บทที่ 3
ตอนที่จ้าวหนานเซียวพบกับสวีซู่เป็นครั้งแรกเธอเพิ่งจะอายุสิบห้า เขาอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีก็คือสิบสี่ ภายหลังทั้งสองเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน บ้านของเขาและเธอมีความผูกพันกันเล็กน้อย ดังนั้นแม้ว่าหลายปีมานี้จะไม่ได้เจอกันอีก พอพบกันอีกครั้งเมื่อครู่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เต็มไปด้วยความแปลกหน้าไม่คุ้นเคย แต่ระหว่างทั้งสองจะเรียกว่าแปลกหน้าก็ไม่ได้จริงๆ
แต่ว่าในเมื่อเขาทำเหมือนกับเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก เธอคงไม่แสดงตัวออกมาว่ารู้จักกันแล้ว
ที่จริงเป็นแบบนี้ก็ดี อีกอย่างเธอก็ไม่มีเรื่องเก่าๆ อะไรจะคุยกับเขา
จ้าวหนานเซียวสบสายตาของคนคนนั้นที่มองมา ปลายนิ้วแตะฝ่ามือของเขาที่ค้างอยู่กลางอากาศ
“จ้าวหนานเซียว วิศวกรสวีไม่ต้องเกรงใจ” ท่าทีของเธอมีมารยาทในการทำงานเหมือนเวลาปกติ “ฉันคิดว่าทางผู้จัดการหยางคงจะรายงานสถานการณ์ให้คุณบ้างแล้ว ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากฉันทางนี้ กรุณาบอกมาเลยค่ะ”
สวีซู่เก็บมือกลับไปช้าๆ แล้วพยักหน้า “สถานการณ์พื้นฐานผมเข้าใจแล้ว ถ้าคุณสามารถช่วยได้ก็จะดีไม่น้อย แต่ก่อนที่จะสรุปผล ผมอยากไปดูตัวสะพานก่อน ข้อนี้เชื่อว่าวิศวกรจ้าวคงเข้าใจ”
เขาก็ใช้น้ำเสียงเป็นทางการอย่างเวลาทำงาน
“แน่นอนค่ะ เชิญวิศวกรสวีตามสบาย ฉันรอได้เสมอ”
ชายหนุ่มมองดูเธอ สายตาทอประกายอย่างมีนัยไม่ชัดเจน ก่อนจะหันไปมองทางทิศของสะพานแห่งนั้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
“เหล่าหยาง ผมจะไปดูสถานที่สักหน่อย”
หยางผิงฝูรั้งเอาไว้ “ไม่ต้องรีบครับ! วิศวกรสวีคุณเพิ่งมาถึงตอนเที่ยงตรง กินข้าวกันก่อนเถอะ!”
คนงานหลายคนกินข้าวเสร็จและไปแล้ว ถาดอาหารสองสามใบที่อยู่บนโต๊ะอาหารก็ถูกกวาดถึงก้นถาดตั้งแต่แรก
“วิศวกรสวีคุณรอก่อน เดี๋ยวผมเรียกให้คนทำอาหารผัดกับข้าวสะอาดๆ สองสามอย่างให้คุณต่างหาก!”
“ไม่ต้องหรอก ผมกินที่ตัวอำเภอมาแล้ว ยังไม่หิว”
บนโต๊ะมีหมวกนิรภัยใบหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคนงานคนไหนทิ้งไว้ เขาเก็บขึ้นมาแล้วหมุนตัวจากไป
“อ๊ะ งั้นผมให้คนมาเปลี่ยนหมวกให้คุณ!” หยางผิงฝูเรียกเขาอีก
สถานที่ก่อสร้างมีการแบ่งแยกเพื่อความสะดวกและเพื่อประโยชน์ในการทำงาน สีหมวกนิรภัยของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไป
คนงานทั่วไปสวมหมวกสีเหลือง คนงานมีฝีมือสวมหมวกสีน้ำเงิน บุคลากรรักษาความปลอดภัย การก่อสร้าง ตรวจสอบทางเทคนิค หรือดูแลเรื่องพื้นฐานสวมหมวกสีแดง ผู้ที่สวมหมวกนิรภัยสีขาวโดยทั่วไปแล้วเป็นคนดูแลงานวิศวกรรมหรือคนจากฝ่ายโครงการ เป็นบุคลากรที่ดูแลในระดับกลางถึงสูง
“ไปหาใบสีขาวมาให้วิศวกรสวี…”
หยางผิงฝูสั่งคนงานคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เงยหน้ามาก็เห็นวิศวกรสวีสวมหมวกสีเหลืองเดินก้าวยาวมุ่งไปทางไซต์ก่อสร้างแล้ว จึงรีบตามไป
จ้าวหนานเซียวหันหน้ามาพูดกับเฉินซงหนานที่ยังคงจ้องมองเงาหลังของสวีซู่ “กินข้าวเสร็จแล้วก็เอาข้อมูลของเราไปถ่ายเอกสารให้เขาชุดหนึ่ง”
“ครับ!”
เฉินซงหนานกวาดข้าวสองสามคำที่เหลืออยู่ในกล่องข้าวเสร็จแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เย็นวันนั้นสวีซู่ก็ไม่กลับไปตัวอำเภอ เขาอยู่ค้างในอาคารของโรงเรียน นอนร่วมกับคนงานสองสามคน ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้จ้าวหนานเซียวรอนาน วันต่อมาหลังจากที่จัดประชุมอย่างง่าย เขาก็อนุมัติแผนงานของเธอ ให้ทีมก่อสร้างรอคำแนะนำสุดท้ายจากทางสถาบันออกแบบ
ไม่กี่วันต่อมาจ้าวหนานเซียวก็ได้รับการอนุมัติ พวกเขาเห็นชอบต่อรายงานของเธอ
โครงการนี้เป็นสำนักงานจัดการที่ว่าจ้างให้ก่อสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐานของสะพานถนน ในเมื่อคนที่รับผิดชอบโครงการวิศวกรรมของฝ่ายออกแบบเดิมและหน่วยงานก่อสร้างต่างยืนยันอย่างนี้ ก็แสดงว่าตอนนี้ได้เคาะค้อนลงมติแล้ว
จ้าวหนานเซียวจัดเก็บข้อมูลเสร็จก็ออกจากห้องเรียนที่ใช้เป็นห้องทำงาน เดินมาที่ระเบียง เห็นหยางผิงฝูขวางอยู่หน้าสวีซู่ที่มุมทางเดิน
นี่เป็นทางที่เธอต้องผ่านหากจะกลับที่พัก เมื่อโดนขวางไว้ เธอจึงลังเลเล็กน้อยแล้วเดินช้าลง
หยางผิงฝูดึงบุหรี่กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หยิบขึ้นมาส่งให้วิศวกรสวีหนึ่งมวนแล้วพูดว่า “ไม่ได้พกบุหรี่ดีๆ ติดตัวไว้ นี่ผลิตในท้องถิ่นเรา ว่ากันว่าละมุนกลมกล่อม ทั้งยังกระตุ้นให้ตื่น วิศวกรสวีคุณลองดู ถ้าหากชอบ บอกมาคำเดียว ครั้งหน้าผมเอามาให้”
สวีซู่รับไปแล้วก็ดม หยางผิงฝูจุดบุหรี่ให้ ชายหนุ่มสูดคำหนึ่งแล้วพ่นควันออกมา พยักหน้า
“ไม่เลวเลย” เขามองหยางผิงฝูทีหนึ่งแล้วถาม “เหล่าหยาง คุณมีเรื่องอะไรอีก”
“วิศวกรสวี คุณเพิ่งมาถึง เรื่องบางอย่างที่นี่คุณอาจไม่ค่อยเข้าใจ ซัพพลายเออร์วัสดุจากเหล็กกล้าที่เกี่ยวข้องกับโครงการวิศวกรรมคือน้องชายภรรยาของรอง ผอ. สำนักงานจัดการคนหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ ก่อนหน้านี้คอยจัดซื้อให้ทางนั้นมาตลอด ครั้งนี้เพื่อที่จะเร่งระยะเวลาก่อสร้างได้เตรียมสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ส่งของมา…”
ผู้จัดการตั้งใจลดเสียงพูดให้ต่ำลงแล้ว แต่ก็ยังพอเข้าหูแว่วๆ จ้าวหนานเซียวหยุดฝีเท้า
“…ช่างเทคนิคบอกว่าจะใช้วัสดุจากเหล็กกล้าก็ได้ คุณดูว่าคุณสามารถบอกผู้หญิงที่มาจากสถาบันออกแบบคนนั้นอีกทีได้รึเปล่า หรือไม่ก็ ขอแค่ทางนี้คุณอนุมัติให้ใช้วัสดุจากเหล็กกล้าก็พอ เรื่องทางสำนักงานไม่ใช่ปัญหา”
“ถ้าหากว่าผมเปลี่ยนวัสดุ คุณจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง” สวีซู่ถามด้วยท่าทีสบายๆ
หยางผิงฝูทำสีหน้าเหมือนถูกกล่าวหาทันที พยายามแก้ตัว พอเห็นอีกฝ่ายมองตนเองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ใบหน้าก็ร้อนผ่าว เอ่ยอย่างกระดาก “ไม่ใช่ว่าผมอยากได้ผลประโยชน์อะไรจริงๆ งานสายนี้ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ผมเองก็ไม่มีทางเลือก อีกอย่างผมเป็นคนงานตัวเล็กๆ ถ้าจะมีผลประโยชน์อะไรพอแบ่งมาถึงผมก็มีแต่ขายุง เพียงพอให้เลี้ยงของว่างมื้อดึกกับพี่น้องที่ทำงานใต้สังกัดเท่านั้นเอง…”
เขาพูดพลางหันกลับไปมองข้างหลัง เมื่อไม่เห็นใครก็ล้วงซองจดหมายออกมาจากในกระเป๋าเสื้อซองหนึ่งแล้วยื่นส่งไป
สวีซู่หัวเราะ “อะไรกัน ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างก็จะแบ่งผลประโยชน์แล้วหรือ”
หยางผิงฝูก็หัวเราะพลางพูด “แค่ค่าเหนื่อยเล็กๆ น้อยๆ วิศวกรสวีคุณวางใจได้ ผมกล้าเอาหัวเป็นประกันให้คุณ วัสดุที่ใช้เป็นของดี ตรงตามมาตรฐานแน่นอน ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรแม้แต่นิดเดียว…”
เขาพูดยังไม่ทันจบคำก็เห็นคนหนุ่มตรงหน้าพลันหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“แล้วถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาล่ะ”
หยางผิงฝูชะงักไป
“ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่หัวของผู้จัดการหยางอย่างคุณเลย ต่อให้บิดหัวของรอง ผอ. สำนักงานอะไรนั่นออกมาก็ไม่พอชดใช้!”
สวีซู่โยนบุหรี่ทิ้ง เหยียบให้ดับแล้วหมุนตัวจากไป
“วิศวกรสวี!” หยางผิงฝูทำใจแข็งรีบเรียกอีกฝ่ายไว้ “คุณอย่าเพิ่งรีบไป ผมได้ยินเลขาฯ เหยียนบอกว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางนี้มีโครงการใหม่ขนาดใหญ่ที่ต้องการประมูลก่อสร้าง ผู้จัดการก็คือรอง ผอ. สำนักงาน พวกเราได้เตรียมการล่วงหน้าไว้พร้อมแล้ว มีกำลังที่พร้อมประมูล แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องแข่ง…”
สวีซู่หยุดฝีเท้า หันกลับมาช้าๆ
ชายหนุ่มแซ่สวีคนนี้มองแวบแรกเหมือนหนุ่มเสเพลไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่พอลงไซต์ก่อสร้างแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งครัดเอาการ นอกจากนี้จากการสังเกตของเขาอีกฝ่ายยังดูเป็นมืออาชีพอีกด้วย
หยางผิงฝูถูกสายตาคมปลาบของอีกฝ่ายจ้องมองจนในใจเริ่มปั่นป่วน จึงฝืนยิ้มแห้ง “วิศวกรสวี มองผมแบบนี้ทำไม”
สวีซู่เดินกลับมา “เหล่าหยาง ผมรู้ว่าคุณทำงานสายนี้มากี่ปีแล้ว คิดว่าผมยืนไปคุยไปไม่ปวดเอว* หรือไง ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ”
“ที่ไหนกัน…” หยางผิงฝูปฏิเสธ
สวีซู่หัวเราะ “ผมจะบอกให้นะ แนวหน้ามีอะไรเกิดขึ้น ลำบากขนาดไหน สิ่งที่ผมรู้ไม่ได้น้อยไปกว่าคุณ หยางผิงฝู” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “ความจริงทุกคนก็ลำบากกันทั้งนั้น”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน แค่ไม่ล้ำเขตเส้นแดง ใครจะเตรียมสินค้า ผมไม่ยุ่งด้วย ขอเพียงทำงานในตอนท้ายให้ดีก็พอแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ผมเพิ่งบอกไปว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้! ไม่ต้องมาบอกว่ารอง ผอ. สำนักงานอะไรทั้งนั้น ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้หรือเล่าจื๊อมาให้สร้างพระตำหนักหลิงเซียว* ผมก็จะพูดแบบนี้ ก่อสร้างตามแผนงานของวิศวกรจ้าวซะ! ถ้าประมูลงานไม่สำเร็จเพราะไปล่วงเกินใครมาจริงๆ ให้โทษเบื้องบน ผมรับผิดชอบเอง!” สวีซู่พูดจบก็สะบัดหน้าจากไป
หยางผิงฝูยืนตะลึงอยู่กับที่ ครู่หนึ่งค่อยได้สติ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“…หัวหน้าฝ่าย เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคนที่เบื้องบนส่งมา แต่ว่าคนหนุ่มสาวมักหุนหันพลันแล่นไม่ยอมฟังอะไรเลย เรื่องโครงการก่อสร้างเรื่องเล็ก เรื่องสำคัญคือเป้าหมายหลักหลังจากนี้ ตอนนี้บริษัทสาขาไม่ใช่แค่ดูผลงาน ระหว่างบริษัทสาขาเองก็มีแข่งขันกันเพื่อผ่านการประเมิน ทุกอย่างกดดันไปหมด ถ้าหากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ก็ไม่คุ้มเลยจริงๆ นะ…” เขาบ่นระบาย
ทางนั้นกระแอมทีหนึ่ง “พอแล้ว! ไม่ต้องพูดแล้ว ก่อสร้างไปตามแผนงานที่เซ็นก็พอ”
หยางผิงฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังรู้สึกไม่ยินยอม
“ไอ้เด็กนี่มันมาจากไหน ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน”
ในโทรศัพท์ทางนั้นก็เอ่ย “เขาแซ่อะไร”
“สวี”
“แล้วประธานใหญ่แซ่อะไร”
“แซ่สวี…” หยางผิงฝูเพิ่งพูดออกไปก็เข้าใจทันที “ญาติของประธานใหญ่หรือ”
“ลูกชาย!”
หยางผิงฝูตะลึงงัน
“ว่าไปก็แปลก งานในเครือมีทั้งอสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน ถ้าเขาอยากไป มีที่ไหนไม่ทั้งสบายและมีหน้ามีตา ดันอยากมาทำงานก่อสร้าง ได้ยินว่าที่เรียนตอนอยู่ต่างประเทศเมื่อสองสามปีก่อนก็เป็นด้านนี้ พอกลับมาก็ไปทำถนนที่ภาคตะวันตก ดูเหมือนจะอยู่เป็นปีกว่า นั่นไงล่ะ เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน นายน่ะโชคดี นายเจอเข้าให้แล้ว”
หยางผิงฝูพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“ยังไงก็เอาตามนี้ละกัน นายทำตามที่เขากับคนของสถาบันออกแบบบอกก็พอ คุณภาพมาก่อน ข้อนี้ต้องรับประกันไว้ให้ได้ พวกเรามีการแข่งขัน พอเทียบกับเมื่อหลายปีก่อนแล้วสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย ถึงจะล่วงเกินคน แต่ก็ไม่ถึงกับโดนบีบจนเกินไป…”
จ้าวหนานเซียวแอบออกมาจากหลังประตูผุพังของห้องเรียน กลับไปยังสถานที่พักของตัวเอง
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง สถานการณ์ที่ไซต์ก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น จ้าวหนานเซียวก็เตรียมจะไปแล้ว คืนก่อนหน้าที่จะกลับเธอไปค้างที่ตัวอำเภอ จะได้ขึ้นรถไฟรอบเช้าวันถัดไปได้ทัน
เย็นวันนั้นสวีซู่ขับรถไปส่งเธอกับเฉินซงหนานที่อำเภอ เข้าพักในโรงแรมที่มีการเซ็นสัญญารับรองแขกกับรัฐบาลท้องถิ่น
เศรษฐกิจในท้องถิ่นยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่นัก นอกจากถนนใหญ่ไม่กี่สายในใจกลางที่ดูแล้วถือว่าสว่างไสวเป็นระเบียบ ถนนสายอื่นส่วนใหญ่ที่เห็นในอำเภอยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบเก่าที่สร้างในศตวรรษที่แล้ว โรงแรมที่เรียกตัวเองว่าห้าดาว อย่างมากสุดก็ได้ห้องพักมาตรฐานสามดาว แต่นี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดที่จ้าวหนานเซียวได้นอนในช่วงนี้แล้ว อย่างน้อยก็ได้อาบน้ำอุ่นดีๆ
สองวันมานี้อยู่ๆ อุณหภูมิก็ลดลง เย็นเมื่อวานซืนขณะที่เธอต้มน้ำเช็ดตัวก็เหมือนจะหนาวจนแข็งเล็กน้อย วันนี้พอเสร็จงานได้ผ่อนคลาย ศีรษะกลับรู้สึกปวด คนก็อ่อนยวบไม่มีแรง แต่ตลอดทางที่นั่งรถมาตัวอำเภอกลับอดทนไว้ไม่แสดงออกมา ถึงโรงแรมแล้วก็เข้าห้อง ทั้งล้าทั้งเพลีย แม้จะเป็นเวลาอาหาร แต่เธอไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด คิดแค่ว่าอยากอาบน้ำแล้วเข้านอนเร็วหน่อย
จ้าวหนานเซียวแกะยาสำรองที่พกติดตัวไว้ตลอดออกมาจากมุมกระเป๋า ขณะกำลังจะกิน กริ่งประตูก็ดังขึ้น เธอจึงเดินไปเปิดประตู
“เสี่ยวเฉิน?”
“วิศวกรจ้าว วิศวกรสวีบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นพวกเรา เขารู้จักร้านอาหารชื่อดังในถิ่นนี้ รสชาติไม่เลว” เฉินซงหนานหันไปมองทางลิฟต์
หญิงสาวมองไปตามทางที่อีกฝ่ายมอง สวีซู่สองมือล้วงกระเป๋า ยืนอยู่หน้าลิฟต์โดยหันข้างให้ทางนี้ สายตาตกอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนกำลังศึกษาหน้าจอเล็กๆ ด้านบนที่มีตัวเลขเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงชั้นอาคาร
เธอเก็บสายตากลับมา ยิ้มเล็กน้อยแล้วบอก “อีกสักพักฉันมีธุระ ไม่ไปดีกว่า พวกนายไปกินกันเถอะ”
จ้าวหนานเซียวพยักหน้าให้เฉินซงหนานที่มีสีหน้าผิดหวัง จากนั้นก็ปิดประตู แกะยาแก้หวัดสองเม็ดออกมาจากแผงยาแล้วกลืนลงไป ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ทว่าเพิ่งถอดเสื้อผ้าได้ครึ่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นมาอีก เธอจึงได้แต่สวมชุดกลับไปลวกๆ แล้วไปเปิดประตู
พอเปิดประตูหญิงสาวก็ต้องชะงัก ที่ยืนอยู่นอกประตูครั้งนี้กลับเป็นสวีซู่
เธอกวาดมองด้านหลังสวีซู่อย่างรวดเร็วก็ไม่เห็นเฉินซงหนาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงไปแล้ว แล้วสวีซู่ค่อยแอบกลับมาคนเดียว
“มีอะไรหรือ”
สวีซู่มองเธอ ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด
“…คุณรู้สึกไม่สบายรึเปล่า ตลอดทางที่นั่งรถมาผมเห็นคุณดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา”
เขาลูบผมสั้นเกรียนของตนเอง ในที่สุดก็พูดออกมา
ตอนมาเขาเป็นคนขับรถ เธอนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ไม่เห็นเขาหันหน้ามาเลย แสดงว่าที่จริงแล้วเขามองเธอจากกระจกมองหลังมาตลอดทางหรือ
จ้าวหนานเซียวในใจเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจที่น่าอึดอัด
“เปล่า ฉันสบายดี” เธอพูดเรียบๆ
สวีซู่เงียบไป สายตายังคงมองเธอ พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ความระแวดระวังเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว บนใบหน้าปรากฏสีหน้าเพิกเฉยในแบบที่ให้ความรู้สึกไม่สนใจโลกที่เธอคุ้นเคยอย่างยิ่ง
“ไม่เป็นไรก็ดี ผมแค่ถามเฉยๆ คุณพักผ่อนเถอะ ไม่รบกวนแล้ว”
เขาหันหน้าไป ไม่นานเงาร่างก็หายเข้าไปในลิฟต์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.