บทที่ 3 พ่อของลูก
(1)
ชั่วพริบตาก็ถึงฤดูหนาวแล้ว ซังอู๋เยียนกลับมายังบ้านเกิดอย่างเมือง B หลังจากที่สอบเข้าปริญญาโทเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ลูกสอบเป็นยังไงบ้าง” คุณแม่ซังถามคำถามนี้ขึ้นมา
“ไม่รู้สิคะ ไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
“อะไรที่เรียกว่าไม่รู้ล่ะ”
“หนูไม่ใช่อาจารย์ตรวจข้อสอบ หนูจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ”
“งั้นก็ดูท่าว่าจะสอบได้ไม่ดี”
“ค่ะ ถือว่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกัน” เธอฉวยโอกาสโจมตีกลับไป
ก็สอบได้ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ วิชาสุดท้ายนั่นเธอก็ไม่ได้เข้าสอบด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอย่างไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการเรียนหนังสือช่างน่าเบื่อ ไม่อยากสอบเข้าปริญญาโทแล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ทบทวนเลยแม้แต่นิดเดียว วิชาหลักก็ยังพอได้อยู่ มีแต่วิชาภาษาอังกฤษที่ไปไม่รอดแน่ๆ
บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเช่นนี้ ในที่สุดก็เลิกพูดเรื่องนี้กันไป
โปรแกรมฉลองเทศกาลก็มีแค่ดูทีวีอยู่ที่บ้าน ออกไปฉลองกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็ไปเยี่ยมญาติกับพ่อแม่ เวลาว่างที่เหลือค่อยเดินเล่นให้ทั่ว
วันที่สามเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ เธอได้รับโทรศัพท์ว่าเพื่อนสมัยมัธยมต้นต่างกลับมากันหมด คืนนี้จะออกมารวมตัวกัน
“สวี่เชี่ยนก็มาด้วยนะ เมื่อก่อนพวกเธอดีต่อกันที่สุดเลยไม่ใช่หรือไง” หัวหน้าห้องยุยง
“ช่างมันดีกว่าน่า”
“เร็วเข้า พวกเรารอเธออยู่นะ”
กิจกรรมขณะพบปะเพื่อนเก่าเป็นสูตรตายตัว กินข้าว ร้องคาราโอเกะ ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็เรื่องราวในช่วงนี้ บางคนหวานชื่นเป็นพิเศษก็พาครอบครัวมาด้วย
ซังอู๋เยียนลงจากรถเมล์ได้ก็เลี้ยวเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ที่ปากทางร้านหม้อไฟเพื่อซื้อหมากฝรั่ง ตอนที่ออกมาก็แกะเปลือกหมากฝรั่งพลางเดินไปข้างหน้า ไม่กี่ก้าวก็เห็นคนสองคนกำลังเตรียมเข้าไปในร้านหม้อไฟเช่นกัน
สองคนนั้นก็คือเว่ยเฮ่าและสวี่เชี่ยน
เว่ยเฮ่าเห็นซังอู๋เยียนก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
“อู๋เยียน…” เขากล่าว
ซังอู๋เยียนแน่นิ่งอยู่สักพัก เตรียมจะหันหลังจากไป
“ซังอู๋เยียน!” สวี่เชี่ยนกลับตะโกนขึ้นเสียงดัง เรียกซังอู๋เยียนเอาไว้ จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “เธอจะหลบอะไรน่ะ”
“ฉันไม่ได้หลบอะไร ทางนี่ไม่ใช่ของเธอสักหน่อย จะเดินหน้าหรือถอยหลังมันก็เรื่องของฉัน” ซังอู๋เยียนกล่าว
เว่ยเฮ่ายืนคั่นอยู่ตรงกลาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“เธอเลิกทำท่าทีเหมือนว่าฉันกับเว่ยเฮ่าทำผิดต่อเธอสักที” สวี่เชี่ยนกล่าว “รู้ไว้ด้วยสิว่าระหว่างพวกเราสามคนน่ะ เธอนั่นแหละเป็นมือที่สาม”
ซังอู๋เยียนยิ้มเย็น ถอยออกไปได้สองสามก้าวก็จากไป
เธอเพิ่งจะออกมาจากบ้าน หากเพียงครึ่งชั่วโมงก็กลับเข้าไปล่ะก็ แม่จะต้องซักไซ้ไล่เลียงเอาแน่ๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงเดินหาร้านขายของกินเล่นเพื่อฆ่าเวลา
ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนของช่วงเวลากินข้าวพอดี อีกทั้งร้านนี้เดิมทีก็ขายดีอยู่แล้ว ลูกค้าทั้งในและนอกทั้งสามชั้นแน่นขนัดเป็นปลากระป๋อง ไม่ง่ายเลยกว่าซังอู๋เยียนจะเบียดเสียดเข้าไปได้ แล้วสั่งบะหมี่มาชามหนึ่ง
ภายในร้านเปิดวิทยุไว้เสียงดังลั่น กำลังออกอากาศข้อมูลการคมนาคมในช่วงเวลานี้อยู่พอดี ถ้าคนที่สนิทสนมกันกินกันไปคุยกันไปแล้วล่ะก็ จะต้องตะโกนออกมาอีกฝ่ายจึงจะได้ยิน
กินไปได้ครึ่งชาม สถานีก็เปิดเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา แม้ว่าสถานที่จอแจอย่างนี้จะแยกแยะอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าเธอเคยฟังเพลงนี้มาก่อน พูดให้ถูกก็คือเป็นเพลงที่ซูเนี่ยนชินเล่นเมื่อคราวก่อนในห้องเปียโน แม้ว่าขณะนี้จะเปลี่ยนไปเป็นเครื่องดนตรีชนิดอื่น ซ้ำยังมีเนื้อร้องให้คนร้องออกมา แต่ว่าเธอก็จำได้
ประทับตราตรึงอยู่ในใจเลยล่ะ
เธอนับถือคนที่เล่นดนตรีเป็นมาโดยตลอด นับประสาอะไรกับคนตาบอดที่สามารถบรรเลงเปียโนได้ชำนาญขนาดนี้ หากบอกว่าตอนที่ฟังอยู่เพียงแค่แฝงไว้ด้วยสไตล์จีนแล้วล่ะก็ ตอนนี้เพลงต้นฉบับที่ปล่อยออกมาจากสถานีก็แทบจะเป็นเพลงที่แฝงไว้ด้วยสไตล์โบราณสุดๆ เชียวล่ะ
“เมื่อสักครู่นี้เพลงที่คุณผู้ฟังทุกท่านได้ฟังกันเป็นเพลงใหม่ล่าสุดของสวีกวนกัว มีชื่อว่า ‘นางแอ่นบนคอน’ ” ผู้จัดรายการกล่าว
เมื่อซังอู๋เยียนกินอิ่มไปมื้อหนึ่ง มือทั้งสองข้างก็สอดเข้าไปในเสื้อกันหนาว เดินเที่ยวในร้านขายซีดีที่อยู่ในละแวกนั้นเป็นนานสองนานก็ยังหาซีดีแผ่นนั้นไม่เจอ
เด็กสาวในร้านเข้ามาถามไถ่ด้วยความกระตือรือร้น
“ฉันอยากหาเพลงของสวีกวนกัวน่ะค่ะ”
“แถวนี้ทั้งหมดเลยค่ะ” เด็กสาวนำทางเธอไปดู
“ไม่ใช่ๆ เพลงใหม่ล่าสุดน่ะค่ะ ที่เพิ่งออกมา”
“คุณหมายถึง ‘นางแอ่นบนคอน’ ใช่ไหมคะ”
“ใช่ๆๆ” ซังอู๋เยียนกล่าว
“ดูเหมือนจะยังไม่วางขายนะคะ ไม่กี่วันนี้ก็มีหลายคนมาถามเหมือนกันค่ะ” เด็กสาวยิ้ม
“อ๋อค่ะ” ซังอู๋เยียนสลด
“แต่ว่า…” ซังอู๋เยียนกำลังจะออกจากร้าน เด็กสาวก็กล่าวขึ้นจากด้านหลัง “แต่ว่าพี่สาวจะไปค้นดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้นะคะ”
เมื่อก้าวเท้าเข้าบ้าน คุณแม่ซังก็เอ่ยถาม “ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ” ทุกครั้งที่พบปะเพื่อนเก่าหากไม่ถึงเที่ยงคืนเธอก็จะยังไม่กลับบ้าน
“ไม่สนุก ก็เลยออกมาก่อนค่ะ”
“เมื่อกี้เว่ยเฮ่าโทรศัพท์มาหาลูกแน่ะ บอกว่าถ้าลูกกลับมาแล้วให้โทรหาเขาด้วย เขาจะมาหาลูก”
“ต่อไปถ้าเขาโทรมาบอกว่าหนูไม่อยู่นะคะ”
“ทำไมทำกับเขาอย่างนั้นล่ะ”
“หนูไปทำอะไรเขาคะ” ซังอู๋เยียนเค้นเสียงสูง
“นี่เป็นน้ำเสียงที่ลูกใช้คุยกับผู้ใหญ่หรือไง” แม่เริ่มมีน้ำโห “อย่ามาทำเป็นว่าพวกเราพูดอะไรลูกก็บอกว่ารำคาญ อะไรๆ ก็ไม่เข้าตาลูกหน่อยเลย เขาโทรมาหาลูก ส่งข้อความกลับไปก็นับว่าเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของการเป็นคนนะ กับคนแปลกหน้าก็ควรจะทำแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องมาบอกว่าพวกลูกโตมาด้วยกัน เรื่องบางเรื่องก็อย่าคิดว่าพวกเราจะไม่รู้ ถือว่าเว่ยเฮ่าน่ะดีกับลูกแล้ว…”
“แม่คะ! ขอร้องล่ะไม่ต้องพูดแล้ว” ปากเธอบอกว่าขอร้อง แต่ว่ากลับแสดงท่าทางราวกับเหลืออด “แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแม่สักหน่อย” ซังอู๋เยียนเอ่ยเสริม
คุณแม่ซังยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “คุณซังคะ คุณดูลูกของคุณสิ บอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน นี่มันคำพูดอะไรกัน ฉันเลี้ยงเธอมายี่สิบปีถือว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก พูดกับเธอไม่กี่คำก็มาโมโหโทโสใส่ฉัน”
สองแม่ลูกต่างอารมณ์ร้อนด้วยกันทั้งคู่
คุณพ่อซังที่ไม่คิดจะเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้หัวเราะแหะๆ เป็นสัญญาณว่าปล่อยให้เรื่องราวจบลงไปเถอะ
ขณะที่ทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นที่รุนแรงสุด เสียงกริ่งก็ดังขึ้น
คนที่กดกริ่งก็คือเว่ยเฮ่า
คุณพ่อซังกับคุณพ่อของเว่ยเฮ่าเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองครอบครัวต่างก็อาศัยอยู่ที่อาคารศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง ฉะนั้นจึงไปเที่ยวบ้านของอีกฝ่ายได้ง่ายดายเป็นพิเศษ
คุณพ่อซังเป็นคนไปเปิดประตู ตรงเข้าไปทักทายเว่ยเฮ่าให้เข้ามานั่งเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เว่ยเฮ่ายืนอยู่ที่หน้าประตู ราวกับว่าได้กลิ่นดินระเบิดภายในบ้าน จะอยู่หรือไปก็ไม่ดีทั้งนั้น
ส่วนสีหน้าของคุณแม่ซังเปลี่ยนไวยิ่งกว่ากิ้งก่าคาเมเลี่ยนเสียอีก “เสี่ยวเฮ่า เธอไม่ได้มาหาอู๋เยียนหรอกเหรอจ๊ะ ใช่สิ เธอเพิ่งกลับมาเองนี่นา”
ซังอู๋เยียนไม่เอาด้วยหรอก เธอเดินหันเข้าไปในห้องทันที
คุณแม่ซังกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “น้ากับคุณพ่อซังกำลังพูดกันอยู่เลยว่าจะออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตสักหน่อย เด็กวัยรุ่นคุยกันเถอะจ้ะ” กล่าวจบก็ดึงคุณพ่อซังให้เปลี่ยนชุดแล้วออกจากบ้านไป
ซังอู๋เยียนปิดประตูอยู่ในห้องนอน รออยู่เป็นนานสองนาน ก็อดไม่ได้อยากจะเข้าห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าคนข้างนอกยังอยู่หรือเปล่า เธอแนบหูฟังอยู่กับประตูเป็นเวลานานก็พบว่าข้างนอกไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
สัญชาตญาณทางกายภาพฝ่าทะลวงสติสัมปชัญญะได้ เธอจึงเปิดประตูออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว มองดูรอบๆ ไม่มีคนอยู่ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็พบว่าเว่ยเฮ่านั่งอยู่บนโซฟา
เขามองมาที่เธอ
เธอจ้องมองไปยังเขา จากนั้นก็เห็นเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาช้าๆ
“เมื่อกี้เชี่ยนเชี่ยนบอกว่ามีนัดกินข้าวกับเพื่อน ให้ฉันไปส่งเธอ ฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นการพบปะกันของเพื่อนชั้นมัธยมต้นของพวกเธอ…”
“ฉันเป็นมือที่สามเหรอ” ซังอู๋เยียนตัดบทเขาในทันที
“อย่าไปฟังที่เธอพูดเลยน่า”
“ฉันเป็นมือที่สามงั้นเหรอ เว่ยเฮ่า?” ซังอู๋เยียนจ้องมองเขาตาเขม็งแล้วถามอีกครั้งหนึ่ง
เว่ยเฮ่าไม่ได้พูดอะไร
ซังอู๋เยียนเห็นว่าเขาปิดปากเงียบ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูก แล้วหันหลังกระแทกประตูปิดจากไป
(2)
ตอนออกมาเธอกลับรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ซังอู๋เยียนลืมความต้องการที่จะระบายอารมณ์ทางร่างกายไปจนหมดสิ้น เวลานี้อยู่บนถนนจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
เธอหาร้าน KFC รีบร้อนจัดการปัญหาปวดเบาแล้วก็เริ่มครุ่นคิด ยังกลับบ้านไม่ได้สักพักหนึ่ง ไม่แน่ว่าเว่ยเฮ่าอาจจะยังไม่ไป หรือว่าแม่อาจจะเตรียมทำสงครามกับเธอต่อก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน เธอกลับไปก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น
นอกในต่างก็มีปัญหาทั้งนั้น
เธอต้องไปบ้านเพื่อนสักคน เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าเหวินเหยา ไม่กี่วันมานี้เหวินเหยายังมาเที่ยวที่บ้านเธออยู่เลย เคราะห์ดีที่ตอนนี้บ้านเหวินมีแต่เหวินเหยาอยู่แค่คนเดียว เมื่อเห็นว่าเหวินเหยากำลังเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ ซังอู๋เยียนก็คิดขึ้นได้กะทันหัน
“จริงสิ ฉันอยากดาวน์โหลดเพลงเพลงหนึ่งน่ะ”
ทั้งสองคนต่างจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พิมพ์ตัวอักษร ‘นางแอ่นบนคอน’ ลงไป
ผลลัพธ์ที่ค้นออกมาค่อนข้างมากใช้ได้ แต่ว่าซังอู๋เยียนเข้าไปลองฟังนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ไม่มีเพลงเต็มเลยสักเพลง มีแต่ครึ่งท่อนทั้งนั้น
แต่แม้จะมีเพียงครึ่งท่อน แต่ความรื่นหูของมันก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย
“เพราะดีนี่นา” เหวินเหยาเอ่ยชม
ซังอู๋เยียนถอนหายใจ ก็เพราะจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าห่างไกลจากความรู้สึกที่ซูเนี่ยนชินเล่นเองกับมือในวันนั้นมากเลย
เหวินเหยาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ คิดว่าซังอู๋เยียนหดหู่เพราะว่าหาเพลงเต็มไม่เจอ กำลังคิดจะปลอบใจ แต่พอเห็นชื่อที่ด้านบนของเนื้อเพลง ก็เอ่ยเสียงกระซิบกระซาบ
“นี่เป็นเพลงที่อีจินเป็นคนเขียนนี่นา”
ซังอู๋เยียนฟังแล้วก็มองไปยังหน้าจอ
แม้ว่าจะมีแค่ครึ่งเพลง แต่ว่ากลับมีเนื้อเพลงเต็มเพลง มีชาวเน็ตคนหนึ่งโพสต์เอาไว้บนบล็อก
นางแอ่นบนคอน
นางแอ่นเริงระบำที่นอกหน้าต่าง เมื่อบินเป็นคู่ ระหว่างน้ำเขียวและผู้คน
หวังเซี่ยกาลก่อน ตรอกซอกใด ล้วนเป็นบ้านเกิด
นางแอ่นบนคอน ลอบมองเสียก่อน
มีคนเศร้าใจในยามสายัณห์
ฟังลมฟังฝนฟังอย่างซาบซึ้ง
ใบท้อหนอใบท้อ ลมวสันต์ไร้จำกัด
ลูกหลานสกุลหวังไปยังท่าน้ำ
มีใบท้อแย้มยิ้ม มีไมตรีงดงาม
เรื่องดีทั้งสอง ข้าหมายปองเพียงหนึ่ง
ทว่าท่าน้ำไร้ทุกข์ หวานชื่นละมุน
ประวิงเวลา
จากนี้พันปีร้อยปี มีตรอกชุดดำ มีท่าใบท้อ มีนางแอ่นบนคอน
อิสรเสรี
เมฆหมอกบนกระดาษ มีกลอนถึงจิต มีภาพพึงใจ มีความทุกข์ยาก
เริงระบำ
ปีแล้วปีเล่า เหนือเรือนมุงกระเบื้อง ใต้ชายคามีรัง ดินใหม่ศักดิ์เดิม
คนที่อยู่ในหน้าต่างบานนี้ โดดเดี่ยวมาแสนนาน
ได้ยินเสียงนางแอ่นขับขานเจื้อยแจ้ว
ผ่านความงดงามของท้อ ก็คือใบหลิ่วโรยรา นางเอ๋ยนางแอ่น
ผ่านอัสดง ก็เป็นรุ่งสาง ในแต่ละวัน
ผ่านต้นวสันต์ ก็เป็นปลายสารท ในแต่ละปี
ขมิ้นเอยนางแอ่นเอย ขับขานเจื้อยแจ้ว
รุ่งเช้าจิ๊บๆ ส่งเสียงประสาน
กระจ่างอำพราง ความคะนึงหา
อดทนด้วยแรงกล้าอยู่ร่ำไป
ยิ่งอ่านต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่าค่อนข้างบังเอิญ เนื้อเพลงนี้เกี่ยวกับเรื่องของหวังเซี่ยนที่ซูเนี่ยนชินพูดถึงเมื่อคราวก่อนพอดีเลย ประจวบเหมาะที่มีตรอกชุดดำแล้วก็ท่าเรือใบท้อ
“เธอบอกว่าใครเขียนนะ” ซังอู๋เยียนถาม
“อีจิน” เหวินเหยาชี้ไปยังฝั่งขวาด้านบนของหน้าจอ
ซังอู๋เยียนยืดตัวตรงในทันที เริ่มคาดเดาอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็ปฏิเสธมันไปอีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้ มัน…มหัศจรรย์เกินไป
ห้าทุ่มก็กลับมาถึงใต้อาคารที่พักของตัวเอง ซังอู๋เยียนเห็นไฟภายในห้องดับลงแล้ว จึงเข้าห้องอย่างวางใจ
เธอเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือด้วยความตั้งอกตั้งใจ ใช้ตรรกะของนักเรียนสายวิทย์และความสามารถในการวิเคราะห์เขียนจัดระเบียบความคล้ายคลึงกันแต่ละอย่างของซูเนี่ยนชินและอีจินไว้บนกระดาษ
เรื่องแรก วันที่อีจินได้รับเชิญให้ไปสัมภาษณ์จากเนี่ยซี เธอเจอซูเนี่ยนชินที่สถานี
เธอพยักหน้า เขียนเครื่องหมายถูกที่ด้านหลังข้อนี้
เรื่องที่สอง เพลงใหม่เพลงนี้ เมื่อคราวก่อนเธอได้ยินซูเนี่ยนชินกำลังเล่นอยู่
เธอพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเขียนเครื่องหมายถูกลงไป
เรื่องที่สาม…เรื่องที่สาม…
ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องที่สามนะ
เพียงแค่สองข้อดูเหมือนว่าจะไม่สามารถอธิบายปัญหาให้กระจ่างได้ ซังอู๋เยียนกัดด้ามปากกา แล้วเขียนเพิ่มไปอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่สาม อีจินและซูเนี่ยนชินต่างก็อาศัยอยู่ในเมือง A
ไม่ได้สิ ซังอู๋เยียนส่ายหน้าแล้วกากบาทลงไป คนที่อาศัยอยู่ในเมือง A มีตั้งมากมาย เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้มีสิ่งของบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าซูเนี่ยนชินใช่อีจินหรือเปล่า นั่นก็คือบันทึกเสียงที่เนี่ยซีสัมภาษณ์อีจิน พบเจอกันตัวต่อตัวมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะแยกแยะเสียงของซูเนี่ยนชินได้แล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เธอก็ไม่ได้รีบร้อนสักเท่าไรแล้ว
ผ่านไปหลายวันสองแม่ลูกก็ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเสียที แม่ของเธอยังคงชักสีหน้าใส่เธออยู่
เงยหน้าขึ้นไม่เจอก้มหน้าลงก็เจออยู่ดี ฉะนั้นเธอสู้ไม่ออกจากบ้านเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอสวี่เชี่ยนกับเว่ยเฮ่าแล้วถูกชี้หน้าบอกว่าเธอเป็นมือที่สามอีก
อะไรที่เรียกว่ามีทั้งศึกภายนอกและภายในกันนะ นี่เป็นตัวอย่างที่มีอยู่ในชีวิตจริงโต้งๆ เลยล่ะ
วันที่เจ็ดของเดือนตามปฏิทินจันทรคติผ่านไป เพื่อนๆ มากมายต่างก็กลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่องานที่เร่งรีบ ซังอู๋เยียนก็ฉวยโอกาสนี้กลับไปยังเมือง A เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ที่บ้านไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกดดันจนป่วยแน่ๆ
เพิ่งจะมาถึงมหาวิทยาลัยเธอก็รู้สึกเสียใจทีหลังเสียแล้ว
ปีนี้ฉลองปีใหม่กันค่อนข้างช้า วันที่เก้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันที่สิบสี่เดือนกุมภาพันธ์พอดี ภายในมหาวิทยาลัยมีแต่คู่รักเป็นคู่ๆ เหตุผลที่แท้จริงก็คือทุกคนต่างหาข้ออ้างกลับมหาวิทยาลัยก่อนเพื่อที่จะมาพบหน้ากันในวันวาเลนไทน์ต่างหากล่ะ
เฉิงอินไม่ได้ไปไหนเลย
ส่วนซังอู๋เยียนเองก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่ในห้อง จึงเปิดคิวคิว* เม้าท์มอยตลอดทั้งวัน
ตอนกลางคืน อาจารย์หลี่จากโรงเรียนผู้พิการได้ฝากข้อความเอาไว้ในอินเตอร์เน็ต
“อาจารย์ซัง รบกวนคุณสักเรื่องนะคะ”
“ว่ามาเลยค่ะ”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ”
อาจารย์หลี่อธิบาย
ที่แท้ห้องเรียนคนตาบอดก็มีเด็กคนหนึ่งชื่อซูเสี่ยวเวย เป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า พอดีว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเธอ ปีก่อนอาจารย์หลี่รับปากว่าจะให้เค้กผลไม้กับเธอในวันเกิด แต่ว่าในวันปีใหม่อาจารย์หลี่มีธุระต้องกลับบ้านพอดี ดังนั้นจึงอยากขอให้ซังอู๋เยียนไปแทนเธอหน่อย
ซังอู๋เยียนตอบรับด้วยความเบิกบานใจ
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
ภารกิจฝึกสอนของเธอเดิมทีก็ต้องทำตามอาจารย์หลี่อยู่แล้ว เพราะว่าเธอเป็นผู้ช่วยครูประจำชั้นของพวกเขา เวลานี้ยากเย็นกว่าจะมีภารกิจให้ทำบ้าง
ซังอู๋เยียนกล่าวอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะออกไป “ฉันก็ขาดทุกอย่างนั่นแหละนะ แต่ว่าไม่ขาดน้ำใจ”
เฉิงอินกลอกตาใส่เธอ “ขาดหัวจิตหัวใจด้วยสินะ?”
“ฮึ”
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าที่แท้ครอบครัวของเสี่ยวเวยจะเป็นแบบนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าในคาบเรียนซูเนี่ยนชินค่อนข้างลำเอียงรักใคร่เด็กคนนี้มากเป็นพิเศษเพราะว่าทั้งสองนามสกุลซูเหมือนกัน ตอนแรกซังอู๋เยียนสงสัยว่าเป็นญาติกัน แต่พอมาคิดตอนนี้ ไม่แน่ว่าซูเนี่ยนชินอาจจะรู้ภูมิหลังชีวิตของเสี่ยวเวยก็ได้
จะว่าไปแล้วธรรมดาสถานสงเคราะห์ก็มีความเคยชินแบบนี้อยู่ เด็กใช้นามสกุลตามอาจารย์ในที่ทำงาน จากนั้นหนึ่งปีก็จะสลับสับเปลี่ยนกันหนึ่งครั้ง อย่างเช่น ปีนี้เป็นทีของอาจารย์นามสกุลอู๋ ถ้าเช่นนั้นปีนี้เด็กๆ ที่ถูกส่งตัวมาก็จะนามสกุลอู๋ไปด้วย วันเกิดเองก็ไม่ต่างกันนัก จะไม่ฉลองเพียงคนเดียว นอกเสียจากว่าตอนที่ถูกทอดทิ้งผู้ใหญ่จะมีแก่ใจทิ้งวันเดือนปีเกิดเอาไว้ให้
ตอนที่ซังอู๋เยียนถือเค้กหอมกรุ่นไปที่สถานสงเคราะห์แล้วเห็นเสี่ยวเวย ก็พบว่าเสี่ยวเวยกับเด็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งกำลังกินเค้กกันแล้ว
มีซูเนี่ยนชินนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งด้วย
ป้าจางที่สถานสงเคราะห์หัวเราะพลางอธิบายอยู่ข้างๆ “อาจารย์ซูมาถึงก่อนแค่แป๊บเดียวเองค่ะ”
ซังอู๋เยียนมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอด ฉวยโอกาสที่ความสนใจของพวกเด็กๆ อยู่ที่การแบ่งเค้กก้อนที่สองก็เอ่ยปากพูดคุยกับป้าจาง
“ถ้าเด็กยังเล็กแล้วไม่ได้มีข้อบกพร่อง ธรรมดาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเท่าไรก็จะมีคนรับไปเลี้ยงค่ะ” ป้าจางอธิบายเสียงขาดเป็นห้วงๆ “บางคนก็หลงทางมา เมื่อไม่กี่วันก่อนสถานีตำรวจส่งเด็กมาสองคน ถูกลักพาตัวมาขาย หาพ่อแม่ไม่เจอ ก็เลยให้มาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว แต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะถูกพ่อแม่ทอดทิ้งกันน่ะค่ะ”
“เพราะว่าไม่สบายเหรอคะ”
ป้าจางพยักหน้า “บกพร่องมาตั้งแต่เกิด หรือไม่เดิมทีก็อยากได้เด็กผู้ชาย แต่ว่าพอคลอดออกมาแล้วเป็นเด็กผู้หญิงก็เลยทิ้งแล้วค่อยมีใหม่”
“ทำไมถึงได้มีพ่อแม่แบบนี้อยู่บนโลกนี้นะ” ซังอู๋เยียนใส่อารมณ์
“ความจริงแล้วบางคนก็ลำบากใจนะคะ ไม่มีเงินรักษาเด็กๆ ทำได้แค่โยนให้ทางรัฐบาล คุณดูเด็กคนนั้นสิคะ” ซังอู๋เยียนมองตามไปยังบริเวณที่ป้าจางใช้ท่าทางบอกให้รู้ มีเด็กโตอายุสิบกว่าปีที่กอดเด็กเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน เด็กเล็กคนนั้นผอมจนกระทั่งตัวเล็กนิดเดียว เลียครีมที่มุมปาก ท่าทางร่าเริง
“ตอนอายุขวบครึ่งก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ เป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เกิด พวกเราส่งไปผ่าตัดที่ปักกิ่งสามครั้งถึงช่วยเอาไว้ได้ เสียเงินไปหลายแสน คุณว่าจะมีครอบครัวไหนรับภาระไหวล่ะคะ ถ้าไม่ได้ถูกส่งมาตอนนั้น ก็ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะตายไปนานแล้ว ครอบครัวเองก็พังทลาย แต่ละครอบครัวต่างก็มีความยากลำบากเป็นของตัวเองนะคะ” ป้าจางถอนใจด้วยความหดหู่
ตอนที่พวกเธอพูดคุยกัน ซูเนี่ยนชินถือไม้เท้ายืนอยู่ที่ใต้หน้าต่างตลอดเวลา สีหน้าหม่นหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้างั้นมีพ่อแม่แท้ๆ ที่กลับมาเอาลูกคืนไปไหมคะ”
“ก็มีนะคะ แต่ไม่มากนักหรอก ส่วนมากก็ยังรอให้มีคนรับไปเลี้ยง แต่จะบอกว่าแต่ละคนไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวก็ไม่ได้หรอกค่ะ เด็กที่ถูกรับไปเลี้ยงต่างก็สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์กันทั้งนั้น อีกทั้งยังอายุน้อยด้วย จำอะไรไม่ได้ อย่างเสี่ยวเวยที่ตามองไม่เห็น อีกทั้งยังสิบขวบแล้ว มีความหวังไม่มากแล้ว หวังแต่เพียงว่าจะตั้งใจเรียนให้มีความสามารถสักอย่าง โตไปจะได้เลี้ยงดูตัวเองได้ ถ้าไม่ได้ก็อยู่ช่วยพวกเราทำอะไรๆ ไป คุณดูคนที่โตที่สุดนั่นสิ” ป้าจางกล่าวถึงเด็กโตที่กอดเด็กเล็กอยู่เมื่อสักครู่ “เกรดดีเชียวล่ะ อาจารย์ที่โรงเรียนให้เธอไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ขอแค่สอบได้ พวกเราก็จะอุปการะให้เธอเรียนต่อไป”
เมื่อออกมาจากสถานสงเคราะห์ หลังจากที่ซังอู๋เยียนได้มอบจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักให้แก่คนอื่นแล้ว ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจไปทั่วทั้งร่างกาย แต่ก็ยังรู้สึกกดดันอยู่บ้าง
เธอจากมาพร้อมๆ กับซูเนี่ยนชิน เธออยู่ข้างหน้าจึงชำเลืองกลับไปมองเขา เขาเม้มริมฝีปากบาง ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม
“คุณจะไปไหนคะ ฉันจะไปส่ง” ซังอู๋เยียนถาม
“ไม่ต้องหรอก” ซูเนี่ยนชินคลำหาเก้าอี้ข้างทางพลางนั่งลง
“จะว่าไป ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากถามคุณค่ะ”
เขาปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ซังอู๋เยียนจึงทำได้แต่เพียงพูดต่อไปเอง
“คุณคงไม่ใช่อีจินใช่ไหมคะ”
ซังอู๋เยียนกล่าวจบก็สังเกตดูสีหน้าของซูเนี่ยนชิน เขามีท่าทางหนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน คร้านจะสนใจเธอ
สักครู่เธอก็มีน้ำโห “อย่างน้อยๆ ตอบสักหน่อยก็ได้มั้งคะ ต่อให้คุณไม่อยากยอมรับ หรือจะปลอมตัวเป็นเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ทำเหมือนว่าถ้าคุยกับฉันอีกสักประโยคแล้วจะติดโรคร้ายแรงอย่างนั้นแหละ” ซังอู๋เยียนกล่าวอย่างรวดเร็ว พ่นคำพูดฉอดๆ ยาวเป็นพืดออกมา
“คุณก็ไปตามทางของคุณสิ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ขวางทางคุณเสียหน่อย แต่ว่าขอร้องอย่าได้มายืนใกล้ๆ ผม แล้วก็อย่าสร้างความรำคาญให้ผมด้วย” ซูเนี่ยนชินฉุนเฉียวขึ้นเล็กน้อย
มองดูเขาโมโห ซังอู๋เยียนกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นกะทันหัน “อาจารย์ซู คุณว่ายังไงนะ เมื่อสักครู่ฉันเดินอยู่ข้างหน้าคุณตามหลังมา ตอนนี้คุณนั่งอยู่ฉันก็ยืนอยู่ ถึงแม้คุณจะจองเก้าอี้เอาไว้แล้ว แต่ถนนเส้นนี้ครอบครัวของคุณไม่ได้เป็นคนสร้างไว้ ฉันจะยืนตรงไหนก็ได้ ขอแค่ฉันพอใจ ฉันมีสิทธิ์ค่ะ”
ซูเนี่ยนชินหลับตาลงพยายามอดกลั้นเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายซ้ำยังโตแล้ว ไม่อยากอารมณ์เสียใส่เด็กสาวกลางถนน
ถ้าหากซังอู๋เยียนถอยไปก็รอดกลับไปได้แล้ว แต่เธอกลับนั่งชิดกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
เมื่อซูเนี่ยนชินรับรู้ได้ก็เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง เขาทำอะไรเธอไม่ได้ แต่เขาหลบเลี่ยงเธอได้
“ให้ฉันไปส่งนะคะ”
ชายหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“คุณนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ต้องกินข้าวเย็นนะคะ หรือว่าคุณรอคนมารับ”
ชายหนุ่มไม่พูดไม่จา
“คุณรออยู่เฉยๆ ไม่เซ็งหรอกเหรอ ฉันอยู่คุยเป็นเพื่อนได้นะคะ”
ชายหนุ่มหลับตาลงพักผ่อน ยังคงนิ่งเงียบต่อไป
“คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วเท่หรือไงคะ”
ซังอู๋เยียนพูดคนเดียวอยู่เป็นนานสองนาน เขาก็ไม่แสดงความเห็นอะไรเลย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองอย่างหนัก “นี่ คุณพูดอะไรหน่อยสิ”
“ดูเหมือนว่าผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พูดนะ” ซูเนี่ยนชินเอ่ยปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นก็ปิดปากลง ไม่พูดอะไรออกมาอีก
(3)
เดิมทีซูเนี่ยนชินนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้เธอไปก่อน จากนั้นเขาจึงจะโทรศัพท์เรียกให้คนมารับ ไม่คิดว่าซังอู๋เยียนจะเสียเวลากับเขาอยู่อย่างนั้น
ฤดูหนาวของเมือง A แม้จะเรียกได้ว่าไม่ถึงกับหิมะตก แต่ว่าไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่ข้างนอกแบบนี้เป็นเวลานานก็หนาวใช่ย่อย
สถานสงเคราะห์อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มากนัก ข้างๆ ถนนเส้นนี้เป็นประตูทิศใต้ของมหาวิทยาลัย A ซึ่งเป็นถนนขายของกินเล่น นักศึกษาเดินเข้าๆ ออกๆ เป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีเพื่อนต่างเพศวัยรุ่นที่เดินผ่านไปไกลแล้ว แต่ก็มักจะมองมายังซูเนี่ยนชินที่นั่งอยู่ตรงนี้บ่อยๆ แล้วค่อยมองมาที่ซังอู๋เยียน
พลบค่ำของวันวาเลนไทน์มีคู่รักมากมาย แต่ว่าพวกเขาทั้งสองเป็นเสียอย่างนี้ จึงคล้ายกับคู่รักที่งอนง้อกันอยู่
ซังอู๋เยียนนั่งอยู่ตรงนั้น สักครู่เดียวก็รู้สึกหนาว เธอจึงหยิบถุงมือออกมาแล้วยกมือทั้งสองขึ้น พ่นกลุ่มไอร้อนออกมาติดต่อกันหลายครั้ง ออกแรงถูมือไปมา จากนั้นจึงมองไปยังซูเนี่ยนชิน เขาไม่ได้สวมถุงมือ มือที่จับไม้เท้าหนาวเย็นจนกลายเป็นสีม่วงอมเขียว ยังคงถือทิฐิไม่ยอมเคลื่อนไหว ซังอู๋เยียนจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอจะไม่สงสัยเลยสักนิดถ้าเขาจะไม่ยอมแพ้แล้วแข็งตายอยู่ตรงนี้
“คุณไม่หนาวเหรอ” เธอเอ่ยถาม
ซูเนี่ยนชินไม่ส่งเสียง เปลี่ยนไม้เท้าไปไว้ที่มืออีกข้างหนึ่ง ถ้าไม่ทันสังเกตไม้เท้าอันนั้น ก็มองไม่ค่อยออกหรอกว่าเขาเป็นคนตาบอด เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาเกินไปจริงๆ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าท่าทางหยิ่งผยอง เผยให้เห็นความเมินเฉยภายในกระดูก
ซังอู๋เยียนเห็นอย่างนั้นก็ไม่อาจทนได้ เอาผ้าพันคอออกมาด้วยความลังเล อยากจะพันทั้งสองมือของเขาที่ดูจะเย็นเป็นน้ำแข็งก่อนจะจากไป แต่ก็กลัวว่าความหวังดีจะกลายเป็นเจตนาร้าย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่รับน้ำใจโยนผ้าพันคอลงกับพื้นแล้วกระทืบเท้าอีกสองทีก็ได้ เธอเองก็จะเสียหน้าอย่างหนัก
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเรียกเธอขึ้นมา “ซังอู๋เยียน!”
พบศัตรูในเส้นทางคับแคบ คนที่เดินมาเป็นสวี่เชี่ยนกับเว่ยเฮ่าพอดี
พอสวี่เชี่ยนเรียกเธอแล้วก็ดึงตัวเว่ยเฮ่าเข้ามาใกล้ ซ้ำยังมองเธอด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“พวกเธอ?” เว่ยเฮ่าไม่เคยเห็นซูเนี่ยนชินที่อยู่ข้างๆ มาก่อน
พอซังอู๋เยียนเชิดคางขึ้น ก็ฉวยโอกาสสอดมือเข้าไปในช่องแขนของซูเนี่ยนชิน อิงร่างกายแนบชิดกับเขา แสร้งทำเป็นพูดอย่างสนิทสนม “เดตกันน่ะ”
สวี่เชี่ยนได้ฟังก็พิจารณาซูเนี่ยนชินอยู่สักครู่
ซังอู๋เยียนหัวเราะอย่างที่ไม่ชอบด้อยกว่าใคร ความจริงแล้วเธออ้อนวอนซูเนี่ยนชินอยู่เงียบๆ ในใจว่า อาจารย์ซูคะ ท่านซู ท่านเทพซู ท่านเป็นผู้ใหญ่ได้โปรดเมตตา ถือว่าเป็นเทพบุตรมาช่วยหญิงงามเถอะนะ ได้โปรดล่ะ ขอแค่อย่าเปิดโปงฉันก็พอ
เธอโอบกอดความคาดหวังอันเบาบางเอาไว้ ภาวนาให้ผู้ชายคนนี้เป็นคนปากร้ายแต่ใจดี จริงๆ แล้วมีจิตใจอย่างพระโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากภยันตราย
ขณะที่ดวงตาทั้งสามคู่ชำเลืองมองซูเนี่ยนชินพลางคิดกันไปเอง ซูเนี่ยนชินก็ดึงมือของเธอออกไปอย่างสุภาพ เว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่เพียงพอจะส่งซังอู๋เยียนลงสู่นรกออกมาช้าๆ
“คุณซัง กรุณาไว้ตัวด้วย”
เมื่อกล่าวจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นพยุงตัวกับไม้เท้าไปตามทางเท้าสำหรับคนตาบอด รุดหน้าออกไปคนเดียวอย่างช้าๆ เขาสวมเสื้อโค้ตสีเทาเข้มความยาวปานกลาง เข้ากับรูปร่างผอมสูง เงาหลังเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ว่าในตอนนี้ซังอู๋เยียนไม่มีเวลามาชื่นชม เพียงแต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเงาหลังอันน่าหลงใหลจะถูกสับเป็นเนื้อสับในทันที
จนกระทั่งซูเนี่ยนชินเดินลับหายไปที่หัวมุม สวี่เชี่ยนและเว่ยเฮ่าจึงเก็บสายตากลับมา จากนั้นก็มองมายังซังอู๋เยียน จากการมองดูของซังอู๋เยียน หญิงชายคู่นี้ต่างก็มีสีหน้าแบบที่เห็นได้จากละครฉากเด็ดเปี๊ยบ เธอทั้งโกรธทั้งโมโห แต่กลับทำทีเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไร ซ้ำยังแถข้างๆ คูๆ
“เขา…จะต้องหนาวจนสมองเลอะเลือนแน่ๆ” จากนั้นก็หนีเตลิดไปยังทิศทางที่ซูเนี่ยนชินหายลับไป
จะเกินไปแล้วนะ
หญิงชายคู่นั้นมองดูละครฉากเด็ดของเธอแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้จะต้องเบิกบานใจเป็นที่สุด
เธอวิ่งออกมา ในมือถือผ้าพันคอเอาไว้ ลมหนาวในยามพลบค่ำพัดผ่านจนใบหน้าพลันเจ็บขึ้นมา พัดเข้าไปในดวงตา จนรู้สึกได้ว่าขอบตาเริ่มเปียกชื้น
เธอเพียงแค่อยากทวงเกียรติคืนเท่านั้นเอง
เดินเลี้ยวเข้าไปก็เห็นว่าตรงหน้าคือซูเนี่ยนชิน ซังอู๋เยียนสะสมความโกรธเอาไว้ แล้วจึงตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“ซูเนี่ยนชิน!”
ชายหนุ่มทำไขสือ
“ซูเนี่ยนชิน! คุณยืนอยู่ตรงนั้นเลยนะ!”
ชายหนุ่มยังคงเดินไปข้างหน้าตามความเร็วของตนเอง
“หยุดนะ!” ซังอู๋เยียนเดินเร็วกว่าเขา ก็เลยคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้
ท่าทางทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนบนถนนเริ่มหันมามอง
เพราะว่าถูกซังอู๋เยียนคว้าเสื้อคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ซูเนี่ยนชินจึงหันหลังกลับมาอย่างเสียมิได้ ดวงตาดำขลับไร้ซึ่งโฟกัส กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ได้โปรดปล่อยมือของคุณด้วย”
“ฉันไม่ปล่อย!”
ซูเนี่ยนชินยกแขนขึ้น อยากบีบบังคับให้เธอคลายมือออก แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย จึงไม่กล้าใช้กำลัง
“ปล่อยก็ได้ แต่คุณกลับไปคุยกับพวกเขากับฉันให้รู้เรื่องก่อนสิ”
“แล้วเมื่อกี้ที่ผมพูดไปไม่ใช่ความจริงหรือไง” เขาโต้กลับเสียงเย็น
“คุณ!” ซังอู๋เยียนจนปัญญา อดกลั้นเสียจนหน้าแดง แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ
ระยะเวลาไม่กี่ปีหลังจากที่หวงเสี่ยวเยี่ยนตายจากไป ตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลาย จนถึงมหาวิทยาลัย นิสัยของเธอก็ค่อยๆ ร่าเริงและเปิดเผยมากขึ้น อีกทั้งการเรียนก็ไม่ได้ย่ำแย่ หน้าตาค่อนข้างหวาน แม้จะไม่ใช่ดาวห้อง ดาวโรงเรียน หรือประเภทที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล แต่ว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยเจอเพศตรงข้ามคนไหนที่พูดจาไร้มารยาทกับเธอบ่อยๆ อย่างซูเนี่ยนชินมาก่อน
เมื่อนิสัยดื้อรั้นของเธอปรากฏขึ้นมาก็เก็บไว้ไม่อยู่
ฉะนั้นคนหนึ่งพูดจาไม่อ่อนหวาน คนหนึ่งสีหน้าทุกข์ระทม ชายหญิงอายุน้อยคู่หนึ่งฉุดกระชากกันไปมาอยู่บนถนนในวันวาเลนไทน์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจได้ บางคนก็ก้าวฝีเท้าให้ช้าลง ทางสำหรับรถไร้เครื่องยนต์มีคนลงจากจักรยานเพื่อหยุดดูพวกเขา
ซังอู๋เยียนกล่าวด้วยความเดือดดาล “ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ล่ะ”
ซูเนี่ยนชินตอบโต้ “ผมเป็นคนแบบไหน”
ซังอู๋เยียนเหลือบมองคนที่อยู่ด้านข้าง เธอรู้ว่าซูเนี่ยนชินหวาดกลัวอะไรมากที่สุด เมื่อสักครู่นี้เขาบังอาจทำให้เธอหน้าแตกต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้เธอเองก็จะไม่ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เมื่อตัดสินใจแล้ว ซังอู๋เยียนก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พอเบะปากขึ้นได้ก็ออกแรงที่มืออีกข้างหนึ่งบิดเข้าที่ขาอ่อน เจ็บเสียจนจู่ๆ เธอก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมากะทันหัน
“ทำไมคุณถึงได้เป็นคนแบบนี้ล่ะ ฉันคบกับคุณมาตั้งหลายปี ทะเลาะเบาะแว้งกับคนในบ้าน มาอยู่กับคุณถึงที่นี่ ตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่งพา ตอนนี้ยังท้องลูกของคุณอยู่อีก ทำไมคุณบอกว่าจะไปก็ไปล่ะ จะไปเดตกับผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ วันนี้ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ฉันกับลูกก็หิวนะ ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ แถมยังจะออกไปหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงคนอื่นอีก ไปหาผู้หญิงใจง่ายคนนั้นน่ะเหรอ”
เมื่อเธอพูดออกมาอย่างนี้ คนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เองกันทันที แม้ว่าซูเนี่ยนชินจะมองไม่เห็น แต่ว่าเขาก็สามารถได้ยินถ้อยคำต่อว่าต่อขานเหล่านั้นได้อย่างครบถ้วน
“คุณดีกับฉันมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่ตอนนี้กลับไปกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าเป็นคนอื่นฉันยังพอทนได้ แต่ทำไมต้องเป็นเพื่อนรักที่ดีที่สุดของฉัน พวกคุณโกหกฉันอย่างนี้ได้ยังไง” เดิมทีซังอู๋เยียนก็แกล้งร้องไห้อยู่หรอก แต่ว่าพูดไปพูดมาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำเหมือนกับว่าซูเนี่ยนชินเป็นเว่ยเฮ่าได้ เกิดรู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ ดึงเสื้อของซูเนี่ยนชินต่อไปแล้วลงนั่งยองๆ ร้องไห้เสียใจอยู่กับพื้น จากแกล้งร้องก็กลายเป็นร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
ข้างๆ มีคนอดไม่ได้ส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงตำหนิเองก็ดังขึ้นทุกที
“ภรรยาตั้งท้องแล้วยังจะออกไปคบชู้อีก”
“ยังหนุ่มอยู่แท้ๆ ดูไม่ออกเลยจริงๆ”
“ผู้ชายหน้าตาแบบนี้ ไม่เจ้าชู้ก็แปลกน่ะสิ”
“…”
“…”
อีกทั้งยังมีคุณอาวัยกลางคนหิ้วตะกร้าผัก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพ่นถ้อยคำใส่ซูเนี่ยนชิน “เดนมนุษย์!”
ซูเนี่ยนชินสีหน้าดำคล้ำลงอีก มุมปากกระตุกอยู่สักครู่ “ซังอู๋เยียน คุณรีบลุกขึ้นมา!”
“ฉันไม่ลุก!”
สีหน้าดำคล้ำของซูเนี่ยนชินเจือด้วยความบึ้งตึง แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วกล่าวว่า “คุณจะเอายังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าลุกขึ้นมาก่อนได้รึเปล่า” เขากล่าวประโยคนี้โดยอดกลั้นโทสะเอาไว้ พ่นถ้อยคำออกมาอย่างนุ่มนวล ราวกับว่าข่มอาการบาดเจ็บภายในเอาไว้
“คุณพูดแล้วต้องรักษาคำพูดนะ” ซังอู๋เยียนเช็ดน้ำตา
“ได้”
ทั้งสองต่อสู้ ผู้กล้าชนะ
ผู้กล้าต่อสู้ ผู้มีปัญญาชนะ
ผู้มีปัญญาต่อสู้ ความไร้เหตุผลชนะ…
เชิงอรรถ
* Tencent QQ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘QQ’ เป็นโปรแกรมเมสเซนเจอร์สำหรับวินโดวส์ ผลิตโดยบริษัทเทนเซนต์ประเทศจีน
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.