บทที่หนึ่ง
เนิ่นนานหลายปีให้หลังตราบจนมู่ฝูหลันเติบใหญ่ นางยังคงไม่อาจลืมเลือนเหตุการณ์ในปีที่ย่างเข้าวัยหกขวบตอนอาหญิงลาจากไปชั่วนิรันดร์ในวังเฟิ่งอี๋ รวมถึงทุกถ้อยคำซึ่งนางได้กล่าวกับตนก่อนสิ้นใจในราตรีนั้น
อาหญิงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซา นอกจากรูปโฉมแล้ว นางยังมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลด้านคุณธรรมและความสามารถ ต่อมาไทเฮาคัดเลือกนาง ให้รั้งตำแหน่งฮองเฮาของราชวงศ์ผู้ครองวังเฟิ่งอี๋
ดูไปแล้วนี่เป็นเรื่องทรงเกียรติชั้นใดเล่า
ตั้งแต่แผ่นดินนี้ก่อตั้งขึ้นจวบจนบัดนี้เป็นเวลาสองร้อยปีแล้ว เมื่อแรกก่อร่างสร้างเมืองมีการแต่งตั้งพระราชทานครั้งใหญ่ทั่วหล้า ไม่เพียงแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ให้เป็นเจ้าแคว้นต่างๆ ทั่วทุกสารทิศ ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องต่างสกุล ให้แก่ขุนนางที่สร้างคุณูปการหลายตระกูลเป็นกรณีพิเศษตามความดีความชอบ
บรรพบุรุษสกุลมู่เป็นหนึ่งในผู้ได้รับเกียรตินี้เช่นกัน ด้วยสร้างคุณความชอบใหญ่หลวงจึงได้รับแต่งตั้งเป็นฉางซาอ๋อง ปกครองอาณาเขตเยวี่ยโจวและถานโจวสองแห่ง นับจากนั้นสกุลมู่ก็โยกย้ายรกรากสู่แดนใต้ ลงหลักปักฐานอยู่ที่ริมทะเลสาบต้งถิงมาทุกชั่วอายุคน
ฉางซาอ๋องหลายรุ่นต่อมาล้วนจดจำคำสั่งสอนของบรรพชนได้ขึ้นใจ
‘หน้าที่ต่อแว่นแคว้น ดูแลความสงบเรียบร้อย รักใคร่ชาวเมืองดุจลูกหลาน
หน้าที่ต่อแผ่นดิน ค้ำจุนราชสำนัก จงรักภักดีต่อฮ่องเต้’
เมื่อแผ่นดินดำรงอยู่สืบมาจนทุกวันนี้ ท่านอ๋องต่างสกุลของราชวงศ์หลายๆ ตระกูลบ้างถูกปลด บ้างถูกยึดอาณาเขตเพราะความผิดฐานต่างๆ กันไป ส่วนคนอื่นที่เหลือก็ตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นล่อแหลมเต็มที
ยกเว้นแคว้นฉางซาเพียงแห่งเดียวที่แม้เป็นแว่นแคว้นเล็ก ทว่าอดีตเจ้าแคว้นหลายรุ่นต่างใส่ใจดูแลงานบ้านงานเมือง รักใคร่ราษฎร และซ่อนคมงำประกาย กอปรกับพื้นที่ตั้งอยู่ไกลไปทางทิศใต้ ยังได้อาศัยทะเลสาบต้งถิงที่กว้างใหญ่ถึงแปดร้อยหลี่กับแม่น้ำฉางเจียงเป็นปราการธรรมชาติ จึงห่างไกลจากความวุ่นวายขัดแย้งของจงหยวนสุขสงบร่มเย็นประหนึ่งเมืองในจินตนาการ อีกทั้งน้องสาวของฉางซาอ๋องผู้เป็นที่ชื่นชมยกย่องของหมู่ราษฎรก็ได้รับคัดเลือกจากเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงให้รับตำแหน่งผู้ครองตำหนักในอีก
สำหรับชาวฉางซาแล้ว นี่เป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาน่าภาคภูมิใจเพียงใดเล่า
ปีที่อาหญิงออกจากเมืองเยวี่ยริมทะเลสาบต้งถิงถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงเพื่อเป็นฮองเฮานั้น มู่ฝูหลันยังไม่เกิด
นับแต่นางรู้ความเป็นต้นมา มิใช่ครั้งเดียวที่ได้ยินพวกนางข้าหลวงเก่าแก่ในเรือนพูดว่าตนเองมีประพิมพ์ประพายคล้ายอาหญิง ยามเอ่ยถึงภาพความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งที่น้องสาวของท่านอ๋องออกเดินทางจากต้งถิง ใบหน้าของทุกคนยังมีร่องรอยลำพองใจในเกียรติยศที่ได้รับในวันนั้นหลงเหลืออยู่ให้เห็น
มาตรว่าอาหญิงไม่เคยเห็นหน้ามู่ฝูหลัน แต่น่าจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของหลานสาวซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับตนเองผู้นี้มาบ้าง ส่งผลให้นางเอาใจใส่มู่ฝูหลันไปเสียทุกเรื่องมาโดยตลอด
หลังจากมู่ฝูหลันตัวน้อยถือกำเนิดก็มีของขวัญจากเมืองหลวงไม่ขาดสาย นางเองยังใฝ่ฝันถึงเสด็จอาหญิงตามคำเล่าขานซึ่งอยู่ไกลถึงในพระราชวังที่เมืองหลวงท่านนั้น วาดหวังเต็มอกอยากได้พบหน้าอาหญิงของตนเสมอ
นางเฝ้าอธิษฐานขอพรต่อท่านเทพจวินซานอยู่บ่อยๆ
และแล้วราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำภาวนาของนาง
ปีที่นางอายุย่างหกปี ความปรารถนาในใจก็กลายเป็นความจริง
ปีนั้นฮองเฮาทรงพระครรภ์ ฉางซาอ๋องกับชายาได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวงถวายพระพร
บิดากับมารดาพามู่ฝูหลันพร้อมด้วยพี่ชายเดินทางรอนแรมขึ้นเขาลงห้วยนานเกือบหนึ่งเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวง
ตอนแรกมู่ฝูหลันนึกว่าเมืองเยวี่ยที่นางอยู่มาตั้งแต่เล็กจนโตนั้นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ส่วนเรือนริมทะเลสาบที่ถูกชาวฉางซาเรียกขานว่า ‘ตำหนักหลวง’ นั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดบนพื้นปฐพี
จวบจนมาถึงเมืองหลวงแล้วได้ประสบพบเจอความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของนครแห่งโอรสสวรรค์ ยังได้เห็นที่อยู่ของอาหญิงซึ่งเรียกว่า ‘พระราชวัง’ แห่งนั้น มู่ฝูหลันถึงล่วงรู้ว่าความคิดของตนในกาลก่อนตรงกับคำกล่าวที่ว่า ‘กบในกะลา’ ปานใด
พระราชวังเบื้องหน้าก่อสร้างอย่างงดงามวิจิตร กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาเสียจนไม่อาจมองเห็นว่ามันไปสิ้นสุดตรงจุดใด นั่นเป็นภาพของความหรูหราตระการตาและยิ่งใหญ่อลังการสุดจะพรรณนาได้
วังเฟิ่งอี๋ที่อาหญิงพำนักอยู่นั้นยิ่งโอ่อ่าภูมิฐาน ตกแต่งประดับประดาด้วยฝีมือบรรจงประณีต
ท่ามกลางหมู่ตำหนักที่แผ่ประกายอร่ามสง่างามมลังเมลืองจับตาจับใจ มู่ฝูหลันได้พบกับอาหญิงของนาง…สตรีสูงศักดิ์ที่สุดในพระราชวังแห่งนี้
อาหญิงแต่งกายละม้ายชาวสวรรค์ รูปโฉมก็งามสะคราญทัดเทียมเทพธิดา ดวงหน้าของนางมีรอยยิ้มยามให้มู่ฝูหลันตัวน้อยนั่งตักตนเองโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากมารดาของเด็กหญิง ยังประทับจูบอบอุ่นบนพวงแก้มเล็กๆ ทีหนึ่ง
นางเป็นดั่งเช่นที่มู่ฝูหลันนึกภาพไว้ทุกประการ
อาหญิงชมชอบมู่ฝูหลัน มู่ฝูหลันก็ชมชอบอาหญิงเฉกเดียวกัน ภายหลังเมื่อบิดามารดาพาพี่ชายกลับฉางซา อาหญิงก็รั้งตัวมู่ฝูหลันไว้อยู่เป็นเพื่อนในพระราชวัง
ในช่วงเวลาอันสุขใจที่มีหลานสาวคอยอยู่เคียงข้างนี้ ครรภ์ของอาหญิงก็ใหญ่ขึ้นทุกวันตามลำดับจนกระทั่งถึงวันคลอด
หากสิ่งที่มู่ฝูหลันคาดไม่ถึงคืออาหญิงจะคลอดยาก เป็นเหตุให้เกิดอาการตกเลือดตามมา
สำหรับพระโอรสพระองค์นั้น หลังลืมตาดูโลกไม่นานก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
ส่วนอาหญิงนอนไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมในวังเฟิ่งอี๋มาสามสี่วันแล้ว
ตลอดเวลานี้มู่ฝูหลันตั้งจิตอธิษฐานต่อท่านเทพจวินซานที่ทะเลสาบต้งถิงบ้านเกิดของตน วิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอาหญิงให้รอดพ้นเคราะห์ภัยนี้ไปได้
ในใจของเด็กหญิงตัวน้อย ท่านเทพจวินซานคือเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุดและเมตตากรุณามากที่สุดแห่งฟ้าดิน
วันชุนเฟิน* ของทุกปี บิดามารดาจะตระเตรียมเครื่องเซ่นไหว้เป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด พานางกับพี่ชายและขุนนางของฉางซาเดินเท้าจากเชิงเขาถึงยอดเขาไปบวงสรวงท่านเทพจวินซานโดยไม่นั่งเสลี่ยงหามเพื่อแสดงความศรัทธา
เพราะว่ามีเทพเจ้าปกปักรักษา แคว้นฉางซาถึงฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
แล้วก็เป็นเพราะท่านเทพบันดาลให้สมปรารถนา นางจึงมาถึงเมืองหลวงได้พบหน้าอาหญิง
ทว่าครานี้เทพเจ้าประจำเขาจวินซานกลับไม่ได้ยินคำอ้อนวอนของนางดังเคย
กลางดึกของวันนั้น นางร่ำไห้จนเหนื่อยอ่อนนอนฟุบอยู่ข้างกายอาหญิง แต่แล้วเด็กหญิงซึ่งหลับสนิทอยู่ก็ตื่นขึ้นกะทันหัน
ข้างหูนางคลับคล้ายมีเสียงเพลงท่อนหนึ่งลอยแว่วมาจากซอกมุมใดของพระราชวังก็สุดรู้
‘…ทิศหรดีมีคุนหมิง เหนือท้องสมุทรปรากฏนกคายทอง…ไข่มุกแท้แลมันสมองเต่า ถ่มเศษทองคำดุจเมล็ดข้าว… ’
‘…ไม่มีทองปี้หานตกแต่งกาย ไหนเลยจะมัดพระทัยกษัตริย์…ไม่สวมเครื่องประดับฝังทองปี้หาน ไหนเลยจะได้รับความโปรดปราน…’
ยามนั้นมู่ฝูหลันตัวน้อยไม่รู้ว่าบทเพลงที่ตนได้ยินแฝงความหมายใด นางเพิ่งมาเข้าใจในภายหลังเมื่อเจริญวัยขึ้น
เล่าขานกันว่าแคว้นคุนหมิงมีนกคายทองโผบินอยู่กลางทะเลไกลโพ้น ในสมัยฮ่องเต้เว่ยหมิง แคว้นนี้นำนกนี้มาถวาย ใช้ไข่มุกแท้กับมันสมองเต่าเลี้ยงดู หลังจากนั้นมันจะถ่มทองจากปากเหมือนเมล็ดข้าว คนใดเอาไปทำเป็นเครื่องประดับศีรษะสวมใส่แต่งกายเสริมความงาม ฮ่องเต้ได้ยลโฉมเป็นต้องหยุดฝีเท้า ประทานความรักความเมตตาให้คนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้เหล่าสตรีฝ่ายในจึงต่างยื้อแย่งทองคำที่นกชนิดนี้ถ่มออกจากปาก นำไปใช้ทำเครื่องประดับ และตั้งชื่อทองคำนี้ว่า ‘ปี้หาน’ เพราะว่านกชนิดนี้ไม่กลัวความหนาวนั่นเอง
โถงตำหนักเงียบเชียบ บทเพลงนี้แว่วมาพร้อมพระพายราตรีโชยพัดเปลวเทียนข้างตัวไหววูบวาบ เสียงโหยละห้อยแผ่วๆ คล้ายล่องลอยมาจากแดนปรโลก ยามดึกสงัด ภายในห้องที่ไร้สุ้มเสียงจึงฟังดูน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
ครึ่งปีที่อยู่ในพระราชวัง มู่ฝูหลันเคยได้ยินนางกำนัลน้อยแอบเล่าให้ฟังลับๆ ว่ามีผีสาวที่พวกนางมองไม่เห็นสิงสถิตไม่ยอมไปผุดไปเกิดอยู่ในที่ที่เรียกขานว่า ‘ตำหนักเย็น’ มาหลายร้อยปีแล้ว ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งยามค่ำมืดดึกดื่น นางกำนัลที่โดนภูตผีวิญญาณตามหลอกหลอนยังได้ยินเสียงเพลงโหยหวนดังมาจากทิศทางนั้น
ตอนแรกมู่ฝูหลันไม่เชื่อ
เป็นไปได้อย่างไรที่สถานที่สูงส่งเจิดจรัสอย่างวังหลวง จะมีวิญญาณอาฆาตไม่ยอมไปที่ใด
แต่ชั่วขณะนี้นางกำลังตื่นกลัวเมื่อพบว่าคลับคล้ายมีเสียงเพลงพิลึกพิลั่นลอยมาเข้าหูตนจริงๆ
หากที่สร้างความพรั่นพรึงให้นางยิ่งกว่าคือนางกำนัลและนางข้าหลวงผลัดดึกที่อยู่ใกล้ๆ พวกนั้น
พวกนางไร้ท่าทีอันใด บางคนพิงเสาแอบสัปหงกเพราะอ่อนเพลียเต็มที บางคนน้ำตารินอยู่ข้างแท่นบรรทมเฝ้ามู่ฮองเฮาจากแคว้นฉางซาที่ดีต่อพวกนางเป็นนิจซึ่งตอนนี้ยังสลบไสลอยู่
ทว่าบทเพลงโหยหวนราวกับยังดังขาดเป็นห้วงๆ อยู่ที่ริมหู
ในเวลานี้เอง มู่ฝูหลันเห็นแพขนตาที่หลุบลงของอาหญิงซึ่งหมดสติไปหลายวันกะพริบเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนดวงตาจะลืมขึ้นอย่างช้าๆ
นางฟื้นขึ้นแล้วเหม่อมองม่านคลุมผ้าต่วนปักลายหงส์กลางดงโบตั๋นเหนือศีรษะด้วยแววตาเลื่อนลอย ชั่วอึดใจต่อมามู่ฝูหลันเห็นกลีบปากของนางเผยออ้าออก พูดพึมพำอะไรสักอย่าง
สุ้มเสียงของนางเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่มู่ฝูหลันกลับอ่านจากริมฝีปากของนางได้ว่าเป็นคำร้องของเสียงเพลงแว่วๆ เมื่อครู่นี้ซ้ำไปซ้ำมา
‘ไม่มีทองปี้หานตกแต่งกาย ไหนเลยจะมัดพระทัยกษัตริย์…ไม่สวมเครื่องประดับฝังทองปี้หาน ไหนเลยจะได้รับความโปรดปราน’
‘อาหญิง!’
มู่ฝูหลันร้องเรียกเสียงหนึ่งแล้วเอื้อมจับมือของอาหญิงไว้ นัยน์ตาซึ่งมีน้ำตาปริ่มซึมแฝงความยินดีหลายส่วน
นางกำนัลและนางข้าหลวงด้านข้างได้ยินเสียงก็พากันล้อมวงเข้ามา
ใบหน้าของอาหญิงซีดเผือดราวกับหิมะขาวโพลนที่โปรยปรายเหนือยอดเขาจวินซาน
ชั่วครู่ถัดมานางค่อยๆ หันหน้ามาเอานิ้วมือเย็นเฉียบวางแตะบนมือเล็กของมู่ฝูหลันเบาๆ เปล่งเสียงอ่อนระโหยสั่งให้ทุกคนในห้องออกไปให้หมด
เหล่านางกำนัลและนางข้าหลวงถอยออกจากตำหนักด้านในอย่างปราศจากสุ้มเสียง
เสียงเพลงที่ดังอยู่ข้างโสตประสาทนั้นลอยแว่วมาอย่างไร้ร่องรอยและเงียบหายไปอย่างไร้วี่แวว
สรรพเสียงรอบด้านเงียบลง หูโล่งสงบ
อาหญิงกล่าวเสียงเบา ‘หลันเอ๋อร์ ร้องเพลงที่ชาวฉางซาของเราร้องตอนพ่อของเจ้าไต่เขาจวินซานขึ้นไปบวงสรวงขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์สักเพลงเถอะ อาหญิงไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้ว อยากฟัง…’
มู่ฝูหลันเช็ดน้ำตาออกเป็นการใหญ่แล้วผงกศีรษะแรงๆ จากนั้นขับร้องลำเนาเพลงที่คุ้นปากนางเสียเหลือเกินเพลงนั้น
‘ไท่ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ ปราดเปรื่องดุจเทพ ทรงประทานพืชพันธุ์ หล่อเลี้ยงบำรุงชีวิตข้า…ไท่ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ เก่งกาจเทียมฟ้า ทรงแบ่งสี่ฤดู บันดาลความสมบูรณ์แก่ข้า’
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงที่ดังสะท้อนก้องอยู่ภายในห้องกว้างอันเงียบเชียบของวังเฟิ่งอี๋ใสกระจ่างไพเราะประหนึ่งเสียงสวรรค์
มุมปากของอาหญิงโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างเชื่องช้า
มู่ฝูหลันร้องต่อกันไปเพลงแล้วเพลงเล่า ร้องเพลงนี้จบก็ร้องอีกเพลงหนึ่งให้อาหญิงฟังเรื่อยๆ
เริ่มแรกอาหญิงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ต่อมานางค่อยๆ หลับตาลงเหมือนว่าเหนื่อยล้าแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ มู่ฝูหลันได้ยินนางพูดงึมงำ ‘เสนาบดีหยวน ตอนนี้สบายดีหรือไม่’
มู่ฝูหลันอึ้งไป เสียงร้องเพลงหยุดลง
นางเคยได้ยินมารดาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงระลึกถึงว่าเสนาบดีหยวนของแคว้นฉางซาเป็นแขนขาของบิดา แต่เขาป่วยตายไปเมื่อสองสามปีก่อน
ชั่วชีวิตของเสนาบดีหยวนมิได้ตกแต่งภรรยา หลังเขาล่วงลับไปก็เหลือเพียงบุตรบุญธรรมทิ้งไว้คนเดียว ว่ากันว่าเก็บได้ข้างรังหมาป่าในภูเขาลึกตอนวัยหนุ่ม ตั้งชื่อให้ว่า ‘ฮั่นติ่ง’ มารดารับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดูประหนึ่งลูกในไส้ เขาอายุมากกว่ามู่ฝูหลันหลายขวบ แต่กลับโอนอ่อนผ่อนตามนางทุกอย่างเสมือนพี่ชายอีกคนหนึ่งของนาง
‘อาหญิง เสนาบดีหยวน…เขาล้มป่วยจากไปแล้วเจ้าค่ะ’
มู่ฝูหลันไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดจู่ๆ อาหญิงก็เอ่ยถามถึงเสนาบดีหยวน นางชั่งใจเล็กน้อยแล้วกล่าวตอบเสียงค่อย
อาหญิงไม่ขยับตัว ทว่าแพขนตาพลันกะพริบเป็นคำรบที่สอง นางลืมตาช้าๆ คล้ายสติแจ่มใสอีกครั้ง
‘นั่นสิ เขาจากไปแล้ว…ข้าลืมไป’
นางพึมพำกับตนเองคำหนึ่งด้วยสุ้มเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
‘อาหญิง ท่านต้องหายดีนะเจ้าคะ’
ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างไหลบ่าท่วมตัวเด็กน้อยมู่ฝูหลันดั่งสายน้ำเชี่ยวกรากก็ไม่ปาน
เด็กหญิงเกาะขอบเตียง มือเล็กๆ กำฝ่ามืออ่อนนุ่มเย็นชื้นข้างนั้นของอาหญิงไว้แน่น หลั่งน้ำตาพลางเรียกขานนางไม่หยุด
อาหญิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างยากลำบาก ใช้ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตาที่ไหลพรากๆ บนหน้าเด็กหญิงออกเบาๆ นัยน์ตาคู่งามเพ่งมองมู่ฝูหลัน กล่าวเสียงแผ่วต่ำ ‘พวกเขาล้วนบอกว่าอาหญิงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซา แต่แวบแรกที่อาหญิงเห็นเจ้า ก็รู้ว่ารอเมื่อหลันเอ๋อร์เติบใหญ่ขึ้นต่างหากจึงจะเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซาโดยแท้’
นางยิ้มน้อยๆ พูดไปทีละคำๆ ‘หลันเอ๋อร์ ตลอดชีวิตของเจ้าต้องโชคดีกว่าอาหญิงแน่นอน อาหญิงจะขอพรให้เจ้าและคุ้มครองเจ้า’
นางออกแรงกุมมือของมู่ฝูหลันไว้
ละม้ายว่าต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะถ่ายทอดความปรารถนาในใจตนให้สวรรค์รับรู้ได้
นางข้าหลวงพาหมอหลวงรุดมาถึงอย่างเร่งร้อนจากทางเบื้องหลัง
ท้ายที่สุดอาหญิงก็ไม่อาจยืนหยัดผ่านด่านนั้นมาได้ นางไม่ต้องการให้มู่ฝูหลันเห็นวาระสุดท้ายของตน บอกให้คนใช้อุ้มเด็กหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกไป
ตอนฟ้าสาง มู่ฝูหลันได้ยินนางกำนัลบอกว่าอาหญิงของนางจากไปแล้ว จากไปอย่างสงบยิ่ง สีหน้าเหมือนหลับใหลไปเฉกเช่นยังมีชีวิตอยู่
พริบตาเดียวผ่านไปสิบปีแล้ว
บางทีอาจจะมากกว่าสิบปีก็เป็นได้
นานแสนนานปานนั้น วันเวลาก็ล่วงเลยไปเช่นนี้
นางมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องเพลงให้อาหญิงฟังในอดีตอีก กระนั้นทุกถ้อยทุกวาจาที่อาหญิงพูดกับนางในราตรีนั้น จวบจนบัดนี้เมื่อมู่ฝูหลันนึกขึ้นมาก็ยังดังวนเวียนอยู่ในหู ทว่าคำอวยพรในช่วงวาระสุดท้ายของอาหญิงยังคงไม่เป็นจริง
คนในยุคนี้กล่าวว่าสตรีสกุลมู่ของแคว้นฉางซาทุกรุ่นต้องมีรูปโฉมล้ำเลิศคนหนึ่ง
แม้รูปโฉมงดงามไม่เป็นสองรองใคร แต่เส้นทางชีวิตกลับแสนขรุขระ ไม่ได้พบจุดจบที่ดี
ชะรอยว่านี่คงเป็นชะตากรรมของสตรีสกุลมู่
จากทะเลสาบต้งถิงเข้าสู่แม่น้ำฉางเจียงลัดเลียบริมฝั่งทวนกระแสน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันตก ข้ามอำเภอเจียงหลิง เขตสยาโจว เขตกุยโจว ผ่านอำเภอปาตง เลาะไปตามอำเภออูซาน ไม่ไกลจากเส้นทางอันทุรกันดารของแดนสู่ ก็จะเป็นเขตขุยโจว ที่นี่มีอำเภอเก่าแก่แห่งหนึ่ง เล่าขานว่าความเป็นมาของอำเภอสามารถไล่เลียงย้อนกลับไปถึงเมื่อแรกบุกเบิกแผ่นดินของราชวงศ์นี้ ชาวสกุลเซี่ยสายหนึ่งของราชวงศ์ก่อน รอนแรมอพยพมาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่แห่งนี้เพื่อหลบหนีเภทภัย และให้กำเนิดลูกหลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนทุกวันนี้ผู้คนในอำเภอนี้ยังคงแซ่เซี่ยเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘อำเภอเซี่ย’
แสงแรกของอรุณรุ่งทอลอดหน้าต่างฉลุลายตัวอักษร ‘วั่น’ กรุกระดาษค่อนข้างเก่าคร่ำคร่าบานหนึ่ง สาดส่องไปทั่วห้องให้สว่างไสวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ในห้องโถงกลางของคฤหาสน์สกุลเซี่ยวันนี้ นายหญิงเซี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่ริมตั่งเช่นเคย นางกำลังรอคอยมู่ฝูหลันลูกสะใภ้มาแสดงคำนับยามเช้า จากนั้นช่วยสวมรองเท้าและสางผมให้ วันใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
มู่ซื่อ* เป็นธิดาของฉางซาอ๋องที่ล่วงลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว และเป็นขนิษฐาของฉางซาอ๋ององค์ปัจจุบัน
ไม่ว่าศักดิ์ฐานะเดิมจะสูงหรือต่ำ เมื่อออกเรือนมาอยู่กับตระกูลสามีแล้ว การแสดงคำนับเช้าเย็นก็คือสิ่งจำเป็น เพราะนี่เป็นหลักแห่งความกตัญญูกตเวทีของผู้มีความสัมพันธ์เป็นลูกสะใภ้กับมารดาสามี
กระนั้นการสวมรองเท้าสางผมให้มารดาสามีทุกวัน สำหรับสตรีสกุลมู่แล้วอาจมีเสียงติติงว่าเป็นการลดเกียรติอย่างเลี่ยงได้ยาก
ดังนั้นพอลูกสะใภ้เสนอตัวจะปรนนิบัตินางในเรื่องเหล่านี้จึงทำให้นายหญิงเซี่ยเหนือความคาดหมาย อีกทั้งยังตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้มู่ซื่อแต่งเข้ามานานครึ่งปี นิสัยใจคอนุ่มนวลอ่อนโยนสมเป็นแม่ศรีเรือน ให้ความเคารพนับถือและปรนนิบัติพัดวีนางได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มิเคยวางท่าถือตนเป็นธิดาอ๋องให้เห็นแม้สักกระผีก ไม่ว่าทางกิริยาหรือวาจา จากที่เคยสงวนทีท่าในทีแรก นายหญิงเซี่ยค่อยๆ คุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ ถึงขั้นรู้สึกว่านี่สมควรถูกต้องดีอยู่แล้ว
นายหญิงเซี่ยตื่นเช้าเป็นนิสัย ลูกสะใภ้ก็ทำตามอย่างนาง ลุกจากเตียงตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่างมาคอยอยู่ที่โถงเรือนยามเหม่าทุกวันเสมอ แต่วันนี้เลยเวลามาแล้วยังไม่เห็นมู่ซื่อปรากฏตัว แม่นมมู่ที่เรือนปีกตะวันออกซึ่งติดตามมารับใช้ผู้เป็นนายที่ตระกูลสามีเพียงส่งสาวใช้นางหนึ่งมาแจ้งว่าเช้านี้ฮูหยินน้อยตื่นสายสักหน่อย ฝากคำขอขมามาให้ฮูหยินผู้เฒ่าก่อน อีกประเดี๋ยวถึงมาแสดงคำนับ เป็นเหตุให้นางเริ่มไม่พึงใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวคิ้วก็ย่นเข้าหากันทีละน้อย
ชิวจวี๋สาวใช้ที่มีหน้าตาสะสวยอยู่หลายส่วนของสกุลชีถูกส่งมารับใช้นายหญิงเซี่ยเมื่อหลายปีก่อนหน้ายืนอยู่ด้านข้าง นางมีนามเดิมว่า ‘ชิวหลัน’ แต่ต้องเปลี่ยนใหม่เพื่อเลี่ยงไม่ให้ชื่อซ้ำกับประมุขหญิงของเรือน หลังนางจับน้ำเสียงและพิศดูสีหน้านายหญิงแล้ว ก็กระซิบพูดเบาๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ มิใช่บ่าวจะปากมาก แม้ว่าฮูหยินน้อยออกเรือนมาจากแคว้นฉางซา แต่วันนี้ไม่เป็นเช่นวันวานแล้ว สามปีก่อนตอนเพิ่งหมั้นหมายกัน แคว้นฉางซายังนับว่าดีอยู่ แต่หลังท่านฉางซาอ๋ององค์เดิมสิ้นไปอำนาจก็เสื่อมถอยลงปีแล้วปีเล่า ส่วนคุณชายของเราหลายปีนี้กลับก้าวหน้ารุ่งโรจน์ อย่างเมื่อตอนต้นปีที่แต่งงานกับนาง ทางราชสำนักก็แต่งตั้งคุณชายเป็นผู้บัญชาการกองทัพเหอซี บ่าวได้ยินมาว่าแม้แต่หลิวไทเฮาเมื่อได้พบกับคุณชายของเรายังต้องแย้มสรวลให้ ตรัสวาจาด้วยอย่างมีไมตรีเพื่อดึงตัวไปเป็นพวกนะเจ้าคะ รอคราวนี้คุณชายปราบกบฏได้สำเร็จ ยิ่งต้องได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ใบหน้านายหญิงเซี่ยถึงมีรอยยิ้ม
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ท่านเห็นฮูหยินน้อยเป็นดั่งลูกในไส้ สงสารที่นางลำบากลำบนออกเรือนมาอยู่ต่างถิ่น ให้ความใกล้ชิดมากกว่าบุตรสาวแท้ๆ แต่นี่นางเพิ่งแต่งเข้ามาที่นี่ไม่ทันไร กลับไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา ปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องคอยนานสองนานเสียแล้ว”
นางเดาะลิ้นเสียงจึกจักดังกังวาน
“บ่าวรู้แต่ว่าลูกสะใภ้ปรนนิบัติแม่สามีเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม เป็นหนแรกที่เห็นคนพึ่งใบบุญของสกุลเดิมให้แม่สามีรอลูกสะใภ้เผยโฉม”
รอยยิ้มบนหน้านายหญิงเซี่ยเลือนหายไป สีหน้าเริ่มฉายแววไม่ชอบใจอยู่สักหน่อย นางกล่าวว่า “เจ้าไปดูทางนั้นซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สายตะวันโด่งแดดส่องกลางหลังคาแล้ว หรือว่านางยังไม่ตื่นนอน?”
ชิวจวี๋ขานตอบเสียงใส เดินส่ายสะโพกตัวปลิวไปตามระเบียงยาวจนถึงเรือนปีกตะวันออกอย่างว่องไว
บรรพบุรุษของสกุลเซี่ยเป็นลูกหลานแซ่เซี่ยสายตรงที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ในราชวงศ์ก่อน ในรุ่นปู่เทียดเซี่ยยังเป็นคหบดีใหญ่ในท้องถิ่น จะพูดว่ามีที่นาอุดมสมบูรณ์นับหมื่นฉิ่งกินอาณาเขตเกือบครึ่งหนึ่งของอำเภอเซี่ยก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด เรือนประจำตระกูลหลังนี้ก็เคยเป็นคฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าที่สุดของอำเภอ แต่ภายหลังปู่ทวดเซี่ยติดพนัน ส่งผลให้สกุลเซี่ยเริ่มตกอับ จนมาถึงรุ่นบิดาของเซี่ยฉางเกิง นายท่านเซี่ยก็ตกต่ำกลายเป็นหัวหน้าจุดพักม้าในอำเภอ อาศัยเบี้ยหวัดน้อยนิดประทังชีพเลี้ยงดูครอบครัว หลังจากเซี่ยฉางเกิงก่อคดีแล้วหนีไปตอนอายุสิบสี่ คฤหาสน์สกุลเซี่ยก็ถูกทิ้งร้างอยู่นานระยะหนึ่ง จนกระทั่งสองสามปีก่อนสกุลเซี่ยกลับมาผงาดอีกครั้ง นายหญิงเซี่ยจะย้ายกลับเรือนถึงได้ซ่อมแซมต่อเติมคฤหาสน์ ส่วนเรือนปีกตะวันออกนี้ก็ปรับปรุงใหม่อีกทีตอนต้นปีที่เขาแต่งงานกับมู่ซื่อ
เซี่ยฉางเกิงแต่งงานกับธิดาอ๋องสกุลมู่ของแคว้นฉางซาตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ
ผ่านไปครึ่งปีกว่าแล้ว ขณะนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง แม้แผ่นตัวอักษรมงคลคู่ยังติดอยู่บนประตูหน้าต่าง ทว่ามันมิอาจทนแดดและลมฝนได้ สีแดงเข้มสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลแต่เดิมค่อยๆ ซีดลงกลายเป็นสีอ่อนจางรางเลือน
“แม่นมมู่ ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตั้งแต่เช้า รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นฮูหยินน้อย เลยใช้ให้ข้ามาดูทางนี้ ถ้าหากฮูหยินน้อยปวดหัวตัวร้อน แม่นมก็บอกกล่าวข้าสักคำ ข้าจะได้กลับไปบอกต่อ ไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าจับเจ่าเฝ้ารอไปเรื่อยๆ นะเจ้าคะ”
ชิวจวี๋ยืนอยู่ตรงหัวมุมระเบียงที่เชื่อมสู่เรือนปีกตะวันออก พูดกับแม่นมมู่ น้ำเสียงของนางอาจฟังดูนอบน้อม แต่จริงๆ แล้วแฝงความไม่เคารพอยู่ในที
ในกาลก่อนแม่นมมู่เป็นคนระดับใดเล่า
ธิดาอ๋องระหกระเหินเดินทางมาแต่งงานในที่ห่างไกลกันดารเฉกอำเภอเซี่ยนี้ตามคำมั่นสัญญา ทว่าในคืนงานพิธีมงคล เซี่ยฉางเกิงเพิ่งก้าวเข้าห้องหอ ราชสำนักก็ส่งม้าเร็วถือพระราชโองการมาเรียกตัวอย่างเร่งด่วนที่สุด เขาถอดชุดเจ้าบ่าวแล้วออกจากเรือนไปอย่างรีบร้อนในราตรีเดียวกัน มุ่งหน้าไปปราบกบฏเจียงตูอ๋องจนบัดนี้ยังไม่หวนคืนมา
ครึ่งปีกว่ามานี้ธิดาอ๋องซึ่งได้รับความรักใคร่โปรดปรานล้นเหลือจากครอบครัวในกาลก่อนคอยปรนนิบัติพัดวีนายหญิงเซี่ยทั้งเช้าเย็นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกๆ เรื่องต้องลงมือทำเองโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ นางล้วนมองเห็นกับตา
หากนายหญิงเซี่ยผู้นี้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็แล้วไป เผอิญนางเป็นคนจิตใจตื้นเขิน เห็นธิดาอ๋องสุภาพอ่อนน้อมและจิตใจดี อาศัยบารมีน้อยนิดของบุตรชายก็เชิดหน้าวางปึ่ง หลงสำคัญตนผิดเสียแล้ว นับวันยิ่งไม่ให้เกียรติธิดาอ๋องมากขึ้นทุกที
แม่นมมู่ล่วงรู้ว่าหัวใจของธิดาอ๋องผูกติดอยู่กับสามีสกุลเซี่ยอย่างมากถึงได้ยอมทนคับข้องหมองใจ ดังคำกล่าวว่า ‘เมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน’ แม้ว่าในใจขุ่นเคืองเป็นทุกข์ แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยา เรื่องบางเรื่องจะพูดอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่ถนัดปาก ปกติยามอยู่ต่อหน้าธิดาอ๋องนางจึงทำได้เพียงพูดสะกิดเตือนทางอ้อม ครั้นเห็นผู้เป็นนายหาได้ใส่ใจไม่ นางเองก็ได้แต่อดกลั้นไว้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาธิดาอ๋องตื่นแต่เช้าทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออก มีวันใดบ้างที่มิได้ไปที่หน้าเรือนใหญ่แต่เช้าตรู่รอประตูเปิดแล้วเข้าไปปรนนิบัติมารดาสามี
มีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดธิดาอ๋องถึงได้ชักช้าไม่ลุกจากเตียงสักที เมื่อครู่นางกลัวนายหญิงเซี่ยจะรอนานจึงส่งคนไปบอกความแล้ว
ทว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็มาเร่งแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่สาวใช้ต่ำต้อยที่มาจากสกุลชียังถึงกับกล้ามาพูดจาเยี่ยงนี้ที่นี่ด้วย
นี่ถ้าเป็นเมื่อครั้งวัยสาว เกรงว่าแม่นมมู่คงสะบัดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายไปฉาดหนึ่งแต่แรก
สาวใช้สองสามคนที่รอรับใช้ธิดาอ๋องหลังตื่นนอนตรงหน้าประตูได้ยินวาจานี้ก็พากันทำสีหน้าขึ้งเคียด
จูอวี๋ซึ่งอารมณ์ร้อนมากที่สุดยากจะข่มไฟโทสะไว้ได้ นางกล่าวเสียงเย็นชา “อยู่ดีๆ ก็พูดแช่งท่านหญิงของข้าตั้งแต่เช้า อันใดคือสุกรคลุกโคลนสุนัขขี้เรื้อน* วันนี้ถือว่าข้าได้ประสบพบเห็นแล้ว”
ชิวจวี๋สะอึกไป ใบหน้าแดงก่ำทันควัน ขณะที่นางตั้งท่ากล่าวต่อเพื่อกู้หน้าคืน แม่นมมู่ก็เอ่ยปากขึ้น “ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ารอนานเป็นความบกพร่องของพวกข้าเอง แต่เมื่อครู่ส่งคนไปบอกความแล้ว ไม่นับว่าเสียมารยาทจนเกินไป อย่าลืมว่าถึงเป็นในราชสำนัก โอรสสวรรค์ก็พระราชทานอนุญาตให้ขุนนางมีเหตุติดขัดลาหยุดได้ นับประสาอะไรกับคนครอบครัวเดียวกันอย่างแม่สามีกับลูกสะใภ้”
นางกล่าวจบก็หันหน้าไปสั่งงานตันจู สาวใช้อีกคนที่สุขุมหนักแน่นกว่า “เจ้าไป! นำคำพูดเมื่อครู่ของข้าบอกต่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้วค่อยกล่าวขอขมาอีกที ท่านผู้อาวุโสคงไม่ถึงกับถือสาหาความเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้”
ตันจูขานรับแล้วหมุนกายจะเดินออกนอกเรือน
ด้านชิวจวี๋นั้นปกติก็กริ่งเกรงแม่นมมู่ที่มาจากวังของฉางซาอ๋องผู้นี้อยู่บ้าง ขณะได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ สายตายังจับจ้องตนเองนิ่งๆ ก็กลืนถ้อยคำที่ปลายลิ้นกลับลงไปไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกจากปากอีก นางก้มหน้าหมุนกายตั้งท่าจะกลับ ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากเรือนปีกตะวันออกเลยเบนสายตาไป เห็นประตูเปิดอ้าออกแล้ว มู่ซื่อปรากฏตัวที่หน้าห้อง
ใบหน้าของนางขาวซีด ดวงตาคู่งามแดงช้ำเล็กน้อย แต่สีหน้าแววตาสงบนิ่งอย่างยิ่งยวด
ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าเหตุไฉนดูท่าทางกลับคล้ายเป็นคนละคนกับเมื่อวาน
สายตาของนางมองตรงมาที่ตัวชิวจวี๋
“เจ้าอยู่ที่นี่พอดี ไปบอกท่านแม่ให้ทราบว่าวันนี้ข้าจะออกเดินทางกลับบ้านเกิด รอเก็บสัมภาระเรียบร้อยข้าจะไปคารวะอำลาที่เรือนท่านแม่อีกที” ว่าแล้วก็หันไปทางแม่นมมู่กับพวกสาวใช้นอกประตูที่ได้ยินแล้วตกใจยกใหญ่
“เก็บข้าวของโดยเร็วที่สุด เตรียมรถม้าและจัดกำลังคน ออกเดินทางวันนี้เลย ข้าจะกลับทะเลสาบต้งถิง”
นางกำชับจบแล้วก็หันหลังกลับเข้าห้อง
แม่นมมู่เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นางก้าวเท้าตามเข้าไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ธิดาอ๋องเดินทางออกจากทะเลสาบต้งถิง รอนแรมข้ามน้ำข้ามภูเขาตามเส้นทางแดนสู่ไปถึงขุยโจวเพื่อแต่งเข้าสกุลเซี่ย สำหรับเรื่องที่ในคืนเข้าหอเจ้าบ่าวทอดทิ้งนางจากเรือนไปอย่างรีบร้อนนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ด้วยนับเป็นเหตุสุดวิสัย ทว่าครึ่งปีกว่ามานี้การอดทนเพื่อทุกฝ่ายของธิดาอ๋อง และการที่นายหญิงเซี่ยมองไม่เห็นความดีของนาง มีเหล่าคนรับใช้ที่ติดตามออกเรือนมายังสกุลเซี่ยคนใดบ้างที่ไม่เห็นอยู่กับตา นึกสงสารอยู่ในใจ
ไม่คิดไม่ฝันว่าตื่นเช้าขึ้นมา ธิดาอ๋องกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พออ้าปากก็บอกว่าจะกลับทะเลสาบต้งถิง แทบจะเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานให้เลยทีเดียว
พวกสาวใช้บางคนตามเข้าห้องไปเก็บสัมภาระ บางคนวิ่งออกไปบอกให้ผู้ดูแลระดมกำลังคนงาน รีบจัดรถม้าเตรียมเดินทางอย่างว่องไวทันใด แต่ละคนทำงานกันด้วยความสำราญบานใจเต็มที่
ด้านแม่นมมู่นั้นต่างจากพวกสาวใช้ที่คึกคักร่าเริง แม้นางรู้สึกคับข้องหมองใจแทนธิดาอ๋องเป็นอันมาก และรู้สึกไม่พึงใจต่อสกุลเซี่ยอยู่บ้าง แต่การตัดสินใจนี้ของธิดาอ๋องออกจะกะทันหันเกินไปจริงๆ อีกทั้งดูผิดปกติสักหน่อย
นางนึกไปถึงดวงตาเปื้อนคราบน้ำตาอย่างปิดไม่มิดของธิดาอ๋องตอนเพิ่งเปิดประตูปรากฏตัวออกมา ในใจยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น นางเข้าห้องไปเห็นธิดาอ๋องกำลังลงมือพับอาภรณ์ตัวในสองสามชิ้นเองแล้วสองจิตสองใจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปใกล้ๆ เอ่ยถามเสียงเบา “เมื่อเช้าท่านหญิงร้องไห้หรือเจ้าคะ จะบอกกับแม่นมได้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงอยากกลับทะเลสาบต้งถิง”
มู่ฝูหลันเบือนหน้ามาก็ปะทะเข้ากับสายตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของแม่นมมู่ที่เพ่งมองตนอยู่ พาเอาความปวดร้าวพุ่งขึ้นกลางอกอีกระลอก
มันเป็นความรู้สึกรวดร้าวที่แฝงความคับแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดไว้ แต่ก็คละเคล้าไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน
บิดามารดาของนางรักมั่นคงต่อกัน แม้บิดาจะครองตำแหน่งฉางซาอ๋อง แต่ตลอดชีวิตของท่านมีมารดาเป็นชายาแค่เพียงคนเดียว หลังจากมารดาล้มป่วยล่วงลับไปตอนนางอายุสิบขวบ อาการบาดเจ็บเรื้อรังจากการรบทัพจับศึกในวัยหนุ่มของบิดาก็กำเริบขึ้นอีก ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลงทุกวัน จนในปีที่นางอายุสิบสามปี หลังบิดาเลือกคู่ครองให้นางได้ไม่นานก็ติดตามมารดาไป
มาตรว่าในชาตินี้บิดามารดาจะจากไปแล้วทั้งคู่ นางก็ยังชอกช้ำกับความสูญเสียที่ละม้ายอยู่ในห้วงฝันลวงตานั่น หากในใจกลับรับรู้ได้จริงๆ ว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นที่รักในภพก่อน แล้วก็เป็นความเจ็บปวดแทบขาดใจเยี่ยงนั้นที่ทำให้นางตื่นขึ้นแล้วหยุดร้องไห้ไม่ได้เมื่อเช้านี้
ทว่านางยังโชคดีอยู่
นางได้กลับมาเป็นตนเองตอนอายุสิบหกปี
แต่การย้อนเวลากลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่นี้ นางกับเลือดในอกเมื่อชาติที่แล้วต้องอยู่กันคนละภพ ไม่อาจพบกันได้อีกชั่วนิรันดร์ ถึงกระนั้นนางยังคงมีโอกาสไปช่วยเหลือพี่ชายกับพี่สะใภ้ของตนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ยังมีคนที่ดีต่อนางอย่างแม่นมมู่อีก ซึ่งนางจะปกป้องคนในครอบครัวด้วยชีวิต
นางกล้ำกลืนน้ำตาอุ่นจัดที่คลอเบ้ากลับลงไปอย่างสุดกำลังก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เป็นไร แค่ฝันร้ายเมื่อคืน แม่นมไม่ต้องเป็นห่วง”
หญิงสาวหยุดเว้นจังหวะแล้วกล่าวต่อ “แม่นมมู่ ข้าจะกลับทะเลสาบต้งถิง ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว”
ตั้งแต่เล็กจนโต ธิดาอ๋องเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวลและว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่แม่นมมู่เห็นนางตัดสินใจเรื่องหนึ่งด้วยท่าทีเด็ดขาดไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้ต่อรองเช่นนี้
ถึงยังไม่หายงุนงง แต่นางไม่คิดไต่ถามอีก เพียงพูดเสียงนุ่ม “ได้เจ้าค่ะ ท่านหญิงอยากกลับทะเลสาบต้งถิง พวกเราก็กลับกัน”
มู่ฝูหลันเดินไปที่ข้างโต๊ะ หยิบสารที่ตนเขียนเสร็จแล้วผนึกครั่งยื่นส่งให้
“แม่นมมู่ ท่านหาคนฝีมือดีๆ สักคนถือสารฉบับนี้ไปส่งถึงมือพี่สะใภ้ข้าโดยเร็วที่สุดให้ได้ ข้ามีเรื่องสำคัญจำเป็นต้องบอกให้นางทราบ พวกเรามีคนมาก ถึงเดินทางได้เร็วปานใดข้าก็กลัวว่าจะล่าช้าเสียเวลา สารนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด ห้ามพลาดเป็นอันขาด!”
นางเน้นเสียงหนักกล่าวย้ำอีกรอบ
แม่นมมู่ไม่เข้าใจมากขึ้น แต่เห็นผู้เป็นนายทำหน้าขึงขังก็พยักหน้าแล้วรับสารไว้ จากนั้นหมุนกายออกไปอย่างเร็วรี่
มู่ฝูหลันมองตามแผ่นหลังของนางพลางพรูลมหายใจออกช้าๆ เฮือกหนึ่ง
“ท่านหญิง พอกลับไปคราวนี้ ตอนกลับมาอีกทีคงอากาศหนาวแล้วเป็นแน่ จะนำเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกตัวนี้หรือว่าเสื้อคลุมตัวนั้นไป หรือจะเอาไปทั้งสองตัวเจ้าคะ”
ตันจูชี้อาภรณ์ฤดูหนาวหลายตัวพร้อมถามไถ่ความชอบของนาง
มู่ฝูหลันหันกลับมาบอก “หยิบหนังสือรวมถึงตำราแพทย์ แล้วก็โถสามขาลายตัวขุยบนชั้นวางคู่นั้นที่ข้านำติดตัวตอนมา จัดใส่หีบห่อเอากลับไปทั้งหมด ส่วนพวกเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างไรก็ได้ มีให้ผลัดเปลี่ยนระหว่างทางเท่านั้นเป็นพอ”
ตันจูอึ้งไป
ตอนธิดาอ๋องออกเรือนมาที่นี่ นอกจากสินเจ้าสาวก้อนโตแล้วยังนำหนังสือของนางมามากมาย รวมถึงตำราแพทย์ด้วย
สำหรับโถสามขาลายตัวขุยยุคราชวงศ์โจวเป็นของรักของหวงของอดีตฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับไปแล้ว ฉางซาอ๋องคนปัจจุบันรักใคร่น้องสาวถึงเพิ่มมันลงไปในสินเจ้าสาวให้น้องสาวเป็นที่ระลึก
ตันจูนึกว่าธิดาอ๋องจะกลับไปอยู่แค่ชั่วคราว ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้ แล้วให้เก็บของหนักๆ ที่นำติดตัวไม่สะดวกเหล่านี้ไปแทน
“ท่านหญิง?”
นางชักฉงนใจ
“เก็บของตามที่ข้ากำชับเป็นพอ”
มู่ฝูหลันส่งยิ้มบางๆ ให้นาง
สาวใช้ได้แต่พยักหน้าแล้วสั่งให้คนเก็บสัมภาระต่อ
“ฮูหยินผู้เฒ่า ช้าสักนิดเจ้าค่ะ ระวังบันไดด้วย”
เสียงสนทนาดังมาจากหน้าประตูในฉับพลัน
มู่ฝูหลันหันศีรษะไป
นายหญิงเซี่ยเดินมาจากทางเรือนกลางด้วยฝีเท้ารีบเร่ง นางไม่ให้ชิวจวี๋ประคอง สาวเท้าหลายก้าวขึ้นบันไดด้วยตนเองมาหยุดที่หน้าเรือนปีกตะวันออกแต่ไม่เข้าไป เพียงยืนอยู่นอกธรณีประตู กวาดสายตาเห็นหีบกล่องเปิดอ้าอยู่หลายใบบนพื้นห้องแล้วสีหน้าก็ขรึมลง
“มู่ซื่อ นี่เจ้าหมายความว่าอันใด เมื่อครู่ชิวจวี๋บอกกับข้า ข้ายังไม่เชื่อ นี่เจ้าจะกลับสกุลเดิมจริงๆ หรือ!”
พวกตันจูกับจูอวี๋เห็นนายหญิงเซี่ยมาถึง พากันหยุดงานในมือแล้วมองไปทางมู่ฝูหลัน
มู่ฝูหลันจ้องมองนายหญิงเซี่ย นางเดินไปต้อนรับที่หน้าประตู กล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านแม่เข้ามานั่งสิเจ้าคะ เพราะเดินทางฉุกละหุกอยู่สักหน่อย แล้วมีข้าวของต้องจัดเก็บมาก จึงไม่ได้ไปบอกกับท่านด้วยตนเอง อย่าได้ตำหนิเลยนะเจ้าคะ”
นายหญิงเซี่ยขมวดคิ้วมุ่น พูดเสียงฮึดฮัด “แม้บุตรชายข้าจะจากเรือนไปในคืนพิธีมงคล แต่นั่นเป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ยากฝ่าฝืน หาใช่ตัวเขาเองมิอยากรั้งอยู่ เจ้าออกเรือนมาที่ตระกูลข้าก็ย่อมเป็นคนของสกุลเซี่ยแล้ว อีกอย่างข้าไม่ได้ยืนกรานไม่ยอมให้เจ้ากลับสกุลเดิมเสียหน่อย แต่ว่านี่เพิ่งผ่านมานานเท่าใดกันเชียว เจ้าก็จะกลับไปแล้ว?”
มู่ฝูหลันนิ่งเงียบไม่กล่าวตอบ
นายหญิงเซี่ยหยุดเว้นจังหวะ
“ยายเฒ่าโดดเดี่ยวอย่างข้าไม่มีวาสนาได้รับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้หรอก เรื่องนี้ข้าปลงได้แล้ว เพียงแต่บุตรชายข้าน่าจะกลับมาในเร็ววันนี้ พอเขามาถึงเรือนแล้วเจ้าไม่อยู่ มันเป็นเรื่องงามหน้าหรือไม่เล่า”
มู่ฝูหลันกล่าว “เป็นความผิดของข้าเอง ท่านแม่ระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ”
นอกจากคำพูดนี้แล้วก็ไม่มีถ้อยคำอื่นใดอีก
ท่าทางมีสัมมาคารวะดุจเก่า ทว่าแสดงความตั้งใจแจ่มชัดยิ่งนัก
นั่นก็คือหนนี้ต้องกลับสกุลเดิมแน่นอน
สตรีสกุลมู่แต่งเข้ามานานครึ่งปีกว่า ยามอยู่เบื้องหน้าตนล้วนเคารพอ่อนน้อมสุดจะเปรียบ นี่เป็นครั้งแรกที่นายหญิงเซี่ยถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเช่นนี้ พาให้ในใจขุ่นเคืองยิ่งขึ้น แต่ท้ายที่สุดยังคงกริ่งเกรงศักดิ์ฐานะของอีกฝ่ายจึงไม่กล้าเกรี้ยวกราดมากเกินไป นางฝืนสะกดไฟโทสะสุมไว้ในอก แค่นเสียงฮึทีหนึ่ง
“มู่ซื่อ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นธิดาอ๋อง ทั้งยังเป็นท่านหญิง ไม่เห็นสกุลเซี่ยของข้าอยู่ในสายตา ยายเฒ่าบ้านนอกเยี่ยงข้าก็ไม่คู่ควรเป็นแม่สามีของเจ้า เจ้าจะกลับสกุลเดิมให้ได้เช่นนี้ ข้าก็ไม่กล้าห้ามเจ้าหรอก แต่ก่อนเจ้าไป ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกให้เจ้ารู้ไว้ เจ้าจะได้ไม่กลับมาต่อว่าต่อขานทีหลัง”
มีหรือมู่ฝูหลันจะเดาไม่ออกว่านางอยากพูดอะไร
“ท่านแม่คิดจะรับสตรีสกุลชีเข้าเรือน?”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง
นายหญิงเซี่ยนิ่งงันไป นางชายตามองมู่ฝูหลันแล้วกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง ทอดน้ำเสียงเนิบช้า
“เจ้ามาอยู่ในสกุลเซี่ยได้นานระยะหนึ่ง เรื่องบางเรื่องเจ้าน่าจะรู้แล้ว สมัยบุตรชายข้าเป็นเด็กหนุ่ม สกุลเซี่ยมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากอยู่บ้าง ดีที่นายท่านสกุลชีชื่นชมเขา อีกทั้งไม่รังเกียจสกุลเซี่ย ยอมยกบุตรสาวคนโตให้ ภายหลังนางเคราะห์ร้ายจากไป แม้นการหมั้นหมายถูกยกเลิก ทว่าหลายปีนี้บุตรชายข้าออกไปเผชิญโลกภายนอก ประสบความยากลำบากมากมาย ตัวข้าเองโชคดีได้สกุลชีคอยดูแลถึงมีวันนี้ได้ บัดนี้ถึงเจ้าออกเรือนมาที่นี่ แต่บุตรชายข้ากับเฟิ่งเอ๋อร์ผูกสมัครรักใคร่กันมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเฟิ่งเอ๋อร์ก็รู้ฐานะของตนดี ยินยอมเป็นอนุ ความตั้งใจของข้าคือรอบุตรชายข้ากลับเรือนก็จะจัดการเรื่องนี้…”
มู่ฝูหลันแลมองริมฝีปากที่อ้าๆ หุบๆ กับสายตาที่ลอบพินิจตนเองของนายหญิงเซี่ยพลางฟังเสียงพูดที่คล้ายจะระมัดระวัง หากแท้จริงแล้วดึงดันเต็มเปี่ยมแล้วเริ่มใจลอยทีละน้อย
นั่นสิ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
หลังจากหญิงสาวออกเรือนมาไม่นาน นางก็ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ในช่วงเวลาที่สิ้นไร้ไม้ตอกของสามีก่อนแต่งนางเป็นภรรยาได้จากถ้อยคำรำพึงรำพันเป็นนิจละม้ายไร้เจตนาของนายหญิงเซี่ยได้แล้ว
ยามนั้นนายท่านเซี่ยเป็นหัวหน้าจุดพักม้า เพราะเขาไปล่วงเกินขุนนางที่ผ่านทางมาคนหนึ่งจึงโดนรุมทุบตีทำร้าย หลังกลับถึงเรือนก็กระอักเลือดเสียชีวิต บุตรชายซึ่งได้รับความยำเกรงจากผู้คนแต่วัยเยาว์ผู้นั้นของนางยังเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ ก็ไล่ตามพวกขุนนางที่ยกขบวนกลับไปแล้วปลิดชีวิตคนทั้งสิบคน จากนั้นฝากฝังมารดากับสกุลชี ส่วนตนเองหนีจากอำเภอเซี่ยไปเป็นโจรป่า
เดิมทีไม่ปรารถนาจะย้อนความทรงจำในภพก่อน แต่เสี้ยวขณะนี้จู่ๆ มันก็ถาโถมเข้าใส่นางอีกคราหนึ่ง
นางจดจำได้อย่างชัดเจนแม่นยำว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อนางแต่งเข้าสกุลเซี่ยได้ครึ่งปีกว่า ต่อมาไม่นานนักสามีของนางก็กลับคืนเรือน หลังจากเข้าหอกันแล้วนางยังไม่ทันสลัดคราบสาวน้อยไม่ประสากลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว ยังไม่ทันดึงสติคืนจากความปีติยินดี เขาก็เอ่ยเรื่องสตรีสกุลชีขึ้นมา
ถึงแม้ก่อนออกเรือน มิใช่แค่ครั้งเดียวที่นางวาดหวังว่าวันหน้านางกับบุรุษสกุลเซี่ยที่นางแต่งงานด้วยจะเป็นเช่นเดียวกับบิดามารดาของตน มีความรักมั่นคงลึกซึ้งดุจนกปี่อี้* ยามอยู่นอนร่วมเตียง ยามตายฝังร่วมหลุม
แต่ชั่วขณะที่เขาเอ่ยปาก นางยังคงสะกดความผิดหวังเต็มอกไว้ ฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มตกปากรับคำโดยไม่อิดออด
นางในเพลานั้นช่างไร้เดียงสาปานใด ถึงกับคิดว่า…เหล็กกล้าหลอมไฟร้อยครั้งยังอ่อนลงพันรอบนิ้วได้ฉันใด ภรรยาเอกย่อมอยู่ร่วมกับอนุของสามีได้ฉันนั้น
ภายหลังนางถึงล่วงรู้ว่าในสายตาของเซี่ยฉางเกิงมีเพียงราชบัลลังก์และแผนการครองแผ่นดินเท่านั้น
บางทีสตรีนามหลิงเฟิ่งของสกุลชีผู้นี้กับเขาต่างหากจึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน มีแต่ตนเองที่โง่เขลา
เดิมทีตายก็ตายไปแล้ว ทั้งยังเป็นการตายอย่างไม่น่าเสียดาย แต่เมื่อปรากฏภาพเด็กหนุ่มรูปงามในห้วงฝันซึ่งเฝ้าอยู่หน้าป้ายวิญญาณของมารดาผู้ล่วงลับนานหลายปี ใช้กระบี่ของบิดาซึ่งถ่ายทอดสายเลือดให้เขาครึ่งหนึ่งปาดคอจบชีวิตตนจนชุดขาวบนร่างโชกเลือด ถ้อยคำที่เขาเปล่งเสียงถามก่อนสิ้นใจนั่นราวกับดังขึ้นที่ข้างหูอีกคราว่า ‘ท่านแม่ ลูกกระทำเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่กันแน่’ ก็คล้ายมีมีดทื่อๆ เล่มหนึ่งกรีดที่หัวใจในทรวงอกของมู่ฝูหลันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลนอง
หางตาของนางแดงระเรื่อ ปลายเล็บจิกลึกลงเนื้อกลางอุ้งมือ
“ท่านทำไปตามที่เห็นควรเถอะ ข้าไม่มีอันใดขัดข้องเจ้าค่ะ”
นางกล่าวเสียงเรียบ แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง
นายหญิงเซี่ยคาดเดาแต่แรกแล้วว่าลูกสะใภ้ไม่กล้าคัดค้าน ครั้นอีกฝ่ายตกปากรับคำทันทีก็รู้สึกสมใจหมายในที่สุด นางปรายตามองหีบหลายใบในห้อง ข่มความไม่พึงใจไว้กล่าวว่า “รีบไปรีบกลับเถอะ บุตรชายข้าน่าจะชนะศึกกลับเรือนมาในเวลาอันสั้นนี้แล้ว”
บทที่สอง
ทะเลสาบต้งถิงแปดร้อยหลี่ ม่านเมฆไร้ขอบเขตประหนึ่งภาพฝัน นับแต่โบราณกาล ณ กลางทะเลสาบมีภูเขาลูกหนึ่งนามจวินซาน ที่แห่งนี้ยามฟ้าหม่นปกคลุมด้วยเมฆหมอก ยามฟ้าใสอาบไล้ด้วยแสงสีรุ้งหมื่นจั้ง
คนท้องถิ่นทุกคนเชื่อว่ามีเทพเจ้าประจำเขาจวินซาน
หลังได้รับพระราชทานอาณาเขตฉางซา บรรพบุรุษของสกุลมู่ไม่เพียงสร้างตำหนักศาลบนภูเขาเป็นที่สักการบูชาท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ยังสร้างเมืองไกลออกไปทางทิศตะวันออกของทะเลสาบฝั่งตรงข้ามเขาจวินซาน ชื่อว่าเมืองเยวี่ย และตั้งเป็นเมืองหลวงของแคว้น
สองร้อยปีที่ผ่านมาเมืองเยวี่ยได้รับการบูรณะขยายเขตแดนโดยฉางซาอ๋องหลายรุ่น ปัจจุบันนี้กำแพงเมืองทิศเหนือใต้ออกตกทั้งสี่ฟากมีความยาวนับพันจั้ง ในเมืองมีผู้คนอยู่อาศัยมากกว่าสิบหมื่นคน มาตรว่าเปรียบกับจงหยวนที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูแล้วยังห่างชั้นกันไกล และยิ่งไม่อาจทัดเทียมนครแห่งโอรสสวรรค์ แต่กำแพงเมืองก็มั่นคงแข็งแรงยากทำลายลงได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราษฎรที่ต้องเดือดร้อนทุกข์เข็ญเพราะการก่อกบฏของเจ้าแคว้นอื่นๆ อย่างไม่หยุดหย่อนในช่วงตลอดหลายปีนั้น เรียกได้ว่าชาวบ้านของแคว้นฉางซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้อันห่างไกลนี้มีชีวิตที่สุขสงบและร่มเย็นผาสุก
รุ่งเช้าของวันนี้ สำหรับชาวฉางซาที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองแล้วถือเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง พอล่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงนอกเมืองจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง หลังจากประตูเมืองเปิด ดวงตะวันลอยเคลื่อนสูงขึ้น ภายในเมืองจะพลุกพล่านขวักไขว่ไปด้วยรถม้าและผู้คนที่สัญจรไปมา
เมื่อคนบนท้องถนนเข้าไปใกล้วังของท่านอ๋องสกุลมู่ที่พวกเขาเรียกขานว่า ‘ตำหนักหลวง’ หลังนั้น ไม่มีใครไม่ผ่อนฝีเท้าช้าลง สีหน้าแววตาเผยความเลื่อมใสศรัทธา
พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าสองคืนมานี้ตำหนักหลวงที่ภายนอกดูภูมิฐานสงบเงียบดังเคย จริงๆ แล้วข้างในโกลาหลไปหมด
ยามนี้เหล่าขุนนางคนสำคัญของแคว้นฉางซาล้วนชุมนุมตัวกันอยู่ในตำหนักหลวง แต่ละคนร้อนรุ่มใจอย่างสุดแสน
วันก่อนฉางซาอ๋องมู่เซวียนชิงพาองครักษ์กองหนึ่งออกไปล่าสัตว์ ท่านอ๋องหนุ่มท่องป่ามาอย่างโชกโชน นึกครึ้มอกครึ้มใจควบม้าแยกจากผู้ติดตามไปตามลำพัง พอฟ้ามืดอาชาประจำกายวิ่งกลับมาเอง แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อส่งข่าวไปถึงตำหนักหลวง ชายาอ๋องลู่ซื่อเป็นห่วงเหลือประมาณ เรียกตัวหยวนฮั่นติ่งบุตรบุญธรรมของเสนาบดีผู้ล่วงลับไปแล้วมาทันใด นางบอกข่าวที่ท่านอ๋องหายสาบสูญไปตอนล่าสัตว์ และให้เขานำกำลังคนออกตามหา
การเสาะหาดำเนินไปโดยไม่หยุดตั้งแต่ราตรีก่อนจนถึงเช้าวันนี้ ต่อเนื่องมานานหนึ่งวันสองคืนแล้ว
ทว่าจนแล้วจนรอดยังคงไม่มีเบาะแสของมู่เซวียนชิง
บริเวณที่เขาล่าสัตว์นั้นเป็นพื้นที่ภูเขาสูงป่าทึบสลับซับซ้อน ใครๆ พากันคาดเดาว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเขากลางทาง จวบจนขณะนี้ตัวเขาอยู่ที่ใดก็สุดจะรู้ได้
อีกทั้งเวลาผ่านไปนานปานนี้แล้ว…
ทุกคนล้วนมีสีหน้าสลดหม่นหมองราวกับบิดามารดาตายจาก
สำหรับพวกเขา ข่าวนี้ดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เป็นข่าวร้ายแรงมหันต์
ฉางซาอ๋องผู้หนุ่มแน่นยังไร้ทายาทสืบทอดตำแหน่ง ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขา เป็นไปได้ว่าแคว้นฉางซาอาจประสบชะตากรรมสิ้นแคว้นได้
หากทางราชสำนักยังให้ความเมตตา หลังจากนี้คนในสกุลมู่ก็น่าจะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ต่อไปได้ และมีส่วนในการพระราชทานปูนบำเหน็จดังเก่า แม้จะสูญเสียบรรดาศักดิ์เจ้าแคว้นไปแล้ว
ทว่าสำหรับขุนนางแคว้นฉางซา เกรงว่าหนทางในวันข้างหน้าของพวกเขาคงมืดมนเลือนรางเสียแล้ว
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าถี่รัวพลันดังมาจากนอกโถง
ทุกคนหันหน้าขวับ องครักษ์คนหนึ่งวิ่งถลันเข้ามา
“ว่าอย่างไร ทางแม่ทัพหยวนได้ข่าวท่านอ๋องแล้วหรือ”
ลู่หลินหรือเสนาบดีลู่ เป็นท่านอาในสกุลเดิมของชายาอ๋องลู่ซื่อ ทันทีที่รู้เรื่อง เขาสั่งให้คนปิดข่าวไว้ชั่วคราวเป็นอันดับแรก ป้องกันมิให้แพร่ออกไปจนผู้คนขวัญเสีย ส่วนตนเองเฝ้าอยู่ที่นี่มาสองคืนอย่างกระสับกระส่ายดุจมดบนกระทะร้อน เขาไม่รอองครักษ์เข้ามาข้างในก็วิ่งก้าวยาวๆ ไปหน้าประตูโถงเอ่ยปากถามอย่างร้อนรน
องครักษ์สั่นศีรษะพลางคุกเข่าลง ชูสองมือขึ้นยื่นกระบอกใส่สารกระบอกหนึ่งส่งให้พร้อมพูดเสียงดัง “มีผู้ถือสารมาถึง บอกว่าเป็นท่านหญิงส่งมา มีสารด่วนจะถวายแก่พระชายาขอรับ!”
ลู่หลินได้ยินว่ามีเพียงสารของธิดาอ๋องที่ออกเรือนไปขุยโจวตอนต้นปีมาถึงเท่านั้นก็ผิดหวังยกใหญ่ เขาบอกให้คนถือสารเข้าไปแล้วส่งคนไปสอบถามข่าวคราวจากหยวนฮั่นติ่งอีก
ลู่ซื่อเป็นสหายกับมู่เซวียนชิงมาแต่วัยเยาว์ หลังแต่งงานครองคู่กันแล้วก็ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง จู่ๆ ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับสามี นางจึงร้อนใจทั้งวันทั้งคืน เมื่อวานยังมีฝนตกลงมาตอนดึก พอรู้ว่ายังไร้คำตอบจากหยวนฮั่นติ่งที่ออกไปตามหา เกรงว่าจะประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี ส่งผลให้ทนรับไว้ไม่ไหวชั่วขณะจนสิ้นสติไป เพลานี้ดวงตาทั้งคู่ของชายาอ๋องแดงช้ำ นางกำลังเค้นแรงจะชันกายลุกขึ้น พลันเห็นสาวใช้เดินลิ่วๆ เข้ามาถวายสารฉบับหนึ่ง บอกว่าท่านหญิงส่งผู้ถือสารมา
ลู่ซื่อมีไมตรีอันดีต่อน้องสาวสามีมาเสมอ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายส่งสารมากะทันหันต้องการจะบอกอะไร นางฝืนข่มความเจ็บปวดสิ้นหวังในใจไว้ เปิดสารออกอ่าน
น้องสาวสามีเขียนสารมาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
แต่ทันทีที่ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ถ้อยความบนสารก็นิ่งขึงไป
สองตาของนางเป็นประกายฉับพลัน ท่ามกลางสายตาของสาวใช้รอบข้างที่จับจ้องมองตามอย่างประหลาดใจ นางก็ผุดลุกวิ่งด้วยฝีเท้าเร็วรี่ออกไปที่โถงหน้าโดยไม่หยุดพักหายใจ ตะโกนบอกลู่หลินที่ย่ำเท้าวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจอยู่ “ท่านอา เรียกคนไปแจ้งแม่ทัพหยวนโดยเร็ว ให้ไปค้นหาที่ข้างใต้โตรกธารอิงจุ่ยตรงเนินซีหยวนเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ไม่แน่เซวียนชิงอาจอยู่ที่นั่นก็เป็นได้!”
ลู่หลินกับขุนนางสองสามคนตะลึงงัน พวกเขามองหน้ากันไปมาอย่างตั้งตัวไม่ทันชั่วขณะ
“ที่ข้างใต้โตรกธารอิงจุ่ย ยังไม่รีบไปอีก!”
เมื่อเรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสามี เวลานี้ลู่ซื่อผู้อ่อนหวานมาโดยตลอดราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางตะคอกใส่ลู่หลินเสียงห้วน
ลู่หลินดึงสติคืนมา หมุนกายวิ่งผลุนผลันออกไปพร้อมกับขุนนางคนอื่นๆ
สองมือสั่นระริกของลู่ซื่อกำสารของน้องสาวสามีแน่นๆ นางอ่านซ้ำอีกรอบ แม้จะรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ไฟแห่งความหวังที่อยู่ในใจลึกๆ ซึ่งเดิมริบหรี่ลงทีละน้อยก็ปะทุขึ้นมาอีกครา
“ท่านแม่ ท่านพ่อยังไม่กลับมาอีกหรือเจ้าคะ”
สุ้มเสียงแกมสะอื้นของเด็กหญิงดังขึ้นเบื้องหลัง
ลู่ซื่อเหลียวหน้าไปเห็นอาหรู บุตรสาววัยสี่ขวบวิ่งโผมาหาตนเอง
สาวใช้หลายคนที่ไม่เฝ้าอาหรูไว้ให้ดีวิ่งไล่กวดตามหลังนางมา พากันคุกเข่าลง “พระชายาโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อกอดร่างบุตรสาวไว้แล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ นางกระซิบปลุกปลอบ “อย่าร้องไห้ พ่อของเจ้าใกล้จะกลับมาแล้ว”
หลังจากปลอบบุตรสาวแล้วให้สาวใช้พากลับห้องไป ตัวลู่ซื่อเองจะนั่งเฉยอยู่ได้อย่างไร นางเรียกให้คนเตรียมรถม้าแล้วออกจากวังอ๋องรุดไปที่เนินซีหยวนอย่างเร่งร้อน
ด้านมู่ฝูหลันมาถึงเมืองเยวี่ยในอีกสองสามวันถัดมา
ชาติที่แล้วพี่ชายของนางมู่เซวียนชิงหรือฉางซาอ๋องผู้หนุ่มแน่นต้องเคราะห์ร้ายจากไปในวัยยี่สิบสองปีเท่านั้น เพราะประสบเหตุไม่คาดฝันในตอนนี้นี่เอง
ตอนที่พบพี่ชาย ร่างของเขาก็อยู่ใต้โตรกธารถูกพงหญ้ารกชัฏบดบังไว้นานเจ็ดแปดวัน เดาว่าเขาคงลื่นไถลพลัดตกลงไป และเสียเลือดมากเกินไปจนจบชีวิตลง
นับแต่นั้นแคว้นฉางซาก็สูญเสียท่านอ๋องคนสุดท้ายไป พี่สะใภ้กับอาหรูหลานสาววัยเพียงสี่ขวบของนางก็สูญเสียสามีและบิดาไปตลอดกาล
มาตรว่าภายหลังราชสำนักจะประทานความกรุณาต่อสกุลมู่ให้พำนักอาศัยที่เมืองเยวี่ยต่อไปได้ อีกทั้งยังคงเป็นเจ้าของวังอ๋องและได้รับภาษีในเขตเมืองเยวี่ยดังเก่า แต่จากนี้แคว้นฉางซาก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว พี่สะใภ้ทุกข์ระทมมากเกินไป ไม่กี่ปีต่อมาก็ตรอมใจตายตามพี่ชายของนาง
มู่ฝูหลันไม่รู้ว่าชาตินี้เรื่องราวจะเป็นอย่างที่ตนเองรู้หรือไม่ แล้วผู้ถือสารไปทันเวลาหรือไม่กันแน่ พี่ชายของนางจะพ้นเคราะห์ได้แน่หรือ
นางร้อนใจเหลือจะกล่าว เร่งเดินทางเช้าจรดค่ำโดยไม่หยุดพักจนเข้าสู่แคว้นฉางซาในวันนี้ เหลือระยะทางอีกแค่ร้อยหลี่ก็จะถึงเมืองเยวี่ย
ผู้คนริมทางแต่งกายไม่ผิดแผกไปจากปกติ บนหน้าไร้วี่แววโศกเศร้า และไม่เห็นร่องรอยการแสดงความไว้อาลัยต่อเจ้าแคว้นในหมู่ราษฎร
เวลานี้มู่ฝูหลันถึงคลายใจลงได้บ้างเล็กน้อย นางสั่งให้ผู้ติดตามเร่งเดินทางต่อ มุ่งหน้าเข้าเมืองโดยเร็วที่สุด
เวลาเที่ยงวัน ตอนอยู่ห่างจากเมืองเยวี่ยอีกไม่กี่สิบหลี่ บนถนนหลวงฝั่งตรงข้ามมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น พวกเขาขี่ม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนพบกับขบวนเดินทางของมู่ฝูหลัน
“แม่ทัพหยวน!”
มู่ฝูหลันที่นั่งอยู่ในรถม้าพลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้ดูแลที่ร่วมทางมาด้วยกันดังมาจากด้านหน้า นางแหวกม่านยื่นหน้าออกไป เห็นกลุ่มคนขี่ม้าสวนทางมา คนหน้าสุดเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ เรือนกายสูงใหญ่ ผิวกายคล้ำเข้ม รูปโฉมคมคาย นัยน์ตาแจ่มกระจ่าง เขาคือหยวนฮั่นติ่งบุตรบุญธรรมของเสนาบดีหยวนผู้ล่วงลับนั่นเอง นางรีบสั่งให้สารถีหยุดรถม้าแล้วร้องเรียกเสียงดัง “พี่หยวน!”
ปกติหยวนฮั่นติ่งเป็นคนเงียบขรึม แต่พอเห็นมู่ฝูหลันชะโงกตัวออกจากรถม้าร้องทักทายตนเอง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มยินดีแกมประหลาดใจ เขาพลิกกายลงจากหลังอาชาอย่างว่องไว สาวเท้าฉับๆ ไปหยุดฝีเท้าที่ข้างรถม้าของหญิงสาว จากนั้นเรียกขานนางอย่างเคารพนอบน้อม “ท่านหญิง”
“พระชายาแจ้งว่าท่านกำลังจะกลับมา หลายวันนี้ข้าไม่มีงานใดจึงออกมาตระเวนดูรอบๆ คิดไม่ถึงว่าจะพบท่านตรงนี้จริงๆ ระหว่างทางที่มาท่านสบายดีหรือไม่”
มู่ฝูหลันพยักหน้าแล้วไต่ถามเขาอย่างทนรอไม่ไหว “พี่ชายของข้าเล่า พักนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
นางมองหยวนฮั่นติ่ง รอคอยคำตอบของเขาอย่างกระวนกระวายใจ
วันนั้นหยวนฮั่นติ่งนำกำลังคนลงไปที่ข้างใต้โตรกธารจนพบตัวมู่เซวียนชิง เขาสลบไสลมาเป็นเวลานาน เหลือเพียงลมหายใจอ่อนรวยรินเฮือกสุดท้ายแล้ว
ชายหนุ่มหวั่นใจว่าเล่าเรื่องทั้งหมดจะทำให้นางตกใจ เขาชั่งใจครู่หนึ่งก่อนกล่าวอย่างใคร่ครวญ “พี่ชายของท่านเสด็จออกล่าสัตว์เมื่อหลายวันก่อน เกิดเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อย แต่พบตัวได้ทันท่วงทีจึงไม่เป็นอะไรมาก ระยะนี้กำลังพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่”
สุดท้ายเรื่องน่ากลัวที่นางเป็นห่วงที่สุดก็หลบเลี่ยงพ้นไปได้ด้วยความโชคดี
ทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่ดีแล้ว
อารมณ์ที่ว้าวุ่นวิตกมาหลายวันสงบลงทันควัน เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ดวงตาของนางก็แดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่จนน้ำตาพานจะไหล
หยวนฮั่นติ่งเติบโตมาพร้อมกับนางจึงรับรู้ความรู้สึกของนางได้อย่างละเอียดลออ เห็นนางดูคล้ายจะร่ำไห้ก็เริ่มแตกตื่น เขากล่าวอย่างลนลาน “ท่านไม่ต้องกลัวนะ อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องไม่เป็นอะไรมากจริงๆ ก่อนหน้าแค่เสียพระโลหิตมากเกินไป พักฟื้นอีกสักพักหนึ่งก็หายดีได้แล้ว”
มู่ฝูหลันเบือนหน้าไปอีกทาง รอให้อารมณ์สงบลงบ้างถึงค่อยหันกลับมาพยักหน้าพูดยิ้มๆ กับเขา “ข้ารู้แล้ว ไม่เป็นไรก็ดี ขอบคุณพี่หยวนที่มารับข้า พวกเราเข้าเมืองกันเถอะ”
นางเป็นคนที่มีรูปโฉมงามล้ำเหลืออยู่แต่เดิม ยามนี้ประกายน้ำตรงหางตายังไม่เลือนหายไป ยิ่งขับให้ดวงหน้าแต้มยิ้มชวนพิศมากขึ้น
หยวนฮั่นติ่งไม่กล้ามองนาน เขาผงกศีรษะพูดว่า “ได้” แล้วรีบหมุนกายขึ้นม้านำทางขบวนรถม้าด้านหลังไปยังตัวเมือง
คนกับม้ากลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองเข้าสู่ด้านใน
ผู้คนตามถนนหนทางส่วนใหญ่รู้จักหยวนฮั่นติ่ง เห็นเขาพารถม้าขบวนหนึ่งไปทางวังอ๋องก็แลมองผู้ที่นั่งอยู่ในนั้น คลับคล้ายจะเป็นแขกสตรีก็พากันหยุดฝีเท้าชมดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง
หยวนฮั่นติ่งส่งคนไปรายงานลู่ซื่อล่วงหน้าแล้ว นางจึงพาอาหรูมาต้อนรับที่หน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง เมื่อพี่สะใภ้กับน้องสามีได้พบหน้ากันต่างก็ปลื้มปีติยินดีอย่างไร้ที่สิ้นสุด ส่วนอาหรูก็แสนคึกคักร่าเริง นางแหงนใบหน้าเล็กๆ ขึ้นร้องเรียกมู่ฝูหลันไม่หยุดปากว่า “อาหญิง”
สำหรับมู่ฝูหลันแล้วหนนี้เป็นการกลับบ้านหลังผ่านไปชาติหนึ่ง อย่าว่าแต่ได้เห็นหยวนฮั่นติ่ง พี่สะใภ้ และหลานสาวตัวน้อยเลย แม้แต่เห็นสิงโตหินหน้าตาเคร่งขรึมน่ายำเกรงสองตัวที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายขวาตรงหน้าประตูวังอ๋อง ก็ทำให้นางเต็มตื้นตรงกลางอกอย่างสุดระงับได้
หญิงสาวสงบอกสงบใจลง จูงมือหลานสาวไว้แล้วตกอยู่ในภวังค์ ราวกับมองเห็นตนเองกับอาหญิงตอนเป็นเด็ก
นางจับจูงมือเล็กๆ ของอาหรูแน่นมากขึ้น ก้าวเท้าเดินตามพี่สะใภ้เข้าไปข้างใน
ลู่ซื่อสั่งให้คนจัดที่พักของนางไว้เมื่อหลายวันก่อนแล้ว ยังคงเป็นห้องเดิมของนางก่อนออกเรือน
พอลู่ซื่อเข้าห้องมาด้วยกัน มู่ฝูหลันก็ถามถึงพี่ชาย อีกฝ่ายตอบว่าเขากินยาแล้วนอนหลับอยู่ตอนนี้ ยังกล่าวต่อทันทีว่า “หลันเอ๋อร์ ดีที่วันนั้นได้รับสารของเจ้าถึงได้พบตัวพี่ชายของเจ้าทันเวลา หาไม่แล้ว…”
ลู่ซื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น แม้จะผ่านไปแล้วทว่ายังหวาดผวาไม่หาย นางบอกให้สาวใช้พาบุตรสาวออกไปก่อน ค่อยคว้ามือน้องสาวสามีมาจับแน่นๆ
“พี่สะใภ้ไม่รู้จะขอบคุณเจ้าเช่นไรดี หลันเอ๋อร์ วันหน้าไม่ว่ามีเรื่องใดเจ้าบอกมาได้เต็มที่ ขอแค่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง พี่ชายเจ้ากับข้าจะช่วยเหลือเจ้าแน่นอน”
นางทั้งตื้นตันทั้งซาบซึ้งใจสุดจะเปรียบ พูดไปแล้วในดวงตาก็มีน้ำตารื้นขึ้นเป็นประกายวาวๆ
มู่ฝูหลันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ขอแค่พี่เซวียนชิงปลอดภัยสบายดีก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าก็จะไปเฝ้าพี่เซวียนชิง”
นางรู้ว่าพี่สะใภ้ยังอยากถามตนเองว่ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก “ข้าบังเอิญโชคดีถึงช่วยเขาได้ แล้วก็เป็นสวรรค์คุ้มครองพี่เซวียนชิง วันนั้นข้าฝันเห็นท่านเทพจวินซานมาพูดกำชับกำชากับข้า พอตื่นขึ้นก็จดจำให้ขึ้นใจ และเพื่อป้องกันไว้ก่อน ข้าถึงส่งคนถือสารกลับมา หากพี่สะใภ้อยากขอบคุณ ก็สมควรไปขอบคุณท่านเทพจวินซานเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อตื่นเต้นยินดีเหลือเกิน นางพยักหน้าทันใด “ดีๆ! วันพรุ่งนี้ข้าจะเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ให้พร้อมสรรพแล้วไปขอบคุณท่านเทพที่เขาจวินซาน”
มู่ฝูหลันกล่าว “ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อตอบตกลงแล้วไต่ถามทุกข์สุขอีกหลายคำ ถามนางว่าตอนอยู่ที่เรือนสกุลเซี่ยมารดาสามีปฏิบัติต่อนางอย่างไร แล้วชีวิตของนางเป็นเช่นไรบ้าง
มู่ฝูหลันตอบสองสามคำอย่างคลุมเครือ
ลู่ซื่อเห็นนางเหมือนไม่ใคร่เต็มใจเอ่ยเรื่องสกุลเซี่ยนักจึงกล่าวเตือน “น้องเขยทอดทิ้งเจ้าในคืนเข้าหอเพื่อไปปราบกบฏเจียงตูอ๋อง อาจจะน่าคับข้องหมองใจจริงๆ แต่ว่าหลายปีมานี้เหล่าท่านอ๋องเจ้าแคว้นในแผ่นดินพากันกระด้างกระเดื่องยกใหญ่ เกิดศึกสงครามไม่หยุดหย่อน ชายแดนก็ไม่สงบ ทั้งนี่ยังเป็นพระราชโองการด่วนจากราชสำนัก ต่อให้เขาไม่ยินยอมพร้อมใจก็สุดวิสัยจะทำอะไรได้ เจ้าอย่ากล่าวโทษเขาเลย พักก่อนข้าได้ยินว่าเจียงตูอ๋องพ่ายศึกติดๆ กัน เห็นทีเขาคงควบคุมสถานการณ์ได้สงบเรียบร้อยในเร็วๆ นี้ ถึงเวลาพวกเจ้าก็ได้พบกันแล้ว”
ขณะลู่ซื่อพูดเตือนกึ่งโน้มน้าวใจก็มีสาวใช้มารายงานว่าท่านอ๋องตื่นแล้ว พอรู้ว่าน้องสาวของตนกลับมา เขาถึงกับดีใจเป็นการใหญ่และอยากจะมาหานาง
มู่ฝูหลันรีบลุกขึ้นไปเยี่ยมพี่ชายพร้อมกับลู่ซื่อ
รูปโฉมของชาวสกุลมู่ล้วนโดดเด่นอย่างยิ่งยวด มู่เซวียนชิงยังถึงขั้นมีกลิ่นอายสูงศักดิ์เฉพาะตัวของลูกหลานเชื้อพระวงศ์แผ่รอบกาย
วันนั้นเขาไล่ตามจับเหยื่อจนพลาดพลั้งตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ระวัง หลังจากถูกช่วยมาได้แล้วพักฟื้นหลายวัน อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นไม่น้อย เหลือแต่ขาที่ยังเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้สองพี่น้องได้พบหน้ากัน ต่างยินดีปรีดาไม่หยุด ครั้นถูกน้องสาวตำหนิว่าหุนหันพลันแล่น เขายังผวากลัวอยู่สักหน่อยและลอบขุ่นเคืองใจตนเอง จนเมื่อได้ยินนางกล่าวว่ากลับมาหนนี้ตั้งใจจะพำนักอยู่ที่นี่ก่อน เขาไม่หยุดคิดใคร่ครวญก็พยักหน้าทันที
“น้องพี่อยากอยู่นานเท่าใดก็เท่านั้น! ฉางซาของข้าคือบ้านของเจ้าชั่วนิรันดร์”
ดูเหมือนเหมันตฤดูปีนี้น่าจะมาเยือนเร็วเป็นพิเศษ
สตรีสกุลมู่ออกเดินทางไปครึ่งเดือนแล้ว นับวันอากาศก็หนาวเย็นขึ้นทุกที ท้องฟ้าขมุกขมัวครึ้มฝนติดต่อกัน สายลมพัดวูบมาพาไอหนาวลอดเข้ามาในคอเสื้อไม่หยุด หลังเที่ยงวัน นายหญิงเซี่ยกินอาหารแล้วง่วงงุน คนรับใช้จึงพานางไปนอนในห้อง ชิวจวี๋หลบอยู่นอกห้องกำลังแทะเมล็ดแตงอยู่ สาวใช้ทำงานต่ำต้อยในเรือนนามว่า ‘อาเมา’ คนนั้นก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เสียงฝีเท้าดังตึงตัง
ในห้องคลับคล้ายมีเสียงพลิกตัวของนายหญิงเซี่ยที่สะดุ้งตื่น
ชิวจวี๋โยนเมล็ดแตงทิ้ง รีบลุกขึ้นก้าวขาข้ามธรณีประตูไป ยกมือขึ้นดึงหูของอาเมาแล้วบิดเต็มแรง นางลดสุ้มเสียงลงก่นด่า “หูของเจ้าหายไปที่ใดกัน บอกเจ้าตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว เดินเบาๆ หน่อย ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนอนหลับอยู่”
“ไม่ใช่ๆ”
อาเมาวิ่งมายังหายใจไม่ทัน ทางหนึ่งกุมหูของตนเอง ทางหนึ่งกล่าวอธิบาย “คุณชายของพวกเรากลับมาแล้ว ท่านมาถึงหน้าประตูแล้ว!”
ชิวจวี๋นิ่งชะงักแล้วคลายมือออก จากนั้นรีบวิ่งออกไป แต่วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็กลับมาอีก นางเปิดหีบคันฉ่องขึ้นส่องดูใบหน้า ใช้ปลายนิ้วแตะชาดแต้มกลีบปากอย่างรวดเร็ว พอเห็นจอนผมรุ่ยร่ายก็เอาน้ำมันสนหอมทาลงไปอย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะเอียงคอง่วนอยู่หน้าคันฉ่อง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนย่ำผ่านน้ำเข้ามาจากด้านนอกระลอกหนึ่งก็ปิดหีบคันฉ่องทันที หมุนกายวิ่งออกไปกระวีกระวาดต้อนรับ
ในลานเรือนมีร่างร่างหนึ่งในเสื้อฟางเยื้องย่างมา
เสมือนคนอยู่ท่ามกลางม่านหมอกในม้วนภาพวาด บุรุษผู้นั้นสวมหมวกสานสีเขียวกับเสื้อฟางเก่าๆ ฝ่าสายฝนสารทฤดูที่โปรยปรายไม่ขาดสาย สองเท้าย่ำน้ำฝนขังเป็นหย่อมบนพื้นลานจนแตกกระเซ็น เดินก้าวยาวๆ ตรงมาทางนี้
เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว ใบหน้าใต้หมวกสานคมคาย เรียวคิ้วได้รูป นัยน์ตาสุกใส ถ้าหากมีเด็กรับใช้ติดตามอยู่ด้านหลังสักคน มองปราดแรกก็คล้ายบัณฑิตหนุ่มที่เดินทางไปร่วมสอบราชการเพิ่งกลับถึงเรือน
เขาก้าวขึ้นบันไดแล้วหยุดยืนใต้ชายคา
น้ำฝนไหลมาตามขอบหมวกสานและชายเสื้อฟางก่อนหยดลงบนปลายเท้าเขาดังแปะๆ ไม่ขาดสาย ทำให้พื้นรอบๆ เปียกในเวลาอันสั้น
คนผู้นี้ก็คือเซี่ยฉางเกิง อายุยี่สิบสองปี เป็นผู้บัญชาการกองทัพเหอซีที่หนุ่มแน่นที่สุดของราชวงศ์นี้
เขาถอดหมวกสานออกแขวนกับตะขอบนผนัง ดวงตาทั้งคู่ตวัดมองชิวจวี๋ซึ่งใบหน้าซับสีแดงระเรื่อที่เพิ่งวิ่งออกจากห้องอย่างเฉยเมยพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ข้าเล่า”
นายหญิงเซี่ยในห้องได้ยินเสียงแล้วลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่ง หยิบเสื้อคลุมร่างแล้วลงจากเตียง นางเดินลิ่วๆ ออกมาปากก็ร้องถาม “ลูกข้ากลับมาแล้วหรือ”
เซี่ยฉางเกิงถอดเสื้อฟางเปียกชุ่มออกส่งให้อาเมาที่วิ่งมาหาตน จากนั้นก้าวข้ามธรณีประตู สาวเท้าเร็วรี่ไปหามารดา
ชิวจวี๋ยื่นมือเก้อ นางเห็นอาเมาที่หอบเสื้อฟางไว้ในอ้อมแขนอย่างดีอกดีใจแล้วมองตนด้วยท่าทางลำพองใจก็ทำหน้าตึง มองน้ำมูกที่ไหลยืดค้างอยู่ตรงจมูกของอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ
“ยังไม่เก็บขึ้นอีก บนพื้นเปียกหมดแล้ว ระวังฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปเดินมาจะลื่นล้มได้”
อาเมาไม่โกรธเคือง นางสูดน้ำมูกกลับแล้วยิ้มกริ่ม ชี้คอเสื้ออีกฝ่าย “ตรงคอเสื้อเจ้า…”
ชิวจวี๋ก้มหน้ามองถึงพบว่ามีเปลือกเมล็ดแตงติดบนคอเสื้อตนหลายชิ้น นางหน้าแดงก่ำทันควัน รีบปัดทิ้ง พอเหลือบตาขึ้นเห็นอาเมาทำหน้าสาแก่ใจก็พูดด่าเสียงเบาๆ “เจ้าระวังตัวให้ดีเถอะ ขืนแสร้งทำบ้าใบ้แกล้งคนอีก คอยดู สักวันข้าจะตัดจมูกเน่าๆ ของเจ้าทิ้งเสีย!”
ตอนอายุห้าขวบอาเมาล้มป่วยถูกทิ้งไว้ข้างจุดพักม้า ขณะนั้นเป็นเดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ นางสวมเสื้อผ้าเก่าขาดนอนขดตัวอยู่บนพื้นหิมะคล้ายลูกแมวตัวหนึ่งก็ไม่ปาน ท่าทางใกล้จะหนาวตายรอมร่อ นายท่านเซี่ยพบเห็นเข้าแล้วบังเกิดความสงสารพานางกลับเรือนมา นายหญิงเซี่ยบ่นว่ายกหนึ่ง แต่ก็เลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ ในเรือนจึงมีสาวใช้ทำงานต่ำต้อยเพิ่มขึ้นอีกคน
อาเมาเป็นคนทึ่มทื่อ สมองไม่ใคร่ฉับไวนัก อาจเพราะตอนเล็กๆ จมูกโดนความหนาวจนผิดปกติเลยมีน้ำมูกไหลทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน เมื่อก่อนอาการหนักกว่านี้ แต่หลังจากฮูหยินน้อยมาอยู่ที่นี่แล้วตรวจร่างกายให้ หลังจากนางต้องกินยานานระยะหนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นฟูบำรุง ถึงไม่อาจรักษาให้หายขาด แต่เทียบกับที่ผ่านมาก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว
นางไม่เกรงกลัวชิวจวี๋เช่นกัน แค่นเยาะเสียงหนึ่งก่อนพูดอุบอิบ “พอคุณชายกลับมาก็ทาแก้มแดงเหมือนก้นวานรอย่างไรอย่างนั้น งามนักหนาล่ะ”
ชิวจวี๋ตีหน้ายักษ์ ตั้งท่าจะเข้าไปบิดหูอาเมาอีก นางจึงปาดน้ำมูกสะบัดใส่ ชิวจวี๋หน้าเปลี่ยนสี ผงะถอยอย่างลนลาน
อาเมาทำเสียงฮึเชิดคางขึ้นแล้วกอดเสื้อฟางไว้กับอกแน่นๆ หมุนกายออกวิ่งไป
ชิวจวี๋ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหโทโส ในใจอยากสับเด็กสาวโง่งมคนนี้เป็นหมื่นๆ ชิ้นให้หายแค้นใจแทบขาด แต่พอหูได้ยินเสียงพูดคุยของนายหญิงเซี่ยกับเซี่ยฉางเกิงจากข้างใน นางถึงข่มความโกรธไว้ แอบชำเลืองมองไปที่ประตูพลางเงี่ยหูฟัง
เซี่ยฉางเกิงยื่นมือไปประคองมารดาที่เดินพรวดพราดออกมา ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ท่านแม่ ลูกเอง ลูกกลับมาแล้ว”
นายหญิงเซี่ยปลาบปลื้มยินดีเหลือล้น จับข้อศอกของบุตรชายที่ไม่ได้พบหน้ามาครึ่งปีกว่าไว้แล้วมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ พลางพร่ำบ่นว่าเขาซูบผอมดำคล้ำลงไม่หยุดปาก ครั้นเห็นอาภรณ์บนกายกับรองเท้าของบุตรชายเปียกน้ำฝน นางก็ตะโกนขึ้น “ชิวจวี๋ รีบเข้ามาปรนนิบัติคุณชายผลัดอาภรณ์สิ!”
“เจ้าค่ะ” ชิวจวี๋ส่งเสียงตอบคำหนึ่ง นางกุลีกุจอเดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ท่านนั่งลงเร็วเข้าเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยถอดรองเท้าให้ก่อน” ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ยื่นมือไป
เซี่ยฉางเกิงไม่ขยับ เพียงบอกให้นางจุดกระถางไฟใบหนึ่งในห้องให้มารดา
ชิวจวี๋กัดริมฝีปากก่อนดึงมือกลับมาช้าๆ นางขานรับเสียงต่ำแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
“ท่านแม่ อากาศหนาวแล้ว สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เซี่ยฉางเกิงประคองมารดาไปนั่งบนเตียง
“แม่สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าอยู่ข้างนอกก็ระวังเนื้อระวังตัวให้ดีเป็นพอ” นายหญิงเซี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มระรื่น
“ไฉนมีเจ้ากลับมาคนเดียว”
นางชะเง้อมองไปที่นอกประตูแวบหนึ่ง
ข้างนอกเงียบสงัดไร้สรรพเสียงอื่นใด
“เหตุใดพวกขุนนางประจำเมืองกับประจำอำเภอพวกนั้นไม่ตามเจ้ามาด้วย หรือว่าการศึกไม่ราบรื่น?”
นายหญิงเซี่ยเคยชินกับภาพที่บุตรชายกลับมาแล้วมีขุนนางท้องถิ่นมากมายร่วมทางมาด้วยทุกครั้ง พอเห็นหนนี้ต่างไปจากเดิม นางจึงอดกังวลใจน้อยๆ ไม่ได้
“ท่านแม่วางใจได้ การศึกราบรื่นดี ลูกไม่อยากทำให้คนอื่นวุ่นวายก็เลยกลับมาเองขอรับ”
นายหญิงเซี่ยถอนหายใจโล่งอก
“เป็นเช่นนี้ก็ดี เกิงเอ๋อร์ เจ้าหิวแล้วกระมัง ดูเจ้าสิผอมลงเพียงนี้ เจ้านั่งพักก่อน แม่จะไปทำอาหารให้กิน”
นายหญิงเซี่ยลุกขึ้นจะออกจากห้อง แต่เซี่ยฉางเกิงรั้งตัวไว้บอกว่าไม่หิว เขาหันหน้ามองไปทางปีกตะวันออก สองจิตสองใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ท่านแม่ ภรรยาของลูกเล่า เมื่อครู่เดินผ่านหน้าเรือนปีกตะวันออก ดูเหมือนด้านในจะไม่มีใครสักคน”
นายหญิงเซี่ยได้ยินบุตรชายถามถึงมู่ซื่อ อารมณ์ที่เบิกบานเต็มเปี่ยมเมื่อครู่พลันหายวับไป นางแค่นเสียงเยาะหยัน “ไปแล้ว! เมื่อครึ่งเดือนก่อนก็กลับสกุลเดิมไป แม่รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่”
เซี่ยฉางเกิงอึ้งไป
นายหญิงเซี่ยระบายทุกข์ครั้งใหญ่
“ลูกแม่ แม่จะบอกอะไรให้นะ เรื่องของภรรยาเจ้าคนนี้เล่าสามวันก็ไม่จบสิ้น แม่ไม่รู้ว่าสมควรว่ากล่าวนางเช่นไรดี หลังจากเจ้าไปแล้ว ช่วงแรกๆ นางยังนับว่าประพฤติตัวดี มาหาแม่ทุกเช้าเย็น แม่ก็ทบทวนตนเองแล้วว่ามิได้ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม จู่ๆ ครึ่งเดือนที่แล้วอยู่ดีๆ นางก็ถึงกับชักสีหน้าใส่แม่ อ้าปากบอกว่าจะกลับสกุลเดิม! แม่พูดกล่อมนางว่าเจ้าไม่ได้เจตนาจะทอดทิ้งนาง และน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ขอให้นางรออีกสักหน่อย แต่นางดื้อดึงพูดไม่รู้ฟัง ทิ้งแม่ไว้แล้วจากไปวันนั้นเลย ยังพาคนกลับไปทั้งหมดด้วย”
ยามย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น นายหญิงเซี่ยก็เดือดดาลยิ่งนัก
เซี่ยฉางเกิงตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “นางได้บอกหรือไม่ว่าเพราะอะไรถึงกลับไปอย่างกะทันหันขอรับ”
นายหญิงเซี่ยส่ายหน้า “ก็เพราะนางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น อยากจะไปก็ไป แม่ถึงได้โมโหแทบแย่ เกิงเอ๋อร์ เจ้าว่ามีลูกสะใภ้เช่นนี้ด้วยหรือ นี่มิใช่เป็นการอาศัยบารมีของสกุลเดิมของนางหรือไร แล้วแม่จะทำอันใดได้ ก็ได้แต่ปล่อยให้นางไป”
เซี่ยฉางเกิงย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาต่อ
นายหญิงเซี่ยใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเริ่มกล่าวปลอบบุตรชาย
“ช่างเถอะ! เจ้าอย่าขุ่นใจไปเลย นางอยากไปก็ไปเถอะ ขาอยู่กับตัวนาง พวกเราย่อมเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ แล้วก็มิได้อยากให้นางอยู่ด้วยเสียหน่อย! แม่จะบอกเจ้าให้นะ พวกเรามีเรื่องดีๆ อีกเรื่องหนึ่ง”
ใบหน้านางเผยรอยปรีดาปราโมทย์
“ในเมื่อนางทำอย่างนี้ แม่ก็เลยบอกเรื่องของเฟิ่งเอ๋อร์ไปแล้ว นับว่านางรู้ตนเองดี มิได้พูดว่าไม่ได้ แม่คิดเอาไว้ว่ารอเจ้ากลับมาก็รับเฟิ่งเอ๋อร์เข้าเรือนเถอะ”
เซี่ยฉางเกิงไม่เปล่งเสียงตอบ
นายหญิงเซี่ยกล่าวสืบไป “แต่ก่อนตระกูลเราตกอับ ท่านพ่อเจ้าเป็นแค่หัวหน้าจุดพักม้า ดีที่นายท่านสกุลชีสายตาแหลมคม มั่นใจว่าเจ้าต้องได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า เป็นฝ่ายขอผูกดองกับพวกเราก่อน เพียงน้ำใจไมตรีนี้พวกเราก็ต้องจดจำไปชั่วชีวิต น่าเสียดายที่เป็นทองแผ่นเดียวกันไม่สำเร็จ แม่ไร้วาสนาจะได้ลูกสะใภ้คนนั้น ต่อมาเจ้าก่อคดีหนีไป ก็เคราะห์ดีที่ได้สกุลชีช่วยเหลือดูแล แม่ถึงอยู่รอดปลอดภัยเฝ้ารอเจ้าหวนคืนมา บัดนี้พวกเราตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้ว สกุลชีกลับโชคร้ายตกอยู่ในฐานะที่ยากลำบาก”
นายหญิงเซี่ยถอนใจเฮือกหนึ่ง
“เฟิ่งเอ๋อร์ก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย หลายปีนั้นไม่มีข่าวคราวใดๆ ของเจ้า จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่รู้ แต่นางเห็นแม่เป็นดั่งแม่บังเกิดเกล้า คอยปรนนิบัติพัดวีตลอดเวลา ตอนหลังเจ้ากลับมาแล้วก็บอกว่ามีสัญญาหมั้นหมายกับสตรีเมืองอื่น ถึงแม่รู้ว่านางมีใจให้เจ้าแต่ก็สุดปัญญา พอถามนางว่ายินยอมเป็นอนุหรือไม่ นางไม่ปฏิเสธสักคำก็พยักหน้าเดี๋ยวนั้นเลย สตรีที่ดีปานนี้ เกิงเอ๋อร์จะผิดต่อนางไม่ได้เชียว”
ครั้นบุตรชายไม่เปล่งเสียงตอบดุจเดิม นายหญิงเซี่ยเริ่มไม่พึงใจทันใด
“เกิงเอ๋อร์ คงมิใช่ว่าเจ้าตบแต่งสตรีสูงศักดิ์เป็นภรรยาแล้วดูแคลนเฟิ่งเอ๋อร์กระมัง แม่จะบอกให้นะ คนเราจะอกตัญญูไม่รู้คุณคนไม่ได้”
เซี่ยฉางเกิงยิ้มบางๆ
“ท่านแม่อย่าหัวเสียไปเลย ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้ ในเมื่อท่านแม่พูดกับมู่ซื่อแล้ว รอนางกลับมาก็รับคนเข้าเรือนเป็นอันสิ้นเรื่อง”
นายหญิงเซี่ยถึงพออกพอใจขึ้นบ้าง เพียงแต่ยังไม่ชอบใจกับถ้อยคำของบุตรชายเล็กน้อย
“นางจะไปก็ไป ในสายตาไม่มีแม่สามีคนนี้อยู่สักนิด รวมถึงเจ้าด้วยเกิงเอ๋อร์ เหตุใดต้องรอนาง ใครจะรู้ว่านางกลับมาเมื่อใด ถ้าเกิดนางไม่กลับมาตลอดไป หรือว่าจะปล่อยให้เฟิ่งเอ๋อร์รอคอยไปเรื่อยๆ อย่างนี้”
เซี่ยฉางเกิงตรึกตรองชั่วครู่
“อีกสองวันลูกจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อรับนางกลับเรือนเองขอรับ”
นายหญิงเซี่ยโมโหแล้ว
“ไม่ได้! นางเพิ่งแต่งเข้ามาครึ่งปีกว่าก็เป็นเช่นนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน นางไปของนางเอง อยากกลับก็ต้องกลับมาเอง แม่ไม่อนุญาตให้ไปรับนาง นางจะได้ไม่ผยองพองขน วันหลังอยากกลับไปที่นั่นบ่อยๆ”
เซี่ยฉางเกิงพูดอย่างมีน้ำอดน้ำทน “กลับมาคราวนี้ เดิมทีลูกตั้งใจจะไปที่แคว้นฉางซาอยู่แล้วขอรับ ตอนฉางซาอ๋ององค์เดิมสิ้นไปเมื่อสามปีก่อน ตัวลูกอยู่ที่เมืองซิวถูในเหลียงโจวไม่อาจกลับไปเคารพศพ ช่วงสองสามปีนี้ก็มีงานรัดตัวเรื่อยมา ช่วงนี้มีเวลาว่างแล้วพึงควรไปเซ่นไหว้ นี่เป็นหน้าที่ของลูก และยังถือโอกาสรับคนกลับมาด้วยขอรับ”
นายหญิงเซี่ยได้ยินบุตรชายพูดเช่นนี้แล้วก็กล่าวอย่างฝืนใจ “ช่างเถอะ เช่นนั้นเจ้ารีบไปรีบกลับ อย่าให้เฟิ่งเอ๋อร์รอนานเกินไป”
นางหยุดเว้นจังหวะแล้วพูดต่อท้ายอีกคำ
“นางคอยเจ้ามานานกี่ปีแล้ว!”
เซี่ยฉางเกิงรับคำ
นายหญิงเซี่ยเริ่มอารมณ์ดีอีกครั้งหนึ่ง นางจะไปลงมือเก็บกวาดห้องหอที่เรือนปีกตะวันออกให้บุตรชายเองแต่เขาทัดทานไว้ บอกให้บ่าวไพร่ทำก็ได้ เพราะเขามีข้าวของไม่มาก
นางตะโกนสั่งงานเป็นการใหญ่
ชิวจวี๋ยกกระถางไฟใบหนึ่งเข้ามาวางบนเตาผิงมุมห้อง
เซี่ยฉางเกิงเดินไปเกลี่ยถ่านไฟด้วยตนเองแล้วปิดฝา จากนั้นสั่งให้นางปรนนิบัติมารดาดีๆ ถึงออกจากห้องกลับเรือนปีกตะวันออก
ชายหนุ่มสาวเท้าไปตามระเบียงยาว
อักษรมงคลคู่สีแดงที่แปะติดไว้ตามประตูหน้าต่างตอนแต่งงานเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงอยู่ทว่าสีซีดลง อีกทั้งสายลมหอบเอาหมอกฝนมาโดนจนเปียกชื้นยับย่นติดกัน พอลมพัดมาระลอกหนึ่งก็พลันหลุดจากประตูตกลงบนพื้นดังแปะ
เซี่ยฉางเกิงชายตามองแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าห้องหอ
ผู้ติดตามยกสัมภาระประจำตัวเขาเข้ามาให้ อาเมากับหญิงคนงานอีกคนง่วนอยู่กับการปูเตียงเช็ดโต๊ะ เห็นเขากลับมาก็เรียกขานทักทาย
“คุณชาย”
เขาพยักหน้าแล้วยืนอยู่ด้านข้าง
เมื่อสาวใช้ทั้งสองเก็บห้องเสร็จแล้วจะไปแก้ห่อสัมภาระของเขาเพื่อจัดเก็บอาภรณ์เข้าตู้แต่ถูกห้ามไว้ เขาบอกว่าจะทำเอง
พวกนางยอบกายคำนับเขาคราหนึ่งค่อยถอยออกไป
เซี่ยฉางเกิงหยิบเสื้อผ้าของตนออกมา เขาเปิดประตูตู้ กลิ่นหอมรวยรินระลอกหนึ่งลอยมาแตะปลายจมูกชำแรกเข้าสู่โพรงปอดทันที
เขากลอกตามอง
ภายในตู้จัดวางอาภรณ์ของสตรีไว้จนเต็ม แพรพรรณเนื้อดีนุ่มพลิ้วดุจริ้วเมฆนานาสีสันละลานตา มีถุงเครื่องหอมงามประณีตปักลายกล้วยไม้ห้อยอยู่อย่างสงบนิ่งตรงมุมตู้
สายตาของเซี่ยฉางเกิงหยุดมองนิ่งๆ ภาพคืนเข้าหอเมื่อต้นปีผุดขึ้นในห้วงความคิดในฉับพลัน
ขณะนั้นเขาเข้ามาในห้อง เพิ่งจะปลดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาว ยังไม่ทันได้เห็นรูปโฉมของสตรีสกุลมู่เต็มตาก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น บอกว่ามีพระราชโองการด่วนจากราชสำนักมาถึง
เขาเร่งรีบออกไป ต่อจากนั้นถอดเสื้อคลุมเจ้าบ่าว กล่าวอำลามารดาแล้วออกจากเรือนไปในราตรีนั้นเลย
ตอนจากไปเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ วันนี้กลับมาก็ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ยามนี้ย้อนคิดถึงรูปโฉมของเจ้าสาว เขาถึงกับนึกไม่ออก
เพียงจดจำได้ว่าใต้แสงเทียนไหววูบวาบ นางก้มหน้าจรดอก จอนผมดำขลับเงางาม ในความทรงจำอันเลือนรางเขาคลับคล้ายชำเลืองเห็นหน้าผากโหนกนูนเรียบเนียน งามละมุนดุจสายน้ำ
เซี่ยฉางเกิงยืนนิ่งชั่วครู่แล้วปิดประตูตู้ วางเสื้อผ้าของตนเองทิ้งไว้ด้านข้าง เขาได้ยินเสียงกวาดพื้นคละเคล้าเสียงครวญเพลงเบาๆ ของอาเมาดังมาจากระเบียงทางเดิน ลังเลใจนิดหนึ่งก่อนเดินไปข้างประตูส่งเสียงเรียกนาง
อาเมาโยนไม้กวาดทิ้งวิ่งไปที่หน้าห้อง ชะโงกหน้าถามพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “คุณชาย เรียกหาข้าเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
เซี่ยฉางเกิงไต่ถามนาง “หลังฮูหยินแต่งเข้ามาแล้ว ดูแลปรนนิบัติท่านแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องหรือไม่”
อาเมาชมชอบสะใภ้จากแคว้นฉางซาที่ไม่รังเกียจว่าตนสกปรกผู้นั้นอยู่มาก พอได้ยินก็รีบเดินเข้ามาพยักหน้าถี่รัว “ไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ นางไปรอสางผมสวมรองเท้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่หน้าเรือนแต่เช้าตรู่ทุกวัน”
“อย่างนั้นเหตุไฉนอยู่ดีๆ นางถึงกลับไป เจ้ารู้หรือไม่”
อาเมาแบสองมือไปด้านข้าง “ฮูหยินน้อยไม่ได้บอกอะไรข้านี่เจ้าคะ”
เซี่ยฉางเกิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เจ้าไปทำงานเถอะ”
อาเมาขานตอบในลำคอ นางหันหลังเดินออกไปสองสามก้าว พอสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วประหนึ่งสวรรค์ประทานพรให้ฉลาดหัวไวขึ้นมาโดยพลัน
“คุณชาย ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่กล้าพูด ข้ากลัวท่านจะต่อว่าข้า…”
นางมองหน้าเขาด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ
เซี่ยฉางเกิงกล่าว “ไม่เป็นไร เจ้ารู้อะไรก็บอกมาได้เต็มที่”
ตั้งแต่เล็กจนโตอาเมามักทำผิดจนยั่วโทสะฮูหยินผู้เฒ่า ถูกด่าทอว่าโง่งมเสมอๆ แต่เซี่ยฉางเกิงเป็นคนใจเย็นมาก ไม่เคยด่าว่านางมาก่อน
เขาเขียนความเรียงได้เยี่ยมยอดมาแต่วัยเยาว์ อายุเพิ่งสิบขวบก็สอบขุนนางผ่านได้เป็นบัณฑิตเซียงก้ง อันดับหนึ่ง ทว่าพวกชาวบ้านแอบพูดลับหลังว่าเขาดูเป็นคนสุภาพมีมารยาท แต่จริงๆ แล้วสามารถฆ่าคนตาไม่กะพริบได้
คนพวกนั้นต่างหวาดกลัวเซี่ยฉางเกิงอย่างมาก แต่อาเมาไม่กลัว พอเขาให้กำลังใจ นางก็ใจกล้าขยับเข้าไปใกล้ๆ พูดเสียงกระซิบ “คุณชาย ตอนท่านไม่อยู่เรือน ข้าได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสาธยายความดีของคุณหนูรองสกุลชีต่อหน้าฮูหยินน้อยบ่อยๆ แล้วเมื่อสองสามวันก่อนนี่เองเจ้าค่ะ ชิวจวี๋ยังพูดกับพวกข้าว่าหากมิใช่ก่อนหน้านี้คุณชายไม่อยู่เรือน คุณหนูรองสกุลชีก็ได้เป็นฮูหยินของคุณชายแต่แรกแล้ว ข้าโกรธจนทะเลาะกับนาง นางดึงหูข้า ข้าก็เลยวิ่งไปฟ้องฮูหยินน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮูหยินน้อยโกรธแล้วถึงได้จากไป”
อาเมากล่าวจบแล้วเห็นเขาไม่พูดจา เพียงมุ่นคิ้วน้อยๆ ราวกับไม่ชอบใจ ในใจนางเริ่มกระวนกระวาย พิศดูสีหน้าเขาแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “คุณชาย…ข้าทำผิดอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ วันหลังข้าไม่กล้าปากมากอีก…ท่านอย่าโกรธเลย”
เซี่ยฉางเกิงดึงความคิดคืนมา เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงนุ่ม “ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”
อาเมาเห็นเขาไม่ตำหนิโทษถึงระบายลมหายใจเฮือก นางพูดขึ้นอีกอย่างใจกล้า “คุณชาย เมื่อไรท่านจะไปรับฮูหยินน้อยกลับมาไวๆ เจ้าคะ นางเป็นคนดีเหลือเกิน ยังช่วยรักษาโรคให้ข้าด้วย จมูกของข้าดีขึ้นมากแล้ว ชิวจวี๋ชอบด่าข้าว่าจมูกเน่า ช่างน่าโมโหนัก!”
เซี่ยฉางเกิงพยักหน้า
อาเมาค้อมกายคำนับเขาแล้วออกไปอย่างแช่มชื่นเบิกบาน
ชายหนุ่มเหลียวมองห้องหอรอบหนึ่ง จากนั้นย่างเท้าไปริมหน้าต่างทิศใต้ เอาสองมือไพล่หลัง แลมองเมฆดำทะมึนลอยต่ำทางด้านนอกพลางจมลงสู่ภวังค์ทีละน้อย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 01 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.