X
    Categories: Dear Mr. MOF หวานละมุน... คุณที่รักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Dear Mr. MOF หวานละมุน… คุณที่รัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 1 ล่องน้ำข้ามทะเลมาพบคุณ

 สนามบินผู่ตงเซี่ยงไฮ้

“เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันจะเข้าไปละนะ พวกพี่รีบกลับไปเร็วเข้า นี่ก็มืดแล้ว ตอนขับรถกลับไปก็ระวังๆ ด้วย”

ฉันลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย แต่พี่เจี๋ยกลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง

“โธ่เอ๊ย อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นสิ แค่เก้าเดือนเอง เดี๋ยวเรียนจบฉันก็กลับมาแล้ว ปีหน้าก็อยู่ฉลองวันเกิดกับพี่ได้แล้วน่า”

พี่เจี๋ยลุกขึ้นยืนช้าๆ ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เธอโตมาขนาดนี้…นี่เป็นครั้งแรกเลยที่จะต้องห่างจากพวกเรา แถมยังไปไกลซะด้วย จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงกัน”

ฉันโบกโทรศัพท์มือถือในมือ “ตอนนี้เทคโนโลยีไปไกลถึงขนาดนี้แล้วนะ คิดถึงก็ส่งวีแชตมาหาฉันสิ”

“วิดีโอคอลล์กับเราบ่อยๆ นะ” แม่เอ่ยขึ้นมา

“ค่ะแม่”

“ถ้าเงินไม่พอใช้ก็ต้องบอกมานะ”

“ค่ะพี่…”

“แล้วอย่าไปทะเลาะกับเพื่อนๆ ล่ะ” แม่สำทับ

“…ค่ะ”

“อย่าเล่าแต่เรื่องดีๆ ล่ะ เรื่องร้ายๆ ก็ต้องเล่าให้ฟังด้วย” พี่เจี๋ยย้ำ

แม้จะเข้าใจความรู้สึกของทุกคน แต่ฉันก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อย “พูดกันคนละประโยคแบบนี้มันน่ารำคาญนะคะ เอาล่ะๆ รีบกลับกันเถอะค่ะ ฉันจะเข้าไปจริงๆ แล้ว”

พี่เจี๋ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดึงตัวฉันเข้าไปกอดเอาไว้แน่น “ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”

“รับทราบ!”

 

เวลาห้าทุ่มห้าสิบห้า

เดินทางจากสนามบินผู่ตงเซี่ยงไฮ้มุ่งสู่ทิศตะวันออกไปยังสนามบินปารีส-ชาร์ล เดอ โกล ซึ่งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางเก้าพันสองร้อยหกสิบเอ็ดกิโลเมตร ฉันออกจากซูโจว มุ่งตามล่าความฝันที่อีกฝั่งหนึ่งของซีกโลก…ฉันอยากเป็นเชฟขนมหวาน

คิดว่าฉันกล้าหาญมากไหมคะ

ฉันบอกเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

ชื่อของฉันคือซูอี้ เดินทางมาถึงฝรั่งเศสแล้วแต่ฉันก็ยังไม่มีชื่อภาษาฝรั่งเศสอยู่ดีเลยยังใช้ชื่อซูอี้เหมือนเดิม

ชื่อภาษาอังกฤษของฉันงั้นเหรอ

ขอโทษที…ฉันไม่มีอีกเหมือนกัน

ตอนที่มิสเตอร์เอ็มโอเอฟดูบัตรประจำตัวนักเรียนฉันครั้งแรกแล้วเรียกชื่อของฉันออกมา ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันเขาก็เรียกไม่ถูกเสียที

ฉันสอนเขาออกเสียงอย่างใจเย็น “ซูอี้”

“ซู่อี๋”

ออกเสียงผิดทั้งสองคำเลย! แต่ไม่เป็นไร พวกเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็ได้ “ซูอี้”

“ซู่อี้”

ถือว่ามีพัฒนาการล่ะนะ ปักหลักสู้กันต่อไป เอาล่ะ…อีกครั้งหนึ่ง “ซูอี้”

“ซูชิ”

…ที่รัก คุณหิวหรือไงคะ

อย่าเรียกฉันว่าซูชิได้ไหม ฉันชื่อซูอี้!!

หรือแม้แต่นามสกุลของฉันเอง มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็มีวิธีเรียกที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก

“จั้งเก้อ (ฝังศพ)”

จั้ง?…ฉันนามสกุลจางต่างหากล่ะ! ตัวอักษร g ที่อยู่ด้านหลังนั่นไม่ต้องออกเสียง มันไม่น่าฟัง!!

“จาง”

“จัง*? (สกปรก)”

เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว แต่ทำไมถึงได้กลายเป็นคำว่า ‘จัง’ ได้ล่ะ ฉันไม่ได้สกปรกนะ แค่เลอะเทอะนิดหน่อยเท่านั้นเอง!

“ออกเสียงว่า ‘จาง’ ค่ะ”

“จั้ง”

“…ออกเสียงว่า ‘จาง’ ไม่ใช่ ‘จัง’ สักหน่อย!”

อย่างไรก็ตาม มิสเตอร์เอ็มโอเอฟมักจะอ่านนามสกุลของฉันว่า ‘จัง’ อยู่บ่อยๆ เพราะเขายืนหยัดว่าตัว ‘h’ ในภาษาฝรั่งเศสไม่ต้องออกเสียง ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงอ่านชื่อของพี่เฮ่าได้ล่ะ คำว่า ‘เฮ่า’ ก็มีตัว ‘h’ เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่เรียกพี่เฮ่าว่า ‘เอ้า’ บ้าง

เป็นคนฝรั่งเศสที่เอาแต่ใจชะมัดเลย!

ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับเขาจริงๆ นะ อีกอย่างกล้าการันตีเลยว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟต้องตั้งใจอย่างแน่นอน เขาตั้งใจแน่ๆ!

 

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ

ในหมู่นักเรียนพวกเขาว่ากันว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นคนดุ…มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ ฉันว่าเขาอ่อนโยนจะตายไป ส่วนผู้ช่วยสอนต่างก็บอกว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นคนละเอียดรอบคอบถึงขั้นดุดันเลยทีเดียว…อย่างนั้นเหรอ แน่ใจหรือเปล่าว่าเรากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่เนี่ย

ถ้างั้น…มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นคนแบบไหนกันแน่

ถ้าจะให้ฉันพูดล่ะก็…มิสเตอร์เอ็มโอเอฟของฉันเนี่ยเป็นคนเอาแต่ใจตัวเป้งเลยล่ะ เรียกว่าความเอาแต่ใจอยู่ในระดับสูงปรี๊ดเชียวนะ แถมยังเย่อหยิ่ง ใจแคบ แล้วก็เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยในแบบที่สูงปรี๊ดเสียยิ่งกว่าสูงปรี๊ดในสูงปรี๊ดเสียอีก

ส่วนเรื่องอายุจิตใจ…ก็น่าจะสักสิบเอ็ดปีได้ล่ะมั้ง

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟมักจะโอ้อวดทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศสให้พวกเราฟังด้วยความภาคภูมิใจเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง…เขาสั่งจองนมวัวไขมันจากฟาร์มเป็นกรณีพิเศษให้ส่งตรงถึงที่เพื่อเอามาใช้ในคาบเรียนทำไอศกรีม และส่วนที่เหลือก็รินให้พวกเราดื่มกันทุกวัน โดยเรียกการกระทำนี้อย่างไพเราะว่าเป็น ‘การเพิ่มแคลเซียม’

แรกๆ ฉันก็ค่อนข้างตื่นเต้นกับความใจดีของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ จนกระทั่งเขาบอกกับฉันว่า “นมวัวของฝรั่งเศสอร่อยที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ ประเทศจีนมีนมวัวที่ดีขนาดนี้หรือเปล่า”

คน! ขี้! อวด!

นมผงของจีนก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ว่านมวัวนี่อร่อยมากเลยนะรู้หรือเปล่า

แคว้นเบรอตาญบ้านเกิดของเขามีอาหารทะเลเป็นอาหารท้องถิ่น “คุณอยู่ประเทศจีนเคยได้กินหอยนางรมที่อร่อยขนาดนี้หรือเปล่า”

ทำไมจะไม่เคยล่ะคะ แหม ทั้งอวบอ้วนทั้งสดใหม่เชียวล่ะ หนำซ้ำเมืองติดทะเลยังขายกันเป็นครึ่งกิโลเลยด้วย แต่ที่นี่ขายกันเป็นตัวเอง…

ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนไปเดินเที่ยวเล่นกันในร้านเครื่องครัว โมราเพื่อนของฉันเหลือบไปเห็นป้ายราคาเตาไฟฟ้าติดไว้ว่าหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบยูโร

หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบยูโร…แปลงเป็นค่าเงินหยวนแล้วเท่ากับเท่าไหร่กันนะ

ตั้งประมาณหมื่นหยวนได้แน่ะ ซื้อเตาไฟฟ้าราคาหนึ่งหมื่นหยวนงั้นเหรอ…ขอถามหน่อยเถอะ เตาไฟฟ้าที่นี่เลี่ยมขอบทองหรือฝังเพชรด้วยเหรอ

ใครจะซื้อกัน?! เอาเงินมาให้ฉันนี่ เดี๋ยวฉันจะซื้อแบบที่ผลิตในจีนมาให้สักสิบเครื่องเลยดีไหม สีอะไรก็ได้ตามใจเธอเลย ฟังก์ชันตามที่เธอเลือกเลย ถ้าใช้ไม่ดีฉันจะคืนเงินให้ทั้งหมด

ประเทศของฉันใหญ่โตข้าวของมากมาย อะไรๆ ก็มีหมดนั่นแหละ

ยกเว้นมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ…

 

พออยู่กับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟฉันถึงได้ลองชิมผลไม้ที่ไม่มีหรือหายากในประเทศจีนอย่างพวกแบล็กเคอร์เรนต์ด้วย มีครั้งหนึ่งที่เขาเรียกให้ฉันเอาแบล็กเคอร์เรนต์บดแช่แข็งไปละลาย ตอนนั้นเองฉันจึงพูดขึ้นว่าไม่เคยกินผลแบล็กเคอร์เรนต์แบบสดๆ มาก่อนเลย

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถึงกับตื่นตระหนก “ประเทศจีนไม่มีแบล็กเคอร์เรนต์เหรอ”

“ไม่มี…มั้งคะ” ฉันไม่แน่ใจและไม่กล้าพูดจามั่วซั่วด้วย “เอาเป็นว่าฉันไม่เคยกินก็แล้วกันค่ะ”

มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเบ้ปากเล็กน้อย แต่เขาก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร

ถัดไปจากวันนั้นสองสามวันเป็นวันศุกร์ ปรากฏว่ามีแบล็กเคอร์เรนต์กล่องหนึ่งอยู่ในลิฟต์ส่งขึ้นมาจากห้องครัวชั้นล่างพร้อมกับวัตถุดิบอื่นๆ

ฉันจดๆ จ้องๆ แบล็กเคอร์เรนต์กล่องนั้นแล้วถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฮยบอกว่าคุณเป็นคนสั่งมา พวกเราต้องใช้แบล็กเคอร์เรนต์สดด้วยเหรอคะ หรือว่าชั้นล่างส่งมาผิด?”

“ไม่ได้ส่งผิดหรอก ผมเป็นคนสั่งมาเองแหละ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเปิดกล่องออกแล้วหยิบให้ฉันลูกหนึ่งพร้อมกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “คุณบอกว่าที่จีนไม่มีนี่ งั้นรีบชิมของประเทศฝรั่งเศสเราซะสิ”

ความซาบซึ้งที่มีหายวับไปเลย ฉันอดกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ในใจพยายามไม่ให้ตัวเองกลอกตาพลางรับแบล็กเคอร์เรนต์ลูกนั้นมาใส่ปาก

“เป็นยังไงบ้าง”

ฉันฝืนกลืนแบล็กเคอร์เรนต์ลงไป “ค่อนข้าง…เปรี้ยวค่ะ”

“เต็มไปด้วยวิตามินซีจำนวนมากเชียวนะ คุณไม่เคยกินมาก่อนก็กินให้เยอะๆ สิ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกล่าวพลางหยิบแบล็กเคอร์เรนต์เตรียมจะวางมันลงในมือฉันอีก

ฉันทำสีหน้ารังเกียจเพราะมันไม่ได้ค่อนข้างเปรี้ยว แต่มันเปรี้ยวมากเลยต่างหาก เปรี้ยวจะตายอยู่แล้ว! ถ้าจะพูดถึงผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ให้ฉันกินกีวี่แทนได้หรือเปล่า ฉันจะต้องกินแบล็กเคอร์เรนต์เท่านั้นเหรอ

ฉันดันมือเขาออกไป “ไม่เอาค่ะ มันเปรี้ยว พวกเราบดมันให้แหลกแล้วเอาทำไปไอศกรีมกันเถอะนะคะ”

“ไม่ได้นะ!” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟยังพยายามยัดแบล็กเคอร์เรนต์ใส่มือฉันให้ได้ “เมื่อเทียบกับการกินอาหารเสริมเพิ่มวิตามินแล้ว สู้กินผลไม้ให้เยอะๆ จะดีกว่า”

“หา?”

“หาอะไรกันล่ะ เด็กดี…ทั้งหมดนี่เป็นของคุณแล้วนะ ผมจะคอยดูจนกว่าคุณจะกินมันหมด”

“กิน…หมดนี่เนี่ยนะ! ตอนนี้น่ะเหรอ” นี่เขาหยอกฉันเล่นอยู่ใช่หรือเปล่า…

“ใช่แล้ว”

“ไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอคะ” ฉันวางแผนดิ้นรนหนีเจียนขาดใจ “หรือว่าเหลือไว้ก่อนแล้วค่อยกินตอนเที่ยงอีกได้ไหมคะ”

“ไม่ได้” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเอ่ยอย่างหนักแน่น ซูอี้น้อยก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

เฮ้อ…ก่อนหน้านี้ทำไมไม่สารภาพไปตรงๆ ว่าฉันกินยาแก้ปวดประจำเดือนนะ จะต้องโกหกเขาว่ากินวิตามินไปทำไม จบเลยคราวนี้ ขุดหลุมสุสานให้ตัวเองซะแล้ว!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: