– บทที่ 1 –
กลุ่มนิสิตในชุดไปรเวตนั่งระเกะระกะอยู่ริมฟุตปาธหน้าป้ายคณะ กลางถนนสายเล็กหากเป็นถนนสายหลักของมหาวิทยาลัย ร่างโปร่งบางผมซอยสั้นยืนกอดอกมองไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยมาดยียวน
“หลบเข้ามานั่งก่อนดีกว่าเว้ย ลิน เอ็งยืนอยู่ตั้งนานแล้วนะ”
เสียงเพื่อนผู้ชายที่นั่งเอ้อระเหยอยู่บนฟุตปาธตะโกนบอก คนที่ถูกเรียกยังยืนเก๊ก
“กะจะให้เห็นรถเป็นคนแรกเลยหรือไง”
วรัทเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่อีกมุมตะโกนถามต่อ นลินละสายตาจากถนนหันมองเพื่อน
“ก็มันทำงี้ได้ไง นัดมารับ 7 โมงเช้า ดูเด่ะ 9 โมงแล้วรถยังไม่โผล่หัวมา”
เสียงตอบกลับมาเรียกรอยยิ้มเพื่อนๆ ได้หลายคน แต่กับหญิงสาววัย 30 ต้นๆ ที่เป็นคนคุมฝึกงานขมวดคิ้วมองหน้าเธออย่างไม่ชอบใจ
“นลิน ทำไมพูดไม่เพราะ ครูก็บอกแล้วว่าโทรไปตามแล้ว รถเขากำลังเช็กเครื่องอยู่ หรือเธออยากให้รถไปเสียกลางทาง แล้วก็เข้ามานั่งข้างในได้แล้วนะ ไปยืนซ่าส์อยู่กลางถนน เดี๋ยวรถก็ชนตายหรอก”
หน้าใสก้มลงมองพื้นซ่อนรอยไม่พอใจ ก่อนจะค่อยๆ ลากเท้าเดินมานั่งใกล้ๆ เพื่อน
“ลินเอ๊ย โดนแต่เช้าเลย”
ปาลิตาว่าปนหัวเราะ รู้ดีว่าเพื่อนกับอาจารย์ธันยมนไม่กินเส้นกันมากแค่ไหน จะว่าไปก็อาจเป็นเพราะเพื่อนของเธอที่นิสัยแตกต่างจากอาจารย์สุดขั้ว นลินเป็นพวกอาการล้นเกินกว่าปกติ ในขณะที่อาจารย์เป็นพวกชอบความสงบนิสัยเรียบร้อย ก็เลยทำให้เข้ากันไม่ได้กระมัง
“ก็โดนประจำล่ะ ไปฝึกงานคราวนี้ไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง ตั้งเดือนแน่ะ มีหวังน่วม”
นลินโอดครวญเบาๆ อดมองค้อนไปทางอาจารย์ไม่ได้ ปาลิตากลั้นหัวเราะ ถึงจะห้าวจะแก่นแก้วแค่ไหน เพื่อนเธอก็เป็นผู้หญิงนี่นะ
“ไงไอ้ลิน คราวนี้กะจะก่อเรื่องอะไร”
วรัทเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ถามอย่างเอ็นดู ไม่ได้เอือมระอา เพราะการก่อเรื่องร้ายๆ แต่ละเรื่องของเพื่อนสาวก็สร้างอารมณ์ขันให้เขาได้เป็นอย่างดี
“ก่ออาไร้…เราออกจะเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้”
“ในโรงรับจำนำ”
ปาลิตาต่อให้หน้าตาเฉย นลินค้อนควับ วรัทหัวเราะลั่น
“เออนะ เอ็งก็ผู้หญิงนี่เนอะ ถึงได้ค้อนสวย จริงๆ น้าลิน ตอนเข้ามาใหม่ๆ น่ะ ข้าเห็นเอ็งน่ารักที่สุดในรุ่นเลยนะเนี่ย”
วรัทสารภาพความจริง ความจริง…ที่ก็คงอยู่ในใจของหนุ่มๆ หลายๆ คน ความจริงที่ว่าถ้าให้มองแค่หน้าตา ทั้งคิ้วเข้มตาโตของนลินกินขาดผู้หญิงหลายๆ คนในคณะ แต่นิสัยกับท่าทางของนลินก็ทำให้เธอกินขาดจากใครหลายๆ คนเช่นกัน
…ก็ไอ้ท่าทางห้าวสุดขั้ว ไม่กลัวใครนั่นล่ะ ที่ทำเอาใครๆ ต่างกลัว
“โธ่ ยังไงเราก็สวยรุ่นล่ะ”
เธอเอ่ยอ้างถึงตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่องานเลี้ยงรับน้องคณะที่ผ่านมาได้ 2 เดือน ตำแหน่งที่เพื่อนๆ หลายคนช่วยกันให้ ให้…โดยที่ไม่ได้โหวตจากหน้าตา หากโหวตจากพฤติกรรมและวีรกรรมต่างหาก และอีกตำแหน่งที่คนได้รับพยายามจะไม่เอ่ยถึง ‘ขี้เมารุ่น’ ซึ่งเธอได้มาด้วยความสามารถพิเศษที่หลายคนยอมรับ
“อือ…แล้วไง สวยรุ่นเมื่อไหร่จะมีแฟน”
วรัทถามจี้ใจดำเพื่อน นลินทำตาโตมองอย่างแค้นๆ
“เอ็งก็ยังไม่มีเหมือนกันล่ะวะ กั๊ตจัง”
“ข้าไม่ได้ชื่อนั้น”
วรัททำเสียงจะเป็นจะตาย หากนลินไม่สนใจ ปาลิตามองอย่างขำๆ รถเมล์เล็กที่วิ่งประจำมหาวิทยาลัยคันที่จะพานิสิตไปฝึกงานวิ่งตะบึงมาแต่ไกล นลินมองรถแล้วหันกลับมามองหน้าเพื่อน
“จะรอดมั้ยวะเนี่ย วันนี้”
ปาลิตาหันมองสภาพรถที่เข้ามาจอดแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ แทนที่ทางมหาวิทยาลัยจะเลือกรถสภาพใหม่มาให้ กลับเป็นรถคันที่โทรมที่สุดกระมังที่มาจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
“เอาน่า ถึงไม่ถึงก็รู้เองล่ะ ไปขึ้นรถดีกว่า”
ปาลิตาบอกเพื่อนอย่างปลงตก แล้วคนทั้งหมดก็ทยอยกันเดินขึ้นรถไป
เพื่อนร่วมภาควิชาของนลินมีประมาณ 15 คน เป็นหญิง 10 คน ไม่ชายไม่หญิงอีก 2 คน เหลือเป็นชายแท้ๆ พอจะให้พึ่งพาอาศัยได้นิดหน่อยอีก 3 คน นลินเหลียวมองที่นั่งซึ่งถูกจับจองไปจนหมด สลับกับสบตาเพื่อนสาว แล้วพูดออกมาพร้อมกัน
“ยืน”
“ก็งั้นสิ”
“ไม่มานั่งตักพี่หรือจ๊ะ น้องลิน”
เสียงผู้ชายหนึ่งในสามตะโกนแซวมาจากหลังรถ วรัทหันมายิ้มให้ เดินตรงเข้าไปหาเพื่อน ดึงเพื่อนให้ลุกจากที่นั่ง
“ให้สาวๆ นั่งหน่อยน่า สิงหไกรภพ”
“ไอ้เวร ข้าชื่อไตรภพ”
เพื่อนที่ถูกเรียกให้เป็นพระเอกไม่ยอมรับตำแหน่ง วรัทพยักหน้ารับอย่างขอไปที
“เป็นพระเอกไม่ดีหรือไง หรืออยากจะเป็นพิธีกร ตานั่ง”
เขาหันไปสั่งปาลิตา หากหญิงสาวก็หันมามองเพื่อนให้นั่งแทน นลินผลักเบาๆ ร่างบางของเพื่อนสาวก็ทรุดลงไปนั่งแทนที่หนุ่มคนนั้น
“แล้วแกล่ะ ลิน” ปาลิตายังห่วงเพื่อน
“ไอ้ลินมันแมนจะตาย ตาไม่ต้องห่วงมันหรอก”
จิรสิน อีกหนึ่งหนุ่มในสามหนุ่มสามมุมประจำภาควิชา ตอบแทนจากขั้นบันไดซึ่งใช้เป็นที่นั่งแทนเบาะ รถเริ่มเคลื่อนออกจากที่ด้วยเสียงดังลั่นมหาวิทยาลัย นลินอดน้อยใจไม่ได้
…เพราะบุคลิกอย่างนี้สินะ ที่ถูกมองว่าแมน ว่าแข็งแกร่ง เลยไม่ต้องจำเป็นต้องห่วงใย ไม่จำเป็นต้องปกป้องก็ได้ แต่เธอก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่นะ จะให้อ่อนปวกเปียกเป็นสาวๆ เรียบร้อยน่ารักแบบเพื่อนก็ไม่ได้ แบบนั้นมันไม่ใช่เธอ…
นลินยิ้มใสมาดยวนกวนบาทาเพื่อนกลับคืนมาแล้ว
“เดี๋ยวจะแย่งไอ้จินั่ง ตาอย่างห่วงเลย นลินซะอย่าง”
“วุ่นไป 100 กับ 8 อย่าง”
จิรสินต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย นลินมองเขม่น ก็ได้แต่มอง เพราะกับเพื่อนคนนี้ไม่กล้าจะตอแยด้วยซักครั้ง
“เดี๋ยวแลกกันนั่ง”
ปาลิตายังไม่วายกังวล นลินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร ลงไปยืนเกาะอยู่ตรงบันไดรถให้ลมเย็นๆ พัดผ่าน หากก็ยืนเก๊กเท่อยู่ได้ไม่นาน เสียงอาจารย์คู่ปรับก็ดังมาจากตอนหน้าของรถ
“นลิน ขึ้นมาข้างบนเดี๋ยวนี้นะ อยากจะตกลงไปตายหรือไง เธอนี่สร้างความเดือดร้อนให้ซะจริงๆ”
นลินพยายามนับหนึ่งถึงร้อย ก็สิบมันไม่พอดับความโกรธนี่นา ก็รู้ล่ะว่าผิด แต่ทำไมพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ ทำไมต้องทำท่ากดอย่างกับเธอเป็นอะไรซักอย่างที่ไร้ประโยชน์ก่อให้เกิดความวุ่นวายขนาดนั้นด้วย มือใหญ่หลายมือช่วยกันดึงให้ร่างบางๆ เข้าในตัวรถ ไตรภพโยนถุงนอนมาให้
“เอาไปนั่งไป”
นลินรับมาอย่างไม่เกี่ยงงอน วางลงบนพื้นรถแล้วนั่งทับไปอย่างง่ายๆ หลังพิงกับขาปาลิตาอย่างสบายอารมณ์
“ยิ้มหน่อยสิคนสวย”
ปาลิตากระซิบบอกเบาๆ นลินยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“อือ… ก็ยิ้มสวยดี ยิ้มบ่อยๆ สิ”
วรัทรับลูก คราวนี้ทำเอานลินยิ้มไม่ออก
“ไม่ยิ้มแล้วโว้ย จะนอน” ว่าตัดบทแล้วก็นอนซบบนตักเพื่อนอย่างแสนสบาย
บ่ายแก่ๆ กว่ารถเก่าๆ จะพาตัวเองมาจอดหน้าอาคารไม้ที่คงเก่าคงแก่ไม่แพ้รถ นิสิตเดินลงจากรถทีละคนด้วยท่าทีอ่อนแรง
“โอ๊ย… นึกว่าจะตายซะแล้ว”
จอมโวยวายประจำรุ่นส่งเสียงขึ้นมาก่อน ซึ่งก็ก่อให้เกิดประกายเขียวๆ จากตาของอาจารย์สาวได้อย่างดี นลินยกมือปิดปากแกล้งทำตัวลีบหลบอยู่หลังเพื่อน
“เอาของลงขนเข้าห้องพักกันก่อนนะนิสิต ห้องผู้ชายห้องเล็กข้างหน้า ส่วนห้องผู้หญิงห้องใหญ่นะจ๊ะ”
ธันยมนบอกกับนิสิต ส่วนตัวเธอเองนั้นจะไปพักที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเธอ ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร
“แล้ววันนี้ต้องทำอะไรอีกหรือเปล่าคะอาจารย์”
เสียงของกัญฑิตาถามขึ้น อาจารย์หันมายิ้มให้อย่างใจดี
“วันนี้ยังไม่ต้องจ้ะ พี่หัวหน้าศูนย์ฯ ไม่อยู่ พรุ่งนี้เช้าค่อยพบพี่เขากัน เดี๋ยวเอาของเข้าไปเก็บแล้วก็ตามสบายนะจ๊ะ แต่อย่านอนดึกเกินไปนัก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เจอกัน 7 โมงนะ”
หญิงสาวหันหาลูกศิษย์ตัวดีที่มักจะก่อเรื่องให้เสมอ หน้าคมผมซอยสั้นเงยมองนกมองฟ้าอย่างไม่รับรู้อะไร
“นลิน นี่เธอฟังครูพูดหรือเปล่า พรุ่งนี้ 7 โมงเช้านะ อย่างเธอจะตื่นไหวมั้ยนี่”
เสียงดูถูกผิดกับที่พูดเมื่อครู่อย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า คราวนี้นลินหันขวับมามองจ้องหน้าอาจารย์สาวอย่างไม่ยอมแล้ว วรัทรีบจับบ่าเพื่อนไว้อย่างปรามๆ นลินหยุดนิ่งสูดลมหายใจเข้าอย่างพยายามระงับอารมณ์
“พรุ่งนี้…ถ้าไม่ตื่น อยากจะทำอะไรก็ทำ…ค่ะ”
คำหลังแทบจะไม่หลุดออกจากปาก หากไม่มีแรงบีบจากมือเพื่อน ธันยมนเมินไม่มองหน้าคนพูด เดินไปขึ้นรถแล้วบอกให้คนขับไปส่งโดยไม่ได้สนใจลูกศิษย์อีก สาวๆ หลายคนทยอยขึ้นห้องพัก เหลืออยู่แต่นลิน ปาลิตา วรัท จิรสิน และไตรภพ
“ใจเย็นน่า ไอ้ลิน”
วรัทปล่อยมือจากบ่าเพื่อน เอ่ยปลอบอย่างเห็นใจ นลินพยายามจะสงบสติอารมณ์อย่างหนัก
“เออ กำลังเอาใจใส่ตู้เย็นอยู่”
เสียงตอบกลับมาพอจะเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนได้บ้าง
“สงสัยดวงไม่สมพงษ์กันแหงเลย เอ็งกับอาจารย์ธันน่ะ”
ไตรภพเปรย หลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อย่าคิดมากเลยว่ะ ทนๆ หน่อยอีกเทอมเดียวก็จบแล้ว”
จิรสินตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจ แล้วเดินผละไปเอาของเข้าไปเก็บไว้ในห้อง
“พวกเอ็งไปเก็บของกันได้แล้ว เดี๋ยวลงมาเจอกัน จะพาไปกินข้าวร้านอร่อย”
วรัทสั่ง นลินพยักหน้ารับแกนๆ อารมณ์เริ่มจะกลับมาคงที่ หันไปช่วยปาลิตายกของเดินเข้าบ้านพักไป
ตกเย็นเพื่อนๆ ก็แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ ตามความชอบใจ ออกไปหาอะไรกินกันง่ายๆ ไม่ไกลจากศูนย์ฯ นัก หากกลุ่มของนลินอันได้แก่ ตัวเธอเอง ปาลิตา และวรัท ไปยืนโบกรถอยู่หน้าศูนย์ฯ โดยจะไปกินข้าวริมทะเลตามความต้องการของผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ ซึ่งก็คือวรัทนั่นเอง
“ไปไหนไอ้น้อง”
รถกระบะเปิดท้ายจอดเทียบ พี่คนขับเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มสมกับเป็นคนใต้ตอนต้นๆ คือประจวบฯ ชะโงกหน้าออกมาถามด้วยรอยยิ้ม ส่วนคนที่อยู่ข้างๆ ใส่แว่นกันแดดนั่งนิ่งไม่ได้สนใจอะไร นลินส่งรอยยิ้มสดใสเปิดเผยไปให้
“ไปอ่าวมะนาวน่ะพี่ ผ่านหรือเปล่าคะ”
เสียงใสๆ ถามห้าว หากไม่ลืมลงท้ายตามเพศ เธอไม่เคยคิดจะผิดเพศหรอกนะ มีแต่คนอื่นนั่นแหละ ที่พยายามจะยัดเยียดให้เธอผิดเพศอยู่เสมอ พี่คนขับพยักหน้ารับ
“โดดขึ้นหลังเลยไอ้น้อง”
ทั้งสามคนปีนล้อรถขึ้นไปนั่งบนกระบะหลังอย่างคล่องแคล่ว วรัทอดมองเพื่อนสาวที่เหมือนจะไม่ค่อยจะเป็นสาวทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มไม่ได้ ทั้งคู่ผมซอยสั้นเกือบจะเป็นทรงเดียวกัน น่าตาก็น่ารักเหมือนๆ กัน แต่ก็ยังไม่มีแฟนกันทั้งคู่
นลิน หรือไอ้ลินของเพื่อน ที่ไม่มีแฟนก็เพราะท่าทางห้าวสุดขั้วของมัน และอีกเหตุผลใหญ่ที่ทำให้หนุ่มๆ ไม่กล้าจีบ ไม่กล้าคิดจะจีบ ก็เพราะบางทีมันออกจะแมนเกินหน้าหนุ่มในคณะเสียด้วยซ้ำ
ส่วนอีกสาว…ปาลิตา เพื่อนคนนี้เป็นคนค่อนข้างเงียบและเก็บตัว รักเสียงเพลง ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แรกๆ ก็มีหนุ่มมาจีบเยอะ หากแล้วก็หายจ้อยเมื่อสาวเจ้าไม่ยอมรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้แห่งความรักก็เฉาตายไปตามระเบียบ
เพียงครู่เดียวรถก็มาจอดอยู่หน้าชายหาดของอ่าวมะนาวที่ตั้งอยู่ในเขตทหารของกองบิน 53 คนทั้งสามกระโดดลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็ไปยืนไหว้ขอบคุณอย่างสวยงามอยู่ข้างรถ
“ขอบคุณค่า คุณพี่ใจดี”
เสียงใสๆ ของนลินพอจะจุดรอยยิ้มตรงมุมปากของชายหนุ่มที่นั่งข้างคนขับได้
“เที่ยวให้สนุกนะน้อง”
พี่คนขับบอกแล้วขับรถตรงไป หนุ่มสาวทั้งสามยืนมองคนใจดีจนลับสายตา หันมองหน้ากันแล้ววิ่งตะลุยไปยังชายหาดขาวสะอาดที่ไม่ค่อยจะมีผู้คนเท่าใดนัก
ชายหาดของอ่าวมะนาวยังสวยสะอาด เนื่องเพราะอยู่ในเขตของทหารก็เลยไม่มีการทิ้งขยะอย่างไม่เป็นที่ บนพื้นชายหาดเต็มไปด้วยเปลือกหอยทับทิมตัวเล็กๆ ที่ปาลิตาเฝ้าเวียนเก็บมาดูอย่างชื่นชม ส่วนนลินก็วิ่งลงไปเตะคลื่นอยู่ในทะเลโน่นแล้ว
“หิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
เสียงวรัทร้องบอกเมื่อแสงของดวงอาทิตย์ที่ลับเหลี่ยมเขาไปเริ่มจาง นลินวิ่งเข้ามาใกล้พร้อมกับคำพูดทำร้ายจิตใจเพื่อน
“อ้วนแล้วนะเอ็ง”
“ไอ้เวร อย่าพูดความจริงสิวะ”
วรัทมองค้อน ความจริงหุ่นอย่างเขาก็เรียกได้ว่ากำลังดีนะ แบบว่าท้วมกำลังดีน่ะ
“เราก็หิวแล้วเหมือนกัน ลิน”
เพื่อนสาวบอก ปล่อยเปลือกหอยในมือคืนสู่ชายหาด ก้าวเดินคู่ไปกับนลิน ตามวรัทที่เดินนำลิ่วๆ ไปยังร้านอาหารแล้ว
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ริมถนนมีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ห่างๆ หนุ่มสาวสามคนเดินมาตามถนนอย่างเรื่อยๆ สบายอารมณ์
“อร่อยจัง”
เสียงนลินตะโกนดังลั่นถนนที่เงียบสงบ ที่ไม่อยากจะบอกความจริงกับเพื่อนคือ ตะโกนให้เสียงเป็นเพื่อน ก็ถนนเงียบๆ ที่สองข้างทางยังเป็นเหมือนป่าโปร่งๆ และไม่ไกลนักมีภูเขาตั้งตระหง่านเห็นเป็นเงาตะคุ่ม มันน่ากลัวน้อยซะที่ไหน
“บอกแล้วว่าอร่อย ทั้งอาหารแล้วก็บรรยากาศ”
วรัทรับความดีความชอบ ปาลิตาเดินตามเงียบๆ ทำเพียงแค่อมยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“ดาวก็สวย” นลินเงยมองดาวพร่างพรายบนท้องฟ้า
“อือ… ดาวก็สวย แต่ให้ดีน่าจะมีรถผ่านมาซักคันนะ เราจะได้โบกกลับศูนย์ฯ ไง”
วรัทว่า ความจริงแล้วสำหรับเขาสิ่งที่รออยู่หลังอาหารมื้ออร่อยน่าจะเป็นที่นอนเนื้อนิ่มมากกว่าจะเป็นการเดินทางไกลประมาณ 3 กิโลเมตรอย่างนี้ นลินผู้ไม่เดือดร้อนกับอะไร เดินไปกระโดดไปอย่างร่าเริงกลางถนน แสงไฟรถแล่นตรงเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วหยุดจอดข้างๆ สาวน้อย
”อ้าว น้องเพิ่งกลับเหรอ”
พี่คนขับรถคนเดิมทักด้วยรอยยิ้มเช่นเคย นลินก็ส่งยิ้มไปให้อย่างดีใจ
“พี่ก็เพิ่งกลับเหมือนกันหรือคะ”
“ไง เราจะไปไหนล่ะ”
“กลับศูนย์ฯ ครับ” วรัทเสนอหน้าเข้ามาบอก
“งั้นขึ้นเลยน้อง จะไปส่งให้”
พี่ใจดีของนลินร้องบอก นลินชะโงกหน้าเข้ามามองในรถ คนที่นั่งข้างๆ คนขับก็ยังใส่แว่นกันแดดไม่ยอมถอด เธอมองอย่างแปลกใจ
“พี่ๆ พี่คนนั้นเขาตาบอดเหรอ มิน่าล่ะ ไม่ยอมถอดแว่นกันแดด”
เธอกระซิบกับคนขับเบาๆ แต่คนที่ถูกกล่าวถึงก็สะดุ้งด้วยได้ยินชัด ปาลิตารีบดึงเพื่อนให้รีบปีนขึ้นกระบะหลังอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวคนขับจะเปลี่ยนใจเพราะปากเพื่อน วรัทรีบยกมือไหว้ขอโทษ
“ขอโทษนะครับพี่ เพื่อนผมมันปากไม่ดีน่ะ ปากมันเป็นอย่างนี้เอง แต่ใจไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่เป็นไร เพื่อนพี่ไม่ใช่คนใจแคบ เนอะนายภนต์”
เขาหันไปพยักพเยิดกับเพื่อน เสียงถอนหายใจดังมาเบาๆ จากผู้เสียหาย ก่อนจะยักไหล่อย่างปลงตก
“กั๊ตจังทำอะไรอยู่ ขึ้นรถเร็ว เสียเวลาพี่เขาน่า”
เสียงตัวต้นเหตุตะโกนเร่งมาจากหลังรถ วรัทชักอยากจะลงไม้ลงมือกับเพื่อนซะแล้ว ชายหนุ่มคนขับหัวเราะเบาๆ
“ไปกั๊ตจังขึ้นรถ เพื่อนเร่งแล้วน่ะ”
“ผมไม่ได้ชื่อนี้พี่”
เขาพยายามจะแก้ตัว ก่อนจะตัดใจรีบกระโดดขึ้นรถไป
“มาฝึกงานที่นี่หรือน้อง”
พี่คนขับถามเมื่อจอดรถลงตรงหน้าศูนย์ฯ
“ครับผม มาฝึกเดือนหนึ่งครับพี่”
“งั้นก็ขอให้สนุกนะ ว่าแต่น้องพักที่บ้านพักนี่หรือ ระวังตัวหน่อยแล้วกันเน้อ”
เสียงเตือนกลั้วหัวเราะ
“เภ ไปได้แล้ว”
เสียงดุๆ เข้มๆ ของเพื่อนดังขัด พี่คนขับเลยยกมือโบกลา นลินยื่นหน้ามา
“พี่ทำไมดุจังน่ะ”
“นลิน”
ปาลิตาดึงเพื่อนมาทางด้านหลัง เอามืออุดปากเพื่อนไว้ เภตราหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ
“อย่าคิดมากน้อง พี่ไปล่ะ คืนนี้นอนให้หลับเน้อ”
เขาร้องบอก แล้วขับรถออกไป ทิ้งปริศนาน่าสงสัยไว้ให้หนุ่มสาวที่ยืนมองตากัน
“เราพูดอะไรผิดเหรอ”
นลินหันถามเพื่อนอย่างไม่รู้เรื่องอะไร ปาลิตาถอนหายใจแรงๆ อย่างให้เพื่อนรู้ว่าเหลือจะทนแล้ว
“ลิน แกนะแก ไม่รู้ตัวเอาซะเลย”
ปาลิตาก้าวเดินนำเข้าไปในศูนย์ฯ ผ่านต้นตะเคียนใหญ่ที่ขึ้นอยู่ไม่ห่างจากประตูเท่าใดนัก เธออดหันมองไม่ได้ ที่ลำต้นตะเคียนมีผ้าแพรสีผูกอยู่หลายผืน และข้างหน้าก็มีศาลเล็กๆ ที่ถูกก่อขึ้นง่ายๆ ก้านธูปยังเหลือปักอยู่ในกระถาง สร้างความศักดิ์สิทธิ์น่าหวั่นเกรงขึ้นอีกโข ทั้งสามคนต่างหยุดยืนดูแล้วก็หันมองสบตากัน จากนั้นทั้งหมดก็รีบยกมือไหว้ทำความเคารพ ก่อนจะเดินแทบเป็นวิ่งเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่นั่งกระจัดกระจายอยู่หน้าเรือนพักทันที
“ว่าต่อดิ ตา”
นลินเอ่ยหลังจากที่ทรุดลงนั่งบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เอามาปูนั่งบนพื้นกลางลานหน้าที่พัก ปาลิตาทรุดลงนั่งตามแล้วมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจ
“ว่าเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ว่าค้างหลังจากที่ลงจากรถพี่ใจดีน่ะสิ ว่าไงเราทำอะไรผิด”
ปาลิตาถอนหายใจมองหน้าใสซื่อของเพื่อน แล้วก็หันไปมองสบตาวรัท วรัทยักไหล่โยนหน้าที่กลับมายังเพื่อนสาว
“ก็ลินน่ะไปว่าพี่เขา…คนที่ใส่แว่นดำน่ะ ทั้งว่าว่าเขาตาบอดเอย ดุเอย เขาไม่ด่าให้น่ะดีเท่าไหร่แล้ว”
“อ้าว…เขาไม่ได้ตาบอดหรือ แล้วที่ดุก็ดุจริงไม่ใช่หรือไง เราว่านะ ที่ดุคงเพราะตาบอดแหงเลย ตาบอดมองอะไรไม่เห็น ก็เลยอารมณ์เสียง่าย”
เธอว่าเป็นตุเป็นตะ วรัทยันเพื่อนเบาะๆ ไปซะที
“เอ็งน่ะนะ ทีหลังอย่าพูดเลยดีกว่า”
นลินยักไหล่นอนแผ่ลงบนลานนอกกระดาษหนังสือพิมพ์ง่ายๆ
“ตกลงทีหลังจะเย็บปากไว้ให้สนิท จะไม่พูดเลย เฮ้ย ว่าแต่…”
เธอสปริงตัวลุกนั่งปุบปับ
“เบาๆ หน่อยก็ได้ กระโดกกระเดกอย่างนี้นี่เล่า อาจารย์ธันเขาถึงไม่ชอบแก”
ปาลิตาว่าเพื่อน นลินทำหน้าเบื่อเมื่อได้ยินชื่ออาจารย์คู่ปรับ
“อย่าพูดเลยน่า ว่าแต่ที่เมื่อกี้พี่คนขับพูดน่ะ เรื่องอะไรเหรอที่ว่าให้ระวัง”
“เรื่องอย่างว่าแหงเลย”
เสียงไตรภพดังแทรกมา แล้วทรุดลงนั่งใกล้ๆ จิรสินเดินตามมาสมทบ
“เรื่องอย่างว่าอะไร” นลินถามอย่างไม่เข้าใจ
“อย่าทะลึ่งนะเอ็ง”
วรัทปรามเพื่อน ไตรภพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ก็เรื่อง…ผีไง”
คำสำคัญเขาแกล้งทำเสียงต่ำให้ได้บรรยากาศ นลินนั่งมองตาโตอย่างอยากรู้
“เมื่อกี้พวกแกไม่อยู่กัน พี่เมฆซีเนียร์เราน่ะมาหา แกทำงานอยู่ที่นี่ไง แกมาเล่าให้ฟัง”
ไตรภพเล่าอย่างเรียกร้องความสนใจจากเพื่อน จิรสินนั่งมองนิ่งๆ อย่างขำๆ
“แล้วไงอีกไตวาย”
นลินถามอย่างตื่นเต้นไปด้วย หากก็ยังไม่วายแกล้งเรียกชื่อเพื่อนผิดๆ
“พอเลยไอ้รินน้ำ ไม่เล่าแล้วเว้ย”
เพื่อนทำงอน นลินหัวเราะลั่น
“หัวก็ยังไม่ล้าน ทำไมใจน้อยแล้ววะ จะเล่าไม่เล่า”
แล้วไตรภพก็ทนความอยากเล่าไว้ไม่ไหว เริ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง
“พี่เมฆเขาบอกว่าที่นี่น่ะเฮี้ยนมาก โดยเฉพาะนี่เลย เจ้าแม่ตะเคียนทอง”
เขาพยักหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่ แล้วยังยกมือไหว้อย่างเคารพด้วย
“แล้วไงอีก”
“เขาบอกนะ วันดีคืนดีก็จะเห็นผู้หญิงสาวใส่ชุดไทยเดินออกมาจากต้นตะเคียน”
“สวยมั้ย” วรัทถามอย่างที่สงสัย
“สวยว่ะ เขาบอกว่าสวย”
“แล้วไงอีก แค่นี้เหรอ”
ปาลิตาถามขึ้นมาบ้าง ไตรภพรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก จึงพยายามจะค้นหาเรื่องมาเขย่าขวัญเพื่อนให้มากขึ้น โดยไม่ทันสังเกตถึงความเงียบแบบผิดปกติของขาโจ๋ประจำภาควิชา
“พี่เขาบอกนะ ที่บ้านพักพี่เขาน่ะมีเสาตกน้ำมันอยู่กลางบ้านด้วย แล้วตอนกลางคืนบ้านก็จะสั่นเหมือนมีใครมาเขย่า บางทีก็มีเสียงของปาเข้ามาที่ตัวบ้าน ที่หน้าต่าง…”
“แกไปทำอะไรให้ชาวบ้านเขาเกลียดหรือเปล่า คนเขาเลยมาขว้างของเอา”
วรัทขัดคออย่างไม่เชื่อถือ ไตรภพมองเขม่น
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่น่ะเว้ย แล้วอีกอย่างที่พี่เขาบอกได้ยินทุกคืนเลย เสียงผู้หญิงร้องไห้ พี่เขาก็เลยต้องกินเหล้าให้เมาแล้วหลับไปเอง ไม่งั้นนอนไม่ได้หรอก”
“หาเรื่องกินเหล้าล่ะสิไม่ว่า”
ปาลิตาว่ากลั้วหัวเราะไม่ได้เชื่อถือเท่าไหร่ เธอเหลียวมองเพื่อนสาว นลินนั่งเงียบผิดปกติ หน้าใสๆ ออกจะซีดขาวกว่าทุกครั้ง เธอมองอย่างประหลาดใจขยับปากจะถาม หากเสียงของไตรภพก็ดังขึ้นเขย่าขวัญเพื่อนก่อน
“เออ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ พี่เขาเล่าอีกน่ะเว้ย ที่บ้านพักนี่น่ะ”
เสียงของไตรภพทำเอาเพื่อนทุกคนหันมองตัวเรือนพักที่ก่อสร้างด้วยไม้ อายุเกือบร้อยปีเป็นตาเดียวกัน
“เฮ้ย ไตร หยุดเถอะ”
เสียงใครบางคนปรามขึ้นเบาๆ หากไตรภพติดลมบนเสียแล้ว
“ยามของที่นี่นะ เคยมานั่งเฝ้ายามอยู่ตรงบันไดหน้าบ้านนี่ล่ะ แล้วอยู่ๆ ก็วูบไปเลย ตื่นเช้ามาอีกที ไม่รู้ว่าตัวเองมานอนกลิ้งอยู่หน้าบ้านได้ยังไง แล้วมีอีกนะ จำสะพานขาวๆ ที่เชื่อมระหว่างที่นี่กับศูนย์ฯ ทางด้านหน้าได้มั้ย”
“อือ จำได้ เป็นสะพานข้ามคลองใช่มั้ย”
วรัทพยักหน้ารับ ลมรอบๆ เริ่มแรงจนขนที่แขนชักจะลุกตั้ง
“อือ…ตรงนั้นล่ะ ซีเนียร์เราอีกกลุ่มที่เคยมาฝึกงานที่นี่น่ะ เขาเดินไปส่งเพื่อนก็ไปกันหลายคนน่ะนะ ตอนไปก็ดึกแล้ว ตอนขาไปก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ตอนขากลับนี่ดิ พวกเอ็งรู้จักพี่เอ้ใช่มั้ย พี่เอ้นั่นล่ะมองลงไปในคลองที่มีเรือจอดลอยอยู่ พี่แกเห็นว่ะ”
“เห็นอะไร”
“เห็นคนนั่งอยู่ในเรือ…พวกเอ็งคิดดูดิ เกือบเที่ยงคืนแล้วน่ะเว้ย ใครจะมานั่งอยู่ในเรือ ยัง…แค่นั้นยังไม่พอ พี่กลดที่เดินไปด้วยกันมองไปอีกทาง เห็นเงาขาวๆ นั่งห้อยขาอยู่บนราวสะพาน แล้วหลังจากนั้นก็ต่างคนต่างวิ่งเลย พอตอนเช้าพี่เขาก็มาถามยาม ถึงได้รู้ว่าเมื่อก่อนแถวนี้น่ะ เป็นสุสานเป็นป่าช้ามาก่อน นี่ถ้าไม่ใช่สถานที่ราชการมีหวังเฮี้ยนยิ่งกว่านี้อีก”
ไตรภพมองเพื่อนๆ แล้วยิ้มออกมา เมื่อเห็นอาการขนลุกตั้งของเพื่อนที่นั่งฟัง
“โธ่เอ๊ย…แค่นี้เองหรือวะ”
วรัทกัดฟันพูดออกมา ปาลิตามองนลินอย่างเป็นห่วง เพื่อนนั่งก้มหน้าอยู่นานแล้ว เธอเอื้อมไปแตะมือเพื่อน มือนิ่มๆ เย็นเฉียบ
“ลิน แกเป็นอะไรหรือเปล่า”
หัวที่ปกคลุมด้วยผมยุ่งๆ ส่ายปฏิเสธ
“แน่ใจนะ”
คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นพยักรับแทน ปาลิตาเลยหันไปจ้องคนที่ยังจะเล่าเรื่องเขย่าขวัญเพื่อนต่อ
“ยังเว้ย ยังไม่หมด ในห้องพักผู้หญิงน่ะ…เฮ้ย”
ไตรภพร้องอุทานเมื่ออยู่ๆ นลินก็ลุกยืนพรวด ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็สะดุ้งสุดตัว
“ลิน เอ็งเป็นอะไร” วรัทร้องถามอย่างตกใจ
“พอ เลิกเล่าแล้วไปนอนได้แล้ว”
นลินพูดห้วนๆ พยายามจะข่มความกลัวให้มิด จิรสินมองเพื่อนแล้วแอบยิ้ม
…ไอ้ลินกลัวซะจนเสียงสั่น แต่ดันพยายามทำว่าข้าไม่กลัว ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนี่หว่า
ส่วนไตรภพหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจเพื่อน
“เอ็งกลัวหรือวะ ลิน โธ่ นึกว่าจะแน่ เอาน่าฟังเรื่องนี้ให้จบก่อน ในห้องพักผู้หญิงน่ะเว้ย เห็นมั้ยว่ามีพัดลมเพดานอยู่ นั่นล่ะ เขาเล่ากันว่ามีคนมาผูก…เฮ้ย ไอ้ลิน!”
ไตรภพอุทาน เมื่อนลินหันไปคว้าจอบของคนงานที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาถือกระชับมั่นไว้ในมือ พร้อมกับยกขึ้นสูงอย่างเตรียมพร้อมที่จะฟาดลงไปบนหัวเขาได้ทุกเมื่อ วรัทรีบยึดแขนเพื่อนไว้มั่น
“ใจเย็น ไอ้ลิน ใจเย็น พุทโธ ท่องพุทโธ นับหนึ่งถึงพันเลย”
วรัทพูดปลอบ ส่วนปาลิตาช่วยปลดอาวุธออกจากมือเพื่อน จิรสินรีบดึงไตรภพหลบไปอีกทาง หากตัวต้นเรื่องยังไม่วายหันมาแซว
“คืนนี้เวลานอนอย่าลืมมองที่พัดลมน้า”
จิรสินยกมือขึ้นอุดปากเพื่อนไว้แน่น แล้วลากตัวคนปากดีให้ลับหายไปจากสายตาอาฆาตของนลิน วรัทปล่อยมือเพื่อนลง มองหน้าใสที่ยังซีดอยู่ แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“กลัวแล้วทำไมไม่บอก”
นลินพูดไม่ออก เอื้อมมือไปเกาะปาลิตาแน่น
“ก็นึกว่ามันจะเล่านิดเดียว”
เสียงแก้ตัวอ่อยๆ ดังมา ปาลิตาหัวเราะ ส่งจอบอันที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักให้วรัทถือไว้ แล้วเดินจูงมือนลินตรงไปยังห้องพัก
“ตา คืนนี้…จะโผล่มามั้ย”
เสียงนลินถามอย่างไม่มั่นใจก่อนจะก้าวเข้าห้องนอน ซึ่งตอนนี้เพื่อนคนอื่นๆ ก็เข้านอนกันหมดแล้ว ปาลิตาหัวเราะ ขยี้ผมเพื่อนอย่างอดใจไม่ไหว
“เดี๋ยวจะสอนสวดมนต์บทขลังนะ เขาว่ากันผีชะงัดเลย แล้วคืนนี้นลินจะฝันดีที่สุด เราสัญญา”
เช้าตรู่นิสิตที่มาฝึกงานทุกคนมายืนรออาจารย์ผู้คุมฝึกงานอยู่หน้าอาคารที่พัก นลินหน้าตาผ่องใสยืนอยู่เคียงข้างปาลิตา ส่วนไตรภพนั่งหลับพิงจิรสินอยู่ข้างๆ บันได
“เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือไง”
นลินถามเพื่อนด้วยสีหน้ากวน กลับเป็นตัวแสบประจำภาควิชาตามเดิม จิรสินมองหน้ากวนๆ แล้วอดขำไม่ได้ เมื่อวานนลินหมดท่าเลยจริงๆ นั่นล่ะ นลินมองหน้าที่กลั้นหัวเราะของเพื่อนอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไรนายจิ”
“ขำคนกลัวผี”
เขาบอกหน้าตาเฉย นลินทำท่าจะเข้ามากระชากคอเสื้อเพื่อนให้ได้ หากไม่ติดมือเหนียวๆ ของปาลิตาที่ยึดไว้มั่น
“นายจิ”
“ไม่ได้ขำแก ไอ้ลิน ขำไอ้ไตรมัน เมื่อคืน…เจอซะ”
“เจออะไรหรือ”
นลินเข้ามาถามอย่างอยากรู้ วรัทส่ายหัวอย่างระอาเพื่อน
“ไม่กลัวแล้วหรือไงฮึ ถึงอยากฟัง”
“ก็เช้าแล้วไง มันสว่าง…ไม่น่ากลัวเท่าไหร่”
เสียงนลินตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มประจบ
“เมื่อคืน นายนี่มันนอนดิ้นทั้งคืน แล้วก็ละเมอว่าใครก็ไม่รู้นอนทับอกมัน”
จิรสินเอ่ยปากเล่า ไตรภพรีบลืมตามาเล่าต่อทันทีอย่างออกท่าออกทาง
“อือ เป็นเงาดำๆ ใหญ่ๆ นะ มานอนทับอยู่บนนี้เลย ไอ้เราก็พยายามดิ้น พยายามจะเรียกพวกนี้ เราว่าเราตะโกนไปแล้วนะ แต่มันไม่ออกจากคอเลย”
“จริงๆ น่ะ” นลินถามอย่างสนใจ
“จริงดิ ไม่เชื่อคืนนี้ก็ลองไปนอนที่ห้องดูสิ เผื่อจะได้เจอบ้าง”
ไตรภพพูดหน้าตาเฉย นลินสะบัดหน้าค้อนขวับ
“ไอ้บ้า”
เธอว่าแล้วเดินจากมา พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะตามหลังของพวกผู้ชาย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.