บทที่ 3 เข้ามาใกล้ชิดเพื่อจีบคุณ
เมื่อเซ็นสัญญาผู้ช่วยสอนเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ตั้งใจซื้อปากกามาร์กเกอร์สีน้ำเงินและสีแดงจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาตั้งมากมาย คิดว่าต่อไปจะเอาไว้วาดเส้นตรงสีน้ำเงินและสีแดงลงบนสิ่งของที่ต้องเตรียมไว้ให้กับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ
ก็เขาคือ ‘เอ็มโอเอฟ’ นี่นา…เป็นธรรมดาที่สิ่งที่เหมาะสมกับเขาที่สุดจะต้องเป็นปกคอเสื้อลายธงชาติที่ไม่เหมือนใครนั่น
เดิมทีฉันอยากจะทำมันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากจนทุกคนรับรู้ความในใจของฉัน ดังนั้นจึงจงใจวาดไม่ให้ใหญ่เกินไป ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็กลัวว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟจะไม่ชอบที่ฉันทำแบบนี้
แต่ใครจะคิดว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟของพวกเราเป็นคนที่ทำอะไรๆ ไม่เหมือนใครขนาดนี้กันล่ะ เพราะแค่เขาเห็นว่าฉันวาดธงชาติก็รีบเอาให้คนที่อยู่ข้างๆ ดูทันที
“พวกคุณรีบดูนี่! ดูสิว่านี่คืออะไร” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟยกแก้วกระดาษใบนั้นขึ้นชูไปทั่วทุกทิศ “ผู้ช่วยสอนเป็นคนวาดให้ผมล่ะ นี่เป็นสัญลักษณ์ของเอ็มโอเอฟ เป็นแก้วกระดาษเฉพาะตัวของเอ็มโอเอฟ!”
เอาล่ะๆๆ เฉพาะตัว…ทุกคนเขารู้กันหมดแล้วล่ะ
เขากำลังโอ้อวดอย่างเปิดเผยไม่ผิดแน่
ฉันแกล้งทำเป็นยืนสบายอกสบายใจอยู่ข้างๆ แต่ในใจคิดอยู่ว่าเทพบุตรอย่างเขาช่างพอใจอะไรง่ายดายเสียเหลือเกิน ถ้ารอบตัวไม่มีใครอยู่ เขาก็คงจะเต้นด้วยสเต็ปเบาๆ คนเดียวแล้วหรือเปล่านะ
การเป็นผู้ช่วยสอนในสถาบันที่นี่จะไม่ได้ยึดติดอยู่กับเชฟเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ได้ถูกกำหนดให้ดูแลนักเรียนเพียงชั้นเรียนเดียว ขณะเดียวกันด้วยการจัดแบ่งคาบสอนชั้นเรียนต่างๆ ทำให้ฉันที่ถึงแม้จะเป็นผู้ช่วยสอนฝ่ายขนมหวาน แต่บางครั้งก็ต้องไปช่วยหั่นผักในห้องครัวชั้นล่างและช่วยงานสอนทำอาหารฝรั่งเศสด้วย
โดยปกติแล้วที่ห้องครัวชั้นล่างจะหั่นผักและทำอาหารเที่ยงให้พนักงาน ฉันจึงต้องไปช่วยเหลือเสี่ยวเฮยกับผู้ช่วยสอนคนอื่นๆ เตรียมของสำหรับสาธิตการทำอาหารฝรั่งเศสในวันถัดไป
เสี่ยวเฮยเป็นเชฟประจำของห้องครัวชั้นล่าง จะว่าไปแล้วเขาก็เป็นนักเรียนของที่นี่มาก่อนเช่นกัน
ฉันเคยคิดเอาไว้อย่างสวยงามเลยว่าฉันเคยเรียนทำอาหารฝรั่งเศสมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะให้ฉันทำอะไร ก็ไม่น่ามีเรื่องยุ่งยาก…
แต่ที่ไหนได้…ความจริงคืองานที่แบ่งมาให้ฉันนั้นเป็นการต่อสู้กับหัวหอมลูกเล็กสีม่วงที่มีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า ‘Échalote’
เสี่ยวเฮยบอกว่าต้องการ ‘Ciseler’ พวกมันทั้งหมด…ก็คือต้องสับพวกมันให้แหลกนั่นแหละ
สับ…ให้แหลก…งั้นเหรอ
Tout? ทั้งหมดนั่นน่ะเหรอ…พูดจริงหรือเปล่า
ฉันมองหัวหอมลูกเล็กที่กองพะเนินเป็นภูเขา…เสี่ยวเฮย คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ไม่ได้หยอกล้อฉันอยู่แน่นะ นี่กะจะให้ฉันหั่นไปจนถึงปีวอกเดือนมะเมีย เลยหรือยังไงกัน
ที่ข้างหูได้ยินเสียงของเสี่ยวเฮยลอยมาแว่วๆ ว่า “ตอนเช้าหั่นไม่เสร็จก็มาหั่นต่อตอนบ่ายนะ”
ตอนเที่ยงบรรดาเชฟทั้งหลายจะลงมากินข้าวข้างล่างกัน พอพวกเขาเห็นฉันน้ำตาไหลพราก สองตาแดงก่ำก็คิดเอาเองว่าฉันไม่ได้รับความยุติธรรมขนาดไหนเชียว จึงพากันเข้ามาปลอบฉันทีละคน
ฮือๆ คราวหน้าให้พวกคุณมาหั่นหัวหอมบ้างดีไหมล่ะ นี่ฉันหั่นมาทั้งเช้าแล้วนะ!
เสี่ยวเฮยนะเสี่ยวเฮย คุณบอกมาเลยว่าระหว่างเรามีความแค้นใหญ่หลวงขนาดไหนกันเชียว ตอนแรกที่ฉันทดสอบเป็นผู้ช่วยสอน คุณก็ให้ฉันปอกไข่ห้าสิบลูกในสิบห้านาที แถมเป็นไข่ห้าสิบลูกที่เพิ่งต้มเสร็จซะด้วย!
ช่างเถอะๆ ไม่พูดแล้ว พูดไปก็มีแต่น้ำตา
ใครก็ได้ช่วยมานวดตาให้ฉันหน่อยสิ ซอกเล็บของฉันมีแต่กลิ่นหัวหอมเต็มไปหมดแล้ว!
วันนี้…ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยสอนของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ ฉันก็จะได้สอนด้วยกันกับเทพบุตรแล้วล่ะ!
ตื่นเต้นจังเลย! ตื่นเต้นจัง!!
อนุญาตให้ฉันส่งเสียงดังก้องฟ้าสักสามวินาทีนะ วะ! ฮะ! ฮ่า!
อืม…ฉันจะทำออกมาให้ดีเลยล่ะ จะให้ขายหน้าเทพบุตรที่เป็น ‘เอ็มโอเอฟ’ ไม่ได้
หลังกินมื้อกลางวันที่ห้องครัวชั้นล่างเรียบร้อย ผึ้งน้อยซูอี้ผู้ขยันขันแข็งก็รีบตรงไปยังห้องเรียนสาธิตเพื่อเตรียมการสอนทันที ตรวจดูวัตถุดิบให้แน่ใจอีกรอบหนึ่งและต้องแน่ใจว่าภายในห้องเรียนมีอุปกรณ์ให้เทพบุตรใช้อย่างเพียงพอ น้ำแร่แช่เย็นกับกระดาษเฉพาะของเอ็มโอเอฟวางอยู่ที่ขวามือของสเตชั่น สะดวกต่อการที่มิสเตอร์เอ็มโอเอฟจะหยิบมาดื่มได้ระหว่างสอน
แล้วก็ผ้าขี้ริ้ว น้ำยาล้างจาน…
พับผ้าเช็ดปากเสียหน่อยให้เทพบุตรใช้ได้ง่ายๆ เตรียมพร้อมไว้จะได้ไม่พลาด
เที่ยงห้านาที ยังห่างจากเวลาเข้าสอนอย่างเป็นทางการอยู่ยี่สิบห้านาที งานที่เตรียมไว้ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
กดไลค์ให้ตัวเองเลย!
เพิ่งคิดว่าจะเอนตัวพักผ่อนสักหน่อย มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ถือกระเป๋าอุปกรณ์ของเขาเดินเข้ามา หลังวางกระเป๋าลง เขาก็ตรงเข้าไปตรวจสอบสิ่งของที่ฉันจัดเตรียมไว้
“สอนกับผมครั้งแรกงั้นเหรอ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถาม
“ค่ะ”
หลังจากนั้นเขาก็จ้องมองของทั้งหมดบนโต๊ะราวกับคิดอะไรสักอย่าง
เที่ยงสิบนาที เขาหันหน้ามาหาฉัน มองด้วยสายตาค้นหา ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยถาม มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็กระแอมขึ้นกะทันหัน
ฉันรอให้เขาแสดงความคิดเห็น ทว่าเขากลับเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่งโดยไม่กล่าวอะไรสักคำแล้วเดินจากไป
เห็นท่าทีของเขาแล้วฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเอาซะเลย คาดเดาความคิดของเขาไม่ออกเสียด้วย
หรือเขาคิดว่าฉันจัดเตรียมทุกอย่างไว้ได้พรั่งพร้อมสุดๆ เลยไม่อยากเอ่ยชมฉันตรงๆ อย่างนั้นเหรอ
โธ่เอ๊ย! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไหมล่ะ…มิสเตอร์เอ็มโอเอฟอาจไม่รู้ว่าผู้หญิงจีนราศีกันย์หมายถึงอะไร ราศีกันย์ก็หมายถึงแปลกประหลาดและแข็งแกร่งยังไงล่ะ!
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง ฉวยโอกาสคว้าแก้วกระดาษเฉพาะสำหรับเอ็มโอเอฟขึ้นมา “คุณใส่น้ำแข็งงั้นเหรอ”
“เปล่านะคะ ฉันแช่เย็นเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ” ฉันค่อนข้างตกใจกับคำถามนั้น “ความหมายของฉันก็คือ…ฉันเอาทั้งขวดไปแช่เย็นเอาไว้ก่อน คือ…เมื่อวานก่อนเลิกงานเอาไปใส่ตู้เย็นข้ามคืนไว้ค่ะ”
นี่ฉันกำลังพูดอะไรอยู่ล่ะเนี่ย…ฉันแอบกลัดกลุ้มอยู่คนเดียวจนไม่ทันเห็นว่าสายตาของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟที่มองฉันในตอนนั้นไม่เหมือนกับที่แสดงออกมาครั้งก่อนๆ
วันที่อุณหภูมิสูงถึงสามสิบเจ็ดองศา แต่เครื่องปรับอากาศในห้องเรียนคาบเรียนสาธิตกลับไม่แรงเอาเสียเลย
ด้านหลังของฉันกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟคือเตาอบ แค่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวก็มีเหงื่อไหลพลั่ก น้ำที่แช่เย็นเอาไว้ก่อนหน้านั้นก็ค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิขึ้นตามอุณหภูมิของห้องเรียนจนกลายเป็นน้ำอุ่น
เพื่อไม่ให้มิสเตอร์เอ็มโอเอฟร้อนจนเกินไป ผู้ช่วยสอนที่แสนเอาใจใส่อย่างฉันเลยหากระดาษแผ่นหนามาพัดให้เขาอยู่ครึ่งคาบเรียน
พอเห็นสีหน้าอิ่มเอมของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแล้ว…ได้โปรดเรียกฉันว่าผู้ช่วยพัดลมมืออาชีพเถอะค่ะ!
หลังเลิกชั้นเรียน มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเห็นบัตรประจำตัวนักเรียนของฉันเข้า เขาจึงออกปากพูดกับฉันเสียงดังว่า “Merci ซูอี้”
จะขอบคุณก็บอกกันมาเลยเถอะน่า จำเป็นจะต้องพูดให้มันดูกระอักกระอ่วนแบบนี้ด้วยเหรอ
เพราะอย่างนั้นฉันเลยบอกว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นคนเย่อหยิ่งยังไงล่ะ แต่ว่าเขากลับไม่ยอมรับ
เอ๊ะ! เมื่อกี้นี้เขาเรียกชื่อฉันเป็นครั้งแรกงั้นเหรอ
คิกๆๆ ดีใจจัง…วันนี้ช่างเหมาะสมที่จะเป็นวันแห่งความทรงจำเสียจริง!
เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวฉันก็อยู่ที่ปารีสมาสามร้อยสี่วันแล้ว และเพราะเป็นผู้ช่วยสอนจึงต้องกำหนดเวลาทำงานและพักผ่อนเอาไว้ ตอนนี้ที่ปารีสเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันมีคาบสอนตอนแปดโมงครึ่ง ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวอาบน้ำนอนได้แล้ว
ฟ้าใกล้สว่างแล้วล่ะมั้ง…ใกล้สว่างแล้วล่ะ…
พอตื่นนอนก็จะได้เจอมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแล้ว!
“ซูอี้ คุณมี Maryse หรือเปล่า” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถามขึ้นมา
“Maryse?” ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่า…ไม่มีนะ
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเห็นฉันลังเลอยู่สักพักคงคิดว่าฟังไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายต่อ “Maryse ก็คือสปาตูลา แต่ไม่ได้ทำจากสแตนเลส ลักษณะเหมือนมีดปอกแต่ทำจากยางพารา ใช้สำหรับคนแบทเทอร์”
ฉันรู้ว่าอะไรคือ Maryse และอะไรคือสปาตูลาหรอกน่า แต่กระเป๋าอุปกรณ์ของฉันอยู่ที่ตู้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะสิ ไม่ได้เอามาด้วย
“ของฉันอยู่ในตู้ที่ชั้นล่างค่ะ คุณจำเป็นต้องใช้หรือเปล่าคะเชฟ”
“จริงๆ ในลิ้นชักของชั้นสามเราก็น่าจะมีนะ แต่ตอนนี้ดันหายเกลี้ยงไม่เหลือสักอัน คุณจะลงไปที่ชั้นล่างเหรอ งั้นลองฝากหาดูที พวกอุปกรณ์ที่ติดสัญลักษณ์สีเขียวเอาไว้เป็นของชั้นสามทั้งหมด ถ้าคุณเห็นก็หยิบขึ้นมาให้หมดเลยนะ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกล่าว
“ได้ค่ะ”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟให้ฉันลงไปหา Maryse ที่ชั้นล่าง พอลองค้นทั้งที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองแล้วฉันก็เจอตั้งหลายอัน มีของที่เป็นของชั้นสามอยู่ตั้งสิบกว่าอัน เยอะแยะจนแทบจะอุ้มกลับมาไม่ไหว
กลับมาถึงมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็มันหยิบออกไปจากอ้อมแขนฉันหนึ่งอันแล้วชี้บอกให้เอาอันอื่นๆ กลับไปวางที่ลิ้นชักในห้องเรียน จากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปหาสาวตัวสูงผมทอง
ให้ตายเถอะ! ให้ฉันขนมารีสซ์ขึ้นมาเพื่อให้คุณใช้จีบสาวเนี่ยนะ?
แล้วแม่สาวคนนี้เป็นใครกัน มิสเตอร์เอ็มโอเอฟชอบผู้หญิงแบบไหนนะ…ขาเรียวยาวใช้ได้ แต่ว่าผอมซะขนาดนั้น ไม่มีหน้าอกหน้าใจเลยสักนิด แถมโหนกแก้มก็สูงมาก ดูแล้วนี่มันโหงวเฮ้งดวงกินผัว ระวังนะคะ!
หยุดๆๆ ให้ตายสิซูอี้! ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้ล่ะ!!
“ซูอี้ คุณมีมีดตัดขนมปังหรือเปล่า” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถามขึ้นมาอีกครั้ง
“มีค่ะ” ไม่ต้องพูดหรอก สาวตัวสูงคนนั้นขอยืมแน่ๆ อยู่แล้ว
“ให้เบกกี้ยืมใช้หน่อย”
ดูสิ…ฉันบอกแล้วไง
“เบกกี้?” สาวตัวสูงคนนั้นชื่อเบกกี้…แม้แต่ชื่อเขาก็รู้ด้วยงั้นเหรอ เธอเป็นคนประเทศอะไรกันนะ
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเล่นมีดหั่นขนมปังของฉัน “ซูอี้ คุณพูดภาษารัสเซียเป็นหรือเปล่า เบกกี้พูดภาษารัสเซียได้นะ”
เฮ้! รู้เยอะใช้ได้เลยนี่นา แต่ว่าฉันพูดไม่เป็นหรอก จะให้ฉันไปเรียนเหรอ แต่ฉันยังเรียนภาษาฝรั่งเศสได้ไม่ดีเลยนะ…
“เชฟคะ คุณรู้ได้ยังไงคะว่าเธอพูดภาษารัสเซียได้” คงจะไม่ใช่ว่ามิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็พูดภาษารัสเซียเป็นแล้วนิยมชมชอบผู้หญิงที่พูดภาษารัสเซียได้เป็นพิเศษหรอกนะ
หรือว่า…
“เชฟเองก็พูดภาษารัสเซียได้เหรอคะ” ฉันลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดู
“ภาษารัสเซียน่ะเหรอ ผมพูดไม่เป็นหรอก” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟส่ายหน้าพลางพูดต่อ “บนบัตรประจำตัวนักเรียนของเบกกี้เขียนเอาไว้ว่าเป็นคนรัสเซียน่ะ”
แหม จำได้ด้วยงั้นเหรอ เอาใจใส่เชียวนะคะ
แต่เอาเถอะ คนรัสเซีย ประเทศรัสเซีย นักรบหญิงผู้ต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์ ฉันไม่กล้ามีเรื่อง แล้วก็ต่อสู้ด้วยไม่ไหวหรอก เอามีดไปเลย! ให้เธอใช้ได้ตามสบาย แต่จำให้ได้ว่าต้องเอามาคืนฉันก็พอ เพราะซื้อเล่มใหม่มันแพงมากเลยนะ!
พอหนีมาที่ห้องน้ำแล้วฉันก็เริ่มค้นคำว่า ‘เบกกี้’ ในเฟซบุ๊ก แล้วสถานที่ตรงนี้มันเขียนไว้ว่ายังไงน่ะ…
ทาชเคนต์?
ทาชเคนต์อยู่ที่ไหน แล้วมันอ่านออกเสียงว่ายังไง รัสเซียมีสถานที่แห่งนี้อยู่ด้วยเหรอ ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้รู้จักรัสเซียดีนักหรอก รู้จักแค่มอสโกเมืองหลวงของรัสเซียกับเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กเท่านั้นแหละ อ่อ…แล้วก็เมืองโซชิที่เคยจัดโอลิมปิกตอนฤดูหนาว
ขอลองค้นกูเกิลกันดูสักหน่อยแล้วกัน
พอค้นดูแล้ว วิกิพีเดียก็ผุดประโยคแรกขึ้นมาว่า
‘Tachkent, est une metropole d’Asie centrale, capitale de la République d’Ouzbékistan.’
(ทาชเคนต์ เป็นมหานครหนึ่งในภูมิภาคเอเชียกลาง และเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน)
ประเทศอุซเบกิสถานอย่างนั้นเหรอ งั้นสาวตัวสูงคนนี้ก็ไม่ใช่นักรบหญิงที่ต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์ แต่เป็นคนอุซเบกิสถานที่ออกมาจากสหภาพโซเวียตโดยลำพัง
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟบอกว่าในบัตรประจำตัวนักเรียนของเธอเขียนไว้ว่าเป็นคนรัสเซีย…ทำเป็นยิ่งใหญ่นะ!
ชิๆๆ เนื้อที่ของประเทศนี้เล็กกว่ามณฑลกานซู่ของประเทศฉันเสียอีก ถ้าจัดวางไว้ในประเทศจีนแล้วก็ฝืนๆ จัดให้เป็นอันดับแปดแล้วกันนะ
ความอิจฉาริษยาทำให้ผู้หญิงชั่วร้ายจริงๆ เสียด้วยสิ!
ถ้าเกิดมิสเตอร์เอ็มโอเอฟชอบผู้หญิงรูปร่างแบบเบกกี้ขึ้นมา…อืม ดูหน้าอกหน้าใจของฉันสิ แล้วดูเรียวขาของฉันสิ โธ่ ยังไงฉันก็ไม่มีทางเอาชนะได้เลย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.