5
ห้ามจับมือผู้ชายคนอื่น
เพื่อนมัธยมต้นอาจจะคบกันยาวนานไปตลอดชีวิต
พิรุณรักษ์ไม่เคยเชื่อเลยว่าคำกล่าวนี้จะเป็นจริง แม้กระทั่งตอนนี้
เธอกับพุฒเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง และไม่ได้คบกันอยู่แค่สองคน แต่มีกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่สนิทกันมากซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงติดต่อกันอยู่
หกปีก่อน
งานเลี้ยงรุ่นมัธยมของห้อง ม.3/2 ปีนี้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง สาเหตุที่งานถูกจัดขึ้นอย่างเล็กๆ นั้นเป็นเพราะสมาชิกร่วมรุ่นตอบตกลงมางานกันเพียงแค่สิบเอ็ดคนจากสมาชิกของห้องทั้งหมดสี่สิบห้าคน
น้อยลงทุกปี…
พิรุณรักษ์รับปากแล้วต้องมาให้ได้เสมอ เธอฝ่าการจราจรบนท้องถนนของกรุงเทพมหานครในเย็นวันศุกร์สิ้นเดือน และฝนตกอย่างหนักมาถึงร้านอาหารที่นัดหมายจนได้
หญิงสาวจับผมที่เปียกละอองฝนของตัวเองแล้วถอนหายใจ
สวรรค์เมืองกรุง
‘สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง จองโต๊ะไว้หรือยังคะ’
พนักงานร้านอาหารเดินมาถามเธออย่างนอบน้อม
‘จองไว้แล้วค่ะ งานเลี้ยงรุ่นห้อง ม.สามทับสอง’
‘อ้อ! งั้นเชิญด้านในได้เลยนะคะ ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเลยค่ะ’
‘ยังไม่มีใครมาเหรอคะ’ พิรุณรักษ์มองนาฬิกา เพิ่งเลยเวลานัดมาห้านาที เธอเข้าใจว่าทุกคนคงกำลังเดินทางมาจึงเดินตามพนักงานเข้าไปยังห้องที่จองไว้
ความจริงการนัดหมายนี้ถูกจัดขึ้นโดยมินธดา หัวหน้าห้องสามปีซ้อน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาทุกคนล้วนให้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่ในช่วงสองสามปีหลังมานี้ หลายคนเริ่มติดภารกิจทำให้มางานไม่ได้ ปีนี้งานเลี้ยงรุ่นที่เคยจัดในห้องจัดเลี้ยงใหญ่ๆ จึงกลายเป็นการรับประทานอาหารเย็นกันเพียงเท่านั้น
พิรุณรักษ์ให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก ไม่ว่างานอะไรที่เกี่ยวกับเพื่อนเธอจึงไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พนักงานเริ่มนำอาหารที่มินธดาจัดรายการไว้มาเสิร์ฟ พิรุณรักษ์พิมพ์ข้อความส่งเข้าไปในกลุ่มไลน์ถามถึงการเดินทางของเพื่อน แต่กลับไม่มีใครตอบอะไร ต่อสายถึงมินธดาเจ้าตัวก็ไม่รับโทรศัพท์จนเธอเริ่มเป็นกังวล
กระทั่งเวลาผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง พิรุณรักษ์ก็เริ่มอยากจะร้องไห้ เพราะแน่ใจแล้วว่ากำลังถูกเพื่อนเทอย่างแน่นอน หญิงสาวไม่รู้จะจัดการกับอาหารมากมายตรงหน้านี้อย่างไรดีจึงได้แต่นั่งจ้องมันอยู่อย่างนั้น
แล้วอยู่ๆ ประตูไม้ก็ถูกเลื่อนออกพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่เธอคาดไม่ถึง
‘พุฒ?’
คนเพิ่งมาถึงปั้นยิ้มให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่เบาะข้างๆ เธอ
‘มาคนเดียวแต่สั่งมาเต็มโต๊ะขนาดนี้ กระเพาะคนหรือกระเพาะวัววะเนี่ย’
พิรุณรักษ์ไม่ตอบ เพราะรู้ดีว่าเขาเพียงแค่พูดประชดเท่านั้นเอง
‘แกมาได้ไง ไหนบอกไม่ว่าง’ พิรุณรักษ์เห็นลิสต์รายชื่อคนที่จะมางานวันนี้ไม่มีเขาซึ่งปกติก็เป็นแบบนั้นมาตลอดเพราะนานทีปีหนพุฒจะว่างบินกลับมาไทยช่วงที่มีงานเลี้ยง และปีนี้ถึงแม้ว่าเขาจะกลับมาไทยตรงกับวันนัดพอดี แต่ชายหนุ่มก็แจ้งกับทุกคนว่ามาไม่ได้เพราะติดงานสำคัญของครอบครัว
‘ธุระเสร็จก่อนก็เลยแวะมา’
‘สงสารแกว่ะ นี่คงอยากจะเจอเพื่อน แต่ดันมาเจอเพื่อนเท’ พิรุณรักษ์ทำหน้าเมื่อย เธอห่อตัวลงอย่างหมดแรง
ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกเท กลางปีที่ผ่านมากลุ่มสาวๆ เพื่อนร่วมห้องทั้งหมดแปดคนนัดกันไปเที่ยวภูเก็ต แต่อยู่ๆ สมาชิกที่เหนียวแน่นในวันแรกก็ทยอยยกเลิกนัดไปทีละคนสองคนจนสุดท้ายทริปก็ล่มลงในที่สุด พิรุณรักษ์ซึ่งจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าไปแล้วถึงกับเซ็ง เธอต้องลากเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปแทนเพราะเสียดายค่าตั๋วเครื่องบิน
การนัดหมายของเพื่อนดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เธอไว้วางใจไม่ได้เลย
‘ไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีก ของฟรีไม่มีใครแย่งกิน’ พุฒเลื่อนจานปลาดิบมาตรงหน้าแล้วเริ่มกินโดยไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอีก แถมยังดูอารมณ์ดีสุดๆ เพราะมีแก่ใจคว้าตัวเธอไปถ่ายรูปคู่แล้วส่งเข้ากลุ่มไลน์อีกด้วย
ที่น่าโมโหก็คือพอเห็นว่าเป็นพุฒ บรรดาเพื่อนในห้องต่างก็ส่งข้อความเข้ามาสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ โดยไม่สนใจเลยว่าเธอที่ส่งข้อความไปก่อนหน้าแล้วไร้การตอบรับใดๆ จะรู้สึกอย่างไร
ถึงจะน่าโมโห แต่พิรุณรักษ์ก็สะใจไม่น้อย เพราะเพื่อนสาวๆ ที่คลั่งไคล้พุฒต้องพากันเสียดายที่พลาดนัดในวันนี้ แถมยังมีบางคนที่เกิดว่างอยากจะตามมาก็มี
‘ไม่ต้องมาหรอก ฉันกับฝนจะไปต่อร้านอื่นแล้ว ไว้เจอกันโอกาสหน้านะ’
พุฒส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มไลน์ พิรุณรักษ์กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ และอาหารมื้อนั้นก็ค่อยอร่อยขึ้นมานิดหน่อย
ร้านเหล้าแห่งนี้เป็นร้านเหล้าเล็กๆ เปิดถึงตีสองตามกฎหมายกำหนด พุฒกับพิรุณรักษ์มาที่นี่ครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้ว ตอนที่พิรุณรักษ์โดนเทนัดเลี้ยงรุ่นและพุฒโผล่เข้าไปพอดีนั่นแหละ หลังจากห่ออาหารเอาไปแจกคนแถวนั้นเรียบร้อยก็พากันหาร้านใกล้ๆ นั่งดื่มต่อตามคำชวนของพุฒ
เจ้าของร้านเป็นชายไว้ผมเดรดล็อก เลี้ยงสุนัขพิตบูลไว้ตัวหนึ่ง ล่ามโซ่ไว้ที่เสาในร้าน พิรุณรักษ์ต้องหวาดระแวงตลอดเวลาว่ามันจะหลุดออกมาทำร้ายเธอตอนไหน แต่พอไปที่ร้านหลายครั้งเข้า ตอนนี้ ‘เจ้าโกลเด้น’ สุนัขพันธุ์พิตบูลของยูจีนก็คุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี
“โอ้ว! ดูซิว่าเราเจอใคร” ยูจีนเจ้าของทรงผมเดรดล็อกตะโกนเสียงดังจนลูกค้าในร้านที่มีเพียงสองสามโต๊ะมองตามเป็นตาเดียว “พ่อหนุ่มแข้งทอง พ่อนักฟุตบอลชื่อดัง หรือว่าพ่อจอมคลั่งรักดี”
“หุบปาก” พุฒบอกอย่างไม่สบอารมณ์
ยูจีนหันมาหัวเราะแล้วกระแทกไหล่พิรุณรักษ์เบาๆ เป็นการทักทาย
“แค่นี้อารมณ์เสีย งั้นฉันเรียกแกพ่อลูกเศรษฐีห้างหรูก็แล้วกันนะ แบบนี้ได้มั้ย”
“เรียกชื่อธรรมดาเถอะยูจีน ฉันขอร้อง” พุฒนั่งโต๊ะที่ว่าง
พิรุณรักษ์ก็นั่งตาม เธอยิ้มเพราะรู้สึกว่ามีคนที่ฝีปากสมน้ำสมเนื้อมาต่อกรกับพุฒแทนเธอแล้ว
“ไม่ได้ ฉันมีเพื่อนเป็นคนดังระดับนี้ขออวดหน่อยเถอะวะ”
“ไอ้ที่แกพูดมันดูเหมือนอวดตรงไหนวะ ฉันว่าดูเหมือนกำลัง ‘แซะ’ กับ ‘กระแนะกระแหน’ มากกว่า”
“คิดมากน่า พ่อลูกชายเจ้าของอินฟินิตี้วันสุดหล่อ”
ยูจีนยังเดินหน้ากวนประสาทต่อไป จนพุฒต้องยกธงขาวยอมแพ้ให้กับสังเวียนนี้
“เอาเหล้าดีๆ มาสักกลม น้ำแข็ง โซดาด้วย น้ำเปล่าไม่ต้อง”
“เหล้าร้านนี้มีแต่ของสามัญชนนะ มันจะบาดคอท่านหรือเปล่าขอรับ”
ยูจีนยังไม่ยอมลดราวาศอก แต่พอเห็นสีหน้าของพุฒที่มองมาตอนนี้ก็ทำเอาชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล รอยยิ้มระรื่นหายไปทันที
“โอเคๆ จัดให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
ยูจีนเดินหายไปหลังร้าน ร้านนี้มีพนักงานแค่คนเดียวคือพ่อครัว ดังนั้นเจ้าของร้านอย่างเขาจึงรับหน้าที่เสิร์ฟและดูแลลูกค้าด้วยตัวเองทุกโต๊ะ
พอลับหลังเจ้าของร้านจอมแซะ พิรุณรักษ์ก็กล่าวด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นแล้ว
“มาที่นี่ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้ จะหงุดหงิดไปทำไม”
พุฒไม่ตอบอีกตามเคย เหตุผลของเขามีมากมายที่เลือกมาร้านนี้ ข้อแรก…การไปร้านที่มีคนพลุกพล่านเขามักจะตกเป็นเป้าสายตา แน่นอนว่ายามที่มีข่าวเสียหายเกิดขึ้นแบบนี้ สายตาที่มองมาก็ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
ส่วนเหตุผลข้อต่อมา…เขาไม่มีที่อื่นจะไปนั่นเอง
“มาสักหน่อย ร้านจะเจ๊งอยู่แล้ว ต่อชีวิตเจ้าของร้านไปอีกวัน” เขาบอกตอนที่ยูจีนยกเหล้ามาเสิร์ฟพอดี
“อ้าว! ไอ้นักฟุตบอลระดับโลก ปากเสียแล้วนะขอรับ”
พิรุณรักษ์หัวเราะ เธอคีบน้ำแข็งใส่แก้วสามใบ คืนนี้มั่นใจเลยว่าเธอได้นอนที่ร้านนี้แน่นอน
“ว่าแต่สองคนนี้ มาด้วยกันตลอดเลย คบกันแล้วเหรอ” ยูจีนหรี่ตามองอย่างจับผิด
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน นายดูสิ สาวที่เขาควงแต่ละคน มีแต่สาย ฝ. หุ่นต้องแซ่บ หน้าต้องสวย แล้วก็ลุคเซ็กซี่เขย่าเตียงด้วย”
พุฒยิ้มให้กับคำพูดของพิรุณรักษ์พลางรินเหล้าใส่แก้ว
“ไม่แน่นะ ฉันอาจจะเปลี่ยนใจมากินแกงจืดก็ได้” เขาจับจ้องดวงหน้านวล นัยน์ตาวิบวับ “ส่วนเรื่องเขย่าเตียงเนี่ย ฉันเขย่าให้ก็ได้”
พิรุณรักษ์ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปหมด คันยุบยิบในหัวใจแปลกๆ เธอมองหน้าพุฒสลับกับยูจีนถึงรู้ว่าตัวเองถูกแกล้งอีกตามเคย
“ไอ้บ้า! ไอ้ลามก!”
“ใครเริ่มพูดถึงเตียงก่อนกันแน่” เขาบอกและนั่นทำให้พิรุณรักษ์เถียงไม่ออก เธอจึงหันไปถามยูจีน “นายมียาพิษมั้ย ฉันจะใส่ลงไปในแก้วหมอนี่”
“มีสิ เรามาร่วมมือกันเถอะ” ยูจีนส่งมือให้พิรุณรักษ์ หญิงสาวเอื้อมมาจับในทันที
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องอึ้งคือพุฒแกะมือพิรุณรักษ์ออกจากมือของยูจีนแล้วดึงมากุมเอาไว้เอง
พิรุณรักษ์นิ่วหน้ามองพุฒอย่างตกตะลึง และเขาก็ยิ่งทำให้เธองงหนักมากกว่าเดิมด้วยการพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ห้ามเธอจับมือผู้ชายคนอื่น นอกจากฉันคนเดียว”
“โอเค!” ยูจีนยกมือขึ้น “ต่อไปฉันจะไม่แตะผู้หญิงของนายแม้แต่ปลายเล็บ สาบานได้ขอรับ”
“ดี”
พิรุณรักษ์กะพริบตาปริบๆ เรียกสติ
“ทำแบบนี้แล้วคิดว่าฉันจะหวั่นไหวเหรอ” เธอดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา “ต้องพยายามมากหน่อยนะ เพราะฉันไม่ชอบนักกีฬาแต่ชอบนักดนตรี”
พิรุณรักษ์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโชว์รูปคริสเตียนให้เขาดู เพราะรู้ว่าพุฒแค่แกล้งแหย่ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากสนใจมุกหยอดจีบหญิงของเขาให้เสียเชิง ทว่าโดยไม่คาดคิด จังหวะเดียวกันนั้นเองคนในรูปก็โทรเข้ามาพอดี
พิรุณรักษ์ตกใจที่คริสเตียนเป็นฝ่ายโทรหาเธอ กระนั้นก็ยังปั้นยิ้มกระจ่างแล้วเดินออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกโดยไม่สนใจพุฒกับยูจีนอีก
พุฒมองตามพิรุณรักษ์ไปไม่ละสายตา และนั่นทำให้ยูจีนต้องสะกิดเขา
“เฮ้ย!”
“อะไร” พุฒเหล่ตามองคนสะกิดพลางยกเหล้าที่ผสมเรียบร้อยขึ้นดื่ม
“เมื่อกี้แหย่เล่นหรือว่าจริงจังอะ”
“ไม่บอก”
ยูจีนนึกอยู่แล้ว เขาสนิทสนมกับพุฒในรูปแบบของเพื่อน แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นลูกค้าคนหนึ่ง แต่เพราะบุคลิกของยูจีนและพุฒมีความคล้ายกัน แม้รูปร่างหน้าตาจะไปคนทางเลยก็ตาม นั่นทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ต่อให้ห่างหายกันไปนานแต่มิตรภาพก็ยังคงอยู่
และยูจีนก็เชื่อว่าเขารู้จักพุฒดีในระดับหนึ่ง มองเห็นอีกฝ่ายในมุมที่คนส่วนมากไม่เห็น
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เม้าท์มอยยายหนูฝนหน่อยดีกว่า เรื่องหนุ่มนักร้องนี่ไปไงมาไง”
พุฒเหลือบตามองยูจีนอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่-บอก”
“อะไรวะ อะไรก็ไม่บอก คิดจะบอกอะไรบ้างวะเนี่ย” ยูจีนหงุดหงิดกับความเย็นชาของพุฒขึ้นมาบ้างแล้ว กระทั่งพุฒยอมเปิดปากถึงสิ่งที่เขาและคนทั้งประเทศ หรืออาจจะทั่วโลกกำลังสงสัยอยู่ตอนนี้
“แกคงอยากรู้เรื่องข่าวของฉันมากกว่าใช่มั้ย”
เจ้าของทรงผมเดรดล็อกเบิกตาโตขึ้นทันที เขาขยับเข้าไปใกล้คนพูด
“มากเลยล่ะ”
“เรื่องมันยาว สรุปสั้นๆ ก็คือฉันไม่ได้เป็นชู้กับเมียเพื่อน ไม่มีวันทำ”
พอได้ฟังเรื่องจริงจังขนาดนี้ แววตาของยูจีนก็นิ่งขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก มันกระทบถึงชื่อเสียงในวงกว้าง และแน่นอนว่าเป็นคดีความใหญ่โตเลยทีเดียว
“ฉันก็เชื่อว่าแกไม่ทำหรอก”
“แต่คนส่วนมากเชื่อว่าฉันทำ”
“ก็จริง มันมีภาพหลุดขนาดนั้นนี่หว่า ฉันยังอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับแกได้ยังไงวะ” เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง “ว่าแต่แกมีทางออกแล้วใช่มั้ยว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้”
“อืม” พุฒพยักหน้าแล้วดื่มต่อ อันที่จริงเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ไหม
พิรุณรักษ์รับสายของคริสเตียนด้วยอาการเกร็งสุดขีด เพราะเธอฝากข้อความไว้ให้เขาว่าติดธุระจึงไม่ได้อยู่รอตามที่นัดหมายไว้
“สวัสดีค่ะ”
“คุณฝนถึงบ้านแล้วหรือยังครับ”
“อ้อ! ยังหรอกค่ะ” เธอบอกพลางมองเข้าไปในร้านเห็นพุฒนั่งดื่มอยู่กับยูจีน “น่าจะอีกสักพักเลย”
“อย่าไปในที่อันตรายนะครับ เป็นห่วง”
แม้เธอจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนอายุใกล้เลขสามแล้ว มองออกว่าคริสเตียนนั้นเป็นหนุ่มมากเสน่ห์ที่รู้จุดอ่อนของผู้หญิง และการที่เขาพูดว่า ‘เป็นห่วง’ นั้น ในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยก็ได้
ทั้งๆ ที่รู้แต่เธอก็อดที่จะรู้สึกกับมันไม่ได้
“ค่ะ อยู่กับเพื่อนหลายคน ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แล้วคุณคริสล่ะคะ กลับเลยหรือเปล่า”
“ครับ อีกสักพัก แต่เสียดายที่ไม่ได้คุยกันมากกว่านี้”
“นั่นสิคะ”
“งั้นเราแก้ตัวด้วยการนัดทานข้าวกันดีมั้ยครับ”
เอาล่ะ! ครั้งนี้ใจเธอถลำลึกไปอีกขั้นแล้ว อย่างง่ายดายเลยด้วย
“ได้สิคะ”
“งั้นผมจองตัวเลยแล้วกันนะครับ อีกสองวันผมไม่มีงาน เราไปทานมื้อเย็นกัน”
ตายจริง! นี่เธอตอบตกลงเขาง่ายเกินไปหรือเปล่านะ คุยกันแค่วันเดียว เขาจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน มันจะดูแรด จะดูไม่มีคุณค่าหรือเปล่า
แต่ช่างมันเถอะ เธออายุยี่สิบเก้าปี อีกไม่กี่เดือนก็จะสามสิบแล้ว โตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว อีกอย่างเธอไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับเขา ซึ่งเธอพลาดมาแล้วหนหนึ่งเพราะเจอกับมารผจญอย่างพุฒ
ดังนั้น…คริสเตียนจะมองเธออย่างไรก็เอาที่เขาสบายใจเลย
“อีกสองวันหรือคะ ฉันคิดว่าวันพรุ่งนี้เสียอีก…ล้อเล่นน่ะค่ะ อีกสองวันพบกันนะคะ”
เช้าวันจันทร์สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ผิดจากที่พิรุณรักษ์คาดการณ์ไว้เท่าใดนัก เพราะสองรุ่นพี่ดักรอป้อนคำถามเธออยู่
ฐิติวรดาก็น่าจะรู้เรื่องแล้วเช่นกัน เพราะเพื่อนสาวเองก็มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไรกันเหรอคะ” แม้ว่าจะรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว แต่พิรุณรักษ์ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร
“อย่ามาไขสือชะนีน้อย เธอกับพุฒ?” ชลชาติยิงคำถามทันทีอย่างไม่รั้งรอ “เล่ามา”
พิรุณรักษ์วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง
“ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันค่ะ”
“เป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนไหน แล้วสนิทแค่ไหน ทำไมพวกเราไม่เคยรู้เลยล่ะ” ฐิติวรดาคาดคั้นต่อราวกับว่าเจ้าหล่อนอยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นด้วย
“เป็นเพื่อนตั้งแต่มัธยมน่ะ”
“แล้วไปสนิทกันได้ยังไง เขาดูไม่เหมือนคนที่จะมาเป็นเพื่อนกับคนระดับเราเลยนะ” ฐิติวรดาถามต่อ
พิรุณรักษ์นั้นรู้อยู่ลึกๆ ว่าเพื่อนร่วมงานที่เธอสนิทสนมด้วยคนนี้มีนิสัยไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตัวเอง และคงไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่รู้ว่าพิรุณรักษ์เป็นเพื่อนกับคนระดับพุฒ บริพัตรเมธานนท์ แต่กระนั้นพิรุณรักษ์ก็มักจะมองข้ามนิสัยข้อนี้ของเจ้าหล่อนไป และเลือกที่จะไม่ถือสาคำพูดของเพื่อน
“อันที่จริงก็ไม่ได้สนิทอะไรมากหรอก แค่เรียนด้วยกันตอน ม.ต้น เท่านั้นเอง”
“พี่ว่าไม่ใช่นะ ตอนที่เขาเดินเข้ามาทักทายฝน พี่มองออกว่าเขาไม่ได้มาทักทายตามประสาเพื่อนเก่าเลย เหมือนคนสนิทสนมกันอยู่ตลอด อีกอย่างเขาเป็นคนให้กระเป๋าชาแนลกับฝนด้วยไม่ใช่เหรอ” พีรวิทย์ซึ่งไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเป็นนิสัยก็ยังอดถามไม่ได้
“จริงๆ ก็สนิทแหละค่ะ เราติดต่อกันตลอด เพราะเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แล้วช่วงหลังมานี้เจอกันบ่อยเพราะฉันเป็นเพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีครอบครัว ส่วนกระเป๋าชาแนลนั่นก็แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของคนรวยน่ะค่ะ ฝนไม่อยากเล่าให้ใครฟังว่ารู้จักเขา เดี๋ยวคนจะมองว่าขี้อวด”
พิรุณรักษ์บอกพลางมองหน้าฐิติวรดา เจ้าหล่อนฟังแล้วแสร้งเมินไปทางอื่น ก่อนจะพูดเหมือนไม่ใส่ใจ
“โอ๊ย! ไม่มีใครเขาอิจฉาหรอก เป็นแค่เพื่อน ได้เป็นแฟนเมื่อไหร่ค่อยอิจฉา”
คำกล่าวนั้นทำให้พิรุณรักษ์ได้แต่ปั้นหน้าเรียบเฉย สบตาชลชาติกับพีรวิทย์ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ
“มีใคร สงสัยอะไรอีกมั้ยคะ”
“สงสัยเยอะอยู่” ชลชาติยังแคลงใจ แต่ถูกพีรวิทย์สะกิดเตือน
“อย่าสงสัยอะไรเยอะเลยน่า จะได้เวลางานแล้ว เดี๋ยวมีคนไปฟ้องหัวหน้า คราวนี้จะได้ไปสงสัยว่าจะตกงานมั้ยแทน”
“เจ็บแสบเหลือเกินแต่ละคำ” เกย์หนุ่มเหยียดริมฝีปากใส่เพื่อน แล้วหันไปบอกกับพิรุณรักษ์เป็นประโยคสุดท้าย “ว่างๆ พาฉันไปรู้จักเขาบ้างสิ อยากมีซีนน่ะ อยากรู้จักคนดัง”
ฐิติวรดาระบายลมหายใจออกมา เธอยังคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของพิรุณรักษ์กับพุฒ เธอไม่เห็นกับตา จึงยังไม่เชื่อว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกันมากอย่างที่สองรุ่นพี่เล่าให้ฟังจริงๆ
“เจ๊ชลลี่ ถึงเขาจะเป็นเพื่อนของฝน แต่ฝนคงไม่สนิทกับเขาถึงขั้นพาเราไปรู้จักได้หรอกมั้ง”
“อืม! แหวนพูดถูก ให้เขาอยู่บนหิ้งต่อไป เราอย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่านะคะ”
หลังจากนั่งทำงานแบบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาคุยกับใครเลย พอพักเที่ยงทุกคนจึงมีท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก
“พนักงานออฟฟิศนี่เหมือนถูกสาปให้เป็นโรคปวดหลัง” พิรุณรักษ์กล่าวพลางบิดต้นคอไปซ้ายทีขวาที ขณะกำลังเรียงแถวเดินเข้าไปในร้านอาหารเจ้าประจำซึ่งอยู่ติดกับสโมสรฟุตบอลที่พวกเธอชอบไป ‘ส่องผู้ชาย’
“นั่นสิ เงินเดือนสามหมื่น ค่าหมอนวดปาไปเกือบหมื่นละ” พีรวิทย์ที่ประสบปัญหาเดียวกันบ่นตาม
“นี่ไง ถึงได้พามาหาผู้ชายสักคน นวดได้ทุกจุดที่ต้องการ” ชลชาติผู้เสนอให้ทุกคนมากินมื้อกลางวันที่นี่กล่าวด้วยคำพูดที่คนฟังคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย
“ทะลึ่งไปจ้ะเจ๊” พิรุณรักษ์บอกแบบนั้นแต่ก็หัวเราะชอบใจ
“ช่วงนี้ยายแหวนว่างมากินข้าวกับเราบ่อยนะ ผู้ชายไปไหนซะล่ะช่วงนี้” ชลชาติถามไปเรื่อยเปื่อยหลังจากได้โต๊ะแล้ว
“ติดงานน่ะ ไปกับหัวหน้าแผนก เห็นว่าเดือนหน้าหัวหน้าแผนกคนนี้จะลาออก แล้วพี่ปุณจะได้ขึ้นแทนก็เลยต้องเรียนรู้งานเยอะหน่อย” เธอกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“จริงเหรอ เริดอะ ถึงว่าช่วงนี้ราศีคุณนายจับ”
ฐิติวรดาไม่ปฏิเสธคำชม เธอยิ้มแล้วไหวไหล่อย่างยอมรับ
“แล้วนี่งานแต่งเตรียมไปถึงไหนแล้วอะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” พิรุณรักษ์ยินดีกับเพื่อนอย่างจริงใจ
จากนั้นบทสนทนาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานแต่งที่ใกล้จะมาถึงของฐิติวรดากับปุณชัย แต่ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการสนทนาอยู่นั้น ใครบางคนก็โผล่มาโอบกอดพิรุณรักษ์จากด้านหลังแล้วโน้มใบหน้ามาจนชิดกับใบหน้าของเธอ
พิรุณรักษ์ตกใจตัวแข็งทื่อ แต่พอเห็นว่าเป็นพุฒ อาการตกใจก็เปลี่ยนเป็นอยากจะทุบหน้าหล่อๆ นั้นให้แบะทันที
“พุฒ! ใครใช้ให้โผล่มาแบบนี้ฮะ ตกใจหมด”
“ก็เซอร์ไพรส์ไง”
“เออ! เซอร์ไพรส์มาก” พิรุณรักษ์ดันใบหน้าหล่อเหลานั้นออกห่าง พุฒพรางใบหน้าตัวเองด้วยหมวกแก๊ป แว่นตากันแดด และสวมมาสก์สีดำ แต่ให้ตายเถอะ เขายังดูโดดเด่นอยู่เลย
พุฒหัวเราะแล้วยืดตัวขึ้นก่อนจะดึงเก้าอี้ที่ว่างมานั่งข้างพิรุณรักษ์
ไม่ต้องถามเลยว่าเพื่อนร่วมงานอีกสามคนเป็นอย่างไร พวกเขานิ่งเป็นก้อนหินไปเลย
พิรุณรักษ์ได้แต่ถอนหายใจ พุฒมีอิทธิพลพอๆ กับพวกดาราเลยล่ะ การที่คนอื่นได้เห็นเขาในระยะใกล้แค่นี้ มีใครไม่อึ้งบ้าง
“นี่เพื่อนร่วมงานฉัน พี่แพทกับเจ๊ชลลี่ที่แกเจอวันก่อน ส่วนนั่นแหวน”
“สวัสดีครับทุกคน”
“คนนี้ก็น่าจะรู้จักอยู่แล้วเนาะ” พิรุณรักษ์ชี้นิ้วไปที่พุฒ
ชลชาติหลุดขำเพราะเผลอคิดถึงบทสนทนาเมื่อเช้าเรื่องที่ตนอยากให้พิรุณรักษ์พาพุฒมาให้รู้จัก แต่ฐิติวรดากลับมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นั้นกลับเกิดขึ้นภายในสามชั่วโมงเศษ
คนอื่นๆ เห็นชลชาติหัวเราะจึงหัวเราะตามไปด้วย ยกเว้นก็แต่ฐิติวรดาที่หน้าชาไปทั้งแถบ
“ขำอะไรกันเหรอครับ”
“คือพวกเราคุยกันเมื่อเช้าเองว่าอยากเจอคุณอีกสักครั้ง แต่น้องฝนบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะได้พบคุณอีก แล้วเราก็คิดว่าจริง เพราะคุณเป็นถึงนักฟุตบอลระดับโลก น่าจะเข้าถึงตัวยากน่ะค่ะ” ชลชาติรีบอธิบายเพราะกลัวว่าพุฒจะคิดเข้าใจผิดว่ากำลังถูกหัวเราะเยาะ
“ฝนเขาเป็นแบบนี้แหละครับ ชอบหวงผมไว้คนเดียว”
“อย่าสร้างข่าวปลอมได้มั้ยฮะ” พิรุณรักษ์กระทุ้งศอกไปที่หน้าท้องของพุฒเต็มแรง แต่เนื่องจากมันอุดมไปด้วยมัดกล้าม เขาจึงไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเดียว
พุฒถลึงตาใส่พิรุณรักษ์แล้วหันไปคุยกับคนอื่น
“ผมเข้าถึงไม่ยากหรอกครับ ต่อไปนี้ก็อาจจะได้เจอกันบ่อยๆ ใช่มั้ยฝน” ประโยคหลังเขาหันมาถามพิรุณรักษ์
เธอไม่ตอบ แต่เปลี่ยนไปถามคำถามใส่เขาแทน
“แกมาทำอะไรที่นี่อะ เห็นว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ”
“อืม! ธุระที่สนามบอลข้างๆ เนี่ย”
พิรุณรักษ์แปลกใจว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร แต่เธอคิดว่าเก็บคำถามนั้นไว้ถามตอนอยู่กันสองคนดีกว่า
“กินข้าวหรือยัง”
“ยังเลย”
“สั่งสิ”
“มีนัดแล้ว ว่าแต่ฝนเถอะ เลิกงานกี่โมง กลับพร้อมกันมั้ย”
การสนทนาด้วยประโยคธรรมดาเหล่านั้นทำให้ชลชาติ พีรวิทย์ และฐิติวรดาคิดตรงกันว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ในระดับแค่เพื่อนร่วมห้องเรียนทั่วไปแน่ๆ ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนในครอบครัว หรือเป็นคนรักยังจะดูน่าเชื่อมากกว่า
พิรุณรักษ์ขนลุกเล็กน้อยที่พุฒเรียกชื่อเธอ แทนที่จะเป็น ‘แก’ เหมือนทุกที แต่หญิงสาวก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปก่อนจะตอบคำถามของเขา
“ไม่! เย็นนี้มีนัดแล้ว”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.