X
    Categories: Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Count your lucky stars เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นรัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่หนึ่ง คุณมากกว่าสี่ห่วงอยู่หนึ่งห่วง

 

ในขณะที่คุณโชคร้าย ฉันหวังว่าคุณจะอยู่ห่างจากฉันหน่อย เพราะฉันนั้นมีความสำคัญ คุณอย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวเกินไปนัก

 

คอลัมน์ มนุษย์ดวงดาวเดียวดาย

 

ห้องอัดรายการ รายงานข่าวบันเทิง

“ลำดับถัดไปเราจะมาเปิดชาร์ตเรตติ้งรายการบันเทิงของสัปดาห์นี้กันนะคะ คุณมู่หยางตื่นเต้นไหมคะ” พิธีกรสาวยิ้มแล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ เห็นได้ชัดว่าเธอสนใจหนุ่มหล่อคนนี้มาก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจ หนำซ้ำยังย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ว่า “ตื่นเต้นแล้วจะมีผลต่อชาร์ตเหรอครับ”

“เอ่อ…” พิธีกรสาวยิ้มเก้ออย่างไปไม่เป็น “ไม่…ไม่หรอกค่ะ”

แล้วหนุ่มหล่อก็หันกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิธีกรสาวได้แต่จับผมข้างหูแก้เก้อ

“ถ้าอย่างนั้นเรามาดูคำตอบกันเลยดีกว่า ชาร์ตเรตติ้งอันดับหนึ่งของสัปดาห์นี้ยังคงเป็นของรายการเรียลลิตี้แฟชั่นโชว์ ‘สถานีถัดไป รันเวย์’ ค่ะ! ว้าว…และที่ยืนอยู่ข้างๆ ดิฉันก็คือคุณมู่หยาง โปรดิวเซอร์และพิธีกรของรายการค่ะ ส่วนตัวดิฉันเองก็เป็นแฟนคลับตัวยงของรายการนี้เช่นกัน ดิฉันจึงขอเป็นตัวแทนแฟนคลับถามคำถามสักคำถามนะคะ อย่างดิฉันสามารถเข้าร่วมรายการของคุณได้ไหมคะ”

“ไม่ได้ครับ”

“…”

“ดีไซเนอร์ที่จะเข้าร่วมรายการของเราจะต้องเป็นมืออาชีพ ส่วนนางแบบนายแบบก็จะต้องเคยเข้าร่วมงานประกวดซูเปอร์โมเดลมาก่อน เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่ารายการของเราจะมีความเป็นมืออาชีพครับ” หนุ่มหล่อเชิดหน้าขึ้นพูดแล้วหันไปมองพิธีกรสาวพร้อมกับพูดต่อว่า “ขอโทษด้วยนะครับ คุณจึงไม่สามารถเข้าร่วมรายการนี้ได้”

พิธีกรสาวกระตุกมุมปากเล็กน้อย ยังดีที่รายการนี้ออนแอร์เพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จบแล้ว เธอกระแอมแล้วเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า “เราทราบมาว่ามีนิตยสารแฟชั่นกับแบรนด์แฟชั่นมากมายที่ส่งดีไซเนอร์เข้าร่วมรายการของคุณ มีเพียงนิตยสารชิกฉบับเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมรายการนี้ด้วย อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ”

“ชิก?” มู่หยางยกมุมปากยิ้มอย่างร้ายๆ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังคงพอจะมีโอกาส แต่เมื่อสองเดือนก่อนพวกเขาเพิ่งจะเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่ จะรักษาตำแหน่งนิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งไว้ได้อีกนานแค่ไหนก็ยังพูดยาก แล้วจะกล้าแบ่งกำลังมาเข้าร่วมการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างนี้ได้เหรอครับ”

 

ในขณะที่พิธีกรสาวกำลังหยอกล้อหนุ่มหล่อและถูกโต้กลับจนอึ้งไปนั้น ในคลับเฮ้าส์ส่วนตัวใจกลางเมืองซีมีแสงไฟส่องสว่างวิบวับมากมาย มีพีระมิดแชมเปญขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมสระว่ายน้ำ และน้ำแข็งแกะสลักตัวเลขหนึ่งล้านระยิบระยับภายใต้แสงไฟ ชายหนุ่มรูปหล่อมาดเท่อยู่ในชุดสเว็ตเตอร์สีครีมกำลังยกค้อนขึ้นตีน้ำแข็งแกะสลักนั่น

ตัวเลขนั้นก็คือจำนวนนิตยสารชิกที่จัดจำหน่ายได้ในเดือนนี้ เป็นการทำลายสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา และชายหนุ่มผู้มีออร่าเปล่งปลั่งคนนั้นก็คือลู่ซิงเฉิง หัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่ที่พึ่งย้ายมาประจำนิตยสารชิกในภูมิภาคเอเชีย

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับหมื่นและภายใต้แสงไฟส่องสว่างเจิดจ้านั่น ลู่ซิงเฉิงทุบน้ำแข็งแกะสลักให้แตกอย่างเต็มแรงแล้วยกแก้วขึ้นฉลองกับทุกคน

นักข่าวกำลังเบียดเสียดยื่นไมค์เข้ามาถามเขา “คุณลู่ ตั้งแต่ที่คุณมารับตำแหน่ง นิตยสารฉบับแรกที่ออกมาก็ทำลายสถิติสูงสุด หน้าโฆษณาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบจุดสี่เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่นี้ต่อไปแบรนด์ใหญ่ๆ ก็จะเพิ่มโฆษณาในชิกมากขึ้นใช่ไหม แล้วจะลดโฆษณาในนิตยสารฉบับอื่นลงหรือเปล่า”

“คุณลู่ คอลัมน์เครื่องแต่งกายคอลัมน์แรกของเดือนนี้คือเรื่อง ‘กำมะหยี่ เทรนด์หรูหราแบบถ่อมตน’ คุณคิดว่าผ้ากำมะหยี่จะได้รับความนิยมในซีซั่นหน้าใช่ไหม”

“คุณลู่ ในงานเปิดตัวแฟชั่นฤดูร้อนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณเวินซีแฟนของคุณสวมรองเท้าส้นสูงแบรนด์น้องใหม่ ไม่ใช่รองเท้าพื้นหลังสีแดงที่เธอชอบสวมมาตลอด นี่เป็นการบอกใบ้ว่าคุณกำลังสนใจการออกแบบของแบรนด์นี้ใช่ไหม”

ลู่ซิงเฉิงรับไมโครโฟนมาอย่างสุภาพ “ก่อนที่ผมจะมาที่ชิก มีหลายคนสงสัยว่าผมจะรับตำแหน่งนี้ได้ไหม ผมคิดว่างานฉลองในค่ำคืนนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีได้นะครับ การฉลองความสำเร็จไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุด แต่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ต่างหาก ผมเชื่อว่าคนฉลาดย่อมจะเลือกทางที่ดีที่สุดเสมอครับ

ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วชาแนลนำเสนอซีรี่ส์ผ้ากำมะหยี่ก็ได้รับการตอบรับเกินความคาดหมาย มีหลายแบรนด์ที่พยายามจะเอาอย่างเพราะเห็นว่าจะได้รับความนิยมในฤดูกาลหน้า อันที่จริงผ้าที่ผลิตจากมณฑลฝูเจี้ยนได้ผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศจำนวนมากตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผ้ากำมะหยี่จึงเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย เหมือนกับที่โคโค่ ชาแนลเคยพูดไว้ว่า ‘แฟชั่นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สไตล์ไม่เคยเปลี่ยน’ ครับ

ดูท่าผมคงเป็นแฟนที่ไม่ค่อยจะได้เรื่อง ไม่ได้สังเกตว่าแฟนตัวเองเปลี่ยนรองเท้าใหม่ นี่ไม่ใช่ประเด็นว่าผมสนใจหรือไม่สนใจแบรนด์นี้นะ แต่เป็นอีกเดี๋ยวผมจะเจอหน้าแฟนได้ยังไงมากกว่า”

เขาพูดติดตลกอย่างเป็นกันเอง ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา

 

ดึกมากแล้วแต่ความกระตือรือร้นของนักข่าวก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ลู่ซิงเฉิงที่ถูกล้อมอยู่บนเวทีย่นคิ้วอย่างจนใจ “วันนี้เป็นวันที่มีความสุข พวกคุณเปลี่ยนไปถามคำถามที่ผมจะให้ความสนใจหน่อยได้ไหมครับ”

แสงประกายวิบวับที่อยู่บนสระว่ายน้ำด้านล่างสะท้อนกลับมาที่ใบหน้าของเขา ยิ่งทำให้ใบหน้าดูมีเสน่ห์มากขึ้น พวกนักข่าวก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์นั้น นักข่าวสาวใช้เสียงเล็กๆ ถามขึ้น “คุณสนใจคำถามในเรื่องแบบไหนคะ”

ลู่ซิงเฉิงยื่นมือชี้ไปทางนักข่าวสาวคนนั้น ขณะนั้นก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นมา เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พวกคุณก็ถามว่า ‘คุณลู่ ในชีวิตสิ่งที่คุณนับถือคืออะไร คนที่คุณศรัทธาที่สุดคือใคร’ ยังไงล่ะครับ”

พวกนักข่าวก็กรูกันขึ้นมา “ว่าแต่คืออะไร และคือใครเหรอคะ”

ในค่ำคืนงดงามน่าหลงใหล ลมที่พัดผ่านมาก็ยังมีเสน่ห์ ชายหนุ่มรูปหล่อยกนิ้วชี้วางที่ริมฝีปาก แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ ได้แต่เฝ้ารอคอย จากนั้นเขาก็กระโดดจากเวทีสูงลงสู่สระว่ายน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว

เกิดเสียงตู้มดังขึ้น ตามด้วยวงน้ำขนาดใหญ่ มีเสียงกรีดร้องขึ้นทุกทิศทาง จากนั้นก็เห็นภาพหัวหน้าบรรณาธิการหนุ่มโผล่ขึ้นจากกลางสระว่ายน้ำราวกับแหวกทะเลแดงจนทำเอาคนตกตะลึง

“Who am I?” คนที่ยืนอยู่กลางสระน้ำกางแขนโอบกอดค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่นี้เงยหน้าขึ้นฟ้าเอ่ยถามเสียงดัง

ในงานราวกับถูกจุดระเบิดขึ้น “ลู่ซิงเฉิง ! ลู่ซิงเฉิง!”

เสียงโห่ร้องราวกับมาจากผู้คนที่ถูกปลุกเร้าเป็นพันเป็นหมื่น คนที่อยู่ในสระว่ายน้ำก็ปีนขึ้นมาด้วยท่าทางสดชื่น แดลี่ ผู้ช่วยเขาได้เตรียมผ้าเช็ดตัวรอไว้อยู่ข้างๆ แล้ว

ลู่ซิงเฉิงคลุมผ้าขนหนูเดินผ่านผู้คนด้วยท่าทางสง่างาม หน้าจอขนาดใหญ่บนเวทีก็สว่างขึ้นมา บนหน้าจอปรากฏรายการ ‘รายงานบันเทิง’ ที่พิธีกรสาวกำลังพยายามคุมสถานการณ์ “…มีเพียงนิตยสารชิกฉบับเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมรายการนี้ด้วย อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ”

แล้วภาพก็จับไปที่ใบหน้ายิ้มเยาะของมู่หยางที่ดูแปลกแยกกับสถานการณ์ในตอนนี้ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังคงพอจะมีโอกาส แต่เมื่อสองเดือนก่อนพวกเขาเพิ่งจะเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่ จะรักษาตำแหน่งนิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งไว้ได้อีกนานแค่ไหนก็ยังพูดยาก แล้วจะกล้าแบ่งกำลังมาเข้าร่วมการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างนี้ได้เหรอครับ”

ผู้คนที่ถูกล้างสมองเมื่อครู่ก็ถึงกับตะลึงอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ คนที่กำลังจะประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบก็ค่อยๆ หันหลังกลับมา ดวงตาที่เก็บเกี่ยวเอาวิญญาณของผู้คนไปได้ในขณะนี้เย็นเยียบ

“แดลี่” เขาเรียก “ผมให้โอกาสคุณอธิบายอีกครั้ง”

“บ.ก. คือ…” แดลี่พูดอะไรไม่ออก เขายังเปิดหน้าจอบนเวทีตามกำหนดเดิม ซึ่งอันที่จริงควรจะฉายรายการทีวีสัมภาษณ์ชิกโดยเฉพาะจากงานแฟชั่นวีกที่มิลาน

เวินซียกชายกระโปรงขึ้น เดินเข้ามาแล้วเปิดกระเป๋าใบสวยออกดูเวลาจากมือถือ “คงรับสัญญาณถ่ายทอดสดจากดาวเทียม นี่เป็นเวลาถ่ายทอดรายการ ‘รายงานบันเทิง’ อยู่พอดี”

เห็นกันชัดๆ ว่าจะรับหรือไม่รับฟัง คำแก้ตัวนี้ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ลู่ซิงเฉิงสะบัดผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นออกพร้อมกับเอ่ยปากสั่ง “ไปแผนกออกแบบ หาดีไซเนอร์ที่ไม่มีชื่อเสียงที่สุดไปร่วมรายการนั่น”

“บ.ก. ครับ นั่น…”

ไม่รอให้แดลี่ได้พูดอะไรอีก ลู่ซิงเฉิงก็เดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ตามด้วยเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’

“ผมรู้ว่านิตยสารหลายฉบับก็ส่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบไปร่วมรายการ ถ้าพวกเราส่งคนที่ไม่มีชื่อเสียงที่สุดไป…” แดลี่พึมพำเสียงเบา

เวินซีมองไปที่หน้าจอใหญ่นั่นแล้วยกมุมปาก ริมฝีปากอวบอิ่มที่น่าหลงใหลยกโค้งขึ้น “งั้นคุณก็น่าจะรู้ว่าการตัดสินใจของลู่ซิงเฉิงไม่มีทางผิดพลาด”

แดลี่ยักไหล่ “ก็จริง คุณว่ากินเนื้อพระถังซำจั๋งแล้วจะเป็นอมตะ ถ้ากินเนื้อลู่ซิงเฉิงแล้วจะโชคดี ราบรื่นทุกอย่างใช่ไหม”

เวินซีเห็นด้วยอย่างยิ่ง “อย่าลืมเก็บกระดูกไหปลาร้าไว้ให้ฉันด้วยนะ ตรงนั้นมันเซ็กซี่มาก”

“ขนาดนี้ยังต้องเลือกอีก” แดลี่สะอึก

“มันอยู่ในสายเลือดน่ะ”

ถ้าพูดว่าโลกใบนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง แผนเอของเขาไม่เคยผิดพลาด เหมือนกับลู่ซิงเฉิง เช่นนั้นก็ต้องมีอีกกลุ่มคนที่แผนเอของเขาไม่เคยสำเร็จเลย เหมือนกับ…

“ถงเสี่ยวโยว! ทำไมกาแฟที่เธอซื้อมาถึงมีแค่ครึ่งแก้ว”

“เอ่อ ขอโทษค่ะ ระหว่างทางฉันโดนจักรยานชนเข้า แต่ฉันก็ไปซื้อให้คุณอีกแก้ว เพราะงั้นจึงมีหนึ่งแก้วครึ่ง”

 

“ถงเสี่ยวโยว! ไปเอาผ้าขี้ริ้วมา เฮ้ย! มือเธอทำไมถึงพันผ้าพันแผลไว้ด้วย”

“อ๋อ ก๊อกน้ำที่ห้องต้มน้ำมันเสียน่ะ ฉันเพิ่งไปเปิดก๊อกน้ำร้อน…”

“ช่างเถอะๆ เธอไปพักผ่อนเถอะ”

 

“ถงเสี่ยวโยว! ช่วยเก็บเอวให้ฉันอีกสักสองฝีเข็ม

“ได้ โอ๊ย!”

“มีอะไร”

“เข็มตำเข้าไปที่เล็บมือ”

 

“ถงเสี่ยวโยว!”

“ค่ะ! หัวหน้า มีอะไรให้ฉันทำคะ”

“บ.ก. ให้เธอไปเข้าร่วมรายการ ‘สถานีถัดไป รันเวย์’ ”

“…”

“ถงเสี่ยวโยว?”

“ค่ะ!”

 

“เอ่อ…หัวหน้าคะ ฉันรับผิดชอบเบื้องหลังใช่ไหมคะ” ถงเสี่ยวโยวหยิบสมุดโน้ตที่ติดตัวไว้ออกมา รอรับคำสั่งด้วยท่าทางจริงจรัง

ทั้งสำนักพิมพ์ไม่ใช่แค่เฉพาะแผนกออกแบบ แผนกอื่นๆ ก็มีดีไซเนอร์ที่มีฝีมือไม่น้อย ทุกๆ ปีจะมีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยดังส่งเรซูเม่เข้ามามากมาย คิดอยากจะเบียดกันเข้ามาทำงานในสำนักพิมพ์นี้ ทว่าท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่ในแผนบีถงเสี่ยวโยวก็ไม่ควรจะอยู่ด้วยซ้ำ ดังนั้นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอยอมรับได้ก็คือทีมของนิตยสารจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้และต้องการให้เธอไปช่วยงานเบื้องหลัง

“ไม่ใช่ เธอต้องเป็นตัวแทนนิตยสารของเราเข้าร่วมการแข่งขัน เธอลาพักเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขันได้ตั้งแต่วันนี้เลย” หัวหน้าแผนกย้ำอีกครั้งด้วยท่าทางจริงจัง

“จะ…จะเป็นไปได้ยังไงกัน”

“อ้อ เรื่องมันเป็นแบบนี้ รายการ ‘สถานีถัดไป รันเวย์’ มีเงื่อนไขว่าผู้เข้าร่วมแข่งขันต้องจบสาขาการออกแบบและต้องมีประสบการณ์การทำงานในวงการแฟชั่นสามปีขึ้นไป แล้ว บ.ก. ของเราก็คิดว่าดีไซเนอร์ของเราคนไหนก็สามารถชนะได้ ดังนั้นจึงให้เราส่งดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดไปเข้าร่วมการแข่งขัน แต่เธอก็รู้นี่ว่าพวกเราคือชิกนะ ในนิตยสารของเราดีไซเนอร์ที่มีประสบการณ์ทำงานสามปีขึ้นไปถ้าไม่ได้ไปมีชื่อเสียงอยู่ต่างแดนก็เปิดแบรนด์ของตัวเองกันไปหมดแล้ว ที่ไม่มีใครรู้จักก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น”

“…”

“ถงเสี่ยวโยว สู้ๆ! หน้าตาของนิตยสารนี้ขึ้นอยู่กับเธอคนเดียวเลยนะ”

“เอ่อ…สู้…สู้ๆ”

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

“ถงเสี่ยวโยว ฉันจะทำนายให้” เสียงของซ่งหรูหรูที่ดังขึ้นทำให้ถงเสี่ยวโยวตกใจจนมือสั่น ไดร์เป่าผมดูดเส้นผมของเธอเข้าไป ตอนที่ดึงออกมาก็มีกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาด้วย

เวลาเจ็ดโมงเช้าเป็นเวลาที่พนักงานออฟฟิศซื่อตรงอย่างถงเสี่ยวโยวต้องตื่นนอน ส่วนชีวิตของซ่งหรูหรูไม่เคยมีเวลาก่อนเที่ยง

“เธอปวดฉี่จนตื่นใช่ไหม” ถงเสี่ยวโยวไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นซ่งหรูหรูในตอนเช้าตรู่เช่นนี้ เธอตกใจยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก

“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้” ซ่งหรูหรูเดินผ่านเข้าห้องน้ำไป บ่นพึมพำขณะที่นั่งอยู่บนชักโครก “ในฐานะที่เป็นเพื่อนซี้กัน ในขณะที่ดวงชะตาของเธอจะเปลี่ยนไปฉันต้องเสี่ยงทายให้เธอสักครั้ง”

ถงเสี่ยวโยวเบะปาก “แล้วเธอเห็นอะไรบ้าง”

“ดาวมฤตยูปรากฏขึ้น” ซ่งหรูหรูพูดด้วยท่าทางจริงจัง

“ซ่งหรูหรู” ถงเสี่ยวโยวถือไดร์ค้างเอาไว้ “หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน ดูเหมือนว่าจะมีสามร้อยวันที่เธอบอกฉันว่ามีดาวมฤตยูปรากฏ”

“นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอดวงซวยทุกวันน่ะสิ วันนี้ก็เหมือนกัน” ซ่งหรูหรูพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “เธอจะบอกว่าฉันทายไม่แม่นไม่ได้นะ”

ถงเสี่ยวโยวมองค้อนไปทีหนึ่ง “เฮอะ วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว บ.ก. ของเราคือใคร เขาเป็นดวงนำโชคในตำนานเชียวนะ สิ่งที่เขาเลือกทำไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”

“ถ้าอย่างนั้น…” ซ่งหรูหรูยกมือขึ้นถาม “ลู่ซิงเฉิงทำอะไรก็ไม่เคยล้มเหลว ส่วนเธอทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ แล้วลู่ซิงเฉิงก็ยังดันมาเลือกเธอ แล้วนี่ดวงซวยของเธอจะเหนือกว่า หรือว่าดวงดีของเขาจะเอาชนะดวงซวยของเธอได้ล่ะ”

นี่มันเป็นการแข่งขันที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้ ถงเสี่ยวโยวพูดอย่างประจบประแจงว่า “ก็ต้องเป็นดวงดีของ บ.ก. ชนะดวงซวยของฉันน่ะสิ”

 

ความคิดนี้ช่างงดงามและเต็มไปด้วยพลังจริงๆ ถงเสี่ยวโยวรู้สึกเหมือนความสุขกำลังโอบล้อมตัวเธออยู่

ได้ร่วมเวทีกับผู้มีความสามารถจากหลากหลายวงการในรายการดังของวงการบันเทิงอย่าง ‘สถานีถัดไป รันเวย์’ ต่อให้ไม่ชนะก็ถือเป็นการแข่งขันที่มีเกียรติมาก อีกทั้งเธอเป็นทั้งคนที่ บ.ก. สนับสนุนและยังได้เวินซีมาเป็นนางแบบให้อีกด้วย เวินซีเป็นสุดยอดซูเปอร์โมเดลเชียวนะ เมื่อเธอสวมชุดราตรีก็เป็นดั่งราชินี สวมชุดทำงานก็ดูมีเสน่ห์ ต่อให้เอากระดาษหนังสือพิมพ์มาสวมก็ยังดูมีสไตล์ บ.ก. จัดนางแบบระดับนี้มาให้ เธอจะไม่ชนะได้ยังไง

ถงเสี่ยวโยวทั้งเชื่อมั่นและมั่นใจ วันนี้ต้องเป็นวันสำคัญที่ดวงชะตาจะพ้นจากจุดต่ำสุดจนสามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ แม้ว่าจะดวงซวยมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ในที่สุดก็จบสิ้นเสียที อีกทั้งการเริ่มต้นใหม่และชีวิตใหม่ก็มีความรู้สึกที่ชัดเจนกำลังบอกอยู่ในใจ ตั้งแต่ที่ถงเสี่ยวโยวขึ้นมาบนเวทีก็ยิ้มไม่หุบเลย

ดังนั้นขณะที่ทีมงานกำลังอธิบายลำดับของรายการอยู่ เธอก็เอาแต่ยิ้ม ตอนที่ประกาศหัวข้อในครั้งนี้คือ ‘เบ่งบาน’ นั้นเธอก็ยังยิ้มอยู่ และเมื่อเวินซีสวมชุดของเธอเดินอยู่บนแคตวอล์ก เธอก็ยิ่งยิ้มหนักเข้าไปอีก

เมื่อมาถึงขั้นตอนการให้คะแนนในช่วงสุดท้ายยิ้มของถงเสี่ยวโยวก็ยกระดับขึ้นอีก ยิ้มของเธอนั้นครอบคลุมความคิดเอาไว้มากมาย อย่างเช่นอยู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งดังขึ้นมาว่า จะต้องทำอะไรดี เปิดร้านแบรนด์ ไม่ได้ๆ ยังไงก็ต้องเปิดคอลัมน์ก่อน จำได้ว่าในช่วงนี้มีดีไซเนอร์คนหนึ่งเปิดคอลัมน์จนดังแล้วค่อยไปเปิดร้าน

“เอาล่ะ กรรมการทุกท่าน หมดเวลาแล้วครับ คุณถงเสี่ยวโยว ดีไซเนอร์จากนิตยสารชิกกับนางแบบของเธอคุณเวินซี คะแนนของกรรมการท่านแรก ศูนย์คะแนน ศูนย์คะแนน? นี่เป็นครั้งแรกที่รายการของเรามีศูนย์คะแนน ถ้าอย่างนั้นคะแนนของกรรมการท่านที่สองก็คือ ก็ได้ศูนย์คะแนนเหมือนกัน แล้วกรรมการท่านที่สามล่ะครับ ท่านที่สามก็ได้ศูนย์คะแนนเหมือนกัน ท่านที่สี่กับท่านที่ห้าก็เหมือนกันใช่ไหมครับ”

ตะลึงกันไปทั้งงาน

มู่หยาง พิธีกรของรายการหัวเราะด้วยท่าทางร้ายๆ ที่เป็นยี่ห้อของเขาออกมา “ทุกท่าน! ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เผยแพร่ภาพรายการสถานีถัดไป รันเวย์มา คุณถงเสี่ยวโยว ดีไซเนอร์จากนิตยสารชิกเป็นคนแรกที่ได้ศูนย์คะแนนจากรายการของเรา และได้ศูนย์คะแนนจากกรรมการทั้งห้าท่านด้วย”

ฝีปากของมู่หยางยอดเยี่ยมจริงๆ ขณะที่ใบหน้าของเวินซีก็บิดเบี้ยวไม่สวยงามแล้ว ตอนนี้ในสมองของถงเสี่ยวโยวเกิดความคิดอยู่สองอย่างก็คือ ‘นี่ดวงซวยของเธอจะเหนือกว่าดวงดีของเขา หรือว่าดวงดีของเขาจะเอาชนะดวงซวยของเธอได้กันแน่’

สุดท้ายเธอก็ชนะ ยี่สิบหกปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ถงเสี่ยวโยวชนะ…ถงเสี่ยวโยวไม่ได้รู้เลยว่ากล้องทุกตัวกำลังจับจ้องมา ดังนั้นเธอจึงเผยใบหน้ายิ้มที่เหมือนกับกำลังอยู่ในความฝันออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว

ลู่ซิงเฉิงกดปุ่มหยุดบนรีโมตคอนโทรล หน้าจอยังคงเห็นใบหน้าสุดท้ายของถงเสี่ยวโยวที่ซูมเข้ามาใกล้มาก ในห้องทีวีจึงเงียบสนิทจนเหลือเพียงแค่เสียงของลมหายใจเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับใบหน้ายิ้มด้วยความตื่นเต้นของถงเสี่ยวโยวแล้วก็มีความแตกต่างกันมาก

บรรยากาศนิ่งๆ ลู่ซิงเฉิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

หัวหน้าแผนกออกแบบเหงื่อซึมไปทั้งตัว แอบส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนให้กับแดลี่ผู้ช่วยของ บ.ก. ที่ยื่นอยู่ข้างๆ

แดลี่ส่งสายตาช่วยอะไรไม่ได้กลับไป

หัวหน้าแผนกยังไม่ยอมแพ้ส่งสายตาไปอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น บ.ก. นิ่งเงียบไม่พูดจา เขายิ่งไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

ครั้งนี้แดลี่มองไปทางอื่น ไม่แม้แต่จะส่งสายตาตอบกลับมาให้หัวหน้าแผนก

“ผมว่า…” ในที่สุดลู่ซิงเฉิงก็ยอมเอ่ยปาก หัวหน้าแผนกตื่นเต้นมาก เขายกมือขึ้นชี้ไปที่ใบหน้าบนหน้าจอเบาๆ “มาจากไหน”

“เอ๋” หัวหน้าแผนกอึ้งไป

“ผมอยากรู้ว่าคุณไปเอาตัวประหลาดนี้มาจากไหน” ในที่สุดลู่ซิงเฉิงก็เหลือบตามามองเขา แววตาสดใส น้ำเสียงอ่อนโยน ทันใดนั้นหัวหน้าแผนกถึงกับขาอ่อน

“ไม่…ไม่ใช่ว่า บ.ก. บอกว่าให้หาดีไซเนอร์ที่ไม่มีชื่อเสียงที่สุดออกมา” แม้ว่าจะเข่าอ่อน แต่หัวหน้าแผนกก็ยังพยายามพูดออกไปให้จบ

ลู่ซิงเฉิงเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนที่น่าหลงใหลในตอนนี้กลับเย็นยะเยือก “เป็นความผิดของผมงั้นเหรอ เป็นความผิดของผมที่ไม่รู้ว่ามีคนแบบนั้นสามารถเข้ามาอยู่ในชิกได้”

เมื่อเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแดลี่ก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าแผนกยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ยังคงเสี่ยงตายที่จะอธิบาย “คือว่า…คือว่าเป็นแบบนี้ งานเบ็ดเตล็ดทั่วๆ ไปในแผนกออกแบบ เธอทำทั้งหมด บ.ก. คุณอย่าเห็นว่าตัวเธอเล็กๆ เธอสามารถแบกถังน้ำดื่มขึ้นมาที่ชั้นห้าโดยไม่หอบเลยสักนิด”

ลู่ซิงเฉิงยิ้ม “คุณก็เลยให้คนแบกน้ำไปเข้าร่วมการแข่งขัน”

 

ภายในหนึ่งสัปดาห์นิตยสารชิกติดชาร์ตประเด็นร้อนในเวยป๋อกลายเป็นประเด็นให้คนได้หัวเราะกันหลังมื้ออาหาร ถงเสี่ยวโยวไม่ได้นอนทั้งคืน เธอดึงซ่งหรูหรูขึ้นมาและขอร้องให้ช่วยเสี่ยงทายตอนจบว่าจะเป็นอย่างไร ซ่งหรูหรูพูดอย่างมีความนัยว่า “หนึ่งชีวิต สองชะตา สามเฟิงสุ่ยสี่บุญกรรม ห้าร่ำเรียน หก…อย่าดึงดัน เธอแพ้ไม่เป็นท่าแบบนี้ยังจะยิ้มได้อีกนะ ท่ายิ้มเธอก็ยังถูกถ่ายเอาไว้ด้วย มันจะต้องเสี่ยงทายอะไรอีก ถ้าจะดึงดันก็ไม่มีทางออกหรอกนะ”

“งั้นเธอว่าในโลกนี้มีโรคอยู่โรคหนึ่งไหม เพราะโศกเศร้าเสียใจอย่างที่สุดแล้วทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าเป็นตะคริวจนกลายเป็นยิ้มประหลาดๆ” ถงเสี่ยวโยวรีบร้อนอยากจะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้กับ บ.ก. มิฉะนั้นเธอก็ไม่อาจคิดถึงผลที่ตามมาได้ หลายปีที่ผ่านมาเธอรวบรวมงานเบ็ดเตล็ดไว้ทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่ในแผนกออกแบบนี้ได้ แม้ว่าจะได้จัดการกับเสื้อผ้าน้อยมาก แต่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพวกมันก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

ซ่งหรูหรูถอนหายใจออกมา “ถงเสี่ยวโยว เธอไม่คิดเหรอว่าเธอซวยมายี่สิบหกปี ยี่สิบหกปีเชียวนะ เดินไปบนถนนก็ถูกรถชนได้ ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ก็ใช้ได้ไม่ถึงอาทิตย์ กระเป๋าสตางค์ถูกขโมยก็จะต้องเป็นวันที่เงินเดือนออก เธอจะดีใจจนลืมตัวได้ยังไง”

ถงเสี่ยวโยวยอมรับว่าตัวเองมึนงงกับโชคดีที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะว่าลู่ซิงเฉิงเป็นตำนานของวงการแฟชั่นที่โด่งดัง เขามีความสามารถในการคาดการณ์เทรนด์แฟชั่นได้อย่างแม่นยำ อะไรที่เขาถูกใจก็จะเป็นสินค้าที่ฮิตในฤดูกาลนั้น ดีไซเนอร์ที่เขาผลักดันก็จะต้องดังเป็นพลุแตก หากพูดว่าดีไซเนอร์เป็นคนที่ตัดเย็บเสื้อผ้า ลู่ซิงเฉิงก็คือคนตัดเย็บวงการแฟชั่นทั้งวงการ แต่การที่เขาเลือกเธอกลับเป็นการตบหน้าตัวเองอย่างแรง

“หรูหรู ฉันไม่เหมาะกับวงการนี้จริงๆ ใช่ไหม…”

แสงไฟระยิบระยับของเมืองนี้มีมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า สถานที่สว่างไสวในยามค่ำคืนก็สว่างมากกว่าตอนกลางวัน แต่โลกของถงเสี่ยวโยวกลับไม่มีแสงสว่าง

“แต่ฉันยังไม่อยากยอมแพ้”

 

ตั้งแต่ทำงานมาหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่ถงเสี่ยวโยวมีโอกาสเข้าไปในห้องทำงานของ บ.ก.

ขณะที่แดลี่เปิดประตูให้เธอได้กระซิบข้างหูว่า “อย่าโต้เถียง เธอถึงจะมีโอกาสยื่นจดหมายลาออก” ถงเสี่ยวโยวรู้สึกจมูกแสบร้อนจนพูดอะไรไม่ออก

“ถงเสี่ยวโยวเข้ามาทำงานในสำนักพิมพ์เมื่อสี่ปีก่อน จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ขั้นต่ำสุด อ้อ ไม่สิ แบกถังน้ำ ถ้านับเวลาทำงานก็ถือว่าเป็นพนักงานเก่าแก่ นอกจากเป็นพนักงานเก่าแก่แล้วก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง นานมาแล้วเคยจัดชุดเสื้อผ้าถ่ายแบบในเล่ม แต่จากการสอบถามผู้อ่านในเวลาต่อมา ชุดที่จัดมาถูกจัดว่าเป็นชุดที่แมตช์ได้แย่ที่สุดแห่งปี จากนั้นก็ไม่เคยได้ออกหน้าออกตาอะไรอีก” ลู่ซิงเฉิงกล่าวถึงประวัติการทำงานของถงเสี่ยวโยวคร่าวๆ “จนกระทั่งเมื่อวานก็มีชื่อเสียงขึ้นมา คุณได้ศูนย์มาห้าตัวแล้วหัวเราะ เป็นภาพที่คนดูกันเป็นล้านๆ ครั้ง ยินดีด้วยนะ”

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกผิดบาปเป็นอันมาก ตั้งแต่เข้ามาก็ได้แต่ก้มหน้ารอฟังคำพิพากษา ลู่ซิงเฉิงเหลือบมองไปแวบหนึ่ง ศีรษะของหญิงสาวเกือบจะก้มไปชิดหน้าอกแล้ว มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่ช่างเถอะ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าคือคนดวงซวย

“บ.ก. คะ ฉันผิดไป…”

“หึๆ” ลู่ซิงเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “คุณรู้ไหมว่าบนโลกนี้ทุกวันจะมีดีไซเนอร์กี่คนที่พูดว่าตัวเองผิดไปแล้ว เลือกวัตถุดิบเลือกผ้าผิด เลือกสีก็เลือกใช้สีผิดคู่ ตอนตัดเย็บเลือกแบบผิด แต่คุณ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เลือกสาขาผิด หรือตอนมาเกิดเลือกเวลาผิดล่ะ”

“บอ…บ.ก. แม้ว่าที่ผ่านมาฉันจะไม่มีชื่อเสียง แต่…แต่ฉันก็ตั้งใจทำงานด้านออกแบบนี้มาก คุณดูสักนิดนึงก็ได้…” ถงเสี่ยวโยวไม่เชื่อฟังคำพูดของแดลี่ เธออดไม่ได้ที่จะแก้ตัวสักหน่อย เธอไม่อยากจะจากชิกไปจริงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่แดลี่พูดนั้นถูกต้อง

“ไม่จำเป็น” ลู่ซิงเฉิงปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด “ฉันไม่สนใจและไม่ได้ว่างพอจะมาชื่นชมผลงานที่ไม่ได้รับความนิยม วงการนี้มันก็โหดร้ายอย่างนี้ เธอไม่มีความสามารถ ไม่มีใครจะยื่นมือไปช่วยดึงขึ้นมา เธอก็ได้แต่เน่าเละอยู่ในนั้น”

ถงเสี่ยวโยวถูกยิงเป็นปืนกล เละเป็นหมูบะช่อ

ตอนที่ ‘หมูบะช่อ’ จากไปก็สวนกับเวินซี ถงเสี่ยวโยวได้กลิ่นหอมฉุนแบบเครื่องหอมตะวันออกลอยออกมาจากตัวเธอ กลิ่นไม้จันทน์กับกลิ่นมะลิที่ผสมกันช่างเหมาะกับกระโปรงปล่อยชายพิมพ์ลายแบบย้อนยุคของเธอมาก

ถงเสี่ยวโยวคิดว่านี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เธออยู่ใกล้กับคนดังในวงการแฟชั่นมากที่สุดในชีวิต ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว

ลู่ซิงเฉิงยังคงโมโหอยู่ แม้ว่าคนที่เข้ามาจะเป็นแฟนสาวอย่างเป็นทางการของเขาก็ไม่อาจจะหลบหลีกมหันตภัยนี้ได้

“เมื่อคืนยายนั่นให้คุณสวมชุดอะไรคุณก็สวม ในฐานะที่เป็นนางแบบอันดับหนึ่งของนิตยสาร คุณควรจะมีมาตรฐานความงามสักหน่อยนะ”

“การเคารพการเลือกสรรของดีไซเนอร์เป็นจรรยาบรรณวิชาชีพของฉัน” เวินซีกะพริบตาหงส์อย่างเย้ายวน “ที่สำคัญฉันก็รู้สึกว่ากางเกงขาบานจับคู่กับเข็มขัดสีแดงก็ดูไม่เลวทีเดียว”

ลู่ซิงเฉิงไม่พูดว่าถูกหรือผิด “แต่เธอได้ศูนย์มาห้าตัว”

เวินซีเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง “คุณไม่สงสัยเหรอว่ามู่หยางเจตนาทำแบบนั้น เขาตั้งใจจะท้าทายให้พวกเราร่วมรายการ ไม่ว่าเราจะส่งใครไป เขาก็จะต้องให้พวกเราแพ้ ฉันว่าเป็นเพราะถงเสี่ยวโยวไม่เป็นที่รู้จัก เขาก็เลยจัดศูนย์ให้ห้าตัวเลย”

เมื่อเห็นว่าเขากำลังฟังอยู่เวินซีจึงพูดต่อไปว่า “ในเมื่อสถานีถัดไป รันเวย์บอกว่าเธอเป็นดีไซเนอร์ศูนย์คะแนน แล้วถ้าเธอดังขึ้นมาไม่เป็นการแสดงให้เห็นว่ารายการของพวกเขาสายตาไม่ดีเหรอ”

จะทำให้ดีไซเนอร์สักคนดังขึ้นมาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลู่ซิงเฉิง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาถือแพลตฟอร์มด้านแฟชั่นอันดับหนึ่งอยู่ในมือ ลำพังเพียงแค่คำพูดของเขาประโยคเดียวก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของดีไซเนอร์คนหนึ่งได้แล้ว เพียงแต่เขาไม่สนใจที่จะทำธุรกิจขาดทุนแบบนี้ แม้แต่คำพูดประโยคเดียวเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาด้วย

“ดันให้เธอดังขึ้นมาก็เพื่อจะเป็นการตบหน้ามู่หยาง” ลู่ซิงเฉิงพูดดูแคลน “เขาไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น”

ดูเหมือนเวินซีจะมีความคิดเห็นบางอย่าง “ถ้าคุณไล่เธอออกก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าชิกแพ้ไม่เป็น สู้เลื่อนขั้นให้เธอจะดีกว่า”

เวินซีพูดจบก็ทำท่ายื่นริมฝีปากสีชมพูออกไปหาเขาเป็นการออดอ้อน “ขอแค่คุณยอมตกลง ฉันก็จะไปถ่ายโฆษณาบิกินีนั่นก็ได้”

สายตาลู่ซิงเฉิงกลอกไปมาเลิกคิ้วไปทางเธอ “คุณไม่ได้รู้สึกว่าเรตสูงเกินไปจนไม่อยากจะถ่ายไม่ใช่เหรอ”

เวินซีเลิกคิ้วเลียนแบบท่าทางของเขา “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าฉันยอมถ่าย ยอดลงโฆษณาเดือนถัดไปก็จะเพิ่มขึ้น ที่สำคัญ…” เธอพูดไปก็เข้ามาใกล้ลู่ซิงเฉิงอีกหน่อย “แฟนหนุ่มของฉันยังไม่ถือสา แล้วฉันจะไปถือสาอะไร”

ลู่ซิงเฉิงถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง

เวินซีมองเขาด้วยสายตารังเกียจ

ท่าทางมองค้อนอย่างไร้ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ลู่ซิงเฉิงรู้สึกสบายใจ พูดอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ตอนบ่ายผมจะให้แดลี่ไปคุยเรื่องราคา จะว่าไปทำไมคุณถึงช่วยพูดให้ยายนั่น”

“ไม่” เวินซีพูดด้วยท่าทางสง่างาม “ฉันแค่เกลียดมู่หยาง”

คำตอบนี้ดูสมเหตุสมผล ลู่ซิงเฉิงเผยรอยยิ้มที่หายไปนานออกมา ทั้งอบอุ่นสดใสเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ได้ ตกลง”

 

คนในแผนกออกแบบไม่ได้โกรธถงเสี่ยวโยวที่ทำให้นิตยสารขายหน้า กลับกันทุกคนกลับแสดงความเสียใจและรู้สึกอาลัยที่เธอจะถูกไล่ออก

“ถงเสี่ยวโยวไปแล้ว ต่อไปเราจะต้องไปรับอาหารที่สั่งมากันเองใช่ไหม”

“แล้วใครจะเปลี่ยนถังน้ำดื่มล่ะ ผู้ชายในแผนกออกแบบสิบคนเป็นเกย์ที่ไม่มีแรงจับไก่เลยสักคน”

“แล้วผ้าที่ฉันเอามาเมื่อวาน ใครจะเป็นคนขนย้ายเข้าไปในโกดังล่ะ”

ถงเสี่ยวโยวคิดว่าจะมีตัวเองหรือไม่มีก็ได้ ที่แท้เธอก็มีความสำคัญขนาดนี้ ไม่เสียทีที่ทำงานที่นี่

แดลี่เดินเข้ามาที่แผนกออกแบบขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นิ้วที่เรียวยาวของเขาคีบซองจดหมายสีขาวไว้หนึ่งซอง ถงเสี่ยวโยวรู้ว่าข้างในก็คือจดหมายแจ้งให้เธอออกจากงาน

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถงเสี่ยวโยวออกจากแผนกออกแบบ” แดลี่ประกาศทีละคำอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไปทำงานที่ออฟฟิศของ บ.ก.”

“หา!”

“อันตราย” ซ่งหรูหรูพูดไปดูเซียมซีไป “ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ดาวมฤตยูปรากฏขึ้น แต่กำลังลอยอยู่สูง แล้วยังมีเกณฑ์เลือดตกยางออก”

“บ.ก. ไม่ได้ไล่ฉันออก แล้วฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งด้วย ฉันจะไม่เชื่อเรื่องงมงายอะไรอีกแล้ว” ถงเสี่ยวโยวกินบะหมี่อย่างมีความสุข บะหมี่ร้อนๆ เต็มไปด้วยลูกชิ้นเนื้อวัว ไส้กรอก ไข่นกกระทา และหนังหมูที่เธอโปรดปราน “แถมยังอยู่ใกล้กับ บ.ก. อีก ต่อให้เขาไม่ได้สอนอะไรฉัน ฉันก็ยังได้ซึมซับแฟชั่นของเขา…แม่บอกกับฉันว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกับน้ำชาจอกหนึ่ง จะมีขมอยู่ช่วงหนึ่ง แต่จะไม่ขมไปทั้งชีวิต”

ซ่งหรูหรูเบะปาก “แล้วถ้าเธอชงชาขู่ติงจะทำยังไง”

ถงเสี่ยวโยวสูดบะหมี่จนสำลักเข้าไปถึงโพรงจมูก เจ็บจนกลิ้งไปบนโซฟา กว่าจะดึงบะหมี่เส้นหนึ่งที่ติดอยู่ในรูจมูกออกมาได้ เธอก็น้ำมูกน้ำตาไหลเต็มหน้าไปหมด

พูดกันตามจริง ดวงของถงเสี่ยวโยวมันแย่จริงๆ และก็ซวยมาตลอด แต่ถ้าพูดในมุมมองการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต หากสิ่งมีชีวิตยังคงอยู่ก็จะต้องมีความสามารถในการดำรงชีวิตต่อไปได้ แม้ว่าจะไม่มีใครซวยมากไปกว่าเธอ แต่ก็ไม่มีใครที่มองโลกในแง่ดีได้เท่ากับเธอเหมือนกัน

แม้ว่าจะถูกรถชนก็ไม่พิการ แม้จะถูกขโมยกระเป๋าแต่ก็ไม่เคยถูกข่มขืน แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงแต่ก็ยังยืนหยัดเพื่อความฝันของตนเอง

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วชีวิตก็งดงามขึ้นมามากทีเดียว

ดังนั้นตั้งแต่วันที่มารายงานตัว ถงเสี่ยวโยวอยู่ในห้องทำงานของลู่ซิงเฉิงก็รู้สึกประทับใจจนน้ำมูกน้ำตาไหล สาบานว่าต่อให้ตายก็จะเสียสละเพื่อชิก

ในตอนนั้นลู่ซิงเฉิงกำลังตรวจดูภาพถ่ายโฆษณาของเวินซี พอถงเสี่ยวโยวกล่าวรายงานอย่างกระตือรือร้นจนจบ เขาก็ดูรูปภาพทั้งห้ารูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลู่ซิงเฉิงกระดิกนิ้วเรียกเด็กวิ่งงานเข้ามา “ศูนย์ห้าตัวเอาไปส่งที่แผนกตีพิมพ์

ถงเสี่ยวโยวมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ศูนย์ห้าตัวคืออะไร หมายเลขติดต่อภายในหรือเปล่า

ลู่ซิงเฉิงเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์ “เรียกเธอนั่นแหละ ศูนย์ห้าตัว”

ศูนย์ห้าตัวนี่เรียกฉันเหรอ ที่แท้ บ.ก. ที่ดูเก่งไปทุกเรื่องจริงๆ แล้วก็ความจำไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นถงเสี่ยวโยวจึงได้เอ่ยเตือนขึ้น “บ.ก. ฉันชื่อถงเสี่ยวโยว คุณดูเรซูเม่ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ถงที่แปลว่าเด็ก เสี่ยวที่แปลว่าเล็ก…”

ลู่ซิงเฉิงยกมือขึ้นขัดจังหวะ “ในหัวฉันไม่เก็บข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ แล้วเธอก็ได้ศูนย์ห้าตัวมาไม่ใช่เหรอ”

เขาพูดมีเหตุผลและแสดงอำนาจ ถงเสี่ยวโยวไม่รู้ว่าจะย้อนยังไง ได้แต่พึมพำอย่างเกรงๆ “บ.ก. คะ ถึงคุณจะจำชื่อฉันไม่ได้ แต่ศูนย์ห้าตัวมันไม่น่าฟังเอามากๆ เลย ตอนนี้ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณนะคะ…”

ผู้ช่วยของ บ.ก. นิตยสารแฟชั่นชื่อว่าศูนย์ห้าตัว เชยมาก ไม่แฟชั่นเลยสักนิด

ยากมากที่ลู่ซิงเฉิงจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของถงเสี่ยวโยว “อืม งั้นเรียกเธอว่าโอลิมปิกดีกว่า”

“หา?”

“สปิริตนักกีฬาไง เริ่มต้นจากศูนย์”

ในตอนบ่ายแดลี่ส่งป้ายชื่อใหม่ ‘โอลิมปิก’ ให้ถงเสี่ยวโยวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

“นี่เป็นป้ายชื่อทรงกลมที่แผนกออกแบบทำให้เธอโดยเฉพาะ เปลือกหอยมุกสีขาวเคลือบด้วยแถบทอง ตัวอักษรลงยา เมื่อมองดูแล้วก็เหมือนเหรียญรางวัลโอลิมปิก”

ป้ายชื่อที่ระยิบระยับอยู่ในมือเป็นความรักของเพื่อนในแผนกออกแบบที่มีต่อตัวเธอ อีกทั้งดูแล้วมีราคามาก ถงเสี่ยวโยวคิดในแง่ดีทันที โอลิมปิกก็โอลิมปิก ฟังดูแล้วมีสปิริตนักกีฬาดีนะ แม้จะเริ่มจากศูนย์ แต่ไม่มีวันพูดว่ายอมแพ้ ยิ่งเร็วขึ้น ยิ่งสูงขึ้น ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

เมื่อพูดถึงสปิริตนักกีฬา คำขวัญของโอลิมปิกที่รีโอเดจาเนโรก็คือโลกใบใหม่

และเมื่อถงเสี่ยวโยวมาถึงที่ออฟฟิศของ บ.ก. ก็เข้าสู่โลกใบใหม่เช่นกัน โลกของการทำงานต่อเนื่องสิบห้าชั่วโมง ในโลกใบนี้ลู่ซิงเฉิงคือนายใหญ่ที่กุมชะตาชีวิต แดลี่เป็นซีอีโอที่จัดการงาน ส่วนถงเสี่ยวโยวเป็นเพียงพนักงานระดับล่างคนเดียวเท่านั้น

“โอลิมปิกไปที่โกดัง เอาชุดสีแดงกุหลาบของซีซั่นนี้ออกมาทั้งหมด”

“เอาดีไซน์ชุดนี้ไปถ่ายเอกสารร้อยชุด ส่งให้ถึงมือดีไซเนอร์ทุกคนในแผนกออกแบบ แล้วบอกกับพวกเขาว่าพวกเขามันเป็นขยะทั้งนั้น”

“จัดเรียงผิด รีบแจ้งให้หยุดการพิมพ์ทันที เริ่มพิมพ์ไปแล้วเหรอ งั้นเธอก็ไปที่โรงงานนอนขวางเครื่องจักรให้มันหยุดทำงานซะ”

 

งานในหน้าที่ก็ไม่ได้น้อย งานที่นอกเหนือการทำงานคือหน้าที่ ทำงานล่วงเวลาข้ามคืนถือเป็นผลประโยชน์ การขูดรีดของพวกทุนนิยมยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือพวกทุนนิยมทำงานหนักกว่าคุณเสียอีก ถงเสี่ยวโยวมองดูลู่ซิงเฉิงที่ทำงานประหนึ่งเครื่องจักรแล้วไม่มีอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกนับถือเขาในใจมานานแล้ว ซ้ำยังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วย ขณะที่นำอเมริกาโนแก้วที่ห้าไปส่งที่ห้องทำงานนั้นก็กลั้นหาวเอาไว้ไม่อยู่

ลู่ซิงเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง “ถ้าคุณง่วง…”

ถงเสี่ยวโยวมองลู่ซิงเฉิงด้วยความซาบซึ้งใจ

เขาพูดว่า “ตบหน้าตัวเองสักครั้งสองครั้งก็ดีขึ้น”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจเธอ แต่ในฐานะที่เป็นลูกน้องถงเสี่ยวโยวก็ยังคงถามเขาด้วยความใส่ใจ “บ.ก. คุณไม่เหนื่อยเหรอคะ”

ลู่ซิงเฉิงยกกาแฟขึ้นดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง และสงบนิ่งมากขึ้นทุกที รู้สึกได้ถึงความเมินเฉย ไม่สนใจที่จะแสดงอารมณ์ออกมา “คนที่ทำงานแปดชั่วโมงแล้วเหนื่อยก็น่าจะเป็นคนที่ไม่มีวิวัฒนาการ”

ถงเสี่ยวโยวคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะขยันแล้ว ย่อมรู้สึกไม่พอใจกับคำกล่าวหานี้ แต่ไม่พอใจก็ยังต้องยอมรับคำกล่าวหาของลู่ซิงเฉิง แล้วยังต้องยอมซูฮกให้กับการทำงานต่อเนื่องกันสิบห้าชั่วโมงของเขา “แต่ว่า บ.ก. คะ คนอื่นไม่ได้มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนปกติเหมือนกับคุณนะคะ”

เขาแก้ไขการจัดเรียงไปพร้อมกับหัวเราะเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ไม่มีพรสวรรค์ความสามารถก็ไปขนอิฐขนปูนซะ จะมาเป็นดีไซเนอร์ทำไม”

การเป็นดีไซเนอร์เป็นความฝันของถงเสี่ยวโยวตั้งแต่อายุสิบหก ความฝันนี้ผ่านมาแล้วเป็นสิบปี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะผลิดอกออกผล แม้แต่ต้นอ่อนก็ยังไม่งอกออกมา เธอรู้ว่ามันน่าตลกมาก แต่มันก็เป็นความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ลบหลู่ไม่ได้ เป็นสิ่งที่นางเอกละครวัยรุ่นจะปกป้องไว้โดยไม่คำนึงถึงอะไร แต่ถงเสี่ยวโยวไม่มีความสามารถที่จะปกป้อง ความต้องการอันน้อยนิดของเธอก็ขอเพียงแค่สามารถอยู่ในวงการแฟชั่นได้ อยู่ที่นี่ที่สามารถมองเห็นความฝันของเธอได้

ถงเสี่ยวโยวจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลู่ซิงเฉิงให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ‘รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เรียกว่าเป้าหมาย ไม่อาจจะทำให้เป็นจริงได้ถึงจะเรียกว่าความฝัน พูดถึงความฝันก็ไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจ’ นี่คือคำพูดลู่ซิงเฉิงคนที่มีความสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แต่ถงเสี่ยวโยวได้แต่เดินอยู่บนเส้นทางที่ยากลำบาก

ดังเช่น “บ.ก. ถ้าฉันทำงานสิบห้าชั่วโมงเหมือนคุณ จะได้เป็นดีไซเนอร์จริงๆ ไหมคะ”

“ไม่ได้”

“งั้น…”

“เธอจะเหนื่อยตาย”

 

ที่จริงการอยู่ข้างๆ ลู่ซิงเฉิง แรงกดดันทางด้านกายภาพไม่ถือเป็นแรงกดดัน การดูหมิ่นด้านบุคลิกภาพก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น ความรู้สึกล้มเหลวทางจิตใจต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

มีอยู่วันหนึ่งต้องทำงานล่วงเวลา ถงเสี่ยวโยวไปซื้ออาหารมื้อดึกให้กับลู่ซิงเฉิง กลับมาเอาใบเสร็จไปเบิกเงินกับแดลี่ ในตอนนั้นแดลี่กำลังยุ่งกับการจัดเอกสารให้ลู่ซิงเฉิงจึงไม่ได้สนใจเธอ “ใบเสร็จเอาไปขูดรางวัล ถือว่าเป็นการเบิกเงินแล้วกัน”

“ขูดรางวัล?” ถงเสี่ยวโยวพูดไม่ออก ถ้าว่ากันตามเหตุผลเธอเลื่อนตำแหน่งมาทำงานที่ออฟฟิศ บ.ก. จะเลี้ยงลู่ซิงเฉิงกินอาหารค่ำก็ถือเป็นเรื่องที่สมควร แต่เอาใบเสร็จที่แทบจะไม่มีโอกาสถูกรางวัลมาเป็นข้ออ้างจะโลว์ไปสักหน่อยไหม

มองเห็นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเธอ แดลี่จึงพูดอย่างอดทนว่า “เธอคิดว่า บ.ก. เหมือนกับเธอเหรอไง”

ดวงนำโชคแล้วเจ๋งมากหรือไง จะเชื่อเรื่องงมงายมากไม่ได้หรอกนะ ถงเสี่ยวโยวแอบนินทาอยู่ในใจ ใช้นิ้วชี้ออกมาขูดแถบสีเงินอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ตัวแข็งไปเลย

ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่นปรากฏตัวอักษรขึ้นว่า

 

ห้าร้อยหยวน

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายของเธอกำลังโยกไปมาเล็กน้อย จากนั้นตัวก็รู้สึกเบาแล้วลอยขึ้น

เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอกำลังถูกพลิกกลับแล้ว

 

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์โอต์กูตูร์ห้องเสื้อชื่อดังชั้นแนวหน้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด และเพื่อแสดงความงดงามของชุดโอต์กูตูร์ ดีไซเนอร์ระดับปรมาจารย์ต่างพากันงัดไม้เด็ดออกมาเพื่อแย่งชิงความโดดเด่น

ทำงานล่วงเวลาแล้วยังต้องดูงานเดินแบบกับลู่ซิงเฉิงอีกสามสี่งาน ถงเสี่ยวโยวถึงกับตาลาย

แต่ลู่ซิงเฉิงยังคงกระฉับกระเฉงมาก ถงเสี่ยวโยวถือโอกาสตอนพักเดินจากที่นั่งแถวหลังมายังที่นั่งวีไอพีแถวหน้าเพื่อเสิร์ฟน้ำพร้อมกับเก็บนามบัตรให้เขา เขาดูกระฉับกระเฉงตลอดทั้งงาน ไม่เพียงแต่ยิ้มพูดคุยกับผู้คน แม้แต่ถูกสื่อถ่ายรูปก็ไม่ผิดพลาดสักนิด แต่กลับเป็นช่างภาพที่ถ่ายบรรยากาศในงานแล้วถ่ายติดถงเสี่ยวโยวที่เธอไม่ตาเขก็ปากเบี้ยว แล้วยังมีอีกรูปที่เธอกำลังคุยกับแดลี่ ไม่รู้ว่ากำลังทำท่าอะไรแต่ดูเหมือนกอริลล่ากำลังกินกล้วย

“คอลเล็กชั่นนี้ทำได้ไม่เลว กระโปรงจีบรอบตัวใช้ผ้าร่มกับลายทางเข้ากันมาก ด้านบนก็พิมพ์ลายดอกกล้วยไม้เพื่อให้ช่างภาพซูมเข้ามา” ลู่ซิงเฉิงจะออกความคิดเห็นบ้างในบางครั้ง ถงเสี่ยวโยวที่อยู่ข้างๆ ก็จะจดบันทึกเอาไว้เพื่อเป็นประเด็นในการรายงาน

ถงเสี่ยวโยวเบิกตาดูอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เห็นว่าชายกระโปรงใสๆ นี้มีลายดอกกล้วยไม้อยู่ “อ๋า…เมื่อกี้ฉันมองไม่เห็น…”

“เอกลักษณ์อยู่ที่ความเล็ก ถ้าไม่ละเอียดลออก็มองไม่เห็นความตั้งใจของคนอื่น” ลู่ซิงเฉิงเอ่ยขึ้น

แม้ว่าในที่สาธารณะลู่ซิงเฉิงจะดูเป็นสุภาพบุรุษไม่ค่อยเห็นวาจาร้ายของเขา แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไป

“เหอะ เครื่องประดับบนหัวนี่ทุ่มเทน่าดู เหมือนกับเอากุ้งมังกรไปปักไว้บนหัว”

“…”

นี่ทำให้ถงเสี่ยวโยวถึงกับงุนงง

“บ.ก. นี่คุณพูดจริงหรือประชดคะ”

“ศูนย์ห้าตัว…”

“คะ?”

“เธอว่าที่ฉันเรียกเธอว่าศูนย์ห้าตัว จริงหรือประชด”

“…”

แล้วอยู่ๆ ก็คึกคักขึ้นมาทั้งงาน ที่แท้เวินซีมาเดินปิดท้ายงานนี่เอง แสงไฟระยิบระยับดั่งเม็ดฝนตกกระหน่ำ เธออยู่ในชุดจัมพ์สูทสีกากีเข้าคู่กับสูทสีทองเมทัลลิกบนแคตวอล์ก ดูแพงมากและเท่อย่างที่สุด ถงเสี่ยวโยวเห็นแล้วก็คึกคักขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแฟนคลับของเวินซี แต่สายตาก็มองตั้งแต่หัวจดเท้าและเท้าขึ้นไปถึงหัว แล้วก็หยุดที่เข็มขัด

ถงเสี่ยวโยวแอบขมวดคิ้ว แล้วก็หยิบสมุดโน้ตเตรียมจดคำวิจารณ์ของลู่ซิงเฉิง

มือของลู่ซิงเฉิงที่วางอยู่บนเข่าเคาะเบาๆ สองครั้ง “นี่เป็นคอลเล็กชั่นสุดท้ายใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“นี่เป็นชุดทำงานที่ใช้โปรโมตของซีซั่นนี้” ลู่ซิงเฉิงพลิกดูตารางการเดินแฟชั่นโชว์ถัดไปพร้อมกับพยักหน้า

“เข็มขัดน่าเกลียดมาก” สีหน้าของลู่ซิงเฉิงแสดงถึงความรังเกียจอย่างที่สุด ไม่ได้มีความอ่อนโยนเพราะชุดนี้แฟนของตัวเองสวมอยู่เลยแม้แต่น้อย “ควรจะเปลี่ยนเป็น…” เขาพูดขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่พักนึง

ในใจถงเสี่ยวโยวก็ตกตะลึงไป รถไฟสองขบวนที่วิ่งมาชนกันแอบมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น “เปลี่ยนเป็นสีเงินวาว”

ลู่ซิงเฉิงชะงักนิ้วมือ ค่อยๆ หันหน้ามามองถงเสี่ยวโยว

ถงเสี่ยวโยวหันไปมองลู่ซิงเฉิงอย่างตื่นเต้น สายตาเต็มไปด้วยการรอคอยเหมือนกับสุนัขที่กำลังรอกระดูก ลู่ซิงเฉิงรู้สึกขยะแขยงกับสายตาเช่นนี้มาก เบี่ยงหน้าออกไปแล้วพูดด้วยเสียงเย็นๆ “สีดำ”

“อ้อ” ถงเสี่ยวโยวก้มหน้าจดบันทึกอย่างเงียบๆ

ลู่ซิงเฉิงปรายตามองเธอแล้วก็ดูการเดินแบบต่อ

ขณะที่เลิกงานนั้นคนมากมายก็เคลื่อนตัวออก ถงเสี่ยวโยวกางแขนทั้งสองออกเพื่อกันคนที่ไหลเข้ามา ลู่ซิงเฉิงค่อนข้างพอใจมาก หัวหน้าแผนกออกแบบบอกว่าเธอมีกำลังมากเป็นเรื่องจริง ดูท่าทางเช่นนี้แล้วรอให้กระแสรายการสถานีถัดไป รันเวย์ผ่านไปก่อน ก็จะส่งเธอไปทำงานที่โกดังได้

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามาจากแถวไหนพุ่งตรงเข้ามา ชนจนถงเสี่ยวโยวกระเด็นไป “บ.ก. ลู่คะ ฉันเป็นนักเรียนสถาบันการออกแบบ ฉันนับถือคุณมาก…”

เมื่อถูกคนรั้งไว้ สีหน้าของลู่ซิงเฉิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที ดูท่าทางถงเสี่ยวโยวที่เป็นบอดี้การ์ด แม้แต่จะให้ไปคุมโกดังก็ไม่คู่ควร

เด็กสาวตื่นเต้นมากและไม่ได้สนใจสีหน้าเย็นชาของเขา เธอหยิบสมุดโน้ตออกมายื่นไปตรงหน้าลู่ซิงเฉิงด้วยความตื่นเต้น “ฉันลำบากมากกว่าจะมาเข้าร่วมงานแฟชั่นวีกครั้งนี้ได้ แล้วยังได้เจอกับคุณ ฉันขอลายเซ็นคุณหน่อยได้ไหมคะ”

ลู่ซิงเฉิงนิ่งไม่ขยับ สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า แม้จะถูกชนจนกระเด็นไปแต่ถงเสี่ยวโยวก็ยังเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของเด็กสาว เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและช่วยเด็กสาวเรียกลู่ซิงเฉิง “บ.ก…”

เด็กสาวยังคงไม่ยอมแพ้ “บ.ก. ลู่ ฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของชิก ฉันชื่นชอบ…”

ในที่สุดลู่ซิงเฉิงก็ยอมเปิดปาก “คนที่ศรัทธาผมในโลกนี้มีมากมาย ผมต้องตอบรับทุกคนไหม”

บรรยากาศนิ่งเงียบไปสามวินาที เด็กสาวก็ยกมือปิดหน้าแล้ววิ่งไป

ลู่ซิงเฉิงลุกขึ้นจัดชายเสื้อให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปทางด้านนอก ถงเสี่ยวโยวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “คุณไม่เห็นค่าเขาใช่ไหม คุณยังพูดคุยหัวเราะกับคนรอบข้างได้อยู่เลย”

ลู่ซิงเฉิงชะงักฝีเท้า ใช้สายตาที่เหมือนกำลังมองดูเรื่องตลกมองมาที่เธอ แล้วหันกลับเดินตรงออกไป

แดลี่เดินขึ้นมาข้างหน้าคว้าแขนถงเสี่ยวโยวเดินออกไปพร้อมกับให้ความรู้เธอไปด้วย “ต่อไปอย่าถามคำถามโง่ๆ แบบนี้ ที่พูดคุยหัวเราะก็เพราะต้องทำงานกับคนพวกนั้น สำหรับเรื่องไม่เห็นค่า ลู่ซิงเฉิงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับสถานะอะไรของพวกเขาสักนิด”

ลู่ซิงเฉิงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่ แต่ความโหดร้ายของเขา ตอนนี้เธอได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว สิ่งที่น่าขันคือคนแบบนี้กลับได้ยืนอยู่บนยอดพีระมิด ภายใต้แสงสว่างข้อบกพร่องของเขาทุกอย่างกลับสูญสลายมองไม่เห็น แต่ในฐานะของผู้แพ้ การทวงความเป็นธรรมกับสิ่งเล็กน้อยของถงเสี่ยวโยวก็ดูเหมือนเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างหนึ่ง

นี่เป็นการทำร้ายถงเสี่ยวโยวอย่างหนัก

 

คนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคนแรกก็คือซ่งหรูหรู นั่นเป็นเพราะช่วงนี้ถงเสี่ยวโยวทำงานดึกดื่นทุกวัน โดยเฉพาะการต้มบะหมี่ถ้วยตอนดึกดื่นแล้วยังเติมเนื้อกระป๋องกับซอสถั่วอีกช้อน รสชาติแบบนั้นอบอวลจนซ่งปั้นเซียนไม่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้

ถงเสี่ยวโยวอธิบายเรื่องนี้ว่าเธอรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีโชค แต่เธอไม่อยากจะแพ้แม้แต่ความขยันให้กับคนอย่างลู่ซิงเฉิง ลู่ซิงเฉิงเป็นคนยังไงน่ะเหรอ ถงเสี่ยวโยวไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติจะวิจารณ์เขา เธอจึงได้แต่ก้มหน้าระบายอารมณ์ วาดแบบร่างแล้วก็ขยำทิ้งซ้ำไปซ้ำมา ขอบตาดำก็เข้มขึ้นทุกวัน

ถ้าจะเปรียบเทียบพละกำลังกับคนที่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังอย่างลู่ซิงเฉิง นี่ก็ถือเป็นการแข่งขันแต่เพียงฝ่ายเดียว ซ่งหรูหรูรู้สึกว่าเส้นทางนี้มันคือทางตัน

ซ่งหรูหรูพลิกดูแบบร่างหลายแผ่น ออกแบบมาเป็นเซ็ตริบบิ้น ชุดทำงานที่เรียบง่ายแต่ดูดีจับคู่กับวัตถุดิบที่แตกต่างกันและการตกแต่งด้วยริบบิ้น ทำให้ดูอ่อนโยนและสดใส ถงเสี่ยวโยวถามอย่างไม่มั่นใจว่า “เธอคิดว่าเป็นยังไงบ้าง”

ซ่งหรูหรูยักไหล่ “ฉันก็ต้องรู้สึกว่าสวยแน่นอน แต่คนทั้งโลกยอมรับผลงานเธอต่างหากที่สำคัญสำหรับเธอ” เธอพูดไปแล้วก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ๋ ถ้าเธอไปสู้กับลู่ซิงเฉิงตรงๆ สู้เอาที่เธอออกแบบพวกนี้ให้เขาดู เขาเก่งกาจขนาดนั้น ถ้าเขายอมรับผลงานเธอ ก็เท่ากับได้รับการยอมรับจากทั้งโลกแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“เอ๋?” ถงเสี่ยวโยวอึ้งไป เธอกัดริมฝีปาก “เขาดูแล้ว เธอลืมไปแล้วเหรอไง”

ซ่งหรูหรูคิดขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่เพียงลู่ซิงเฉิงที่ดูรายการสถานีถัดไป รันเวย์ คนทั้งโลกก็ได้ดูแล้ว หากพูดว่าเมื่อก่อนถงเสี่ยวโยวไม่มีชื่อเสียงแต่ยังมีอนาคต แต่ตอนนี้ต้องบอกว่ารอยด่างดำในประวัติศาสตร์คิดจะฟื้นตัวก็ไม่มีทาง ในฐานะที่เป็นเพื่อนรักจะไม่ให้กำลังใจก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจจะดูเพื่อนเดินจนเจอทางตัน ซ่งหรูหรูจึงเสนอแนะว่า “ถ้าอย่างนั้นมาที่นิตยสารของฉันดีกว่า ฉันจะถ่ายทอดพลังทั้งชีวิตให้เธอครึ่งหนึ่ง”

ซ่งหรูหรูกับถงเสี่ยวโยวจบการศึกษาปีเดียวกัน สาขาวิชาของเธอคือปรัชญาโบราณ ได้เข้าไปทำงานในนิตยสารดูดวงฉบับหนึ่ง ตอนนี้เป็นผู้รับผิดชอบหน้าพยากรณ์ดูดวงแล้ว ชื่อในวงการก็คือซ่งปั้นเซียนกับแม่หมอหรู

“ฉันว่าบางครั้งฉันดูดวงให้คนอื่นก็อาจจะไม่แม่นนะ” แม้ถงเสี่ยวโยวจะไม่มีพรสวรรค์แต่ก็รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี “เธอลืมไปแล้วเหรอ ฉันเสี่ยงทาย…”

ซ่งหรูหรูคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอากระดาษออกแบบยัดเข้าไปในมือของถงเสี่ยวโยว “เธอพูดถูก อาชีพดีไซเนอร์เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับเธอที่สุด ไม่ทำร้ายคนอื่น ได้ปลดปล่อยชาวประชา”

ได้รับกำลังใจจากซ่งหรูหรู ถงเสี่ยวโยวยิ่งมีกำลังใจที่จะมุ่งมั่นต่อไป แม้กระทั่งตอนพักกลางวันก็ไม่ลืมที่จะวาดแบบอยู่ในห้องทำงานผู้ช่วย แดลี่รีบร้อนเข้ามาสั่งงานแล้วก็ออกไป “โอลิมปิก รีบไปที่โกดังเอาเชิงเทียนคริสตัลที่ส่งมาเมื่อตอนสายออกมา”

ถงเสี่ยวโยวรีบวางดินสอแล้ววิ่งออกจากห้องทำงานไป

“กาแฟ” เสียงของลู่ซิงเฉิงลอยออกมาจากห้องทำงานออฟฟิศ บ.ก. แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบรับ

“กาแฟ”

“…”

“โอลิมปิก”

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูห้องทำงานผู้ช่วยรับฝ่าเท้าแทนถงเสี่ยวโยว ในห้องทำงานไม่มีใครอยู่เลยสักคน ลู่ซิงเฉิงยืนไม่พอใจอยู่ที่หน้าประตู ปรายตามองดูก็เห็นภาพสเก็ตช์แบบของถงเสี่ยวโยววางอยู่บนโต๊ะ

ลู่ซิงเฉิงร้องเหอะออกมาก่อนจะหันหลังเดินออกไป แล้วก็พลันหยุดฝีเท้า อยู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เดินกลับไป บนกระดาษแผ่นนั้นวาดชุดจัมพ์สูทสีกากีที่เวินซีสวม แมตชิ่งกับเข็มขัดสีเงินเมทัลลิก สีสันสดใสดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก ลู่ซิงเฉิงพลิกดูต่อไปอีกหลายหน้า สายตาเย็นชาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสนใจ ถึงขนาดไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้

“บ.ก.” ถงเสี่ยวโยวถือเชิงเทียนคริสตัลยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองลู่ซิงเฉิงอยู่ที่หน้าประตูอย่างประหลาดใจ

ลู่ซิงเฉิงได้สติกลับมา ใบหน้าที่หยิ่งยโสเผยสีหน้าเก้อเขินที่แทบจะจับสังเกตไม่ได้

“คุณกำลังดูแบบของฉันใช่ไหมคะ” ถงเสี่ยวโยวถามอย่างจริงจัง มือที่ถือเชิงเทียนอยู่ก็สั่นเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่สารเลวมาตลอด แต่ถ้าเขาดูแบบให้ ก็ยังทำให้ถงเสี่ยวโยวรู้สึกตื่นเต้นดีใจ

ในขณะที่เธอกำลังพูดอยู่นั้น ลู่ซิงเฉิงก็โยนแบบร่างทั้งเล่มไปข้างหลังราวกับมือถูกของร้อน สมุดออกแบบกระแทกไปที่ด้านหลังเสียงดัง ‘ปัง’ กระดาษร่วงตกกระจายออกมาทันที

ถงเสี่ยวโยวไม่ทันจะได้ดูว่าในขณะนั้นสีหน้าของเขาเย็นชาแค่ไหน เพราะเธอรีบยื่นมือออกไปรับสมุดออกแบบ จากนั้นก็มีเสียงของตกดังขึ้น เป็นเสียงเชิงเทียนคริสตัลตกลงพื้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สีสันงดงามกระจายไปทั่วพร้อมกับคริสตัลที่ใสกระจ่าง ของที่งดงามทั้งสองอย่างแตกกระจายในเวลาเดียวกัน ทำให้ถงเสี่ยวโยวตกใจและหวาดหวั่น และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือลู่ซิงเฉิงที่ไม่แม้กระทั่งจะกะพริบตา

“เกิดอะไรขึ้น” แดลี่ที่พุ่งเข้ามาร้องอย่างตกใจทำลายความเงียบงัน “พระเจ้า เชิงเทียนดอกไอริสเพิ่งจะส่งตรงมาจากปารีสเมื่อตอนสายนี้เอง”

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ…” ถงเสี่ยวโยวนั่งลงเก็บเศษแก้วที่แตกเต็มพื้น

ในที่สุดลู่ซิงเฉิงก็เอ่ยปาก “ขยะที่แตกจะเก็บขึ้นมาเพื่ออะไร”

ถงเสี่ยวโยวชะงักไป สายตามองไปที่กระดาษออกแบบที่กระจายไปอยู่ไม่ไกล คำพูดทุกคำของลู่ซิงเฉิงกำลังทิ่มแทงใจเธออยู่

“ชดใช้ตามราคาแล้วกัน” แดลี่เปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นแสดงความยินดีกับลู่ซิงเฉิง “ยอดขายของเดือนนี้ทำลายสถิติใหม่อีกแล้ว บริษัทแม่จัดงานเลี้ยงฉลองให้คุณ คืนนี้…”

“ไม่ไป” ลู่ซิงเฉิงเดินออกไป “เอากาแฟไปให้ที่ห้องทำงานผมด้วย”

บนโลกใบนี้มีคนมากมายเท่าไหร่ที่รอให้ลู่ซิงเฉิงเลือกขึ้นมา แล้วก็มีคนมากมายเท่านั้นที่อยากจะให้ลู่ซิงเฉิงตายไปซะ เขาทำให้คนเกลียดเขามากแต่ก็ต้องยอมให้เขาอย่างไม่อาจขัดขืนได้ วันนี้คนกลุ่มนั้นก็เพิ่มซ่งหรูหรูเป็นสมาชิกใหม่อีกคน

“เธอว่าเชิงเทียนคริสตัลนั่นฝังเพชรหรือหุ้มทองกันแน่ถึงได้แพงขนาดนี้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เขาเหยียบย่ำแกซะขนาดนี้ นอกจากเขาจะหล่อ โชคดี มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เรียกลมเรียกฝนได้ ดันใครคนนั้นก็ดัง แล้วก็ขายอะไรก็ขายดีไปหมด มีสิทธิ์อะไรที่จะไม่เห็นหัวคนอื่นได้”

“นี่ยังไม่พออีกเหรอ” ถงเสี่ยวโยวพูดอย่างเศร้าๆ “ฉันไม่มีสักอย่าง”

ซ่งหรูหรูดึงถงเสี่ยวโยวที่ไม่ได้เรื่องพร้อมกับตำหนิอย่างแรง “เธอเป็นโรคสต็อกโฮล์ม ซินโดรมหรือไงถึงไปบอกเขาว่าของแบบนี้แค่แป๊บเดียวก็หาในเถาเป่าได้ เรา-ไม่-จ่าย”

“เธอก็ให้ฉันยืมเงินแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน สิ้นปีฉันจะคืนเธอทั้งหมด” ถงเสี่ยวโยวอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร เธอไม่ได้มีอาการของโรคสต็อกโฮล์ม ซินโดรม เธอก็แค่เป็นโรค ‘ยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นดีไซเนอร์’ ระยะสุดท้ายเท่านั้นเอง

ซ่งหรูหรูหน้าแดงเหมือนกับกำลังโมโห แล้วก็เหมือนอย่างอื่นด้วย

ถงเสี่ยวโยวถามหยั่งเชิงไปว่า “หรูหรู ไม่ใช่ว่าแกไม่มีเงินหรอกนะ”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง” ซ่งหรูหรูตบหน้าอกอย่างมั่นใจ “เงินฉันอยู่ในหุ้นต่างหาก”

“…”

 

ถงเสี่ยวโยวตื่นนอนขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ เพราะวันนี้ลู่ซิงเฉิงจะไปเขาทางเหนือกับทีมช่างภาพเพื่อถ่ายทิวทัศน์นอกสถานที่เองตอนตีห้า นิตยสารของเดือนหน้ากำลังจะเข้าตลาด แต่เขายังไม่ค่อยพอใจกับหน้าปกสักเท่าไหร่จึงให้ถ่ายใหม่ ลู่ซิงเฉิงต้องการให้ถ่ายบรรยากาศของภูเขาหลังฝนตกกับแสงที่สดใส ทั้งทีมช่างภาพและนางแบบต่างร้องโอดครวญ ซึ่งแน่นอนว่าได้แต่ร้องอยู่ในใจ

วันนี้เป็นเวรของแดลี่ ถงเสี่ยวโยวไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้า แต่เธอนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืนแล้วก็ตัดสินใจไปหาลู่ซิงเฉิงเพื่อต่อรองเรื่องผ่อนชำระค่าเสียหาย

เมื่อเธอไปถึงก็ถ่ายเสร็จไปชุดหนึ่งแล้ว นางแบบยืนตัวสั่นท่ามกลางลมหนาว ลู่ซิงเฉิงยืนตรวจภาพตัวอย่างอยู่ด้านข้าง ถงเสี่ยวโยวเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ลู่ซิงเฉิงไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเธอ แต่กลับเป็นเวินซีที่คลุมเสื้อโอเวอร์โค้ตเดินเข้ามาหาแล้วยิ้มให้กับเธอ “งานใหม่เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีค่ะ” ถงเสี่ยวโยวตอบด้วยความจริงใจและร้อนตัว

เวินซียิ้มอย่างซุกซน “ฉันได้ยินว่าคุณดวงไม่ค่อยดี?”

ได้ยินว่า? ถงเสี่ยวโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เรื่องดวงเธอทุกคนก็รู้กันไปหมด เวินซีช่างอ่อนโยนจริงๆ ถึงขนาดใช้ประโยคคำถาม ในขณะที่เธอมักจะให้เครื่องหมายตกใจกับตัวเอง ถงเสี่ยวโยวพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ไม่ดีมากค่ะ”

หลังจากดูรูปตัวอย่างเสร็จลู่ซิงเฉิงก็หันมาสั่งการเวินซี “อีกเดี๋ยวคุณไปถ่ายใหม่”

เวินซีน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าค้อนแล้วสะบัดหน้าใส่ลู่ซิงเฉิงตรงๆ ก่อนจะเดินออกไป ถงเสี่ยวโยวอดใจที่จะมองดูภาพนี้สักหน่อยไม่ได้ คนหนึ่งเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่น อีกคนหนึ่งเป็นซูเปอร์โมเดลที่มีท่าทางสง่างามและอ่อนโยน ถงเสี่ยวโยวอยากจะให้เครื่องหมายตกใจกับตัวเองสักแถว เรื่องแบบนี้เจ็ดเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องความพยายาม ส่วนอีกเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องที่ฟ้ากำหนดมาแล้ว

ราวกับลู่ซิงเฉิงรู้ว่าถงเสี่ยวโยวคิดอะไรในใจอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่าเอาเรื่องความผิดพลาดไปโทษว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา ขี้เกียจก็คือขี้เกียจ ไม่ใช่โรคเรื้อรัง โง่ก็คือโง่ ไม่ใช่ว่าไม่มีใจในเรื่องนี้”

ถงเสี่ยวโยวพยายามที่จะอธิบาย เธอไม่ยอมรับอะไร คิดก็แต่เพียงจะเรียกร้องความเป็นธรรมสักนิด “บ.ก. เรื่องค่าเชิงเทียนฉันขอให้หักจากเงินเดือนเป็นงวดๆ ได้ไหมคะ ตอนนี้เงินเดือนตำแหน่งผู้ช่วยของฉันคือ…”

“ตั้งแต่วันนี้เธอไปทำงานที่โกดัง” ลู่ซิงเฉิงขัดคำพูดของเธอ “เงินเดือนที่โกดังคือครึ่งหนึ่งของตอนนี้”

ถงเสี่ยวโยวอึ้งไปทันที พลังงานในร่างกายที่เหลืออยู่น้อยนิดก็กำลังลอยจากไป

“เพราะฉันทำเชิงเทียนแตกอย่างนั้นเหรอคะ”

เป็นครั้งแรกที่ลู่ซิงเฉิงมองตรงมาที่ถงเสี่ยวโยว “เพราะเธอเอาความผิดพลาดไปโยนให้กับโชค ฉันไม่ต้องการคนแบบนี้มาทำงานอยู่ข้างๆ ยังดีที่เสื้อผ้าในโกดังไม่ได้มีแขนขา ต่อให้เธอดวงซวยขนาดไหนพวกมันก็คงไม่ออกมาตีกันจนขาดวิ่น” เขาไม่เคยเห็นใจผู้แพ้ เพราะสิ่งที่คนเหล่านี้ถนัดก็คือการกล่าวโทษ โทษฟ้าดิน โทษโอกาส โทษเพื่อนร่วมงาน โทษหัวหน้า โทษชาติกำเนิด โทษสังคม โทษจักรวาลที่มีดาวเจ็ดดวงส่องสว่างจนนอนไม่หลับ

แบกดวงซวยติดตัวมายี่สิบหกปีทำให้ถงเสี่ยวโยวไม่มีเส้นให้ล้ำ ความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วนทำให้เธอไม่เหลือความมั่นใจอะไรอีกเลย ไม่มีพลังที่จะตอบโต้กลับ แล้วก็ไม่มีความกล้าหาญที่จะเรียกร้อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอมีความมั่นใจสองร้อยเปอร์เซ็นต์

“บ.ก. ถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าฉันดวงซวยจริงๆ ล่ะคะ”

ลู่ซิงเฉิงปรายตามองไป “อย่างนั้นเหรอ”

 

กลางเนินเขามีศาลเจ้าอยู่ ถงเสี่ยวโยวเดินตรงไปที่หน้าอารามหลักแล้วถือกระบอกเซียมซียื่นไปตรงหน้าลู่ซิงเฉิง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “บ.ก. ฉันสามารถเขย่าออกมาเป็นเซียมซียอดแย่ได้ทั้งหมด”

ลู่ซิงเฉิงไม่ได้พูดอะไร ซึ่งหมายความว่าจะคอยดู ในใจก็คิดคำนวณความเป็นไปได้

ถงเสี่ยวโยวสูดหายใจลึกแล้วเริ่มต้นเขย่าเซียมซี ‘แปะ’ ไม้เซียมซีอันที่หนึ่งตกลงมา…เซียมซียอดแย่

เธอหยิบขึ้นมาประหนึ่งเป็นของมีค่า แล้วก็เขย่าต่อ ‘แปะ’ เซียมซีที่สองร่วงหล่นลงมา ยังเป็นเซียมซียอดแย่เช่นเดิม ความมั่นใจของถงเสี่ยวโยวเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจัดการแข่งขันเขย่าเซียมซียอดแย่ล่ะก็ เธอไม่มีทางได้ศูนย์ห้าตัวหรอก

ประหนึ่งมีเทพคอยช่วย ถงเสี่ยวโยวจึงรีบเผด็จศึก เขย่าได้ดั่งใจ

ลู่ซิงเฉิงคว้าเซียมซียอดแย่ขึ้นมาทั้งกำด้วยความดุดัน เพราะอย่างนี้เขาถึงไม่เคยเห็นใจผู้แพ้ คนพวกนี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ถ้าไม่โมโหโวยวายไม่หยุดก็จะเหมือนกับถงเสี่ยวโยว เทพเจ้าแห่งความโชคร้ายมาประทับ ถ้าไม่ได้มีข้อตกลงกับเวินซีในตอนแรก เขาก็คงไม่เก็บตัวประหลาดนี้ไว้หรอก น่า-กลัว-มาก-เลย

ถงเสี่ยวโยวพูดอย่างภาคภูมิใจขึ้นว่า “บ.ก. ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้ตัดพ้อ ตอนนี้ฉันพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว”

ลู่ซิงเฉิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง คุณไม่ต้องชดใช้ แล้วก็ไม่ต้องไปที่โกดังแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานด้วย”

“ทำไมล่ะคะ” ถงเสี่ยวโยวหน้าเปลี่ยนสี

สีหน้าลู่ซิงเฉิงบอกว่ายังจะถามอีก “เธอดวงซวยขนาดนี้ ฉันยังจะให้เธอทำงานในสำนักพิมพ์ได้อีกเหรอ ถ้าครั้งหน้าเธอซวยอะไรขึ้นมาอีก เธอจะให้สำนักพิมพ์ระเบิดหรือไง” แม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเทพเจ้าแห่งความโชคร้าย เขาจะไม่หลบก็คงไม่ได้

“บ.ก. ไม่นะคะ” เมื่อเห็นว่า บ.ก. กำลังจะทอดทิ้งตัวเอง ถงเสี่ยวโยวจึงวางกระบอกเซียมซีลงแล้ววิ่งตามเขาไป หลังฝนตกบันไดหินเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ เธอเหยียบแล้วลื่นกลิ้งตุบๆ ลงเขาไป

บันไดหินแข็งมาก ถงเสี่ยวโยวรู้สึกว่าตัวเองแทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่หนักหนาก็พุ่งเข้ามา เธอมองเห็นลู่ซิงเฉิงไม่ชัดเจนและค่อยๆ ไกลออกไป เขาคาดการณ์แม่นระดับเทพ เธอได้รับความซวยแบบใหม่อีกแล้ว

 

ขณะที่ถูกส่งขึ้นรถพยาบาล ถงเสี่ยวโยวคิดว่านี่คงเป็นการพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่เพียงแต่ชัดเจน ยังออกฤทธิ์ได้ดีกว่าปกติอีก เพียงแต่มันเจ็บจนเธออยากจะร้องไห้ออกมาว่านี่มันอะไรกัน

หยดน้ำตาไหลออกมา แก้มขวาเจ็บแปลบขึ้นเป็นระยะ ถงเสี่ยวโยวร้องถามแดลี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างปวดใจ “ฉันเสียโฉมหรือเปล่า”

หน้าผากของถงเสี่ยวโยวกระแทกแตก หน้าซีกหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนและปกป้องหมอศัลยแพทย์ที่แท้จริง แดลี่พิจารณาดูแล้วก็ส่ายหน้า “ฉันคิดว่าถ้าไม่ได้โดนถึงกระดูกก็ไม่ต้องศัลยกรรม จมูกไม่เบี้ยวก็ไม่ถือว่าเสียโฉม”

“งั้นฉันจะพิการไหม” ถงเสี่ยวโยวเจ็บจนสะอื้น

“เธอกลิ้งไปที่ขั้นพักของบันได ไม่ได้ตกลงไป ไม่พิการหรอก”

“อ้อ” ถงเสี่ยวโยวรับรู้ จากนั้นก็ได้แต่ถอนใจ “พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปทำงานจริงๆ เหรอ”

ลู่ซิงเฉิงที่ยืนอยู่ไกลออกไปพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชา “มือไม่ได้หัก ทำไมถึงจะไม่ไปทำงาน”

ฉับพลันถงเสี่ยวโยวก็เบิกตาโตราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก ลู่ซิงเฉิงปรายตามองเธอแล้วก็หันหลังเดินออกไป

แดลี่อธิบายให้ฟังว่า “ไล่ออกขณะที่บาดเจ็บในหน้าที่มันผิดกฎหมายแรงงาน”

 

ในเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว จึงได้แต่คิดเรื่องที่โชคดีหน่อย

อย่างเช่นเพราะอุณหภูมิบนภูเขาค่อนข้างต่ำ ถงเสี่ยวโยวสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวขายาวอย่างหนา ดังนั้นจึงมีแค่เท้าขวาที่บิดและบวมเท่านั้น แล้วก็มีหน้าผากกับแขนซ้ายที่ถลอก เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวที่รวดเร็วของถงเสี่ยวโยวแล้ว อยู่โรงพยาบาลดูอาการสี่สิบแปดชั่วโมงก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ และเนื่องจากบาดเจ็บในหน้าที่ ไม่อย่างนั้นคงต้องออกจากงานแม้ว่าจะได้ค่าบำรุงสุขภาพ แต่ลู่ซิงเฉิงก็ทำตามคำพูดจริงๆ ตอนบ่ายเขาให้แดลี่ส่งบัตรเชิญพร้อมกับรายชื่อยาวเหยียดมาให้

“สุดสัปดาห์บริษัทแม่จะมีงานเลี้ยงประจำปี นี่เป็นรายชื่อแขกที่ชิกเชิญ เธอรับผิดชอบเขียนชื่อแขกบนบัตรเชิญ” แดลี่พูดแล้วก็ชี้ไปที่ขาขวาของเธอ “เขียนหนังสือไม่ต้องใช้เท้า ถูกไหม”

ที่จริงแดลี่ประเมินความอดทนในการทำงานของถงเสี่ยวโยวต่ำเกินไป สำหรับเธอแล้วขอให้ได้อยู่ต่อ จะต้องใช้เท้าเขียนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

“งานเลี้ยงประจำปีต้องคึกคักมากเลยใช่ไหม” ถงเสี่ยวโยวมองแดลี่ด้วยสายตาอิจฉา แม้เธอจะทำงานที่นี่มาสี่ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ร่วมงานเลี้ยงประจำปีเลยสักครั้ง

“ครั้งนี้เธอก็ต้องไปด้วย” แดลี่ทำท่ารูดซิปปากใส่ถงเสี่ยวโยว “ช่วงนี้ก็กินให้น้อยหน่อย น้ำหนักของเธอตอนนี้สวมชุดเบอร์สองไม่ได้”

ไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีได้ด้วยเหรอ ทันใดนั้นถงเสี่ยวโยวก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที คัดลายชื่อบนบัตรเชิญอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ

ว้าว แชมป์ดีไซเนอร์ถ้วยเฟิงซ่างก็มาด้วย ต้องเข้าไปขอลายเซ็น

สุดยอดไปเลย แล้วยังมีดาราใหญ่ด้วย ตัวพ่อตัวแม่แล้วก็มีซูเปอร์สตาร์เท้าไฟ ต้องไปขอถ่ายรูปด้วย

สวรรค์! แม้กระทั่งบิดาแห่งวงการแฟชั่นที่ล้างมือในอ่างทองคำก็เข้าร่วมงานนี้ด้วย แค่ได้เห็นก็มีชีวิตยืนยาวไปอีกสามปี

เมื่อคัดรายชื่อจนถึงหน้าสุดท้าย ถงเสี่ยวโยวก็เห็นชื่อตัวเองที่เขียนไว้ในช่องหมายเหตุว่าเป็นผู้เชิญรางวัล เธอ? ผู้เชิญรางวัล? ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น

“แดลี่ เชิญใครเป็นพิธีกรในงาน”

แดลี่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังแต่งเล็บงดงามไร้ที่ติของตัวเองอยู่ พูดอย่างไม่ใส่ใจออกมา “มู่หยางไง”

ถงเสี่ยวโยวรู้สึกมีพลังขึ้นมาทันที บ.ก. ต้องการจะส่งเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายอย่างเธอไปปะทะกับศัตรูตัวเอ้อย่างมู่หยาง กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เธอเห็นภาพลู่ซิงเฉิงที่เย็นชาไม่แคร์อะไรแต่มีรอยยิ้มที่ดูหลงตัวเองอยู่

ต่อไปถ้าใครบอกเธอว่าลู่ซิงเฉิงพึ่งโชคชะตา เธอก็ต้องเถียงอย่างเต็มที่ ลู่ซิงเฉิงมีวันนี้ได้ก็เพราะความฉลาดแกมโกง รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งต่างหาก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: