X
    Categories: Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงินWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงิน บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 8

ครั้งนี้สวีซู่ไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีก ไม่เพียงแต่ไม่มาในวันรุ่งขึ้น หนึ่งสัปดาห์ต่อมาจ้าวหนานเซียวส่งข้อความให้เขา นัดเขาอีกหลายครั้ง เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะตอบ พอโทรไปถ้าไม่ใช่ไม่มีคนรับสายก็สายไม่ว่าง

จ้าวหนานเซียวจับต้นชนปลายไม่ถูกและรู้สึกไม่วางใจ เดิมอยากจะถามลุงสวี แต่พอนึกถึงสิ่งที่วันนั้นได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็รู้สึกว่าลุงสวีอยู่ต่อหน้าลูกชายไม่ได้ใจดีเหมือนที่อยู่ต่อหน้าเธอ กลัวว่าเขารู้แล้วจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงยิ่งไม่กล้าบุ่มบ่ามไปหาที่บ้าน

รอจนสองสัปดาห์ผ่านไป เมื่อสอบวิชาสุดท้ายของสอบกลางภาคที่โรงเรียนเสร็จ เธอก็ตั้งใจส่งกระดาษคำตอบก่อนแล้วรีบมารอสวีซู่นอกห้องเรียนที่เขาอยู่ ปรากฏว่าไม่มีคน พอถามครูก็ได้รับคำตอบว่าเขานั่งอยู่ยี่สิบนาทีก็ส่งกระดาษคำตอบแล้วจากไป

‘สวีซู่คนนี้นี่จะเอายังไงดี ครูได้ยินคุณครูหูที่สอนวิชาเลขบอกว่าเขาค่อนข้างฉลาด ทำโจทย์เพิ่มเติมในข้อสอบได้ทุกครั้ง ทำไมถึงไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่ทำตัวเป็นนักเลง เป็นนักเลงมันสนุกมากนักเหรอ จ้าวหนานเซียว หนูรู้จักเขาเหรอ’

แววตาของคุณครูเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

จ้าวหนานเซียวตอบอย่างอึกอักไปสองคำ

ทีแรกเป็นห่วงว่าเขาจะเกิดเรื่อง ในเมื่อมาสอบแล้ว แสดงว่าไม่มีปัญหาอะไร

นอกจากเธอจะผิดหวังแล้วก็รู้สึกเบาใจได้บ้าง

ผ่านไปไม่กี่วัน ลุงสวีโทรศัพท์มาหาเธอ ถามว่าช่วงนี้สวีซู่ได้ไปเรียนพิเศษกับเธอหรือเปล่า จ้าวหนานเซียวบอกอย่างอ้อมค้อมว่าเพราะตนเองกดดันจากการขึ้น ม.สาม ช่วงนี้จึงไม่มีเวลาเรียกเขามาเรียนชั่วคราว แล้วเอ่ยคำขอโทษ

ลุงสวีรีบบอกว่าเขาเข้าใจ แล้วพูดว่าผู้ช่วยบอกเขาว่าช่วงนี้สวีซู่เหมือนจะไม่ได้ไปเรียนพิเศษกับเธอ เลยโทรมาถามเพื่อยืนยันเรื่องนี้ ถ้าไม่มีอะไรก็ดี ให้เธอตั้งใจเรียนไป ไม่ต้องสอนแล้ว

แม้จ้าวหนานเซียวจะขบคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าเขาอยู่ๆ ดีทำไมถึงเปลี่ยนไปในฉับพลัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากมาแล้ว ที่จริงเธอไม่สามารถทำอะไรได้ บวกกับการเรียนของตัวเธอเองก็ยุ่งมากจริงๆ ทำได้เพียงปล่อยไป

ต่อจากนั้นเธอได้ยินว่าแม้แต่การสอบประจำเดือนของโรงเรียนเขายังขาดสอบ พอเป็นแบบนี้ราวสองเดือนให้หลังในวันสุดสัปดาห์วันหนึ่ง จ้าวหนานเซียวกับเพื่อนร่วมชั้นส่วนหนึ่งไปเข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติการทางสังคมที่ย่านชานเมืองตะวันออก ตกเย็นเมื่อกิจกรรมสิ้นสุดพวกเธอก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์แถวนั้นเพื่อนั่งรถกลับเข้าเมือง

ที่นี่เป็นส่วนเชื่อมต่อกับชานเมือง ใกล้กับรถไฟความเร็วสูง เลยออกไปก็จะเป็นชนบท ละแวกนี้กำลังรื้อถอนอาคาร สภาพแวดล้อมค่อนข้างรกเละเทะ ขณะที่กำลังจะถึงป้ายรถเมล์ จ้าวหนานเซียวพลันเห็นที่ใต้สะพานแห่งหนึ่งซึ่งไกลออกไปหลายสิบเมตรมีคนคนหนึ่งพิงมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ที่จอดอยู่ข้างทาง สวมเสื้อหนังกับรองเท้าบูต ในปากคาบบุหรี่แล้วยังคุยโทรศัพท์ คนเดินผ่านพากันหลีกทางให้

คนคนนั้นหันข้างมาทางนี้ มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัดเจน แต่ว่ารูปร่างคุ้นตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทรงผมที่เด่นสะดุดตานั้น

กลับเป็นสวีซู่ที่หายตัวไปนานสองเดือนแล้ว!

ในที่สุดก็ได้มาเจอเขาที่นี่ จ้าวหนานเซียวจะปล่อยไปแบบนี้ได้อย่างไร เธอรีบบอกว่ามีธุระให้เพื่อนร่วมชั้นไปกันก่อน แล้วตนเองก็จ้ำอ้าวเดินเข้าไป

‘สวีซู่!’ เธอเรียกทีหนึ่ง

สวีซู่หันมาทันที พอสบตากับเธอ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เขาพ่นควันในปากออกพรวด รีบคว้าหมวกกันน็อกที่ผูกอยู่ด้านหน้าลงมาสวมบนศีรษะ ขายาวข้างหนึ่งพาดคร่อมขึ้นไปนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ มือเอื้อมไปหาสตาร์ตเตอร์ที่เสียบกุญแจอยู่

‘นายยังจะหนีอีก? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!’

จ้าวหนานเซียวรีบพุ่งเข้าไปทันที ยื่นมือดึงรถมอเตอร์ไซค์ไว้

สวีซู่ชะงักแล้วหันมาช้าๆ สบตากับเธออยู่ชั่วครู่โดยมีแว่นหมวกกันน็อกกั้น เขาถอดหมวกกันน็อกลงแล้วขมวดคิ้ว ‘จะทำอะไร’

จ้าวหนานเซียวปล่อยมือ

‘ยังมีหน้ามาถามฉันอีกว่าจะทำอะไร ฉันถามนายหน่อย ทำไมอยู่ๆ นายก็ไม่มาเรียน ช่วงนี้นายเอาแต่ไปเหลวไหลอยู่ที่ไหน แล้วนายเอาเงินมาจากไหน’

เธอมองดูก้านบุหรี่บนพื้นใต้เท้าเขาที่ยังมีควันก็เข้าไปเหยียบให้ดับ

‘ยังสูบบุหรี่อีก? นายอายุเท่าไหร่ นายขับรถแบบนี้เหรอ นายมีใบขับขี่ไหม ถ้าให้ตำรวจมาจับ นายจะ…’

‘พอได้รึยัง! ฉันรำคาญพวกที่ปากเอาแต่พูดจาบูชาคุณธรรมอย่างเธอเต็มทีละนะ ทนเธอมานานแล้ว! คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์เหรอ ถ้าสูงส่งนักก็กลับไปเล่นในที่ของตัวเอง อย่ามากวนฉัน!’

ดูเหมือนเขาจะรวบรวมสติได้ ดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างเกียจคร้าน แล้วล้วงไฟแช็กออกมา ก้มหน้าจุดบุหรี่อีกครั้ง

สิ่งที่จ้าวหนานเซียวเกลียดที่สุดก็คือการที่เขาทำตัวเป็นหนุ่มเสเพลไม่แยแสสนใจอะไรทั้งนั้น เห็นแล้วขัดตา

ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ได้ยินเขาพูดจาแบบนี้กับเธอ เธออาจจะยังเสียใจอยู่ แต่ว่าตอนนี้เธอเลิกกลัวเขาไปนานแล้ว อีกอย่างเขายังเด็กกว่าเธอด้วยซ้ำ

ถึงจะเด็กกว่าแค่หนึ่งปีก็ถือว่าเด็ก

จ้าวหนานเซียวเข้าไปแย่งบุหรี่ที่เขาเพิ่งจุดแล้วเหยียบให้ดับอีกครั้ง

‘ทนไม่ไหวนายก็บอกมาตั้งแต่แรกสิ ตอนแรกทำไมไม่บอก เป็นใบ้เหรอ ฉันเสียเวลากับตัวนายไปมากมายขนาดนี้ ตอนนี้นายยอมแพ้กลางคันยังมาบอกว่าฝืนทนฉันอีกเหรอ สวีซู่ฉันจะบอกให้นะ ไม่มีทาง! นายก็เลิกเล่นไม้นี้ต่อหน้าฉันสักที! นายบอกมาว่านายกำลังทำอะไร’

เขาจ้องเธออยู่พักใหญ่ พลันยกมือตบที่เบาะหลัง

จ้าวหนานเซียวชะงัก ‘ทำอะไร’

‘ก็เธอถามไม่ใช่เหรอ ฉันจะเติมเต็มความอยากรู้ของเธอเดี๋ยวนี้แหละ พอใจยัง!’

จ้าวหนานเซียวคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เขาจะเปลี่ยนท่าที จึงลังเลอีกครั้ง

ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ที่นี่เป็นชานเมือง ห่างจากตัวเมืองไกลพอสมควร เธอยังตัวคนเดียว…

‘ไม่ไปใช่ไหม งั้นก็กลับบ้านไปท่องหนังสือของเธอดีๆ อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน’

สวีซู่พูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง พูดจบก็หันตัว ยื่นมือไปบิดกุญแจรถมอเตอร์ไซค์สตาร์ตเครื่อง ท่ามกลางเสียงบรื้นๆ ทุ้มต่ำ ท่อไอเสียขนาดใหญ่ที่สองข้างของล้อหลังก็พ่นควันออกมา

เห็นเขากำลังจะจากไปอย่างรวดเร็ว จ้าวหนานเซียวรู้สึกร้อนอยู่ในอก สาวเท้าเดินไปถึงข้างหลังเขาแล้วใช้มือและเท้าปีนขึ้นไปด้วยความว่องไวยิ่งยวด เมื่อสะโพกนั่งลงบนเบาะหลัง สองมือก็จับเสื้อเขาเอาไว้

ครั้งนี้ถึงคราวที่เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายแปลกใจ

เขาหันหน้ามา มองดูมือที่จับเสื้อตนเองของเธอทีหนึ่ง สีหน้าบิดเบี้ยว ‘ทำอะไร ปล่อยนะ! ลงไปซะ!’

‘นายเรียกให้ฉันขึ้นมาเอง!’

จ้าวหนานเซียวตอกกลับประโยคหนึ่ง วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าวันทั้งวันเขามัวแต่ทำเรื่องเหลวไหลอะไรกันแน่

สวีซู่นิ่วหน้ามองเด็กสาว สายตาเธอจ้องไปข้างหน้าไม่มองเขา

อยู่ๆ เบื้องหน้าจ้าวหนานเซียวก็มืดลง หมวกกันน็อกใบหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า สวมลงบนศีรษะเธอ

‘นั่งให้ดี เกาะแน่นๆ นะ!’

สิ้นเสียงพูด รถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวหนานเซียวได้นั่งรถมอเตอร์ไซค์แบบนี้ อีกอย่างเขายังขี่เร็วมาก ส่งเสียงคำรามอยู่บนท้องถนนราวกับลูกธนูที่ดีดออกจากคัน เมื่อเจอรถก็แซง เด็กสาวตื่นตกใจสุดชีวิต รู้สึกว่าอีกสักพักก็จะเกิดเรื่องอยู่ตลอด แรกเริ่มยังแค่จับเสื้อของเขา สักพักก็กอดเอวเขาไม่กล้าปล่อยมือ

ไม่นานมอเตอร์ไซค์ก็ออกจากถนนเข้าไปในทางที่เป็นดินโคลนสีเหลืองสายหนึ่ง กำแพงของบ้านเก่าๆ สองข้างทางมีการพ่นตัวอักษรขนาดใหญ่ เดิมผู้อยู่อาศัยได้ย้ายออกไปแล้ว เมื่อทะลุผ่านย่านนี้ไปก็ค่อยๆ คึกคักขึ้น ทุกแห่งข้างทางมีแต่แผงขายผักชั่วคราว คงเพราะมาถึงย่านที่ยังไม่ได้วางแผนให้เป็นเขตรื้อถอน

ในที่สุดมอเตอร์ไซค์ก็แล่นมาถึงหน้าประตูเหล็กติดหลังคาแล้วหยุดอยู่ที่ปากประตู

สวีซู่ลงจากรถ

จ้าวหนานเซียวตั้งสติ ปีนลงตามมาแล้วถอดหมวกกันน็อกออก มองดูสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หันมาเห็นเขาเดินเข้าไปข้างในแล้วก็รีบตามเข้าไป

ภายในประตูเป็นสถานที่ขายรถจักรยานไฟฟ้าและรถมอเตอร์ไซค์มือสอง ทั้งยังทำงานซ่อมแซม สถานที่ใหญ่มาก ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ทำงานเชื่อมไฟฟ้า

‘เหล่าหลิน!’ สวีซู่เรียกอีกฝ่ายทีหนึ่ง

ชายวัยกลางคนหันมา ดูค่อนข้างดีใจ เขาวางปืนเชื่อมไฟฟ้าและหน้ากากลง ‘เสี่ยวสวี มาแล้วหรือ’

‘รถนั่นครั้งที่แล้วเป็นยังไงบ้าง’

‘เจ๋งเป้งเลย นายปรับแต่งรอบนี้ เพิ่มความเร็วจากศูนย์ถึงร้อยได้ในสามวิ ตั้งแต่เล็กเล่นมาไม่น้อยล่ะสิ ลูกค้าไม่ทันตั้งตัว เกือบถูกเหวี่ยงกระเด็น แต่ก็ยังดีใจมาก ให้เกินมาห้าสิบ ฉันก็ไม่ฮุบไว้ นี่ให้นาย อีกสองวันจะมีงานเข้ามา นายค่อยมาอีกที ช่วยสร้างชื่อให้ฉันในวงการ ไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจ’

ชายวัยกลางคนดึงธนบัตรใบละห้าสิบออกมาแล้วส่งให้

สวีซู่รับไว้ สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงส่งๆ

‘โอ้ แล้วสาวน้อยคนนี้มาจากไหนล่ะเนี่ย’

ชายวัยกลางคนมองดูจ้าวหนานเซียวที่ถือหมวกกันน็อกยืนอยู่ที่ประตูเหล็ก

‘น้องสาวผม สุดสัปดาห์ไม่มีอะไรทำ เลยมาเที่ยวเล่นกับผม’ สวีซู่เปิดปากพูด

‘สาวน้อย นั่งตามสบาย ไม่ต้องยืน!’

เถ้าแก่ร้านแซ่หลินคนนี้หัวเราะร่าทักทายเธอ แต่จ้าวหนานเซียวยังคงสงสัยว่าเขาไม่เชื่อ ดูจากสีหน้าของเขาแล้วแสดงว่าเขาเห็นเธอกับสวีซู่กำลังมีรักในวัยเรียน นี่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ทั้งยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรให้ชัดเจนได้ จึงถลึงตาค้อนใส่สวีซู่ทีหนึ่ง

เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘เหล่าหลิน ผมไปทางนั้นแล้วนะ ให้น้องสาวผมรออยู่ที่นี่ เสร็จแล้วผมจะกลับมารับเธอ ฝากคุณดูแลหน่อยนะ’ เธอได้ยินสวีซู่พูดกับเถ้าแก่อีกครั้ง

‘ได้ๆ นายไปเถอะ วางใจได้เลย!’

จ้าวหนานเซียวเห็นเขาหยิบหมวกกันน็อกในมือตนเองแล้วจากไปก็ได้สติแล้วตามออกไป

‘สวีซู่นายจะไปไหน’

‘เธออย่ายุ่ง ฟ้ามืดแล้วรออยู่ที่นี่ดีๆ อย่าไปไหนทั้งนั้น ฉันเสร็จธุระแล้วจะกลับมารับเธอ’

เขาสวมหมวกกันน็อกโดยไม่หันกลับมา ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่ม พริบตาเดียวก็ลับตาไป

จ้าวหนานเซียวหยุดเท้า

มหาวิทยาลัยของแม่มีกิจกรรม สองวันก่อนออกไปต่างเมือง สองสามวันมานี้จ้าวหนานเซียวอาศัยอยู่กับคุณตา เธอส่งข้อความหาคุณตา บอกว่าตนเองแวะกินข้าวดูหนังกับเพื่อน ตอนเย็นจะกลับดึกหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วง

ไม่นานฟ้าก็มืดแล้ว แถวนี้ดูเหมือนจะมีแผงร้านอาหารแถบใหญ่ คึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวัน

จ้าวหนานเซียวทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเขากลับมา พอมีช่วงเวลาว่างก็ไปคุยเล่นกับเหล่าหลิน ถามว่าสวีซู่ไปที่ไหน

ไม่ถามไม่รู้ พอถามก็สะดุ้งตกใจ

ที่แท้เลยไปอีกหน่อย ตรงที่ใกล้กับทางด่วนและไม่มีเขตที่อยู่อาศัย เป็นสนามแข่งรถใต้ดินของคนที่เล่นรถมอเตอร์ไซค์ พวกเขากำหนดนัดหมายกันไว้ แข่งเสร็จแล้วก็แยกย้าย

สวีซู่ก็ไปที่นั่น

จ้าวหนานเซียวนึกถึงครั้งก่อนที่แขนของเขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมาทันที จึงยิ่งเป็นห่วงแล้วถาม ‘ลุงหลิน ถ้ามีการนัดอย่างนี้ ปกติเขากลับมากี่โมงคะ’

‘อันนี้ไม่แน่นอน’

จ้าวหนานเซียวอยากจะโทรศัพท์หาแต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเขา ทั้งยังไม่กล้าไปไหนส่งเดช ทำได้เพียงรออยู่ที่ประตู เงยหน้าชะเง้อมองอย่างไม่เป็นสุข รอถึงสามทุ่มกว่า ในที่สุดก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาจากที่ไกลมุ่งหน้ามาทางนี้แล้วจอดหน้าประตู

สวีซู่ปลดหมวกกันน็อกลง ตะโกนมาทางเธอ ‘ไปกัน!’

จ้าวหนานเซียวค่อยถอนใจโล่งอก วิ่งเข้าไปหาเขา

‘สวีซู่! นายจะกล้ามากเกินไปแล้ว! ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไง อย่าทำแบบนี้อีกนะ! ฉันจะไปบอกลุงสวี!’

เด็กสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำท่าว่าจะโทรออก

เขายิ้มเย็น ‘รีบโทรสิ ไม่โทรไม่ใช่คน’

แน่นอนว่าจ้าวหนานเซียวกำลังขู่

เธอมีความรู้สึกว่านอกจากลุงสวีจะตีเขาให้ขาหักสองข้างจนออกจากบ้านไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเกรงว่าลุงสวีก็ไม่มีวิธีจัดการกับม้าพยศตัวนี้แน่ ที่สำคัญที่สุดก็คือบอกลุงสวีไปก็ไม่สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่แต่เดิมได้ เธอจึงหยุดชะงัก

‘ตกลงจะไปไม่ไป?’

เขาดูเหมือนจะหมดความอดทนอีกแล้ว

จ้าวหนานเซียวจนปัญญาแล้ว ได้แต่ปีนขึ้นเบาะหลังไป

เด็กหนุ่มนำหมวกกันน็อกที่เพิ่งถอดออกจากหัวตนเองสวมลงบนหัวเธอ เขาใส่ให้แบบเบี้ยวๆ แล้วก็ไม่สนใจอีก เธอดิ้นรนขยับให้ตรง ยังไม่ทันมองให้ชัดก็รู้สึกอุ่นที่หัวไหล่ เสื้อตัวนอกของเขาก็มาอยู่บนตัวเธอ

‘ฉันไม่หนาว นายใส่เอง…’

‘จะพูดพล่ามอะไรเยอะแยะ ให้เธอใส่ก็ใส่ไปสิ!’

เขาไม่หันกลับมา แล้วก็สตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์

จ้าวหนานเซียวได้แต่สวมเสื้อของเขา จับเอวอีกฝ่ายแล้วอยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ‘นายขับช้าๆ หน่อย! แผลถลอกที่แขนนายเมื่อครั้งก่อนเพราะว่าล้มใช่ไหม นายทำแบบนี้อันตรายมากนะ!’

‘พูดเรื่องอะไรน่ะ ฉันหลบหมาบ้าแล้วไม่ระวังเลยเป็นแผล เข้าใจไหม เธอนั่งให้ดีก็พอ!’

สวีซู่เหมือนจะไม่พอใจ บิดคันเร่ง มอเตอร์ไซค์ส่งเสียงกระหึ่มพุ่งตัวออกไป จ้าวหนานเซียวหน้าหงายไปด้านหลัง รีบกอดเอวเขาแน่นไม่กล้าปล่อยมือ

ลมกลางคืนแรงมาก บนถนนแป๊บเดียวก็มองไม่เห็นคนแล้ว เขาส่งเธอกลับไปที่ป้ายรถเมล์ในตอนแรกแล้วเบรกอย่างกะทันหัน มีเสียงดังเอี๊ยด หน้าอกจ้าวหนานเซียวที่ปกติเวลาอาบน้ำถ้าถูแรงก็เจ็บอยู่หน่อยๆ ได้กระแทกเข้ากับแผ่นหลังผอมบางของเด็กหนุ่มเนื่องจากแรงเฉื่อย เธอเจ็บปวดอย่างยิ่ง เห็นเขาหันหน้ามาก็อดทนไว้ไม่กล้าแสดงออก ก่อนจะลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์

บนแท่นยืนไม่มีคน คนเดินเท้ารอบข้างก็น้อยมาก ไฟข้างทางส่องแสงดูเปลี่ยวร้าง

‘ให้รอรถเป็นเพื่อนไหม’ เขาถาม

จ้าวหนานเซียวคืนหมวกกันน็อกและเสื้อผ้าบนตัวให้เขาแล้วโน้มน้าวอย่างหวังดี ‘สวีซู่ คืนนี้นายยังจะไปที่ไหนอีกเหรอ ดึกแล้วนะ นายก็รีบกลับบ้านเถอะ ลุงสวีเป็นห่วงนายมาก นายจะเหลวไหลอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ นายควรจะกลับไปโรงเรียน เรียนหนังสือให้ดีก่อน…’

‘จ้าวหนานเซียว ทำไมเธอไม่ไปเป็น ผอ. การศึกษาล่ะ บ่นได้ทั้งวันไม่ยอมจบสิ้นอย่างกับยายแก่ เธอน่ารำคาญมากเลยนะรู้ไหม รีบกลับบ้านเธอไป!’

สวีซู่หมดความอดทน ตัดบทคำพูดของเธอแล้วหันหน้าไปบิดคันเร่ง ทิ้งเธอไว้แล้วขี่มอเตอร์ไซค์จากไป

จ้าวหนานเซียวมองดูเขาบิดคันเร่งเสียงดังจากไปไกลพลางนวดหน้าอกตนเอง นั่งอัดอั้นอยู่คนเดียวบนม้านั่งรอรถเมล์เที่ยวสุดท้าย เวลานี้ที่ป้ายรถเมล์มีกลุ่มคนสองสามคนที่ดูเหมือนดื่มเหล้ากลับมาจากแผงอาหารกลางคืนบริเวณใกล้เคียงเดินโซเซเข้ามา ดูแล้วเหมือนจะเป็นนักเลง อายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี เข้ามาชวนคุย

‘น้องสาว หน้าตาสวยนี่ มาคนเดียวเหรอ ไป พี่จะพาเธอไปคาราโอเกะ…’

จ้าวหนานเซียวรู้สึกหวาดกลัว รีบลุกขึ้นแล้วเดินหนี

นักเลงกลุ่มนั้นหัวเราะเสียงดังแล้วเดินตามมา คนหนึ่งยื่นมือมาคว้าเธอไว้ ‘ไม่ต้องกลัว พี่เป็นคนดี แค่ไปร้องเพลง…’

จ้าวหนานเซียวก้าวขาออกวิ่ง

‘น้องสาววิ่งหนีทำไม หยุดนะ!’

ด้านหลังมีเสียงไล่ตามมาดังตุ้บตั้บๆ จ้าวหนานเซียวยิ่งหวาดกลัว ตะโกนขอความช่วยเหลือดังๆ เสียงหัวเราะของพวกนักเลงยิ่งดังขึ้น

ในเวลานี้เองเธอก็ได้ยินเสียงคำรามจากเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ดังมาจากข้างหลัง

เธอหันไปก็เห็นสวีซู่ที่จากไปแล้วย้อนกลับมา

‘สวีซู่! ฉันอยู่ตรงนี้…’

เธอดีใจอย่างยิ่ง ร้องเรียกเขา ครู่ถัดมาก็ตกตะลึงจังงัง

เธอเห็นสวีซู่ทิ้งรถมอเตอร์ไซค์และหมวกกันน็อก ก้มตัวเก็บก้อนอิฐขึ้นมาจากบนพื้นด้วยสีหน้าถมึงทึง เดินไปทางกลุ่มนักเลงสองสามคนที่เมื่อเห็นสถานการณ์แล้วก็หันมาล้อมเขา พอเผชิญหน้ากันแล้วอิฐก้อนหนึ่งก็ฟาดเข้าใส่หัวของคนที่อยู่ข้างหน้าสุด คนคนนั้นตัวแข็งทื่อล้มลงไปกองกับพื้นตรงนั้นแล้วสลบไสลไป

ผลของเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งนี้ก็คือการที่คนทั้งหมดถูกรถตำรวจลาดตระเวนที่ผ่านมาพอดีพาตัวไป

ตำรวจสอบปากคำจ้าวหนานเซียว ให้เธอจดบันทึกแจ้งความ ลงชื่อแล้วจากไป

จ้าวหนานเซียวเซ็นชื่อด้วยมืออันสั่นเทาแล้วถามถึงสวีซู่

‘ปล่อยเขาไปไม่ได้! สามคนนั้นถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล ลงมือขนาดนั้น มากพอที่จะเข้าคุกเยาวชนนะ สาวน้อย โทรศัพท์ให้คนที่บ้านมารับ แล้วตัวเองก็กลับไปซะ!’

จ้าวหนานเซียวนั่งอยู่ในโถงใหญ่ของโรงพักหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นระริก โทรศัพท์หาลุงสวี

สวีเจิ้นจงไม่อยู่ในปักกิ่ง พอได้ฟังแล้วก็ปลอบโยนไม่หยุด บอกเธอว่าไม่ต้องกลัว ให้รออยู่ที่นั่น

จ้าวหนานเซียวทางหนึ่งเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งก็รอ ยี่สิบกว่านาทีให้หลังเพื่อนคนหนึ่งของลุงสวีก็มารับเธอไป ส่งเธอกลับถึงบ้านของคุณตา

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: