X
    Categories: Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงินWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงิน บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 6

เวลานี้จ้าวหนานเซียวยังจำได้ว่านั่นเป็นปิดเทอมฤดูร้อนตอนที่เธอกำลังจะขึ้น ม.สาม เย็นวันนั้นเธอนั่งอยู่ในที่ของเธอ รับประทานอาหารกับพ่อแม่ ฟังพวกเขาพูดคุยกัน

จ้าวเจี้ยนผิงพ่อของเธอสมัยยังหนุ่มเป็นหนึ่งในนักเรียนที่โดดเด่นของคุณตาเธอ และก็ด้วยเหตุนี้จึงได้พบเจอและแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวมั่นแม่ของเธอ ตอนนี้คุณพ่อเป็นวิศวกรสะพานระดับสูงที่เก่งมาก เนื่องจากโครงการที่เขารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกรเคยได้รับรางวัลระดับประเทศมามากมาย แน่นอนว่างานยุ่งมาก ในหนึ่งปีมีวันที่อยู่บ้านน้อยจนแทบนับได้ ปีที่แล้วเพื่อที่จะเร่งระยะเวลาก่อสร้างของสะพานใหญ่ข้ามทะเลแห่งหนึ่ง แม้แต่ตรุษจีนก็ไม่ได้กลับบ้าน ตอนนี้ไม่ง่ายนักที่จะได้พักสักเดือนก็ต้องออกไปอีกแล้ว ครั้งนี้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวิศวกรควบรองผู้กำกับของโครงการก่อสร้างสะพานใหญ่แห่งหนึ่ง อีกสองวันก็ต้องไปแล้ว

เสิ่นเสี่ยวมั่นขมวดคิ้วบ่น จ้าวเจี้ยนผิงส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางลูกสาวสุดที่รัก

จ้าวหนานเซียวจึงพูดว่า ‘แม่ขา แม่เป็นลูกของคุณตานะ ทำไมตอนนั้นแม่ถึงไม่รู้ว่าอีกหน่อยลักษณะงานของพ่อจะเป็นยังไง ถ้าไม่พอใจ ตอนแรกก็อย่าเลือกแต่งกับพ่อสิ หนูได้ยินมาว่าเมื่อก่อนแม่เป็นดาวมหาวิทยาลัย คนมาจีบแม่เยอะมาก วนรอบจัตุรัสเทียนอันเหมิน* ได้ตั้งหนึ่งรอบ! นักศึกษาหญิงในยุคแปดศูนย์แถมยังเรียนศิลปะ แม่เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ!’

เสิ่นเสี่ยวมั่นตอนนี้สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย และแตะงานนิทรรศการภาพอยู่บ้าง เธอกลอกตาให้ลูกสาว บอกให้อีกฝ่ายตั้งใจกินข้าว แต่มุมปากกลับอดหยักยิ้มขึ้นไม่ได้

จ้าวหนานเซียวเลิกคิ้วให้กับพ่อที่ส่งสายตาขอบคุณมาให้ ‘พ่อคะ ทั้งที่แม่พอใจมากแท้ๆ ยังจะกลั้นยิ้มอีก!’

เสิ่นเสี่ยวมั่นถอนใจ พูดกับสามีว่า ‘ฉันก็ไม่ได้โทษว่าคุณ แค่พูดเฉยๆ คุณเพิ่งกลับมาจากทะเล ตอนนี้ก็ต้องไปภูเขา งานออกแบบโครงสร้าง ไม่ครบสองปีก็กลับมาไม่ได้สินะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณจะลำบากเกินไปแล้ว’

จ้าวเจี้ยนผิงยิ้มแล้วพูด ‘อายุของคุณพ่อมากกว่าผม ยังไม่บอกว่าลำบากเลย อีกอย่างเดิมทีพวกเราทำงานสายนี้เป็นที่ต้องการของประเทศ ช่วยไม่ได้นี่ คุณวางใจเถอะ ผมสบายดี ออกแบบโครงสร้างครั้งนี้ไม่ยากเหมือนกับครั้งนั้น ผมจะพยายามหาเวลาว่างกลับมาหาคุณกับเสี่ยวหนานนะ’

เขาเห็นภรรยาเงียบไป เพื่อคลี่คลายบรรยากาศของการลาจากจึงเปลี่ยนเรื่องพูด

‘เสี่ยวหนาน ปิดเทอมฤดูร้อนลูกมีเวลาว่างไหม พ่อมีลูกของเพื่อนเก่าต้องการเรียนพิเศษ ลูกพอช่วยได้ไหม’

‘ได้ค่ะ!’

จ้าวหนานเซียวกับพ่อผูกพันกันดี พ่อแค่เอ่ยปาก เธอไม่พูดอะไรมากก็พยักหน้าทันที

จ้าวเจี้ยนผิงยิ้มและขอบคุณลูกสาว ค่อยหันไปพูดกับภรรยา ‘เสี่ยวมั่น หลายวันก่อนผมไปเข้าร่วมการประชุม เจอเหล่าสวีที่ไม่ได้พบกันมานาน สวีเจิ้นจง คุณยังจำได้ไหม’

สวีเจิ้นจงและจ้าวเจี้ยนผิงสมัยก่อนเป็นลูกศิษย์ของพ่อเสิ่นเสี่ยวมั่น ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันดี มักจะถูกเรียกให้ไปกินข้าวที่บ้านของอาจารย์อยู่บ่อยๆ ภายหลังลาออกกลางคันเพื่อไปเข้าร่วมกองทหารทางรถไฟ หลังจากนั้นก็ทำงานที่เกี่ยวข้องกับทางด้านนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เสิ่นเสี่ยวมั่นพยักหน้า ‘เขาน่ะเหรอ หลายปีมานี้ถึงจะไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ปีที่แล้วพ่อฉันกระดูกหัก คุณไม่อยู่ ตอนนั้นฉันก็อยู่ต่างเมืองกลับมาไม่ได้ เขาก็ช่วยเหลือไว้มาก งานออกจะยุ่งขนาดนั้น ยังมาดูแลพ่อฉันด้วยตัวเองอีก’

‘ใช่แล้ว เหล่าสวีก็คงจะงานยุ่งเหมือนกัน ไม่อยู่บ้านทั้งปี หย่าไปนานแล้ว เขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ตอนเด็กๆ ตามไปอยู่กับอดีตภรรยาเขาที่ต่างประเทศ สักห้าหกปีได้แล้ว ปีที่แล้วอดีตภรรยาเขาแต่งงานใหม่ มีลูกอีกคน น่าจะมีบางอย่างไม่สะดวก เหล่าสวีก็ไม่วางใจให้ลูกอยู่ที่นั่นจึงรับกลับมา คิดว่าอีกหน่อยจะให้อยู่กับตนเอง ตอนนี้ก็กลับมาได้สองสามเดือนแล้ว’

‘งั้นเหรอ’

เสิ่นเสี่ยวมั่นแปลกใจเล็กน้อย ‘ลูกชายเขาอายุเท่าไหร่แล้ว เด็กคนนั้นต้องการเรียนพิเศษเหรอคะ’

‘ใช่ เด็กกว่าเสี่ยวหนานของเราหนึ่งปี อายุสิบสี่ ชื่อว่าสวีซู่ เหล่าสวีจะให้ลูกชายแทรกชั้น ม.สอง ในโรงเรียนมัธยมต้นของเสี่ยวหนาน ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ที่สำคัญคือต้องเรียนพิเศษ ระดับของทางอเมริกากับของทางเราเทียบกันไม่ได้ โดยเฉพาะภาษาและวรรณคดีกับคณิตศาสตร์ เข้าไปทั้งอย่างนี้ต้องตามไม่ทันแน่ๆ เหล่าสวีบอกว่าตอนแรกส่งไปชั้นเรียนพิเศษ ไม่ถึงสองวันผู้ปกครองคนอื่นก็ไม่พอใจ บอกว่าส่งผลกระทบต่อลูกตัวเอง ชั้นเรียนพิเศษยอมชดใช้เงินดีกว่ารับคนไว้ พอเชิญครูมาสอนพิเศษตัวต่อตัวที่บ้าน ครูสอนพิเศษมาไม่ถึงสองครั้งก็ไม่มาอีก เปลี่ยนมาหลายคนแล้ว ผมเห็นเหล่าสวีพูดแล้วก็ปวดหัว เลยบอกว่าผมจะกลับมาถามดูว่าเสี่ยวหนานของเราพอจะว่างรึเปล่า ถ้าว่างก็จะได้ให้ลูกชายเขามาบ้านเราให้เสี่ยวหนานลองดู ดูว่าพอจะช่วยสอนอะไรได้ไหม ช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ’

เสิ่นเสี่ยวมั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า ‘ผลการเรียนของเสี่ยวหนานยังดีอยู่ เมื่อก่อนก็เคยช่วยสอนการบ้านลูกของเพื่อนบ้าน ถือว่ามีประสบการณ์ ฉันแค่เป็นห่วงนิดหน่อย เด็กคนนี้ซนรึเปล่า ทำไมขนาดชั้นเรียนพิเศษก็ยังไม่รับไว้’

‘เหล่าสวีบอกว่าลูกชายไม่ค่อยเชื่อฟังจริงๆ แม่ของเขาก็เคยพาไปหาจิตแพทย์ที่อเมริกามาก่อน สื่อสารได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ไม่ต่อยตีคนเด็ดขาด เรื่องนี้เขาไม่มีทางพูดมั่ว ผมเชื่อเขา’

เสิ่นเสี่ยวมั่นมองลูกสาวสุดที่รักที่เท้าคางฟังตนเองและสามีคุยกัน

‘แม่คะ หนูไม่มีปัญหา ปีที่แล้วพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน หนูอยู่กับคุณตา พอคุณตาประสบอุบัติเหตุ ลุงสวีรู้เข้าก็มาช่วย เขาเป็นคนดีมาก ยังไงปิดเทอมฤดูร้อนหนูก็มีเวลา หนูลองดูได้ค่ะ’

จ้าวหนานเซียวจำคนเก่ง ลุงสวีมาช่วยเหลือ ปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดี เธออยากจะตอบแทนเท่าที่ขอบเขตความสามารถของเธอจะทำได้

ลูกสาวพูดอย่างนี้แล้ว เสิ่นเสี่ยวมั่นถึงจะไม่วางใจก็ทำได้แค่รับปาก

สุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่าวันถัดไปอีกฝ่ายจะมาเรียนพิเศษกับเธอ

เย็นวันนั้นจ้าวหนานเซียวสาวน้อยเด็กเรียนที่เป็นถึงหัวหน้าห้องหัวหน้ากลุ่มนอกจากเตรียมบทเรียนแล้ว ยังหาข้อมูลเกี่ยวกับช่วงต่อต้านในวัยรุ่นจากอินเตอร์เน็ต สุดท้ายก็ได้บทสรุป

จะเย็นชา จะใจร้อน ขี้หงุดหงิด ทำอะไรไม่นึกถึงผลที่ตามมา ผลการเรียนตกลง ต่อต้านการไปเรียนหนังสือต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกของช่วงต่อต้านในวัยรุ่น เธอต้องเตรียมการไว้ และก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง มีโอกาสค่อยสั่งสอนให้ความรู้

แม้ข้อมูลจะบอกไว้ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาการต่อต้านของวัยรุ่นที่มีประสิทธิภาพ แต่เธอเชื่อว่าขอเพียงมีความอดทน ปฏิบัติด้วยความจริงใจและความรักความเอาใจใส่ ในโลกนี้ก็ไม่มีน้ำแข็งที่ไม่สามารถละลาย

เธอมั่นใจในข้อนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น สวีเจิ้นจงมีประชุมสำคัญที่ต้องไปเข้าร่วม ไม่สามารถถอนตัวได้ จึงให้ผู้ช่วยส่งลูกชายมาที่บ้านเธอ

จ้าวหนานเซียวไปรอรับที่หน้าประตูโดยเฉพาะ

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่มีคิ้วตางดงามและผิวซีดขาวคนหนึ่งถือกระเป๋าหนังสือยืนอยู่ที่ประตูบ้านเธอ

แม้จะเด็กกว่าเธอหนึ่งปี แต่เขาสูงกว่าเธอถึงครึ่งศีรษะแล้ว

‘พี่เสิ่น เขาเป็นลูกชายของประธานสวี ประธานสวีบอกว่าขอโทษด้วยที่วันนี้ไม่ได้มาส่งเอง ฝากให้ผมมาบอกว่าขอบคุณมากๆ และก็รบกวนพวกคุณแล้ว’

ผู้ช่วยถ่ายทอดข้อความด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วก็หันไปหาเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง พูดอย่างระมัดระวังว่า ‘งั้นผมไปแล้วนะ เรียนเสร็จสิบเอ็ดโมง คนขับรถจะขับมารอคุณที่ข้างล่าง ประธานสวีให้คุณเรียนเสร็จแล้วกลับบ้าน อย่าไปที่อื่น’

นี่คือครั้งแรกที่จ้าวหนานเซียวได้พบกับสวีซู่

เห็นเขาเป็นครั้งแรก เธอก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมชั้นเรียนพิเศษถึงยอมคืนเงินดีกว่ารับเขาเอาไว้ มีเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้อยู่รอบข้าง ผู้ปกครองจะวางใจได้อย่างไร

ในใจเธอรู้สึกไม่ค่อยสงบ แอบมองแม่ตนเองแวบหนึ่ง

สายตาของแม่ตกลงบนตัวเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ตั้งแต่ทรงผมของเขาตลอดจนทั่วทั้งตัวเป็นพั้งก์ เห็นได้ชัดว่าแปลกใจเล็กน้อย

‘น้าเสิ่น รบกวนแล้ว พ่อผมบอกให้ผมมา’

เขาโค้งให้แม่ของเธออย่างสุภาพแล้วยืดตัวขึ้น แต่จ้าวหนานเซียวกลับรู้สึกว่าสายตาของเขาดูตายด้าน

‘เธอคือสวีซู่ใช่ไหม เข้ามาสิ!’

ในที่สุดใบหน้าของแม่ก็เผยรอยยิ้ม

จ้าวหนานเซียวเข้าไปหาก่อน พยักหน้ายิ้มให้เขา ‘สวัสดี ฉันชื่อจ้าวหนานเซียว ยินดีต้อนรับสู่บ้านของฉัน!’

วันนั้นเธอสวมกระโปรงสีขาว

เด็กหญิงอายุสิบห้าปี ร่างกายเพิ่งจะเติบใหญ่ เหมือนต้นหลิวอ่อนภายใต้แสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มสดใสและอ่อนหวาน

จ้าวหนานเซียวรู้สึกได้ว่าเขาไม่มองเธอเลย ไม่เพียงอึดอัด แต่ยังกลัวว่าจะทำให้แม่ไม่พอใจ จึงรีบเรียกอย่างเป็นกันเอง ‘พวกเราเริ่มเรียนกันเถอะ!’

ชั้นเรียนจัดขึ้นที่ห้องหนังสือของพ่อ ด้านหนึ่งเป็นกำแพงถ้วยรางวัล

พ่อภาคภูมิใจในตัวลูกสาวอย่างเธอ นำถ้วยรางวัลทั้งหมดตั้งแต่สมัยเธอเรียนชั้นประถมถึงปัจจุบันมาจัดแสดงไว้ในสถานที่สำหรับทำงานในบ้านและต้อนรับแขก นอกจากรางวัลนักเรียนดีเด่นสามประการฝ่ายบริหารดีเด่นของทุกปีแล้ว ยังมีการแข่งคณิตศาสตร์ระดับประเทศ การแข่งขันเขียนเรียงความ พูดสุนทรพจน์ การแข่งหมากล้อมสำหรับเยาวชน การแข่งเปียโน…มากมายเต็มไปหมด วางเต็มผนังด้านหนึ่งของห้อง ทุกครั้งที่มีแขกมาที่บ้าน แขกก็จะชื่นชมเจ้าหญิงน้อยที่ดีเลิศ พ่อก็จะถ่อมตัวสักรอบ นี่กลายเป็นการเปิดบทสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

สวีซู่หยุดอยู่ที่ประตูห้องหนังสือ สายตากวาดมองกำแพงถ้วยรางวัลก่อนจะหันมามองเธอ หยิบกระเป๋าหนังสือ เดินมาหน้าโต๊ะเรียนที่มีเก้าอี้ที่หันข้างเข้าหากันวางอยู่สองตัวแล้วนั่งลง

เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขามองมาทางเธอหลังจากพบกัน

ไม่รู้ว่าเธอความรู้สึกไวไปเองรึเปล่า จ้าวหนานเซียวรู้สึกว่ามุมปากของเขาเหมือนจะเชิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังเย้ยหยัน

เธอรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเป็นครั้งแรก รู้สึกละอายจากการที่ตนไม่สามารถหยุดการอวดโอ่ที่ตื้นเขินของผู้ปกครองได้

เห็นเขานั่งลงไปแล้ว จ้าวหนานเซียวก็เรียกสติได้ในไม่ช้า เดินไปนั่งข้างๆ เขา เริ่มพูดคุยกับอีกฝ่ายตามขั้นตอนที่ได้วางเอาไว้

‘สวีซู่ บทเรียนของเราทางนี้ลำดับขั้นไม่เหมือนกับที่นายเคยเรียน ในการเรียนต่อจากนี้นายอาจจะเจออุปสรรคบางอย่าง นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าไม่เป็นไร นายไม่ต้องกังวล ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ตั้งใจเรียน ไม่นานนายก็จะตามทันแน่ ฉันมั่นใจในตัวนาย นายก็ต้องมั่นใจในตัวเองด้วยนะ!’

เขาไม่พูดอะไรสักคำ

เมื่อไม่มีการตอบสนองที่รอคอย จ้าวหนานเซียวก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้หมดกำลังใจ เธอพยักหน้า ‘งั้นดี พวกเราเริ่มกันเถอะ’

เธอเอาข้อสอบคณิตศาสตร์ที่เมื่อคืนเตรียมไว้มาให้เขาทำ ในนั้นมีโจทย์อยู่ไม่กี่ข้อ

ขั้นแรกของการสอน แน่นอนว่าต้องรู้ชัดถึงพื้นฐานของนักเรียนก่อน

ก่อนสวีซู่จะกลับมา เขาเรียนอยู่เกรดแปดที่อเมริกา เมื่อคืนเธอติดต่อเพื่อนประถมที่ไปเรียนต่างประเทศ ทำความเข้าใจกับสภาพของทางนั้น ตามคำบอกเล่าของลุงสวี จ้าวหนานเซียวได้ประเมินระดับความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ของเขาไว้ในใจล่วงหน้าแล้ว จึงทำข้อสอบแผ่นแรกนี้ออกมา

สายตาของเด็กหนุ่มตกอยู่บนข้อสอบ จ้องอยู่สักพักหนึ่งก็หันมาช้าๆ แล้วมองเธอ

จ้าวหนานเซียวรีบให้กำลังใจ ส่งปากกาให้เขาด้ามหนึ่ง ‘ยากเหรอ ไม่เป็นไร นายลองทำดู ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ข้าม’

เขาหยิบปากกา ตวัดไม่กี่ทีก็เขียนเสร็จ

ข้อสอบแผ่นนี้เป็นโจทย์ขั้นพื้นฐานอย่างง่าย จ้าวหนานเซียวเห็นว่าเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นก็หยิบแผ่นที่สองออกมา

เขาทำเสร็จอย่างรวดเร็ว

จ้าวหนานเซียวตรวจแล้วก็ชะงัก พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ดังนั้นจึงให้กำลังใจต่อไป ‘นายเก่งมาก! ตอบถูกหมดเลย! ขอแค่พยายามต่อไป ไม่นานก็ตามทันแน่!’

สวีซู่ไม่พูดอะไร แค่ใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนมองมาที่เธอ

ข้อสอบแผ่นนี้ถือว่ายากแบบกลางๆ มีพื้นฐาน และมีโจทย์ที่แสดงระดับความคิดทางคณิตศาสตร์ ก่อนหน้านี้จ้าวหนานเซียวคาดว่าเขาจะมีปัญหา เวลาที่เหลือในตอนเช้าจึงเตรียมอธิบายข้อที่เขาทำผิด นึกไม่ถึงว่าเขากลับทำได้ทั้งหมด ขณะนั้นเธอไม่ได้เตรียมการอย่างอื่นมา จึงเปลี่ยนไปพูดถึงภาษาและวรรณคดี

‘ลุงสวีเป็นห่วงวิชาภาษาและวรรณคดีของนาย ความจริงเรียนภาษาและวรรณคดีไม่มีทางลัดอะไร ก็แค่ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ เป็นประจำ สั่งสมให้มาก ฉันทำลิสต์หนังสือไว้ให้นาย ปกตินายไม่มีอะไรก็อ่านเยอะๆ ระดับก็จะสูงขึ้นเอง’

เธอดันรายการหนังสือที่เตรียมไว้แล้วไปตรงหน้าเขา วงกลมสองสามเล่มที่เธอชอบเป็นพิเศษเพื่อแนะนำให้เขาอ่านก่อน และเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา ยังอธิบายเนื้อหาให้เขาโดยพยายามบรรยายให้สนุกสนานสุดความสามารถ

เขาไม่ตอบสนองใดๆ สักนิด ทั้งไม่บอกว่าดี และก็ไม่บอกว่าไม่ดี

เวลาสองชั่วโมงในตอนเช้า เพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งเดียวจ้าวหนานเซียวก็สอนเนื้อหาที่เมื่อคืนเตรียมไว้หมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดไปชั่วขณะ

ด้านข้างมีคนแบบนี้นั่งอยู่ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะสอนอะไรต่อ ความเงียบในห้องหนังสือทำให้เธอรู้สึกถึงความล้มเหลวที่เหมือนกับโดนเข็มปักเป็นครั้งแรกในชีวิต

ตั้งแต่เขาเข้ามาก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ จ้าวหนานเซียวนึกถึงข้อมูลที่ตนเองค้นคว้าเมื่อคืนเหล่านั้น คิดว่าถ้าไม่แก้ปมในใจก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า ‘สวีซู่ ลุงสวีบอกว่านิสัยของนายออกจะ…อินโทรเวิร์ต’ เธอใคร่ครวญแล้วอธิบาย ‘ทำไมนายไม่ชอบสื่อสารกับคนอื่นล่ะ ถ้าหากนายมีปัญหาหรือมีความคิดอะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม บอกฉันได้ทั้งนั้น จริงๆ นายเรียกฉันว่าพี่เสี่ยวหนานก็ได้ ฉันรับประกันว่าไม่ว่านายจะพูดอะไร ฉันจะช่วยเก็บเป็นความลับ…’

‘ไม่ใช่ว่าสอนพิเศษเหรอ สอนของเธอไป อย่ามาทำเป็นจิตแพทย์ปากมาก! วันนี้ยังต้องสอนอะไรอีก เร็วหน่อย! ฉันยังมีธุระ!’ เขาพลันเอ่ยปาก

นี่คือประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอ และก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่เด็กจนโตที่จ้าวหนานเซียวได้ยินคนอื่นพูดจาแบบนี้กับตนเอง

เธอตะลึงงัน สบสายตาเย็นชาที่ถลึงใส่ตนของเขาคู่นั้น ข่มความรู้สึกเสียใจและความรู้สึกละอายไว้สุดความสามารถ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

‘เสร็จแล้วใช่ไหม ฉันไปได้แล้วใช่ไหม’

เขาขมวดคิ้ว สักพักก็เก็บหนังสือเข้าไปในกระเป๋า หิ้วขึ้นมาแล้วลุกจากเก้าอี้ สะบัดหน้าเดินออกจากประตูห้องหนังสือ จากไปอย่างรวดเร็ว

‘เอ๊ะ ทำไมเสร็จเร็วขนาดนี้ล่ะ สวีซู่อยู่กินข้าวเที่ยงต่อเถอะ! น้าทำกับข้าวให้แล้ว!’

‘ขอบคุณครับคุณน้า ไม่กินครับ!’

เสียงคุยกันของแม่กับเขาดังมาจากห้องรับแขก หลังจากเสียงเปิดและปิดประตู สวีซู่ก็จากไป

จ้าวหนานเซียวได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาหาของแม่ก็รีบเช็ดดวงตา วิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตู

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: