บทที่ 9
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ในเย็นวันศุกร์ จ้าวหนานเซียวเลิกเรียนกลับบ้านคุณตา เห็นลุงสวีมาหา คุณตาพูดคุยกับเขาอยู่ในห้องรับแขก
‘เสี่ยวหนาน ลุงสวีมาหาหนูเป็นพิเศษเลย ตาบอกเขาแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้’ คุณตาพูดอย่างยิ้มแย้ม
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่สองหลังจากเกิดเรื่อง ผู้ช่วยที่แซ่ต้วนคนนั้นส่งตะกร้าผลไม้ขนาดใหญ่มาให้เธอ แล้วยังมีถุงใส่กระเป๋าหลุยส์ วิตตองที่ประดับตกแต่งด้วยริบบิ้นสวยงาม ด้านในมีกระเป๋าสีชมพูใบหนึ่ง ผู้ช่วยบอกว่าประธานสวีเป็นห่วงเธอมากแต่ยังกลับมาไม่ได้ จึงให้เขามาเยี่ยมเธอก่อน คุณตารับตะกร้าให้เธอ แต่ให้ผู้ช่วยนำกระเป๋ากลับไป
วันนี้เมื่อเธอเข้าไปในห้องรับแขก สีหน้าของลุงสวีทั้งเป็นห่วงเป็นใยและรู้สึกผิด
‘เสี่ยวหนาน ลุงรู้สึกผิดต่อหนูมาก ก่อนหน้านี้สวีซู่สร้างปัญหาให้หนูมากมายขนาดนั้นก็แล้วไป นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เขายังทำให้หนูต้องตกใจกลัวมากขนาดนี้ ตอนแรกลุงอยากจะมาหาหนูตั้งแต่สองวันก่อน แต่หาเวลาว่างไม่ได้เลย หนูคงตกใจแย่สินะ’
จ้าวหนานเซียวในตอนนั้นหวาดหวั่นต่อการที่สวีซู่ทุ่มเรี่ยวแรงถือก้อนอิฐฟาดหัวคนโดยตรงจริงๆ ฟาดทีก็มีเลือดออก เย็นวันนั้นจนถึงตอนที่กลับบ้าน ขาสองข้างยังคงสั่นระริก แต่ไม่กี่วันมานี้ที่เธอเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือเด็กหนุ่มที่หลังจากฟาดนักเลงสามคนล้มลงแล้วตนเองก็มีเลือดออกท่วมครึ่งใบหน้า เธอรีบส่ายศีรษะ
‘ขอบคุณลุงสวีที่เป็นห่วง หนูสบายดีค่ะ สวีซู่เขาออกมาแล้วใช่ไหมคะ ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง’
พอพูดถึงลูกชาย สีหน้าของลุงสวีก็เปลี่ยนไป ดูออกเลยว่าเขากำลังข่มอารมณ์สุดความสามารถ แต่ก็ยังคงซ่อนโทสะไว้ไม่อยู่
‘เด็กเหลวไหลคนนี้ไม่ไปโรงเรียนก็แล้วไป ยังจะปิดบังลุงไปแข่งรถอีก! แถมยังตีคนจนกลายเป็นแบบนี้! เสี่ยวหนานต่อจากนี้หนูไม่ต้องไปยุ่งกับเขาแล้ว ให้เขาทำเองรับผลเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปลุงก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเรียนหนังสือแล้ว ทิ้งเขาไว้ในป่าทางภาคตะวันออกไปเลย ให้เขาแบกไม้ขุดภูเขาทำถนนเอา!’
จ้าวหนานเซียวกังวล ‘ลุงสวี เป็นสามคนนั้นที่ไล่ตามหนูก่อน พวกเขาไม่ใช่คนดี! สวีซู่เขาทำเพราะช่วยหนู! เขาคนเดียวสู้สามคน ถ้าหากไม่รีบล้มพวกเขาให้ได้ก่อน เขาก็จะมีอันตราย! เย็นวันนั้นหนูก็พูดอย่างนี้กับตำรวจค่ะ! ลุงสวีต้องช่วยเขานะคะ! หนูเป็นพยานให้เขาได้ จะไปที่ไหนก็ได้ค่ะ!’
‘เสี่ยวหนาน หนูกลัวขนาดนี้แล้วยังจะพูดแทนเขาอีก! หนูไม่ต้องห่วง เขาออกมาแล้ว’ ลุงสวีรีบปลอบโยนเธอ ‘ลุงแค่ตั้งใจให้เขาอยู่ในบ้านสักหลายๆ วัน ทบทวนตัวเองหน่อย! ออกมาตอนนี้ก็จะถูกลุงเฆี่ยนแรงๆ สักยก กักไว้ในบ้านให้คนเฝ้า ไม่ให้เขาออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว กันไม่ให้ไปก่อเรื่องอีก!’
จ้าวหนานเซียวถอนใจโล่งอกในที่สุด
ลุงสวีขมวดคิ้วมุ่น ทอดถอนใจ แล้วพูดกับคุณตาของจ้าวหนานเซียว
‘สวีซู่มีนิสัยหัวดื้อมาตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้ยิ่งหัวดื้อเข้าไปใหญ่! เป็นความรับผิดชอบของผม ดูแต่งานไม่ได้ดูแลครอบครัวให้ดี ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขา ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่! อาจารย์ ถ้าสวีซู่รู้ประสาได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวหนานล่ะก็ ผมก็เบาใจแล้ว’
คุณตายิ้มบางๆ ‘เจิ้นจง หลายวันมานี้เสี่ยวหนานอยู่ต่อหน้าผมก็พูดถึงลูกชายคุณตลอด พูดจนผมชักอยากเจอเด็กคนนี้แล้วสิ เด็กก็โตแล้ว ทำความผิดจำเป็นต้องลงโทษ เป็นเรื่องที่สมควร แต่กักตัวไว้แบบนี้ไม่ใช่แผนในระยะยาวนะ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของเสี่ยวหนานแล้ว ผมยินดีต้อนรับเขามาที่นี่ มาฉลองวันเกิดด้วยกันกับเสี่ยวหนาน ให้เขาออกมาสูดอากาศสักหน่อยเป็นไง’
ลุงสวีจำต้องพยักหน้า ‘ดีๆ ในเมื่ออาจารย์ว่าอย่างนี้ ผมต้องทำตามที่คุณว่าอยู่แล้ว! ถ้าคุณไม่รังเกียจเขา กลับไปแล้วผมจะบอกให้เขาเตรียมตัว ต้องมาได้แน่!’
เมื่อส่งลุงสวีไปแล้ว คุณตาก็พูดว่า ‘เสี่ยวหนาน ถึงตาจะไม่เคยเจอสวีซู่มาก่อน แต่ฟังจากที่หนูกับลุงสวีพูด เด็กคนนี้คงจะนิสัยดื้อแพ่ง ตาเดาว่าให้ลุงสวีไปบอก เขาคงจะไม่ยอมมา ในเมื่อจะเชิญแขก ต้องมีความจริงใจ อีกอย่างเขาก่อเรื่องเพราะว่าช่วยหนู หนูควรไปหาเขาสักหน่อย เชิญเขามาเป็นแขกด้วยตัวเอง หนูว่ายังไง’
จ้าวหนานเซียวรีบพูดทันที ‘ได้ค่ะ! พรุ่งนี้หนูจะไป!’
วันต่อมาเป็นวันเสาร์ จ้าวหนานเซียวถือผลไม้ไปหาบ้านสกุลสวีตามที่อยู่ ลุงสวีไม่อยู่ คนที่เปิดประตูเป็นแม่บ้าน ในห้องรับแขกชั้นล่างยังมียามที่เป็นตำรวจพิเศษปลดเกษียณที่ลุงสวีเชิญมาให้เฝ้าดูสวีซู่โดยเฉพาะนั่งอยู่
พอได้ยินจ้าวหนานเซียวแนะนำตัวเอง แม่บ้านก็ร้อง ‘อ๋อ’ คำหนึ่ง ‘หนูคือเพื่อนที่จะจัดงานวันเกิดคนนั้นใช่ไหม’
จากคำบอกเล่าของแม่บ้าน เมื่อคืนหลังจากที่ลุงสวีกลับมาก็บอกให้สวีซู่ไปอวยพรวันเกิดเธอ แล้วยังบอกอีกว่าตนจะเตรียมของขวัญวันเกิดไว้ให้ นึกไม่ถึงว่าสวีซู่จะบอกว่าไม่ไปตอนนั้นเลย
‘ประธานสวีโกรธใหญ่เลยค่ะ จะตีเขาอีกแล้ว เขาก็ไม่หลบนะคะ ประธานสวีลงมือหนักมาก ดิฉันตกใจแทบแย่ แยกเขาออกสุดแรงเกิด ไม่กี่วันมานี้ประธานสวียังเรียกให้คนมาติดกรงเหล็กที่หน้าต่าง ไม่ให้เขาออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้เขาอยู่ในห้องข้างบนค่ะ คุณหนูไปเกลี้ยกล่อมเขาก็ดี ดิฉันทำงานที่นี่ อกสั่นขวัญแขวนมาทั้งวันแล้ว…’
แม่บ้านถอนหายใจดังเฮือก
จ้าวหนานเซียวกล่าวขอบคุณคำหนึ่ง หาห้องเจอก็เคาะประตู ผ่านไปนานมากแล้วยังไม่มีการตอบสนอง พอทดสอบดูก็รู้สึกว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงเปิดประตูออกเบาๆ มองเข้าไปข้างใน
ห้องใหญ่มาก เป็นอย่างที่แม่บ้านพูดไว้จริงๆ ว่ามีกรงเหล็กกั้นหน้าต่างอยู่ น่าจะเป็นเพราะว่าเขาเพิ่งกลับประเทศมาได้ไม่นาน สิ่งของจึงมีไม่มาก ออกจะดูโล่งไปหน่อย คอมพิวเตอร์กำลังเปิดค้างอยู่ที่หน้าอินเตอร์เฟซของเกมเวิลด์ ออฟ วอร์คราฟต์ แต่เขาไม่ได้กำลังเล่นเกม จ้าวหนานเซียวเห็นเขานอนคว่ำอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ผมสีทองทั่วหัวยุ่งเหยิงเปะปะ สีหน้าซีดขาวไปบ้าง หน้าผากส่วนที่ได้รับบาดเจ็บถอดผ้าพันแผลออกแล้ว แต่ยังไม่ได้ดึงด้ายออก รอยเย็บสีดำยาวเหยียดนั้นดูแล้วน่ากลัวราวกับตะขาบ
จ้าวหนานเซียวลังเลเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดว่าจะปลุกเขาหรือว่าปล่อยให้เขานอนต่อ พลันเห็นขนตาเขากระพือปริบ ลืมตาขึ้นช้าๆ
‘สวีซู่ ตื่นแล้วเหรอ ขอโทษทีที่กวนนายตื่น’ จ้าวหนานเซียวรีบเอ่ย
ในดวงตาเด็กหนุ่มมีรอยเส้นเลือด เขาลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างเกียจคร้าน ‘เธอมาทำอะไรอีก’
‘ฉันมาหานาย’ จ้าวหนานเซียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย สายตาตกอยู่ที่หน้าผากของเขา
‘ขอโทษด้วย วันนั้นฉันไม่ดีเอง ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน นายก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แผลนายเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม…’
เขาหันหน้าหนีแล้วลุกขึ้นยืน
‘ไม่ตายหรอก เลิกพูดเรื่องพวกนี้เถอะ ดูเสร็จแล้วก็กลับไปซะ!’
สวีซู่ยื่นเท้าออกมา มีเสียงดังวืด เขาเกี่ยวเก้าอี้เข้ามาหาแล้วขึ้นไปนั่ง ก่อนจะไถลไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เล่นเกม
จ้าวหนานเซียวยืนอยู่ข้างหลังเขา ชะงักไปครู่หนึ่ง ‘ที่ฉันมานี่ยังมีอีกเรื่อง มะรืนนี้เป็นวันเกิดของฉัน มีแค่ฉันกับคุณตาของฉันสองคน ถ้านายมาด้วย ฉันจะดีใจมาก’
สายตาของเขาจ้องที่หน้าจอ ยังเล่นเกมอย่างใจจดใจจ่อต่อไป
‘สวีซู่ นายจะมาไหม…’
เวลานี้มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของเธอก็ดังขึ้น
จ้าวหนานเซียวรีบพูดว่า ‘ขอโทษนะ’ แล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู รับสายแล้วเดินไปที่ประตู
‘พี่จือโจว! พี่ไม่ได้กำลังแข่งอยู่เหรอ มีเรื่องอะไรคะ’
เยี่ยจือโจวอายุมากกว่าเธอสองปี เรียนข้ามชั้นถึง ม.หก แล้ว สองบ้านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ตั้งแต่เล็กจนโตเยี่ยจือโจวคือเป้าหมายที่จ้าวหนานเซียวมองเป็นตัวอย่าง เขายอดเยี่ยมมาก ปีนี้ได้รับคุณสมบัติขั้นพื้นฐานในการเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกสาขาคณิตศาสตร์ระดับประเทศ ช่วงนี้เพื่อที่จะเข้าค่ายฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงจึงกำลังเก็บตัวฝึกซ้อม นึกไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะโทรมาหาเธอ
‘เสี่ยวหนาน มะรืนนี้เป็นวันเกิดเธอ ฉันต้องไปร่วมสอบพอดี ออกไปไม่ได้ ก็เลยโทรมาหาเธอก่อน สุขสันต์วันเกิดนะ รอฉันกลับมา ฉันจะชดใช้ให้ดีไหม’
เยี่ยจือโจวยุ่งขนาดนี้ยังจำวันเกิดของเธอได้ จ้าวหนานเซียวดีใจมาก ‘ไม่เป็นไรค่ะ! การแข่งสำคัญกว่า! พี่จือโจวเตรียมตัวดีๆ นะคะ ขอให้พี่ได้คะแนนดี!’
เยี่ยจือโจวหัวเราะอยู่ในสาย ‘ได้ ฉันทำได้แน่ เสี่ยวหนาน จากคะแนนของเธอในตอนนี้เอาไปยื่นและเลือกโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดล่วงหน้าได้เลยนะ เธอแค่ผ่านข้อสอบเกณฑ์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว เธออย่ากดดันตัวเองมากเกินไป แล้วก็อย่าหักโหมเรียนมากเกินไป เข้านอนเร็วทุกวันก็จะราบรื่นเอง เข้าใจไหม’
‘รู้แล้วค่ะ ขอบคุณพี่จือโจว งั้นแค่นี้นะคะ’
จ้าวหนานเซียววางสาย พอกลับไปที่ห้องก็เห็นสวีซู่มีสีหน้าถมึงทึง ฟันคนที่อยู่ในเกมดังปึงปังๆ หน้าจอเต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่พุ่งกระฉูดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอพูดขึ้น ‘สวีซู่ พ่อของนายเมื่อก่อนเป็นนักเรียนของคุณตาฉัน คุณตาฉันก็อยากรู้จักนาย ฉันหวังอย่างยิ่งว่านายจะมาได้จริงๆ นะ’
เขาเหมือนจะไม่ได้ยิน
จ้าวหนานเซียวได้แต่พูดว่า ‘งั้นฉันไม่กวนนายแล้ว นายพักผ่อนรักษาแผลให้ดี หกโมงเย็นวันมะรืน ฉันกับคุณตาจะรอนายนะ’
ไม่นานวันเกิดอายุสิบหกปีของเธอก็มาถึง
พลบค่ำวันนั้นเธอกลับถึงบ้านคุณตา คุณป้าที่มาดูแลความเป็นอยู่ของคุณตากำลังทำกับข้าวมื้อใหญ่อยู่ในครัว คุณตาเองก็ซื้อเค้กวันเกิดกลับมา จ้าวหนานเซียวล้างผลไม้ รอให้สวีซู่มา
ถึงเวลาหกโมงแล้ว จ้าวหนานเซียวไม่รอให้เสียงกริ่งประตูดัง ในใจก็ตึงเครียดอยู่หน่อยๆ อดทนรอไปอีกสักพักยังไม่เห็นเขามา จึงส่งข้อความหาเขา
‘นายถึงรึยัง เพราะว่าวันนั้นนายไม่ได้บอกฉันว่าจะไม่มา ฉันก็เลยบอกคุณตาไปว่านายจะมา ฉันจะลงไปรับนายเดี๋ยวนี้แหละ’
ในฤดูกาลนี้เมื่อถึงโมงยามนี้ท้องฟ้าก็จะมืดสนิท คุณตายังอาศัยอยู่ในอาคารที่พักของศาสตราจารย์ซึ่งจัดสรรไว้ตั้งนานแล้ว รอบข้างมีแต่บ้านแบบตะวันตกก่ออิฐเทาสูงสองชั้นที่ขนาดไม่ใหญ่ มีต้นไม้เก่าแก่มากมาย แสงไฟมืดสลัว เธอเหลียวซ้ายแลขวาอยู่บนทางเดินอิฐนอกประตู รออยู่สักพักก็ยังไม่เห็นเงาของสวีซู่
อุณหภูมิลดต่ำลงแล้ว ตอนที่เธอออกมาไม่ได้สวมหมวกและถุงมือ พอลมพัดมาก็รู้สึกหนาว จึงย่ำเท้าไปมา สองมือป้องปากอังลมหายใจ พลันได้กลิ่นเหมือนกลิ่นของบุหรี่อยู่ใกล้ๆ จึงไปตามหา เดินไม่กี่ก้าวก็เลี้ยวโค้ง เห็นที่มุมกำแพงมีคนพิงอยู่ กำลังสูบบุหรี่
‘สวีซู่! ทำไมนายมาอยู่ตรงนี้! ฉันรอนายมาสักพักแล้วนะ!’
สวีซู่ทิ้งบุหรี่ อุ้มหมีหมาตัวหนึ่งที่ใหญ่ถึงครึ่งตัวของจ้าวหนานเซียวขึ้นมาจากพื้น ยัดเยียดให้ส่งๆ ใส่อ้อมอกเธอ ‘พ่อให้ฉันซื้อ! ถ้าไม่ซื้อให้ ฉันก็อย่าหมายจะมีชีวิต บอกเขาทีว่าฉันมาแล้ว!’ พูดจบก็สะบัดหน้าจากไป
‘ทำเรื่องเลวร้ายมาเยอะเลยไม่กล้าขึ้นไปหาคุณตาฉันเหรอ’ จ้าวหนานเซียวโผล่หน้าจากหมีหมาตัวโตออกมาพูด
เขาหันมา ‘จ้าวหนานเซียว เธอว่ายังไงนะ’
‘งั้นก็ขึ้นไปสิ!’ เด็กสาวหันหน้าออกเดิน
ในที่สุดสวีซู่ก็มายืนอยู่ต่อหน้าคุณตา
คุณตากำลังอ่านหนังสือก็ถอดแว่นตาลง มารับเขาถึงหน้าประตู หัวเราะพลางตบไหล่เด็กหนุ่มแล้วพยักหน้า ‘หนุ่มน้อยรูปงาม กระปรี้กระเปร่ากว่าสวีเจิ้นจงพ่อเธอในตอนนั้นตั้งเยอะ คงหิวแล้วมั้ง กินข้าวแล้วไปตัดเค้กกัน’
จ้าวหนานเซียวหลับตาอธิษฐาน เป่าเทียนแล้วตัดเค้ก สวีซู่อยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงเลยสักแอะตั้งแต่ต้นจนจบ กินอาหารเสร็จแล้วจ้าวหนานเซียวเห็นเขายืนอยู่หน้าผนังด้านหนึ่งของห้องรับแขก มองดูรูปภาพเก่าๆ มากมายของคุณตาที่แขวนอยู่บนผนังจึงเดินเข้าไป ชี้รูปภาพขาวดำใบหนึ่งของเมื่อหลายศตวรรษก่อนที่ใช้กรอบกระจกปกป้องไว้
‘นี่คือสะพานใหญ่เฉียนถังเจียงในตอนที่เพิ่งสร้างเสร็จและให้รถวิ่งผ่านในปี 1937 สวีซู่นายเคยได้ยินเรื่องของสะพานนี้ไหม ตอนนั้นรัฐบาลอยากจะสร้างสะพานแห่งหนึ่งที่นี่ แรกเริ่มที่เชิญมาเป็นผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศ พวกเขาคิดว่าสภาพธรณีวิทยาและอุทกวิทยาไม่เหมาะสม ไม่สามารถสร้างได้ สุดท้ายเป็นคุณเหมาอี่เซิงที่ออกมาควบคุมดูแลการสร้างจนสำเร็จ นี่คือสะพานใหญ่สมัยใหม่ที่ทำจากเหล็กแห่งแรกที่คนจีนเราออกแบบและสร้างขึ้นเอง น่าเสียดายที่ให้รถวิ่งผ่านได้ไม่ถึงสามเดือน เพื่อจะยับยั้งไม่ให้ทหารญี่ปุ่นรุกรานหังโจว* คุณเหมาจึงระเบิดมันด้วยมือตนเอง คนที่อยู่ที่หัวสะพานในรูปนี้ก็คือพ่อของคุณตาฉัน ตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในวิศวกรที่สร้างสะพาน นี่คือรูปภาพที่คุณตาของฉันหวงแหนมาก’
สวีซู่มองดูรูปภาพเก่าอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไร
จ้าวหนานเซียวจูงเขามายังห้องหนังสือของคุณตา ชี้ที่ตู้โชว์ในห้องหนังสือ
‘ในนี้ทั้งหมดคือแบบจำลองสะพาน นี่คือสะพานจ้าวโจว นี่คือสะพานใหญ่โกลเด้นเกตที่ให้รถวิ่งผ่านที่อเมริกาในปี 1937 นี่คือสะพานใหญ่มิลเลา อยู่ที่ฝรั่งเศส เชื่อมต่อปารีสกับชายฝั่งลองก์ด็อก หลังจากให้รถวิ่งผ่าน ระยะเวลาการเดินทางด้วยรถก็สั้นลงจากเดิมที่เป็นสามชั่วโมงเหลือสิบนาที นายดูสิ มันสวยมาก เหมือนกับมังกรที่ลอยอยู่ในหุบเขาเลยใช่ไหมล่ะ’
สวีซู่ยังคงไม่พูดจา สายตาเคลื่อนย้ายไปมาบนแบบจำลองสะพานชนิดต่างๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ช่องตรงกลาง
ในตำแหน่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดนี้กลับวางแหวนเหล็กที่ดูธรรมดามากไว้วงหนึ่ง บนนั้นมีรอยคดงอ
คุณตาตามเข้ามา เห็นสวีซู่มองดูแหวนก็พูดกับจ้าวหนานเซียวว่า ‘เสี่ยวหนาน หลานอธิบายให้สวีซู่ฟังถึงที่มาของแหวนสิ’
จ้าวหนานเซียวรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์สะพานของโลกเป็นอย่างดี นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ
‘แหวนวงนี้มีชื่อเรียกว่าแหวนวิศวกร การเกิดขึ้นของมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมหนึ่งในประวัติศาสตร์สะพานของโลก โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นบนสะพานใหญ่ควิเบก สะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ปรมาจารย์ชื่อดังมากๆ ที่ชื่อว่าธีโอดอร์ คูเปอร์เป็นคนออกแบบและสร้างขึ้น สะพานใหญ่มีโครงสร้างเป็นคานยื่นที่ยาวที่สุดในโลกในตอนนั้น เชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นอมตะของคูเปอร์ เขาเองก็บอกว่าการออกแบบนี้ยอดเยี่ยมและประหยัดที่สุด แต่ว่าคูเปอร์มุ่งหวังกับการออกแบบมากเกินไป เพื่อที่จะทำให้สะพานใหญ่เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลกตอนนั้น เขาแก้การออกแบบจากเดิม 500 เมตรเป็น 600 เมตร เดือนสิงหาคมในปี 1907 ก็เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น ขณะที่การพาดคานยื่นช่วงหลักใกล้จะเสร็จ ขื่อท่อนหนึ่งของสะพานฝั่งใต้พลันถูกทับจนถล่มเนื่องจากสาเหตุอย่างชิ้นส่วนเปราะบาง คานยื่นจึงตกลงไปในแม่น้ำ นำเอาเหล็กกล้าที่หนักสองหมื่นตันและคนงานที่กำลังทำงานอยู่บนสะพาน 86 คนตกลงไปในน้ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คน เพราะว่าคูเปอร์เชื่อมั่นมากเกินไป เพิกเฉยต่อความสมเหตุสมผลของโครงสร้าง ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สะพานของโลกนี้ขึ้น
ที่จริงแล้วก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุก็มีวิศวกรที่ร่วมออกแบบด้วยค้นพบความไม่สมเหตุสมผลในการออกแบบ แต่เพราะเคารพเลื่อมใสในอำนาจ จึงไม่ได้แสดงความเห็นคัดค้านที่ชัดเจนออกมา ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือเมื่อก่อสร้างอีกครั้งในสิบปีให้หลัง เพราะการออกแบบที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน การลงรายละเอียดเชื่อมชิ้นส่วนให้แข็งแกร่งไม่เพียงพอ จึงเกิดเหตุพังทลายระหว่างการก่อสร้างสะพานขึ้นอีกครั้ง มีผู้เสียชีวิตอีกสิบสามคน ภายหลังวิทยาลัยวิศวกรรมเจ็ดแห่งของแคนาดาออกเงินซื้อซากปรักหักพังเหล่านั้น นำเหล็กกล้ามาทำเป็นแหวน มอบให้กับนักศึกษาที่จบจากคณะวิศวะสวมไว้บนนิ้วก้อย เวลาวาดแผนผังจะได้กดโดนนิ้วมือ ใช้วิธีนี้เตือนสติวิศวกรว่าต้องมีความรู้สึกรับผิดชอบที่สูงมากในการออกแบบสะพาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้ง
แหวนวงนี้ก็เป็นหนึ่งในแหวนที่สร้างจากวัสดุในตอนนั้น คณบดีของวิทยาลัยวิศวกรรมมอบให้คุณตาฉันตั้งแต่สมัยที่คุณตาฉันไปทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนที่แคนาดา’
เด็กหนุ่มมองดูแหวนเหล็ก ฟังอย่างเหมือนจะหลงใหล
คุณตาชมคำหนึ่ง ‘เล่าได้ดีอยู่ ดูก็รู้ว่าปกติไม่ได้อ่านหนังสือไปเปล่าๆ’
จ้าวหนานเซียวยิ้มพลางพูด ‘คุณตา ดูถูกหนูเกินไปแล้วนะคะ! อีกหน่อยหนูก็อยากจะเป็นนักออกแบบสะพาน ออกแบบสะพานใหญ่ที่ทนทานและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก!’
คุณตายิ้มแล้วพูด ‘เป็นนักออกแบบสะพานไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ความรับผิดชอบสูง แล้วยังเหนื่อยมาก หนูเป็นเด็กผู้หญิง ไม่กลัวหรือ’
‘คุณตากับคุณพ่อยังไม่กลัว หนูก็ไม่กลัว’
แววตาของคุณตาดูพึงพอใจ พยักหน้าแล้วกล่าว ‘ประธานเหมากล่าวว่าหนึ่งสะพานเหินข้ามเหนือใต้ น่านน้ำธรรมชาติผ่านบรรจบ ตอนนี้ประเทศจีนของเรายังมีน่านน้ำธรรมชาติอีกมากมายที่ต้องการสะพานโดยด่วน เสี่ยวหนาน หนุพยายามเข้า ตาเชื่อว่าอีกหน่อยหนูจะกลายเป็นผู้ทำงานด้านสะพานที่โดดเด่นคนหนึ่ง’
‘รับทราบค่ะ! คุณตา หนูไม่ได้ฟังคุณตาสีไวโอลินมานานแล้วนะคะ’
จ้าวหนานเซียววิ่งไปหยิบไวโอลินมาส่งถึงตรงหน้าคุณตา
คุณตายิ้มแล้วรับไป คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เล่นโน้ตเพลงซาลู ดามอร์
นี่เป็นเพลงบรรเลงร่วมกันของไวโอลินกับเปียโน
จ้าวหนานเซียวรีบไปนั่งที่หน้าเปียโนไม้ เปิดฝาครอบคีย์เปียโนแล้วร่วมบรรเลงไปกับเสียงของไวโอลิน
แสงไฟในห้องอุ่นนวล ไหลเวียนด้วยเสียงดนตรีอันงดงาม
สวีซู่ยืนอยู่หน้าห้องหนังสือคนเดียวไม่ขยับเขยื้อน
เวลานี้โทรศัพท์บ้านในห้องรับแขกก็ดังขึ้น คุณตาวางไวโอลินเพื่อไปรับโทรศัพท์
สวีซู่เดินเข้าไปช้าๆ หยิบไวโอลินขึ้นมาแล้วลูบคลำสาย
จ้าวหนานเซียวได้ยินเสียงคลอของไวโอลิน พอหันหน้ามาก็รู้สึกแปลกใจ เธอหยุดแล้วมองเขา
สวีซู่ดูขัดเขินเล็กน้อย รีบวางไวโอลินลงแล้วกระแอมทีหนึ่ง ‘…ตอนเด็กๆ ฉันเคยเรียนมานิดหน่อย…สีผิดแล้วใช่ไหม…’
จ้าวหนานเซียวรีบส่ายศีรษะ เล่นเปียโนต่อ ยิ้มและพยักหน้าให้เขา เชียร์ให้เขาเล่นต่อไป
ทันใดนั้นเองเสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันของคุณตาก็แว่วเข้ามาในโสต ‘…อะไรนะ! เกิดเรื่องกับเจี้ยนผิงเหรอ…ดินถล่ม?…’
มีข่าวร้ายมาจากโทรศัพท์
ขณะที่พ่อของจ้าวหนานเซียวกำลังทำงานอยู่ในภูเขาได้ประสบกับเหตุดินถล่มอย่างกะทันหัน เคราะห์ร้ายเสียชีวิต
คืนวันเกิดปีที่สิบหกนั้น สุดท้ายจ้าวหนานเซียวก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของคุณตา จนถึงยามดึกก็อ่อนเพลียอย่างยิ่ง เธอซ่อนน้ำตาแล้วหลับไปอย่างสับสนมึนงง
เครื่องบินลงจอดอย่างราบรื่นในสนามบิน
จ้าวหนานเซียวลงจากเครื่องบิน วันต่อมาหลังจากรายงานสถานการณ์กับหัวหน้าฝ่ายที่สถาบันออกแบบแล้วก็ขอลางานหนึ่งสัปดาห์
หัวหน้าฝ่ายทำเสียงแหะๆ “…เรื่องนี้ เสี่ยวหนานคุณก็รู้ว่าฝ่ายของเราแต่ละคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ งานมีเยอะมาก เร่งด่วนเป็นไฟไหม้ขนคิ้วกันทั้งนั้น…”
“หัวหน้าฝ่าย วันลาหยุดของปีที่แล้วกับปีก่อนหน้า จนถึงวันนี้ฉันยังไม่ได้ใช้เลยค่ะ!”
หัวหน้าฝ่ายใบหน้าร้อนผ่าว กระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันพยักหน้าอย่างใจกว้าง “ก็ได้! ให้คุณหนึ่งสัปดาห์! ครบสัปดาห์แล้วคุณรีบกลับมา!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.