บทที่ 5 คุณไม่เหมือนที่เขาพูดกันเลย
ที่สถาบันมีเชฟขนมหวานอยู่หลายคน แต่เชฟขนมหวานที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะสอนคาบเรียนสาธิตมีแค่หกคนเท่านั้น
นอกจากมิสเตอร์เอ็มโอเอฟแล้ว ยังมีเชฟปากกว้างที่ปากกว้างมากๆ เชฟคุณปู่แอ๊บแบ๊วที่มักจะหัวเราะเฮฮาอยู่เสมอ ราชามะกอกที่หน้าตาเหมือนมะกอกแล้วยังชื่อมะกอกอีก ปรมาจารย์แห่งความล้มเหลวผู้ไม่เคยทำตาแต็ง แอปเปิ้ลได้ดีเลยสักครั้ง ยังมีเชฟดีเจที่อารมณ์ร้าย มักจะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ่อยๆ พวกเราผู้ช่วยสอนทำขนมหวานจะสลับเปลี่ยนกันไปเป็นผู้ช่วยในคาบเรียนของพวกเขา
เชฟในสถาบันล้วนมีนิสัยแตกต่างกัน วิธีสอนจึงแตกต่างกันไปด้วย
เวลาเชฟแต่ละคนเข้าสอนก็จะมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นเชฟปากกว้าง ที่ผู้ช่วยสอนจะต้องเตรียมผ้าไว้ให้เขาเช็ดเหงื่อ เพราะเขาเป็นคนเหงื่อออกง่าย อ้อ…จริงสิ พวกเขาค่อนข้างลำเอียงรักใคร่ชาวเกาหลี เพราะฉะนั้นในสถาบันจึงมีผู้ช่วยสอนชาวเกาหลีมากเป็นพิเศษ
ราชามะกอกไม่เพียงแต่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเท่านั้น แต่ยังอารมณ์แปรปรวนด้วย พวกเราต้องคอยปลอบโยนอารมณ์ที่ไม่คงที่ของเขาอยู่ตลอด จะว่าไปเขาเองก็ราศีกันย์เหมือนกัน…แต่ดูแล้วน่าจะเป็นราศีกันย์ตัวปลอมแน่ๆ เลย
ถ้าเข้าสอนกับเชฟดีเจ ผู้ช่วยสอนจำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาเพื่อฟังคำสั่งของเขา ต้องออกกำลังกายเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบของบ่อยๆ เพราะเขาไม่เคยบอกล่วงหน้าว่าต้องการอะไร ส่วนที่เรียกเขาว่าเชฟดีเจก็เพราะว่าเขาทำอาชีพหลักเป็นดีเจอยู่ที่คลับ ดีเจเป็นอาชีพหลัก…แล้วเชฟขนมหวานนี่เป็นอาชีพรองงั้นเหรอ ก็ใช่น่ะสิ…เขาเป็นคนพูดแบบนี้กับคนอื่นเองนะ ไม่ได้ผิดพลาดตรงไหนสักหน่อย
ชายชราใจดีอย่างเชฟคุณปู่แอ๊บแบ๊วมักจะชอบทำเค้กจำนวนมากในคาบเรียนสาธิตทุกครั้ง เพราะเป็นห่วงว่านักเรียนจะไม่พอกิน ถ้าสุดท้ายเหลือเยอะเขาก็จะให้ผู้ช่วยสอนของแต่ละห้องเรียนเอากลับไปด้วย เชฟคุณปู่แอ๊บแบ๊วเคยมีวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งนั่นคือการทำเค้กเจ็ดก้อนเพื่อนักเรียนสี่สิบสองคน อืม…นักเรียนทุกคนแบ่งกันไปคนละหนึ่งชิ้นใหญ่ๆ แต่ก็ยังเหลืออยู่อีก ผู้ช่วยและล่ามแต่ละคนก็แบ่งกันไปแล้วแต่ยังเหลือเค้กที่ไม่มีใครเอาอยู่อีกหนึ่งก้อน จึงทำได้เพียงเพิ่มให้เป็นอาหารกลางวันกับห้องครัวที่ชั้นล่าง
ตรงกันข้าม มิสเตอร์เอ็มโอเอฟน่ะ…ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเขาเป็นพวกเอาง่ายเข้าว่าหรือว่าขี้เกียจดี เขาคิดว่าคาบเรียนสาธิตก็คือการสาธิต ผลงานที่ทำออกมาแค่ให้ชิมรสชาติก็เพียงพอแล้ว ถ้านักเรียนอยากกินให้ไปทำกันเอาเองในคาบเรียนปฏิบัติ แต่ก็มีเหตุผลจะตายนี่ ไม่มีช่องทางให้ตอบโต้เลยไม่ใช่หรอกเหรอ
จำได้ว่าครั้งแรกที่ฉันเข้าสอนพร้อมมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็มีนักเรียนสี่สิบสองคนเหมือนกัน เขาเอาแต่ใจถึงขั้นเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับเค้กแค่สองก้อนเท่านั้น อืม…ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะแบ่งยังไงดี ตอนที่อยากขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์เอ็มโอเอฟ หวังว่าเขาจะถ่ายทอดเวทมนตร์การแบ่งเค้กให้ แต่สุดท้ายมองไปทั้งห้องเรียนกลับไม่มีแม้กระทั่งเงาของเขา…เขาออกไปแล้ว
ก่อนที่จะเข้าสอนกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟเป็นครั้งที่สอง ฉันได้เล่าสถานการณ์ให้เขารับรู้ แต่เขากลับยืนยันว่าจะไม่เพิ่มปริมาณวัตถุดิบในการสาธิต หลังจากนั้นก็ดึงดันจะใช้ปริมาณวัตถุดิบสำหรับทำเค้กสองก้อนมาทำเค้กสามก้อน เชฟของฉันช่างเก่งกาจเหลือเกิน! เยี่ยมไปเลย แต่ก็ยังไม่พอให้นักเรียนแบ่งกันอยู่ดีค่ะ ทำอีกก้อนได้หรือเปล่าล่ะ แค่อีกก้อนเดียว…นี่ อย่าเพิ่งไปสิคะ!
เอาล่ะ…ไหนๆ เค้กก็ไม่พอให้นักเรียนแบ่งกัน แล้วผู้ช่วยสอนจะไปทำอะไรได้ล่ะ อยากกินเค้กยี่ห้อเอ็มโอเอฟไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นสินะ เพราะเขาเป็นถึงเอ็มโอเอฟ ของปริมาณน้อยถึงได้มีค่ายังไงล่ะ!
แต่เหตุผลที่เขาประหยัดขนาดนี้คืออะไรกันล่ะ
ทั้งหมดนี่ก็ไม่ได้ใช้เงินเขาสักหน่อย เพื่อที่จะประหยัดทรัพยากรโลกเท่านั้นน่ะเหรอ
เวลาพักตอนบ่ายเจียงเจียงเจียงเจี้ยงกำลังติวภาษาฝรั่งเศสให้กับซึงโฮโอป้าฉันเลยกลับไปเก็บกวาดที่ชั้นสามสักหน่อย จากนั้นจึงเอานิตยสารขนมหวานที่ซื้อไว้เมื่อสองวันก่อนขึ้นมาอ่าน
ตอนนั้นเองมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็เดินเข้ามา เมื่อเขาเห็นนิตยสารที่อยู่ในมือของฉันก็พลันมีสีหน้าหลากหลายยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ “ซูอี้…นี่คุณซื้อมาเหรอ”
“ค่ะ ใช่ค่ะเชฟ”
“คุณอ่านไปหรือยัง” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถาม
“ยังค่ะเชฟ”
แล้วเขาก็เขยิบตัวเข้ามาอ่านมันด้วยกันกับฉัน เทพบุตรยืนเปิดพลิกหน้านิตยสาร บนร่างกายมีกลิ่นเลมอนจางๆ ผสมปนเปกับกลิ่นว่านหางจระเข้ และดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นมิ้นต์ด้วย…
จิตใจหวั่นไหว จิตใจหวั่นไหว
“ซูอี้ คุณรู้จักเขาไหม” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟชี้ไปยังคนที่อยู่บนหน้าหนังสือ “เขาเป็นเพื่อนของผมเอง เป็นเชฟที่มีชื่อเสียงในโปรตุเกสเลยนะ”
ฉันส่ายหน้าเป็นการแสดงออกว่าไม่รู้จัก
“คุณเคยไปโปรตุเกสหรือเปล่า” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟถามอีกครั้ง
ฉันยังคงส่ายหน้า
“โปรตุเกสเป็นสถานที่พักร้อนชั้นดีเชียวล่ะ” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟกล่าว “สวยงามมาก ไม่เหมือนกับปารีส ถ้าคุณมีโอกาสจะต้องไปเห็นให้ได้เลยนะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะจำไว้”
หลังจากอยู่ที่ปารีสมาได้สิบเดือน ในที่สุดฉันก็คิดได้ว่าจะต้องจัดการกับผมของตัวเองเสียที หาวันพักผ่อนสักวัน นัดกับร้าน A.T.C. Studio ซึ่งเปิดอยู่ที่เขตสิบสาม จากนั้นก็รอให้สาวสวยไร้เดียงสาแปลงโฉมให้ฉันล่ะนะ
ทำไมจู่ๆ ฉันถึงได้คิดจะทำผมขึ้นมาน่ะเหรอ
นั่นก็เพราะว่า…
มีอยู่วันหนึ่งมิสเตอร์เอ็มโอเอฟดูบัตรประจำตัวนักเรียนของฉันแล้วถามขึ้นมาว่า ‘ซูอี้…นี่คุณเหรอ…เมื่อก่อนคุณไว้ผมสั้นงั้นเหรอ’
เทพบุตรเข้ามาคุยกับฉันก่อนทำให้ภายในจิตใจของฉันตื่นเต้นแบบสุดๆ แต่ว่าบนใบหน้าก็ยังต้องแสร้งทำทีเป็นว่าเฉยเมยเสียเหลือเกิน ‘ฉันไว้ผมสั้นมาตั้งแต่เล็กจนโตค่ะเชฟ’
‘ฮ่าๆๆๆ’ มิสเตอร์เอ็มโอเอฟส่งเสียงหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ ‘ถ้าคุณไม่บอกผมจะคิดว่าคุณใช้รูปของน้องชายแล้วนะเนี่ย’
ช่างมีอารมณ์ขันเสียเหลือเกินนะ! ที่ประเทศจีนเรามีการวางแผนการให้กำเนิดคุณไม่รู้หรือไง แล้วฉันจะมีน้องชายได้ยังไงล่ะ
แต่ก็ไม่อยากบอกเขาว่าเป็นเพราะฉันรู้สึกว่าค่าตัดผมที่ปารีสแพงมาก ถึงได้ปล่อยให้ผมยาวมาจนถึงตอนนี้
แฮราที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของฉันส่งสายตาพิจารณาเราทั้งคู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า ‘ไว้ผมยาวสะดวกกว่านะ สวมหมวกก็น่ามอง ไม่ต้องไปตัดบ่อยๆ ด้วย’
‘ก็จริง แล้วตอนนี้คุณทำงานอยู่ในห้องครัว’ มิสเตอร์เอ็มโอเอฟพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย ‘อีกอย่างผู้หญิงไว้ผมยาวจะดูดีกว่า แต่ดีที่สุดก็ต้องดัดลอน…อืม สักนิดหน่อย’
คนพูดอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังคิดนี่นา…
ดังนั้นหลังกินเฝอเส้นหมี่เวียดนามชามนี้เสร็จแล้ว ฉันจะไปดัดผมลอน!
“เจ้าของร้านคะ ฉันจะเปลี่ยนเป็นมะนาว ไม่เอาเลมอนแล้วค่ะ!”
สถาบันวางแผนว่าจะอัพเดตรายการอาหารให้กับนักเรียนระดับสูงใหม่ หลังจากที่บรรดาเชฟปรึกษาหารือกันแล้วก็ตัดสินใจว่าจะทำเค้กมูสรสลิ้นจี่ เมื่อนำลิ้นจี่บดแช่แข็งซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ร้านค้าส่งให้มาละลายจนกลายเป็นน้ำลิ้นจี่แล้ว มิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ผสมไวท์ช็อกโกแลตกับเนยลงไป ทว่าหลังจากเขาผสมทุกอย่างเรียบร้อยกลับหารสชาติของลิ้นจี่ไม่เจอเลยสักนิดเดียว
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟจึงต้องทดลองปรับปริมาณของลิ้นจี่บดแช่แข็งเพื่อจะได้รสชาติของลิ้นจี่เข้มขึ้น
เพียงครู่เดียวเท่านั้นกล่องลิ้นจี่บดแช่แข็งในห้องครัวเล็กชั้นสามก็กองเป็นภูเขาขนาดย่อม
ฉันเข้าไปในห้องเรียนเพื่อหยิบไข่ไก่ จากนั้นก็เดินผ่านเขาไป มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเห็นเข้าก็บอกกับฉันว่าเขาต้องการไข่ไก่สองฟองพร้อมเอื้อมมือออกมารับไว้ แต่กลับบังเอิญแตะเข้าที่หน้าอกของฉันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ขอโทษนะซูอี้” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟดูกระอักกระอ่วนมาก เขารีบหดมือกลับไปทันที “ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ค่ะ…ไม่เป็นไร” ฉันเม้มปากยิ้มออกมา “คุณอยากได้ไข่ไก่อีกหรือเปล่าคะ”
“นั่นน่ะ…เอาสิ” ท่าทางของมิสเตอร์เอ็มโอเอฟดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ “คุณวางไว้ให้ผมบนโต๊ะแล้วกัน ขอบคุณนะ”
น่าสนใจดีนี่…น่าสนใจ รายงานการวิจัยมิสเตอร์เอ็มโอเอฟวันนี้มีเรื่องใหม่ให้เขียนอีกแล้ว
จากนั้นมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็ให้เค้กที่เขาทำกับฉันด้วย พูดตามตรงว่ามันธรรมดาแบบสุดๆ รสชาติลิ้นจี่ยังคงไม่เข้มข้นเหมือนเดิม ตัวมูสนอกจากหวานแล้วก็ยังหวานได้อีก เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองลิ้นจี่บดแช่แข็งไปเปล่าๆ เป็นจำนวนมาก ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่ทำมูสชาเขียวแล้วเปลี่ยนเอาลิ้นจี่ไปทำเป็นไส้แทนล่ะ
แต่คิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะไม่มีใครถามความคิดเห็นของฉันสักหน่อย…
ที่ถนนย่านเอเชียทาวน์มีร้านชานมเปิดใหม่ที่ชื่อว่า ‘Chat Time’ พวกเขามีโปรโมชั่นเปิดร้านให้ถ่ายรูปลงในโมเมนต์แล้วจะได้โปรซื้อสองแถมหนึ่ง
เสี่ยวเยี่ยนชอบกินชาเขียวมาก ฉันจึงซื้ออุจิคินโทคิกับชานมมัทฉะใส่ถั่วแดงให้เธอ จากนั้นฉันก็สั่งชานมไข่มุกรสดั้งเดิมกับลิ้นจี่โยเกิร์ตเพิ่มวุ้นมะพร้าว หลังซื้อชานมเสร็จฉันก็ไปร้านขนมหวานญี่ปุ่นชื่ออากิซึ่งอยู่บนถนนถัดไปเพื่อซื้อโรลชาเขียวถั่วแดง เค้กมูสชาเขียว และโดรายากิ
ตอนที่ฉันวางแผนจะเอาชายามบ่ายมากินที่สถาบันก็ได้พบกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟผู้ไม่พอใจกับเค้กลิ้นจี่ก่อนหน้านี้ยังคงทำการทดลองอยู่คนเดียวในห้องครัวเล็กที่ชั้นสามอยู่หลายรอบ
พอเห็นมิสเตอร์เอ็มโอเอฟหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูท่าจะยังไม่มีแนวทางใหม่ๆ สำหรับแก้ไขปัญหาในระยะเวลาอันสั้น ฉันเลยดึงตัวเสี่ยวเยี่ยนออกมา และเรียกมิสเตอร์เอ็มโอเอฟให้มาชิมรสชาติจากฝั่งเอเชียของพวกเราด้วยกัน
ตอนแรกฉันบอกกับเขาว่าฉันจะดื่มลิ้นจี่โยเกิร์ต แต่เพราะมิสเตอร์เอ็มโอเอฟรู้สึกว่าไข่มุกเป็นสีดำดูแปลกประหลาด ฉันเลยยอมแลกกับเขา
“เชฟคิดว่าเป็นยังไงบ้างคะ”
“Pas mal ก็ไม่เลวนะ ดื่มลิ้นจี่โยเกิร์ตแล้วสดชื่นมากๆ เลย”
“งั้นเค้กล่ะคะ”
“เค้กมูสชาเขียวขมเกินไปสำหรับผม” มิสเตอร์เอ็มโอเอฟมองมาที่ฉันและเสี่ยวเยี่ยน “ชาเขียวที่นั่นขมแบบนี้หมดเลยเหรอ”
“ฉันก็ว่ามันขมเกินไปนะคะ” จากนั้นฉันก็พลันมองมิสเตอร์เอ็มโอเอฟด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยความหวังขณะเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเชฟลองทำมูสรสชาเขียวดูไหมคะ ส่วนผสมของเชฟจะต้องอร่อยสุดๆ แน่เลยค่ะ”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟดีใจจนคุมตัวเองไม่อยู่ “มูสชาเขียวยี่ห้อเอ็มโอเอฟ?”
“ใช่แล้วค่ะๆ” ฉันสรรเสริญเยินยอเขาต่อไป “ก็เชฟเก่งซะขนาดนี้ เชฟเป็นเอ็มโอเอฟนี่นา แค่มูสชาเขียวเล็กน้อยแค่นี้จะต้องทำออกมาได้ง่ายดายแบบไม่ต้องเปลืองแรงแน่ๆ ง่ายเหมือนจับวางเลยใช่ไหมล่ะคะ”
มิสเตอร์เอ็มโอเอฟได้รับการปลุกใจให้ฮึกเหิมก็ก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “อีกเดี๋ยวคุณมีสอนหรือเปล่า”
ฉันส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ วันนี้เป็นวันพักผ่อน”
“ผมจะทดลองทำมูสชาเขียวคู่กับลิ้นจี่น่ะ…แต่กับลิ้นจี่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี อาจจะเป็นแพนนาคอตต้า* หรืออย่างอื่นก็ได้ งั้นคุณ…”
จะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้ เวลาไม่ย้อนคืนมาอีกแล้ว มิสเตอร์เอ็มโอเอฟเชิญฉันชัดเจนขนาดนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่ฉันจะไม่สามารถปฏิเสธได้ “ฉันจะลงไปเปลี่ยนยูนิฟอร์มขึ้นมาทำพร้อมคุณเดี๋ยวนี้ค่ะ”
และนี่ก็ตรงกับสิ่งที่มิสเตอร์เอ็มโอเอฟคิดเอาไว้พอดิบพอดี “คุณไปดูให้ด้วยนะว่าห้องครัวชั้นล่างมีลิ้นจี่สดหรือเปล่า ถ้ามีก็เอาขึ้นมาด้วยเลย”
“รับทราบค่ะ!”
เสี่ยวเยี่ยนเองก็รู้งาน เธอยกชานมกลับไปที่ห้องข้างๆ เพื่อเตรียมของที่ต้องใช้ตอนตัวเองเข้าสอน
ก่อนหน้านี้ได้เป็นผู้ช่วยสอนของเชฟ แต่คราวนี้เป็นผู้ช่วยมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็จะยิ่งปล่อยให้ผิดพลาดไม่ได้
ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยสอนของเชฟ หน้าที่หลักๆ เวลาเข้าสอนคือต้องจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้มาไว้ให้พวกเขา ส่วนใหญ่ก็เป็นของพื้นฐานทั่วไปที่ใช้ประจำ ปกติแล้วฉันจะคิดรายการสิ่งของที่ต้องเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อเป็นผู้ช่วยมิสเตอร์เอ็มโอเอฟก็อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป เขาอาจต้องการความช่วยเหลือบางอย่างหรือของบางสิ่งที่ฉันไม่ได้เตรียมเอาไว้ก่อน
เคราะห์ดีที่การฟังภาษาฝรั่งเศสระหว่างทางไปทำงานไม่ได้สูญเปล่าเลยเสียทีเดียว ประกอบกับตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนจึงรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาคืออย่ากลัวพูดผิด ดังนั้นฉันจึงสื่อสารกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยพอฟังออกก็ไร้แรงกดดัน
ใช่แล้ว…ฉันเป็นมือสมัครเล่นสำหรับภาษาฝรั่งเศส อย่างน้อยๆ ก่อนที่ฉันจะเซ็นสัญญาเป็นผู้ช่วยสอน ภาษาฝรั่งเศสที่ฉันพูดคล่องที่สุดก็คือ ‘Je ne sais pas. (ฉันไม่รู้)’ ‘Je ne comprends pas. (ฉันไม่เข้าใจ)’ และ ‘Je ne parle pas le français. (ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็น)’ แค่สามประโยคนี้
ตอนเตรียมตัวก่อนจะออกจากประเทศก็เคยเรียนจำพวกรูปประโยค สัทศาสตร์ และการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศสอย่างง่ายๆ มาก่อน แต่ทั้งหมดก็อาศัยการเรียนด้วยตัวเอง แล้วทำไมถึงไม่เรียนให้เป็นก่อนค่อยมาน่ะเหรอ…เพราะไม่ได้คิดจะอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในระยะยาวน่ะสิ พอเรียนจบแล้วก็จะกลับบ้าน ฉันน่ะติดบ้านมากๆ เลยนะ
แล้วตอนนี้? ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะฉันได้พบกับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟไงล่ะ!
จำได้ว่าเมื่อก่อนนี้เคยอ่านบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ พวกเขาบอกไว้ว่าจากสถิติซึ่งไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์เราจะสามารถทำความรู้จักกับคนได้ประมาณสามพันคน และเมื่อตัดกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกันออกไปครึ่งหนึ่ง ก็จะเหลือกลุ่มคนในขอบเขตที่เราสามารถเลือกได้ ซึ่งคนเราจะสามารถตกหลุมรักเพศตรงข้ามกับตัวเองได้เป็นอัตราเจ็ดต่อหนึ่งพัน
ถ้าอย่างนั้นการได้ไปอยู่ที่บ้านเมืองอื่น อัตราที่จะชอบชาวต่างชาติจะมากแค่ไหนกัน
อัตราที่เราจะได้รู้จักกันคือสามพันต่อเจ็ดพันล้าน หรือก็คือสี่ต่อสิบล้าน
ต่อจากนั้นฉันเองก็ไม่อยากคำนวณแล้ว ฉันรู้เพียงว่าการจะได้เจอเขาไม่ใช่เรื่องง่ายบนโลกอันไร้ที่สิ้นสุด ถ้าหากปล่อยโอกาสนี้ไปแล้วกลับประเทศ ฉันจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ต่อฉันก็จะต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาของเขาให้เป็น และเพื่อที่จะได้ทำงานร่วมกับเขาได้ดียิ่งขึ้น ก่อนที่จะทำงานหนึ่งอาทิตย์ ฉันจึงท่องจำคำศัพท์ในห้องครัวเท่าที่สามารถหามาได้ รวมถึงชื่ออุปกรณ์ต่างๆ กับชื่อของวัตถุดิบที่ใช้บ่อยๆ จะได้ฟังเขารู้เรื่อง และฉันยังดาวน์โหลดไกด์การออกเสียงที่ถูกต้องจากดิกชันนารีเอาไว้ฟังทุกวัน
เมื่อเจอคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ฉันจะท่องจำในใจซ้ำๆ ลองสะกดคำแล้วเขียนออกมา รอจนกระทั่งมีเวลาแล้วค่อยเปิดพจนานุกรม จากนั้นก็จำไว้
ทำไมฉันถึงได้พยายามขนาดนี้น่ะเหรอ…ก็เพราะว่ารักแน่นอนอยู่แล้วล่ะ
“ซูอี้รีบมาเร็วเข้า!”
“มาแล้วค่ะ มาแล้ว!” จริงๆ เลยเชียว! พอต้องมาออกแรงขนาดนี้ก็ทำเอาอาการปวดท้องประจำเดือนกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย
ตอนที่ลงไปหยิบลิ้นจี่ที่ชั้นล่างฉันก็ฉวยโอกาสหยิบน้ำแร่ขึ้นมาด้วยสองขวด พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องเตรียมตัวก็ได้ยินมิสเตอร์เอ็มโอเอฟกำลังพูดกับเสี่ยวเยี่ยนว่า Fleur de sel อะไรสักอย่าง
“ซูอี้!” เสี่ยวเยี่ยนเห็นฉันก็ราวกับเห็นดวงดาวผู้ช่วยเหลืออย่างไรอย่างนั้น “เธอรู้หรือเปล่าว่าที่ไหนมี Fleur de sel” สายตาของเสี่ยวเยี่ยนล่องลอยไปหามิสเตอร์เอ็มโอเอฟ “เชฟบอกว่าอยากได้น่ะ”
“จะเอา Fleur de sel?”
มันก็อยู่ในตู้ไม่ใช่เหรอ วันศุกร์เมื่ออาทิตย์ก่อนมีของเข้ามานะ พอฉันเปิดตู้ได้ก็หยิบส่งให้มิสเตอร์เอ็มโอเอฟ เขารับมันไปแล้วมองเสี่ยวเยี่ยนด้วยสายตาเย็นชา “คุณไม่รู้เหรอว่ามันอยู่ในตู้น่ะ”
รอจนกระทั่งมิสเตอร์เอ็มโอเอฟเดินออกไปแล้ว ฉันก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ “เขากินชนวนระเบิดเข้าไปหรือไงนะ”
เสี่ยวเยี่ยนโบกไม้โบกมือให้ “เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นคนแปลกๆ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
ไม่สิ ฉันรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องสักอย่าง…ทำไมมิสเตอร์เอ็มโอเอฟจากปากของคนอื่นๆ กับมิสเตอร์เอ็มโอเอฟในสายตาของฉันไม่เหมือนกันเลยสักนิดล่ะ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.