บทที่ห้า
ราวกับอากาศรอบตัวหยุดนิ่งไม่ไหวติง
สีหน้าของเซี่ยฉางเกิงบึ้งตึงไปเล็กน้อย แต่แค่ชั่วครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ
เขาลุกขึ้นจับอาภรณ์ให้เข้าที่
หนนี้เขาไม่นั่งบนตั่งอีก เสียงพูดไม่มีร่องรอยของโทสะสักกระผีก ดูท่าทางไม่ถือสาหาความที่หญิงสาวกระทำกิริยาล่วงเกินตนเองเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด
“เจ้าโกรธเคืองก็สมควรอยู่” เขากล่าว
“เจ้าอยู่ที่สกุลเซี่ยของข้ามาครึ่งปีกว่านี้ ดูแลปรนนิบัติท่านแม่ทุกวันก็แสนจะเหนื่อยยากลำบากแล้ว แน่นอนว่าความตั้งใจแรกของท่านแม่เพื่อทดแทนบุญคุณของสหายเก่า แต่นางตัดสินใจจะช่วยรับอนุให้ข้าเองนั้นไม่เหมาะควรจริง ว่ากันถึงความเป็นความกุลสตรีและเข้าใจชีวิต…”
“เซี่ยฉางเกิง ท่านคิดมากไปแล้ว”
มู่ฝูหลันตัดบทเขา นางลุกลงจากตั่งคนงาม สอดเท้าเปลือยเปล่าเข้าไปในรองเท้าผ้าปักลายดอกกล้วยไม้ฝีมือประณีตที่วางอยู่บนพื้นหน้าตั่ง จากนั้นเดินไปนั่งลงบนตั่งนั่งเล่นบนพรมด้านหน้าคันฉ่อง
นางส่องคันฉ่องพลางถือหวีกระคอยสางผมยาวๆ ช่อหนึ่งที่ถูกเขาทำยุ่งเหยิงไปเรื่อยๆ ปากก็พูดว่า “ข้าทั้งไม่เป็นกุลสตรี ทั้งไม่เข้าใจชีวิต เหตุผลที่ดูแลปรนนิบัติมารดาของท่าน เพียงทำตามคำสั่งสอนในกาลก่อนของท่านพ่อ ข้าคิดคำนึงว่าในเมื่อออกเรือนไปแล้ว ถึงไม่เต็มใจปานใดก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด แค่เท่านั้นเอง”
เซี่ยฉางเกิงมองแผ่นหลังของหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วย่างเท้าเข้าไปหยุดยืนข้างหลังนาง สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างามละไมในคันฉ่องพลางกล่าว “มู่ซื่อ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ถึงยอมตามข้ากลับไป”
ประโยคนี้เขาแทบจะพูดเน้นทีละคำๆ น้ำเสียงไม่หลงเหลือร่องรอยอ่อนโยนเช่นก่อนหน้าอีกต่อไป
มือของมู่ฝูหลันที่ถือหวีไว้หยุดชะงัก
นางช้อนตามองเงาสะท้อนของบุรุษในคันฉ่องที่ยืนจ้องนางตาเขม็งอยู่ข้างหลัง
เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว นางรับรู้ถึงจุดนี้ได้
กลีบปากของนางแย้มออกเป็นรอยยิ้ม
“ท่านพี่เซี่ย ทั้งที่ท่านไม่พอใจข้าอย่างยิ่ง เมื่อครู่ไฉนต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วยเล่า พูดเปิดอกอย่างชัดเจนเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือไร”
เซี่ยฉางเกิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นางวางหวีลงเบื้องหน้าคันฉ่อง ลุกขึ้นหมุนกายไปประจันหน้ากับเขา
“เมื่อท่านถามอย่างตรงไปตรงมา ข้าก็ขอตอบตามตรงว่าข้าจะไม่กลับสกุลเซี่ยของท่านอีกแล้ว เมื่อแรกล้วนเป็นเพราะความต้องการของท่านพ่อ ข้าถึงจำยอมออกเรือนไปกับท่าน ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ชีวิตคนแสนสั้น พึงตักตวงความสุขไว้ดีกว่า แล้วข้าจะฝืนใจตนเองเช่นนี้ไปไย”
ใบหน้าเซี่ยฉางเกิงมีแววประหลาดใจผุดขึ้นวูบหนึ่งจนแทบจับสังเกตไม่ได้
เขามองนางอย่างพินิจ สีหน้าท่าทางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้น
“มู่ซื่อ ข้าขอเตือนความจำเจ้าสักคำ นับแต่ท่านพ่อเจ้าตอบตกลงเรื่องการแต่งงาน หลายปีที่ผ่านมาข้าแน่ใจว่าตนเองรักษาวาจา มิได้กระทำอันใดที่เป็นการผิดสัจจะ แม้ท่านแม่ข้าจะสร้างความไม่พอใจให้เจ้า แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเสียหน่อย ยิ่งกว่านั้นข้าก็ขอขมาต่อเจ้าและให้คำมั่นแล้ว ทว่าพวกเจ้าสองพี่น้องกลับตระบัดสัตย์ ผิดคำสัญญาโดยไร้เหตุผล ประพฤติตนเยี่ยงเด็กน้อย เห็นเป็นเรื่องเล่นสนุก หรือนึกว่าข้าเซี่ยฉางเกิงจะยอมให้พวกเจ้าสองพี่น้องบีบบังคับได้!”
ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วตวัดสายตามองนางปราดหนึ่งคล้ายรู้ว่าเผลอตัวแสดงท่าทีโมโหไป ยามอ้าปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงก็นุ่มนวลลง
“มู่ซื่อ เจ้าเพิ่งย่างวัยสิบหกปีเต็มกระมัง อายุยังน้อยไม่รู้ความ ก็มีเหตุผลให้อภัยกันได้ แต่ระหว่างท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้า คนใดคู่ควรให้เชื่อถือได้มากกว่า คนใดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวแคว้นฉางซามากกว่ากัน ในใจเจ้าสมควรรู้คำตอบดี เมื่อแรกที่ตกลงหมั้นหมายกัน พี่ชายของเจ้าก็มีอคติกับข้าอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เขาคงพูดกล่อมให้เจ้าผิดคำสัญญา แต่เจ้าลองคิดดู ไม่ว่าพี่ชายจะดีสักเพียงใด เจ้าก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง หรือว่าจะพึ่งพาอาศัยเขาไปได้ชั่วชีวิต? เจ้าทำตามความต้องการของท่านพ่อเจ้าเถอะ ตามข้ากลับไปดีกว่า วันหน้าข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
มู่ฝูหลันมองบุรุษที่พูดจาหว่านล้อมตนอย่างมีน้ำอดน้ำทนคนนี้แล้ว ในใจบังเกิดความสะทกสะท้อนเหลือแสน
หากว่าไม่เคยเป็นสามีภรรยากับเขามาก่อนจนรู้ซึ้งดีว่าเขาเป็นคนประเภทใด ยามเผชิญหน้ากับสามีเช่นนี้ จะมีสตรีคนใดสามารถทำใจให้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่สั่นคลอนได้
นางส่ายหน้า ต่างหูหินปะการังสีแดงแวววาวขนาดเล็กน่ารักตรงติ่งหูขาวนุ่มที่เห็นได้รำไรก็กวัดแกว่งไปมาอยู่กลางปอยผมที่เคลียระสองบ่า
“ท่านไม่ต้องยกท่านพ่อมาข่มข้า ข้าถามท่านสักหน่อย ตอนนั้นท่านมาสู่ขอที่วังอ๋องมีเป้าหมายใด แล้วตอนนี้เป้าหมายของท่านลุล่วงแล้วหรือไม่ สำหรับท่านแล้ว การเป็นทองแผ่นเดียวกับแคว้นฉางซาได้สูญสิ้นประโยชน์ไปแล้ว ไฉนท่านยังจะดันทุรังไม่วางมืออีก”
เซี่ยฉางเกิงไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
“ข้าอยากจะเชื่อเป็นอันมากว่าท่านต้องรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับท่านพ่อในครั้งนั้น แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไรตัวท่านเองย่อมแจ่มแจ้งดีกว่าข้า เพราะสำหรับการแต่งงานครั้งนี้ ท่านพ่อของข้าทำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของราษฎรแคว้นฉางซาตามที่ตั้งใจไว้ ท่านเองก็ได้รับประโยชน์มหาศาลจากมันเช่นเดียวกัน ถ้ามิใช่ท่านพ่อเห็นถึงความสามารถ ด้วยฐานะโจรตัวฉกาจอย่างท่านจะสามารถเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางอย่างราบรื่นและมีโอกาสได้เป็นใหญ่เป็นโตหรือ ท่านกับท่านพ่อของข้าต่างได้รับในสิ่งที่ต้องการจากการแต่งงานนี้ แล้วข้าเล่า พวกท่านมีใครเคยคิดถึงข้าแม้สักเศษเสี้ยวบ้างหรือไม่”
นางเพ่งมองบุรุษเบื้องหน้าสายตา
“เซี่ยฉางเกิง ข้าบอกท่านตามสัตย์จริง วันที่ท่านมาสู่ขอข้า ข้ามีคนที่ต้องใจอยู่แล้ว เขาเป็นคนจิตใจดีที่สุด และมีรอยยิ้มงดงามที่สุดในใต้หล้า แล้วท่านก็มาสู่ขอข้า ทางท่านพ่อก็ยกข้าให้ท่านเพื่อแคว้นฉางซา”
เซี่ยฉางเกิงอึ้งไป จากนั้นย่นหัวคิ้วเข้าหากันนิดหนึ่ง
มู่ฝูหลันเหยียดยิ้มคล้ายเยาะหยันตนเองก็ไม่ปาน
“ข้าเป็นธิดาอ๋อง ข้ามีหน้าที่ของข้าซึ่งปฏิเสธไม่ได้ จำเป็นต้องตอบตกลง แต่บัดนี้ความคิดของข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าได้กระทำเรื่องที่พึงทำเพื่อแคว้นฉางซาแล้ว ต่อแต่นี้ข้าสมควรคำนึงถึงตนเองบ้าง ข้าไม่บังอาจถือตนว่ามีความดีความชอบ ทว่าตอนนั้นข้าได้ส่งเสริมท่านจริงๆ จุดนี้ท่านคงปฏิเสธไม่ได้ ข้าหวังว่าวันนี้ท่านจะส่งเสริมข้าบ้าง ได้เช่นนี้ข้าจะซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ใบหน้าของเซี่ยฉางเกิงขึงตึงน้อยๆ เขานิ่งมองนางโดยไม่ปริปาก
มู่ฝูหลันไม่กล่าววาจาใดต่อดุจเดียวกัน
ภายในห้องเงียบงัน บรรยากาศชวนให้อึดอัดอยู่บ้าง
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกทีวันหลัง ตอนนี้เจ้ากลับไปกับข้าก่อนดีกว่า”
ครู่ใหญ่ชายหนุ่มถึงอ้าปากพูดเสียงเย็นชา
“วันหลังคือเมื่อไร” มู่ฝูหลันเอ่ยถามเขา
เขาไม่กล่าวตอบ
“รอวันที่ท่านทำการใหญ่สำเร็จ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือ”
เซี่ยฉางเกิงใบหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขายกมือวางบนไหล่ข้างหนึ่งของนาง
ประหนึ่งน้ำหนักพันชั่งกดทับลงมากะทันหัน ร่างของหญิงสาวซวนเซล้มลงนั่งบนพรมหน้าหีบคันฉ่อง
เขาค่อยๆ ทรุดตัวลงตามไปนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้านาง
“มู่ซื่อ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ แล้วถ้อยคำนี้เจ้าได้ยินมาจากที่ใด”
น้ำเสียงของเขาสุดแสนจะอ่อนโยนราวกับล่อหลอกเด็กน้อยอยู่ ทว่าฝ่ามือข้างนั้นไม่เคยผละจากตัวนาง มันเลื่อนไปข้างลำคอระหงอย่างเชื่องช้า
ปลายนิ้วมือสากๆ ลูบไล้ผิวเนื้อนุ่มนิ่มเรียบลื่นตรงคอเรียวคล้ายจะเล้าโลมนาง
“บอกข้ามา”
เขาหรี่ตาลงจ้องตากับมู่ฝูหลัน มือข้างนั้นพลันออกแรงกุมคอเรียวเล็กของนางไว้
ราวกับห่านฟ้ากำลังจะถูกพรานบีบคอหักตัวหนึ่ง มู่ฝูหลันแหงนหน้าขึ้นอย่างหมดทางสู้ นางไม่ดิ้นขัดขืนอันใด เพียงมองสบดวงตาขุ่นมัวที่จับจ้องตนอยู่ใกล้แค่เอื้อม นางหยักยิ้ม
“เซี่ยฉางเกิง คงมิใช่ว่าข้าเดาถูกจริงๆ กระมัง ท่านเลยจะสังหารข้า?”
เซี่ยฉางเกิงคลายนิ้วมือทั้งห้าที่กำรอบคอนางออกช้าๆ
มู่ฝูหลันขมวดคิ้วพลางปัดมือเขาออก นางลูบคอตนเองแล้วจับผ้าคลุมไหล่ที่เลื่อนหล่นลงเมื่อครู่กลับเข้าที่ถึงกล่าวขึ้น
“เป้าหมายที่ท่านแต่งข้าเป็นภรรยาลุล่วงแล้ว การแต่งงานนี้ปราศจากความหมายใดต่อท่านเหมือนเมื่อแรก เป็นได้อย่างมากแค่ซี่โครงไก่เลิศรสที่แทะกินหมดแล้วจะทิ้งไปก็เสียดายเท่านั้นเอง แต่ท่านกลับยอมทนอดสู โดนถ่มน้ำลายใส่หน้าก็ปล่อยให้มันแห้งเอง ถึงพี่ชายข้าดูหมิ่นเหยียดหยามท่านอย่างไรก็อดกลั้นไว้ยืนกรานจะรับข้ากลับไป หากมิใช่มีจุดประสงค์อื่นแล้วเป็นอะไรเล่า เพลานี้ท่านนับเป็นผู้มีความสำคัญแถวหน้าของราชสำนัก ด้วยสถานะในวันนี้ของท่าน หากยังหมายไขว่คว้าสิ่งใดก็เหลือแต่เพียงตำแหน่งนั้นแล้ว เหตุผลง่ายๆ เท่านี้จะเดายากอะไร”
เซี่ยฉางเกิงแลมองนางครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนพูดเสียงเย็น
“มู่ซื่อ ข้าเคยเจอคนอวดฉลาดมามากมาย คนพวกนั้นมักไม่พบจุดจบที่ดี ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลงเอยอย่างนั้นเช่นกัน การแต่งงานมิใช่เรื่องที่เจ้าจะทำตามอำเภอใจได้ เจ้าเป็นสะใภ้สกุลเซี่ยแล้ว เมื่อข้ามา เจ้าก็ต้องตามข้ากลับไป ส่วนที่เจ้าคิดจะ…”
เขาหยุดเว้นจังหวะ
“รอวันหลังข้าย่อมตัดสินชี้ขาดไปตามสถานการณ์เอง”
มู่ฝูหลันลุกขึ้นยืนบนพรมตามเขา
“พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังจะถือความคิดตนเป็นใหญ่เช่นนี้ไปไย ถ้าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะให้คนนอกล่วงรู้จริงๆ แล้วเหตุใดท่านข้าต่างไม่ถอยคนละก้าวเล่า ข้าสามารถปกปิดเรื่องนี้ต่อไปชั่วคราวได้ จะไม่แพร่งพรายออกไปสักครึ่งคำรวมถึงพี่ชายพี่สะใภ้ข้าด้วย วันหน้าท่านไปตามทางของท่าน ส่วนข้าก็อยู่ในแคว้นฉางซาของข้า บอกต่อคนภายนอกว่าพักรักษาอาการป่วยก็สิ้นเรื่อง ท่านวางใจได้ ไม่ว่าท่านมุ่งหมายสิ่งใดอยู่ ถือว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าทั้งสิ้น เฉกที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ ข้าแค่คาดเดาส่งเดชเท่านั้น จริงอยู่ว่าข้าอยากตัดความสัมพันธ์กับท่าน แต่ไม่เบาปัญญาถึงขั้นสร้างศัตรูให้แคว้นฉางซาด้วยเหตุนี้”
ดวงตาของเซี่ยฉางเกิงไหวระริก เขาไม่กล่าวตอบนาง
“มีเรื่องหนึ่งท่านยังไม่รู้ แต่ข้าไม่อยากปิดบังท่านอีกแล้ว”
มู่ฝูหลันหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
“ข้าเคยมีบุรุษอื่น มิใช่หญิงบริสุทธิ์แล้ว”
น้ำเสียงของนางราบเรียบเสมือนพูดเรื่องปกติธรรมดาเหลือเกิน
หางตาของเซี่ยฉางเกิงกระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง ในดวงตาเผยรอยขุ่นเคืองฉับพลัน
นางกลับผลิยิ้มคล้ายไม่รับรู้กระนั้น ดวงหน้าแต้มรอยยิ้มงามล้ำเหลือ ท่าทางไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด
“ข้าได้ยินว่าเพื่อปณิธานยิ่งใหญ่ บุรุษสามารถทนอัปยศมุดลอดใต้หว่างขาได้ ท่านพี่เซี่ย ข้าบอกความลับส่วนตัวที่กระทั่งบิดามารดาและคนในครอบครัวก็ยังไม่ล่วงรู้นี้ของข้าให้ท่านทราบโดยไม่ปิดบังใดๆ อีกต่อไป ถ้าท่านเห็นอกเห็นใจไม่ถือสาแม้แต่เรื่องนี้ได้ ทั้งยังยอมให้ข้าเป็นสะใภ้ของสกุลเซี่ย ดูแลปรนนิบัติมารดาของท่าน ข้าก็จะตามท่านกลับไปโดยไม่โต้แย้งอีก” ว่าแล้วก็เดินผ่านหน้าเขากลับไปที่ตั่งคนงามตัวนั้นแล้วขึ้นไปนั่งพับขาทั้งสองข้างเอนหลังพิงที่เก่า เชิดคางน้อยๆ แลมองเขาด้วยท่าทางเดียวกับตอนแรกที่เขาเพิ่งเข้ามา
ในห้องเงียบกริบ เงียบราวกับได้ยินเสียงเข็มตกกระทบพื้นได้
เซี่ยฉางเกิงยืนอยู่กับที่ชั่วครู่ พลันย่างก้าวเข้าไปหานาง
เขาเดินไปถึงหน้าตั่ง เพ่งมองมู่ฝูหลันด้วยสายตาปึ่งชา โน้มตัวยื่นมือข้างหนึ่งไปที่ชายกระโปรงสีแดงทับทิมของนาง
นางนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับหลับตาลงช้าๆ
คลับคล้ายไอเย็นยะเยือกรุกล้ำเข้ามาทางใต้ชายกระโปรงระลอกหนึ่งทันใด
เนื้อตัวนางแข็งเกร็ง สันหลังเย็นวาบ
ในเสี้ยวขณะนี้เอง ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด มู่ฝูหลันกลับปล่อยความคิดล่องลอยกลับไปยังราตรีหนึ่งในอดีตนานแสนนานที่ตนลืมเลือนไปแล้ว
ม่านฝนสารทฤดูห่มทิวเขา เทียนแดงริมหน้าต่างทิศประจิม ค่ำคืนนั้นสามีในฝันที่เฝ้ารอทุกลมหายใจกลับเรือนมาแล้วในที่สุด
ดูเหมือนเขาชื่นชอบเรือนร่างงดงามและกิริยาท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลของนางอย่างยิ่ง หลังสุขสมเขาไม่ได้นอนหลับในทันที ยังคงกอดนางไว้ในวงแขนอย่างรักใคร่ทะนุถนอมต่อไป
เป็นที่พึงใจของสามีได้ นางทั้งเอียงอายทั้งปลาบปลื้ม
นางรู้ว่าเขาจำหน้าตนเองไม่ได้ แต่ก็อยากให้เขาจดจำการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ นางอิงแอบในอ้อมแขนเขา รวบรวมความกล้าเล่าให้เขาฟังว่าตอนฤดูใบไม้ผลิสามปีก่อนที่ข้างต้นสนเก่าแก่บนเขาจวินซาน เขาเคยผ่านทางมาช่วยลูกนกที่พลัดตกหน้าผาตัวหนึ่งขึ้นมา
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเขาลืมเลือนเรื่องนั้นไปแล้วสนิทใจ เขางุนงงชั่วครู่ถึงนึกขึ้นได้
เขาคลายยิ้มบอกกับนางว่าวันนั้นเขาไปเยี่ยมคารวะเฒ่าโอสถ คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยที่ได้พบตอนลงเขาจะเป็นธิดาอ๋องของแคว้นฉางซา ที่แท้เขาเคยเห็นหน้านางตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เสียงกล่าวตอบของสามีหาได้ตื่นเต้นสนใจดั่งที่นึกภาพไว้ ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยามที่นางซบหน้าบนแผงอกรับฟังเสียงหัวใจเต้นทรงพลังของเขา ใจนางก็ท่วมท้นไปด้วยความสุขและอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
ช่างบังเอิญได้พานพบ กลับเป็นผู้สบใจข้า
พานพบกันบังเอิญนัก ครองรักกันจนแก่เฒ่า
ยังมีอะไรเทียบได้กับเรื่องดีงามนี้
นางวาดหวังและเชื่อมั่นเต็มอกว่านับจากนี้ นางกับพี่เซี่ยของนางจะรักใคร่ให้เกียรติกันไปตราบผมเผ้าหงอกขาว
ทว่าในเวลาอันสั้นนางก็ได้ประจักษ์แจ้ง
พี่เซี่ยที่นางแต่งงานด้วยผู้นี้มิใช่บุรุษผู้มีรอยยิ้มประหนึ่งทำให้สรรพสิ่งรอบตัวหมดสิ้นสีสันซึ่งตนใฝ่ฝันถึงในกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
ไม่นานนักสตรีนามหลิงเฟิ่งจากสกุลชีก็ถูกรับเข้าเรือนโดยมีนางเป็นคนจัดเตรียมทุกอย่าง
หลายปีหลังจากนั้นเซี่ยฉางเกิงแทบไม่เคยอยู่เรือน เขามีงานรัดตัวเสมอ ถ้าไม่ประจำการอยู่ที่กองทัพเหอซีก็ไปปราบกบฏตามที่ต่างๆ
นางเป็นภรรยาของเขาต้องปรนนิบัติพัดวีมารดาสามี ปกครองดูแลเหย้าเรือน ไหนเลยจะตามไปอยู่ข้างกายเขาได้
ดังนั้นโดยมากนางกับเขามักอยู่ห่างกัน ปีหนึ่งได้พบหน้ากันเพียงสองสามครั้ง
สิ่งปลอบประโลมใจเพียงอย่างเดียวคือนางให้กำเนิดซีเอ๋อร์ในปีที่สอง
ซีเอ๋อร์ฉลาดร่าเริง เป็นยอดดวงใจของนาง เขาอยู่เคียงข้างนางข้ามผ่านราตรีอันยาวนานคืนแล้วคืนเล่า
เดิมทีนางนึกว่าวันเวลาจะดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ คาดไม่ถึงว่าในปีที่ซีเอ๋อร์อายุสามขวบ ชะตาชีวิตของนางจะผกผันชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินเพราะการกระทำหนึ่งของสามี
ยามนั้นในแผ่นดินเกิดกบฏเจ้าแคว้นต่อเนื่องมาเกือบสิบปี บ้านเมืองบอบช้ำ ราษฎรลำเค็ญ สามีของนางลงมือในที่สุด
มีคนลอบส่งข่าวถึงราชสำนักว่าผู้บัญชาการกองทัพเหอซีเซี่ยฉางเกิงสั่งสมกำลังทหารจะคิดคดทรยศ สองปีนี้ราชสำนักก็ระแวงระวังอำนาจของเขา หมายจะยึดอำนาจทางทหารคืนด้วยความหวาดกลัว เขาจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านอย่างเปิดเผยในดินแดนซีเปย และยกทัพบุกเข้าเมืองหลวง
นี่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนัก เหล่าเจ้าแคว้นสกุลจ้าวที่หมายปองบัลลังก์จนแตกคอกันเองเยี่ยงสุนัขกัดกันมาสิบกว่าปี ละม้ายได้กลิ่นอายเภทภัยใหญ่หลวงใกล้มาเยือน พวกเขาหยุดต่อสู้แย่งชิงกันกลางคัน เมื่อมีฉีอ๋องพูดจาหว่านล้อมก็สามารถตกลงประนีประนอมกับหลิวไทเฮาที่เป็นผู้ควบคุมฮ่องเต้หุ่นเชิดไว้ได้ชั่วคราว จากนั้นผนึกกำลังทั้งหมดโจมตีกลับเพื่อรักษาแผ่นดินของสกุลจ้าวที่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปีนี้ไว้
พี่ชายของนางเคราะห์ร้ายจบชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน พี่สะใภ้ตรอมใจด้วยความคิดถึงเพิ่งจากไปไม่นาน นางพาซีเอ๋อร์ไปร่วมพิธีศพที่เมืองเยวี่ย แต่ยังไม่ทันเดินทางกลับ เซี่ยฉางเกิงก็ส่งคนมาพาพวกนางสองแม่ลูกกลับไปยังขุยโจวซึ่งปลอดภัยกว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกลางทาง
ข่าวความเคลื่อนไหวของพวกเขาเล็ดลอดออกไป ราชสำนักส่งทหารมาดักซุ่ม จับตัวนางกับซีเอ๋อร์ไปกักขังไว้ที่เมืองผู
ราชสำนักใช้ชีวิตสองแม่ลูกเป็นเงื่อนไขต่อรองให้เซี่ยฉางเกิงมอบเมืองฟูคืนและถอนทหารทันที
ตอนนั้นเขาเพิ่งหักเอาเมืองฟูไปได้
การครองเมืองฟูไว้เท่ากับเปิดเส้นทางเชื่อมสู่ฐานที่มั่นของเขา เมื่อมีเมืองแห่งนี้แล้ว เขาก็สามารถรุกรับได้ดังใจนึก จะบุกลงไปยึดเมืองหลวงทางทิศใต้หรือจะมุ่งไปที่เมืองลั่วหยางทางทิศตะวันออกก็ได้
เซี่ยฉางเกิงไม่ตอบรับเงื่อนไข ยังส่งคนไปจู่โจมเมืองผูหยางซึ่งเป็นที่ตั้งของวังฉีอ๋องด้วยความรวดเร็วดุจสายไฟแลบ จับจ้าวซีไท่บุตรชายของฉีอ๋องที่พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นไป ใช้เขาข่มขู่ฉีอ๋องกลับ
จ้าวซีไท่อ่อนแออมโรค เป็นบุตรชายคนเดียวของฉีอ๋องที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ได้ ฉีอ๋องรักและหวงแหนเขาอย่างเหลือล้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามวู่วาม ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์คุมเชิงกัน
นางพร้อมด้วยซีเอ๋อร์ต้องตกระกำลำบากอยู่ที่เมืองผูในสภาพตัวประกันไปด้วยเหตุฉะนี้
การกักขังนี้กินเวลาเกือบหนึ่งปี
และแล้ววันหนึ่งคนที่มาช่วยเหลือนางก็มาถึงในที่สุด
หยวนฮั่นติ่งมาถึงแล้ว
หลังจากพี่ชายของนางล่วงลับไป แคว้นฉางซาจบสิ้น แต่เมืองเยวี่ยยังคงอยู่ สองสามปีที่ผ่านมาเป็นหยวนฮั่นติ่งอยู่เคียงข้างชาวสกุลมู่รุ่นสุดท้าย
เขาติดสินบนคนของฉีอ๋องแฝงกายปะปนเข้าเมือง คิดหาหนทางจนพบหน้านางเพื่อบอกว่าบุตรชายของฉีอ๋องที่ถูกจับตัวไว้ป่วยหนักสิ้นชีพไปแล้ว แต่ข่าวยังไม่แพร่ออกมา เซี่ยฉางเกิงตัดสินใจตีเมืองผูโดยเร็วที่สุด และให้นำตัวพวกนางแม่ลูกออกมาก่อนกองทหารเคลื่อนมาถึง
หยวนฮั่นติ่งพาสองแม่ลูกออกจากคุกตอนกลางดึก เพียงรอฟ้าสางประตูเมืองเปิดก็จะประสานกำลังทั้งภายในภายนอกส่งตัวพวกนางออกไปทันที
ชะรอยจะเป็นผลของกรรม ยังออกจากเมืองไม่สำเร็จก็ถูกจับได้ขณะเตรียมหลบหนี ประตูเมืองปิดสนิท ซ้ำยังเผชิญกับทหารไล่ตามมาเป็นโขยงใหญ่ นางให้หยวนฮั่นติ่งหาทางพาซีเอ๋อร์หนีไปซ่อนตัวไว้ ต้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยให้ได้
นางทำใจแข็งผลักไสบุตรชายที่น้ำตาไหลพราก ใช้มือเล็กๆ ทั้งคู่กำชายเสื้อของตนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถึงขั้นไม่ทันได้จูบลาเป็นครั้งสุดท้าย แม่ลูกสองคนก็ต้องแยกจากกันไปอยู่คนละภพตลอดกาล
นางโดนจับตัวกลับไป
เซี่ยฉางเกิงยกทัพประชิดเมืองอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาทุกวันคืนที่สิ้นอิสรภาพ นางกระจ่างแจ้งแต่แรกแล้วว่าสามีของตนไม่มีทางหยุดเดินไปข้างหน้าเพราะนาง
ตอนนั้นฉีอ๋องรู้ข่าวการตายของบุตรชายแล้วเช่นกัน เขาโกรธจนเนื้อเต้น และนางต้องกลายเป็นที่ระบายโทสะทั้งหมด
นางมีชีวิตอยู่ ไม่เพียงเป็นภาระของพวกเขา สิ่งที่รอคอยนางต่อจากนี้ก็คือความอัปยศอดสูและการถูกทำร้ายย่ำยี
ความโชคดีเพียงประการเดียวคือซีเอ๋อร์ได้รับการปกป้องแล้ว
นางเชื่อว่าหยวนฮั่นติ่งจะคุ้มกันซีเอ๋อร์ส่งกลับไปยังข้างกายบิดาของเขาได้อย่างปลอดภัย
ยามวาระสุดท้ายมาถึง นางปราศจากทางเลือกอื่นใด เว้นแต่จบชีวิตตนเองลง
ศพของนางถูกแขวนกลับหัวห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้าประตูเมืองตากลมตากฝน
สามวันให้หลัง เซี่ยฉางเกิงตีเมืองผูได้แล้วฆ่าล้างเมือง จากนั้นจัดพิธีศพให้นางอย่างสมเกียรติ
ปีต่อมาเขายึดเมืองหลวง สังหารหลิวไทเฮาและเหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ วันนั้นโลหิตที่ไหลนองจากหน้าประตูเมืองแทบจะย้อมคูน้ำรอบเมืองเป็นสีแดงฉานไปครึ่งสาย
ราชวงศ์ใหม่สถาปนาขึ้นบนกองกระดูกและเลือดเนื้อของราชวงศ์เก่า
กษัตริย์ผู้บุกเบิกแผ่นดินราชวงศ์ต้าเฉิงเปี่ยมด้วยพระปรีชาปราดเปรื่องและเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด หลังขึ้นครองราชย์ก็ยกเลิกตำแหน่งเจ้าแคว้น ปรับปรุงแบบแผนล้าหลังคร่ำครึ วางนโยบายล้ำเลิศชาญฉลาด สร้างผลงานโดดเด่นทั้งด้านการปกครองและการรบ สยบสี่คาบสมุทรไว้ใต้อาณัติ เป็นที่ยกย่องเทิดทูนของอาณาประชาราษฎร์
เวลาหลายปีล่วงเลยไปราวกับติดปีก
ฤดูหนาวปีนั้นปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทุกเหย้าเรือนในเมืองหลวงผูกผ้าขาวไว้อาลัยให้แก่องค์ไทเฮาซึ่งเพิ่งสวรรคตไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว
ฮ่องเต้เป็นบุตรยอดกตัญญู เขากำพร้าบิดาแต่วัยเยาว์ ว่ากันว่าเมื่อครั้งเป็นเด็กหนุ่มเคยเป็นต้นเหตุให้ไทเฮาเดือดร้อนต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน บัดนี้ได้ครองแผ่นดินแล้ว เขาย่อมปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาด้วยความเอาใจใส่ หลายปีก่อนไทเฮาไม่ทันระวังล้มลงหมดสติแล้วเป็นอัมพาต ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลา ฮ่องเต้นั้นไม่ว่าจะมีราชกิจล้นมือเพียงใด ขอแค่ตัวเขาอยู่ในวังก็จะไปเยี่ยมเยียนป้อนยามารดาด้วยตนเองทุกเช้าเย็นมิเคยขาด ได้รับเสียงสรรเสริญในความกตัญญูกตเวทีจากหมู่ขุนนางและราษฎร เพลานี้ไทเฮาล่วงลับ ย่อมต้องจัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา
ด้านในโถงตำหนักที่ตั้งป้ายวิญญาณ ชีฮองเฮา ฮองเฮาพระองค์ที่สองสวมชุดผ้าดิบพร้อมด้วยเหล่าสนมชายาในตำหนักในคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณ ร่ำไห้โศกศัลย์ถึงดึกดื่นจนหมดเรี่ยวแรงเจียนสิ้นสติรอมร่อ ถึงยอมรับฟังคำเตือนให้ข้ารับใช้ประคองกลับไปพักผ่อนในตำหนักที่ประทับ
นางเพิ่งก้าวเข้าตำหนักยังไม่ทันได้นั่งลง ขันทีเฉาคนสนิทข้างกายฮ่องเต้ก็พาขันทีร่างบึกบึนล่ำสันหลายคนเดินเข้ามา
ใบหน้าของขันทีเฉาประดับรอยยิ้มยามบอกว่าตนเองมาถ่ายทอดกระแสรับสั่งขององค์ฮ่องเต้
ชีหลิงเฟิ่งรีบมาต้อนรับ
ขันทีเฉากล่าวด้วยสุ้มเสียงแหลมเล็ก ‘ฝ่าบาทมีกระแสรับสั่งว่าชีฮองเฮาเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อม เฝ้าดูแลปรนนิบัติไทเฮามานานหลายปี เป็นที่โปรดปรานของพระนางอย่างมาก บัดนี้ไทเฮาเสด็จสู่สวรรค์แล้ว ฮองเฮาก็ฝังร่างร่วมหลุมติดตามไปอยู่ที่นั่น ช่วยเราปรนนิบัติไทเฮาอย่างดีต่อไปเพื่อแสดงความกตัญญูเถอะ’
ชีหลิงเฟิ่งใบหน้าซีดเผือดทรงตัวคุกเข่าไม่อยู่ ตัวอ่อนพับล้มกองกับพื้นทันใด จวบจนมองเห็นขันทีหยิบเชือกที่นำติดตัวออกมา นางถึงตะกายตัวขึ้นจากพื้นราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เอะอะโวยวายว่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทูลถามให้รู้เรื่อง
เวลานี้สีหน้าของขันทีเฉาซึ่งปกติเคารพนอบน้อมต่อนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมอย่างที่สุด เขาสั่งให้ขันทีน้อยยึดตัวนางไว้พลางกล่าว ‘ฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมองค์ชายใหญ่แล้ว ไม่มีทางให้พระนางเข้าเฝ้าแน่ ฮองเฮา สิ่งที่กระหม่อมจะกราบทูลต่อไปนี้ทรงสดับตรับฟังให้ดี จะได้ไม่ต้องเป็นวิญญาณอาฆาตเพราะนึกว่าตนตายอย่างไม่เป็นธรรม’
เขากระแอมกระไอเสียงหนึ่งก่อนจะเลียนแบบน้ำเสียงของฮ่องเต้ กล่าวอย่างเย็นชา ‘ชีซื่อ เจ้านึกว่าเรื่องที่เจ้ากับพี่ชายเจ้ากระทำต่ออดีตฮองเฮาในครั้งนั้นเราไม่ล่วงรู้รึ เรารู้เรื่องมานานแล้ว แต่เห็นแก่ที่ไทเฮาขาดเจ้าไม่ได้ ถึงยอมให้เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกต่อไปชั่วคราวเท่านั้น เราแต่งตั้งเจ้าเป็นประมุขตำหนักในมานานหลายปีเพียงนี้ และให้เจ้าเหลือศพครบร่างก็ถือเสียว่าเป็นการทดแทนบุญคุณที่สกุลชีของเจ้าให้ความช่วยเหลือไทเฮาในอดีต ตอนนี้ไทเฮาจากไปแล้ว ส่วนเจ้ายังไม่ตาย เจ้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรเล่า ก็ตามไปอยู่เป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าต่อก็แล้วกัน!’
ชีหลิงเฟิ่งคล้ายโดนอสนีบาต ตอนแรกนางตะโกนคร่ำครวญโหยหวนพลางจิกข่วนทุบตีขันทีเป็นพัลวันราวกับคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งได้ยินว่าพี่ชายตนเองถูกปลดจากตำแหน่งรอประหารชีวิต ลูกหลานหลายร้อยชีวิตของสกุลชียังติดร่างแหรับโทษไปด้วยทั้งหมด น้ำตาก็หลั่งรินเป็นสาย นางทรุดตัวลงบนพื้นโขกศีรษะไม่หยุด บอกว่าเป็นความผิดของตนผู้เดียว อ้อนวอนขอให้ขันทีเฉายอมให้นางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ขอความเมตตา
ขันทีเฉาปั้นหน้าปึ่งชา ออกคำสั่งให้ขันทีน้อยลงมือ
ขันทีสองคนตรึงร่างชีฮองเฮากับพื้น อีกสองคนถือผ้าไหมขาวพันรอบลำคอนาง
ชีฮองเฮาดิ้นขัดขืนสุดชีวิต ถีบสองเท้าสะเปะสะปะจนรองเท้าหลุดกระเด็นไป
แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟูมั่งคั่งเหลือแสน นางปกครองตำหนักใน มีศักดิ์ฐานะสูงศักดิ์สุดจะเปรียบ เป็นฮองเฮาผู้ประเสริฐที่ผู้คนใต้หล้าแซ่ซ้องสดุดี นางกำลังรื่นรมย์สำราญกับชีวิต ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าฮ่องเต้ที่เพิ่งเซ่นไหว้ไทเฮาด้วยกันต่อหน้าเหล่าขุนนางตอนกลางวัน จู่ๆ จะมุ่งร้ายหมายชีวิตนางอย่างไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้
นางไม่เคยเห็นว่าตนเป็นคนเลว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางกตัญญูต่อนายหญิงเซี่ยจากใจจริง มีความรักฝังใจต่อเซี่ยฉางเกิงซึ่งเดิมเป็นพี่เขยผู้เคยมีสัญญาหมั้นหมายกับพี่สาวตนเอง ยอมลดศักดิ์ศรีแต่งเข้าสกุลเซี่ยในฐานะอนุ มีสัมมาคารวะต่อมู่ซื่ออย่างเคร่งครัด ไม่เคยถือตนว่าเป็นคนโปรดของนายหญิงเซี่ยแล้วไม่เคารพนับถือนาง
สาเหตุที่นางลักลอบแพร่งพรายข่าวการเดินทางกลับของสองแม่ลูกให้แก่คนของฉีอ๋องในครั้งนั้น ก็กระทำไปด้วยความเลอะเลือนชั่ววูบเท่านั้น
นางบังเกิดความเสียใจแต่แรกแล้ว ตอนนั้นนอกจากสำนึกตนต่อเบื้องหน้าองค์เทพ หลายปีนี้นางยังทำบุญกุศลมากมายเพื่อชดใช้ความผิด ยามผู้คนเอ่ยถึงชีฮองเฮา มีคนใดไม่รู้สึกเคารพยกย่อง ไม่ชื่นชมสรรเสริญบ้าง
จนบัดนี้ในตอนที่นางลืมเลือนเรื่องนั้นไปแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าไทเฮาเพิ่งจากไป ตนเองจะต้องตายตามและถูกฝังไปพร้อมกัน
นางไม่รู้จริงๆ ว่าฮ่องเต้รู้เรื่องนั้นเมื่อไร เมื่อคิดคำนึงว่าที่ผ่านมาเขาเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิดเฝ้ารอวันนี้ที่ไทเฮาจากไปแล้ว นางก็สะท้านเยือกดุจพลัดตกสู่หุบเหวลึก
ใครๆ ล้วนมีเวลาที่พลั้งพลาดทำผิด หรือว่าเขาไม่เคยมือเปื้อนเลือดสังหารคนมาก่อน
นางไม่สมควรถูกกระทำอย่างโหดร้ายเฉกนี้
ไหนเลยนางจะเต็มใจตายไปเช่นนี้
ทว่านางจะสู้แรงขันทีที่ดุร้ายดุจพยัคฆ์ดั่งสุนัขป่าพวกนี้กับเชือกคร่าวิญญาณที่พันรอบคออยู่ได้เช่นไร
ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากสีแดงก่ำเป็นสีม่วงช้าๆ สองตาเบิกถลนเหลือกขึ้นด้านบน มีเลือดออกในตา ลิ้นจุกปาก
เวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชาเต็มๆ ลำคอถูกรัดแทบหัก นางถึงได้หมดลมหายใจ หยุดดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างเปลืองแรงเปล่า ชีพดับสูญอยู่ในตำหนักที่ชั่วขณะก่อนหน้ายังเป็นของนางหลังนี้
ภายนอกตำหนัก ผืนนภาราตรีสลัว ลมเหนือร้องคำราม หิมะปลิวว่อนฟ้า ประหนึ่งมีวิญญาณกำลังร่ำไห้โหยหวน
คืนนั้นหนาวเหน็บเช่นนี้เอง
ราวกับว่าความหนาวเข้ากระดูกนั่นยังมิได้จากไปที่ใดจวบจนเสี้ยวเวลานี้ มันยังจู่โจมใส่มู่ฝูหลัน ชำแรกเข้าสู่ผิวกายนางทีละชุ่นๆ
นางสั่นสะท้านอีกคราอย่างสุดระงับ ลืมตาพรึบมองสบดวงตาที่มองมาของบุรุษข้างตั่งคนงาม
มือข้างหนึ่งของเขาเคลื่อนมาหานางอย่างเนิบนาบ ยังแตะไม่ถูกตัว ทว่านางกลับสัมผัสถึงกลิ่นอายคุกคามที่แผ่มาจากมือข้างนั้นของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน
นางจ้องมองดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น แยกสองขาซึ่งทีแรกหนีบเข้าหากันแน่นอย่างปกป้องตนเองออกอย่างเชื่องช้า
มือของนางจับชายกระโปรงสีทับทิมดุจเปลวเพลิงถลกขึ้นกะทันหัน
นางขยับทีเดียว ส่วนที่เก็บสงวนไว้ใต้อาภรณ์เสมอก็ไร้การปกปิดในฉับพลัน เปิดเปลือยอวดสายตาอย่างจะแจ้ง
ใต้เปลวเทียนเต้นระริก เรียวขาที่ไร้ซึ่งสิ่งบดบังของนางงดงามบาดตานัก
มือของเซี่ยฉางเกิงชะงักกึกเมื่อนางเปิดกระโปรงขึ้นเอง
สายตาของชายหนุ่มนิ่งขึง เขาค่อยๆ กลอกตาขึ้นมองหน้านาง
หญิงสาวนั่งเอนหลังอยู่บนตั่งคนงาม สองมือกำชายกระโปรงสีทับทิมไว้ ปลายคางเรียวมนเชิดขึ้น ปรายหางตามองเขายื่นมือมาหานาง
เซี่ยฉางเกิงสบตากับนางครู่หนึ่ง แววชิงชังแกมอับอายรางๆ ผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
เขาดึงมือคืนช้าๆ ยืดกายขึ้นยืนมองนางนิ่งๆ เปล่งเสียงลอดไรฟันพูดเน้นทีละคำ “หญิงแพศยา!”
มู่ฝูหลันปล่อยชายกระโปรงของตนเองลงอย่างเยือกเย็น จับให้เข้าที่แล้วยังปิดคลุมสองเท้าไว้อย่างมิดชิดถึงนั่งตัวตรง นัยน์ตาทั้งคู่มองเขาตรงๆ พลางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านพี่เซี่ย ต่อให้เมื่อแรกท่านรู้ว่าข้าเป็นเช่นนี้ หรือว่าท่านจะเปลี่ยนใจเพราะเหตุนี้ ไม่ขอเกี่ยวดองกับแคว้นฉางซาอีกหรืออย่างไร”
เซี่ยฉางเกิงจ้องนางเขม็ง ใบหน้าคมคายนิ่วเข้าหากันทีละน้อย เขาหมุนกายขวับเปิดประตูผลัวะ สาวเท้าก้าวใหญ่จากไปโดยไม่เหลียวหลังมองนางซ้ำแม้แต่แวบเดียว
มู่ฝูหลันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แววตาหวนรำลึกถึงวันเวลาเก่าๆ ที่นางเคยประสบมาเมื่อชาติที่แล้ว
ณ โถงตำหนักกว้างใหญ่โล่งเตียน แสงไฟสลัวราง สงัดเงียบไร้สุ้มเสียง
เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีสวมชุดผ้าดิบสีขาวราวหิมะ ใบหน้าเผือดซีด เรือนกายผอมบาง เขาคุกเข่าเงียบๆ อยู่หน้าป้ายวิญญาณของมารดาที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อน
หน้าป้ายวางดวงประทีปที่จุดไฟสว่างทั้งวันทั้งคืนดวงหนึ่ง ถัดออกมาด้านหน้าป้ายเป็นโต๊ะบูชามีกระถางสามขาเล็กๆ ใบหนึ่งตั้งอยู่ ในนั้นปักธูปไว้ ใกล้ๆ กันยังจัดวางเครื่องเซ่นไหว้ ได้แก่ สุราหนึ่งกากับผลไม้หนึ่งจาน
สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องอยู่ที่แสงประทีปที่ไม่มีวันดับดวงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ตรงทางเข้าตำหนักแว่วเสียงฝีเท้าจากที่ไกลค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาทีละน้อย
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ต้าเฉิงหรือพระบิดาของเขาเดินย่ำหิมะกลางดึกมาที่โถงบูชาพระมารดาของเขาในที่สุด แต่กลับหยุดฝีเท้าอยู่นอกตำหนักไม่ก้าวเข้ามา
ฮ่องเต้อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เป็นช่วงที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มากที่สุดในชีวิตบุรุษ มาตรว่ากำลังไว้ทุกข์ให้ไทเฮา ส่งผลให้ใบหน้าแฝงร่องรอยอ่อนล้า ทว่าอำนาจบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินยังคงทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ
เขามองเข้าไปในโถงแวบหนึ่ง ก่อนหันไปถามแม่นมมู่ ‘มีเรื่องใดรึ’
แม่นมมู่ซึ่งอยู่เคียงข้างซีเอ๋อร์มาตลอดหลายปีนี้คุกเข่าอยู่หลังธรณีประตู กล่าวเสียงเบา ‘ฝ่าบาท พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของหยวนโฮ่วครบรอบสิบปี ด้วยเหตุนี้องค์ชายจึงได้บังอาจทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ในคืนนี้เพคะ’
พระพายที่โหมแรงเสียงดังหวีดหวิวเบื้องหลังหอบหิมะในผืนราตรีมืดมิดม้วนลอยขึ้นซัดใส่ชายคาตำหนักสูงใหญ่เข้ามาทางประตูที่เปิดอ้ากว้าง ลมพัดชายเสื้อของฮ่องเต้ปลิวพะเยิบพะยาบ เห็นเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองใต้ชุดผ้าดิบโผล่ออกมามุมหนึ่งได้รำไร
ร่างของเขานิ่งชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ก้าวขาข้ามธรณีประตูเข้ามา
‘พวกเจ้าออกไปให้หมด’
แม่นมมู่โขกศีรษะแล้วลุกขึ้นถอยออกจากโถง
ประตูตำหนักบานหนึ่งสกัดกั้นหิมะที่โปรยปรายทั่วฟ้าไว้ด้านนอก
ฮ่องเต้อาศัยดวงประทีปสลัวๆ ที่ส่องแสงวับแวมลึกเข้าไปด้านในโถงดวงนั้นนำทาง สาวเท้าเนิบนาบไปที่ข้างหลังเด็กหนุ่มแล้วหยุดยืนนิ่ง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากหน้าป้ายวิญญาณของมารดา หมุนกายหันหน้าไปหาฮ่องเต้ คุกเข่าลงอีกครั้งแล้วโขกศีรษะ
เขาเป็นใบ้
ตั้งแต่สิบปีก่อน หลังหนีรอดจากเมืองผูเขาก็พูดไม่ได้แล้ว
เด็กน้อยที่เคยฉลาดร่าเริงเพียงนั้น ต้องสูญเสียความสามารถในการพูดกลายเป็นคนใบ้ในชั่วข้ามคืน
ต่อมาถึงแม้หมอหลวงใช้ความพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ล้วนไม่ประสบผลใด
พวกข้ารับใช้ในวังแอบเล่าลือกันว่านี่เป็นเพราะพระโอรสองค์โตตกใจขวัญเสียถึงขีดสุดในวัยเยาว์ เป็นเหตุให้เสียงหายไปจนพูดไม่ได้
ฮ่องเต้ตวัดตามองป้ายวิญญาณแล้วนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงกล่าวกับเด็กหนุ่มร่างผ่ายผอมบนพื้นที่หันหน้ามาหาตนคุกเข่าหมอบคำนับ ‘วันพรุ่งนี้พ่อจะเรียกคนมาเซ่นไหว้เสด็จแม่ของเจ้าที่นี่’
เด็กหนุ่มหมอบกายกับพื้นดังเก่าคล้ายไม่ได้ยิน
ฮ่องเต้เดินไปตรงหน้าเขา ก้มตัวยื่นมือไปกุมไหล่ของเขาเบาๆ จะประคองให้ลุกขึ้นจากพื้น
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ใบหน้าของเขาขาวซูบตอบ แต่รูปหน้ายังคงดูคมคาย
ฮ่องเต้ถือกำเนิดจากสามัญชน เป็นนักรบบนหลังอาชาช่วงชิงแผ่นดิน ได้รับการยกย่องจากมวลหมู่ขุนนางว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถหาได้ยากยิ่งในปฐพี ว่ากันว่าตอนวัยหนุ่มเขามีรูปโฉมหล่อเหลาหมดจด ท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลเฉกบัณฑิต
เค้าหน้าของเด็กหนุ่มประพิมพ์ประพายคล้ายฮ่องเต้เป็นอันมาก หากนัยน์ตาทั้งคู่คล้ายคลึงฮองเฮาพระองค์แรกมากกว่าตามคำบอกปากต่อปากของพวกนางกำนัลขันที
อดีตฮองเฮานั้นสวรรคตไปเมื่อสิบปีก่อน ตามคำบอกเล่าของคนที่เคยเห็น นางได้รับคำขนานนามเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซา โฉมงามเลิศล้ำประหนึ่งนางสวรรค์
โดยรูปโฉมขององค์ชายใหญ่ผสมผสานจากส่วนที่ดีของบิดามารดา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมังกรกับหงส์ ย่อมต้องโดดเด่นเป็นธรรมดา
ข้อน่าเสียดายเพียงประการเดียวก็คือเขาสูญเสียความสามารถในการพูดไป
ฮ่องเต้เพ่งมองนัยน์ตากระจ่างใสที่ตนคลับคล้ายคลับคลาเคยเห็นมาก่อนคู่นั้น ในดวงตาจึงปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลากวูบหนึ่งยามกล่าวเสียงเบา ‘ซีเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าคงคับแค้นใจอยู่บ้าง เจ้าอย่าถือโทษพ่อเลย เจ้าเป็นโอรสองค์โตของพ่อ พ่อยังรู้ว่าเจ้ามีสติปัญญาเหนือใคร หากมิใช่เจ้าพูดไม่ได้ มีหรือพ่อจะไม่ให้เจ้าเป็นรัชทายาท’
เขาหยุดพูดเล็กน้อย
‘แม้นเจ้าไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่พ่อจะคุ้มครองเจ้าให้อยู่ดีมีสุขไปชั่วชีวิตแน่ ถ้าวิญญาณของเสด็จแม่เจ้ารับรู้ได้ นางก็คงหมดห่วงเช่นกัน’
เด็กหนุ่มจับจ้องฮ่องเต้ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ เขาโขกศีรษะให้พระบิดาแล้วลุกขึ้นเดินไปหน้าโต๊ะบูชา หยิบกาสุรา หงายถ้วยสามใบที่วางคว่ำอยู่ขึ้นแล้วรินสุราใส่ทีละใบ
เขาหยิบสุราถ้วยแรกราดลงบนพื้นเป็นการเซ่นไหว้มารดาผู้ล่วงลับ ยกถ้วยที่สองคารวะต่อป้ายวิญญาณอย่างเคารพนบนอบก่อนดื่มเอง
เมื่อทำขั้นตอนเหล่านี้เสร็จ เขาถอยออกด้านข้างคุกเข่าลงบนพื้นอีกครา สายตาจับอยู่ที่ฮ่องเต้ จากนั้นโขกศีรษะให้อย่างเป็นพิธีรีตอง
ฮ่องเต้ลังเลใจเล็กน้อย แต่ยังก้าวเข้าไปยกสุราถ้วยที่สามขึ้นคารวะต่อวิญญาณผู้ล่วงลับแล้วดื่มลงไป
เขาวางถ้วยลง หมุนกายไปบอก “เจ้าลุกขึ้นเถอะ บนพื้นเย็น”
เวลานี้หากมีคนนอกอยู่ด้านข้างต้องประหลาดใจเป็นแน่
น้ำเสียงที่ฮ่องเต้เอ่ยคำนี้อ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในยามปกติ
เด็กหนุ่มยังไม่ลุกขึ้น ดวงตาทั้งคู่ยังคงมองดูฮ่องเต้
‘เสด็จพ่อ กระหม่อมขอบพระทัยที่ทรงเห็นความสำคัญ แต่กระหม่อมหาได้คิดอยากเป็นรัชทายาท’
เขาอ้าปากกล่าววาจาแล้วหรือนี่ ฮ่องเต้มองเขาอย่างประหลาดใจ
‘กระหม่อมแค่อยากทูลถามเสด็จพ่อคำเดียว พรุ่งนี้ครบรอบวันสวรรคตสิบปี วันสำคัญเยี่ยงนี้เหตุใดไม่เสด็จมาเซ่นไหว้เสด็จแม่ด้วยพระองค์เอง’
สุ้มเสียงของเด็กหนุ่มค่อนข้างทุ้มต่ำ แต่ทุกถ้อยทุกวาจากลับฟังได้ชัดเจน
ภายในโถงตำหนักประหนึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง พาให้บรรยากาศเย็นเยียบลงในพริบตา
เปลวไฟหน้าป้ายวิญญาณดวงนั้นพลันไหววูบวาบริบหรี่
ฮ่องเต้มองหน้าเด็กหนุ่มนานครู่ใหญ่ถึงดึงสติคืนมาได้
‘นี่เจ้าพูดได้แล้วหรือ เจ้าพูดได้ตั้งแต่เมื่อไร’
ชั่วขณะนั้นเขาไม่แยแสน้ำเสียงปราศจากความเคารพต่อตนเองที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนี้ของเด็กหนุ่ม สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าฉายแววปีติยินดีล้นเหลือ
‘หลายปีก่อนหน้ากระหม่อมก็พูดได้แล้ว เพียงแต่ไม่อยากปริปากเท่านั้น’
เด็กหนุ่มพูดแล้วมองป้ายวิญญาณแวบหนึ่ง
‘เสด็จพ่อ ถ้าลูกจำไม่ผิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ไม่เคยเสด็จมาที่นี่สักก้าว คืนนี้หากมิใช่คำขอร้องของกระหม่อม เสด็จพ่อก็คงไม่เสด็จมาเช่นเคย…ใช่หรือไม่’
ฮ่องเต้เห็นเด็กหนุ่มทำสีหน้าเฉยเมย รอยยินดีบนหน้าเมื่อครู่ก็เลือนหายไป เขาไม่เปล่งเสียงพูด
‘เสด็จพ่อไม่เสด็จมาเพราะทรงรังเกียจ? หรือการตายของเสด็จแม่ พระองค์มิเคยเก็บเอามาใส่พระทัยเลย สักเศษเสี้ยวหนึ่งก็ไม่?!’
เด็กหนุ่มตะเบ็งเสียงกะทันหัน แต่ละถ้อยคำราวกับจะซักไซ้คาดคั้น
ฮ่องเต้มุ่นคิ้วคล้ายโดนเข็มแทงทีหนึ่ง
‘สามหาว! เจ้าบังอาจกล่าววาจาเยี่ยงนี้รึ!’
เด็กหนุ่มมองฮ่องเต้ เขายกยิ้ม
‘นั่นสินะ ท่านเป็นปฐมกษัตริย์ของต้าเฉิง ภายใต้การปกครองของท่าน ราชวงศ์ใหม่นี้กำลังเจริญรุ่งเรือง พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข ภายภาคหน้าแผ่นดินนี้ต้องเกริกเกียรติเกรียงไกร ยิ่งใหญ่สถาพร กระหม่อมคาดเดาล่วงหน้าได้ว่าอีกเนิ่นนานหลายปีให้หลัง ยามขุนนางจะจารึกชื่อท่านลงในพงศาวดาร ถึงคุณูปการของท่านไม่อาจเทียบเคียงสามจักรพรรดิห้าราชาธิราชก็ต้องทัดเทียมพระเจ้าฉินกับฮั่นอู่ตี้ได้’
ครานี้เด็กหนุ่มไม่พูดอย่างให้เกียรติอีก
‘ท่านไม่เพียงเป็นกษัตริย์ แต่ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของข้า หากไม่ได้สืบเชื้อสายจากท่าน ไหนเลยข้าจะมีร่างกายเลือดเนื้อเช่นวันนี้ ทว่าข้าขอบอกท่านไว้ ไม่ว่าพวกเขาสรรเสริญเยินยอหรือเทิดทูนบูชาท่านเพียงไร แต่ในสายตาข้า ท่านพ่อ…ท่านก็คือคนเลือดเย็นไร้สำนึกคนหนึ่ง’
ฮ่องเต้จ้องมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ใบหน้าเริ่มบึ้งตึง สายตาแฝงรอยโทสะรำไร
สีหน้าของเด็กหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้านอันใด เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เรือนกายผ่ายผอมทว่าสูงเพรียวเหยียดตรง
‘ตอนอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตเรียบเรียงผังวงศ์สกุลให้ท่าน เว้นข้ามวัยเยาว์ของท่านไปด้วยความระมัดระวัง เพียงบอกว่าท่านมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ องอาจห้าวหาญเหนือใครตั้งแต่เด็ก พวกเขาไม่กล้ากล่าวถึงท่านในทางเสียหายแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าในใจท่านแจ่มแจ้งถึงความเป็นมาของตนดี ท่านเคยเป็นโจรปล้นสะดมในแม่น้ำคนหนึ่ง ได้พึ่งใบบุญของท่านตาข้าก้าวมาเป็นขุนนาง ไต่เต้าจนเป็นใหญ่เป็นโต ตอนมารดาข้าลดตัวออกเรือนไปกับท่าน น่าจะมิได้ตัดพ้อต่อว่าท่านสักคำกระมัง แล้วท่านปฏิบัติต่อนางเยี่ยงไรเล่า ปีแรกที่นางแต่งงานกับท่าน ท่านก็รับหญิงอื่นเข้าเรือนอย่างอดทนรอไม่ไหวแล้ว
ช่วงเวลานั้นข้าจำหน้าท่านพ่อได้ไม่ชัดว่าเป็นอย่างไร จวบจนข้าโตขึ้น จดจำได้แต่ว่าทุกวันยามเช้าตรู่ ไม่ว่าอากาศร้อนหรือหนาว ท่านแม่ของข้าต้องตื่นแต่เช้าไปยกน้ำชาคีบอาหารให้ท่านย่าเสมอ ส่วนชีซื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นอนุผู้นั้นกลับได้อยู่ข้างกายท่านย่า แย้มยิ้มมองดูท่านแม่ที่เดิมเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่ต้องมาทนรับการจับผิดหาข้อตำหนิต่างๆ นานาของท่านย่าต่อหน้านาง’
หัวคิ้วของฮ่องเต้ยังมุ่นแน่นดุจเก่า ทว่าแววโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าเมื่อครู่ดูเหมือนจะลบเลือนไปทีละน้อย เขามองเด็กหนุ่มเงียบๆ โดยไม่ตัดบทอีกฝ่าย
‘เรื่องพวกนั้นก็แล้วกันไปเถอะ ท่านพ่อ ต่อมาท่านแม่ของข้าก็ตายหลังจากนางส่งข้าออกมาแล้วไม่อยากเป็นภาระของท่าน อีกทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะถอยหลังเพื่อนาง นางจึงจบชีวิตของตนเองลง ข้าไม่มีวันลืมเลือนภาพที่ข้ามองเห็นหลังจากดึงมือแม่ทัพหยวนที่ปิดตาข้าออกตอนเขาพาข้าหนีออกมา’
ขอบตาของเด็กหนุ่มแดงเรื่อ เสียงพูดสั่นเครือน้อยๆ
‘นางคือธิดาของฉางซาอ๋อง สตรีซึ่งแต่เดิมโฉมงามสูงศักดิ์ปานนั้น นางไม่สมควรโดนกระทำเยี่ยงนั้น! นางตายไปแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ละเว้นนาง อากาศหนาวเย็นเพียงนั้น นางกลับไม่มีกระทั่งอาภรณ์ปิดคลุมร่างดีๆ สักชิ้น มีก็แต่รอยแผลที่หลงเหลือจากการถูกศัตรูที่เกลียดชังท่านใช้ดาบกระบี่ฟันแทง แล้วก็เลือด เลือดไหลท่วมตัว! ศีรษะของนางห้อยลง เท้าถูกมัดด้วยเชือกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ตัวนางแกว่งไปแกว่งมาไม่หยุดตามแรงลมพัด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างกำเริบเสิบสาน นางไร้ที่พึ่งและน่าเวทนาปานนั้น’
เด็กหนุ่มน้ำตาไหลริน ร่างผอมโดดเดี่ยวแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหินก้อนหนึ่งไปแล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้นิ่งขึง เขาหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเดินไปหาเด็กหนุ่มช้าๆ ยกมือจับข้อศอกของอีกฝ่ายไว้
‘ซีเอ๋อร์…’ เขาเรียกขานชื่อแรกเกิดของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อน
ในดวงตาเด็กหนุ่มกลับมีแววเกลียดชังวาบขึ้น เขาสลัดมือของบิดาออก ถอยหลังสองสามก้าวอย่างฉับไว
‘ท่านพ่อ สิบปีแล้ว ท่านคงลืมท่านแม่ข้าไปนานแล้วกระมัง แต่ข้ากลับลืมนางไม่ลง ข้ามักฝันถึงนางบ่อยๆ ข้าไม่มีทางลืมภาพที่นางถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองได้ชั่วชีวิต ข้ามิบังอาจติเตียนท่านว่าในช่วงที่พวกข้าถูกกักขังเป็นเวลานานเกือบปี ขณะที่ท่านกำลังพิชิตใต้หล้าของท่าน ได้เคยทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดหาหนทางไปช่วยเหลือพวกข้าหรือไม่ ข้ายิ่งไม่มีสิทธิ์ร้องขอท่านให้สละเมืองที่แลกมาด้วยชีวิตของทหารแห่งนั้นเพื่อท่านแม่กับข้า ท่านมีสิ่งที่ต้องพินิจพิจารณาและชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียของท่าน ซึ่งข้าเข้าใจได้ แต่ว่าท่านพ่อ ที่ข้าไม่อาจอภัยให้ได้คือท่านกระทำอะไรลงไปบ้างในภายหลังต่างหาก ท่านปฏิบัติกับท่านแม่ข้าอย่างไรบ้าง
ท่านแต่งตั้งตำแหน่งจอมปลอมให้นางเป็นหยวนโฮ่ว พระราชทานสมัญญานามยาวเหยียดแสนไพเราะเพราะพริ้งให้นาง ยังสร้างที่ตั้งป้ายวิญญาณให้ เท่านี้ท่านก็รู้สึกสบายใจได้แล้วใช่หรือไม่’
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเริ่มพลุ่งพล่าน ใบหน้าขาวซีดซับสีแดงเรื่อ
‘ข้ารู้สึกอยู่ไม่วายว่าท่านแม่ไม่ได้จากที่นี่ไป นางกำลังมองข้าอยู่ แล้วก็มองท่านด้วย หึ เสด็จพ่อของข้า!’
‘ซีเอ๋อร์ พอได้แล้ว!’
ฮ่องเต้ตวาดกะทันหัน
‘ยังไม่พอ! หากมิใช่ในครั้งนั้นท่านใช้นางเป็นเครื่องมือ แต่งนางเป็นภรรยาแล้วยังปล่อยให้นางพบเจอเรื่องเลวร้าย นางจะพบกับจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร หากหลายปีนี้ท่านรู้สึกผิดต่อนางสักกระผีก ข้าก็คงแล้วกันไป แต่ท่านกลับแล้งน้ำใจ แม้แต่ครบรอบสิบปีวันตายของนางท่านก็ไม่มาเซ่นไหว้ด้วยตนเอง’
ดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่มที่แดงก่ำเสมือนอาบย้อมด้วยโลหิตจับจ้องฮ่องเต้ตรงหน้าพลางเน้นเสียงเรียกชื่อเขาทีละคำ
‘เซี่ย! ฉาง! เกิง! นอกจากท่านไม่คู่ควรกับท่านแม่ของข้า ท่านยังเป็นฆาตกรสังหารนางด้วย’
ฮ่องเต้ทำหน้าขมึงทึง
‘บังอาจ! ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก เราจะลงทัณฑ์เจ้าสถานหนัก!’
เขาหยุดเว้นจังหวะนิดหนึ่งแล้วทอดน้ำเสียงอ่อนลง
‘เจ้ายังไม่รู้ว่าคนที่เป็นตัวการทำให้พวกเจ้าสองแม่ลูกตกอยู่ในมือศัตรูตอนนั้นก็คือชีซื่อ เป็นหญิงต่ำช้าผู้นี้ที่ส่งข่าวให้คนของฉีอ๋อง เราเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ทีหลัง แล้วก็เมื่อครู่นี้ก่อนจะมาที่นี่ เรามีบัญชาให้สำเร็จโทษนางแล้ว’
เด็กหนุ่มมองฮ่องเต้นิ่งๆ ด้วยสีหน้าชอบกล แล้วจู่ๆ ก็หัวร่อเสียงดัง กลับมาเรียก ‘เสด็จพ่อ’ ตามเดิม
‘เสด็จพ่อ ท่านเห็นว่าทำเช่นนี้แล้วท่านแม่ข้าก็จะนอนตายตาหลับได้ ถึงขั้นซาบซึ้งที่ท่านล้างแค้นให้นางหรือ’
เขาหัวร่องอหายจนน้ำตาจวนจะไหลถึงหยุดลง
‘เป็นเวลานานถึงสิบปี! ท่านแม่ข้าตายไปแล้วสิบปี ท่านถึงเพิ่งลงมือในตอนนี้…เสด็จพ่อ ข้าขอถามท่านคำหนึ่ง ท่านล้างแค้นให้ท่านแม่จริงๆ หรือเป็นเพราะว่าเคียดแค้นที่ชีซื่อทรยศต่อท่าน จึงรอกระทั่งไทเฮาจากไปแล้วถึงลงมือ’
ฮ่องเต้ย่นหัวคิ้วแทบชนกัน กล่าวเสียงมึนตึง ‘หลังท่านย่าของเจ้าเป็นอัมพาตไปก็เลอะเลือนหลงๆ ลืมๆ ทำให้ยิ่งขาดนางไม่ได้ นางก็ไม่ต่างจากศพเดินได้เท่านั้น ไยต้องคิดเล็กคิดน้อยว่าช้าเร็ว ดึกแล้ว เจ้าสมควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว’
กล่าวจบเขาก็หมุนกายย่างเท้าออกจากโถงบูชา แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าเริ่มหนักขึ้นทีละน้อย พาให้ร่างกายซวนเซตามไปด้วย
เขาตั้งสติแล้วหันหลังกลับไปช้าๆ
ในมือของเด็กหนุ่มมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้
เปลวเทียนวูบไหวล้อประกายกระบี่น่าสะพรึงกลัว
ฮ่องเต้มองไปที่สุราเซ่นไหว้บนโต๊ะทันใด จากนั้นหันขวับมาจ้องหน้าเด็กหนุ่ม ดวงตาทั้งคู่ทอแววตกใจโกรธเกรี้ยวปนเหลือเชื่ออย่างไรอย่างนั้น
‘เจ้ากล้าลงมือกับเราเชียวรึ!’ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เด็กหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะ
‘เสด็จพ่อ ตอนนี้ท่านรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว หายใจติดขัด กระทั่งจะยืนก็ยืนทรงตัวไม่อยู่ใช่หรือไม่ ข้าบอกกับท่านก็ได้ ปกติข้าจะอ่านตำราแพทย์ที่ท่านแม่ทิ้งไว้บ่อยๆ มีวันหนึ่งข้าพบตำรับยาขนานหนึ่งที่ร้ายกาจมากในนั้น ข้าเลยฝึกสกัดด้วยตนเอง…’
‘เจ้าลูกชั่ว!’
หน้าตาของฮ่องเต้บูดบึ้ง
‘ทหาร!’
เขาตะโกนออกไปนอกตำหนักเสียงห้วนจัด
สิ้นเสียงตะโกน เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระโอรสองค์โตของเขาห้ามมิให้คนนอกใดๆ เหยียบย่างเข้าตำหนักที่ตั้งป้ายวิญญาณมารดาผู้ล่วงลับของตนเด็ดขาด ด้วยเห็นว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อมารดา
แล้วเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ดังนั้นตอนมาที่นี่ เพื่อไม่สร้างความขุ่นเคืองให้บุตรชายที่เขารู้สึกติดค้างเสมอมาคนนี้ จึงตั้งใจสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ด้านนอกประตูตำหนักทั้งหมด
จนกระทั่งขณะนี้ ฮ่องเต้เพิ่งประจักษ์แจ้งในบัดดล
เพื่อรอเสี้ยวเวลานี้ เห็นทีว่าบุตรชายคนนี้ของตนคงเตรียมการมาเนิ่นนานแล้ว ความอดกลั้นและเล่ห์อุบายของเขาลึกล้ำน่ากลัวถึงขั้นนี้!
เสียงตะโกนของฮ่องเต้สะท้อนก้องอยู่ในโถงตำหนัก
ประตูใหญ่ถูกผลักเปิด แม่นมมู่วิ่งถลันเข้ามา เห็นแผ่นหลังของฮ่องเต้โงนเงนไปมาแล้วหน้าถอดสีไปถนัดตา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
เปลวไฟของดวงประทีปต้องลมราตรีที่พัดกรูเข้ามาวูบไหวอย่างรุนแรง เงาคนไหววูบวาบไม่หยุด ฮ่องเต้มองพระโอรสของตนด้วยสายตาขุ่นขวาง เขาไม่ถอยหนี กลับลากเท้างุ่มๆ ง่ามๆ เข้าไปใกล้ทีละก้าว
‘ลูกชั่ว เราไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าสังหารเราจริงๆ’
เขาเดินไปถึงตรงหน้าบุตรชายแล้วทรงตัวไม่อยู่อีก ล้มคว่ำลงกับพื้น
เด็กหนุ่มมองผู้เป็นบิดาอย่างเฉยเมย ราวกับมองเครื่องเซ่นไหว้ไร้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบูชาชิ้นหนึ่ง จวบจนฮ่องเต้ทรุดลงกองข้างเท้าตนถึงหยักยิ้ม
เขายกมือเอานิ้วเรียวยาวลูบไปตามคมกระบี่ที่แผ่ประกายเย็นเยียบ
‘เสด็จพ่อ ท่านจำกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่ นี่เป็นเล่มที่ท่านปลดจากตัวมอบให้ข้าหลังจากได้พบข้าในวันที่ท่านตีเมืองผูได้ มันเคยอาบโลหิตของคนนับไม่ถ้วน ท่านอยากให้ข้าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง’
เด็กหนุ่มย่อตัวลงอย่างเอื่อยเฉื่อย นั่งยองๆ หน้าบิดาที่ล้มอยู่บนพื้น ประสานสายตากับเขา
ฮ่องเต้มองตอบอย่างเดือดดาล
รอยยิ้มบนหน้าเด็กหนุ่มเลือนหายไป เขาเงื้อมือตวัดกระบี่ฟันใส่ฮ่องเต้
เสียงร้องด้วยความตกใจของแม่นมมู่ดังขึ้น ฮ่องเต้รับรู้ได้ว่าคมกระบี่เย็นเยียบแฉลบผ่านหน้าผากของตนไป
ทว่าไร้ซึ่งโลหิต
‘ติ๊ง’
เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ดังขึ้น
เกี้ยวรัดผมบนศีรษะของเขาหักเป็นสองท่อน เส้นผมที่มัดรวบขึ้นเก็บไว้ใต้เกี้ยวขาดสะบั้นทั้งปอยร่วงหล่นลงบนพื้น
ฮ่องเต้ไม่ขยับกาย เขามองดูบุตรชายตนเองลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
‘เสด็จพ่อ ข้าได้ยินว่าตอนท่านมีอายุเท่าข้าเคยลงมือฆ่าคนเพื่อแก้แค้นให้บิดา ถึงข้าจะไม่เอาไหน กระนั้นความมุ่งมั่นอยากแก้แค้นให้ท่านแม่หาได้น้อยหน้าเสด็จพ่อแม้สักเศษเสี้ยว ด้วยนิสัยแก่นแท้ของข้า ตอนนี้คงสังหารท่านไปแล้ว แต่ข้าเอาชีวิตท่านไม่ได้ ถ้าท่านตายไปแผ่นดินก็จะระส่ำระสายอีกครั้ง ข้ากลัวว่าข้าได้พบกับท่านแม่แล้วจะโดนนางตำหนิ
ท่านรับฟังเอาไว้ ตอนนี้ข้าตัดผมของท่านเปรียบได้กับสังหารท่าน ลูกฆ่าพ่อเป็นเรื่องผิดทำนองคลองธรรม นับจากนี้ไปข้าไม่มีบิดา ท่านเองก็ไม่มีบุตรคนนี้’
เขาใช้ปลายกระบี่เขี่ยเส้นผมดำสนิทปอยนั้นขึ้นจากพื้น หมุนกายเดินไปหน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮองเฮาแล้ววางมันบนโต๊ะบูชาโดยไม่มองฮ่องเต้ซ้ำอีก หลังจากเขาคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับแล้วลุกขึ้นยืนพูดเน้นทีละคำ เอ่ยถามกับป้ายวิญญาณ ‘ท่านแม่ ลูกกระทำเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่กันแน่’
ภายในโถงตำหนักไร้เสียงตอบ มีเพียงเสียงสะอื้นที่เพียรสะกดเก็บไว้ดังมาจากแม่นมมู่ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง
เปลวไฟของดวงประทีปสะบัดไหวอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบด้านอย่างช้าๆ พลางกล่าวอย่างวังเวงใจ ‘ท่านแม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ารู้สึกเสมอว่าท่านอยู่ข้างกายข้านี่เอง ข้าจำได้ว่าตอนเด็กเขามักไม่อยู่เรือน บางครั้งข้าตื่นขึ้นกลางดึก เห็นท่านแม่ยังลืมตาอยู่ ดูเดียวดายปานนั้น อันที่จริงวันนั้นท่านไม่สมควรให้แม่ทัพหยวนพาข้าหนีไปเลย ข้าไม่อยากให้ท่านจากไปอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว ข้ากำลังจะตามไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแล้ว ต่อแต่นี้จะไม่แยกจากท่านแม่อีกต่อไป’
เขาหลับตาลงโขกศีรษะสุดแรง ก่อนจะยกดาบขึ้นปาดคอของตนเอง
‘ซีเอ๋อร์!’
ฮ่องเต้เบิกตาโพลงเปล่งเสียงคำรามลั่น ไม่รู้เขาเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ตะเกียกตะกายลุกจากพื้น ทะยานร่างไปหาเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นพร้อมกับแม่นมมู่
ทว่าสายเกินไปแล้ว
คมกระบี่กรีดผ่านลำคอ โลหิตสาดกระเซ็นใส่แท่นบูชา ดวงประทีปที่จุดสว่างตลอดเวลาดับวูบลงทันที
พริบตาเดียวภายในโถงกว้างใหญ่ก็ตกอยู่ในความมืดมิด เหลือแต่เสียงร้องตะโกนอย่างใจสลายของฮ่องเต้
ชั่วครู่ต่อมาข้ารับใช้ในวังซึ่งได้ยินเสียงผิดปกติก็ถือโคมไฟวิ่งกรูเข้ามาทางประตูตำหนัก พากันตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพที่มองเห็น
ฮ่องเต้ผมเผ้ายุ่งเหยิงล้มกองอยู่หน้าป้ายวิญญาณของหยวนโฮ่ว กอดองค์ชายใหญ่ไว้ในอ้อมแขน ปากก็พูดพึมพำ ‘ซีเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากมา…แต่ไม่กล้ามา…’
กระบี่นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น หากคนทั้งสองเปื้อนเปรอะด้วยโลหิตแดงฉานไปทั้งร่าง
ความเจ็บปวดประหนึ่งลูกธนูเสียบทะลุหัวใจจู่โจมมู่ฝูหลันซ้ำอีกครั้ง
ร่างของมู่ฝูหลันค่อยๆ อ่อนยวบเอนล้มลง
นางหลับตาสนิท งอเข่ากอดตนเองแน่นๆ นอนฟุบบนตั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง
แม่นมมู่ซึ่งรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจพลันเห็นประตูเปิดผลัวะ เซี่ยฉางเกิงก้าวออกมา นางเดินตรงรี่เข้าไปจะอ้าปากพูด กลับเห็นเขาสาวเท้าปราดๆ ออกไปด้วยสีหน้าขุ่นมัว นางไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น แต่ไม่มีแก่ใจคำนึงถึงชายหนุ่ม รีบหมุนกายเข้าไปข้างในดูว่าท่านหญิงของนางเป็นอย่างไรก่อน
บทที่หก
เซี่ยฉางเกิงออกจากวังอ๋องตรงกลับไปยังที่พัก มีคำสั่งให้ออกเดินทางในราตรีนี้ทันที
ผู้ติดตามของเขาพากันแปลกใจครามครัน
ปกติเขาเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ทว่ายามนี้ใบหน้าเขาค่อนข้างบึ้งตึง ทุกคนลอบตระหนก แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงถึงยั่วโทสะเขาได้มากเพียงนี้ แต่จะกล้าถามมากได้อย่างไร พวกเขาเร่งมือเก็บสัมภาระเสร็จอย่างว่องไว จากนั้นยกขบวนออกจากจุดพักม้ามุ่งหน้าสู่ประตูเมือง
ตอนใกล้ถึงหน้าประตูเมือง มีเสียงฝีเท้าม้าไล่กวดมาข้างหลังระลอกหนึ่ง
ลู่หลินเสนาบดีของแคว้นฉางซาขี่ม้าไล่ตามมา เขาร้องเรียกเสียงดัง “ผู้บัญชาการเซี่ย ช้าก่อน!”
เซี่ยฉางเกิงชักม้าหยุดช้าๆ
ลู่หลินไล่ตามทันแล้วพลิกกายลงม้า วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหา
เขาไม่สวมหมวกขุนนาง ยังสวมรองเท้าสลับข้างกันด้วย
“ผู้บัญชาการเซี่ย นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงรีบร้อนจากไปในคืนนี้”
สีหน้าของเซี่ยฉางเกิงกลับเป็นปกติแล้ว เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อครู่ก่อนข้าออกมา ฝากสารไว้กับหัวหน้าจุดพักม้า ไหว้วานเขานำไปส่งต่อให้ตอนพรุ่งนี้เช้า จุดประสงค์ที่ข้าเดินทางมาครานี้ประการแรกเพื่อเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ ประการที่สองคือรับภรรยากลับไป ข้าเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับแล้ว ด้านภรรยาของข้านั้น หลังจากนางไปอยู่ที่ขุยโจวแล้วไม่คุ้นเคยกับดินน้ำอากาศ ส่งผลให้ร่างกายไม่ปกตินัก ในเมื่อกลับมาถึงที่นี่แล้วก็ให้นางอยู่ฟื้นฟูร่างกายต่ออีกสักพัก อีกอย่างตัวข้ายังมีงานสำคัญอีก จึงได้ออกเดินทางในคืนนี้เลย ขอบคุณฉางซาอ๋องและท่านเสนาบดีที่ต้อนรับขับสู้ ข้าซาบซึ้งใจสุดจะกล่าว ท่านเสนาบดีส่งถึงตรงนี้เถอะ ข้าขออำลาก่อน วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
ลู่หลินกลับถึงจวนเพิ่งเอนกายลงนอนได้ไม่ถึงครู่หนึ่ง ก็ได้รับรายงานว่าเซี่ยฉางเกิงจะพาคนกลับไปคืนนี้ แต่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เขาก็ตะลีตะลานไล่ตามมา
ทีแรกลู่หลินกังวลว่าไปล่วงเกินอีกฝ่ายด้วยเรื่องใดอีก เขาถึงได้โกรธจนเดินทางกลับในตอนดึกนี้ ครั้นตามมาถึงเห็นชายหนุ่มแย้มยิ้มเป็นมิตรก็ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง พูดรั้งตัวยกหนึ่งแล้วก็รามือ บอกว่าฉางซาอ๋องเมาสุราจากงานเลี้ยง เลยให้ตนรับหน้าที่ส่งเขาออกจากเมืองแทน
เซี่ยฉางเกิงมิได้ปฏิเสธ ปล่อยให้ลู่หลินตามไปส่งตนเองตามความต้องการ
ประตูเมืองเปิดออก ลู่หลินส่งเขาออกไปแล้วยังพูดจาตามมารยาทอีกชั่วครู่ ตอนท้ายมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มขี่ม้าหายลับไปในม่านรัตติกาล ถึงพรูลมหายใจออกช้าๆ จากนั้นกลับเข้าเมืองอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วไม่เอ่ยถึงอีก
ฝ่ายเซี่ยฉางเกิงควบม้าไปได้ระยะหนึ่งก็หยุดกะทันหัน
ผู้ติดตามเห็นเขาเหมือนจะมีเรื่องอะไรก็หยุดม้าตาม มองเขาเป็นตาเดียว
เซี่ยฉางเกิงเหลียวหน้าไปมองตัวเมืองที่ทอดเป็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่ในความมืดไกลออกไปทางเบื้องหลังแห่งนั้น นานพักหนึ่งถึงหันศีรษะกลับมาบอกผู้ติดตามนามว่าจูลิ่วหู่ซึ่งช่ำชองการสืบข่าว “เจ้าปกปิดร่องรอยแฝงตัวอยู่ที่นี่ พอแคว้นฉางซามีข่าวอะไรก็ส่งให้ข้า โดยเฉพาะท่านหญิง จับตาดูความเคลื่อนไหวของนางเอาไว้ ทุกๆ เรื่องยิ่งละเอียดยิ่งดี”
เขาสั่งกำชับด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แม่นมมู่เข้าไปที่ห้องด้านใน แลเห็นมู่ฝูหลันนอนคว่ำหน้าขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนตั่งคนงามด้วยท่าทางคล้ายเจ็บปวดทรมาน จึงวิ่งถลันไปหาด้วยความตกใจยกใหญ่
“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรไป เขาทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ!”
หญิงวัยกลางคนกอดร่างของมู่ฝูหลันพลางส่งเสียงถามติดๆ กัน เห็นหญิงสาวไม่ขยับตัวดุจเก่าก็ลุกลนจับพลิกตัวขึ้นสำรวจเนื้อตัวของนาง
มู่ฝูหลันเอ่ยคำหนึ่งเสียงค่อย “ข้าไม่เป็นไร” นางหลับตาสงบอารมณ์ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนลุกขึ้นนั่ง
ดวงหน้าของนางซีดเผือดอยู่สักหน่อย เหงื่อเย็นผุดซึมทั่วหน้าผากและลำคอ แต่หลังจากลืมตาขึ้น แววตาของนางก็แจ่มใส สีหน้าดูสงบนิ่งอย่างมาก
แม่นมมู่ถึงคลายใจลงได้ กุลีกุจอล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้นาง
มู่ฝูหลันเอนหลังพิงพนักตั่งคนงาม “เขาไปแล้วหรือ”
“เมื่อครู่แม่นมรออยู่ด้านนอกเห็นเขาออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ไม่พูดไม่จาสักคำก็เดินดุ่มๆ ออกไปเลย…ท่านหญิง ท่านกับเขามีอะไรกันแน่”
มู่ฝูหลันไม่เอ่ยตอบ
ในตอนนี้เอง สาวใช้รายงานว่าฉางซาอ๋องกับชายาอ๋องส่งคนมาถามว่าน้องสาวของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง
มู่ฝูหลันให้คนไปตอบทันทีว่าประเดี๋ยวนางจะไปพบพี่ชายพี่สะใภ้ และให้เชิญลู่หลินกับหยวนฮั่นติ่งมาด้วย นางมีเรื่องสำคัญต้องหารือกัน
ครึ่งก้านธูปต่อมา หลังหญิงสาวหวีผมแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามู่เซวียนชิงกับลู่ซื่อ
ในเวลาไล่เลี่ยกันลู่หลินกับหยวนฮั่นติ่งก็เข้าสู่วังอ๋องพร้อมกันอย่างเร่งร้อน
มู่เซวียนชิงกล่าวกับน้องสาว “คนแซ่เซี่ยพาคนออกจากเมืองไปในราตรีนี้แล้ว ท่านเสนาบดีไปส่ง เขาพูดทำนองว่าให้เจ้าอยู่ฟื้นฟูร่างกายที่นี่ ตกลงว่าพวกเจ้าพูดคุยกันอย่างไร”
หยวนฮั่นติ่งกับสองพี่น้องสกุลมู่เติบโตมาด้วยกันดุจคนในครอบครัว ด้านลู่หลินก็เป็นญาติเกี่ยวดองกัน ดังนั้นมู่เซวียนชิงถึงเอ่ยถามเรื่องนี้โดยไม่หลบเลี่ยง
เท่าที่มู่ฝูหลันรู้จักเขา นางเห็นว่าถึงแม้เขาสะบัดแขนเสื้อออกไปโดยไม่กล่าวทิ้งท้ายสักคำ แต่น่าจะเห็นพ้องกับวิธีการพบกันครึ่งทางที่ตนเสนอขึ้น…ยินยอมตัดขาดความเป็นสามีภรรยากับนาง แค่ว่าไม่ประกาศให้รู้กันทั่วชั่วคราวเท่านั้น
เป็นไปตามที่นางคาดหมายไว้
“พี่เซวียนชิง เป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ หลังจากข้าไปอยู่ที่นั่นแล้วไม่ค่อยคุ้นชินกับดินน้ำอากาศ แม้เขายังไม่รับคำเรื่องการหย่าร้าง แต่ตกลงกันได้แล้วว่าให้ข้าอยู่ที่นี่พักฟื้นอย่างเต็มที่ ไม่บังคับให้ข้ากลับไปอีก” นางอธิบาย
มาตรว่ามู่เซวียนชิงไม่ใคร่ชอบใจกับผลลัพธ์นี้นัก แต่จะอย่างไรการแต่งงานระหว่างน้องสาวกับคนแซ่เซี่ย บิดาเขาเป็นผู้ตัดสินใจ หากคนแซ่เซี่ยหมดความเกรงใจดึงดันทวงคนให้ได้ ยามนี้ก็ปราศจากหนทางอื่นที่ดีไปกว่านี้ ดีชั่วน้องสาวเขาก็ไม่ถูกอีกฝ่ายพากลับไป
เขาด่าทอ “วันนี้เพิ่งได้รู้ว่าอันใดเรียกคนหน้าหนาไร้ยางอาย!”
มู่ฝูหลันกล่าว “พี่เซวียนชิง เขากลับไปแล้วคงไม่มาอีกในเวลาอันสั้น อย่าได้เก็บมาใส่ใจอีกเลย”
ลู่หลินอยู่ด้านข้างถอนใจอย่างกลัดกลุ้มหนักอก “เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ อยู่ดีๆ ไฉนผิดใจกันถึงขั้นนี้ ตอนเขาไป แม้จะสุภาพมีมารยาท แต่ข้าวิตกอยู่ไม่วายว่าเขาจะอาฆาตมาดร้ายอยู่ในใจหรือไม่ หลิวไทเฮาก็ไม่หวังดีต่อแคว้นฉางซาเราอยู่แล้ว ผู้บัญชาการเซี่ยนับได้ว่าเป็นคนของนาง เขามาคราวนี้ก็จำยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้ ข้ากลัวเขาจะเอาคืนน่ะสิ”
มู่ฝูหลันเอ่ยขึ้น “ตามความเห็นข้า เซี่ยฉางเกิงไม่น่าจะลงมือกับแคว้นฉางซารวดเร็วปานนั้น เขามักใหญ่ใฝ่สูง ในสายตาของเขาเพลานี้แคว้นฉางซาของเราไม่ถือว่าเป็นเช่นหินขัดขาด้วยซ้ำไป ต่อให้เขาผูกใจเจ็บก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมาเล่นงานพวกเราตอนนี้ แต่วันหน้ากลับไม่แน่ มิสู้มองว่าเป็นภัยไกลตัวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ชาติก่อนหลังจากเขาเป็นฮ่องเต้ เรื่องแรกที่กระทำคือยกเลิกแคว้นที่ยังมีอยู่ทั้งหมดและกวาดล้างเจ้าแคว้น
ยามนั้นแคว้นฉางซาถูกกำจัดไปแต่แรกแล้ว กระนั้นชาวสกุลมู่ที่หลงเหลืออยู่ยังได้ครอบครองเมืองเยวี่ยดังเดิมเพราะตำแหน่ง ‘หยวนโฮ่ว’ ของนาง นับว่าเป็นผู้โชคดีในบรรดาผู้ครองแคว้นทั้งหลาย
ทว่าชาตินี้เรื่องราวคงไม่เหมือนเดิมเป็นแน่แท้
หยวนฮั่นติ่งพยักหน้าแล้วกล่าว “เช่นนั้นภัยใกล้ตัวก็คือราชสำนักแล้ว มีข่าวตั้งแต่ปีกลายว่าราชสำนักจ้องจะเล่นงานแคว้นฉางซาของเรา เผอิญว่าเกิดกบฏเจียงตูอ๋องขึ้นพอดี ถึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว บัดนี้ปราบปรามกบฏได้แล้ว รอเมื่อราชสำนักได้หยุดพักหายใจ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายอีก”
ลู่ซื่อขมวดคิ้วแน่น “ดินแดนฉางซาของเราได้รับการแผ้วถางบุกเบิกโดยอดีตเจ้าแคว้นหลายรุ่น บัดนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ด้วยเหตุนี้ในสายตาของคนเหล่านั้นก็เปรียบได้ดั่งเนื้อชิ้นใหญ่”
ถึงแม้ทุกวันนี้แคว้นฉางซาไม่ฝืดเคืองเสบียงอาหาร ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ ทว่ากำลังพลกลับมีอยู่อย่างจำกัดมาโดยตลอด ทหารประจำการถาวรมีแค่สองหมื่นนาย ซึ่งเป็นกำลังพลมากที่สุดที่ทุกๆ แคว้นจะมีได้ตามข้อบังคับของราชสำนัก
ก่อนหน้านี้เวลาราชสำนักจะจัดการพวกท่านอ๋องต่างสกุลมักยกจุดนี้มาเป็นข้ออ้าง
มู่เซวียนชิงพูด “วันนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว พวกเราไม่ทำอะไรสักอย่างช้าเร็วก็ต้องตาย ข้าตรึกตรองอยู่ว่าจะขยายกองทัพโดยเร็วที่สุด”
เขามองไปทางลู่หลิน “ขณะนี้ในแคว้นฉางซาเราสามารถเกณฑ์บุรุษที่แข็งแรงมาเป็นทหารได้ประมาณเท่าไร”
ลู่หลินตอบ “ปีที่แล้วขุนนางกรมอากรรายงานว่ามีบุรุษวัยสิบหกถึงสี่สิบปีราวห้าสิบหมื่นขอรับ”
“ดี” มู่เซวียนชิงพยักหน้า
“ต่อให้สุ่มเลือกหนึ่งในห้าก็จะมีทหารสิบหมื่นรวมกับไพร่พลเดิม หากแคว้นฉางซาเรามีกองทัพเกินสิบหมื่น จะต้องกลัวศัตรูภายนอกไปไย”
“ท่านอ๋องเป็นที่รักใคร่ในหมู่ราษฎร หากพระองค์มีบัญชาระดมทหารตอนนี้ต้องได้รับการขานรับอย่างแน่นอน แต่ว่าท่านอ๋อง เรื่องนี้ออกจะคิดง่ายดายเกินไปแล้ว”
ลู่หลินส่ายหน้า
“ถึงพวกเราเสี่ยงอันตรายลักลอบฝึกทหาร ปัญหาคือจะไปหาอาวุธชุดเกราะตั้งมากมายปานนั้นมาจากที่ใด หรือจะให้ทหารสิบหมื่นนายเดินตัวเปล่าถือไม้กระบองเข้าสู่สมรภูมิ ยามนี้ภายนอกวุ่นวายโกลาหล ผู้ใดบ้างไม่เสริมแสนยานุภาพกันอย่างสุดกำลัง แม้ว่าพวกเรามีเงินก็ใช่ว่าจะซื้ออาวุธได้ ถ้าจะทำเองก็ต้องมีเหล็ก ทว่าตอนพวกเจ้าแคว้นเริ่มกระด้างกระเดื่องเมื่อหลายปีก่อน แหล่งผลิตเหล็กทุกแห่งทั้งเล็กใหญ่ถูกราชสำนักกับพวกเจ้าแคว้นที่มีใจก่อกบฏยึดครองไว้แล้ว เมื่อครั้งอดีตท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เคยตั้งใจจะขยายกองทัพเช่นกัน แอบค้นหาเหมืองภายในอาณาเขตแต่ยังไม่พบ จนแล้วจนรอดเลยได้แต่เลิกราไป แล้วพวกเราจะไปเสาะหาเหล็กมาจากที่ใดในเร็ววันเล่า และต่อให้ได้มาไว้ในมือแล้ว โรงหลอมอาวุธใหญ่ถึงเพียงนี้จะหลบหลีกหูตาของราชสำนักได้เยี่ยงไร ยาก…ยากยิ่งนัก”
ลู่หลินทอดถอนใจ
มู่เซวียนชิงนั่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนหันไปมองมู่ฝูหลัน
“น้องพี่ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะหารือ เป็นเรื่องใดหรือ”
สายตาหลายคู่เบื้องหน้าหันไปที่นาง
มู่ฝูหลันอ้าปากพูด “ข้ารู้ว่าพี่อยากขยายกองทัพ แล้วที่ข้าอยากพูดก็เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดีเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าที่ใดมีเหมืองที่ขุดได้ ทั้งสะดวกอย่างมากเพราะว่ามันอยู่ในเขตหรู่ของแคว้นฉางซาเรานี่เอง”
คนอื่นๆ ตะลึงงันไป
“พวกท่านน่าจะยังจำได้ว่าข้าส่งสารกลับมาช่วยพี่เซวียนชิงได้อย่างไรกระมัง นี่คงเป็นท่านเทพดลใจดุจเดียวกัน ถึงทำให้ข้าล่วงรู้เรื่องนี้พร้อมกันในตอนนั้น พรุ่งนี้พี่ก็ส่งคนไปสำรวจที่เขตหรู่ดู ถ้าเป็นจริงก็อ้างเหตุผลว่าเป็นที่ที่มีภูมิลักษณ์เหมาะจะสร้างสุสานบรรพชนสกุลอีกแห่ง จากนั้นย้ายชาวบ้านทั้งหมดไปที่อื่นแล้วลักลอบขุดเหมืองเหล็กในภูเขาหลอมเป็นอาวุธที่นั่นเลยเจ้าค่ะ”
มู่เซวียนชิงยินดียกใหญ่
“หรือสวรรค์เข้าข้างสกุลมู่เราจริงๆ ช่างดีเหลือเกินโดยแท้ ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบวันพรุ่งนี้เลย”
ลู่หลินก็ตื่นเต้นสุดประมาณ เขาลุกขึ้นยืนเอาสองมือไพล่หลังย่ำเท้าวนไปวนมา แต่พอฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ก็ทำหน้าหนักอกอีกคราหนึ่ง
“หากนิมิตฝันของท่านหญิงเป็นจริง การขยายกองทัพของแคว้นฉางซาก็มีความหวังแล้ว เพียงแต่จะขุดเหมืองหลอมอาวุธ เกณฑ์ไพร่พลฝึกฝนทหาร ใช่จะสำเร็จลุล่วงได้ในชั่วประเดี๋ยวเดียว อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งปีครึ่งปีถึงจะประสบผล ข้าหวั่นใจว่ากว่าจะถึงตอนนั้นราชสำนักก็โจมตีแคว้นฉางซาของเราแล้ว”
มู่ฝูหลันกล่าว “ข้ามีหนทางหนึ่ง แม้ไม่อาจขจัดต้นตอเภทภัยได้ แต่ก็พอประวิงเวลาให้เราได้บ้าง น่าจะกระทำได้เจ้าค่ะ ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนักยามนี้ ผู้ที่ไทเฮาชั่วโปรดปรานและไว้วางใจคือมุขมนตรีจางปัน ภายนอกจางปันเป็นคนสุจริตซื่อสัตย์ แต่แท้ที่จริงเป็นคนละโมบ ไยไม่ลองทุ่มเงินติดสินบนให้เขาพูดในสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่พวกเราต่อหน้าไทเฮา ถึงแม้จะปราบกบฏเจียงตูอ๋องได้แล้ว แต่หลู่อ๋องกับผิงหยางอ๋องยังคงเป็นเสี้ยนหนามของราชสำนักอยู่ ถ้าจางปันสามารถพูดโน้มน้าวให้ไทเฮาชั่วเล่นงานสองคนนั้นก่อน จะช่วยสร้างโอกาสให้แคว้นฉางซาของพวกเราได้ขยายกองทัพ”
“วิธีนี้ดีจริง แต่ท่านหญิง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง” ลู่หลินฉงนสงสัย
มู่ฝูหลันรู้เรื่องเหมืองหรู่เพราะว่าชาติก่อนเมื่อแคว้นฉางซาสิ้นแคว้น ชาวบ้านในเขตหรู่ทนการรีดนาทาเร้นไม่ไหว ต่างพากันหลบหนีขึ้นเขาไปหักร้างถางพงประทังชีพแล้วเจอแร่เหล็กจำนวนมากโดยบังเอิญ เมื่อข่าวแพร่ออกไปราชสำนักก็มาตามคำเล่าลือและยึดครองเอาไว้ ก่อนจะสร้างเหมืองขนาดใหญ่ขึ้น แค่ว่าภายหลังยังไม่ทันขุดแร่ได้เต็มกำลัง แผ่นดินก็ล่มจมเสียแล้ว
ส่วนจางปันผู้นี้ หลังจากเขาถูกสังหารแล้วก็ค้นพบทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ใต้เรือน มีค่ามหาศาลจนเป็นที่ครึกโครมฮือฮาไปทั่วแผ่นดิน เผยโฉมหน้าอันโลภโมโทสันให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในใต้หล้า เพียงแต่ยามปกติเขาอำพรางได้แนบเนียน คนทั่วไปจึงไม่รู้เท่านั้นเอง
“ท่านเชื่อคำพูดข้าเท่านั้นเป็นพอ” มู่ฝูหลันกล่าว
เพราะครั้งก่อนนางส่งสารมาช่วยชีวิตมู่เซวียนชิงได้ทันเวลา แม้คนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่กล้าไม่เชื่อ
ลู่ซื่อเอ่ยขึ้น “ท่านอา เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชะตาของแคว้นฉางซาเรา ในเมื่อน้องหลันเอ๋อร์พูดเช่นนี้แล้ว ไฉนไม่ลองดูสักตั้งเจ้าคะ”
ลู่หลินนิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะ
“ก็ดี สมัยก่อนข้าไปรับราชการที่เมืองหลวงก็คบหาสหายไว้บ้าง ถึงเรื่องพรรค์นี้ไม่เหมาะจะออกหน้าเอง แต่หาใครสักคนที่เชื่อใจได้เป็นคนกลางก็น่าจะไม่ยากเย็น เช่นนั้นมอบให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ เรื่องนี้จะช้ามิได้ ข้าจะเตรียมการวันพรุ่งนี้เลย”
“ส่วนข้าจะพาช่างเหล็กไปยังเขตหรู่โดยเร็วที่สุด” หยวนฮั่นติ่งพูด
มู่เซวียนชิงมองไปทางน้องสาวของตน ไม่สนใจว่ายังเดินเหินไม่สะดวกก็ลุกขึ้นขอบคุณนาง
มู่ฝูหลันบอกว่าเพราะเทพเบื้องบนศักดิ์สิทธิ์ และเป็นคุณงามความดีของบรรพชน ตนเองมิบังอาจรับความดีความชอบไว้
พวกเขาแบ่งหน้าที่กันและหารือเรื่องปลีกย่อยต่างๆ อย่างละเอียดต่อ กว่าจะเสร็จสิ้นก็ดึกดื่นค่ำมืด ตอนท้ายยังนัดแนะกันว่าให้ลอบดำเนินการและเก็บเป็นความลับอย่างมิดชิดก่อนแยกย้ายกันไป
หลังสิ้นฉางซาอ๋องคนก่อน ราวกับว่าแคว้นฉางซาได้สูญเสียเสาหลักไป เสี้ยวขณะนี้คลับคล้ายพลันแลเห็นแสงสว่างส่องนำทางอยู่เบื้องหน้าอีกครา บนใบหน้าของพวกมู่เซวียนชิงกับลู่ซื่อไม่มีคนใดไม่ปรากฏแววยินดีปรีดา
มู่ฝูหลันเรียกหยวนฮั่นติ่งไว้คนเดียว นางเอ่ยถามเขา “พี่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้พี่จับตาดูผู้ติดตามของเซี่ยฉางเกิงไว้ ท่านจดจำรูปโฉมโนมพรรณของพวกเขาได้หรือไม่”
หยวนฮั่นติ่งพยักหน้า
“รวมหกคน จดจำได้หมดแล้ว”
เขามองหญิงสาวอย่างลังเลใจเล็กน้อย “ท่านหญิง เหตุใดท่านบอกให้ข้าจำหน้าพวกเขา”
มู่ฝูหลันตอบ “ตัวเซี่ยฉางเกิงอาจกลับไปแล้ว แต่เขาเป็นคนช่างระแวง ยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องบาดหมางกับแคว้นฉางซาเรา ข้าเกรงว่าเขาจะทิ้งคนไว้เป็นหูเป็นตาเจ้าค่ะ พอฟ้าสางแล้วท่านแอบไปสังเกตการณ์บริเวณใกล้ๆ ประตูเมืองก่อน ดูว่ามีคนปลอมกายเข้าเมืองหรือไม่ ไม่มีก็ดีที่สุด แต่ถ้ามีก็อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงจดจำว่าเขาอยู่ที่ใด ถึงเวลาค่อยส่งข่าวบอกข้าก็พอ”
หยวนฮั่นติ่งเข้าใจแล้วรับคำทันใด
มู่ฝูหลันเชื่อถือในฝีมือของเขามากที่สุด พอสั่งกำชับจบ นางมองตามแผ่นหลังที่จากไปอย่างว่องไวของชายหนุ่มอย่างเหม่อลอยอึดใจหนึ่ง จากนั้นหมุนกายกลับไปยังเรือนพำนักของตน
เซี่ยฉางเกิงเดินทางตอนกลางวันหยุดพักแรมตอนกลางคืน ครึ่งเดือนต่อมาก็กลับถึงอำเภอเซี่ย
เขามาถึงหน้าเรือนยามดึกดื่นก็ตบประตูก่อน ยามเฝ้ากลับหลับเป็นตายไม่รู้สึกตัวสักนิด เขาเกรงจะทำเสียงดังเกินไปทำให้มารดาตกใจตื่น จึงปีนกำแพงเข้าไปที่เรือนทิศตะวันออกของตนเองเลย
ประตูห้องแง้มไว้ เขาผลักเปิดเดินเข้าไปจุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งบนโต๊ะ กลอกตามองไปที่เตียงฝั่งตรงข้าม
ม่านหน้าเตียงซึ่งรวบเก็บไว้ด้านข้างเกี่ยวกับตะขอทองทิ้งตัวห้อยชายลงมาอย่างสงบนิ่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวา หมอนยวนยางและผ้าห่มสีแดงเข้มบนเตียงยังอยู่ในสภาพเดิม ในห้องอวลไปด้วยกระไอเย็นยะเยือกที่ชวนให้หนาวสะท้าน
หลังจากปราบปรามกบฏเจียงตูอ๋องได้ ตามระเบียบเขาต้องรายงานตัวต่อเบื้องบน แต่เพราะการเดินทางไปแคว้นฉางซาส่งผลให้ล่าช้าไปหลายวันแล้ว ตอนนี้จึงจำเป็นต้องเข้าเมืองหลวงโดยด่วน
หลายปีนี้ชายหนุ่มกลับเรือนน้อยครั้งนัก เมื่อคิดคำนึงถึงมารดาซึ่งครองตัวเป็นม่ายเขาก็รู้สึกผิดในใจอยู่มาก เมื่อออกจากแคว้นฉางซาหนนี้จึงตั้งใจกลับมาโดยเร็ว จะได้ปลีกเวลาอยู่เป็นเพื่อนนางเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเตรียมตัวจากเรือนไปอีกหน กว่าจะกลับมาคราวหน้าก็ไม่รู้เป็นเมื่อไร ดังนั้นการเดินทางกลับหนนี้จึงเป็นไปอย่างรีบร้อนฉุกละหุก
ครั้นมาถึงเรือนในที่สุด เขาที่เร่งเดินทางติดๆ กันหลายวันก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ขณะจะวางห่อสัมภาระลงแล้วผลัดอาภรณ์ พลันได้ยินเสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังลอยมาจากด้านหลัง
เขาเปิดประตูออก
หญิงสาวผู้หนึ่งยืนถือเชิงเทียนในมืออยู่นอกห้อง รูปโฉมงามเฉิดฉัน เรือนผมดำเงางามแผ่สยาย มีผมส่วนหนึ่งห้อยพาดมากลางอก บนไหล่คลุมเสื้อคลุมกันหนาวสีเขียวสดไว้ คอเสื้อแบะหลวมเผยให้เห็นสาบเสื้อตัวในสีแดงอมชมพู
ดูท่าทางนางเหมือนเพิ่งลงจากเตียงอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นเขาปรากฏกายอยู่ที่นี่ ใบหน้านางก็เผยความดีอกดีใจ สองตาเป็นประกายยามเรียกขานว่า “พี่เขย”
สตรีนางนี้ก็คือหลิงเฟิ่งจากสกุลชี
เซี่ยฉางเกิงชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนเบนสายตาไปมองห้องเล็กด้านข้างที่เชื่อมถึงกัน
ประตูบานนั้นอ้าออกครึ่งหนึ่ง
เห็นชัดว่านางน่าจะออกมาจากห้องเล็กห้องนี้
“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสียงแว่วๆ จากห้องนี้ก็เลยลุกลงมาดูสักหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะเป็นพี่เขยกลับมาแล้ว…”
นางหยุดเว้นจังหวะ กลอกตามองด้านในแวบหนึ่ง
“ฮูหยินคงกลับมาพร้อมกับพี่เขยกระมังเจ้าคะ”
เซี่ยฉางเกิงไม่เปล่งเสียงตอบ
หญิงสาวดูคล้ายจะมองออกแล้วเช่นกันว่ามู่ซื่อมิได้กลับมาด้วยกัน นางละล้าละลังเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “ในห้องคงหนาวกระมัง คนในเรือนไม่รู้ข่าวว่าพี่เขยจะกลับมาราตรีนี้เลยมิได้เตรียมการใดๆ ไว้ พี่เขยรีบเข้าไปสิเจ้าคะ ข้าจะจุดเตาผิงให้ท่านอุ่นกายก่อน” ว่าแล้วก็กุลีกุจอจะเข้าห้อง
“เจ้าย้ายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรหรือ”
เซี่ยฉางเกิงไม่เปิดทางให้ เขาเอ่ยถามนาง
ดวงหน้าของชีหลิงเฟิ่งซับสีแดงเรื่อ นางตอบเสียงเบา “เพิ่งมาเมื่อสองสามวันก่อนเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าโดนลมเย็นโดยไม่ระวัง ชิวจวี๋ปรนนิบัติไม่ดี ข้าก็เลยมาช่วยดูแล พอฮูหยินผู้เฒ่าหายดีแล้วไม่ยอมให้ข้ากลับท่าเดียว ยังจัดแจงให้ข้าอยู่ห้องนี้ ให้ข้ารอพี่เขยกับฮูหยินกลับมาแล้วก็จะ…”
เสียงพูดขาดหายไป นางหลุบตาลง
พระพายราตรีพัดกรูมา เปลวไฟบนเชิงเทียนในมือนางดับวูบ
รอบด้านตกอยู่ในความมืดฉับพลัน
“พี่เขย…”
นางเงยหน้าขึ้นเรียกขานเสียงค่อย
ในม่านรัตติกาลสลัวราง เงาร่างของนางขยับเล็กน้อย
“ฮูหยินยังไม่กลับมาชั่วคราว เจ้าอยู่ที่นี่ไม่เหมาะ พรุ่งนี้ก็กลับไปเสียเถอะ”
เซี่ยฉางเกิงกล่าวถ้อยคำนี้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วก้าวเท้าออกนอกห้อง เดินตรงไปทางเรือนใหญ่ที่พำนักของมารดา
เขามาถึงหน้าประตูก็พบกับอาเมาที่ออกมาปลดทุกข์ตอนกลางดึกพอดี
อาเมาย่นคอห่อไหล่กอดอกแน่น กำลังเดินตาปรืออ้าปากหาวเข้าห้อง กลับได้เจอเซี่ยฉางเกิงอย่างไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งโหยงร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่พอเห็นหน้าเขาชัดก็เปล่งเสียงอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหมุนกายวิ่งตึงๆ เข้าข้างในไป
“ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายกลับมาแล้ว!”
นางตะเบ็งเสียงบอกดังลั่น
ตอนแรกเซี่ยฉางเกิงจะร้องห้าม เขาลังเลอึดใจหนึ่งแล้วปิดปาก ปล่อยให้นางวิ่งตะโกนเข้าไป
แสงโคมในห้องจุดสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เกิงเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ เข้ามาเร็วเข้า”
เสียงคนลุกจากเตียงดังลอยมาจากด้านในห้องพร้อมเสียงบอกของนายหญิงเซี่ย
เซี่ยฉางเกิงย่างเท้าเข้าห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาประคองนางกลับไปนั่งตรงขอบเตียง
นายหญิงเซี่ยเห็นหน้าบุตรชายแล้วแสนจะปีติยินดี จับมือพลางถามถึงการเดินทางของเขา สองแม่ลูกไต่ถามทุกข์สุขกันสองสามคำ นางเหลือบมองหน้าประตูแวบหนึ่ง
“มู่ซื่อเล่า”
เซี่ยฉางเกิงชะงักนิดหนึ่ง เขาหันศีรษะไปสั่งให้ชิวจวี๋กับอาเมาออกจากห้อง
“มู่ซื่อไม่ได้กลับมาขอรับ”
นายหญิงเซี่ยนิ่งงัน “เจ้าอุตส่าห์ไปรับนางแล้ว ไฉนนางไม่ตามเจ้ากลับมา”
“นางถูกเลี้ยงดูประคบประหงมมาแต่วัยเยาว์ พอมาอยู่ที่เมืองเราคงจะผิดดินน้ำอากาศ แต่เวลานั้นไม่ได้บอกกับท่านแม่ อันที่จริงตอนนางจากไปร่างกายก็ไม่ใคร่ปกติแล้ว ด้วยเหตุนี้ลูกให้นางอยู่ที่นั่นค่อยๆ ฟื้นฟูสุขภาพ ก็เลยไม่ได้กลับมาขอรับ”
นายหญิงเซี่ยขมวดคิ้ว “เป็นเช่นนี้เองหรือนี่! นางไม่สบายแล้วไยวันนั้นไม่บอกกับแม่ ทั้งที่นางเรียกแม่ว่าท่านแม่ หรือว่าแม่เป็นคนจำพวกที่ไม่สนใจความเป็นความตายของนาง”
เซี่ยฉางเกิงไม่กล่าวตอบ
นางถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วบ่นพึมพำต่อ “แม่รู้อยู่แล้วเชียว! วันที่นางแต่งเข้าเรือนเรา แม่เห็นนางแวบแรก ร่างเล็กอ้อนแอ้น ผอมบางแทบจะปลิวลม มิใช่ลักษณะของสตรีที่จะมีลูกมาก ไหนเลยจะเทียบได้กับเฟิ่งเอ๋อร์…”
ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเผยรอยยิ้มละม้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ นางกล่าวหน้าระรื่น “เกิงเอ๋อร์ แม่บอกกับเจ้าเรื่องหนึ่ง เฟิ่งเอ๋อร์มาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เจ้าพบกับนางหรือไม่ แม่เห็นว่าถึงอย่างไรนางกำลังจะเป็นคนในครอบครัวเราแล้ว ก็เลยให้นางอยู่ที่เรือนเจ้า เจ้ากลับมาหนนี้อยู่ที่เรือนนานสักหน่อย แม่หาฤกษ์ดีๆ สักวันจัดการเรื่องของเฟิ่งเอ๋อร์ นับว่าแม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้มาหลายปีให้ลุล่วงเสียที”
เซี่ยฉางเกิงกล่าว “ท่านแม่ ลูกอยากพูดเรื่องนี้กับท่านพอดี มู่ซื่อยังไม่กลับมา ยามนี้จึงมิใช่เวลาเหมาะ เรื่องนี้รอไปก่อนจะดีกว่า อีกอย่าง หลังจากนี้คุณหนูรองสกุลชีก็ไม่เหมาะจะพักอยู่ที่เรือนนั้น หากร่างกายท่านแข็งแรงดีแล้วก็ให้นางกลับไปเถอะขอรับ”
นายหญิงเซี่ยไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้แม่พูดเรื่องนี้กับนางแล้ว นางก็ตอบตกลงเองกับปากแล้วว่าให้แม่เป็นคนตัดสินใจ หากนางไม่กลับมา จะปล่อยให้เฟิ่งเอ๋อร์รอไปเรื่อยๆ หรือ เฟิ่งเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เจียนยี่สิบรอมร่อ นางรอเจ้ามาตั้งหลายปีปานนั้น เจ้าจะให้นางรอไปอีกนานเพียงใด”
“ท่านแม่ มู่ซื่อเป็นภรรยาเอก ถ้าพวกเรารับคนเข้าเรือนตอนนางไม่อยู่ เรื่องเช่นนี้ตามธรรมเนียม…”
“ข้าก็เป็นแม่ของเจ้า!”
นายหญิงเซี่ยตัดบทบุตรชาย
“แม่ไม่สนใจว่าธรรมเนียมของที่อื่นเป็นอย่างไร ที่นี่คืออำเภอเซี่ย! แม่อยู่มาจนอายุปูนนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแม่สามีจะทำอะไรต้องดูสีหน้าลูกสะใภ้”
“ท่านแม่ ท่านฟังลูกก่อน การรับคนเข้าเรือนเวลานี้ไม่เหมาะจริงๆ”
นายหญิงเซี่ยขึงตามองบุตรชาย
“เกิงเอ๋อร์ ตอนแม่คลอดเจ้า เจ็บท้องอยู่สามวันสามคืน ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าประตูผีไปแล้ว สุดท้ายแม่ดวงแข็งถึงทนผ่านมันมาได้ ส่วนท่านพ่อเจ้าก็เล่าเรียนตำรามามากมายอย่างสูญเปล่า สอบเป็นขุนนางไม่ได้สักตำแหน่ง ลงท้ายได้เป็นแค่หัวหน้าจุดพักม้า ในเรือนจะมีทรัพย์สินสักเท่าไรกันเชียว แต่เจ้าฉลาดเฉลียวแต่เด็ก แม่ยอมสาวไหมปั่นด้ายทุกวันเพื่อให้เจ้าได้ศึกษาเล่าเรียน วาดหวังว่าเจ้าจะได้ดิบได้ดี ครั้นเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่อย่างไม่ง่ายดาย เริ่มมองเห็นความหวังรำไรแล้วในที่สุด ไม่คิดว่าเจ้ากลับฆ่าคนตาย!
หลายปีนั้นที่แม่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนไร้ที่พึ่งพาอาศัย เป็นสกุลชีคอยช่วยเหลือดูแลแม่ เจ้าอาจลืมไปนานแล้ว แต่แม่กลับไม่ลืม แล้วก็ไม่กล้าลืม! ปีนั้นในอำเภอเกิดน้ำท่วม ครอบครัวของเฟิ่งเอ๋อร์พาแม่หนีภัย ตอนข้ามสะพานจู่ๆ สะพานถูกกระแสน้ำซัดจนขาด รถม้าทั้งคันตกลงไปในน้ำ ตอนนั้นแม่กับแม่ของเฟิ่งเอ๋อร์ล้วนอยู่ในนั้น หากไม่ใช่เฟิ่งเอ๋อร์กอดเสาจับมือแม่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม่คงกลายเป็นอาหารปลาไปแล้ว แม่รอดชีวิตมาได้ แต่แม่บังเกิดเกล้าของเฟิ่งเอ๋อร์กลับต้องจากไปเพราะเหตุนี้
สกุลเซี่ยของเราไม่เพียงติดค้างบุญคุณของสกุลชี ยังติดหนี้ชีวิตของมารดานางด้วย ในสายตาแม่ เฟิ่งเอ๋อร์เป็นยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ พอมารู้ภายหลังว่าเจ้าไปสู่ขอหมั้นหมายสตรีจากที่อื่นเอง แม่สุดปัญญาจะแก้ไข ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เดิมทีให้นางเป็นอนุก็เป็นการฝืนใจนางมากพอแล้ว ถ้าตอนนี้เจ้าทอดทิ้งนางล่ะก็ แม่ขอบอกเจ้าไว้เลยว่าแม่ก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว”
นายหญิงเซี่ยพูดไปเช็ดน้ำตาไป
เซี่ยฉางเกิงย่นหัวคิ้วแน่น เขาชั่งใจครู่เดียวก็ลุกขึ้นคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นด้วยท่าทางขึงขัง
“ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ในวัยเยาว์ก็เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องอกสั่นขวัญแขวน บัดนี้ยังสร้างความผิดหวังให้ท่านถึงขั้นนี้ เรื่องนี้หาใช่ลูกไม่ยินยอม แต่เวลานี้ไม่เหมาะจริงๆ”
“มีอะไรไม่เหมาะรึ!”
“ท่านแม่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มีเรื่องภายนอกบางเรื่องที่ท่านไม่ทราบ จริงอยู่ว่าการรับคนเข้าเรือนเป็นเรื่องเล็กๆ ของเรือนหลัง ดังคำกล่าวว่า ‘ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น’* ถ้าเกิดสกุลมู่ของแคว้นฉางซาคิดว่านี่เป็นการไม่ให้เกียรติพวกเขา อย่างนั้นก็จะยุ่งยากอยู่บ้าง อีกทั้งขณะนี้ลูกเป็นขุนนางตำแหน่งสูงแล้ว ย่อมสร้างศัตรูในราชสำนักมากขึ้น ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่เพ่งเล็งอยู่ลับหลัง อันว่าคนที่จ้องเล่นงานผู้อื่น หาข้ออ้างจับผิดได้เสมอ แม้นี่เป็นเรื่องเล็ก แต่อาจถูกคนประสงค์ร้ายเอาไปขยายเป็นเรื่องใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะขอรับ”
นายหญิงเซี่ยตกใจอยู่บ้าง นางมองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของบุตรชายแล้วค่อยๆ หยุดร่ำไห้
เซี่ยฉางเกิงลุกขึ้นจากพื้น
“ท่านแม่ บุญคุณที่สกุลชีมีต่อท่านแม่ ลูกจะกล้าลืมได้หรือ ลูกเห็นว่าท่านแม่จัดแจงเช่นนี้กลับเป็นการลดเกียรติของนาง ทั้งมิใช่ว่าต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะแทนคุณได้ ท่านแม่รับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็ไม่เสียหาย วันหน้าถ้าลูกประสบผลสมดั่งใจจะปฏิบัติกับนางอย่างดี ตอบแทนบุญคุณที่นางช่วยชีวิตท่านแม่ในวันนั้นแน่นอน…”
เขายังกล่าวไม่จบก็มีคนเข้าประตูมาคุกเข่ากับพื้นดังตุบ
ชีหลิงเฟิ่งโขกศีรษะให้นายหญิงเซี่ย กล่าวเสียงเครือ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านดีต่อเฟิ่งเอ๋อร์ เฟิ่งเอ๋อร์ซาบซึ้งใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่หากพวกท่านสองแม่ลูกต้องกินแหนงแคลงใจกันเพราะเฟิ่งเอ๋อร์ เช่นนั้นเฟิ่งเอ๋อร์ก็มีโทษสมควรตาย ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอย่าบังคับเขาอีกเป็นอันขาด พรุ่งนี้เฟิ่งเอ๋อร์ก็จะกลับไปอยู่เรือนของญาติพี่น้องเจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยรีบเข้าไปพยุงนางขึ้นแล้วกล่าวปลอบยกหนึ่ง นางหันหน้าไปทางบุตรชาย ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเห็นหรือไม่ เฟิ่งเอ๋อร์รู้ความถึงเพียงนี้ เทียบกับสตรีสกุลมู่ที่เจ้าแต่งเป็นภรรยาคนนั้นแล้ว ใครดีใครไม่ดีเจ้าสมควรรู้แจ้งแก่ใจดี! ในเมื่อเฟิ่งเอ๋อร์เอ่ยปากพูดเองก็พักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แต่นางมาอยู่ที่นี่แล้ว จะกลับไปหาญาติพี่น้องอีกก็ไม่เป็นการดี ก็ให้นางอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรสาวบุญธรรมแม่ไปก่อน รอมู่ซื่อกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เซี่ยฉางเกิงไม่แสดงความเห็นใดอีก เขารับคำเอออออย่างกำกวม จากนั้นพูดว่าดึกมากแล้ว ขอให้มารดากลับห้องพักผ่อนถึงออกจากห้องไป
เขากลับถึงเรือนปีกตะวันออก หลังลงดาลประตูแล้วเดินหิ้วห่อสัมภาระไปที่หน้าตู้อาภรณ์ ตอนมือของเขากำที่จับประตูตู้ก็คิดบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน
ชายหนุ่มสองจิตสองใจชั่วครู่ถึงเปิดประตูตู้ออกช้าๆ
สิ่งที่ปะทะเข้ากับสายตายังคงไม่ผิดจากหนก่อน
ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องแต่งกายของสตรี ไม่รู้ว่าในถุงผ้าปักใส่เครื่องหอมอะไรไว้ ผ่านไปนานปานนี้แล้วกลิ่นหอมรวยรินยังไม่จางลง
ราวกับว่าภาพบาดตาของสาวงามบนตั่งในวันนั้นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาเซี่ยฉางเกิงอีกครา
กระโปรงสีแดงทับทิมบางเบาพลิ้วไหว
ต่อหน้าผู้คนวางท่าสูงศักดิ์ ลับหลังกลับไม่รักนวลสงวนตัวถึงขั้นนั้น ช่างน่าเหลือเชื่อดีแท้
เขาตวัดตาดูอาภรณ์ที่นางทิ้งไว้ในตู้แล้วคล้ายมองเห็นใบหน้านาง ในดวงตามีร่องรอยรังเกียจเดียดฉันท์ผุดขึ้นวูบหนึ่งก่อนปิดประตูตู้ดังปัง
วันต่อมาเซี่ยฉางเกิงไปที่เรือนใหญ่แต่เช้าตรู่ ปรนนิบัตินายหญิงเซี่ยกินอาหารด้วยตนเองเรียบร้อยแล้ว บอกกับนางว่าราชสำนักรอคอยเขาเข้าเมืองหลวงไปรายงานตัวอยู่ เกรงว่าไม่อาจอยู่ที่เรือนดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดต่อได้อีก เขากลับมาคราวนี้ก็เพื่อกล่าวอำลานาง
นายหญิงเซี่ยอาลัยอาวรณ์เขาอย่างสุดแสน ทว่าอนาคตของบุตรชายสำคัญกว่า จะถ่วงรั้งไว้ได้เช่นไร นางพยักหน้าตกลง ยังช่วยจัดเก็บสัมภาระแล้วให้ชีหลิงเฟิ่งประคองนางเดินไปส่งเขา
เซี่ยฉางเกิงสั่งกำชับบ่าวไพร่ให้ตั้งใจปรนนิบัติรับใช้มารดา ถึงออกจากเรือนเริ่มเร่งเดินทางสมบุกสมบันทั้งวันทั้งคืนอีกคำรบหนึ่ง สุดท้ายก็ไปถึงเมืองหลวงตอนปลายเดือน
เขาได้รับพระราชทานจวนหลังหนึ่งในเมืองหลวงมานานแล้ว ที่นั่นพรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวาร เขาเข้าจวนแล้วชำระกายเสร็จก็พักผ่อนเอาแรง เตรียมไปรายงานตัวที่ราชสำนักวันพรุ่งนี้
ยามดึกมีสารลับจากวังหลวงส่งมาถึงมือเขาอย่างเงียบๆ
สารลับเป็นของขันทีนามเฉาจินในตำหนักของหลิวไทเฮา
ขันทีผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของขันทีใหญ่แซ่หยางคนสนิทของหลิวไทเฮา เขากลายเป็นคนของเซี่ยฉางเกิงตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
ทุกคราที่เขากลับเมืองหลวง เฉาจินจะส่งข่าวมาในราตรีเดียวกันจนเป็นปกติวิสัย
หนนี้ก็ไม่ผิดจากเดิม
ข่าวที่เฉาจินส่งออกมาล้วนเป็นเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในราชสำนักหรือวังหลวงช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เขารู้อยู่แล้ว
ทว่ามีข่าวหนึ่งกระตุ้นความสนใจของเขา
เฉาจินบอกว่าหลายวันก่อนมุขมนตรีจางปันมาเข้าเฝ้าหลิวไทเฮาทูลเสนอความเห็นอย่างลับๆ ทำให้เขาไม่ได้ยินอย่างละเอียด แต่ดูเหมือนเรื่องที่จางปันพูดจะเกี่ยวข้องกับแคว้นฉางซา ด้วยผู้บัญชาการเซี่ยมีสายสัมพันธ์เกี่ยวดองอยู่กับชาวแคว้นนั้น เมื่อมีข่าวเขาจึงรายงานมาพร้อมกันเพื่อให้พินิจพิจารณา
เซี่ยฉางเกิงอ่านจบแล้วเอาแผ่นสารจ่อกับเปลวเทียน
เขามองกระดาษที่ถูกเปลวไฟค่อยๆ กลืนกินมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีพลางจมอยู่ในภวังค์ความคิดเนิ่นนาน
เช้าวันรุ่งขึ้น อีกหนึ่งเค่อถึงเป็นยามเฉินการประชุมขุนนางก็จะเริ่มต้นขึ้น
ตามธรรมเนียมปกติ พวกขุนนางใหญ่ซึ่งมาถึงก่อนเวลามักชุมนุมกันอยู่ที่ท้องพระโรงฝั่งตะวันออกก่อน รอคอยหลิวไทเฮาพาฮ่องเต้น้อยออกว่าราชการ
พวกเขาบ้างยืนบ้างนั่งเป็นกลุ่มเล็กๆ วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา หัวข้อสนทนาย่อมหนีไม่พ้นเซี่ยฉางเกิงผู้บัญชาการกองทัพเหอซี คนโปรดของหลิวไทเฮาในเพลานี้
เขามาถึงเมืองหลวงเมื่อวานตอนเย็นก็ถวายฎีกาไปที่วังหลวง ไทเฮาเห็นใจที่เขาเดินทางลำบากตรากตรำ ให้เขาพักผ่อนหนึ่งคืน ไม่จำเป็นต้องเข้าวังทันที พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าเฝ้าก็ไม่สาย
ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปทั่วแต่แรกแล้ว
ทุกคนต่างคุยถกกันถึงผลงานการปราบกบฏเจียงตูอ๋องเมื่อไม่นานมานี้ของเขา อิจฉาที่เขาสร้างความชอบครั้งใหญ่ได้อีกแล้ว ครั้งนี้เข้าเมืองหลวงรายงานตัวคงไม่แคล้วต้องได้เลื่อนยศพระราชทานบรรดาศักดิ์แน่
ขณะพูดคุยกันอยู่ มีข้ารับใช้คนหนึ่งเข้าประตูมาถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาว่าการประชุมขุนนางเช้านี้เลื่อนออกไปครึ่งชั่วยาม* ให้ขุนนางทุกท่านรอต่อไป
ข้ารับใช้ไปแล้ว บังเกิดเสียงเซ็งแซ่ดังระงมตรงฝั่งตะวันออกของท้องพระโรงทันใด
ใครๆ ต่างรู้แก่ใจดีว่านี่เป็นเพราะหลิวไทเฮากำลังพบกับเซี่ยฉางเกิงตามลำพังเป็นแน่แท้
เพื่อรับการเข้าเฝ้าของเขาถึงกับเลื่อนเวลาประชุมขุนนาง ให้พวกตนจับเจ่าเฝ้ารออยู่ตรงนี้
นอกจากอิจฉาแล้ว พวกเขายังอดริษยาอยู่หลายส่วนมิได้
ด้วยเหตุนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งต้น ทุกคนเริ่มหันเหความสนใจจากความชอบของเซี่ยฉางเกิงผู้บัญชาการกองทัพเหอซีไปที่ข่าวโคมลอยที่เพิ่งเล่าลือกันในหมู่ขุนนางเมืองหลวงก่อนหน้านี้ไม่นาน
ตอนต้นปีเซี่ยฉางเกิงเข้าพิธีมงคลกับธิดาอ๋องของแคว้นฉางซาซึ่งหมั้นหมายไว้เมื่อสามปีก่อน คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุเจียงตูอ๋องก่อกบฏ เขาต้องละทิ้งภรรยาคนงามจากเรือนไปในคืนเข้าหอ กระนั้นเรื่องนี้ไม่นับเป็นความลับอะไร ตอนนั้นมีขุนนางในราชสำนักไปร่วมงานเลี้ยงแล้วเล่าสู่กันฟัง จากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปร้อย จนรู้กันไปทั่วมานานแล้ว
บางทีอาจเพราะเวลานั้นเขามิได้พูดปลอบนางให้เข้าใจ ต่อมาภรรยาของเขากลับไปยังแคว้นฉางซาด้วยความโกรธเคือง หลังจากปราบกบฏได้ ผู้บัญชาการเซี่ยเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักสู่แคว้นฉางซาหมายจะรับธิดาอ๋องกลับ คาดไม่ถึงว่าจะโดนตัดรอนอย่างไม่ไยดี
เขาไม่เพียงรับภรรยาคนงามกลับมาไม่ได้ ว่ากันว่ายังโดนฉางซาอ๋องวัยหนุ่มลบหลู่ดูหมิ่นเพราะไม่พึงใจในความเป็นมาของเขา สุดท้ายจำต้องกลับมามือเปล่าอย่างอับอายขายหน้า
ต้นตอของข่าวลือน่าจะมาจากผู้ตรวจการที่ราชสำนักส่งไปแคว้นฉางซา
ราชสำนักจะแต่งตั้งผู้ตรวจการไปประจำอยู่ในทุกๆ แคว้น ซึ่งจะต้องส่งฎีการายงานผลทุกเดือน นี่เป็นข้อบังคับของราชวงศ์นี้ที่บัญญัติขึ้นเมื่อแรกที่มีการก่อตั้งแคว้นขึ้น
ไม่ว่าข้อเท็จจริงของข่าวนี้เป็นเช่นใด ถึงอย่างไรขุนนางเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็ริษยาแกมดูแคลนเซี่ยฉางเกิงผู้มีความเป็นมาที่ไม่พึงเอื้อนเอ่ยถึงนัก ดังนั้นในแง่มุมนี้พวกเขาล้วนถือหางเข้าข้างฉางซาอ๋องมู่เซวียนชิง การได้เห็นเซี่ยฉางเกิงเสียท่าจนกลายเป็นที่ตลกขบขันอย่างนี้ ใครเล่าจะไม่หยิบยกขึ้นมานินทายามว่างคำสองคำอย่างสาแก่ใจ
ตอนนี้การประชุมขุนนางยังต้องล่าช้าเพราะการมาถึงของเซี่ยฉางเกิงอีก
ทุกคนเริ่มคุยกระซิบกระซาบกันตามสบาย ผลัดกันเล่าข่าวที่ตนได้ยินมาและ ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’ อย่างล้นเหลือต่อความโชคร้ายของผู้บัญชาการเซี่ย
ในเวลาเดียวกัน เซี่ยฉางเกิงรอคอยอยู่นอกตำหนักเซวียนเจิ้ง
ถึงตัวเขาไม่ได้อยู่ที่ท้องพระโรง แต่ขณะนี้เหล่าสหายขุนนางที่นั่นกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ เขาล้วนรู้ดีแก่ใจ
ในสารลับที่เฉาจินส่งมาให้เขาเมื่อคืนก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่คงกลัวว่ามันจะสร้างความไม่พอใจให้เขา เพียงบอกสั้นๆ ประโยคเดียวว่า ‘เรื่องไม่น่าอภิรมย์ที่ประสบในการเดินทางไปแคว้นฉางซาครานี้แพร่สะพัดออกไปแล้ว’
เซี่ยฉางเกิงยืนรอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นระลอกหนึ่งพร้อมกับหยางก่วงซู่หรือหยางกงกง ขันทีใหญ่ข้างกายหลิวไทเฮาออกมาจากด้านใน บอกว่าไทเฮามีพระบัญชาเรียกตัว และนำทางเซี่ยฉางเกิงเข้าไป
เขาเดินตามไปจนถึงเบื้องหน้าหลิวไทเฮาซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ในตำหนักแล้วคุกเข่าถวายคำนับตามธรรมเนียมของผู้เป็นขุนนาง
หลิวไทเฮามีอายุราวสี่สิบเท่านั้น แต่นางเป็นไทเฮามาหลายปีแล้ว สิบปีก่อนหลังมู่ฮองเฮาที่มาจากแคว้นฉางซาสวรรคต ปีต่อมานางก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ พระโอรสของนางก็กลายเป็นรัชทายาทไปด้วย
อดีตฮ่องเต้นั้นมีโรคประจำตัวอยู่แต่เดิม ไม่ถึงสองปีก็สวรรคต ฮ่องเต้ที่สืบทอดราชสมบัติต่อยังอ่อนเยาว์ ดังนั้นงานราชกิจทุกอย่างย่อมต้องให้นางซึ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นไทเฮาออกว่าราชการหลังม่าน จัดการสะสางโดยชอบควรด้วยประการทั้งปวง
เมื่อนางได้กุมอำนาจก็กวาดล้างผู้อยู่ฝ่ายตรงข้าม บรรดาอ๋องสกุลจ้าวที่แยกย้ายกันไปครองเมืองต่างๆ ซึ่งถือตนเป็นลูกหลานมังกร เป็นเชื้อสายโอรสสวรรค์ มีหรือจะยินยอมอยู่ในกำมือของวงศ์วานอื่นนั่งรอความตาย จึงไม่มีคนใดไม่คิดกำจัดไทเฮาชั่วแล้วตั้งตนเป็นใหญ่แทน
นี่ก็คือต้นเหตุของความไม่สงบสุขในแผ่นดินที่ต่อเนื่องมายาวนาน
เจ้าแคว้นซึ่งมีอยู่จำนวนมากต่างผนึกกำลังกันต่อต้านการจัดการงานแผ่นดินของหลิวไทเฮา มิใช่ที่นี่ก่อกบฏก็เป็นที่นั่นบุกมาบีบให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์ ถึงหลิวไทเฮาจะมีกลอุบายชั้นเชิงสูงปานใด สกุลเดิมมีอำนาจมากเพียงไร ก็ต้องห่วงหน้าพะวงหลังและปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย
นับแต่เกิดการลุกฮือขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว กองทัพกบฏยกพลเข้าเมืองหลวงไม่หยุดหย่อน หลิวไทเฮาส่งคนไปปราบกบฏ กลับพบกับความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้เมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ในยามบ้านเมืองเผชิญกับภาวะคับขันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้เอง เซี่ยฉางเกิงก็ผงาดขึ้นมา
ตลอดสามปีนี้ เขาอาศัยความสามารถเชิงรบอันโดดเด่นช่วยกำราบเจ้าแคว้นที่กระด้างกระเดื่องให้หลิวไทเฮาได้หลายครั้งหลายหน ฐานะของหลิวไทเฮาถึงมั่นคงไม่สั่นคลอน แล้วนางจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาได้เช่นไร
นางแย้มเยื้อนบอกให้ชายหนุ่มลุกขึ้น และสั่งให้ข้ารับใช้จัดที่นั่งให้เขาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ฎีการายงานสถานการณ์ที่ท่านส่งมาเมื่อวาน ข้ากับฝ่าบาทได้อ่านแล้วเมื่อคืน ทำได้ดีมาก กบฏเจียงตูอ๋องถูกปราบปรามราบคาบ ท่านมีความชอบครั้งใหญ่หลวง แบ่งเบาภาระและคลี่คลายปัญหาให้แก่ราชสำนักได้ กระทั่งฮ่องเต้ที่ทรงพระเยาว์ยังตรัสกับข้าเลยว่าท่านเซี่ยเป็นยอดแม่ทัพผู้จงรักภักดี ท่านอยากได้บำเหน็จรางวัลใดเอ่ยปากมาได้เต็มที่”
เซี่ยฉางเกิงกล่าว “นี่เป็นหน้าที่ที่กระหม่อมพึงกระทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาไปปราบกบฏ ได้อาศัยบารมีขององค์ไทเฮาและฝ่าบาท พึ่งพาเหล่าทหารในกองทัพที่ทุ่มเทอุทิศตน ถึงไม่ทำให้ต้องทรงผิดหวังที่ไว้วางพระทัย กระหม่อมเดิมเป็นแค่ชาวบ้านต่ำต้อย มีเกียรติยศเฉกทุกวันนี้ก็เป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว หาได้คิดจะขอรับคุณความชอบแม้สักเศษเสี้ยวพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮาพึงพอใจกับท่าทีของเขาเป็นอันมาก ใบหน้านางเผยรอยยิ้ม
“ท่านเซี่ย ท่านอายุยังน้อยก็ไต่เต้าขึ้นมาถึงจุดนี้ได้แล้ว แม้จะพูดว่าได้รับแต่งตั้งตามความดีความชอบ แต่หากตำแหน่งสูงกว่านี้ ข้าหวั่นใจว่าท่านจะกลายเป็นเป้าโจมตีของใครต่อใครจริงๆ หนนี้ข้าจะไม่เลื่อนตำแหน่งของท่านอีก เปลี่ยนเป็นประทานบรรดาศักดิ์ให้กับมารดาของท่าน…เป็นอย่างไร”
เซี่ยฉางเกิงคุกเข่าขอบพระทัย
หลิวไทเฮาบอกให้เขาลุกขึ้นแล้วไต่ถามทุกข์สุขอีกสองสามคำก่อนกล่าว “เพราะเกิดกบฏเจียงตูอ๋องเป็นต้นเหตุให้ท่านต้องจากเรือนในคืนเข้าหอ ข้าละอายแก่ใจมาก ได้ยินว่าเดือนก่อนท่านไปที่แคว้นฉางซามาหรือ”
เซี่ยฉางเกิงเงยหน้ามองสบแววตาที่แฝงความเอาใจใส่ของหลิวไทเฮา เขาเอ่ยตอบ “หลังปราบกบฏเจียงตูอ๋องได้ กระหม่อมมีบุญได้รับพระราชทานโอกาสกลับบ้านเดิมเยี่ยมญาติ ตอนนั้นกลับถึงเรือนแล้วได้รู้ว่าหลังจากฮูหยินมาอยู่ที่นั่น ไม่คุ้นเคยกับดินน้ำอากาศ เป็นเหตุให้สุขภาพไม่ดีจึงกลับแคว้นฉางซา กระหม่อมถึงเดินทางไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ร่างกายของนางเป็นอย่างไรแล้ว”
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงต้องพักรักษาตัวต่ออีกสักพักเท่านั้น ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮาพยักหน้า
“ทว่าเหตุใดข้าได้ยินว่าตอนเจ้าอยู่ที่แคว้นฉางซาโดนลบหลู่ดูหมิ่นเล่า”
ใบหน้าของเซี่ยฉางเกิงปรากฏแววละอาย
“กระหม่อมมิบังอาจปิดบังพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความเป็นมาต่ำต้อย เป็นคนไร้ชาติตระกูล ในครั้งนั้นตอนไปขอเกี่ยวดองกับฉางซาอ๋อง พี่ชายของภรรยาก็ไม่พอใจกระหม่อมแล้ว ยามเห็นกระหม่อมไปที่นั่น เขาจะไม่ยินดียินร้ายก็เป็นธรรมดาของปุถุชนพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮามุ่นคิ้ว “มู่เซวียนชิงผู้นี้ใจกล้าไม่น้อย บังอาจทำกับเจ้าเยี่ยงนี้เชียวหรือนี่ เขาก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ แต่ก็ยังเหิมเกริมถึงเพียงนี้ วันหลังจะมีเรื่องใดทำไม่ได้อีก”
นางหยุดเว้นจังหวะ “สกุลมู่แห่งแคว้นฉางซาไม่ประสงค์ดีต่อข้ามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนเคยมีคนเตือนข้าให้ระวังคนแซ่มู่ เรื่องนี้เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
นางถามขึ้นเช่นนี้อย่างไม่มีการเกริ่นนำใดๆ
เซี่ยฉางเกิงตอบ “ฉางซาอ๋องเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน กระทำการหุนหันพลันแล่น เป็นถึงเจ้าแคว้นแล้วก็ยังคงเป็นเช่นเดิม กระนั้นแคว้นฉางซามีทหารน้อยและขาดแคลนแม่ทัพ ไม่เหมือนแคว้นอื่นๆ ที่แสนยานุภาพแข็งแกร่งทั้งสิ้น จะมีอันใดน่ากลัวเล่าพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้วันหลังพวกเขากล้าสร้างความวุ่นวายจริงๆ แต่จะก่อคลื่นลมได้สักเท่าไรกัน”
“ท่านเซี่ย หากภายภาคหน้าข้าคิดกำจัดแคว้นฉางซา ถึงตอนนั้นท่านจะวางตัวอย่างไร” หลิวไทเฮาเพ่งตามองชายหนุ่มแล้วถามต่อ
เซี่ยฉางเกิงประสานสายตาของหลิวไทเฮาที่มองตนอยู่ แล้วกล่าววาจา “กษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตาย นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮานิ่งเงียบไป
หลายวันก่อนนางเรียกตัวมุขมนตรีจางปันมาหารือแผนสร้างความมั่นคงให้แก่แผ่นดินหลังจากนี้ ตอนคุยกันถึงแคว้นฉางซา จางปันเสนอความเห็นว่าแคว้นฉางซาเป็นแว่นแคว้นเล็กๆ กำลังทหารอ่อนแอ ส่วนมู่เซวียนชิงผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าแคว้นคนใหม่เมื่อสามปีก่อนนั้น นอกจากความสามารถห่างชั้นจากอดีตฉางซาอ๋องผู้เป็นบิดาอย่างเทียบไม่ติด ยังใจร้อนวู่วาม ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเขาไปล่าสัตว์ตามลำพังจนพลัดตกลงไปในโตรกธาร หากมิใช่โชคดี คนที่ออกตามหาเขาพบตัวได้ทันการณ์ เกรงว่าเขาคงจบชีวิตไปแล้ว ประกอบกับเสียงโจษจันอื้ออึงเรื่องที่เขาไม่ยอมปล่อยตัวน้องสาวให้ตามผู้บัญชาการเซี่ยกลับไป อีกทั้งยังลบหลู่ดูหมิ่นอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล ก็เป็นการยืนยันได้อีกทางหนึ่ง
เทียบกับแคว้นฉางซาซึ่งไม่มีแรงคุกคามมากนัก หลู่อ๋องที่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงสูงกับผิงหยางอ๋องที่กุมอำนาจทหารในมือจำนวนมากต่างหากที่เป็นเภทภัยอย่างแท้จริงในยามนี้ อีกประการหนึ่ง ในสายตาของเหล่าขุนนาง แคว้นฉางซาไม่ก่อปัญหาใด ยังส่งเครื่องบรรณาการตรงเวลา และไม่มีหลักฐานแน่นหนาชี้ว่าเป็นกบฏก่อความไม่สงบ นอกจากนี้ภายในราชสำนักเดิมก็มีเสียงลือลับๆ อยู่แล้วว่าสาเหตุที่หลิวไทเฮาตั้งข้อรังเกียจแคว้นฉางซามาจากความขุ่นข้องหมองใจกับมู่ฮองเฮาในอดีต ถ้าเล่นงานแคว้นฉางซาตอนนี้ ไม่เพียงเปิดช่องให้หลู่อ๋องกับผิงหยางอ๋องได้ฉวยโอกาส ยังจะเป็นที่ครหาของผู้คนอย่างเลี่ยงมิได้ด้วย
จางปันกล่าวว่าขณะนี้มิใช่เวลาเหมาะจะลงมือกับแคว้นฉางซา มิสู้รอวันหน้ากำจัดหลู่อ๋องกับผิงหยางอ๋องแล้ว อยากจัดการแคว้นฉางซาจริงๆ ก็ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
ตอนนั้นหลิวไทเฮารู้สึกว่ามีเหตุผลพอสมควร นางใคร่ครวญแล้วตกลงใจทำตามคำแนะนำของจางปัน
เมื่อครู่นางจงใจตั้งคำถามนี้กับเซี่ยฉางเกิงเพียงเพื่อหยั่งเชิงเขาเท่านั้น
ถึงอย่างไรเขาก็แต่งงานกับธิดาอ๋องสกุลมู่
ส่วนคำตอบของเขาเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าทุกประการ
พินิจดูจากความเป็นมาของเขา ระหว่างตระกูลของภรรยากับเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจประทานลาภยศสรรเสริญให้เขาได้ เขาจะเลือกฝ่ายใดนั้นไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ไม่มีนางสักคน เขาก็ปราศจากความหมาย
หลิวไทเฮาคลายใจลงได้ นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “หลายวันก่อนข้ากับมุขมนตรีจางเอ่ยถึงแคว้นฉางซาตอนปรึกษาข้อราชการกัน ความเห็นของเขาแทบจะเป็นไปในทางเดียวกับท่าน แต่จะอย่างไรท่านก็ตบแต่งสตรีสกุลมู่เป็นภรรยา ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าไม่อยากสร้างความลำบากใจให้หรอก ต่อไปขอแค่สกุลมู่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม ข้าย่อมไม่แตะต้องพวกเขา”
เซี่ยฉางเกิงพูดอย่างเคารพนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ไทเฮาแทนสกุลมู่ของแคว้นฉางซาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮาพยักหน้า นางครุ่นคิดในใจแล้วตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้อย่างว่องไว
หลังเซี่ยฉางเกิงออกไปแล้ว นางเรียกหยางกงกงขันทีคู่ใจเข้ามากำชับ “ร่างพระราชโองการให้ข้าทันที จากนั้นส่งคนนำของพระราชทานไปยังแคว้นฉางซา บอกว่าข้าระลึกถึงความผูกพันลึกซึ้งฉันพี่น้องกับมู่ฮองเฮาในอดีตแล้วบังเกิดความสะเทือนใจเหลือหลาย จำได้ว่าฝูหลันธิดาอ๋องสกุลมู่เคยพำนักอยู่ในวังหลวงเมื่อสิบปีก่อน นับว่าเคยมีความหลังกับข้า ข้ารู้สึกคิดถึงนางอยู่สักหน่อย จึงตั้งใจเรียกตัวนางเข้าเมืองหลวงเพื่อรำลึกอดีต หากร่างกายของนางแข็งแรงดีแล้วก็ออกเดินทางมาเมืองหลวง”
หยางกงกงอึ้งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “ไทเฮา เมื่อครู่ผู้บัญชาการเซี่ยทูลว่านางพักฟื้นอยู่ที่แคว้นฉางซามิใช่หรือ แล้วพระองค์ทรงเรียกตัวนางเข้าเมืองหลวงด้วยเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮาหัวร่อ
“ถ้อยคำของท่านเซี่ยเมื่อครู่ เจ้าคิดว่าเป็นความจริงรึ เป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าเขาคงโดนปฏิเสธที่แคว้นฉางซาถึงรับธิดาอ๋องสกุลมู่กลับมาไม่ได้ เขาหมดทางเลือกเลยใช้เป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนเวลาตอบคนภายนอกเท่านั้นเอง เขาเป็นคนของข้า ต่อให้ข้าไม่แตะต้องแคว้นฉางซาตอนนี้ ก็ต้องให้มู่เซวียนชิงผู้นั้นรู้ว่าไม่เคารพท่านเซี่ยก็คือไม่เคารพต่อข้า! ยามนี้ตัวท่านเซี่ยอยู่ในเมืองหลวง น้องสาวที่ออกเรือนแล้วของเขาผู้นั้น อย่าว่าแต่ไม่ป่วย ถึงป่วยร่อแร่ปางตายจริงๆ เมื่อข้าออกปากแล้ว นางก็ต้องตามท่านเซี่ยเข้าเมืองหลวงแต่โดยดี”
หยางกงกงแจ่มแจ้งในบัดดล
“ไทเฮาตรัสได้ถูกต้องที่สุดพ่ะย่ะค่ะ หลายวันนี้กระหม่อมได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง เกรงว่าปกติคนพวกนั้นคงอิจฉาผู้บัญชาการเซี่ย บางเรื่องพูดเล่าลือกันจนไม่น่าฟังเอาเสียเลยจริงๆ พระองค์ทรงทำเช่นนี้เป็นการขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัว ทั้งเป็นการตักเตือนแคว้นฉางซา ทั้งกู้หน้าให้ผู้บัญชาการเซี่ยด้วย พอเขาได้รู้ต้องซาบซึ้งพระทัยเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หลิวไทเฮานิ่งคิดครู่หนึ่งถึงกล่าวต่อ “มิใช่เท่านี้ ข้าได้ยินว่าธิดาอ๋องสกุลมู่มีรูปโฉมโดดเด่น ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซา แม้เมื่อครู่ท่านเซี่ยจะแสดงความจงรักภักดีต่อข้า แต่ดังคำกล่าวว่า ‘เสน่ห์หญิงงามคือสุสานของวีรบุรุษ’ นับแต่โบราณกาลมามีวีรบุรุษผู้กล้าตั้งมากเท่าไรที่ต้องพ่ายด้วยน้ำมือสตรี เจ้าอย่าเห็นว่ายามนี้มู่เซวียนชิงมีท่าทีเฉกนี้ ตราบเท่าที่ท่านเซี่ยกับมู่ซื่อยังเป็นสามีภรรยากัน ถ้าเกิดวันหลังนางโดนคนเป่าหูหรือมีใจคิดร้ายแล้วยุแยงท่านเซี่ยให้แตกกับข้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าต้องได้เห็นนางเองกับตาถึงจะสบายใจ สงบเสงี่ยมเจียมตัวก็แล้วกันไป ข้าเชื่อว่าคงควบคุมคนอย่างท่านเซี่ยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นพวกไม่น่าวางใจ…”
แววเหี้ยมเกรียมผุดวาบขึ้นในดวงตานาง
“เช่นนั้นก็ต้องคิดวิธีจัดการสะสางให้ท่านเซี่ย จะได้ไม่เป็นเภทภัยในวันหน้า”
หยางกงกงพูดเสียงต่ำ “ไทเฮาทรงดำริได้ละเอียดรอบด้านโดยแท้ แม้ว่าจะปล่อยแคว้นฉางซาไปก่อนชั่วคราว แต่ก็ต้องระวังป้องกันจริงๆ กระหม่อมจะไปร่างพระราชโองการประเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
วันที่พระราชโองการมาถึงเมืองเยวี่ย มู่ฝูหลันอยู่ที่เขาจวินซานกับอาต้าช่วยกันเด็ดสมุนไพรในแปลงของเฒ่าโอสถอยู่
เฒ่าโอสถลงเขาเดินทางไปที่อื่นนานหลายเดือนแล้ว อากาศหนาวเย็นลงทุกวัน จึงต้องเร่งเก็บเกี่ยวสมุนไพรชุดสุดท้ายก่อนหิมะตก
ช่วงอากาศหนาวเหน็บที่สุดของปีจวนเจียนย่างกรายมาแล้ว
แม้มู่ฝูหลันเป็นธิดาอ๋อง ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ นางจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเองไม่แตกต่างจากอาต้า
ตั้งแต่วัยเยาว์ นางก็ชอบขลุกอยู่ในแปลงสมุนไพรเรียนรู้พืชพันธุ์ชนิดต่างๆ กับอาจารย์ การได้ง่วนอยู่กับงานถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ครั้นเก็บสมุนไพรแปลงสุดท้ายเสร็จ ตอนนางยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้น นิ้วมือก็แตะโดนเสี้ยนไม้ข้างตัวตะกร้าโดยไม่ทันระวัง
เสี้ยนแหลมเล็กตำลึกลงไปในนิ้วมือนุ่มนิ่มของหญิงสาว
หยดเลือดแดงเข้มผุดซึมขึ้นบนปลายนิ้วอย่างช้าๆ หยดหนึ่ง
“ท่านหญิง ในเมืองส่งคนมาบอกความขอรับ พระชายาให้ท่านหญิงกลับไป บอกว่ามีผู้ถือสารจากวังหลวงต้องการพบท่าน”
ในเวลานี้อาต้าวิ่งตะโกนพูดเข้าประตูกระท่อมมาอย่างรีบร้อน
มือของมู่ฝูหลันสั่นกระตุก นางบ่งเสี้ยนที่ทำร้ายตนเองชิ้นนั้นออกแล้วล้างมือ มอบหมายงานที่เหลืออยู่ให้อาต้า จากนั้นลงเขาไปขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง
ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว งานต่างๆ ที่หารือวางแผนกันไว้ก่อนหน้านี้กำลังรุดหน้าไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
การใช้ลู่ทางของจางปันเห็นผลแล้ว ‘ความมุทะลุ’ ของพี่ชายนางรวมถึงที่มู่ฝูหลันจงใจไม่ยับยั้ง ‘การใช้อารมณ์นำเหตุผล’ ของเขาตอนเซี่ยฉางเกิงมาเยือนกลายเป็นยันต์ป้องกันแคว้นฉางซา เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวลับส่งมาแจ้งว่าจางปันพูดหว่านล้อมสำเร็จ หลิวไทเฮาไม่น่าจะเล่นงานแคว้นฉางซาทันทีทันใด
ทางหยวนฮั่นติ่งก็ส่งข่าวดีมาเช่นกัน นักขุดเหมืองมือฉมังที่สำรวจหาแหล่งแร่มาทั้งชีวิตเข้าสู่ภูเขาลึกในเขตหรู่ หลังได้ตรวจดูลักษณะผืนดินแล้วตื่นเต้นยกใหญ่ บอกว่านอกจากแหล่งแร่กลางภูเขาจะอุดมสมบูรณ์ ยังฝังตัวอยู่ตื้นทำให้ง่ายต่อการขุดสกัด ด้วยบริเวณรอบนอกภูเขามีหมู่บ้านอยู่อย่างกระจัดกระจายไม่กี่แห่ง จึงมีผู้อยู่อาศัยไม่มาก เมื่อหยวนฮั่นติ่งโยกย้ายชาวบ้านออกไปจนหมด ทหารกับช่างเหล็กหลายพันคนก็เริ่มทยอยกันเข้าไปในภูเขาอย่างลับๆ
สำหรับผู้ตรวจการที่ราชสำนักส่งมาประจำการที่แคว้นฉางซาผู้นั้นมิใช่ปัญหาใหญ่อันใดนัก ข่าวที่เขาได้รับไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเรื่องที่เปิดเผยให้รู้กันทั่ว อีกทั้งพักก่อนยังพบตัวผู้ติดตามนามจูลิ่วหู่ซึ่งเซี่ยฉางเกิงทิ้งเอาไว้ก่อนกลับไปแล้ว เขาแฝงกายเข้าเมืองมาในฐานะพ่อค้าเร่ พำนักอยู่ในตรอกสายหนึ่งไม่ไกลจากวังอ๋อง ทุกวันเขาจะหาบกระจาดเร่ขายของตามตรอกซอกซอยทั่วเมืองเยวี่ย สองสามวันต่อมาก็มีหญิงม่ายนามฮวาเหนียงย้ายไปอยู่เรือนใกล้ๆ กัน กลายเป็นเพื่อนบ้านกับพ่อค้าเร่
ขณะที่หลายวันนี้ฝ่ายพี่ชายของนางวุ่นอยู่กับการเสาะหาเกาะที่เหมาะสมในทะเลสาบต้งถิงสร้างเป็นค่ายทหารโดยยกข้ออ้างตรวจตราทำนบกั้นน้ำ
หลังสร้างเสร็จแล้ว ที่นั่นล้อมรอบด้วยน้ำอยู่ห่างไกลจากผู้คน ถึงจะมีคนมากปานใดหรือเกิดความเคลื่อนไหววุ่นวายอย่างไร คนภายนอกก็ไม่อาจจับสังเกตได้ และไม่สามารถสอดแนมในระยะใกล้ด้วย
แคว้นฉางซาจะมีสถานที่ฝึกทหารซึ่งมีปราการธรรมชาติชั้นยอดแห่งหนึ่งในครอบครอง
ทั้งหมดนี้ล้วนลอบดำเนินการอยู่โดยปิดเป็นความลับอย่างมิดชิดที่สุด ความเป็นไปได้ที่จะถูกคนนอกจับได้จึงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
แต่ในเวลานี้เมืองหลวงส่งผู้ถือสารจากวังหลวงมาได้อย่างไร แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
มู่ฝูหลันลอบฉงนใจ เมื่อนางกลับเข้าเมืองไปถึงวังอ๋องก็ได้รับความกระจ่างอย่างรวดเร็ว
ผู้ถือสารนำพระราชเสาวนีย์ของหลิวไทเฮามาพร้อมกับของพระราชทานและหมอหลวงคนหนึ่ง
พอถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์จบ คนผู้นั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “มู่ซื่อ องค์ไทเฮาทรงได้ยินจากท่านผู้บัญชาการเซี่ยว่าท่านสุขภาพไม่ใคร่ดี หากเป็นเช่นนั้นจริง พระนางย่อมไม่บังคับฝืนใจ หมอหลวงจะอยู่ที่นี่ตรวจชีพจรให้ท่านอย่างละเอียด ดื่มยารักษาจนร่างกายหายดีแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”
มู่ฝูหลันคุกเข่ากับพื้นพลางโขกศีรษะขอบพระทัย ชั่วครู่ต่อมานางยกตัวขึ้นอย่างเนิบช้า กล่าวว่า
“ขอบพระทัยองค์ไทเฮาที่ทรงห่วงใย ข้าพักรักษาตัวเป็นปกติแล้ว เป็นบุญของข้าที่พระนางทรงระลึกถึง ข้าสามารถเข้าเมืองหลวงได้ทุกเมื่อ”
ผู้ถือสารยิ้มหน้าบาน “ดี ได้เช่นนี้ก็ดี ในเมื่อไปได้ พวกเราก็ไม่ควรปล่อยให้พระนางต้องทรงรอคอยนานเกินไป ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลยเป็นอย่างไร”
“สุดแท้แต่กงกงทุกอย่าง”
ลู่ซื่อสั่งให้คนจัดที่พำนักให้ผู้ถือสาร ด้านมู่เซวียนชิงรู้ข่าวก็รุดกลับมาถึงวังอ๋องอย่างเร่งร้อน พอพบน้องสาวเขาก็กล่าวขึ้นทันที “น้องพี่ เจ้าไปไม่ได้นะ พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกเองว่าตอนค่ำเจ้าไม่สบายอีกแล้ว ไปไม่ได้”
มู่ฝูหลันไม่รับคำ เพียงถามเขาถึงความคืบหน้าการเสาะหาที่ตั้งค่ายทหาร
มู่เซวียนชิงตอบว่าวันนี้ตนเลือกสถานที่ได้แล้ว เป็นเกาะเจ่อซานที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบ ผืนน้ำล้อมสี่ทิศ มีเขาจวินซานเป็นที่กำบัง เดินทางไปกลับด้วยเรือราวหนึ่งชั่วยาม บนเกาะครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ภูเขา ครึ่งหนึ่งเป็นที่ราบ เหมาะแก่การสร้างเป็นค่ายทหารมากที่สุด
มู่ฝูหลันกล่าว “ได้เช่นนี้ก็ดี ท่านเริ่มสร้างค่ายทหารโดยเร็วที่สุด พี่เซวียนชิง ท่านคือเจ้าแคว้นฉางซา จำให้ขึ้นใจว่าอย่าถือดีอย่าเจ้าอารมณ์ ไม่พาตัวเข้าสู่ที่อันตราย รับฟังคำเตือนของพี่สะใภ้มากๆ พี่หยวนเป็นผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ทั้งมีความสามารถสูงยิ่ง เรื่องงานฝึกทหารหลังจากนี้ท่านมอบหมายให้พี่หยวนได้อย่างวางใจเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็หารือกับเสนาบดีลู่นะเจ้าคะ”
มู่เซวียนชิงขบสันกรามแน่น “เจ้าไปไม่ได้ ไทเฮาชั่วจะใช้เจ้าเป็นตัวประกัน เจ้าไปแล้วจะต่างอะไรกับเดินเข้าถ้ำเสือรังหมาป่า”
“หากเป็นเช่นนี้ข้ายิ่งต้องไปเจ้าค่ะ ขืนข้าหาข้ออ้างไม่ไป ไทเฮาชั่วจะแคลงใจว่าพวกเราร้อนตัว ถึงนางไม่แสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็น แต่ต้องจับตาดูพวกเราโดยไม่คลาดสายตาเป็นแน่ เช่นนั้นทุกสิ่งก็ไม่อาจเป็นไปตามที่เตรียมการไว้ก่อนหน้านี้ได้อย่างราบรื่น”
“น้องพี่”
“พี่เซวียนชิง ข้ารู้ว่าท่านดีต่อข้ามาตั้งแต่เด็ก แต่ท่านอย่าลืมว่าท่านต้องถือหน้าที่ของเจ้าแคว้นเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาถึงจะเป็นพี่ชายของข้า ถ้าสกุลมู่เรากระทั่งปกป้องตนเองยังเป็นปัญหา ก็คงต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจตลอดไป ยังจะพูดเรื่องการล้างแค้นให้อาหญิงอันใดได้ ตอนนี้เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรก็เสี่ยงที่จะเสียมันไปไม่ได้”
มู่เซวียนชิงกำสองมือเป็นหมัดแน่น เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปน
ขอบตาของลู่ซื่อแดงเรื่อ นางก้าวเข้าไปกุมมือมู่ฝูหลัน
“หลันเอ๋อร์ หลังจากเจ้าไปแล้วต้องระวังตัวให้มากขึ้น เจ้าตัวคนเดียว ที่นั่นก็เทียบเรือนตนเองไม่ได้ ไทเฮาชั่วคิดประสงค์ร้ายต่อเจ้า พวกเรากับผู้บัญชาการเซี่ยยังมาบาดหมางกันอีก คราวนี้เจ้าพบกับเขาแล้วจงจำไว้ว่าต้องอดทนอ่อนโอน อย่าล่วงเกินเขาอีกเด็ดขาด”
มู่ฝูหลันพยักหน้ายิ้มๆ
“พี่เซวียนชิง พี่สะใภ้ พวกท่านไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป พอข้าไปแล้ว ขอแค่แคว้นฉางซาเดินหน้าไปในทางที่ดีได้ นี่จะเป็นแรงใจที่ดีที่สุดให้ข้า ข้าไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะคิดหาหนทางกลับมาให้เร็วที่สุดแน่นอน”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.