X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แสนชัง นิรันดร์รัก บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่ 7

ราตรีนี้ลู่ซื่อวิ่งวุ่นกับการจัดหาของกำนัลตอบแทนผู้ถือสารของวังหลวง และเก็บสัมภาระให้มู่ฝูหลัน ฝ่ายมู่เซวียนชิงก็ตระเตรียมของบรรณาการ คัดเลือกทูต และเตรียมการเรื่องคุ้มกันน้องสาวเดินทางเข้าเมืองหลวงวันพรุ่งนี้

ระหว่างที่พี่ชายพี่สะใภ้กำลังยุ่งวุ่นวายเพื่อตน ในใจมู่ฝูหลันก็ว้าวุ่นปั่นป่วน พลิกตัวกระสับกระส่ายข่มตาหลับไม่ลง

ยามที่นางนึกว่าทุกอย่างเริ่มค่อยๆ เป็นไปในทางที่ดี คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเกิดการพลิกผันเช่นนี้อีก

นี่เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ผิดไปจากเหตุการณ์เดิมที่นางรู้ล่วงหน้ามา

หลิวไทเฮาเรียกตัวนางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ย่อมแอบแฝงจุดประสงค์ไม่ดีไว้

แล้วเซี่ยฉางเกิงมีบทบาทใดในเรื่องนี้

เมื่อหมดความได้เปรียบลง ทั้งคนที่ต้องเผชิญหน้ายังโหดเหี้ยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นางจำเป็นต้องตั้งสติให้ดีๆ รับมืออย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังทุกฝีก้าว

 

รุ่งเช้าวันต่อมามู่ฝูหลันพร้อมด้วยแม่นมมู่กับสาวใช้ซึ่งร่วมทางไปด้วยก้าวขึ้นรถม้าที่อบอุ่น ติดตามผู้ถือสารจากวังหลวงออกจากแคว้นฉางซามุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่ทิศอุดร หลังจากเดินทางนานกว่าครึ่งเดือนเศษก็มาถึงเมืองหลวงในเดือนสิบสองของปีเดียวกัน

ตอนนางไปถึง ท้องฟ้าขมุกขมัวมีหิมะโปรยปราย เมฆดำทะมึนลอยต่ำละม้ายปกคลุมอยู่เหนือเขตพระราชฐาน รถม้าแล่นไปตามพื้นหิมะนอกเมืองที่ถูกคนกับรถม้าย่ำเหยียบผ่านไปมาจนละลายเฉอะแฉะ ผ่านประตูเมืองทิศใต้อันสูงตระหง่านเข้าสู่เมืองหลวงของโอรสสวรรค์

ตัวเซี่ยฉางเกิงนั้นออกไปเมืองใกล้ๆ เมื่อวานซืนยังไม่กลับมา หลังจากมู่ฝูหลันถูกส่งไปที่จวนของเขาซึ่งตั้งอยู่ทิศเหนือของเมือง ห่างจากวังหลวงแค่ถนนคั่นกลางสองสายเท่านั้นแล้ว ทูตของแคว้นฉางซาที่ร่วมทางมาด้วยกันก็ถือของบรรณาการไปที่วังหลวง เข้าเฝ้าถวายบังคมฮ่องเต้กับหลิวไทเฮาโดยไม่หยุดพัก

ผู้ดูแลในจวนไม่รู้ข่าวการมาของฮูหยิน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพบหน้าค่าตา เขางุนงงไปครู่หนึ่ง พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วถึงลนลานพาบ่าวไพร่ในเรือนมาคารวะทักทายมู่ฝูหลัน ค่อยพานางไปยังเรือนใหญ่ของเซี่ยฉางเกิง

ห้องนอนทั้งกว้างทั้งใหญ่ แต่มีเครื่องเรือนไม่มาก นอกจากของจำเป็นอย่างเตียงตั่งโต๊ะเก้าอี้ ยังมีตู้หนังสืออีกตัวหนึ่ง บนราวแขวนอาภรณ์ข้างเตียงมีเสื้อคลุมฤดูหนาวของบุรุษกลางเก่ากลางใหม่แขวนอยู่ตัวหนึ่ง และกระบี่ยาวในฝักสลักลายเมฆห้อยอยู่ด้านข้าง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีของอื่นใด ส่งผลให้ห้องดูว่างโล่งอยู่บ้าง

ภายในห้องเย็นเยือกเพราะไม่ได้จุดเตาผิง

ว่าไปแล้วก็น่าขัน

ชาติที่แล้วมู่ฝูหลันแต่งงานกับเซี่ยฉางเกิงตอนอายุสิบหก จบชีวิตตอนอายุยี่สิบต้นๆ ช่วงเวลาหลายปีนั้นแทบจะอยู่ในคฤหาสน์ประจำสกุลเซี่ยที่อำเภอเซี่ยในขุยโจวตลอด

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเหยียบย่างเข้าเรือนในเมืองหลวงของเขาหลังนี้

นางเหลียวมองรอบห้อง จู่ๆ สายตาก็นิ่งขึงไป

ผู้ดูแลรู้ว่านางเป็นธิดาอ๋องของแคว้นฉางซา เรื่องรูปโฉมงดงามนั้นไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แม้แต่พวกสาวใช้ที่ติดตามมาก็แต่งกายอย่างพิถีพิถัน เขานึกว่านางรังเกียจที่เรือนซอมซ่อ รีบสั่งให้คนจุดไฟพลางกล่าวชี้แจง “ฮูหยินอย่าได้ตำหนิโทษเลยนะขอรับ แต่ก่อนนานทีปีหนท่านผู้บัญชาการจะมาอยู่ในเมืองหลวงสักครั้ง ท่านก็เลยไม่ให้ตกแต่งประดับอะไรมากมาย ถึงได้ดูทรุดโทรมไปบ้าง หนนี้ไทเฮาทรงรับฮูหยินมาก็มิได้ส่งข่าวล่วงหน้า ทำให้เสียมารยาทต่อท่านแล้วขอรับ”

ผู้ดูแลกล่าวอะไรบ้างมู่ฝูหลันไม่ได้ยินทั้งสิ้น

ดวงตาของนางเพ่งมองกระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ตรงหัวเตียง แทบจะในชั่วพริบตาเดียว ตัวนางก็แข็งทื่อไป ลมหายใจติดขัด

ต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน แหลกลาญเป็นธุลี ป่นปี้เป็นฝุ่นผง นางก็จดจำได้

กระบี่ยาวลายเมฆที่ห้อยอยู่ตรงหัวเตียงอย่างสงบนิ่งขณะนี้เป็นเล่มเดียวกับที่เซี่ยฉางเกิงมอบให้ซีเอ๋อร์ในภพก่อน

แล้วก็เป็นกระบี่ยาวเล่มนี้ที่ซีเอ๋อร์ใช้ปาดคอฆ่าตัวตายหน้าป้ายวิญญาณของนาง

มู่ฝูหลันจ้องกระบี่โดยไม่ละสายตา นางรู้สึกคล้ายความเจ็บปวดเสียดแทงกระแทกเข้ากลางอกระลอกหนึ่งจนเกือบยืนทรงตัวไม่อยู่

แม่นมมู่เห็นใบหญ้าของหญิงสาวเผือดลงกะทันหัน จึงรีบประคองนางนั่งลงบนตั่งใกล้ๆ

“ท่านหญิง เป็นอะไรไปเจ้าคะ”

มู่ฝูหลันหลับตาลง พูดเสียงแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร คงจะเหนื่อยนิดหน่อยกระมัง พักผ่อนแล้วก็ดีขึ้นเอง”

แม่นมมู่รีบเรียกให้ผู้ดูแลพาพวกสาวใช้ไปรู้จักที่ทางสำหรับต้มน้ำทำอาหาร ส่วนตนเองพยุงมู่ฝูหลันให้เอนกายลงบนตั่ง ครั้นสัมผัสได้ว่าฝ่ามือนางเย็นเฉียบก็เอาเสื้อขนสัตว์ที่นำติดมาคลุมตัว แล้วบอกให้นางนอนพักก่อน จากนั้นช่วยกันกับคนที่เหลืออยู่เปิดหีบหยิบของออกมาจัดเก็บเข้าที่มือเป็นระวิง

ไม่ถึงชั่วครู่ มีขันทีจากวังหลวงคนหนึ่งมาถ่ายทอดกระแสพระดำรัสของหลิวไทเฮา

มู่ฝูหลันตั้งสติให้มั่นแล้วออกไปต้อนรับ

ขันทีผู้นั้นยังหนุ่มมาก อายุไม่ถึงยี่สิบปี รูปหน้ายาว ร่างสูงชะลูด สวมชุดสีม่วง ท่าทางสุภาพเป็นมิตรยิ่ง เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้ามีนามว่าเฉาจิน ได้รับพระบัญชาขององค์ไทเฮามาบอกความต่อฮูหยิน ไทเฮาทรงมีพระดำรัสว่าท่านหญิงต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว ในเมืองหลวงยังมีหิมะตกอีก ท่านก็พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน รอเมื่อร่างกายฟื้นฟูเต็มที่แล้วค่อยเข้าวังก็ไม่สายขอรับ”

มู่ฝูหลันหลุบตาลงกล่าวขอบพระทัย แม่นมมู่ก็ยื่นสินน้ำใจให้ ขันทีผู้นั้นกลับไม่รับ เขาโบกมือไปมาพลางพูดยิ้มๆ “เพียงมาบอกความต่อฮูหยินไม่กี่คำ ไหนเลยจะกล้ารับรางวัลของท่าน ผู้บัญชาการเซี่ยยังไม่กลับวันนี้ เห็นทีคงกลับมาวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า ฮูหยินพักผ่อนตามสบาย ข้าขอตัวก่อนขอรับ” ว่าแล้วก็ประสานมือคำนับแล้วถอยออกไป

แม่นมมู่กุลีกุจอตามไปส่ง

มู่ฝูหลันสาวเท้าไปผลักหน้าต่างเปิดออกช้าๆ เพ่งตามองตามแผ่นหลังขันทีหนุ่มบนพื้นหิมะในลานเรือนที่ค่อยๆ ห่างไกลไปทุกที

ขันทีหนุ่มคนนี้ก็คือขันทีใหญ่ที่รัดคอชีหลิงเฟิ่งตายตามคำสั่งของเซี่ยฉางเกิง

 

ฟ้ามืดลงทีละน้อย ในห้องจุดโคมแล้ว ไฟในเตาผิงก็ลุกโชนแผ่ไออุ่นสบาย

มู่ฝูหลันกินอาหารอย่างขอไปทีแล้วชำระกายผลัดอาภรณ์ ด้วยรู้ว่าทุกคนอ่อนล้าจากการเดินทาง นางจึงบอกให้แม่นมมู่กับพวกสาวใช้ไปเข้านอนแต่หัวค่ำ

หิมะเป็นประกายอยู่นอกหน้าต่าง ทั่วบริเวณเงียบสงัด เปลวเทียนดวงหนึ่งในห้องเต้นระริกอย่างไร้สุ้มเสียง หญิงสาวนั่งบนขอบเตียงตามลำพัง สายตาจับอยู่ที่กระบี่ซึ่งแขวนอยู่ตรงหัวเตียง สุดท้ายนางลุกขึ้นเดินไปหามันทีละก้าว

นางหยุดยืนเบื้องหน้ากระบี่ เงยหน้าขึ้นมองต่ออีกเนิ่นนานก่อนจะยื่นมือไปหยิบมันลงมา

กระบี่ในมือหนักอึ้งอยู่บ้าง นางใช้มือหนึ่งกำด้าม อีกมือจับฝักไว้แล้วดึงกระบี่ออกมาทีละชุ่น

ตัวกระบี่คมกริบสะท้อนแสงเทียนข้างหลังแผ่ประกายเย็นเยียบสีขาวอมเขียวแฝงรัศมีสีแดงจากเปลวเทียนรางๆ ดุจนัยน์ตาอสรพิษ

เมื่อจับจ้องมองนานๆ ราวกับว่าประกายกระบี่มีชีวิตขึ้นมา กลายเป็นหยดโลหิตไหลรวมกันเป็นหย่อมๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วไหลทะลักจากกระบี่และทั้งสี่มุมของห้องมาหานางช้าๆ จนท่วมตัว

นางหลับตาลง มือข้างที่ถือกระบี่ไว้กำแน่นขึ้น จนท้ายที่สุดแทบจะสั่นเทา

ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังดึงกระบี่ไปจากฝ่ามือนาง

มู่ฝูหลันสะดุ้งเฮือก นางลืมตาพรึบเหลียวหน้าไป

เซี่ยฉางเกิงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ เขายืนอยู่ข้างหลังนางนี่เอง แต่นางกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

เขาเอาฝักกระบี่ในมืออีกข้างหนึ่งของนางคืนไปด้วยแล้วเสียบกระบี่ยาวเก็บเข้าฝักดังฉับ

“กระบี่เป็นอาวุธอันตราย มิใช่ของเล่นของเจ้า ไม่มีเรื่องใด ควรจับต้องให้น้อย”

เขาแขวนกระบี่กลับเข้าที่เดิมพร้อมกล่าว

กระบี่ถูกดึงออกจากมือมู่ฝูหลันไปแล้ว ทว่าตัวนางยังยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม แม้แต่เส้นผมก็ไม่ขยับสักนิด

เซี่ยฉางเกิงมองนางซ้ำอีกคราอย่างห้ามไม่อยู่

แสงของเปลวเทียนไม่อาจกลบเกลื่อนดวงหน้าซีดเผือดจนปราศจากสีเลือดของนางได้

กระทั่งริมฝีปากก็ขาวซีดสุดจะเปรียบ

เมื่อครู่เขาผลักประตูเข้ามาเห็นนางยืนหันหลังให้ประตูอยู่ตรงนี้แล้วชักกระบี่ออกมา เขานึกว่านางกำลังเล่นอยู่จึงเดินเข้ามาเอาคืนไป

ทว่าเห็นท่าทางในตอนนี้ของนางแล้ว ดูเหมือนเรื่องจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิดไว้

เขาอดแคลงใจไม่ได้ว่าสตรีผู้นี้ยังเจ็บใจที่ก่อนหน้านี้ขอหย่าร้างไม่สำเร็จ ประกอบกับชาวสกุลมู่น่าจะล่วงรู้เช่นกันว่าหลิวไทเฮาคิดมุ่งร้ายต่อพวกนางมาโดยตลอด หนนี้นางโดนบังคับให้เข้าเมืองหลวง ซ้ำต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขา เกรงว่านางคงไม่เต็มใจอย่างเหลือแสน เป็นเหตุให้บังเกิดความคับแค้นจึงได้ถือกระบี่ในห้อง

ความไม่พึงใจพลุ่งพล่านในอกชายหนุ่ม แต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวแต่เพียงว่า “เจ้าเข้าเมืองหลวงคราวนี้หาได้เป็นความประสงค์ของข้าไม่ ข้าเองเพิ่งรู้ว่าเจ้าถูกไทเฮาทรงเรียกตัวมาที่นี่ตอนกลับมาเมื่อครู่นี้เหมือนกัน”

เขาหยุดพูดเล็กน้อย ชำเลืองมองกระบี่ที่ตนเองแขวนกลับเข้าที่ซ้ำอีกที

“เข้านอนเถอะ พรุ่งนี้พอเลิกประชุมขุนนาง ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง”

เขากล่าวอย่างเย็นชาจบแล้วหันหลังให้ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่เปียกชื้นบนกายออกแล้วเดินไปที่ข้างประตู สลัดหิมะที่เกาะอยู่บนนั้นออก

มู่ฝูหลันฝืนควบคุมมือที่ยังสั่นน้อยๆ ของตนคู่นั้นให้หยุดนิ่ง ยกเท้าที่แสนหนักอึ้งเดินเนิบๆ กลับไปนั่งบนขอบเตียง

แม่นมมู่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแต่แรกก็รู้ว่าเซี่ยฉางเกิงกลับมาแล้ว นางรีบออกจากห้องเล็กด้านข้างซึ่งเป็นที่พำนักของนาง ยกน้ำเข้ามาให้พร้อมกับหญิงคนงานที่ทำหน้าที่ดูแลรับใช้เรื่องการกินอยู่นอนหลับของทั้งสองคน จากนั้นออกไปพร้อมปิดประตู

เซี่ยฉางเกิงชำระกายเสร็จ สวมเสื้อตัวในสีขาวเรียบร้อยแล้วเดินออกมา

มู่ฝูหลันอยู่บนเตียงแล้ว นางนอนห่มผ้าห่มอยู่ริมด้านใน

ชายหนุ่มเป่าเทียนดับด้วยใบหน้าเรียบเฉย สาวเท้าตรงไปที่เตียงเอนกายลงนอนเช่นกัน เขาเว้นที่ห่างระหว่างกันมากกว่าหนึ่งช่วงแขน ดึงผ้าห่มขึ้นห่มตัวแล้วหลับตาลง

มู่ฝูหลันตื่นอยู่ทั้งคืน ท่ามกลางความมืดมิดไร้ขอบเขตที่คืบคลานมาพร้อมกับเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่ดังมาจากบุรุษข้างกาย นางลืมตารอคอยฟ้าสาง

เซี่ยฉางเกิงตื่นนอนแต่เช้า ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ สวมชุดราชสำนักแล้วออกไป พอใกล้ถึงยามซื่อผู้ดูแลมาเชิญนาง บอกว่าเตรียมรถม้าไว้นอกประตูใหญ่ เชิญฮูหยินออกจากเรือนไปที่วังหลวง

มู่ฝูหลันสางผมประทินโฉมและผลัดชุดเรียบร้อยแล้ว

ตำแหน่งเต็มของเซี่ยฉางเกิงคือผู้บัญชาการยุทธศาสตร์ประจำการกองทัพเหอซี รั้งตำแหน่งแม่ทัพตรวจการเหลียงโจว ตามลำดับยศแล้วเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสอง

ในภพก่อนตอนอยู่ที่อำเภอเซี่ย มู่ฝูหลันเคยได้รับบรรดาศักดิ์ในภายหลังเป็นนายหญิงตราตั้งและได้รับพระราชทานชุดประจำตำแหน่งจากราชสำนัก

ทว่าตอนนี้ย่อมยังไม่มี นางสวมชุดที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นเสื้อกับกระโปรงผ้าต่วนสีฟ้านวลซึ่งหรูหราสง่างามกว่าชุดทั่วไปมาก ปักลายผีเสื้อกลางมวลบุปผาด้วยเส้นไหมเงินทองทั้งชุด ชายเสื้อก็ตกแต่งด้วยลายปักไหมเงินทองดุจเดียวกัน แม้จะงามวิจิตรสูงศักดิ์ แต่ก็ดูโบราณคร่ำครึอยู่หลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้

นางมองเงาสะท้อนของตนในคันฉ่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเยื้องย่างออกไปหน้าประตู ก้าวขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่

ยามรถม้าพานางไปถึงด้านนอกของวังหลวง เฉาจินซึ่งมาบอกความที่จวนสกุลเซี่ยเมื่อวานคอยท่าอยู่แล้ว พอเห็นมู่ฝูหลันมาถึงก็นำทางเข้าสู่ด้านใน เขาเดินไปพูดไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “องค์ไทเฮาประทับอยู่ที่ตำหนักวั่งเซียน ส่วนผู้บัญชาการเซี่ยรอท่านหญิงอยู่ด้านนอกแล้วขอรับ”

ตำหนักวั่งเซียนปกติเป็นที่ประทับหลังเลิกประชุมขุนนางของหลิวไทเฮา

มู่ฝูหลันอมยิ้มพยักหน้ากับขันทีเฉา นางเดินตามหลังเขาผ่านโถงตำหนักต่างๆ จนมาถึงนอกตำหนักวั่งเซียน มองเห็นเซี่ยฉางเกิงยืนอยู่ที่นั่นแล้ว

“ผู้บัญชาการเซี่ย ท่านหญิงมาแล้วขอรับ”

ขันทีเฉาผละจากนาง สาวเท้าเร็วรี่ไปอยู่เบื้องหน้าเขา

เซี่ยฉางเกิงผงกศีรษะ ทอดสายตามองไปที่มู่ฝูหลัน

แสงตะวันลำหนึ่งสาดกระทบกระเบื้องแก้วสีมุงหลังคาตำหนักส่องลงมาอาบไล้ร่างหญิงสาวซึ่งสวมเครื่องแต่งกายประดับด้วยเส้นไหมเงินทองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า งามสง่าภูมิฐานเหมาะสมกับศักดิ์ฐานะ

เซี่ยฉางเกิงกวาดตามองปราดหนึ่งโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ดึงสายตากลับแล้วกล่าว “ตามข้ามาสิ”

สายตาของมู่ฝูหลันเบนออกจากตัวชายหนุ่มกับขันทีเฉา นางหลุบตาลงก้าวขาเดินตามหลังเขาเข้าตำหนัก แลเห็นขันทีใหญ่นามหยางก่วงซู่ที่ออกมาได้แต่ไกล

“ตอนเข้าเฝ้าไทเฮา ข้าว่าเจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมไว้สักหน่อยเป็นการดี”

เสียงกระซิบดังแว่วขึ้นข้างหู

มู่ฝูหลันช้อนตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่งอย่างฉับไว

ดวงตาทั้งคู่ของเซี่ยฉางเกิงมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าปราศจากความรู้สึก เขาสืบเท้าเข้าไปหาหยางกงกงที่กำลังเดินตรงมาทางนี้

หยางกงกงมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตัวมู่ฝูหลันชั่วอึดใจก่อนโอภาปราศรัยกับนาง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “แรกเริ่มองค์ไทเฮาทรงรำลึกถึงอดีต ต่อมาทรงทราบว่าพวกท่านมีวาสนาได้เป็นสามีภรรยากัน จึงมีพระประสงค์อยากเรียกตัวท่านหญิงเข้าวังเพื่อพบปะพูดคุยกันนานแล้ว ครั้งนี้ทรงได้ข่าวว่าท่านหญิงสุขภาพไม่ใคร่ดีแล้วไม่วางพระทัย เลยส่งคนพาหมอหลวงไปตรวจอาการให้เป็นพิเศษ เคราะห์ดีที่ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว อีกอย่างทรงทราบว่าผู้บัญชาการเซี่ยมีงานรัดตัวปลีกเวลาว่างไม่ได้ ถึงรับท่านหญิงมาที่นี่เสียเลย ท่านทั้งสองเดิมทีเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ครบปี ดูทีว่าคงไม่เต็มใจอยู่ห่างจากกันเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นผู้บัญชาการเซี่ยยังจากเรือนไปในคืนเข้าหอเพื่อปราบกบฏ องค์ไทเฮาทรงไม่สบายพระทัยเรื่อยมา หนนี้ก็นับว่าได้ส่งเสริมผู้อื่นให้สมดังหวังแล้ว”

มู่ฝูหลันไม่กล่าววาจา แสร้งทำท่าขัดเขิน

เซี่ยฉางเกิงยกยิ้มกล่าวขึ้น “หยางกงกงกล่าวได้ถูกต้อง ข้าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณขององค์ไทเฮาอย่างยิ่ง”

ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งหมดก็มาถึงตำหนักด้านใน

มู่ฝูหลันเดินหลุบตาไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหลิวไทเฮาพร้อมกับเซี่ยฉางเกิงและคุกเข่าลงคำนับ

เซี่ยฉางเกิงกล่าวขอบพระทัยหลิวไทเฮา นางมองดูคนทั้งคู่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซี่ย ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้าแล้ว พวกท่านสามีภรรยาได้อยู่พร้อมหน้ากัน ข้าปลื้มปีติเหลือเกิน ตอนเด็กฝูหลันเคยอยู่ในวังนานครึ่งปีเศษ ตอนนั้นข้าก็ชมชอบนางอย่างมาก ข้ารู้ว่าท่านยังมีงาน ท่านไปก่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฝากนางไว้กับข้าได้อย่างวางใจ พอรำลึกความหลังกันจบข้าจะส่งภรรยาคนงามของท่านกลับไปให้เอง”

คำกล่าวของหลิวไทเฮาแฝงน้ำเสียงแกมเย้าหยอกตามประสาผู้อาวุโสกว่า นางพูดจบแล้วใช้สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเซี่ยฉางเกิง

เขาไม่มีท่าทีมากนัก เพียงยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงเห็นดีเห็นงาม หลังจากคำนับขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วจึงลุกขึ้นถอยออกไป

ในห้องเหลือแค่หลิวไทเฮา มู่ฝูหลัน และหยางกงกงคนนั้น

มู่ฝูหลันรับรู้ได้ฉับพลันว่าท่าทีของหลิวไทเฮาเปลี่ยนแปลงไป

ใบหน้านางฉาบรอยยิ้มดังเก่าขณะสนทนากับตน ท่วงท่ากิริยาไม่มีการวางอำนาจบารมีน่าเกรงขามเช่นไทเฮาของแผ่นดินพึงเป็นให้เห็นแต่อย่างใด สีหน้าก็อ่อนโยนเป็นมิตร กระนั้นมู่ฝูหลันมองออกได้ชัดว่านับแต่เซี่ยฉางเกิงไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของนางไม่เคยคลาดคลาจากตนเลย

หญิงสาวรู้ว่าหลิวไทเฮากำลังจับสังเกตตนเองอยู่ สายตาคมกริบคู่นั้นของนางต้องไม่ยอมปล่อยให้แววตาและอากัปกิริยาเล็กน้อยใดๆ ของตนหลุดรอดไปได้เด็ดขาด

ถึงแม้ไม่มีถ้อยคำเมื่อครู่ของเซี่ยฉางเกิง มู่ฝูหลันก็รู้ว่านี่มิใช่เวลาที่นางจะสำแดงความฉลาดหัวไวออกมา แต่นางจะกระทำตัวให้ดูเบาปัญญาเกินไปก็ไม่ได้อีก อย่างนั้นมีแต่จะสร้างความระแวงสงสัยให้อีกฝ่าย

มากไปน้อยไปล้วนไม่ดี นางเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี

นางตอบคำถามของหลิวไทเฮาไปทีละเรื่องๆ

ไม่แสดงความฉลาดเจ้าปัญญา แต่ไม่ถึงกับโฉดเขลาเกินไป เป็นสตรีธรรมดาๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูทะนุถนอมจากครอบครัวจนเติบใหญ่ ยังอ่อนต่อโลกและไม่มีอะไรโดดเด่นเหนือใคร

หลิวไทเฮาคุยกับมู่ฝูหลันไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามว่านางคิดถึงอาหญิงหรือไม่

พอมู่ฝูหลันพยักหน้า หลิวไทเฮาก็พระราชทานพระเมตตาแก่นาง บอกให้ขันทีพานางไปที่ศาลบูชาของมู่ฮองเฮาก่อน

มู่ฮองเฮาเป็นฮองเฮาพระองค์แรกของอดีตฮ่องเต้ เมื่อแรกที่สวรรคต ป้ายวิญญาณย่อมตั้งอยู่ในศาลบรรพกษัตริย์เป็นธรรมดา ทว่าหลายปีต่อมาเหตุเพลิงไหม้ครั้งหนึ่งเผาผลาญตำหนักที่ตั้งป้ายวิญญาณของนางจนพังเสียหาย หลังจากนั้นทางกรมพิธีการวางแผนสร้างขึ้นใหม่ แต่ถูกชะลอไว้ด้วยสาเหตุต่างๆ นานา ส่งผลให้เริ่มงานก่อสร้างไม่สำเร็จมาโดยตลอด นานวันเข้าก็ไม่มีใครยกมาเป็นธุระอีก

เพลานี้ป้ายวิญญาณของมู่ฮองเฮายังคงวางไว้ที่ตำหนักหลัง ซึ่งเป็นศาลบูชาของพวกสนมชายาที่ได้เลื่อนพระอิสริยยศสูงกว่าสมัยมีพระชนม์ชีพอยู่

หยางกงกงพามู่ฝูหลันเดินเข้าไปในตำหนักที่วิเวกวังเวงหลังนั้น นางคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณของอาหญิงจุดธูปกราบไหว้

ตอนนางกลับมาอยู่ตรงหน้าหลิวไทเฮา หางตายังแดงเรื่อ

หลิวไทเฮาทบทวนความทรงจำถึงเรื่องเก่าๆ ในครั้งนั้นของมู่ฮองเฮากับนางแล้วกล่าวทอดถอนใจด้วยสีหน้าสะทกสะท้อน “คิดไปแล้วเมื่อครั้งที่อาหญิงเจ้าเป็นมารดาของแผ่นดิน ข้ามีตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟยเท่านั้น พอนึกไปถึงคุณงามความดีนานัปการของนาง ข้ายังจดจำได้จนทุกวันนี้คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน น่าเสียดายที่สวรรค์ริษยาหญิงงามถึงให้นางด่วนจากไป ข้ากับอาหญิงเจ้าใกล้ชิดกันดุจพี่น้อง วันหน้าเจ้าใฝ่ฝันปรารถนาสิ่งใด บอกข้ามาได้เต็มที่”

มู่ฝูหลันทำตาแดงๆ สีหน้าตื้นตัน นางทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าไทเฮาดังตุบ

“ไทเฮา หม่อมฉันขอบังอาจกราบทูลว่าป้ายวิญญาณของอาหญิงพึงควรตั้งอยู่ในตำหนักหน้า แต่ได้ยินว่างานซ่อมแซมโถงพิธีในภายหลังล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรมพิธีการบอกว่าเพราะผู้ที่ร่วมรับการเซ่นไหว้ไม่สมพงศ์กันเป็นเหตุถึงได้ผัดผ่อนเรื่อยมาเพคะ

พวกเขาต้องเข้าใจผิดแน่ๆ อาหญิงจะมีดวงชะตาอัปมงคลได้เช่นไร ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา โปรดทรงดำริวิธีช่วยย้ายอาหญิงกลับไปยังตำหนักหน้าเถิด จะเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะ” ว่าแล้วนางก็น้ำตาไหลพรากๆ

หลิวไทเฮารับคำทันทีว่าตนเองจะคิดหาหนทาง จากนั้นบอกให้มู่ฝูหลันลุกขึ้นแล้วกล่าวปลุกปลอบ นางถึงยิ้มทั้งน้ำตา

วันนี้นางถูกหลิวไทเฮารั้งตัวไว้จนเย็นย่ำ ยังให้นางร่วมโต๊ะพระกระยาหารก่อนเรียกคนส่งนางออกจากวัง

ในฤดูหนาวเวลากลางวันสั้น ตอนมู่ฝูหลันกลับถึงเรือน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

เซี่ยฉางเกิงยังไม่กลับมา นางเข้าห้องแล้วเบนสายตาไปมองจุดที่ห้อยกระบี่ไว้เมื่อวาน แต่มันหายไปแล้ว น่าจะเป็นเซี่ยฉางเกิงเอาไปเก็บ

นางยืนอยู่กับที่จ้องมองผนังว่างเปล่าด้านนั้นครู่หนึ่ง เมื่อกลางวันนางต้องเผชิญหน้ากับการหยั่งเชิงสารพัดของหลิวไทเฮาในวังหลวงแล้วได้แต่ตีหน้าซื่อทำไขสือ ชั่วเสี้ยวขณะนี้อารมณ์อันหลายหลากที่สะกดเก็บไว้ในใจตอนนั้นพลันประดังประเดเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลท่วมตัวนางจนมิด

ราตรีก่อนนางไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนกลางวันยังต้องระแวดระวังตัวและเสแสร้งแกล้งทำเป็นเวลานาน นางรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน หลังชำระกายในน้ำร้อนเสร็จออกมาก็เข้านอนแต่หัวค่ำ

แต่พอหลับตาลง นางก็คิดถึงซีเอ๋อร์ของนางอีกแล้ว

เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นที่นางลืมตาฟื้นคืนชีพมา แทบจะไม่มีคืนใดที่นางไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความรู้สึกโหยหาถึงซีเอ๋อร์จับใจ

ทุกครั้งที่ได้พบกับซีเอ๋อร์ในความฝันแล้วตื่นขึ้น ความเจ็บปวดรวดร้าวและความคับแค้นโกรธเคืองเซี่ยฉางเกิงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน

ถึงแม้ตนเองในภพก่อนจะจบชีวิตในสภาพน่าอเนจอนาถตั้งแต่วัยสาว ทว่าช่วงเวลาสิบปีอันยาวนานที่สิงสถิตอยู่ในโคมประทีปดวงนั้น เทียบกับการคับแค้นโกรธเคืองในความใจไม้ไส้ระกำของสามีแล้ว นางยังรู้สึกชิงชังตนเองมากกว่า

เพราะเขาเป็นคนเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก

เขาอาจเคยแสดงความอ่อนโยนและรักใคร่ต่อนางในคืนแรกที่เขากับนางร่วมเรียงเคียงหมอนกันเมื่อชาติที่แล้ว บางทีมันอาจมาจากใจจริงก็ได้

เขาอาจไม่เคยลืมเลือนบุญคุณที่ฉางซาอ๋ององค์เดิมช่วยส่งเสริมเกื้อหนุนจริงๆ

เขาอาจเคยรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันในชั่วขณะที่มองเห็นสภาพศพในวาระสุดท้ายของนางกับตาวันนั้น

แต่มันก็จบเพียงเท่านั้น

เมื่อสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอุปสรรคบนเส้นทางสู่ความเป็นใหญ่ ความอบอุ่นอ่อนโยนล้วนถูกตัดทิ้งไปจนสิ้น

ชายหนุ่มชุดดำที่เดินมาตามเส้นทางลงเขาผ่านต้นสนเก่าแก่บนเขาจวินซานตอนนางอายุสิบสามผู้นั้นเป็นแค่เงาด้านหลัง หากแต่หัวหน้าโจรมักใหญ่ใฝ่สูงหมายชิงแผ่นดินที่เดินทางมาขอเกี่ยวดองเพื่อผลประโยชน์คนนั้นต่างหากคือเซี่ยฉางเกิงตัวจริง

จะเกลียดก็ต้องเกลียดตนเองที่โง่เขลาอ่อนแอ ตาบอดมองข้ามธาตุแท้ที่เห็นแก่ตัวและแล้งน้ำใจในตัวเขา จนท้ายที่สุดมันถึงกลายเป็นดาบคมกริบที่คร่าชีวิตนางไป

ตราบจนชั่วขณะจิตสุดท้ายมาเยือน ยามที่เห็นซีเอ๋อร์ปาดคอฆ่าตัวตายด้านหน้าป้ายวิญญาณกับตา ชั่วอึดใจนั้นนางถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอันใดคือความปวดร้าวสิ้นหวังและความโกรธแค้นที่ไร้วันสลาย

นับจากเสี้ยวขณะนั้นนางเริ่มเกลียดชังเซี่ยฉางเกิงผู้เคยเป็นบุรุษในฝันวัยแรกแย้มของนางอย่างแท้จริง

ซีเอ๋อร์ลาลับจากโลกนี้ไปเช่นนั้นพร้อมด้วยความคับแค้นต่อบิดาบังเกิดเกล้าของเขา

ต่อให้ตัวนางย้อนเวลากลับมามีชีวิตในร่างเดิม ทุกอย่างล้วนเริ่มต้นใหม่ได้ และเซี่ยฉางเกิงในตอนนี้ถึงแม้สองมือของเขายังไม่แปดเปื้อนโลหิตของซีเอ๋อร์ นางก็ไม่มีทางให้อภัยเขา

เพราะซีเอ๋อร์…นางจึงไม่อาจยกโทษให้เขาได้ชั่วชีวิต ถึงเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่สิ้นสุดทุกภพทุกชาติก็ไม่มีวันนั้นชั่วนิจนิรันดร์!

มู่ฝูหลันจดจำคำพูดสุดท้ายของซีเอ๋อร์ได้ชัดเจนว่าเขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนนาง

ข้าฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้ว แต่ซีเอ๋อร์ของข้าเล่า บัดนี้เขาอยู่ที่ใดกันแน่

ความเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ ที่คุ้นเคยหลังตื่นจากฝันเข้าเกาะกุมนางอีกคำรบหนึ่ง

นางหลับตานอนคุดคู้เหมือนทารกในอุทร เรียวคิ้วขมวดมุ่น ตัวขดเป็นก้อนกลมด้วยความทรมานทั้งที่ยังอยู่ในความฝัน

“ตื่นๆ”

เสียงเรียกแว่วดังขึ้นริมหู

นางรู้สึกเหมือนมีมือข้างหนึ่งตบแก้มตนเองเบาๆ เป็นสัมผัสแบบเดียวกับในความทรงจำตอนซีเอ๋อร์ยังเป็นเด็ก พอเขาตื่นจะเอามือเล็กๆ จับข้างแก้มนาง

“ซีเอ๋อร์!”

มู่ฝูหลันตะโกนเรียกแล้วลืมตาพรึบ สายตาก็ปะทะเข้ากับนัยน์ตาขุ่นเข้มของคนที่ก้มมองตนเองอยู่พอดี

นางหลั่งเหงื่อเย็นเต็มหน้าและตามเนื้อตัว เรือนผมยาวเปียกแนบแก้มกับลำคอ หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วอึดใจ ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดและประจันหน้ากับใคร นางเพียงเบิกตากว้าง นัยน์ตาที่ยังหลงเหลือร่องรอยเจ็บช้ำจากความฝันสบเข้ากับสายตาบุรุษที่โน้มตัวลงมามองนางตรงข้างเตียงคนนั้นอย่างเคว้งคว้างเลื่อนลอยภายใต้แสงสลัวๆ จากเปลวเทียนที่ลอดม่านหน้าเตียงเข้ามา

“เจ้าฝันเห็นอะไรหรือ แล้วใครคือซีเอ๋อร์”

เซี่ยฉางเกิงมองหน้านางชั่วครู่ ก่อนตวัดสายตาผ่านร่างที่ยังงอเข่ากอดตนเองไว้แน่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

บทที่ 8

ซีเอ๋อร์เป็นบุตรชายของนาง

มู่ฝูหลันสบตากับบุรุษที่ก้มหน้ามองตนอยู่ข้างเตียงโดยไม่ขยับกาย

เซี่ยฉางเกิงจ้องตากับนาง

ดวงตาว่างเปล่าที่แฝงรอยปวดร้าวซึ่งเกิดจากฝันร้ายอยู่หลายส่วนคู่นั้นของหญิงสาวค่อยๆ กระจ่างใสขึ้นทีละน้อย

สุดท้ายคลับคล้ายจะจดจำได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร แต่นางกลับไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ แค่เหยียดกายออกช้าๆ พลิกกายหันหน้าเข้าด้านในแล้วปิดตาลงตามเดิมเหมือนหลับไปอีกครั้ง

เมื่อครู่นี้ตอนที่เข้าห้องมา เขาได้ยินเสียงครางงึมงำของนางจากบนเตียง เสียงนั้นฟังดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ระทมชอกช้ำที่สะกดเก็บไว้จนเหมือนกับเสียงสะอื้นไห้

เขาก็เลยเดินเข้าไป เห็นนางตกอยู่ในห้วงฝันร้าย มุ่นคิ้วแน่น เหงื่อโซมหน้า แพขนตาสั่นระริกไม่หยุด สองแขนกอดอกไว้ ตัวงอก่องอขิงแลดูเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสน

แม้รู้ว่านางรังเกียจตนเอง แต่เห็นนางในสภาพนี้แล้ว ชายหนุ่มก็บังเกิดความสงสารขึ้นวูบหนึ่ง เปล่งเสียงเรียกและตบแก้มเบาๆ เพื่อปลุกนางให้ตื่น ไม่คิดว่าก่อนนางลืมตาขึ้นจะเรียกชื่อคนคนหนึ่งอย่างนั้นฉับพลัน

เซี่ยฉางเกิงจ้องมองแผ่นหลังของมู่ฝูหลันซึ่งหันมาทางเขานิ่งเงียบไม่พูดจา สีหน้าค่อยๆ เย็นชาขึ้น

เขาไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ เพียงยืดตัวขึ้นหันหลังเดินออกจากห้อง

ชายหนุ่มไปอยู่ที่ห้องหนังสือ จนกลางดึกถึงกลับมา เขาปิดประตูแล้วหยิบผ้าปูที่นอนผืนหนึ่งจากในตู้มาปูบนตั่งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเตียง

ตั่งตัวนั้นเป็นตั่งนั่งเลยมีขนาดยาวไม่พอ แต่พอจะนอนแก้ขัดได้

เขาเอนกายลง

ตลอดราตรีไร้วาจาใด

 

สองสามวันต่อมาหลิวไทเฮาเรียกตัวมู่ฝูหลันเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆ และเมื่อบรรดาเหล่าฮูหยินของขุนนางเมืองหลวงล่วงรู้ข่าวว่ามู่ซื่อธิดาของฉางซาอ๋องผู้ล่วงลับภรรยาของเซี่ยฉางเกิงมาถึงเมืองหลวงก็ทยอยกันมาเยี่ยมเยียนถึงที่จวนไม่ขาดสาย

ยามกลางวันมู่ฝูหลันต้องวุ่นวายกับการรับหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา ยามราตรีอยู่ห้องเดียวกับเซี่ยฉางเกิง ทว่าคนหนึ่งนอนเตียงคนหนึ่งนอนตั่ง ส่วนเขาก็ออกเช้ากลับค่ำ นับได้ว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดองเป็นการชั่วคราว

อีกไม่กี่วันจะถึงวันที่แปดเดือนสิบสองแล้ว

หลายปีนี้หลิวไทเฮาเริ่มฝักใฝ่ในพุทธะ ไม่เพียงทำบุญกุศลไปทั่วทุกหนแห่ง ยังประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในตำหนักที่ประทับ ทุกปีเมื่อถึงวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธองค์ในเดือนสี่กับวันที่แปดเดือนสิบสอง จะต้องออกจากวังไปสวดมนต์ไหว้พระที่พระอารามหลวงวัดฮู่กั๋วด้วยตนเอง

วันนี้คือวันที่หลิวไทเฮาจะไปที่นั่น

การเตรียมความพร้อมตลอดเส้นทางเสด็จจากวังหลวงไปถึงวัดฮู่กั๋วที่นอกเมืองจะเลินเล่อสะเพร่าไม่ได้แม้แต่น้อย ส่วนงานอารักขาขบวนเสด็จตกเป็นความรับผิดชอบของเซี่ยฉางเกิงซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ หลิวไทเฮาจะออกเดินทางตอนยามอิ๋นเพื่อแสดงถึงความศรัทธาอันแก่กล้า ด้วยเหตุนี้ตอนยามจื่อเขาก็ตื่นนอนออกจากเรือนไปแล้ว

หลิวไทเฮาจะไปสวดมนต์ไหว้พระ ย่อมต้องพาผู้รับใช้ใกล้ชิดกับบรรดานายหญิงตราตั้งไปด้วยเป็นธรรมดา

มู่ฝูหลันก็เป็นหนึ่งในผู้ติดตามเสด็จ

หลังเซี่ยฉางเกิงไปแล้ว มู่ฝูหลันลืมตาตื่นไปจนกระทั่งยามโฉ่วถึงลุกจากเตียงล้างหน้าบ้วนปาก พอแต่งกายเสร็จเรียบร้อย นางกินอาหารเช้าลวกๆ เพียงไม่กี่คำก็พาสาวใช้สองคนนั่งรถม้าออกไปด้วยกัน

จวนสกุลเซี่ยอยู่ใกล้วังหลวงมาก แล่นผ่านถนนสองสายก็ถึงแล้ว

ตอนหญิงสาวไปถึง ท้องนภายังสลัว แต่ตำหนักนอกประตูเมืองทิศตะวันตกที่หลิวไทเฮาต้องผ่านตอนออกนอกวังกลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟดุจเวลากลางวัน กองทหารรักษาพระองค์สวมชุดเกราะตั้งแถวอยู่สองฝั่งของประตูเมืองแต่แรก กงล้อของรถม้าหรูหราคันแล้วคันเล่าบดกับพื้นถนนจนบังเกิดเสียงดังครืดคราดกระทบโสตประสาท พาเหล่าสตรีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดของเมืองหลวงมารวมตัวกันที่นี่ไม่ขาดสาย มีขันทีผู้ดูแลคอยบัญชาการบ่าวไพร่ของแต่ละตระกูลให้จอดรถม้าเรียงตามตำแหน่งที่กำหนดไว้เพื่อจัดขบวนรับเสด็จหลิวไทเฮา

ผู้บัญชาการกองทัพเป็นขุนนางนอกราชสำนักรั้งยศขั้นสอง ตามลำดับแล้วรถม้ามู่ฝูหลันสมควรอยู่ท้ายๆ แถว แต่พอขันทีเห็นรถม้าของจวนสกุลเซี่ยมาถึงก็เข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที และพาไปจอดที่หัวแถวตรงจุดใกล้กับประตูวัง

อากาศหนาวยะเยือกเช่นนี้ การออกจากเรือนมาจับเจ่าเฝ้ารอหลิวไทเฮาเสด็จออกนอกวังอยู่ตรงนี้แต่เช้าตรู่ สำหรับนายหญิงตราตั้งที่ปกติมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายพวกนี้แล้วจะบอกว่าไม่ลำบากลำบนไม่ได้ กระนั้นได้รับโอกาสติดตามหลิวไทเฮาไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดฮู่กั๋วกลับเป็นเรื่องมีหน้ามีตาที่ควรค่าแก่การโอ้อวด ดังนั้นฮูหยินทั้งหลายจากทุกเหย้าเรือนไม่เพียงไม่รู้สึกว่าลำบาก ยังเห็นว่าเป็นเกียรติยศที่ต้องแย่งชิงกันด้วย

เรื่องเซี่ยฉางเกิงเป็นที่ชื่นชมของหลิวไทเฮานั้นใครๆ ล้วนรู้กันทั่ว มีเสียงเล่าลือว่ากระทั่งภรรยาของเขา มู่ซื่อ ธิดาของอดีตฉางซาอ๋องซึ่งเดิมน่าจะโดนไทเฮาชังน้ำหน้า เข้าเมืองหลวงได้ไม่กี่วันก็บุญพาวาสนาส่งถูกไทเฮาเรียกตัวเข้าวังเป็นเพื่อนหลายครั้งหลายหน ดังคำกล่าวว่า ‘เมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน’ จากจุดนี้บ่งบอกถึงความโปรดปรานล้นเหลืออย่างชัดแจ้ง ในขบวนเดินทางไปสวดมนต์ไหว้พระเช้านี้ยังจัดตำแหน่งผู้ติดตามเสด็จให้มู่ซื่อเช่นนี้ ยิ่งเป็นการยืนยันอีกอย่างหนึ่ง

มู่ฝูหลันที่นั่งอยู่บนรถม้าก็รู้ว่าตนเองเป็นจุดสนใจของผู้คนเช่นกัน

ตอนนางรับเตาพกที่สาวใช้ยื่นส่งให้แล้วหลับตาเอนหลังพิงที่นั่ง ได้ยินผู้ดูแลจวนสกุลเซี่ยส่งเสียงบอกจากด้านนอก “ท่านหญิง ชายาฉีอ๋องส่งเสื้อคลุมขนสัตว์มาให้ท่านขอรับ”

มู่ฝูหลันลืมตา

สาวใช้เปิดประตูรถม้า

ผู้ดูแลคนหนึ่งยืนถือเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกไว้ด้วยสองแขนอยู่หน้ารถม้า ค้อมกายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระชายากล่าวว่าทางเมืองหลวงอากาศหนาวยิ่งนัก ท่านหญิงอยู่แดนใต้จนเคยชิน พระชายาจดจำได้ว่าท่านหญิงกลัวหนาวตั้งแต่เล็ก พอดีเตรียมไว้บนรถม้าเผื่ออีกหนึ่งตัวก็เลยให้บ่าวนำมามอบแก่ท่านหญิงขอรับ”

ฉีอ๋องจ้าวหลงเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ที่สุดในบรรดาเจ้าแคว้นมากมาย ตอนวัยหนุ่มเขาพำนักอยู่ในเมืองหลวงตลอด หลังหลิวไทเฮากุมอำนาจแล้วความสัมพันธ์กับหมู่เชื้อพระวงศ์ตึงเครียดไป เขาถึงกลับเขตปกครองของตน แต่ยังคงสนับสนุนให้เห็นแก่สันติเป็นที่ตั้ง คอยช่วยเจรจารอมชอมระหว่างหลิวไทเฮากับเจ้าแคว้นทั้งหลายเรื่อยมา นับว่าเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา สองสามปีมานี้หลิวไทเฮายังอนุญาตให้ฉีอ๋องเข้าเมืองหลวงร่วมพิธีบวงสรวงประจำปีที่ศาลบรรพกษัตริย์เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเขา

ด้วยเหตุนี้ชายาฉีอ๋องน่าจะมาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันมานี้เช่นกัน

ไม่เอ่ยถึงความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายหลังพวกนั้นในชาติที่แล้ว ช่วงครึ่งปีที่มู่ฝูหลันอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงสมัยวัยเยาว์นั้น ชายาฉีอ๋องมักเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนอาหญิงเสมอ ด้วยทั้งคู่มีไมตรีอันดีต่อกันมาก ยามนั้นนางจึงได้พบกับชายาฉีอ๋องบ่อยๆ ทว่าหลังอาหญิงตายไป นางกลับแคว้นฉางซา นับจากนั้นก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก

มู่ฝูหลันใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วบอกให้สาวใช้รับไว้ และฝากให้ผู้ดูแลคนนั้นขอบคุณชายาฉีอ๋องแทน จากนั้นปิดประตูรถม้าแล้วบอกให้สาวใช้เอาไปห่ม ส่วนตนเองกลับไปนั่งพิงในท่าเดิมเฉกเมื่อครู่

ชั่วอึดใจต่อมาประตูวังเปิดออกอย่างเนิบนาบ เสียงขันทีตะโกนลากเสียงยาวๆ ดังมาจากข้างใน “ไทเฮาเสด็จออกจากวัง…”

ไม่ทันสิ้นเสียงขันที กองทหารรักษาพระองค์ซึ่งตั้งแถวอยู่สองฝั่งนอกประตูก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน เหล่านายหญิงตราตั้งก็กุลีกุจอกันลงจากรถม้าคุกเข่ากับพื้นเพื่อต้อนรับ

มาตรว่ามีคนจำนวนมาก แต่ทั้งสี่ทิศเงียบกริบไร้สุ้มเสียง

มู่ฝูหลันลงจากรถม้าคุกเข่าตรงข้างรถม้าตามอย่างคนอื่นๆ นางเห็นหลิวไทเฮานั่งเสลี่ยงหามห้อมล้อมด้วยขบวนเกียรติยศออกมา เมื่อถึงหน้าประตูวังก็มีขันทีประคองไปขึ้นรถม้าพระที่นั่งเทียมอาชาหกตัวคันหนึ่ง

เซี่ยฉางเกิงก็ปรากฏตัวแล้ว เขากับทหารองครักษ์หน่วยหนึ่งขี่ม้านำหน้ารถม้าพระที่นั่งเริ่มออกเดินทาง

ใต้ผืนฟ้าสลัวรางของยามอิ๋นในเหมันตฤดู ริ้วขบวนเดินทางยาวเหยียดนี้เคลื่อนไปตามถนนที่กว้างขวางของเมืองหลวงออกนอกประตูเมืองมุ่งหน้าสู่พระอารามหลวงวัดฮู่กั๋ว

มู่ฝูหลันนั่งหลับตาอยู่ในรถม้าราวกับเข้าฌาน

วัดฮู่กั๋วมีภิกษุตบะแก่กล้า ว่ากันว่าเมื่อสาธยายมนต์ด้วยคำสันสกฤต วิญญาณผู้ล่วงลับก็จะสามารถตัดเวรกรรมละความพยาบาทลงได้

ในภพที่แล้วหลังเซี่ยฉางเกิงได้เป็นฮ่องเต้ เขาสร้างศาลบูชาให้ฮองเฮาคนแรกซึ่งสิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรูของเขาที่ด้านหลังหมู่เจดีย์ในวัดฮู่กั๋ว เพื่อให้เหล่าภิกษุในวัดสวดมนต์ให้นางทั้งวันทั้งคืนส่งวิญญาณไปสู่สุคติ

ทว่าดวงวิญญาณของนางกลับล่องลอยวนเวียนไปมา ไม่อาจหักใจตัดความห่วงหาอาลัยสุดท้ายบนโลกมนุษย์ได้สักที

สิบปีที่วิญญาณของนางยังไม่ไปที่ใด นางมองดูเขาแต่งตั้งให้ตนเองเป็นหยวนโฮ่ว พระราชทานพระสมัญญานามยาวเหยียดอย่างไพเราะเพราะพริ้ง ยังจัดตำหนักแห่งหนึ่งในวังตั้งป้ายวิญญาณของนาง สร้างศาลบูชาให้นางกลางหมู่เจดีย์เพื่อส่งวิญญาณนางไปสู่สุคติ รวมถึงสังหารชีหลิงเฟิ่งในตอนท้าย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเป็นการกลบเกลื่อนความละอายของตนเองเท่านั้น ช่างน่าขันและเสแสร้งนัก

เมื่อใกล้ถึงวัดฮู่กั๋วทุกที ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย

มู่ฝูหลันลืมตา นางเลิกมุมของม่านอุ่นหนาขึ้นมุมหนึ่งแอบมองไปทางด้านหน้าเงียบๆ

เซี่ยฉางเกิงนำกององครักษ์ขี่ม้าอยู่ด้านข้างรถม้าพระที่นั่งไม่ห่างอย่างซื่อสัตย์ภักดี

ด้านหยางกงกงกับลูกศิษย์ของเขาหลายคนขี่ม้าตามหลังรวมอยู่กับคนอื่น

มู่ฝูหลันรู้ว่าเซี่ยฉางเกิงไม่มีทางรั้งอยู่เมืองหลวงนานนัก กอปรกับเวลานี้ชายแดนเขตเหอซีภายใต้การบัญชาการของเขายังไม่ถือว่าสงบสุข เพราะมีพวกชาวเหนือเฝ้าจับจ้องตาเป็นมันตลอดเวลา เดาว่าผ่านพ้นปลายปีนี้ไปถึงต้นปีหน้า เขาคงจะกลับสู่เขตเหอซีแล้ว

เรื่องที่นางกังวลใจคือตนเองจะอยู่ที่ใดหลังเขาไปแล้ว

หากนางกับเขาเป็นสามีภรรยาทั่วๆ ไป นางก็รู้ที่ไปของตนอย่างชัดเจน

ถ้าเป็นสามีที่รักใคร่ภรรยาก็ต้องพานางติดตามไปปฏิบัติหน้าที่ที่เหอซีด้วย

ถ้าถือความกตัญญูเป็นสำคัญ นางก็ต้องกลับไปเรือนเดิมที่อำเภอเซี่ยเพื่อดูแลปรนนิบัติมารดาของเขา

แต่ตอนนี้ทั้งสองสถานที่นี้เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด

มู่ฝูหลันเชื่อว่าการวางตัวของนางหลังจากมาถึงเมืองหลวง คงไม่ถึงกับสร้างความคลางแคลงใจให้หลิวไทเฮาจนเกินไป

นางขบคิดพินิจอยู่ว่าจะเป็นสภาพการณ์ที่สามอย่างที่พี่ชายของตนเคยหวั่นวิตกมาก่อนคือ ลงท้ายหลิวไทเฮายกข้ออ้างหน่วงเหนี่ยวนางไว้ที่เมืองหลวงเป็นตัวประกันของแคว้นฉางซา

หากเป็นไปได้ นางจำเป็นต้องหาคนผู้หนึ่งแทรกซึมอยู่ข้างกายหลิวไทเฮาอย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะได้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวและเตรียมการป้องกันล่วงหน้าได้ทันท่วงที

กระนั้นมิใช่นำมาใช้แค่ตอนนี้ ถ้าผ่านด่านนี้ไปได้ การมีหูตาของตนเองอยู่ในวังหลวงก็จะมีส่วนช่วยเหลือแคว้นฉางซาในวันหน้าด้วย

สายตาของมู่ฝูหลันเพ่งมองแผ่นหลังของขันทีนามเฉาจินผู้นั้นครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยม่านลง

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เฉาจินมาถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์ตอนนางมาถึงเมืองหลวง นางก็จดจำได้ว่าขันทีหนุ่มคนนี้คือขันทีใหญ่ประจำตัวเซี่ยฉางเกิงในอีกสิบปีให้หลัง นางคาดเดาว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งยวดว่าเขาน่าจะเป็นสายสืบที่เซี่ยฉางเกิงส่งไปอยู่กับหลิวไทเฮา

เซี่ยฉางเกิงเป็นคนสุขุมรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นฮ่องเต้แล้ว สิบปีนั้นมู่ฝูหลันเห็นกับตาว่าเขาไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น

เขาอ่านคนเก่งและใช้คนเป็น มีขุนนางมากความสามารถอยู่ใต้อำนาจนับไม่ถ้วน กลับไม่มีสักคนที่เขายกให้เป็นคนสนิทอย่างแท้จริง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเขาพวกนั้นด้วย

ในตำหนักในก็เป็นเยี่ยงนี้ดุจเดียวกัน

เขาไม่อนุญาตให้ชีฮองเฮาเหยียบย่างเข้าตำหนักบรรทมแม้แต่ก้าวเดียว และระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ เขาเอาใจใส่ในงานราชกิจ ตรวจฎีกาจนค่ำมืดทุกราตรี แต่ต้องวางกระบี่ล้ำค่าไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรเสมอ ใต้หมอนของเขายังซ่อนกริชไว้ ส่วนสนมชายาพอถวายตัวเสร็จก็จะถูกส่งกลับไป ไม่อนุญาตให้นอนค้างคืนกับเขา

เวลาเนิ่นนานเกือบสิบปี ไม่เคยมีข้อยกเว้น

มีเพียงเฉาจินผู้เดียวที่ต่างออกไป

เซี่ยฉางเกิงไม่เพียงกินแต่อาหารที่เฉาจินลองชิมก่อน ยังอนุญาตให้เขาอยู่ในตำหนักบรรทมรอเรียกตัวอยู่ใกล้ๆ

ถ้าไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน ขันทีที่เหลือรอดจากราชวงศ์ก่อนจะได้รับความไว้วางใจจากเขาถึงเพียงนี้ได้เช่นไร

รถม้าใต้ร่างสั่นโคลงเคลงทีหนึ่งกะทันหันก่อนชะลอและหยุดลง

เสียงอึกทึกจากการจัดที่จอดรถม้าลอยแว่วๆ มาจากทางข้างหน้า

“ท่านหญิง ถึงวัดฮู่กั๋วแล้วขอรับ”

เสียงบอกของผู้ดูแลดังขึ้นนอกรถม้า

มู่ฝูหลันเลิกม่านหน้าต่างมองลอดไปข้างหน้าอีกแวบหนึ่ง

เบื้องหน้าเป็นที่ลาดเชิงเขา ม่านหมอกยามเช้าแผ่คลุมแนวทิวเขา บันไดที่สร้างขึ้นทอดตัวพาดตรงขึ้นไปถึงสันเขาเป็นทางเชื่อมจากตีนเขาสู่ประตูวัดฮู่กั๋ว

ดวงตะวันอรุณรุ่งเพิ่งทอแสงทาทาบประตูทางเข้าวัดที่สูงตระหง่าน ภิกษุกลุ่มหนึ่งสาวเท้าเร็วรี่ออกมาทางซุ้มประตูเพื่อรับเสด็จหลิวไทเฮา

ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ตอนมู่ฝูหลันกวาดสายตาผ่านประตูทางขึ้นเขาสองบานที่เปิดอ้าออก ฉับพลันนั้นคลับคล้ายความรู้สึกพันผูกกับภพก่อนที่แสนแปลกประหลาดก็ถาโถมเข้าใส่นาง

หมู่เจดีย์หลังเขา ศาลบูชาในภพก่อน ซีเอ๋อร์ของนางใช้กระบี่ปาดคอฆ่าตัวตาย

แต่ละภาพแต่ละเหตุการณ์ผุดขึ้นในสมองของหญิงสาวปนเปสลับกันไป

นางบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง

ราวกับมีพลังลี้ลับดลบันดาลให้นางมายังสถานที่แห่งนี้ในวันนี้จนได้

หัวใจของมู่ฝูหลันเต้นถี่รัวทันใด นางหลับตาลงหมายจะจับความรู้สึกนั้นไว้ให้นานขึ้นตามสัญชาตญาณ

ทว่ามันวาบผ่านเข้ามาแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยประดุจประกายไฟที่ดับวูบในพริบตาเดียว

นางลืมตาขึ้นทันทีแล้วมองไปทางซุ้มประตูอีกครั้ง

ไม่มีอะไรทั้งนั้น

ตรงนั้นแสงอรุโณทัยแรกฉายส่อง ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส ประตูสองบานเปิดอ้ากว้าง

นางมองไปทางนั้นนิ่งๆ ประหนึ่งว่าวิญญาณหลุดลอยไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างกะทันหันนั่น ไม่อาจกลับเข้าที่ในชั่วประเดี๋ยว

“ท่านหญิง ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

สาวใช้หาได้สังเกตเห็นว่านางผิดปกติไป ปีนขึ้นไปบนรถม้าเห็นนางยังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองประตูทางขึ้นดุจเก่า แผ่นหลังนิ่งสนิทไม่ไหวติง จึงส่งเสียงพูดเตือน

ห่างไปไม่ไกล เซี่ยฉางเกิงพลิกกายลงจากหลังอาชา ตอนลงถึงพื้นเขาเอี้ยวคอชำเลืองมองมาทางนี้แวบหนึ่ง

มู่ฝูหลันซึ่งยังสับสนงุนงงอยู่คลายนิ้วมือออกปล่อยม่านลง

นางสงบสติอารมณ์ หันหน้ากลับอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้วลุกลงจากรถม้า

ภิกษุที่ลงเขามาเชิญหลิวไทเฮาเข้าไปในวัด กลุ่มผู้ติดตามรวมถึงมู่ฝูหลันก็ก้าวเข้าประตูไปทั้งหมด

ชั่วขณะเดียว เสียงฆ้องประสานเสียงระฆังพร้อมกับเสียงสวดมนต์พลันดังระงมไปทั่ววัด

เหล่าภิกษุล้วนเคารพนอบน้อมต่อหลิวไทเฮา เพื่อต้อนรับการมาเยือนของนางในวันนี้และทำตามคำขอของเซี่ยฉางเกิง สามวันก่อนหน้าที่นี่ก็ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นเขามาจุดธูปไหว้พระแล้ว นอกจากนี้ยังเตรียมการรับรองได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง

มีเพียงฮุ่ยจี้ต้าซือพระอาจารย์ใหญ่ของวัดที่ไม่ได้ออกมาปรากฏตัวเลย

ฮุ่ยจี้ต้าซือเป็นภิกษุผู้ทรงญาณขั้นสูงและแตกฉานในธรรม เดิมทีเป็นเจ้าอาวาสของวัด แต่หลังจากสละตำแหน่งไปเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอีก

ตอนแรกหลิวไทเฮาหวังว่าฮุ่ยจี้ต้าซือจะเป็นผู้สาธยายธรรมให้ตน แต่ได้ยินจากเจ้าอาวาสว่าพระอาจารย์ใหญ่ทำสมาธิอยู่ที่เจดีย์หลังเขา ไม่พบฆราวาส และไม่รู้ว่าจะออกมาได้วันใด เมื่อรู้ว่าหลิวไทเฮาจะมาสวดมนต์ไหว้พระวันนี้ เพียงฝากคำพูดไว้ว่า ‘มีใจตั้งมั่น พุทธะจึงศักดิ์สิทธิ์’

แม้หลิวไทเฮาจะผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าบีบบังคับ ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป

ตลอดทั้งเช้าหลิวไทเฮาปฏิบัติธรรมอย่างตั้งใจ ท่องบทสวดพระโพธิสัตว์ตี้จั้งไปได้ครึ่งเล่ม ตอนกลางวันกินอาหารมังสวิรัติแล้วพักผ่อนเล็กน้อย พอตอนบ่ายท่องต่อที่เหลืออีกครึ่งเล่ม ถึงจะถือว่าวันนี้ได้บุญกุศลครบถ้วนแล้ว

ยามหลิวไทเฮาท่องบทสวดอย่างตั้งอกตั้งใจในโถงอุโบสถ เหล่านายหญิงตราตั้งที่ติดตามมาย่อมต้องท่องเป็นเพื่อนด้วย หลังสวดมนต์มาครึ่งวัน แต่ละคนก็ลำคอแห้งผาก อีกทั้งต้องตื่นแต่เช้า พอถึงเที่ยงวันก็ไม่มีใครไม่อ่อนเพลีย พอน้อมส่งไทเฮาเข้าสู่ที่ประทับพักผ่อนแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

มู่ฝูหลันกำลังจะออกไป พลันได้ยินคนส่งเสียงเรียกอยู่ด้านข้าง นางเบนหน้าไปเห็นสตรีออกเรือนแล้ววัยราวสี่สิบเศษผู้หนึ่งยืนอยู่กับหญิงรับใช้หลายคน อมยิ้มมองตนเองอยู่ นางจดจำได้ว่าเป็นชายาฉีอ๋องก็ชะงักฝีเท้า เผยรอยยิ้มน้อยๆ บนหน้าเช่นกัน จากนั้นเดินเข้าไปแสดงคารวะแล้วกล่าว “ข้าซาบซึ้งในความเมตตาของพระชายาเมื่อเช้านี้อย่างมาก เดิมสมควรไปขอบคุณด้วยตนเอง แต่ว่าตอนนั้นไม่ใคร่สะดวก พระชายาอย่าถือโทษที่ข้าเสียมารยาทเลยนะเจ้าคะ”

ชายาฉีอ๋องคลี่ยิ้มอย่างเมตตาใจดี นางสืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าว ยื่นมือไปประคองแขนของหญิงสาวพลางพูด “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองสามวันก่อน พอมาถึงก็ได้ยินว่าท่านมาด้วยเหมือนกัน ข้าดีใจมาก นึกไปถึงว่าเคยพบท่านตอนที่ยังเป็นเด็กบ่อยๆ เลยรู้ว่าท่านกลัวหนาว เรื่องเล็กน้อยเท่านี้จะเกรงใจไปไย”

มู่ฝูหลันกล่าวขอบคุณนางซ้ำอีกครา

ตรงนี้เป็นที่พักผ่อนหลิวไทเฮา ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน พวกนางเดินออกมาพลางสนทนากันเสียงเบา

มู่ฝูหลันสั่งให้สาวใช้ไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์มาคืน แต่ชายาฉีอ๋องปฏิเสธ บอกว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ให้นางเก็บไว้เป็นอันสิ้นเรื่อง

“แม้เป็นของเล็กน้อย แต่ท่านให้ข้ายืมเพื่อกันความหนาวด้วยความปรารถนาดี แล้วจะไม่คืนได้เช่นไร ข้าตั้งใจแต่แรกแล้วว่าอีกประเดี๋ยวจะนำไปคืนให้พระชายาด้วยตนเองอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

ชายาฉีอ๋องพูดตามมารยาทอีกสองสามคำก่อนเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าท่านหญิงไม่เหนื่อยก็แวะไปนั่งที่ห้องข้าเป็นอย่างไร พวกเราคุยรำลึกความหลังกันน่าจะดีไม่น้อย”

มู่ฝูหลันพยักหน้า ชายาฉีอ๋องก็คล้องแขนนางพาเดินไปถึงที่ห้องพักผ่อนของตนในเวลาอันรวดเร็ว พวกนางเข้าไปแล้วพูดคุยกันครู่หนึ่ง จู่ๆ ชายาฉีอ๋องก็ถามขึ้น “ข้าได้ยินว่าใต้หล้ายามนี้มีหมอพเนจรกระเดื่องนามผู้หนึ่งแซ่หลี่ ผู้คนเรียกขานว่าเฒ่าโอสถ เดินทางรักษาผู้คนไปทั่วทุกหนแห่ง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาจะปักหลักอยู่ที่แคว้นของพวกท่าน ไม่รู้ว่าท่านหญิงเคยได้ยินชื่อของหมอเทวดาหลี่หรือไม่”

หญิงสาวเดาจุดประสงค์ที่ชายาฉีอ๋องแสดงไมตรีต่อตนได้ว่าอยากสืบถามเรื่องหมอรักษาบุตรชายของนาง จ้าวซีไท่ซื่อจื่อแห่งวังฉีอ๋อง

จ้าวซีไท่มีอายุมากกว่ามู่ฝูหลันสองสามปี ตอนนางอยู่ในวังหลวง ชายาฉีอ๋องมักพาบุตรชายเข้าวังด้วย แม้บุตรชายของฉีอ๋องจะสุขภาพอ่อนแอแต่เกิด แต่นางจำได้ว่าตอนนั้นร่างกายของเขายังปกติดี แค่ถูกห้ามไม่ให้วิ่งเล่นและกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กทั่วๆ ไปเท่านั้น

มาตรว่าผ่านมานานแสนนานแล้ว แต่นางยังมีภาพของเพื่อนเล่นในวังสมัยวัยเยาว์ผู้นี้ติดอยู่ในความทรงจำ อาจเพราะเขาโดนควบคุมห้ามปรามมากเกินไปตั้งแต่เด็ก จึงส่งผลให้เป็นคนเงียบขรึมไม่ช่างพูด

นางจดจำได้ว่าเขาดีต่อนางมาก เวลาเข้าวังจะมีของเล่นสนุกๆ จากข้างนอกติดไม้ติดมือมาฝากนางเสมอ

เริ่มแรกนางเต็มใจเล่นกับเขาอย่างมาก แต่ต่อมามีครั้งหนึ่งนางเห็นเขาเอาก้อนหินหั่นไส้เดือนบนพื้นเป็นท่อนๆ ในพระราชอุทยาน ซ้ำยังดูชอบอกชอบใจที่เห็นไส้เดือนดิ้นทุรนทุรายเสียด้วยซ้ำ

เหตุการณ์นี้ติดตาฝังใจจนนางหวาดกลัวอยู่บ้าง ภายหลังก็ไม่ค่อยคลุกคลีกับเขาแล้ว

ต่อมาหลังจากนั้นพออาหญิงตายไป นางกลับแคว้นฉางซาแล้ว ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกนับแต่นั้น

นางได้ข่าวคราวของเขาครั้งสุดท้ายเมื่อชาติก่อนคือเขาถูกเซี่ยฉางเกิงจับเป็นตัวประกันและจบชีวิตก่อนนาง

มู่ฝูหลันเห็นชายาฉีอ๋องมองตนเองอยู่ นางพยักหน้า “ช่วงที่ผ่านมานี้ท่านเฒ่าโอสถพักอยู่ที่ทะเลสาบต้งถิงจริงๆ ทว่าเขาชอบเดินทางไปที่อื่นบ่อยๆ ก่อนข้าเข้าเมืองหลวงมาเขาก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาวันใดเจ้าค่ะ”

ชายาฉีอ๋องตาเป็นประกาย นางเอ่ยถามรัวเร็ว “ขอแค่ยืนยันข่าวนี้ได้เป็นพอ ท่านหญิง ข้าได้ยินว่าเฒ่าโอสถหลี่ผู้นี้มีฉายาว่าหมอเทวดา ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บใดก็สามารถรักษาหายได้เป็นปลิดทิ้ง นี่จริงหรือเท็จ”

มู่ฝูหลันมองสบสายตาที่มองตนเองอย่างวาดหวังของชายาฉีอ๋องแล้วส่ายหน้า

“ขอพูดโดยไม่ปิดบังเจ้าค่ะ ข้าได้เล่าเรียนศาสตร์แห่งโอสถจากเฒ่าโอสถมาบ้างตอนเยาว์วัย เขาเป็นอาจารย์ของข้าเอง อาจารย์บอกเสมอว่าโลกนี้ไม่มีหมอเทวดาที่รักษาได้หมดทุกโรค แล้วเขาก็เป็นหมอพเนจรสามัญธรรมดาผู้หนึ่ง มิใช่หมอเทวดาที่ใด ได้รับฉายาที่ไม่คู่ควรกับตนนี้เขารู้สึกละอายแก่ใจนัก”

ชายาฉีอ๋องมิได้เอ่ยถึงบุตรชาย มู่ฝูหลันก็ไม่ไต่ถาม เพียงคิดถึงว่าชาติก่อนจ้าวซีไท่เพื่อนเล่นวัยเยาว์คนนี้พบกับจุดจบที่ไม่ดีไปกว่าตนเองเท่าไรจึงบังเกิดความรู้สึกว่าชะตาชีวิตคนเราช่างพลิกผันไม่แน่นอน นางก็เอ่ยขึ้น “หากมีคนที่ต้องการเสาะหาหมอมารักษาโรค รอวันหลังอาจารย์กลับมาแล้ว พระชายาลองพาไปให้ท่านตรวจดูก็ไม่เสียหาย ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ อาจารย์ที่ยึดมั่นในคุณธรรมของผู้เป็นแพทย์ย่อมต้องพยายามสุดความสามารถเป็นแน่เจ้าค่ะ”

หลายปีก่อนชายาฉีอ๋องเห็นบุตรชายเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ ทว่ากลับสุขภาพไม่ดีมาโดยตลอด นางร้อนใจอยากหาคู่ครองให้บุตรชายได้เป็นฝั่งเป็นฝา จึงหลงเชื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘หมอเทวดา’ ใช้ยาฤทธิ์แรง แรกๆ อาการป่วยทุเลาลงจริงๆ คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานจะกำเริบเฉียบพลัน ซ้ำร้ายยังรุนแรงกว่าเก่า หมอเทวดาผู้นั้นเห็นว่าตนก่อเรื่องขึ้นแล้วก็หลบหนีไปในราตรีนั้นเลย ชายาฉีอ๋องทั้งโกรธแค้นทั้งเสียใจ สองสามปีนี้ได้แต่เชิญหมอหลวงมาช่วยฟื้นฟูร่างกายให้บุตรชาย

พักก่อนนางได้ยินชื่อหมอเทวดาเฒ่าโอสถหลี่ จิตใจเริ่มหวั่นไหว หลังจากเข้าเมืองหลวงได้รู้ว่าธิดาของฉางซาอ๋องอยู่ที่นี่พอดี เมื่อเช้านางถึงตั้งใจแสดงไมตรีเพื่อสืบข่าวจากอีกฝ่าย

ทีแรกนางยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ตอนนี้พอได้ยินมู่ฝูหลันพูดเช่นนี้ นางก็รู้สึกผิดหวังโดยพลัน

หมอหลวงรักษาโรคของบุตรชายไม่หาย ช่วงที่ผ่านมานางได้พบเจอ ‘หมอเทวดา’ มามากเท่าไรก็สุดรู้ ตอนท้ายนอกจากจะเปล่าประโยชน์ กลับทำให้อาการของบุตรชายนับวันยิ่งทรุดลง เก้าในสิบคนน่าจะเป็นหมอพเนจรในยุทธภพที่มีชื่อเสียงจอมปลอม คงเคยรักษาอาการปวดหัวตัวร้อนให้พวกคนยากจนข้นแค้นแล้วถูกยกย่องจนโด่งดังขึ้นมา

ถึงจะผิดหวัง แต่ชายาฉีอ๋องก็ไม่อยากเอ่ยเรื่องบุตรชายตนเองอ่อนแออมโรคกับมู่ฝูหลัน นางพูดตอบอย่างกำกวม “แค่ฉุกคิดขึ้นได้เลยสบช่องถามท่านดูเท่านั้น ข้ารู้แล้ว วันหลังหากมีความจำเป็นก็จะไปหาเขา”

ท่าทีของชายาฉีอ๋องเปลี่ยนไป มีหรือมู่ฝูหลันจะดูไม่ออก

กระนั้นสิ่งที่นางพูดก็เป็นความจริง

เฒ่าโอสถไม่เคยยกตนเป็นหมอเทวดา ประโยคที่เขาพูดกับมู่ฝูหลันบ่อยที่สุดก็คือวิชาแพทย์เป็นศาสตร์อันลึกล้ำมหัศจรรย์ ยิ่งศึกษาลึกซึ้งยิ่งรู้สึกตนปัญญาตื้นเขิน เขาทุ่มเทกายใจทั้งชีวิตเพื่อรักษาโรคประหลาดหายากนานาสารพัดเท่านั้น

หญิงสาวก็ไม่เปิดโปงอีกฝ่าย นางนั่งต่ออีกชั่วครู่รอสาวใช้หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์มาแล้วส่งคืนให้ กล่าวขอบคุณชายาฉีอ๋องอีกหนก่อนลุกขึ้นกล่าวลา

ไหนเลยชายาฉีอ๋องจะไม่ล่วงรู้ว่าหลิวไทเฮาไม่เป็นมิตรกับสกุลมู่ของแคว้นฉางซา แม้ว่ามู่ฝูหลันจะแต่งงานกับเซี่ยฉางเกิงแล้ว ทั้งเพลานี้ดูท่าทางจะเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา แต่เรื่องในวันหลังใครจะบอกได้แน่ชัด ที่มาหานางก็แค่สอบถามข่าวคราวของหมอเทวดา ตอนนี้ถามจบแล้วรู้สึกผิดหวัง เห็นนางกล่าวลาก็ไม่คะยั้นคะยอรั้งตัวไว้อีกเป็นธรรมดา

ด้วยเหตุนี้ชายาฉีอ๋องจึงคลี่ยิ้มลุกขึ้นจะออกไปส่งหญิงสาวด้วยตนเอง แต่มู่ฝูหลันพูดทัดทานนางอย่างสุภาพอ่อนน้อม จากนั้นพาสาวใช้กลับไปยังที่พักผ่อนของตน

วันนี้มีนายหญิงตราตั้งติดตามหลิวไทเฮามาปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อย ถึงในวัดจะกั้นบริเวณส่วนหนึ่งเป็นห้องพักผ่อนของผู้มาไหว้พระโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับคนมากปานนี้ จึงจัดห้องทำสมาธิที่ว่างอยู่เป็นห้องรับรองเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ที่พักผ่อนของมู่ฝูหลันอยู่ห่างจากของชายาฉีอ๋องไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง นางต้องเดินผ่านประตูโค้งเข้าไป

ขณะสาวเท้าไปตามทางเดินกำลังจะก้าวเข้าประตู นางพลันเห็นเฉาจินยืนค้อมกายสนทนากับเซี่ยฉางเกิงด้วยหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตรงหัวมุมกำแพงไกลๆ

พวกเขาต่างคนต่างมีผู้ติดหน้าตามหลังหลายคน น่าจะเจอกันโดยบังเอิญตรงนี้เลยหยุดพูดคุยเรื่องงานกัน

มู่ฝูหลันบังเกิดความคิดหนึ่ง นางบอกให้สาวใช้รออยู่ด้านหลังแล้วแอบเดินเลี้ยวไปที่หลังซุ้มประตูบานนั้น อาศัยกอไผ่ที่ปลูกอยู่ใกล้ๆ อำพรางกาย จับตามองสองคนนั้น

ตอนที่เข้าไปในวังหลวงสองสามครั้งก่อนหน้านี้ นางมักได้พบเฉาจิน แต่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นสองคนนี้พบหน้ากัน

ระยะห่างไม่นับว่าใกล้นัก นางจับความไม่ถนัดว่าพวกเขาพูดอะไร…แน่นอนว่าต่อให้มีเรื่องสำคัญจริงๆ ด้วยความสุขุมรอบคอบของเซี่ยฉางเกิง เขาไม่มีทางบอกข่าวในสถานที่เช่นนี้ อีกทั้งนางไม่ได้อยากฟังว่าคนคู่นี้คุยอะไรกันอยู่

นางอยากจับสังเกตแววตาและสีหน้ายามพวกเขาสนทนากันต่างหาก

เซี่ยฉางเกิงหันหลังให้ ส่วนขันทีนามเฉาจินหันหน้ามาทางนี้ ดังนั้นนางจึงมองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

หากนางคาดการณ์ได้ถูกต้อง เวลาเขาได้อยู่กับคนที่เกี่ยวข้องกันอย่างลับๆ ซึ่งบอกใครไม่ได้ ไม่แน่อาจจะเผยพิรุธทางสีหน้าแววตาออกมาก็เป็นได้

มู่ฝูหลันกลั้นหายใจพลางเบิกตาโต พินิจดูใบหน้าประดับรอยยิ้มของเฉาจินอย่างละเอียด ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว “ท่านหญิง”

นางหันหน้าขวับอย่างตกใจ เห็นชายหนุ่มในชุดหรูหรายืนอยู่ อายุราวสิบแปดสิบเก้า รูปโฉมคมคาย น่าเสียดายที่สีหน้าซีดเซียวอย่างคนที่ป่วยมาเป็นเวลานาน

แม้ไม่ได้พบกันมานานหลายปี แต่มู่ฝูหลันก็จำหน้าเขาได้ตั้งแต่แวบแรก

ผู้อยู่เบื้องหน้าสายตานี้ก็คือจ้าวซีไท่ บุตรชายของฉีอ๋อง

นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจ

ขณะที่จ้าวซีไท่กลับดูปีติยินดีมาก เขาบอกให้คนรับใช้สองคนหยุดฝีเท้า ส่วนตนเองก้าวฉับๆ ไปหานางพร้อมอ้าปากพูด “เป็นข้าเอง จ้าวซีไท่! ท่านแม่ข้าขอพระราชทานอนุญาตจากไทเฮาพาข้ามาด้วยวันนี้ จะขอให้ต้าซือช่วยขอพรปัดเป่าเภทภัยให้ข้า ตอนเช้าข้าเห็นท่านที่นอกประตูทางขึ้นเขาก็จำหน้าได้ตั้งแต่ปราดแรก เมื่อก่อนพวกเราเคยพบกันบ่อยๆ ในวัง ท่านหญิงยังจำข้าได้หรือไม่…”

เขาจับจ้องใบหน้าของมู่ฝูหลันตาไม่กะพริบ สายตาทอประกายจางๆ

ชะรอยเขาคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง สองข้างแก้มที่ปราศจากสีเลือดแต่เดิมพลันซับสีแดงเรื่อ แล้วก็เริ่มไอเสียงดัง

มู่ฝูหลันรู้แก่ใจว่าไม่ได้การแล้ว นางเบนหน้าไปก็เห็นเซี่ยฉางเกิงเหลียวหลังมาพอดี สายตาของสองคนนั้นพุ่งตรงมาทางนี้ นางรีบก้าวออกจากจุดเดิมเดินไปหาจ้าวซีไท่ แสร้งทำเป็นว่าตนเองผ่านทางมาเจอเขาโดยบังเอิญตรงนี้

จ้าวซีไท่ไอไม่หยุดจนใบหน้าแดงก่ำ

คนรับใช้ที่มากับเขาเห็นดังนั้นก็กระวีกระวาดเข้ามา หยิบขวดยาที่พกติดกายออกมาดึงจุกปิดออกแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

จ้าวซีไท่ยกขวดยาขึ้นสูดหายใจหลายเฮือกถึงหยุดอาการไอปนหอบกระทั่งกลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด

นัยน์ตาของจ้าวซีไท่เผยแววอับอาย เขาพูดเสียงเบา “ข้าไม่เอาไหนจริงๆ ทันทีที่เจอหน้ากันก็เป็นที่ขบขันของท่านแล้ว…แต่ปกติข้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ตลอดนะ เมื่อครู่แค่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ พอย้อนนึกถึงเรื่องในวัยเด็กแล้วมัวตื่นเต้นดีใจเลยหายใจไม่ทันนิดหน่อย”

เขาลนลานพูดอธิบายอีก

มู่ฝูหลันผลิยิ้ม

“ซื่อจื่อจะไปหาพระชายากระมัง ข้าเพิ่งมาจากที่นั่น ท่านรีบไปเถอะ”

นางจงใจส่งเสียงดังขึ้น กล่าวจบก็ค้อมศีรษะให้จ้าวซีไท่แล้วร้องเรียกสาวใช้มาหา จากนั้นออกเดินต่อไปข้างหน้า

สายตาของจ้าวซีไท่มองตามร่างหญิงสาวซึ่งหันหลังเดินห่างไปอย่างแช่มช้า แต่จู่ๆ เขาก็ไล่ตามมาและเรียกนางซ้ำอีกที

“ท่านหญิง”

มู่ฝูหลันเหลียวหน้ามา

เขามองดูดวงหน้างามสะคราญล้ำเหลือที่ทั้งคล้ายคลึงกับความทรงจำวัยเยาว์ของตนทั้งเปลี่ยนไปจนเขาแทบไม่กล้าทักทายในชั่วพริบตาแรกแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มซับสีแดงระเรื่อเหมือนยังไม่เลือนหายไปจากตอนไอเมื่อครู่นี้

“เมื่อเช้าเห็นท่าน ข้าก็มีเรื่องหนึ่งอยากอธิบายกับท่านแล้ว ครั้งนั้นตอนท่านไปจากเมืองหลวง ข้าไม่ได้ตั้งใจไม่ไปส่งท่าน ข้ารู้ว่าท่านจากไปแล้ว ข้าอยากไปส่ง แค่ว่า…”

แค่ว่าตอนนั้นมารดาไม่อนุญาตให้เขาตามไปส่งเพื่อนเล่นที่วังหลวงในวันวาน เด็กหญิงตัวน้อยที่ยิ้มนัยน์ตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

เพราะเขาสุขภาพไม่ดี จึงถูกมารดาควบคุมอย่างเข้มงวด นี่ก็ห้ามทำ นั่นก็ห้ามแตะต้อง เป็นเหตุให้เขาไม่มีเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก ทุกๆ คนล้วนพินอบพิเทาต่อเขาแต่ไม่มีใครเล่นด้วย มิหนำซ้ำพอเห็นเขาเดินผ่านมายังถอยห่างมากขึ้น หวาดหวั่นสุดใจว่าถ้าเกิดเขาไม่สบายตรงที่ใดขึ้นมาอีกพวกเขาจะพลอยเดือดร้อน

มีแต่นางที่ไม่หลบและยอมเล่นกับเขา

เขาชอบอยู่กับนางไม่ว่านางทำอะไรก็ตาม จะคัดลายมือเงียบๆ หรือนั่งโล้ชิงช้าอยู่ในพระราชอุทยาน เขาสามารถซ่อนตัวอยู่ด้านข้างคอยแอบมองนางได้นานๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

จ้าวซีไท่หยุดเว้นจังหวะ

“ตอนนั้นพอดีข้าป่วยขึ้นมาอีก กว่าจะหายดีท่านก็จากไปแล้ว ท่านไม่ตำหนิโทษข้ากระมัง” เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

เรื่องราวสมัยวัยเยาว์ในครั้งกระโน้น ซ้ำเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ที่ไม่ควรค่าให้พูดถึง ถ้ามิใช่เขาเอ่ยขึ้นมา นางก็จำไม่ได้แล้ว

นางอาจไม่มีความแค้นเคืองกับบุตรชายของฉีอ๋องซึ่งถูกดึงเข้ามาในศึกชิงอำนาจอันโหดร้ายจนต้องจบชีวิตลงเฉกเดียวกับตน และถึงขั้นถ้าตอนนี้เขาเอ่ยปากถามเรื่องหมอรักษาโรค นางก็สามารถพาเขาไปหาเฒ่าโอสถได้ แต่นางปราศจากความคิดจะรำลึกความหลังเนิ่นนานที่ไม่มีความหมายเหล่านั้นกับเขาจริงๆ

“เรื่องเล็กน้อยเมื่อนานมาแล้ว ข้าลืมไปหมดสิ้น ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจอีก” นางกล่าวเสียงเรียบ

จ้าวซีไท่เพ่งมองนาง

“ท่านหญิง ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านเป็นอย่างไรบ้าง สองสามปีก่อนข้าได้ยินว่าท่านพ่อของท่านยกท่านให้โจรร้ายแซ่เซี่ย…”

เสียงกระแอมกระไอเบาๆ ดังขึ้นใกล้ๆ กะทันหัน

“เป็นจ้าวซื่อจื่อเองหรือนี่ เมื่อครู่พบกับผู้บัญชาการเซี่ยทางนั้น ได้ยินเสียงดังทางนี้ กลัวจะทำให้ไทเฮาระคายพระทัยเลยเดินมาดู ที่แท้ก็เป็นซื่อจื่ออยู่ที่นี่เอง ได้ข่าวว่าท่านมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองสามวันที่แล้ว วันนี้ได้พบเจอกันที่นี่ช่างบังเอิญดีแท้ เฉาจินขอคารวะซื่อจื่อขอรับ”

ขันทีนามเฉาจินคนนั้นสาวเท้าเข้ามาแสดงคำนับต่อจ้าวซีไท่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นหันไปทางมู่ฝูหลัน เรียกขานเสียงอ่อนน้อม “ท่านหญิง”

มู่ฝูหลันแสร้งทำท่าเพิ่งเห็นเขาแล้วเหลือบตามองไปทางข้างหลังเขาปราดหนึ่ง

เซี่ยฉางเกิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินเข้ามา

จ้าวซีไท่ได้ยินว่าเซี่ยฉางเกิงก็อยู่ด้วย จึงชะงักไปนิดหนึ่งก่อนเบนสายตาไปมอง เขาหน้าเจื่อนลงน้อยๆ อย่างสุดระงับ

ทว่าในเวลาอันสั้นสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นดูแคลน ดวงตาปึ่งชาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่เซี่ยฉางเกิงอย่างไม่คลาดคลา

เซี่ยฉางเกิงย่างเท้าเดินมาแล้วหยุดยืนอยู่ด้านนอก ไม่ก้าวผ่านประตูโค้ง

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้าจ้าวซีไท่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู

“จ้าวซื่อจื่อมาที่นี่ด้วยเรื่องใดหรือ ข้าทราบว่าพระชายาทูลขอพระราชอนุญาตจากไทเฮาให้ซื่อจื่อติดตามมาที่วัดวันนี้ แต่ถ้าจำไม่ผิด ท่านเข้าออกได้เฉพาะโถงอุโบสถเท่านั้น ซื่อจื่อก็มิใช่เด็กน้อยแล้ว พึงรู้ว่าเรือนทำสมาธิด้านหลังหาใช่ที่ที่ท่านจะรั้งอยู่นานได้ หากไม่มีธุระสำคัญ รีบออกไปเสียดีกว่า”

สีหน้าของเขาเป็นปกติ น้ำเสียงก็สงบนิ่งมาก หากแต่แฝงไว้ด้วยการออกคำสั่งเฉกผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายอยู่ในที

จ้าวซีไท่กล่าวด้วยหน้าตาบูดบึ้งอยู่สักหน่อย “ข้ามาหาท่านแม่ ท่านจะขัดขวางหรือ”

เซี่ยฉางเกิงหยักยิ้ม

“มิกล้า ในเมื่อซื่อจื่อจะไปเฝ้าพระชายา ข้าก็จะเรียกคนพาท่านไปส่ง ไทเฮาทรงประทับพักผ่อนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ถ้าเกิดซื่อจื่อล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่ตั้งใจจนสร้างความตกพระทัยให้ไทเฮา จะเป็นข้าบกพร่องในหน้าที่แล้ว”

เขาหันไปทางเฉาจิน

“รบกวนเฉากงกงช่วยนำทางซื่อจื่อไปเฝ้าพระชายาด้วย”

เฉาจินขานรับคำหนึ่งแล้วยกยิ้มน้อยๆ เดินไปหา

“จ้าวซื่อจื่อ เชิญตามข้ามาทางนี้ขอรับ”

ใบหน้าซีดเซียวของจ้าวซีไท่แดงก่ำอย่างรวดเร็วอีกคราด้วยความอับอาย

เขายืนนิ่งชั่วครู่แล้วขบสันกรามแน่น ผินหน้าไปบอกกับมู่ฝูหลันเสียงนุ่ม “ท่านหญิง ข้าขอตัวไปที่เรือนพักผ่อนของท่านแม่ข้าก่อน” ว่าแล้วก็หันมองเซี่ยฉางเกิงตาขวางก่อนเดินลิ่วๆ จากไป

ผู้ติดตามสองคนของเขาเร่งรีบไล่กวดตามไปพร้อมกับเฉาจิน

เมื่อคนอื่นไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงมู่ฝูหลันกับเซี่ยฉางเกิงสองคนตรงประตู คนหนึ่งยืนอยู่ด้านใน อีกคนยืนอยู่ด้านนอก

บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นแปลกชอบกลอยู่บ้างโดยพลัน

แววตาของเซี่ยฉางเกิงขุ่นมัวเล็กน้อย เขาบอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก “พาท่านหญิงไปพักผ่อน”

เขาพูดจบแล้วหมุนกายจะออกเดิน แต่แล้วกลับชะงักฝีเท้า เบนสายตากลับไปมองมู่ฝูหลันพลางพูดเสียงเย็นทิ้งท้ายไว้ก่อนไป “ที่นี่มิใช่เรือนตน ไม่มีเรื่องใดอย่าเดินเพ่นพ่าน!”

มู่ฝูหลันมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ลับหายไปกับผู้ติดตาม เดาว่าเซี่ยฉางเกิงไม่น่าจะจับได้ว่าตนเองลอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขากับเฉาจินเมื่อครู่นี้แล้วพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งช้าๆ

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.ค. 64

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: