X
    Categories: LOVEทดลองอ่านใกล้เกินรัก ชุด สุดท้ายก็เธอ

ทดลองอ่าน ใกล้เกินรัก ชุด สุดท้ายก็เธอ บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 7

2

เพื่อนรัก

 

มันจบแล้ว

เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พิรุณรักษ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งถูกบดบังด้วยตึกสูงจนเห็นสีของท้องฟ้าเพียงนิดเดียว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

อารมณ์แบบนี้อยากมองฟ้ากว้างๆ จัง

ความรู้สึกเหมือนอกหักนิดๆ เลย ทั้งที่คิดว่าคนนี้ใช่ เพราะได้พูดคุยทำความรู้จักกันมาสักพักหนึ่งแล้ว เธอมองว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความมั่นคง ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่อยากฝากชีวิตไว้ด้วยแท้ๆ

แต่เขากลับกลายเป็นผู้ชายที่เรื่องมากสุดๆ ต่อให้เธอเป็นคนมีมาตรฐานการเลือกคู่ต่ำเพียงใดก็ไม่สามารถทนกับผู้ชายแบบนี้ได้อย่างแน่นอน

เมื่อไหร่สวรรค์จะส่งผู้ชายที่เข้ากันได้กับเธอมาให้สักที รอแบบนี้ก็เริ่มท้อแล้วเหมือนกัน

พิรุณรักษ์เดินไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางเหมือนคนหมดแรงผ่านประตูทางเข้าของคอนโดมิเนียม เธอยอมสละเงินเก็บก้อนใหญ่เพื่อดาวน์ห้องพักขนาดสามสิบตารางเมตรเพราะเล็งเห็นว่าคอนโดมิเนียมแห่งนี้จะราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวในภายภาคหน้า ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเงินเดือนของเธอไม่สามารถผ่อนได้เลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเบียดเบียนเงินแม่ทุกเดือน

หรือว่าผลกรรมของการอกตัญญูทำให้เธอกลายเป็นคนไร้คู่กันแน่

“ไปไหนมา”

เสียงนั้นห้วนสั้นจนทำให้คนกำลังเหม่อลอยสะดุ้งเฮือก พอพิรุณรักษ์เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร หัวใจที่ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มก็หายวับไปเลยคราวนี้

“ไอ้พุฒ! มาได้ไง”

เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกหน้ารีเซพชั่นของคอนโดมิเนียมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะสาวเท้ามาหาร่างเล็กที่สูงเพียงร้อยหกสิบนิดๆ พอยืนใกล้กันแบบนี้แล้วพิรุณรักษ์สูงเพียงอกของเขาเท่านั้น

เธอก้าวถอยโดยอัตโนมัติ แต่กลับถูกคว้าตัวไว้ก่อน

“ว้าย!”

“จะร้องทำไม เดี๋ยวคนก็หาว่าฉันเป็นพวกคนร้าย”

“ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” เธอดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยท่าเดียว

“ฝน…”

“อะไร”

“วันนี้วันอะไร”

“วันศุกร์”

“วันที่?”

“สิบสี่… ถามทำไม ไม่มีปฏิทินดูหรือไงคะ พ่อนักฟุตบอลคนดัง” เธอเชิดหน้าขึ้นตอบเขา แหงนจนเมื่อยคอ ไม่เจอพุฒเกินสองปีได้แล้ว รู้สึกว่าชายหนุ่มสูงขึ้นอีกนิดกระมัง

ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ ไม่ใช่สิ! ยักษ์มันดูน่าเกรงขามเกินไป เหมือนควายมากกว่า

โธ่เอ๊ย! สงสารน้องควายจัง

พิรุณรักษ์คิดเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอของเขาฉุดดึงความสนใจ เธอก็คงคิดเตลิดไปไกลกว่านี้

“ฉันบอกให้แกไปรับฉันตอนเก้าโมงไง”

พุฒโมโหจนควันออกหู เพราะเขารอหญิงสาวอยู่นานหลายชั่วโมง ติดต่อก็ไม่ได้เพราะดันเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ที่สนามบินแล้วข้อมูลการติดต่อของพิรุณรักษ์หายจากเครื่องไปราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เขาต้องถามเอากับเพื่อนคนอื่นๆ ตั้งหลายคนกว่าจะแน่ใจว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน

หลังสอบถามกับพนักงานที่เคาน์เตอร์แล้วอีกฝ่ายแจ้งว่าพิรุณรักษ์น่าจะยังไม่กลับมาเพราะโทรขึ้นไปที่ห้องแล้วไม่มีใครรับ เขาก็ปักหลักนั่งรอเธอไม่ไปไหนจนรากแทบจะงอกติดกับเก้าอี้

พิรุณรักษ์หรี่ตาลง ยอมรับว่าตัวเองลืมที่เพื่อนนัดไว้ไปเสียสนิท แต่ที่คุยกันนั่นมันก็เกือบสองสัปดาห์ที่แล้วซึ่งความจริงเธอปฏิเสธนัดเขาไปแล้วด้วยซ้ำ

“ฉันก็บอกแกแล้วไง ว่าไม่ไป”

พุฒก้มหน้ามองคนตัวเล็กแล้วค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าไปใกล้ มองจนทำให้อีกฝ่ายหายใจติดขัดไปเล็กน้อย

พิรุณรักษ์เอนกายหนี แต่มือที่จับข้อมือของเธอในตอนแรกกลับเปลี่ยนมาคล้องคอเธอไว้แทน ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงชวนให้ขนลุก

“ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำเมินเฉยกับฉันได้…จำไว้”

“เหรอ” พิรุณรักษ์ยิ้ม ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “ยกเว้นฉันไว้คนนึงแล้วกันนะ!”

ปั่ก!

หญิงสาวกระทืบเท้าเขาเต็มแรง

“โอ๊ย!” พุฒร้องโอดโอยแล้วจำต้องปล่อยแขนออกจากร่างบางเพื่อถอยมากุมเท้าตัวเองไว้ ใบหน้าเหยเก

พิรุณรักษ์ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บเล่นๆ แต่ตั้งใจให้เจ็บจริงเพราะกระทืบมาแบบไม่ออมแรงเลย ขนาดว่าเขาใส่รองเท้าผ้าใบยังรู้สึกเจ็บมาก

“ไอ้ฝน! ทำไรวะเนี่ย”

“ผู้ชายเฮงซวย!” เธอมองหน้าพุฒแต่คิดไปถึงคู่เดตที่นรกส่งมาจึงอดพาลไปหมดไม่ได้ว่าผู้ชายก็ห่วยเหมือนกันทุกคน

“เกินไป เจ็บนะโว้ย! นี่เพื่อนนะ”

“กลับไปเลยไป! วันนี้ไม่รับแขก”

“ฉันเดือดร้อนมานะ ไม่คิดจะช่วยเหลือกันบ้างเลยหรือไง”

คำพูดตัดพ้อของเขาทำให้คนกำลังโกรธใจเย็นลงบ้างเล็กน้อย เธอมองใบหน้าหล่อเหลานั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจ ผู้ชายแบบนี้หรือที่ผู้หญิงหลายคนหลงใหล

ผู้หญิงพวกนั้นก็คงหลงรูปลักษณ์ภายนอกของเขานั่นแหละ มีดีแค่หน้าตา พวกหล่อนคงไม่รู้ว่าพุฒน่ะ…อสรพิษดีๆ นี่เอง

“แกจะเอายังไง”

พิรุณรักษ์นิ่วหน้า เพราะพุฒทิ้งน้ำหนักแขนลงบนบ่าบางๆ ของเธอจนทรงตัวเกือบไม่อยู่

“ไปหาร้านกินเหล้าบ๊วยกันดีกว่า จะได้คุยกันยาวๆ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ” พิรุณรักษ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูพบว่าเกือบสามทุ่มแล้ว

“พรุ่งนี้วันเสาร์ ตื่นสายได้นี่ ไปเถอะ ฉันเลี้ยงเอง”

“แต่ฉันไม่อยากกินเหล้าบ๊วยนี่”

“งั้นอยากกินอะไร”

พิรุณรักษ์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“อะไรก็ได้ที่ไม่มีผัก!”

“แกไม่ต้องควบคุมอาหารแล้วเหรอ กินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง”

พิรุณรักษ์มองนักฟุตบอลอาชีพที่กินเนื้อย่างเข้าไปสองถาดแล้วอดเป็นห่วงแทนไม่ได้

หลังจากตกลงกันแค่สองสามคำทั้งคู่ก็ตัดสินใจมาร้านอาหารปิ้งย่าง ร้านนี้เป็นร้านสัญชาติเกาหลี เนื้อเกรดพรีเมี่ยม และที่สำคัญ…มีเหล้าบ๊วยบริการด้วย

“ไม่เป็นไร ฉันไม่อ้วนง่ายขนาดนั้นหรอกน่า” พุฒบอกแล้วคีบเนื้อย่างกินอีกหนึ่งคำใหญ่

“แล้วเหล้าบ๊วยนี่อะ กินได้เหรอ”

พุฒยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ต่อสัญญากับสโมสรให้อีกฝ่ายฟัง อนาคตในวงการฟุตบอลของเขาจะเป็นอย่างไรตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ

บางทีอาจจะไม่ได้เตะอีกแล้ว…ฉะนั้นดื่มเหล้าบ๊วยให้กับอิสรภาพที่โหยหามาอย่างยาวนานเสียหน่อยถือเป็นการฉลองก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

“ฉันเนี่ยนะ ต่อให้เอาเหล้าขาวมาทั้งลังก็ยังลงสนามได้สบาย”

“เว่อร์มากกก” พิรุณรักษ์ลากเสียงยาว

เหล้าขาวหรือ แค่ครึ่งขวดเขาก็เดินไม่ตรงแล้ว

กระนั้นพิรุณรักษ์ก็ปัดความกังวลนี้ออกไปในที่สุด เพราะเธอเชื่อว่าเพื่อนดูแลตัวเองได้ พุฒเป็นคนมีวินัยสูงในเรื่องการดูแลตัวเองซึ่งนั่นก็ทำให้เขาก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของวงการฟุตบอลได้ เขาดูเป็นคนที่ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องรูปร่างอย่างแน่นอนในชีวิตนี้

เมื่อก่อนสมัยมัธยมพิรุณรักษ์เองก็มองว่าพุฒหล่อมาก ทำให้เขากลายเป็นรักแรกของหญิงสาวหลายคนในโรงเรียน แต่ความหล่อในตอนนั้นกลับดูด้อยไปเลยเมื่อเทียบกับตอนนี้ ร่างกายของเขาสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ กล้ามเนื้อแขนแน่นจนแขนเสื้อยืดนั้นตึงไปหมด ไหล่หนา ลำตัวล่ำสัน และใบหน้าหล่อเหลา

พระเจ้าคงรักเขามากถึงได้ส่งเขามาเกิดพร้อมกับความสมบูรณ์แบบขนาดนี้

พิรุณรักษ์อดรู้สึกอิจฉาความสมบูรณ์พร้อมนี้ไม่ได้

ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่ง ผู้ชายคนนี้มีข้อด้อยอะไรบ้างนะ

อ้อ! นิสัยอย่างไรล่ะ

“มองขนาดนี้ เห็นฉันเป็นวัวหรือไง”

“บ้า! วัวอะไรของแกฮะ” พิรุณรักษ์คว้าน้ำมาดูดพลางเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น แต่ก็อดเลื่อนกลับมามองคนตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี

“ก็มาร้านเนื้อย่าง แทนที่จะสนใจเนื้อย่าง ดันมาสนใจฉัน มองเหมือนอยากจะกิน”

“โธ่…พ่อคุณ นี่คงคิดว่าผู้หญิงทั้งโลกอยากจะได้แกสินะ เว้นฉันไว้คนหนึ่งเถอะ แบบแกนี่ไม่ใช่สเป็กฉันเลย”

“พูดแล้วอย่าคืนคำน้าาา”

“ไม่คืนแน่นอน”

“แต่ฉันคิดว่าแกจะต้องคืนคำแน่ๆ”

“หึ! หลงตัวเองเหมือนเดิมไม่มีผิด ตัวจริงเสียงจริงเลย” พิรุณรักษ์เหยียดริมฝีปาก

หลงตัวเอง ปากเสีย เย็นชา โผงผางไร้อารยธรรม

คำกล่าวสุดท้ายแม้จะรุนแรงไปหน่อย แต่ก็นะ อันที่จริงเธออยากจะด่าเขาให้แรงกว่านี้อีก แต่กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วหากถูกอีกฝ่ายเอาคืน เธอคงสู้ไม่ไหวแน่ๆ

“ต่อให้แกแก้ผ้าตรงหน้า ฉันก็ไม่ยอมกินให้เสียลิ้นหรอกย่ะ มีผู้ชายตั้งเยอะตั้งแยะที่แซ่บกว่าแก”

“เคยกินแล้วหรือไง ถึงได้รู้ว่า ‘รสแซ่บ’ มันเป็นยังไง”

“ฉันโตขนาดนี้แล้ว ไม่เคยกินก็บ้าละ” เธอแกล้งเชิดหน้าขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่เคยนั่นแหละ แต่ใครมันจะยอมรับให้อาย

แต่เดี๋ยวก่อนนะ…วัยแบบเธอ เรื่องที่เคยต้องอายกลับไม่ใช่เรื่องน่าอายแล้วหรือ ส่วนเรื่องที่ไม่ต้องอายอย่างการไม่เคยมีเซ็กซ์กลับเป็นเรื่องน่าอายไปแล้ว

“แต่แกยังไม่เคยกินฉัน ดังนั้นจะมาเปรียบเทียบกันไม่ได้” คนถูกเปรียบเทียบหยุดมองดวงหน้าหวานนิ่ง นัยน์ตาพราวระยับ

พิรุณรักษ์ชะงัก หัวใจกระตุกวูบเมื่อเผลอมองสบดวงตาคู่นั้น เธอตกประหม่าอย่างที่ไม่เคยมีอาการนี้กับพุฒมาก่อน ต้องเป็นเพราะเธอเหนื่อยกับเรื่องในวันนี้จนทำให้เบลอไปแน่ๆ

“เฮอะ!”

พิรุณรักษ์ทำเสียงในลำคอแล้วหันไปสนใจเตาปิ้งย่างแทน

“ไม่ชอบกินผักก็ยังไม่ชอบอยู่แบบนั้นเหรอ” พุฒถามเมื่อเห็นว่าพิรุณรักษ์คีบกินแต่เนื้อ ไม่สนใจผักเลยสักนิด

คนมีประเด็นกับผักมาตั้งแต่เย็นทำหน้าเซ็ง หวังว่าคงไม่ถูกบังคับให้กินผักอีกคนนะ

“มันไม่อร่อย”

พิรุณรักษ์ตอบไปตามตรง และผิดคาดมากเมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าแล้วชวนคุยเรื่องอื่น ไม่ได้บ่นเรื่องที่เธอไม่กินผักอย่างที่คาดการณ์ไว้

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ความจริงแล้วพิรุณรักษ์ก็ไม่ใช่พวกไม่แยแสอะไรขนาดนั้น พุฒเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ถึงแม้ว่าระยะหลังเธอกับเขาแทบจะไม่ได้เจอกันเลยด้วยอาชีพของเขาที่ต้องฝึกซ้อมหนักอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ทั้งคู่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน

ดังนั้นการพบกันในรอบสองปีครั้งนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจึงคงเดิม

“นี่! เรื่องข่าวที่ออกมามันเรื่องจริงเหรอ”

พุฒเลื่อนสายตาจากจานอาหารเพื่อมองหน้าคนพูด เมื่อเห็นแววตาวิตกกังวลนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ไม่เชื่อเหรอถึงต้องมาถามย้ำ มองฉันดีขนาดนั้นเลย?”

“อย่าเพ้อเจ้อได้มั้ย ฉันแค่ถามย้ำให้แน่ใจ เข้าใจนะว่าคนแบบแกควงสาวไม่ซ้ำหน้า แต่ไปยุ่งกับภรรยาคนอื่นมันดูไม่น่าเชื่อเลย”

“เด็กน้อย อย่ามองโลกแง่ดีขนาดนั้นสิ”

ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปาก ดูร้ายกาจอย่างไรไม่ทราบ พิรุณรักษ์หน้าเหวอ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสาวที่กำลังเผชิญหน้ากับซาตาน

“ทำไมแกชั่วขนาดนั้นวะ”

พุฒเลิกคิ้ว ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกด่าเลยสักนิด เขาคีบอาหารรับประทานต่อเป็นอันจบบทสนทนาหัวข้อดังกล่าว

แต่พิรุณรักษ์ไม่ยอมจบง่ายๆ

“มันร้ายแรงขนาดไหน”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่แกทำไว้น่ะ โทษที่จะได้รับมันร้ายแรงแค่ไหน นี่ต้องติดคุกติดตะรางหรือเปล่า หรือว่าถูกถอดออกจากทีม” ลึกๆ แล้วพุฒเป็นเพื่อนของพิรุณรักษ์เสมอ เธอยังมีความห่วงใยในตัวเขา แม้ปากจะด่า…แต่ความจริงแล้วก็เป็นห่วง

พุฒรู้ดี ชายหนุ่มจึงยอมตอบคำถามนั้น

“เพราะความผิดเรื่องจรรยาบรรณ สโมสรเลยให้ฉันพักเตะเก้านัดแทน จากที่ตอนแรกจะไม่ต่อสัญญา”

พิรุณรักษ์ย่นคิ้วเข้าหากัน เพราะความจริงเธอไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับแวดวงฟุตบอลมากนัก แต่เท่าที่ฟังก็ดูเหมือนว่าโทษจะไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด

“งั้นก็ถือว่ายังดีนี่นา”

“ฉันไม่อยากทำให้สโมสรลำบากใจก็เลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญาเองซะเลย”

“หา?” คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจ “ทำไมล่ะ หรือว่ามีสโมสรอื่นมาซื้อตัวแล้ว”

เขาส่ายหน้า

“ไม่มีเหรอ”

“อือ”

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้นวะ”

พุฒไม่ตอบ แต่หัวเราะแทน ดูเหมือนใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาจะเล่นฟุตบอลไปจนตาย

“หัวเราะอะไร”

“ก็หัวเราะแกไง ทำหน้าตกใจได้ตลกมากเลย” เขาจิ้มตะเกียบไปที่ปลายจมูกเชิดรั้นของเธอ

พิรุณรักษ์ถึงกับสบถเพราะปลายตะเกียบนั้นสกปรก ทั้งอาหาร ทั้งน้ำลาย เธอรีบเช็ดออก สีหน้ายับยุ่งไม่พอใจ

“เพราะแบบนี้เหรอ ถึงกลับเข้าบ้านไม่ได้”

“ไม่ใช่เพราะเรื่องไม่ต่อสัญญาหรอก แต่แม่อยากดัดนิสัยของฉันเรื่องผู้หญิงต่างหาก”

ริมฝีปากบางเหยียดเป็นเส้นตรง พูดออกไปอย่างที่คิด

“เหอะ! งั้นแกก็คงไม่มีวันได้กลับเข้าบ้านอีกแล้วล่ะพุฒ ชาตินี้อะ”

“เพราะงั้น…ฉันเลยมาขออยู่กับแกสักพักนึงไง”

“ไม่ได้! ฉันไม่สะดวก ทำไมแกไม่ลองไปหาไอ้บัติล่ะ มันเพื่อนซี้แกนี่”

“ไอ้บัติมันมีลูกมีเมียแล้ว ไม่สะดวกหรอก”

“แกรวยนี่ ทำไมไม่หาซื้อคอนโดฯ อยู่เองล่ะ บ้านแกก็ขายคอนโดฯ ด้วยไม่ใช่เหรอ”

“มันของที่บ้าน ฉันถูกตัดหางปล่อยวัดแล้วตอนนี้”

“แต่ว่า…”

พรึบ!

พุฒควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันเป็นกล่องสีดำขนาดเท่าสองฝ่ามือ หน้ากล่องมีตัวอักษรภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยตัว C พิรุณรักษ์ตาโต หัวใจเต้นรัวแรง

“อะไรอะ”

“ค่าเช่าไง หนึ่งเดือน” พุฒเห็นสีหน้าของพิรุณรักษ์แล้วหัวเราะในลำคอ

พิรุณรักษ์รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ใครจะสน เธอคว้ากล่องนั้นมาถือไว้แล้วเปิดดู มันคือกระเป๋าชาแนลรุ่นที่เธออยากได้มานานแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ครอบครองเพราะราคาที่สูงถึงหกหลักทำให้เธอได้แต่เก็บมันไว้เป็นเพียงความฝัน

ดวงหน้ากระจ่างใสคลายยิ้มออกมา

“ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าทำไมแกไม่เอาเงินค่ากระเป๋าไปหาห้องดีๆ อยู่ ฉันรู้…ว่าคนอย่างแกต้องมีเหตุผลที่ดีอยู่แล้วในการทำอะไรสักอย่าง”

พุฒไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนรักของเขาจะชัดเจนถึงเพียงนี้ เธอชอบของแบรนด์เนม ซึ่งอาจจะขัดกับบุคลิกนิดหน่อย แต่อีกฝ่ายก็ชอบมันจริงๆ เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนมัธยมต้นพิรุณรักษ์เคยอดข้าวกลางวันเป็นเดือนเพื่อเก็บเงินซื้อกระเป๋าหลุยส์ วิตตองใบเล็กๆ ใบเดียว

แต่ใครจะคิดว่าของแบรนด์เนมจะซื้อเธอได้ง่ายดายถึงเพียงนี้

เขามองเจ้าของดวงตายิบหยีคู่นั้นแล้วเมินหน้าไปทางอื่นอย่างเซ็งๆ

หมอนใบเขื่องถูกโยนมาแบบไม่ให้สัญญาณ โชคดีที่มีสัญชาตญาณของนักฟุตบอลซึ่งมีสายตาว่องไว พุฒจึงสามารถคว้ามันไว้ได้ทันก่อนที่จะลอยมากระแทกใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา

“ทำอะไรของแกวะไอ้ฝน! จะฆ่าฉันหรือไง”

“แค่หมอน แกไม่ตายง่ายๆ หรอกมั้ง” พิรุณรักษ์บอกอย่างไม่ไยดี หันไปคว้าผ้าห่มแล้วโยนให้อีกเหมือนกัน

คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังจะเช็ดผมหันมาคว้าไว้ได้ทันเหมือนตอนที่อีกฝ่ายโยนหมอนมา

“ไม่พอใจอะไรก็เก็บไว้ในใจบ้างก็ได้” เขาบอกแล้วโยนผ้าห่มไปไว้ด้านข้าง “กระเป๋าใบละแสนกว่าบาท ให้นอนพื้น แจ๋วมาก”

“ต่อให้อยากได้คืนก็สายไปเสียแล้วย่ะ”

“หึ!” พุฒขี้เกียจจะเถียง เขาเหนื่อย เมานิดหน่อย และมีอาการเจ็ตแล็ก

พิรุณรักษ์ใช้เวลาเสี้ยวหนึ่งในการสำรวจเพื่อนซึ่งไม่ได้พบกันนาน และยังยืนยันคำเดิมว่าเพื่อนของเธอหล่อระเบิดระเบ้อ ถ้าพวกเจ๊ๆ ที่ทำงานมาเห็นต้องกรี๊ดสลบไปสามร้อยรอบแน่ๆ

“มองอะไร”

“เปล่า”

“อย่าคิดมาลักหลับฉันนะ เตือนไว้ก่อน”

ถึงแม้จะคิดว่าพุฒหล่อขึ้นมากชนิดที่ในชีวิตของเธอไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายที่หล่อขนาดนี้มาก่อน แต่เธอไม่มีวันชอบหมอนั่นแน่นอน แค่คิดก็สะอิดสะเอียนจะบ้าตาย

“สมองแกมีแต่เรื่องแบบนี้หรือไงนะ”

“ช่วยไม่ได้ เพราะว่าฉันหล่อเกินไป จนบางทีสาวๆ ก็มักจะหักห้ามใจไว้ไม่ไหว”

พิรุณรักษ์เม้มปากแล้วกะพริบตาปริบๆ กลั้นใจที่จะไม่ด่าเขาออกไป และจะอดทนทุกอย่างเพื่อชาแนลของเธอ

แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น…

“ไม่เถียง อดทนเพื่อน้องชาแนลสินะ”

“แกอย่ามารู้จุดอ่อนฉันหน่อยเลย”

“ผู้หญิงก็แบบนี้ทั้งนั้น เห็นแก่ของแบรนด์เนม เมื่อไหร่พวกเธอจะพาตัวเองออกมาจากวงจรอะไรแบบนี้เสียที มันก็แค่วัตถุ” พุฒเช็ดผมตัวเองไปบ่นไป ทุกครั้งที่เขามีปัญหากับผู้หญิงไม่ว่าคนไหน ทุกปัญหาจะจบลงได้เพียงแค่เขาหาเบอร์กินสักใบ ไม่ก็ชาแนล ดิออร์อะไรเทือกนั้นมาบรรณาการ

“ทุกคนก็มีเรื่องที่หมกมุ่นกันทั้งนั้น ผู้ชายอย่างแกไม่หมกมุ่นกับอะไรเลยหรือไง เช่นซูเปอร์คาร์อะไรแบบนั้น”

“ไม่! ฉันหมกมุ่นอยู่กับนมอย่างเดียว”

“นมเหรอ” พิรุณรักษ์นิ่วหน้า นมอะไร นมกล่อง ชานม หรืออะไร ฟังดูทะแม่งๆ อย่างไรไม่รู้

“นมอะ นม” เขาชี้ที่หน้าอกตัวเอง

พิรุณรักษ์เบิกตากว้างให้กับความทะลึ่งอันเกินเบอร์นี้ เธอชี้หน้าเขา แต่พุฒก็ยังพูดต่อไปอีก

“แต่ไม่ใช่ของแกแน่นอน”

คราวนี้ความอดทนทั้งหมดพังทลายลงราวกับตึกหลังใหญ่ถูกระเบิดจนแตกเป็นเสี่ยงๆ พิรุณรักษ์กระโจนเข้าไปหาคนลามกแล้วทุบไม่ยั้งมือ

“ไอ้ชั่ว! แกออกไปจากห้องฉันเลยนะ ไอ้บ้าพุฒ”

ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเพราะอะไรพุฒถึงได้มีปัญหาเรื่องผู้หญิงจนถึงขนาดต้องออกจากสโมสร แค่อยู่ด้วยวันเดียว ความเชื่อมั่นในศีลธรรมของเธอก็ถูกเขาสั่นคลอน

พิรุณรักษ์ไม่อยากให้พุฒอยู่ร่วมห้องกับเธออีกต่อไป แม้จะระบายอารมณ์ออกไปบ้างแล้วด้วยการใช้กำลังลงโทษคนปากเสีย แต่เรื่องที่เขามา ‘กล่าวหา’ ว่า ‘หน้าอกเธอเล็ก’ นั้นยังรบกวนจิตใจไม่เลิกอยู่ดี

เขาไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงเธอซ่อนรูปต่างหากย่ะ!

“แกโกรธที่ฉันบอกว่าสาวๆ ที่อังกฤษนมใหญ่เหรอ” พุฒอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงฟุตบอลตัวเดียวกับที่ใส่นอนเมื่อคืน เขายังไม่ได้อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่ตื่นมาเพราะกลิ่นข้าวผัดจนต้องตามมานั่งที่โต๊ะ

เขาคิดถึงอาหารไทยเป็นบ้า เช้าๆ แบบนี้ได้กินข้าวผัด นี่สิถึงจะเรียกว่าอาหาร

แต่พอเห็นหน้าแม่ครัวก็รู้เลยว่ายังโกรธอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน

“ไม่ตอบ แสดงว่าโกรธจริงๆ แกจะคิดมากทำไมวะ ที่ตัวเองนมเล็กก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่หว่า สาวยุโรปมีสรีระต่างจากสาวเอเชียอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องระดับชาติพันธุ์เลยนะ ใครๆ ก็รู้”

“ใครเขาก็รู้เรื่องนี้ แต่บนโลกดันมีผู้ชายประเภทเดียวกับแกไง ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์หน้าอกผู้หญิง”

“ฉันพูดแบบนั้นเหรอ”

“เออดิ!”

“งั้นขอดูใหม่หน่อย” พุฒจับจ้องไปที่หน้าอกของหญิงสาวตรงหน้า ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหน้าแดงซ่านด้วยความโกรธผสมกับความอาย ดูเหมือนจะโกรธจนพูดไม่ออกเลย “…อืม อาจจะไม่ได้เล็กอย่างที่คิดนะ”

“กรี๊ดดด! ไอ้บ้าเอ๊ย!!”

พิรุณรักษ์อยากจะลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้น เธอใช้ชีวิตอย่างสุภาพชนมาหลายปีตั้งแต่เรียนมัธยมปลายจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย มาเจอกับเพื่อนเก่าอย่างพุฒทีเดียว ราวถูกเขาปลุกสัญชาตญาณดิบในตัวของเธอขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

“บอกว่าไม่เล็กก็ยังโกรธอีกเหรอ”

หญิงสาวต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อคุมสติไม่ให้ตัวเองคว้ามีดไปปักกลางอกคนพูด

“ช่างเถอะ”

“ภูมิใจใช่มั้ยล่ะ”

“มาก!” เธอปั้นยิ้มให้ชายหนุ่ม แต่สายตาแอบชำเลืองไปยังส่วนกลางลำตัวของเขา “นี่พุฒ…ฉันรู้สึกว่าแกตัวสูงมากเลยอะ สูงเท่าไหร่เนี่ย”

พุฒเลื่อนจานข้าวผัดของตัวเองมาตรงหน้า แล้วตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ

“หกฟุตกับอีกแปดเซ็นต์”

“อาฮะ” พิรุณรักษ์พยักหน้าช้าๆ “งั้นแสดงว่าจู๋แกก็เล็กอะดิ”

พรวด!

“แค่กๆ” คนถูกวิจารณ์น้องชายพ่นอาหารออกมาเพราะตกใจกับสิ่งที่พิรุณรักษ์พูด สำลักจนหน้าดำหน้าแดง ยิ่งเห็นว่าคนพูดหัวเราะสบายใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง เขาดื่มน้ำและใช้เวลาสักพักกว่าอาการจะดีขึ้น

พิรุณรักษ์เลิกคิ้ว หย่อนกายนั่งลงรับประทานอาหารอย่างสบายใจ

“พูดอะไรน่ะ แกเป็นผู้หญิงนะ”

“ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งนาน น่าจะรู้นะว่ายุคนี้ผู้หญิงผู้ชายเขาเท่าเทียมกันหมดแล้ว แกวิจารณ์นมฉันได้ ฉันก็จะวิจารณ์จู๋แกได้เหมือนกัน”

เขาเม้มปากแน่น ไม่ได้โมโหที่ถูกสบประมาท แต่รู้สึกกระดากนิดๆ ที่ผู้หญิงพูดเรื่องแบบนี้ออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“แล้วรู้ได้ไงว่าผู้ชายตัวสูงจะเล็ก”

“ก็เคยเห็น” พิรุณรักษ์โกหกอีกตามเคย ที่รู้มากก็เพราะฟังพีรวิทย์กับชลชาติเม้าท์มอยกันต่างหาก “แล้วมันจริงหรือเปล่า”

พุฒหรี่ตามองคนที่ทำตาวิ้งวับอย่างไม่สบอารมณ์ เขาจ้องตาเธอแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไม่-จริง!

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: