใจกว้างขวาง มีคุณความดีเป็นที่นับหน้าถือตา ครานั้นท่านอ๋องทรงถูกลอบสังหาร หากทรงประสงค์จะสืบหาตัวคนร้ายก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทรงชี้ชัดเช่นนี้โดยไร้หลักฐาน คงทำให้ผู้อื่นคล้อยตามไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ดวงตาซู่เซิ่นฮุยฉายแววอำมหิตดุดัน ตวัดมองคนพูดดุจสายฟ้าคมกริบ ขณะย้อนถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “หน้าอย่างเจ้าเป็นใครกัน! มีสิทธิ์อันใดมาสอดปากเรื่องนี้”

หลายปีที่ผ่านมาเขาขึ้นชื่อเรื่องความสุภาพถ่อมตนและให้เกียรติผู้ทรงภูมิ อย่าว่าแต่ขุนนางราชสำนักเลย ต่อให้เป็นทหารองครักษ์ทั่วไปในวังหลวงเขาก็ไม่เคยยกตนข่ม

การแสดงอำนาจที่เหนือกว่าตำหนิขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจริงๆ

พอเขาพูดเช่นนั้น ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ตำหนักเซวียนเจิ้งอันกว้างใหญ่เงียบสงัดไร้สรรพเสียง ขุนนางที่ถูกเขาเอ็ดอึงหน้าแดงสลับซีด ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ลนลานทิ้งตัวคุกเข่าหมอบกรานกับพื้น

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! กระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ! อ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดทรงแสดงหลักฐานด้วย! หากมีหลักฐานชัดเจนจริง กระหม่อมยอมรับโทษทัณฑ์อยู่แล้ว! แต่หากอ๋องผู้สำเร็จราชการทรงนำหลักฐานมาแสดงไม่ได้ก็เท่ากับว่าทรงปรักปรำ…”

เสียงแก้ต่างของเกาเฮ่อดังขึ้นในตำหนัก แต่เพียงครู่เดียวก็เงียบหายไป เขากับคนอื่นเห็นซู่เซิ่นฮุยเดินไปหาจย่าซิวก็พากันฉงนงงงวย ไม่รู้ว่าชายหนุ่มทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด

จย่าซิวไม่คาดคิดเลยว่ากำลังจะเลิกประชุมอยู่แล้วแท้ๆ กลับเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ขึ้น

เดิมทีเขาได้รับคำสั่งว่าเมื่อเลิกประชุมราชสำนักแล้ว รอจนขุนนางออกไปหมด เขาจะต้องนำกำลังคนไปขวางอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้

นี่คือภารกิจที่เขาต้องทำและจะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น เขาไม่รู้เลยว่าอยู่ๆ ฉีอ๋องซู่เซิ่นฮุยเดินมาหาตนในเวลาอย่างนี้คิดจะทำอะไรกันแน่

จย่าซิวยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของตำหนัก มองฝ่ายตรงข้ามก้าวมาทางตนช้าๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกที เขาเกร็งเครียดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือค่อยๆ ยกขึ้นทีละนิดโดยไม่รู้ตัวเพื่อเอื้อมไปหากระบี่เล่มยาวที่ห้อยเอว

จังหวะที่กำลังจะจับด้ามกระบี่เขาก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการหยุดยืนตรงหน้า สองตาจ้องมองเข้ามาในตาเขา จากนั้นก็ยื่นมือออกมา

ชั่วเสี้ยวขณะจิตนั้นจย่าซิวพลันบรรลุวาบ เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด

ปลายนิ้วเขากระชับจับด้ามกระบี่ในพริบตาเดียวกัน ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า

เขาสัมผัสได้ว่ากระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวเบาโล่งขึ้นทันใด พอก้มหน้ามองก็พบว่าด้ามกระบี่อยู่ในมือคนตรงหน้าแล้ว

ทีละกระเบียด…ทีละนิ้วในตอนแรก กระบี่เล่มนั้นถูกชักออกจากฝักอย่างแช่มช้า แต่เพียงไม่กี่อึดใจให้หลังเสียงกระบี่เล่มยาวเสียดสีฝักดังเช้งก็ส่งกังวานชัดเจน จากนั้นกระบี่ทั้งเล่มก็ไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามในชั่วพริบตา

ความจริงระหว่างนั้นจย่าซิวมีโอกาสขัดขวาง ทว่าสายตาที่มองจ้องมาของคนตรงหน้าสยบการตอบสนองทุกอย่างของเขาไว้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการถือกระบี่ที่ชักออกจากเอวตนหมุนตัวเดินไปแล้ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ซู่เซิ่นฮุยถือกระบี่คมกริบส่องประกายวาววับเล่มนั้นเดินดุ่มไปหาเกาเฮ่อพร้อมไอสังหารที่พลันโชติโชนขึ้นในแววตา ทุกคนเห็นแล้วต่างตื่นตระหนกพรั่นพรึง ทว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง มีแต่พากันถอยกรูด

ทีแรกเกาเฮ่อไม่หวั่นเกรงเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง แม้ว่าเมื่อครู่อยู่ๆ ซู่เซิ่นฮุยจะรื้อฟื้นเหตุลอบสังหารเมื่อปีกลายขึ้นมาเอาผิดกับเขา เขาก็ไม่กังวลเท่าใดนัก

เพราะตอนนี้เขารู้เจตนาของฮ่องเต้น้อยแล้ว ซู่เซิ่นฮุยยังจะทำอะไรเขาได้

แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นจิตสังหารในแววตาคนที่ถือกระบี่ตรงเข้ามาหา หลังความตื่นตระหนกผ่านพ้นเขาก็สะท้านเฮือก ความหวาดกลัวสุดขีดพุ่งจากใต้ฝ่าเท้าขึ้นมาแผ่ลามไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว

เหตุไฉนเขาจึงเลอะเลือนเพียงนี้!

คนที่อยู่ตรงหน้าคือโอรสของฮ่องเต้เซิ่งอู่!

ภายใต้ภาพลักษณ์สุขุมนุ่มนวลนี้ หากไม่มีเนื้อแท้อันเฉียบขาดดุดันของฮ่องเต้เซิ่งอู่แฝงอยู่ มีหรือจะสามารถกำจัดเกาอ๋องและนำพาราชสำนักดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน!

พริบตานี้เองที่เสนาบดีกรมทหารได้ตระหนัก

ชายหนุ่มไม่คิดจะรอเล่นงานเขาหลังจบเรื่อง

แต่จะฆ่าเขาตรงๆ ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก!

เกาเฮ่อสะดุ้งวาบในใจ สัญชาตญาณแม่ทัพเก่าทำให้เขาเอื้อมมือไปหาเอวทันที ต่อเมื่อคว้าได้เพียงความว่างเปล่าถึงเพิ่งนึกได้ว่าตนไม่มีอาวุธติดตัว

ก่อนเข้าร่วมประชุมราชสำนักในตำหนัก ขุนนางใหญ่ทุกคนจะต้องให้เจ้าหน้าที่วังหลวงค้นตัวอย่างเคร่งครัดตามกฎ ห้ามพกของมีคมใดๆ เข้ามาข้างในเป็นอันขาด

“เจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทหรือไรกัน” เกาเฮ่อหันไปหาฮ่องเต้น้อย “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ทรงมีรับสั่งเลิกการประชุมราชสำนักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาถอยกรูดไปข้างหลังพลางตะโกนบอกฮ่องเต้น้อยเสียงดังลั่น แต่เวลานี้ภายในตำหนักตกอยู่ในความสับสนอลหม่านเรียบร้อยแล้ว คนรอบตัวเขาพากันถอยหนีจ้าละหวั่น ไม่เว้นแม้แต่ขุนนางที่ช่วยแก้ต่างแทนเขาเมื่อครู่ กลุ่มทหารองครักษ์หน้าตำหนักได้สติ รีบวิ่งกรูเข้ามาล้อมฮ่องเต้น้อยไว้ตรงกลาง

ซู่เซิ่นฮุยเหมือนมองไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว ยังคงสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปหาเกาเฮ่อพลางตวาดเสียงกร้าว “ข้าเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งก่อนเสด็จสวรรคต แต่โจรกบฏเยี่ยงเจ้ากลับวางแผนลอบสังหารข้า! ไม่เพียงเท่านั้นเจ้ายังหลอกลวงเบื้องสูง ภายนอกแสร้งทำเป็นออกจากราชสำนัก แต่แท้ที่จริงลอบหาสมัครพรรคพวก แบ่งฝักฝ่าย ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าแฝงเจตนาโฉดช้าอันใดไว้ ที่เลวร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือเวลานี้ต้าเว่ยเปิดศึกอันเป็นสงครามที่เริ่มเตรียมการมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เซิ่งอู่ เจ้ากลับเป็นตัวตั้งตัวตีโน้มน้าวผู้คนให้ไขว้เขว สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด ปล่อยคนโฉดช้าสามานย์เยี่ยงเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์!”

เวลานี้จย่าซิวนำคนที่ให้ซุ่มรออยู่นอกตำหนักในตอนแรกวิ่งเข้ามาแล้ว

ซู่เซิ่นฮุยชะงักเท้า หันไปตวาด “ผู้ใดกล้าขวางข้า!”

สีหน้าของเขาเฉียบขาด ดวงตาวาววับน่ากลัว เสียงตวาดทรงอำนาจชวนสะท้านดุจสายฟ้า ส่งกังวานก้องสะท้อนไปตามมุมต่างๆ ของตำหนัก

จย่าซิวกับทหารจากกองทหารรักษาพระองค์หยุดชะงักในบัดดลเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ ไม่มีใครอาจหาญเข้าไป ได้แต่ทำตาปริบๆ มองเขาถือกระบี่เดินไปหยุดลงตรงหน้าเสนาบดีกรมทหาร

เกาเฮ่อขนหัวลุก ถูกไล่ฟันจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ต้องอาศัยชั้นเชิงยุทธ์ของทหารเก่าที่มีถึงหลบพ้นอย่างหวุดหวิด จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น หมายจะพุ่งไปทางฐานบัลลังก์ที่ฮ่องเต้น้อยนั่งอยู่เพื่อแย่งดาบจากองครักษ์

แต่แล้วในพริบตานั้นเองเขาก็ถูกสกัดทางไว้

กระบี่แหลมคมเล่มนั้นพุ่งปราดราวกับอสรพิษเข้ามาหาลำคอ

เลือดทั้งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง เกาเฮ่อเหลือบตาขึ้นสบประสานสายตาเย็นเยียบที่มองมาจากตรงหน้า

ชั่วขณะจิตนั้นเมื่อเขาได้ประจันหน้ากับโอรสของฮ่องเต้เซิ่งอู่ผู้นี้ในระยะประชิด ใกล้จนมองเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตาอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาถึงเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้

วันนี้บุรุษตรงหน้าจะฆ่าเขาให้ทุกคนเห็น ใช้พระเดชสยบราชสำนักไม่ให้ผู้อื่นกล้ากำแหงเป็นปรปักษ์กับตนอีก

แต่กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไป

ไอเย็นเยือกของความตายแผ่ออกจากลำคอที่ถูกปลายกระบี่จ่อ ขยายไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว

“หยุดนะ!”

ในจังหวะที่เขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวและสิ้นหวังสุดกู่ โอกาสแห่งชีวิตก็พลันกลับมาอีกครั้ง!

เสียงตวาดแหลมสูงดังเข้าหู เขาเห็นได้จากหางตาว่าหลี่ไท่เฟยพรวดพราดเข้ามาในตำหนักเซวียนเจิ้งโดยมีหลันไทเฮาช่วยประคอง สองตาของนางถลึงกว้าง ปากแผดเสียงดังลั่น “ข้ามีพระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้! ฉีอ๋องซู่เซิ่นฮุยอาศัยอำนาจในตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการหลอกลวงฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์หมายจะขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง ผิดต่อหน้าที่ที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝังไว้ก่อนเสด็จสวรรคต ให้ลงโทษประหารชีวิต! ทหาร! ฆ่ามัน…”

เสียงแผดตะโกนของหลี่ไท่เฟยดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง เกาเฮ่อรู้สึกมีความหวังว่าจะรอดชีวิต แต่แล้วทันใดนั้นเองเส้นแสงสีขาวก็ตวัดผ่านหน้าไปในพริบตา

นอกจากลำคอที่เย็นวาบก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใด เขารับรู้ได้ว่าศีรษะตนเองโยกไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ สองตามองเห็นว่าอยู่ๆ โลกก็หมุนกลับหัว พื้นตำหนักพลันเลื่อนเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ประสาทรับรู้เสี้ยวสุดท้ายที่เหลือในสมองทำให้เขาสัมผัสได้ว่าตนเองร่วงลงไปกระแทกพื้นโดยแรง จากนั้นสีแดงฉานเข้มข้นที่ไหลเนืองนองก็ปรากฏสู่สายตา

หัวตกลงบนพื้น

ซู่เซิ่นฮุยเก็บกระบี่กลับมา

เขาใช้กระบี่ตัดหัวเกาเฮ่อ เสนาบดีกรมทหารคนปัจจุบันในฉับเดียว

เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอไร้หัวของศพที่ยังยืนอยู่ สาดกระเซ็นเต็มพื้น ร่างของเกาเฮ่อโงนเงนอยู่ไม่กี่ทีก็เอนเอียงจนล้มลงกระแทกพื้นในท้ายที่สุด หัวที่ถูกตัดขาดกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นเรียบเกลี้ยงเป็นมันเงาของตำหนัก ลากรอยเลือดสีแดงฉานเป็นทางยาว จนไปหยุดลงตรงปลายเท้าขุนนางคนหนึ่ง

คนทั้งตำหนักหน้าถอดสี ขุนนางผู้โชคร้ายผู้นั้นหน้าซีดเผือด ตะลีตะลานถอยหลังกรูดพร้อมกับคนรอบตัวอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต แล้วดันเกิดสะดุดขากันเองจนล้มระเนระนาดก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นไปหลายคน

หลันไทเฮาหวีดร้องสุดเสียง จากนั้นก็ทรงตัวยืนไม่อยู่ หมดสติทรุดฮวบ

หลี่ไท่เฟยได้สติจากความตื่นตระหนกพรั่นพรึง หันไปอุทธรณ์กับฮ่องเต้น้อย “ฝ่าบาท! เห็นแล้วหรือไม่! พระราชโองการฉบับสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้อยู่ตรงนี้ เหตุใดถึงยังไม่สั่งให้คนฆ่ามันอีก…”

ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยเนิบๆ “ท่านเป็นเจ้าของตำหนักตุนอี้ กลับไปบำรุงวัยอยู่แต่ในตำหนักในเถิด”

หลี่ไท่เฟยยกมือชี้หน้าชายหนุ่ม ทว่ามือสั่นเสียไม่มีดี ทันใดนั้นร่างก็โอนเอนแล้วล้มพับไปกับพื้นอีกคน

ร่างเจ้าเนื้อล้มลงบนพื้น น้ำลายเป็นฟองฟอดไหลออกจากมุมปากช้าๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นถลึงจ้องร่างที่ถือกระบี่ยืนอยู่ตรงหน้า พยายามขยับปากพะเยิบพะยาบอยู่หลายครั้ง แต่นอกจากเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ความแล้วก็เปล่งเสียงอื่นใดไม่ออก

แสงอรุณแดงฉานราวกับเลือดเรืองรองอยู่บนผืนฟ้าด้านนอก

ดวงตะวันสีโลหิตทอรัศมีสาดแสงเข้ามาทางประตูตำหนัก

ชายหนุ่มมีคราบเลือดเปื้อนหน้าเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เต็มไปด้วยพลังของกระบี่คมกริบที่เป็นอิสระจากฝัก

ไม่มีขุนนางคนใดในตำหนักกล้าสบตาด้วย ทุกคนคุกเข่าเรียงราย ตำหนักเซวียนเจิ้งเงียบกริบไร้สรรพเสียง เหลือเพียงเสียงอึ้กๆ อย่างไม่ยอมแพ้ของหลี่ไท่เฟยที่ฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ

ซู่เซิ่นฮุยโยนกระบี่ในมือทิ้งดังเคร้ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดคราบเลือดบนแก้ม จากนั้นก็หันไปคุกเข่าให้ฮ่องเต้น้อยที่นั่งตะลึงงันเป็นรูปแกะสลักหินอยู่บนบัลลังก์ “กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทตกพระทัย กระหม่อมจะขอรับโทษในภายหลัง”

เขาโขกศีรษะคำนับเด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปบอกกลุ่มคนข้างหลัง “วันนี้หมดเรื่องแล้ว เลิกประชุมราชสำนักได้”

น้ำเสียงราบเรียบ พอสิ้นประโยคนั้นก็ไม่มีใครโอ้เอ้อยู่ต่อ

ข้ารับใช้ที่ตามมาจากตำหนักในพาหลี่ไท่เฟยกับหลันไทเฮาออกไป

เสียนอ๋อง ฟางชิง รวมทั้งหลันหรง ทุกคนทยอยกันออกจากตำหนักอย่างเงียบเชียบ

จย่าซิวออกไปเป็นคนสุดท้าย

เขาเห็นฮ่องเต้น้อยไม่แสดงท่าทีใดๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บกระบี่ชุ่มเลือดขึ้นจากพื้นแล้วสั่งให้คนช่วยกันหามศพออกไป

สุดท้ายตำหนักอันโอ่อ่ากว้างใหญ่จึงเหลือเพียงซู่เซิ่นฮุย ซู่เจี่ยน และแสงตะวันที่เอิบอาบสว่างไสวทั่วโถงตำหนัก

ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นอำพรางภายใต้แสงเจิดจรัสของรุ่งอรุณได้เลย

ละอองฝุ่นเหลือคณานับบนโลกนี้คล้ายโลดเต้นกลางลำแสงที่ฉายส่องเข้ามาในตำหนัก

ซู่เซิ่นฮุยทอดสายตาผ่านม่านฝุ่นในแสงเรืองรองไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ฝ่าบาท ระหว่างที่กระหม่อมยืนรออยู่ในนี้ตอนเช้าตรู่ ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ากระหม่อมกลัวอะไรมากที่สุด”

ใบหน้าของซู่เจี่ยนบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาค่อยๆ เหยียดลำคอแข็งเกร็งของตนขึ้นมามองบุรุษที่ยืนประจันหน้ากับตนเองโดยมีลำแสงกั้นขวาง

“กระหม่อมกลัวที่สุดว่าฝ่าบาทจะเลือกหนี ไม่กล้ามาเจอกระหม่อมที่นี่ โชคดีที่สุดท้ายฝ่าบาทยังยอมมาทำสิ่งที่ตนเองควรทำ ไม่ปล่อยให้กระหม่อมผิดหวัง จากนี้ไปกระหม่อม…วางใจได้อย่างแท้จริงแล้ว”

เขาเอ่ยเอื้อนออกมาทีละคำ

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: