X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปีศาจจิ้งจอกอย่ามาลวง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่สอง

ตั้งแต่สำนักจี้อวิ๋นก่อตั้งมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ได้ผ่านความพยายามของอาจารย์เจ้าสำนักมาถึงสามรุ่น พอถึงปีนี้ก็ครบรอบหนึ่งร้อยปีแห่งการก่อตั้งสำนักพอดิบพอดี แต่ละสำนักในยุทธภพล้วนมีเอกลักษณ์อันเป็นจุดเด่นที่น่าภาคภูมิใจของตนเอง บ้างก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านยาพิษ บ้างก็มีชื่อเสียงในด้านวรยุทธ์วิชาลับ บ้างก็เป็นที่ลือชื่อในด้านมีศิษย์ผู้สืบทอดเป็นชายหญิงรูปงามเลอโฉม

สรุปแล้วก็คือสำนักวิชาที่มีที่ยืนในยุทธภพล้วนแต่มีไม้เด็ดที่สามารถงัดออกมาแสดงให้ผู้อื่นดูได้ และใช้สิ่งนี้ดึงลูกศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนัก สร้างชื่อเสียงและบารมีให้แผ่ไพศาลขจรขจายได้

เมื่อปีนั้นก่อนที่เจ้าสำนักจี้อวิ๋นคนก่อนจะถึงแก่กรรม เขาได้กุมมือจิ้นเสวียนเอาไว้ด้วยน้ำตาเอ่อคลอ

‘ศิษย์รัก อาจารย์ขอมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ต่อไปก็ขอฝากให้เจ้าจงนำพาสำนักให้ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ด้วยเถิด’

จิ้นเสวียนในฐานะที่เป็นศิษย์เอกสายตรงของเจ้าสำนัก เมื่อมาถึงรุ่นเขาก็เป็นรุ่นอักษรคำว่า ‘จิ้น’ พอดี มีชื่อพยางค์เดียวว่า ‘เสวียน’ เป็นฉายาทางธรรมที่อาจารย์เจ้าสำนักตั้งให้แก่เขา

เมื่อจิ้นเสวียนได้ยินถ้อยคำของอาจารย์ ใบหน้าเขาหาได้มีความแตกตื่นยินดีไม่ แต่กลับแสดงสีหน้าหนักอึ้งออกมา

‘อาจารย์ ในสำนักเหลือแค่ข้าเพียงคนเดียว จะให้สร้างความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างไรกัน’

ที่เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมิใช่เพราะเขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น และมิใช่เพราะผ่านการเลือกเฟ้นอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่เป็นเพราะว่าไม่มีใครให้เลือกต่างหาก เนื่องจากอาจารย์มีเขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น พูดให้ไพเราะหน่อยก็คือมีผู้สืบทอดแค่เพียงสายเดียว พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือหาศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนักไม่ได้

‘เจ้าศิษย์โง่ ก็เพราะว่าเหลือเจ้าแค่คนเดียว เลยต้องให้เจ้านำพาสำนักให้ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างไรเล่า’

จิ้นเสวียนเอ่ยเตือนเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ‘อาจารย์ ข้าเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเองนะขอรับ’

ในยุทธภพมีเจ้าสำนักที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยหรือ

ทว่าสีหน้าของอาจารย์กลับเคร่งขรึมกว่าเขาเสียอีก ‘ศิษย์รัก เจ้าหาวิธีรับลูกศิษย์ที่อายุต่ำกว่าสิบเอ็ดขวบก็ได้นี่นา’

มีอาจารย์ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ด้วยหรือ

จิ้นเสวียนจดจ้องผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาคมปลาบ ‘อาจารย์ ท่านใกล้จะตายจริงๆ หรือขอรับ’ ไฉนถึงสามารถคิดวิธีการบัดซบที่แม้กระทั่งคนตายก็ยังคิดไม่ออกเช่นนี้ได้ อาจารย์คงจะจงใจหลอกลวงเขากระมัง

‘ศิษย์เนรคุณ! เจ้าถามคำถามชั่วช้าอันใดของเจ้า ถ้าหากอาจารย์ไม่ได้ใกล้จะตาย แล้วเหตุใดต้องมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้เจ้าด้วยเล่า’

‘เพราะว่าท่านกลัวสำนักจี้อวิ๋นจะล่มสลายในยุคของท่านมากกว่ากระมัง’

เข็มเดียวเห็นเลือด** จู่โจมตรงเข้าจุดสำคัญ

อาจารย์จ้องมองลูกศิษย์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ตัดสินใจทุ่มไพ่หมดหน้าตัก

‘ถูกต้อง อาจารย์กลัวว่าเจ้าจะหนีไปน่ะสิ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเปิดอกพูดกันให้ชัดๆ ไปเลย! เจ้าอยากจะหนีใช่หรือไม่’

แน่นอน สำนักที่ยากจนข้นแค้นกระทั่งไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ถ้าเขาไม่หนีแล้วจะให้เขาอยู่รอวันอดอยากตายหรือ

ตอนที่ตาเฒ่าลากตัวเขาเข้าสำนักเมื่อครั้งโน้นได้พูดกับเขาเสียสวยหรูว่าสำนักจี้อวิ๋นมีชื่อเสียงเลื่องระบือ ผู้คนได้ยินชื่อแล้วต่างก็ต้องหลีกห่างสามเซ่อ*** ปีศาจได้ยินแล้วก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อ

ต่อมาจิ้นเสวียนถึงรู้ว่าที่ผู้คนต่างหวาดกลัวสำนักจี้อวิ๋น เพราะสำนักนี้ขับไล่ผีสางตามจับปีศาจโดยเฉพาะ มนุษย์ต่างก็กลัวภูตผี หวาดกลัวปีศาจ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดอยากจะเข้าร่วมสำนักนี้

แน่นอนว่าภูตผีปีศาจย่อมหวาดกลัวสำนักจี้อวิ๋น ภูตผีปีศาจตนใดเห็นนักพรตแล้วไม่ตกใจกลัวจนรีบหนีอุตลุดบ้างเล่า

เมื่อปีนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้แปดขวบ แม้จะตัวเล็กแต่กลับมีปณิธานยิ่งใหญ่ ได้ยินแล้วก็เกิดความเลื่อมใส จึงถูกวาจาไพเราะสวยหรูไม่กี่ประโยคของอาจารย์หลอกเข้าสำนักด้วยประการฉะนี้

หลังจากเข้ามาอยู่ในสำนักแล้ว เขาก็สงสัยว่าเหตุใดถึงไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ เลยเล่า แต่อาจารย์กลับตอบอย่างหยิ่งยโสว่าผู้ที่จะเข้าสำนักนี้ได้ หากมิใช่ยอดอัจฉริยะผู้มีคุณสมบัติที่จะบำเพ็ญเพียรจนเป็นเซียนได้ก็จะไม่รับเข้าสำนักเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นคนที่พิเศษกว่าใครๆ

ใครเล่าไม่วาดหวังให้ตนเองเป็นอัจฉริยะผู้เก่งกาจไม่เป็นสองรองใคร จิ้นเสวียนน้อยได้ยินแล้วก็ปลาบปลื้มยินดียิ่ง ไม่หวาดระแวงสงสัยใดๆ กลับยิ่งคึกคักตื่นเต้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

แต่ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากเข้าสำนักมาได้สามปี ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว

สำนักจี้อวิ๋นยากจนข้นแค้นขึ้นทุกรุ่นๆ ไม่มีลูกศิษย์ก็ไม่มีรายได้ ไม่มีรายได้ก็เลี้ยงดูลูกศิษย์ไม่ได้ วงจรอุบาทว์เช่นนี้หากสำนักไม่ล่มสิถึงจะแปลก

แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้หนีก็โดนอาจารย์สังเกตเห็นแผนการของเขาเสียก่อน อาจารย์ถึงได้แกล้งป่วยหนักหลอกให้เขาตกปากรับคำ ดื้อรั้นดึงดันสุดชีวิตเพื่อจะให้เขาเอ่ยคำสาบานร้ายแรงว่าจะรับเผือกร้อนอย่างสำนักจี้อวิ๋นนี้ไป หาไม่แล้วขอให้นอนตายตาไม่หลับ

พูดกันตามจริงก็คือตาเฒ่าหน้าเหม็นนี่ไม่กล้าแบกความรับผิดชอบในฐานะที่ทำให้สำนักต้องล่มสลาย ต่อมาจิ้นเสวียนคาดเดาว่าแปดส่วนคงเป็นเพราะอาจารย์เองก็ถูกอาจารย์ของตนเองบังคับให้เอ่ยคำสาบานร้ายแรงออกมาเช่นกัน เพราะกลัวว่าหากผิดคำสาบานแล้วจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ จึงรีบร้อนยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา หลังจากนั้นก็บีบบังคับให้เขาเอ่ยคำสาบานออกมาเช่นเดียวกันกับธรรมเนียมรุ่นก่อน

ในตอนนั้นอาจารย์หาได้ใกล้สิ้นชีวิตไม่ ทว่าผ่านไปถึงสามปีกว่าจะเสียชีวิตลงอย่างช้าๆ

เมื่ออาจารย์ตายไปแล้ว จิ้นเสวียนกลับมิกล้าผิดคำสาบาน ถึงอย่างไรเขาก็ร่ำเรียนวิชาเหมาซานมา ยังคงเชื่อถือในพลังการพันธนาการผีสางเทวดาอยู่ จึงมิกล้าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาทิ้งสำนักเอาไว้แล้วหนีไป ถ้าเกิดอาจารย์ตายตาไม่หลับแล้วกลายเป็นผีมาหลอกหลอนเขาล่ะก็ เช่นนั้นเขาควรจะขับไล่ผีหรือไม่ขับไล่ผีดีเล่า

ถ้าไม่ขับไล่ผีก็จะผิดต่อตนเอง แต่ขับไล่ผีก็เป็นการทำผิดต่ออาจารย์ อย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรยิ่ง

สุดท้ายเขาก็ยอมรับชะตากรรมรับช่วงสืบทอดสำนักต่อ กลายเป็นเจ้าสำนักที่มีคนอยู่แค่เพียงคนเดียวในสำนัก ต่อมาตอนอายุสิบสี่ก็ได้รับลูกศิษย์เข้ามาสองคน

ศิษย์คนโตเป็นขอทานตัวน้อยอายุแปดขวบที่เขาใช้อาหารหลอกล่อมา แค่บอกว่า ‘มีอาหารให้กิน มีที่ให้อยู่’ ก็ซื้อวิญญาณเขาเอาไว้ได้แล้ว จากนั้นก็ตั้งฉายาทางธรรมให้เขาว่า ‘จิ้งเฟิง’

ศิษย์คนรองเป็นหัวขโมยตัวน้อยอายุเจ็ดขวบที่มาชนตนเองเข้า กล้าขโมยเงินเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม ค่าตอบแทนที่ว่าก็คือถ้าไม่ยอมมาเป็นลูกศิษย์ของเขา ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกของทางการ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คำตอบนั้นเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว ศิษย์คนรองเลือกอย่างแรก ต่อมาจึงได้ตั้งฉายาทางธรรมให้ว่า ‘จิ้งเหลย’

ในเมื่อทั้งสองขึ้นมาบนเรือโจรของเขาแล้วก็ต้องลงนามในสัญญาขายตัว ไม่จำเป็นต้องใช้แซ่เดียวกับเขาก็ได้ แต่ว่าจากนี้มีชีวิตอยู่ก็ถือเป็นลูกศิษย์ของเขา ตายไปก็เป็นลูกศิษย์ของเขา หยดโลหิตประทับตรา สัญญาสัมฤทธิผล!

จิ้นเสวียนหลอกมาแค่ลูกศิษย์ตัวน้อยสองคนนี้เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้คงจะเลี้ยงไม่ไหว

อาจารย์ของเขาพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง จิ้นเสวียนนั้นมีพรสวรรค์จริงๆ สมองของเขาฉลาดปราดเปรื่อง มีความคิดต่างๆ เยอะแยะ ไม่ว่าร่ำเรียนศาสตร์ใดก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง สามารถพลิกแพลงวิชาความรู้ได้มากมาย

หากจะนำพาให้สำนักเจริญรุ่งเรืองได้ อันดับแรกก็ต้องเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน ถ้าไม่มีเงินท้องก็หิว ทำเรื่องอันใดก็ไม่สำเร็จลุล่วง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเสาะหาวิธีหาเงินทองเสียก่อน

พอมีชื่อเสียงก็จะมีเงินทอง แม้นสำนักวิชาต้องคอยบริหารดูแล ทว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญยิ่งกว่า ต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังถึงจะดึงดูดให้ผู้คนถือเงินมามอบให้ถึงที่ได้

แปดปีผ่านไปเขาเติบโตจากเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีกลายเป็นบุรุษผู้องอาจสง่างามวัยยี่สิบสองปี

เขารูปลักษณ์หล่อเหลางามสง่า เข้าใจหลักการที่ว่าพระต้องมีทองหุ้ม คนต้องมีเสื้อผ้าเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ชุดคลุมตัวหลวมโพรกที่นักพรตสำนักอื่นสวมใส่ ที่สำนักของเขากลับเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวทะมัดทะแมง ช่วงบนแขนเสื้อแคบ สาบเสื้อทับไปทางซ้าย ผูกผ้าคาดเอว ทั้งคล่องแคล่วและดูอาจหาญ เมื่อเดินออกไปยืนข้างนอกดูมีลักษณะท่าทางเหมือนกับจอมยุทธ์ในยุทธภพมากทีเดียว

บนหลังของเขาสะพายกระบี่เอาไว้หนึ่งเล่ม ตั้งชื่อให้อย่างน่าเกรงขามว่า…กระบี่สยบมาร

เขาบอกกล่าวกับคนนอกว่ากระบี่สยบมารเล่มนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากปรมาจารย์แต่ละรุ่น สามารถสังหารปีศาจขจัดมารร้ายได้ มีพลังน่าครั่นคร้ามยำเกรง หากได้ออกจากฝักเมื่อใดเป็นอันต้องได้เห็นโลหิตทุกคราไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบี่เล่มนี้เขาซื้อมาจากช่างตีเหล็กที่ตลาดในราคาถูก จ่ายไปแค่เพียงห้าสิบอีแปะ เท่านั้น ชื่อกระบี่สยบมารเขาเป็นคนตั้งเอง เรื่องเล่าเขาก็เป็นคนแต่งเอง ไม่ได้มีเหตุผลอันใดเป็นพิเศษ ก็แค่เพื่อหลอกตบตาผู้อื่นเท่านั้น

เมื่อทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชื่อเสียงเรียงนามของนักพรตจิ้นเสวียนผู้หนุ่มแน่นอาจหาญก็ค่อยๆ ขจรขจายไปในหมู่ชาวบ้าน จนในที่สุดสำนักจี้อวิ๋นก็มีลูกศิษย์รุ่นใหม่

ในที่สุดจิ้นเสวียนก็มิใช่เจ้าสำนักที่มีลูกศิษย์แค่เพียงสองคนอีกต่อไป ลูกศิษย์ที่ถูกหลอกเข้าสำนักอย่างจิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยทั้งสองคนในที่สุดก็ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเช่นเดียวกัน บัดนี้สำนักจี้อวิ๋นถึงได้ดูเหมือนสำนักวิชากับเขาเสียที

แต่ทว่าในยามนี้เวลานี้หอผนึกมารซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหอคอยที่ใช้กักขังภูตผีปีศาจของสำนักจี้อวิ๋นกลับมีปีศาจจิ้งจอกสาวหลบหนีออกไปได้ หากเรื่องนี้แพร่ลือออกไป ไม่เพียงแต่จิ้นเสวียนจะชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้ สำนักจี้อวิ๋นซึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างยากลำบากก็จะถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลน ยิ่งไปกว่านั้นแผนการสร้างความรุ่งเรืองให้สำนักของเขาก็จะพังไม่เป็นท่าเช่นเดียวกัน

จิ้นเสวียนจ้องมองยันต์ที่ฉีกขาดบนประตูห้องขัง สีหน้าของเขาย่ำแย่เป็นอย่างมาก นางปีศาจหนีออกไปนานถึงสามวันแล้วกว่าพวกเขาจะรู้เรื่อง

สีหน้าแววตาของเขาอึมครึมขุ่นมัว ทั่วทั้งกายาปกคลุมด้วยไอหนาวยะเยือก จิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังก็มีสีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน พวกเขาติดตามอาจารย์มาตั้งแต่ตอนที่ยากจนข้นแค้นไม่มีแม้แต่ข้าวสารกรอกหม้อ หยาดเหงื่อแรงกายและความพยายามที่อาจารย์ทุ่มเทลงไปนั้นยากลำบากเพียงใด พวกเขารู้ดีแก่ใจที่สุด

หอผนึกมารสามารถยับยั้งพลังปีศาจได้ นอกจากนั้นบริเวณโดยรอบยังวางค่ายกลเก้าวงแหวนเอาไว้ ค่ายกลวางติดต่อกันด่านแล้วด่านเล่า ทุกด่านเชื่อมต่อกัน จนถึงบัดนี้ยังไม่มีปีศาจตนใดสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ นี่เป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกนับตั้งแต่อาจารย์เริ่มออกท่องยุทธภพมา แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับถูกปีศาจจิ้งจอกสาวตนหนึ่งทำลายลงได้

หลังจากจิ้นเสวียนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง

“เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของอาจารย์เอง อาจารย์ประเมินนางปีศาจตนนั้นต่ำไป คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทำลายค่ายกลได้ด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน”

จิ้งเฟิงเอ่ยแก้ไขด้วยความปรารถนาดี “ไม่ใช่ขอรับ อาจารย์ พวกปีศาจบอกว่านางปีศาจตนนั้นทำลายค่ายกลในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น”

จิ้งเหลยสังเกตเห็นว่าไอเย็นชาบนร่างของผู้เป็นอาจารย์เย็นเยียบลงอย่างฉับพลันหลายส่วน จึงเอ่ยร้องในใจว่าแย่แล้ว ก่อนจะเอ่ยรับต่อว่า “คำพูดของปีศาจถือเป็นจริงเป็นจังได้ที่ใดกัน คงจะมีคนเล่นงานใจกลางค่ายกล ทำลายค่ายกลจากข้างนอกเป็นแน่ นางปีศาจตนนั้นถึงสบโอกาสหนีไปได้” เจ้าโง่! อาจารย์เป็นคนวางค่ายกลด้วยตนเอง เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้พูดออกมาได้ที่ไหนกันเล่า

จิ้งเฟิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าหากค่ายกลสิ้นฤทธิ์ ป่านนี้พวกปีศาจคงหนีกันไปหมดแล้วสิ ไหนเลยจะอยู่รอให้พวกเรามาสอบสวนได้เล่า”

หางตาของจิ้งเหลยกระตุกเล็กน้อย มองศิษย์พี่ใหญ่เงียบๆ

จิ้นเสวียนพลันหัวเราะเสียงเย็น “หอผนึกมารคุมขังปีศาจเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ลือออกไป ต่อไปใครจะมาขอให้พวกเราไปปราบปีศาจอีกเล่า เกรงว่าคงต้องกินน้ำเย็นประทังหิวอีกแล้วกระมัง”

พอทั้งสองคนได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเฮือก จิ้งเฟิงรีบเปลี่ยนคำพูดในทันใด “อาจารย์ ศิษย์ว่าคงจะมีคนเล่นงานใจกลางค่ายกลเป็นแน่เลยขอรับ ถึงได้ทำให้ค่ายกลมีช่องโหว่ ทำให้นางปีศาจตนนั้นหนีไปได้ เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับแล้วดำเนินการตรวจสอบอย่างลับๆ ถึงจะถูกขอรับ”

ในที่สุดก็เริ่มมีสมองได้เสียที จิ้นเสวียนกับจิ้งเหลยต่างปรายตามองเขาด้วยความชื่นชม

จิ้นเสวียนพยักหน้า “ถูกต้องตามนั้น พวกเจ้าทั้งสองจงถ่ายทอดคำสั่งลงไป นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ห้ามลูกศิษย์ทุกคนเข้าใกล้หอผนึกมารเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งจะต้องถูกขับไล่ออกจากสำนัก”

“ขอรับ อาจารย์”

“จิ้งเหลย ตามข้ามา” จิ้นเสวียนทิ้งวาจาเอาไว้หนึ่งประโยคแล้วหันกายเดินออกจากหอคอยไป

จิ้งเหลยเดินตามไล่หลังเขาไปติดๆ

“อาจารย์ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเล่าขอรับ” จิ้งเหลยเอ่ยถามเสียงเบา ยามนี้รอบด้านไร้ผู้คน อาจารย์เรียกให้เขาตามมา แสดงว่าคงมีเรื่องจะกำชับสั่งเขาแน่นอน

“เชือกสะกดมารหายไป คงจะไล่ตามนางปีศาจตนนั้นไปแน่ๆ”

“อาจารย์มีวิธีแกะรอยตามนางปีศาจหรือขอรับ”

จิ้นเสวียนพลันยกยิ้ม ศิษย์คนรองหัวไวฉลาดเฉลียว มิได้หัวทื่อเหมือนกับศิษย์คนโต แค่ชี้แนะประโยคเดียวก็เข้าใจความนัยที่แอบแฝงอยู่ได้แล้ว

“ถูกต้อง ข้ามีวิธีจับตัวนางปีศาจกลับมา ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าคอยเฝ้าที่นี่เอาไว้ให้ดี”

จิ้งเหลยฉลาดปราดเปรื่อง จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีไหวพริบ มีอีกฝ่ายอยู่ที่นี่จิ้นเสวียนก็สามารถออกไปจากสำนักได้อย่างวางใจ คราวนี้หลังจากที่นางปีศาจหนีไป จิ้งเหลยก็กันลูกศิษย์คนอื่นๆ ออกไปตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องให้เขาออกปากสั่ง ไม่ปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไปภายนอก ปิดหูปิดตาผู้อื่นได้อย่างมิดชิด

“อาจารย์โปรดวางใจ เรื่องนี้หนักหนาใหญ่หลวง ศิษย์รู้จักหนักเบาดีขอรับ”

จิ้นเสวียนพยักหน้า “ไปเถิด”

พอจิ้งเหลยออกไปแล้ว จิ้นเสวียนก็เดินเข้าไปในเรือนตามลำพัง ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เอาไว้เปิดแท่นทำพิธีร่ายคาถาอาคมโดยเฉพาะ

เขาหยิบกล่องสีดำบนแท่นขึ้นมา จากนั้นเปิดฝาออก ด้านในมีเชือกอีกเส้นหนึ่งวางอยู่ เชือกเส้นนี้เป็นสีดำ ลักษณะแตกต่างจากเชือกปราบมารสีแดง มันเส้นใหญ่ยิ่งกว่าและมีความยาวมากกว่า

จิ้นเสวียนหยิบพู่กันออกมา แตะโลหิตสุนัขดำ วาดอักขระลงบนยันต์ เผาไฟจนไหม้เป็นเถ้าธุลี ครั้นแล้วก็โปรยเศษขี้เถ้าลงบนเชือกสีดำ จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามร้องหนึ่งคำรบ

“ลุก!”

เชือกสีดำซึ่งเดิมทีนอนอยู่ในกล่องยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

จิ้นเสวียนพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำลึก “ลุกขึ้นมา เลิกแกล้งตายได้แล้ว”

เชือกดำแน่นิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย ยังคงนอนตายอยู่ในกล่องสีดำต่อไป

จิ้นเสวียนฉุนจนหัวเราะออกมา อาวุธเวทของสำนักจี้อวิ๋นแต่ละชิ้นช่างนิสัยเอาแต่ใจเสียจริงๆ ในบรรดาอาวุธทั้งหลายก็มีแหสยบมารปากนี้นี่แลที่เอาแต่ใจตนเองเป็นที่สุด

“ไม่ลุกรึ ได้ ภรรยาเจ้าหนีตามคนอื่นไปแล้ว เจ้าไม่อยากไปตามกลับมาก็เรื่องของเจ้า”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกมา แหสีดำซึ่งเดิมนอนแน่นิ่งอยู่ก็ลุกพึ่บขึ้นมาราวกับฉีดเลือดไก่เข้าไป ลักษณะของมันดูคล้ายกับลำตัวงู กำลังขยับตัวยุกยิกด้วยความเกรี้ยวโกรธ

“นางหนีตามนางปีศาจไปแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นนางถูกนางปีศาจตัดสะบั้นก็รีบตามไปเร็วๆ เข้า!”

ปลายด้านบนของแหสยบมารพองขยายขึ้นอย่างฉับพลันจนดูเหมือนกับงูเห่า มันกระโดดลงจากแท่นพิธี จากนั้นก็พุ่งออกนอกประตูไป จิ้นเสวียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วทะยานร่างไล่ตามไป

 

เดิมทีเหยาเหนียงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ นางรูปโฉมงดงามเฉิดฉัน อุปนิสัยสุภาพนุ่มนวล ยามออกไปนอกจวนมักจะมีสาวใช้และแม่นมคอยติดตามไปด้วยเสมอ ในปีที่ได้รู้จักกับสามีนางเพิ่งจะอายุครบสิบห้าปีเต็มเท่านั้น ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยากจนคนหนึ่ง หนึ่งไม่มีตำแหน่งฐานะใดๆ สองไม่มีทรัพย์สินไม่มีอำนาจ เดิมทีทั้งสองคนไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องอันใดกันได้ แต่เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนครั้งหนึ่งทำให้ก่อเกิดวาสนาต่อกันขึ้นมา

เขากอดนางกระโดดลงจากรถม้าที่สูญเสียการควบคุม ร่วงลงพื้นกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ นอกจากตกใจเสียขวัญแล้ว บนร่างนางหาได้มีบาดแผลแม้แต่เศษเสี้ยว แต่ว่าเขานั้นมิใช่ เขาใช้กายเนื้อคุ้มกันนางเอาไว้ ก้อนหินแหลมคมและหนามตามพุ่มไม้ขีดข่วนผิวจนถลอกปอกเปิก ขูดจนทั่วสรรพางค์กายของเขาชุ่มโชกไปด้วยโลหิต บาดแผลเหวอะหวะ

เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่กลับไม่ปริปากพูดอันใดแม้แต่คำเดียว หลังจากแม่นมกับสาวใช้ประคองนางขึ้นมาแล้ว เขาก็หลบถอยไปอย่างเงียบๆ รีบไปตามอาชาที่หนีเตลิดกลับมาโดยไม่สนใจบาดแผลบนหลังของตนเอง

เพราะว่าเหตุการณ์ในครานี้นางจึงจดจำเขาได้นับตั้งแต่บัดนั้น เขาคือบุตรชายของลุงเหลียงที่เป็นคนเลี้ยงม้า

ในห้องโถงท่านพ่อเดือดดาลจนมิอาจระงับโทสะได้ ส่วนลุงเหลียงคนเลี้ยงม้านั้นคุกเข่าอยู่กับพื้น เดิมทีเด็กหนุ่มควรจะต้องถูกลงโทษ ทว่าเหยาเหนียงกลับร้องขอความเมตตาจากบิดาอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายก็ใช้คุณงามความชอบหักล้างกับความผิด จัดการเรื่องนี้จนจบไปได้ในที่สุด

นับตั้งแต่นั้นมาในสายตาของเด็กหนุ่มก็มีนางอยู่เช่นกัน ในใจของคนทั้งสองต่างก็มีเมล็ดพันธุ์แห่งรักค่อยๆ แตกหน่อขึ้นมา

พวกเขารักกัน แต่ว่าไม่เหมาะสมคู่ควรกัน นี่เป็นความรักที่ถูกลิขิตมิให้ได้รับคำอวยพรยินดีใดๆ

เหยาเหนียงไม่สนใจชาติกำเนิดของเขา นางเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับเขาโดยแบกรับความกดดันที่ถูกบิดาตัดพ่อตัดลูก นางยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เป็นสามีภรรยาธรรมดาๆ ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน อยู่ครองคู่ไม่ทอดทิ้งกันไปชั่วชีวิต

‘เหยาเหนียง เพื่อเจ้าแล้ว ข้าจะต้องประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงให้ได้ เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่อย่างร่ำรวยสุขสบายไปชั่วชีวิต ไม่ต้องทนถูกผู้คนหัวเราะเยาะอีก’ เหยาเหนียงถูกวงศ์ตระกูลตัดขาดเพราะมาแต่งงานกับเขา เขาเจ็บใจยิ่งนัก หมายมั่นว่าจะต้องสร้างอนาคตที่ดีเพื่อนาง ให้ผู้คนต่างต้องอิจฉาริษยาพวกเขา

‘ข้าไม่สนใจหรอกว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร ข้าสนใจแค่ท่านเท่านั้น’ เหยาเหนียงดูภายนอกเหมือนคนอ่อนแอเปราะบาง แต่จิตใจภายในนั้นมีความคิดเป็นของตนเอง แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่นางต้องการมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการนั้นมีมากกว่านางเสียอีก เขาไม่เพียงแต่ต้องการเหยาเหนียง แต่ยังต้องการลาภยศสรรเสริญอีกด้วย เมื่อมีประกาศรับสมัครทหารลงมาเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมกองทัพ

‘รอข้านะ’ เขาเอ่ยกับเหยาเหนียง ก่อนจะหันกายจากไปอย่างมุ่งมั่น ทุ่มเทจิตใจให้กับการสู้รบ

สองปีผ่านไปเหยาเหนียงเฝ้าตั้งตารอทุกทิวาราตรี ในที่สุดก็รอจนสามีกลับมา เขาไม่เพียงแต่นำพาเกียรติยศชื่อเสียงกลับมาเท่านั้น ในขณะเดียวกันเขาก็พาสตรีผู้หนึ่งกลับมาด้วย

สตรีผู้นั้นผิวพรรณขาวผ่องปานหิมะ รูปโฉมงามล้ำราวบุปผา อีกทั้งนางยังเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ มีตำแหน่งฐานะสูงศักดิ์

‘เหยาเหนียง นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้ามิอาจติดค้างนาง เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่’ สามีคว้าไหล่ของนางเอาไว้ สายตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นคาดหวัง ขอร้องให้นางเข้าอกเข้าใจ

เหยาเหนียงมิได้ร้องไห้โวยวาย นางเพียงแค่มองดูเขาอย่างนิ่งเงียบและเฉยชา ในทรวงอกปวดหนึบๆ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อยๆ สูญหายไป

ท่านติดค้างนางไม่ได้ แต่ว่าท่านกลับติดค้างข้าได้ ถ้อยคำประโยคนี้เหยาเหนียงหาได้เอ่ยออกมาไม่

วิธีตอบแทนบุญคุณมีตั้งมากมาย แต่สามีกลับเลือกที่จะตอบแทนด้วยร่างกาย เหยาเหนียงมิใช่คนโง่เขลา นางรู้ว่าที่สามีแต่งสตรีผู้นี้เข้ามาเป็นเพราะสตรีผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย สามารถช่วยให้เขาไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ ได้ นางยิ่งรู้ดีว่าสตรีเช่นนี้ไม่มีทางยอมเป็นแค่เพียงอี๋เหนียงอย่างแน่นอน

ครึ่งปีผ่านไปเหยาเหนียงหอบหนังสือหย่าเล่มหนึ่งออกมาจากบ้านสามี แล้วก็เริ่มใช้ชีวิตหลบหนีเอาตัวรอดมาตั้งแต่บัดนั้น

นางดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่จริงๆ แล้วมีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแกร่งกล้ายิ่ง มิใช่ว่าพอจากสามีมาแล้วนางก็จะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้

ในทางกลับกันพอมีประสบการณ์หลบหนีเอาตัวรอดมากขึ้น นางก็รู้จักเย็บถุงลับเอาไว้ในเสื้อในกางเกง พกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางเอาไว้ติดตัวตลอดเวลา

นางเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง เรียนรู้ที่จะต่อรองราคากับร้านหาบเร่ในตลาด เรียนรู้ว่าทุกคราเมื่อไปถึงที่ใดแล้วต้องสำรวจสถานการณ์เสียก่อนแล้วค่อยวางแผน เรียนรู้ที่จะไม่ทำตัวให้โดดเด่นสะดุดตาผู้อื่น รู้จักทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่น และยิ่งเรียนรู้ที่จะหาเงินทองมาเลี้ยงดูตัวเอง

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้นางถือว่าได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้เปิดโลกทัศน์ไม่น้อย หากมิใช่เพราะสตรีผู้นั้นส่งมือสังหารมาตามไล่ล่านางล่ะก็ ป่านนี้นางคงหาสถานที่ที่ไหนสักแห่งเพื่อตั้งตัวลงหลักปักฐานใช้ชีวิตอย่างมั่นคงไปนานแล้ว

หลังจากเหยาเหนียงหนีออกจากหอผนึกมารเข้ามาในตัวเมือง นางก็นำทองคำแผ่นในกระเป๋าลับไปแลกเป็นเศษเงิน จากนั้นเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ระหว่างทางมานี้ไม่มีใครไล่ตามมา นอกเสียแต่เชือกแดงจอมตื๊อที่เอาแต่ตามติดนางมาไม่หยุดเส้นนั้น ไล่ก็ไล่ไม่ไป ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย นางจึงต้องพามันมาด้วยกันอย่างจำใจ

หลังจากกินดื่มจนอิ่มเอม อาบน้ำจนสดชื่นในโรงเตี๊ยม นางก็นอนหลับอย่างเต็มอิ่มอีกหนึ่งตื่น เช้าวันถัดมาพอตื่นจากนิทรานางอ้าปากหาวหวอด ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ขณะที่กำลังจะขยี้ดวงตาอันง่วงงุนสะลึมสะลือ บุรุษที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็ส่งเสียงทักทายนางขึ้นมา…

“สุขสวัสดิ์ยามเช้า”

“สุขสะ…” เฮือก!

หนนี้นางตื่นตระหนกตกใจอย่างรุนแรง นางตกใจเสียจนอวัยวะห้ากลั่นหกกรองสั่นสะท้าน วิญญาณหวิดจะหลุดออกมาจากร่าง

จิ้นเสวียนนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะ กำลังจับเชือกสะกดมารเล่นอย่างสบายใจเฉิบ

“ข้าสงสัยยิ่งนัก…” เขาเอ่ยปากอย่างแช่มช้า เขานั่งขบคิดอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “เจ้าผูกมันเป็นเงื่อนมงคลได้อย่างไรกัน”

เชือกสะกดมารซึ่งถูกผูกเป็นเงื่อนมงคลแกว่งไกวไปมาอยู่ในมือเขา ลักษณะท่าทางราวกับโมโหเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่พอมันถูกมัดเป็นเงื่อนก็ไร้สิ้นความน่าเกรงขามใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังดูน่าชมชอบขึ้นมามากกว่า

เขาจับปีศาจมาเนิ่นนานหลายปียังไม่เคยเจอปีศาจตนใดที่มีฝีมือแกร่งกล้าเช่นนี้มาก่อน ถึงกับสยบเชือกสะกดมารจนอยู่ในสภาพนี้ได้

“แต่ว่าที่ข้าสงสัยที่สุดคือเจ้าเดินออกมาจากค่ายกลเก้าวงแหวนได้อย่างสบายๆ โดยที่มิได้ทำลายมันได้อย่างไรกัน” ในขณะที่เขาเอ่ยวาจานี้สายตาลุ่มลึกทว่ากดดันของเขาก็จดจ้องตรึงแน่นอยู่ที่นาง

หลังจากความแตกตื่นตกใจผ่านพ้นไป เหยาเหนียงก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่งอย่างช้าๆ ก่อนจะทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

“ท่านเป็นคนที่ตู้เฟิ่งส่งมาอย่างนั้นหรือ”

“ตู้เฟิ่งคือใครกัน”

“ท่านเป็นคนของจวนก่วงหลิง?”

“แล้วจวนก่วงหลิงมันที่ใดกัน”

เหยาเหนียงผงะอึ้งไป ในที่สุดก็สังเกตได้ว่าเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ท่านมาสังหารข้าหรือ”

“ถ้าเจ้าตามข้ากลับไปแต่โดยดี ข้าก็จะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้า ไม่ฆ่าเจ้าให้ตาย”

“กลับไปที่ใด”

“สำนักจี้อวิ๋น”

เหยาเหนียงตะลึงลานไปอีกครั้ง นางเคยได้ยินชื่อคำว่าสำนักจี้อวิ๋นมาก่อน “สำนักที่ไล่ผีส่งศพนั่นน่ะหรือ”

จิ้นเสวียนหางตากระตุกเล็กน้อย “ปราบปีศาจขจัดมารต่างหาก!”

เหยาเหนียงอึ้งงันไปเป็นครั้งที่สาม มิน่านางถึงรู้สึกว่ามีตรงไหนตงิดๆ บุรุษผู้นี้เพียงแค่จับตัวนาง แต่มิได้สังหารนาง ซ้ำยังใช้เชือกประหลาดๆ นี่มัดนางเอาไว้อีก นอกจากนั้นสถานที่ที่กักขังนางไว้ก็ยังเต็มไปด้วยของพิลึกพิลั่นอีกด้วย

เข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน ที่แท้เขาเป็นนักพรต มิใช่มือสังหาร

ในเมื่อมิได้มาสังหารนาง นางก็ไม่มีอันใดต้องกลัวแล้ว

นางขมวดคิ้วจ้องเขาเขม็ง “เหตุใดท่านไม่ไปปราบปีศาจขจัดมารเล่า มาหาข้าด้วยเหตุใดกัน”

จิ้นเสวียนได้ยินแล้วก็ไม่โกรธแต่กลับยิ้มออกมาแทน พานให้นางยิ่งรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม

“ข้านักพรตก็ต้องมาจับปีศาจน่ะสิ”

เหยาเหนียงพลันหน้าเปลี่ยนสี มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก “ปีศาจอยู่ที่ใดหรือ”

ทันใดนั้นร่างกายก็พลันถูกรัดแน่น ครั้นนางก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าแหสีดำที่โผล่มาจากที่ใดไม่รู้กำลังพันรัดนางไว้

“ลุก!”

จิ้นเสวียนเปล่งเสียงออกคำสั่ง แหสยบมารจึงกระชากตัวของเหยาเหนียงขึ้นมาพร้อมกัน

จิ้นเสวียนพินิจพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางดูพออกพอใจยิ่ง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง หันกายขวับแล้วเดินออกไปทันที

เหยาเหนียงสัมผัสได้ว่ามีพลังงานสายหนึ่งลากนางไปยังหน้าประตู ดึงตัวนางให้เดินไปข้างหน้า ไล่ตามฝีเท้าของชายหนุ่มไปเหมือนกับเชือกวิเศษเส้นนั้น

จิ้นเสวียนเดินออกมาจากห้องรับรอง ทอดมองลงไปจากเฉลียงทางเดินบนชั้นสอง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ลูกค้าแขกเหรื่อกำลังเกาะกลุ่มรวมตัวกัน ครั้นเขาปรากฏกายขึ้น สายตาของทุกคนที่ด้านล่างก็พากันมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

“ดูสิ นั่นนักพรตจิ้นเสวียน”

“ปรมาจารย์ปราบปีศาจผู้นั้น?”

“ถูกต้อง เป็นเขา ได้ยินว่าเขาเก่งกาจยิ่งนัก!”

ผู้คนพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบ สายตาที่มองดูเขามีทั้งเคารพ เลื่อมใส และสนใจใคร่รู้

หลงจู๊เร่งรีบเดินตรงเข้ามาต้อนรับขับสู้ ในใจนึกสงสัยว่าปรมาจารย์ผู้นี้เข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน แต่ก็ติดที่ความโด่งดังน่าเกรงขามของเขา หลงจู๊จึงมิกล้าทำตัวเสียมารยาท สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

“ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์มาเยือนโรงเตี๊ยมของผู้น้อย ต้องการจะกินอาหารหรือพักค้างคืนดีขอรับ”

เขาไม่ได้มากินอาหารและมิได้มาพักค้างแรมด้วย แต่มาปราบปีศาจต่างหาก หลงจู๊ผู้นี้ดูไม่ออกหรือไร

จิ้นเสวียนบุคลิกท่วงท่าสูงส่งประหนึ่งผู้วิเศษ เขาเหลือบตามองหลงจู๊แวบหนึ่ง จากนั้นจึงตอบกลับไปอย่างกระชับได้ใจความว่า “คนผู้นี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง จะต้องพากลับไปให้เร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก”

หลงจู๊เผยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย ชำเลืองมองไปด้านหลังของเขาครู่หนึ่ง

“เอ่อ…ด้านหลังไม่เห็นมีใครเลยนี่ขอรับ”

จิ้นเสวียนผงะอึ้งไปโดยพลัน ก่อนจะหันหน้ากลับไป ข้างหลังเขามีคนอยู่ที่ใดกัน นางหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งนานแล้ว?!

สมควรตายนัก!

จิ้นเสวียนไม่อยากจะเชื่อสายตา เพียงแค่ชั่วขณะเดียวนางปีศาจกลับหลบหนีไปได้ภายใต้เปลือกตาเขา!

สีหน้าเขาย่ำแย่ยิ่ง ครั้นเหลือบไปเห็นสายตาสืบเสาะของหลงจู๊ เขาก็พยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจเอาไว้ ตอนนี้มีสายตามากมายกำลังจับจ้องอยู่ ดังนั้นจะปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้เด็ดขาดว่าเจ้าสำนักจี้อวิ๋นผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาอุตส่าห์ลงแรงออกมาจับปีศาจด้วยตนเอง แต่กลับปล่อยให้ปีศาจหนีรอดไปได้

เขาผ่อนสีหน้าลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมา “ข้านักพรตออกมาตามหาคน คนผู้นี้ไม่ค่อยสบาย กลัวว่าออกเดินทางแล้วจะมีอันตราย ตอนนี้ยังนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง คาดว่าวันนี้จะค้างต่ออีกสักคืน”

หลงจู๊เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาในบัดดล ในเมื่อมีลูกค้ามาเยือนถึงที่ จึงรีบทักทายปราศรัยอย่างประจบเอาใจทันที

“ได้ขอรับ ได้ขอรับ! ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” หลงจู๊เอ่ยกำชับสั่งกับลูกจ้างที่อยู่ข้างหลังว่า “ยกชาใหม่ๆ ให้ท่านปรมาจารย์หนึ่งกา”

“ส่งไปที่ห้องเถิด” พอจิ้นเสวียนพูดจบก็หันกายเดินขึ้นชั้นสองไป กิริยาท่าทางสุขุมเยือกเย็น ไม่รีบร้อนไม่เนิบช้า เดินกลับเข้าไปในห้องพักรับรองบนชั้นสองอีกคราภายใต้สายตาจดจ้องของผู้คน

ครั้นประตูปิดลงสีหน้าแววตาของเขาก็พลันเย็นเยียบขึ้นมาทันใด หยิบเงื่อนมงคลตรงข้างเอว…ไม่สิ หยิบเชือกสะกดมารขึ้นมา ก่อนจะออกคำสั่งด้วยสุ้มเสียงโกรธเกรี้ยว “ไปตามตัวสามีไม่ได้เรื่องของเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: