บทที่ 5 ส่งไปให้หลายคน
เวินอี่ฝานยังจำได้คลับคล้ายคลับคลา
หลังจากที่เธอบอกชื่อตัวเองไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซังเหยียนลากเสียงคำว่า ‘อ๋อ’ ซะสูง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
ตอนนี้พอนึกย้อนไปเธอก็ยังนึกภาพถึงกลไกความคิดของเขาในตอนนั้นได้ คงจะเริ่มด้วยทำนองว่า…‘ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าชื่อเธอมันดูลูกผู้ชายสักแค่ไหนกัน’ แล้วตามมาด้วย…‘เวินอี่ฝาน?’ สุดท้าย…‘อ๋อ ก็แค่นี้เอง’
ท่าทางเขาอวดดีเหมือนกับว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้ ซึ่งก็แทบจะไม่ได้ต่างไปจากตอนนี้เลย
ทว่าอาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น เขาเลยไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่มน้อย หรืออาจเป็นเพียงเพราะว่าไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจึงกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้า เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนความเย็นชาก็แทบจะครอบงำอารมณ์เขาทั้งหมด
เธอเดินมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินพอดี
เวินอี่ฝานควานหาบัตรรถไฟใต้ดินในกระเป๋าพลางหยิบมือถือขึ้นมาดู พอเห็นข้อความของจงซือเฉียว เธอก็ตอบกลับไปไม่กี่ประโยค จากนั้นจู่ๆ เธอก็นึกได้ว่าในวีแชตของตัวเองคล้ายกับจะมีชื่อของซังเหยียนอยู่ด้วย
หลังจากจำนวนคนใช้วีแชตเพิ่มมากขึ้นเมื่อสองปีก่อน เวินอี่ฝานก็เลยลงทะเบียนใช้บ้าง ตอนนั้นเธอเลือกแอดรายชื่อเพื่อนโดยใช้แอพฯ รายชื่อผู้ติดต่อ ในมือถือของเธอยังเมมเบอร์ของซังเหยียนไว้ ดังนั้นจึงส่งคำขอเพิ่มเพื่อนไปให้เขาโดยอัตโนมัติ
ทางนั้นก็คงจะกดยอมรับในทันที
ตั้งแต่เพิ่มเพื่อนมาจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยคุยกันสักประโยค แต่เวินอี่ฝานคิดว่าตอนที่เขากดยอมรับเธอ เขาคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนนี้คือเธอ เพราะในตอนนั้นเธอเปลี่ยนเบอร์มือถือเป็นเบอร์ที่เมืองอี๋เหอ
พอนึกมาถึงจุดนี้เวินอี่ฝานก็คลิกไปที่รายชื่อผู้ติดต่อ สไลด์ไปจนถึงตัวอักษร ‘S’ หาจนเจอชื่อซังเหยียนแล้วคลิกรูปโพรไฟล์ของเขาเข้าไปดู เธอกวาดตามองโพสต์ที่ว่างเปล่าของเขาแล้วก็คลิกออกอย่างรวดเร็ว
ซังเหยียนไม่ได้โพสต์อะไรเลย
เขาคงจะบล็อกฉันไปแล้ว หรือไม่ก็ลบชื่อฉันออกไปนานแล้วมั้ง
หรือว่าคนที่ฉันเพิ่มเป็นเพื่อนคนนี้ที่จริงแล้วไม่ใช่ซังเหยียน
เขาคงจะเปลี่ยนเบอร์ไปตั้งนานแล้วล่ะ
เวินอี่ฝานลังเลอยู่กับการคลิกปุ่มดีลีตหลายวินาที แต่ก็ตัดสินใจไม่คลิกในที่สุด
ในเมื่อเธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ อีกทั้งเธอก็ไม่ได้มีนิสัยชอบลบชื่อใครออก
ให้เขาอยู่ในนั้นต่อไปอย่างเงียบสงบดูเหมือนว่าก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
พอเวินอี่ฝานกลับถึงห้อง เธอก็โทรหาเจ้าของบ้านก่อนเพื่อปรึกษาเรื่องที่จะเลิกเช่า
เจ้าของบ้านคนนี้ก็น่ารักมาก เพราะได้ยินเธอเล่าถึงเหตุการณ์นี้อยู่หลายครั้งก็เห็นใจเธอที่เป็นผู้หญิงใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกตามลำพัง จึงตอบตกลงโดยเร็ว บอกว่าหากเธออยากย้ายบ้านตอนนี้ก็จะคืนเงินมัดจำและค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าให้
เวินอี่ฝานเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ
เมื่อจัดการธุระเรื่องนี้เสร็จ เธอก็เปิดคอมพิวเตอร์ เริ่มท่องเว็บเช่าบ้าน
หลังจากกวาดตาดูไปได้รอบหนึ่งก็ยังหาห้องชุดที่เหมาะสมไม่ได้ เพราะการหาห้องชุดในเมืองหนานอู๋เป็นเรื่องยากมาก
ทั่วทั้งเมืองหนานอู๋ห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อม มีห้องนอนหนึ่งห้อง ห้องโถงหนึ่งห้อง อีกทั้งยังอยู่ใกล้ถนนซั่งอันหรือถนนจื้ออันจากที่เวินอี่ฝานเก็บข้อมูลมา ค่าเช่าที่ถูกที่สุดก็ราคาสามถึงสี่พันหยวนต่อเดือน
ดูจากสภาพการเงินของเธอในตอนนี้ก็นับว่าลำบากอยู่มากจริงๆ
เวินอี่ฝานรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง ก็เลยส่งวีแชตไปบอกจงซือเฉียว
เวินอี่ฝาน : เฉียวเฉียว ฉันคิดจะย้ายบ้านล่ะ
เวินอี่ฝาน : ช่วยฉันถามเพื่อนเธอหน่อยว่ายังมีห้องปล่อยเช่าที่เหมาะสมหรือเปล่า เธอค่อยถามเพื่อนตอนที่เธอว่างอะนะ
ผ่านไปเดี๋ยวเดียวจงซือเฉียวก็โทรศัพท์มาหา
เวินอี่ฝานรับสายในทันที
จงซือเฉียวแปลกใจ ถามเข้าเรื่องในทันใด “เกิดอะไรขึ้นอะ ทำไมอยู่ดีๆ จะย้ายล่ะ ตอนนั้นเธอบอกว่าจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปตั้งสามเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ฉันถูกเพื่อนข้างห้องรบกวนน่ะสิ” เวินอี่ฝานพูดสั้นกระชับแต่ครอบคลุม เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เพื่อนฟังอย่างสงบอีกรอบ “ฉันแจ้งตำรวจไปตอนเช้ามืดวันนี้ เอาเรื่องเขาจนถึงขั้นไปถึงสถานีตำรวจ ตอนนี้เขาถูกกักตัวในห้องขังห้าวัน ฉันกลัวว่าหลังจากเขาออกมาจะมาเอาคืน ยังไงก็ย้ายเร็วหน่อยจะดีกว่า”
“…” จงซือเฉียวอึ้งไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยตอบสนอง “เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย ทำไมเธอไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลยล่ะ”
“ฉันไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำอะไรที่มันเกินเลย ก็แค่มาเคาะประตูห้อง ตอนไปถึงสถานีตำรวจก็ตีสามตีสี่แล้ว อีกอย่างก็มีตำรวจอยู่ด้วย ปลอดภัยมากจ้า ไม่ต้องให้เธออุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่หรอก” เวินอี่ฝานเอ่ย “มันไกลมาก แล้วยังกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นอีก”
“ขอโทษด้วยนะ” จงซือเฉียวรู้สึกผิดมาก “ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าห้องนี้ดีมาก ค่าเช่าก็ถูกและอยู่ใกล้สถานีโทรทัศน์ด้วย…”
“เธอจะมาขอโทษขอโพยอะไร ถ้าไม่มีเธอคอยหาที่อยู่ให้ ไม่แน่ว่าป่านนี้ฉันอาจต้องไปนอนข้างถนนแล้วล่ะ” เวินอี่ฝานเผลอยิ้ม “แล้วฉันก็คิดว่าห้องนี้ดีมาก ถ้าไม่มีเพื่อนข้างห้องคนนี้ ฉันก็คิดจะเช่าอยู่ยาวเหมือนกันอะนะ”
“เฮ้อ แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อ ช่วงนี้จะมาอยู่บ้านฉันก่อนมั้ย”
“จะดีเหรอ พี่สะใภ้เธอเพิ่งคลอดลูกคนที่สองไม่ใช่หรือไง” เวินอี่ฝานเอ่ย “ถ้าฉันไป กลัวว่าจะทำให้พวกเขาอึดอัด แล้วก็กลัวว่าจะรบกวนพวกเขาด้วย ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ถ้าฉันหาห้องได้ก็จะย้ายเลยทันที”
ในบ้านของจงซือเฉียวมีสมาชิกครอบครัวอยู่หลายคน นอกจากพี่ชายที่แต่งงานแล้ว ยังมีน้องสาวอีกคนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย พวกเขายังอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่ ปกติแล้วหลังจากเลิกงานจงซือเฉียวยังต้องช่วยดูแลน้องสาวและหลานชายด้วย
จงซือเฉียวจึงไม่พูดอะไรอีก เพราะตระหนักถึงสภาพภายในบ้านตนเองดี เธอถอนใจออกมาอีกครั้ง
“ไม่งั้นเธอก็ไปอยู่บ้านแม่เธอสิ”
“ฉันยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าฉันกลับมาเมืองหนานอู๋แล้ว อีกอย่างบ้านแม่ก็ไม่มีที่ให้ฉันอยู่หรอก” เวินอี่ฝานไม่รอให้เพื่อนถามอีก เอ่ยเปลี่ยนเรื่องทันที “เอาอย่างนี้ละกัน ก่อนที่เพื่อนข้างห้องฉันจะออกจากโรงพัก ถ้าฉันยังหาห้องไม่ได้ก็คงจะไปค้างบ้านเธอสักสองสามวันนะ”
จงซือเฉียวจึงค่อยวางใจลง “ได้สิ”
เวินอี่ฝานเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเล่นๆ “พอมาคิดดูแล้ว ฉันยังนึกเสียใจอยู่นิดหน่อยที่ตัวเองวู่วามไปชั่วขณะ วันนี้ฉันเห็นขาของเพื่อนข้างห้องใหญ่เท่าถังน้ำแน่ะ ถ้าเอามีดมาฟันคงต้องฟันถึงครึ่งชั่วโมงกันเลยทีเดียว”
“…” จงซือเฉียวอดแขวะไม่ได้ “เธอพูดซะดูน่ากลัวเชียว”
“เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันเลยกลัวไง” เวินอี่ฝานพูดเนิบๆ “ถ้าเขาเกิดแค้นฉันขึ้นมา จากนั้นก็มาเอาคืน ไม่แน่อาจเป็นไปได้ว่า…”
“อะไร”
“ถึงฉันจะคว้าเลื่อยไฟฟ้ามา ก็ไม่แน่ว่าจะสู้เขาได้”
“…”
หลังจากวางสายเวินอี่ฝานก็เปิดเว็บเช่าบ้านอีกเว็บ กวาดตามองอยู่รอบหนึ่ง เธอมองดูอยู่ตั้งนานก็ยังหาห้องชุดที่เหมาะสมไม่ได้ เลยตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ
เรื่องย้ายบ้าน ถึงจะบอกว่ารีบก็รีบไม่ได้ซะด้วย ถ้าจะหาบ้านใหม่เหมือนกับหาหมอไปอย่างสะเปะสะปะเวลาป่วยหนักแล้วทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา นั่นก็ไม่มีความหมายเลยสักนิด กลับจะต้องเสียทั้งแรงกายและสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองโดยใช่เหตุ
เวินอี่ฝานไม่อยากรบกวนใคร แต่ถ้าหาห้องไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้ เธอก็จำต้องไปพักบ้านของจงซือเฉียวสักระยะหนึ่ง
วันต่อมาก็คือวันสิ้นปี
ที่ว่าการเมืองหนานอู๋ร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์หนานอู๋จัดการแสดงดอกไม้ไฟข้ามปี โดยแบ่งจุดชมวิวออกเป็นสองแห่ง แยกเป็นเขตรีสอร์ตไหวจู๋วันและจัตุรัสตงจิ่ว ค่าผ่านประตูฟรี แต่จะต้องจองสิทธิ์จับสลากออนไลน์ล่วงหน้าผ่านทางสถานีโทรทัศน์ มีเพียงประชาชนที่จองสิทธิ์ไว้และจับสลากได้เท่านั้นถึงจะได้เข้าร่วม
ก่อนหน้านี้ที่จงซือเฉียวจองสิทธิ์ไว้ เธอเลือกจุดชมวิวไหวจู๋วัน หลังจากที่จับสลากได้เธอก็ชวนเวินอี่ฝานไปด้วย
เวินอี่ฝานก็ไม่ได้ทิ้งสิทธิ์ของเธอไป
กิจกรรมนี้อนุมัติลงมาตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งเวินอี่ฝานก็ต้องทำโอทีตามปกติ เธอต้องไปรายงานสดยังสถานที่จริง แต่เป็นคนละที่กับจงซือเฉียว เพราะเธอต้องไปที่จัตุรัสตงจิ่ว
เวินอี่ฝานขอเบิกรถสัมภาษณ์จากสถานีโทรทัศน์
พวกเธอไปจัดเตรียมงานล่วงหน้า คนที่ขับรถพาเธอไปคือเฉียนเว่ยหวาซึ่งเป็นครูที่สอนงานเธอ นอกจากนั้นฟู่จ้วงก็ตามไปด้วย แล้วยังมีนักข่าวอาวุโสเจินอวี้ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่รายงานข่าวออกหน้ากล้อง
พอจัดเตรียมงานเสร็จเรียบร้อยก็ยังเหลือเวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าจะเริ่มการแสดงดอกไม้ไฟ
บริเวณจัตุรัสตงจิ่วมีทางเข้าออกอยู่สามทางคือ A B และ C ซึ่งแบ่งออกเป็นจุดชมวิวที่ไม่เชื่อมต่อกัน ผู้คนเข้ามาในงานไม่น้อยแล้ว ตอนนี้กำลังออกันอยู่ที่หน้าประตูตรวจตั๋วผ่านทางและบัตรประชาชนเพื่อทยอยเข้างาน
พวกของเวินอี่ฝานเป็นเพียงแค่นักข่าวกลุ่มหนึ่งที่สถานีโทรทัศน์แบ่งให้มาทำข่าวที่จัตุรัสตงจิ่วในบริเวณฝั่งทางเข้า A นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์และบริษัทหนังสือพิมพ์อื่นมาอยู่ไม่น้อย
พอหาจุดถ่ายทำที่เหมาะสมได้ เฉียนเว่ยหวาก็เริ่มตรวจอุปกรณ์ นี่ถือเป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ ผู้คนในสถานที่จริงมีจำนวนมากและวุ่นวาย ไม่มีการกำหนดที่นั่ง คนที่มาล้วนมีทุกอาชีพ ทุกเพศ และทุกวัย
พอพวกเขาเห็นกล้องถ่ายภาพโทรทัศน์ก็รู้สึกสนอกสนใจ เริ่มทยอยกันเข้ามาล้อมรอบ พูดคุยกับทางนักข่าวอย่างเจื้อยแจ้ว
จัตุรัสตงจิ่วแวดล้อมไปด้วยน้ำทะเลและท้องฟ้ายามค่ำคืน ไกลออกไปก็มีตึกสูงระฟ้าเหมือนเกล็ดปลาและฟันหวี มีแถบแสงหลากสีส่องสะท้อนมา ลมทะเลบวกกับอากาศที่เหน็บหนาวและความชื้นปะทะมายังใบหน้า ทะลวงมาตามรอยแยกของเสื้อผ้า ซึมเข้าไปถึงกระดูก
เวินอี่ฝานยังไม่ชินกับอากาศหนาวชื้นของเมืองหนานอู๋ บวกกับประจำเดือนที่เพิ่งมาในวันนี้ ตอนนี้เธอจึงชักเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว
หญิงสาวหยิบหน้ากากอนามัยจากในกระเป๋าออกมาสวมแล้วยังยืนรออีกสักครู่
เวินอี่ฝานมองเวลาแวบหนึ่ง คิดว่าจะขอตัวแวบไปเข้าห้องน้ำในขณะที่ยังว่างอยู่ เห็นเฉียนเว่ยหวากับเจินอวี้กำลังติดต่อกับทางห้องส่ง เธอจึงไม่ได้รบกวนพวกเขา เพียงแค่บอกกับฟู่จ้วงแทน
เธอเดินไปตามป้ายบอกทางประมาณหนึ่งร้อยเมตร ในที่สุดก็เห็นห้องน้ำสาธารณะ ด้านข้างยังมีศาลาเล็กๆ ที่เก่าทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง ด้านในมีคนนั่งอยู่เต็ม พวกเขาอาจจะมาพักผ่อนหรือรอคนเข้าห้องน้ำ
พื้นที่ภายในห้องน้ำไม่กว้างนัก แถวของผู้หญิงจึงเรียงยาวออกมานอกประตูประมาณห้าเมตร ทว่าทางห้องน้ำชายกลับไม่มีใครยืนรอตรงหน้าประตูเลย
ทั้งสองด้านช่างต่างกันลิบลับ
เวินอี่ฝานเดินไปเข้าแถวอย่างยอมรับในชะตากรรม
เธอหยิบมือถือมาสไลด์ดูเวยป๋อ* สักครู่ รอเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงสนทนาเบาๆ ดังมาจากที่ไม่ไกล เธอรู้สึกว่าเสียงคนหนึ่งในนั้นคุ้นหูอยู่บ้าง
เวินอี่ฝานก็มองตามไป
แสงไฟสีขาวตรงด้านนอกศาลานั้นบาดตาอยู่เล็กน้อย เธอค่อยๆ หรี่ตาลง ขณะเดียวกับที่เธอปรับโฟกัสสายตาให้ชัดเจนก็เห็นซังเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งพบหน้ากันเมื่อวาน
เธอรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา
เมื่อมองจากมุมนี้จะเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขา
ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าเฉยเมยกำลังยืนพิงศาลา เขาสวมเสื้อกันลมสีเขียวทหาร ทำให้ดูไหล่กว้างขายาว เขากำลังใช้กระดาษชำระเช็ดมือ ดูเหมือนว่าเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
ซังเหยียนค้อมตัวเล็กน้อย สนทนากับหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนตั่งสูงด้านข้าง
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าเหลือบมองเขา “เสร็จแล้วเหรอ”
ซังเหยียนตอบเพียง “อืม”
หญิงวัยกลางคนก็ยืนขึ้น “งั้นลูกรอจือจืออยู่ตรงนี้แล้วกัน น้องยังเข้าแถวอยู่ แม่จะไปหาพ่อก่อน”
“…” ซังเหยียนชะงักไปทันทีก่อนจะค่อยๆ ช้อนตาขึ้น “แค่เข้าห้องน้ำยังต้องมีคนรอด้วย?”
“ก็เพราะคนเยอะไม่ใช่หรือไง” หญิงวัยกลางคนเอ่ย “แล้วแม่ก็จะไปสวีตกับพ่อ ลูกจะตามไปทำไม”
“งั้นแม่เรียกผมมาทำไมคร้าบ” ซังเหยียนนึกโมโหจนหัวเราะออกมา “ให้ช่วยแม่ดูน้อง?”
หญิงวัยกลางคนตบไหล่เขาคล้ายกับปลื้มใจอยู่บ้าง “ถ้าลูกรู้ความอย่างนี้แต่แรก แม่ก็ไม่ต้องคิดหนัก ต้องคอยหาเหตุผลร้อยแปดมาเถียงกับลูกอย่างตอนนี้หรอก”
ซังเหยียนถึงกับพูดไม่ออก “…”
ก่อนจะเดินจากไปหญิงวัยกลางคนก็พูดอีกว่า “จริงด้วย ลูกก็ถือโอกาสคุยเรื่องความในใจกับน้องหน่อย แม่เห็นช่วงนี้น้องดูกดดันมาก ผอมลงไปเยอะเลย”
ซังเหยียนยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก “ให้ผมคุยเรื่องความในใจกับน้อง?”
หญิงวัยกลางคนถาม “อืม ทำไมเหรอ”
“ผมกับน้องมีช่องว่างที่ไม่ใช่แค่เรื่องอายุ” ซังเหยียนหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “…เพศก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมขอให้เป็นหน้าที่แม่แล้วกันนะคร้าบ”
เงียบงันกันไปสามวินาทีหญิงวัยกลางคนก็พูดมาอีกหนึ่งประโยค
“ตอนนี้แม่ไหว้วานอะไรลูกไม่ได้เลยใช่มั้ย”
“…”
พอหญิงวัยกลางคนจากไป เวินอี่ฝานถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเธอเองคอยฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ตลอด ตอนนี้แถวเลื่อนไปข้างหน้าแล้ว เธอจึงเบนสายตากลับมา เดินขึ้นหน้าไปไม่กี่ก้าว
เมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้เธอเลยมองไม่เห็นซังเหยียนที่อยู่ด้านหลัง
ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที จงซือเฉียวก็ส่งข้อความมาสามข้อความ
จงซือเฉียว : [รูปภาพ]
จงซือเฉียว : ฉันอึ้งไปเลย
จงซือเฉียว : ก่อนหน้านี้ฉันเคยส่งข้อความไปอวยพรหลายคนพอเป็นพิธี รวมถึงเขาด้วย แต่เขาไม่เคยตอบกลับมาเลย ฉันยังนึกว่าเขาเลิกใช้วีแชตนี้ไปแล้ว
เวินอี่ฝานคลิกรูปขยายออกดู
เป็นบันทึกการสนทนาของจงซือเฉียวกับซังเหยียน
ซังเหยียนส่งมาหนึ่งข้อความ
ดูเหมือนเป็นการส่งข้อความอวยพรให้หลายคน มีเพียงห้าพยางค์ ‘สุขสันต์วันปีใหม่’
พอเวินอี่ฝานเห็นแบบนี้เธอก็ออกจากห้องสนทนากับจงซือเฉียว กวาดตามองข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
ไม่เห็นมีข้อความจากซังเหยียนเลย แต่รูปโพรไฟล์ของซังเหยียนก็เหมือนกันนี่นา
ดังนั้นก็แปลว่าเธอไม่ได้เพิ่มเพื่อนผิดคน
งั้นทำไมฉันยังไม่ได้รับข้อความจากเขาล่ะ…
เขาคงไม่ได้จิตใจคับแคบถึงขนาดจงใจไม่ส่งข้อความมาให้ฉันหรอกมั้ง
หรือว่าเขาไม่ได้ส่งข้อความอวยพรไปให้หลายคน?
แต่เมื่อกี้ยังเห็นเขาโดนแม่สั่งสอนอยู่เลย ไม่เห็นเขาจะมีเวลาว่างมากถึงขนาดจะส่งทีละข้อความไปอวยพรคนอื่น
เวินอี่ฝานครุ่นคิดอยู่นาน เธอคิดว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คงเหมือนกับที่เธอคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้
เขาคงลบชื่อเธอออกไปแล้ว
พอคิดได้แบบนี้เธอก็เลยนึกไปถึงรายชื่อเพื่อนมากมายในวีแชตที่ปนกันยุ่ง เธอเลยคิดมาสักข้อความแล้วส่งไปให้หลายคน จะได้ถือโอกาสนี้ลบพวกเพื่อนที่บล็อกเธอไปแล้วด้วย
เธอเพิ่งส่งข้อความออกไปได้ไม่นานก็มีเพื่อนๆ ส่งกลับมาสิบกว่าข้อความในทันที
เวินอี่ฝานคลิกอ่านทุกข้อความจากล่างขึ้นบน บางครั้งก็ตอบกลับไปไม่กี่ประโยค
ขณะที่คลิกข้อความด้านบนสุด เวินอี่ฝานก็ถึงกับอึ้งไปทันที เพราะตกตะลึงที่พบว่าคนที่ตอบข้อความมาคือต้นเหตุที่ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้แล้วส่งข้อความอวยพรไปให้เพื่อนหลายคน เป็นคนที่เธอเพิ่งคิดเอาเองว่าเขาคงลบชื่อเธอออกไปนานแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขายังยืนอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่เมตร
เขาส่งมาเพียงเครื่องหมายเดียว
ซังเหยียน : ?
“…”
บทที่ 6 ฉันไม่ได้พูดกับนาย
เวินอี่ฝานเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน เธอแอบตื่นตระหนกตกใจอย่างประหลาด
ศพขยับ??? เอ่อ…จะตอบไปว่ายังไงดี
แล้วเขาดันมาทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้ มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย
หญิงสาวเบนสายตาไป จ้องตัวอักษรที่ตัวเองเพิ่งส่งออกไป
เวินอี่ฝาน : …สุขสันต์วันปีใหม่นะ ^_^
อยู่ดีๆ เวินอี่ฝานก็มีอาการเหมือนคนอ่านหนังสือไม่ออก
ข้อความที่เธอส่งออกไปน่าจะเป็นคำอวยพรนะ มันคงไม่ใช่คำหยาบคายอะไรมั้ง…แต่จะไม่คิดก็ไม่ได้ การที่เขาส่งเครื่องหมายคำถามมามันก็ดูน่าตกใจอยู่ แม้จะผ่านทางหน้าจอมือถือเวินอี่ฝานก็ยังตกตะลึง
ปฏิกิริยาแบบนี้เหมือนกับคนที่ไม่เคยติดต่อหรือไปมาหาสู่กัน
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ถึงจะเป็นข้อความอวยพรก็ตาม ก็จะจงใจส่งเครื่องหมายคำถามมาโจมตีสักหน่อย
เวินอี่ฝานลังเล กำลังจะพิมพ์ไปว่า ‘คุณรู้ว่าฉันคือ…’ แต่ยังไม่ทันพิมพ์เสร็จ หางตาเธอก็เหลือบเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านข้างตัวไป เธอช้อนตาขึ้นมองโดยอัตโนมัติก็พบว่าซังเหยียนเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาวซึ่งอยู่ด้านหน้าเธอ ห่างไปประมาณหนึ่งเมตร
เด็กสาวรูปร่างผอมบาง ก้มหน้าก้มตาคล้ายกำลังดูมือถือ
เธอนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างซังเหยียนและแม่ของเขา คนนี้ก็น่าจะเป็นน้องสาว
เวินอี่ฝานคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวเองจะจำเด็กสาวคนนี้ได้ เคยเจอกันตอนอยู่มัธยมปลาย เธอชื่อซังจื้อ อายุน้อยกว่าซังเหยียนหกเจ็ดปี ตอนนั้นเธอยังตัวเล็กอยู่ หน้าตาเหมือนตุ๊กตาเซรามิก เวลาที่เวินอี่ฝานพูดกับเธอยังต้องค้อมตัว
ตอนนี้เด็กสาวคนนั้นสูงพอๆ กับเวินอี่ฝานแล้ว
ซังเหยียนเอ่ยอย่างเซ็งๆ “ยายผีน้อย”
ซังจื้อเงยหน้าขึ้น “อะไร”
“ได้ยินว่าช่วงนี้กดดันมาก?”
ซังจื้อเอ่ยอย่างขอไปที “ก็ไม่นี่”
ซังเหยียนพูดต่อไปแบบไม่แคร์ใคร “เพราะจะสอบเข้ามหา’ลัย?”
เวินอี่ฝานยืนห่างจากพวกเขาโดยมีแค่คนเดียวที่กั้นกลาง
ด้วยความห่างเพียงแค่นี้การสนทนาของพวกเขาจึงดูคล้ายเหมือนมีโทรทัศน์มาวางอยู่ด้านหน้า เสียงนั้นชัดเจนมาก เธอไม่อยากจงใจจะแอบฟัง แต่เสียงก็ยังดังเข้าหูไม่ขาดสาย…
“บอกแล้วไงว่าไม่มี”
“จะคิดมากไปทำไมกัน” เหมือนว่าจะทำภารกิจที่แม่สั่งมาให้เสร็จๆ ไป ซังเหยียนเอ่ยอย่างเนิบนาบ “ดูอย่างพี่นะ ตอนนั้นไม่เห็นจะขยันเรียนเลย ยังสอบเข้ามหา’ลัยหนานอู๋ได้ แล้วอีกอย่างแม้ไอคิวเธอจะไม่สูง แต่บ้านเราก็มีเงินให้เธอเรียนซ้ำชั้นได้น่า”
“พี่ไม่ขยันเรียน? พี่นึกว่าหนูจำไม่ได้เหรอ” ซังจื้อเหลือบมองเขา น้ำเสียงเริ่มดูจะรำคาญ “วางใจเถอะ ตอนนั้นพี่พยายามแทบเป็นแทบตายกว่าจะสอบเข้ามหา’ลัยหนานอู๋ได้ ถึงหนูจะหลับตา หนูก็สอบเข้าได้อยู่แล้วน่า”
“…”
“ยังมีอีก” พอแขวะเรื่องนี้เสร็จ ซังจื้อก็พูดอีกว่า “วันนี้หนูได้ยินแม่พูดว่าพี่ลาออกจากงานแล้วเหรอ”
“…”
“คงไม่ใช่มั้ง”
ซังเหยียนหันหน้าไป “แล้วเธอมายุ่งอะไรด้วย”
ซังจื้อเริ่มพูดต่อไปแบบไม่สนใจใคร “พี่ถูกไล่ออกแล้วไม่กล้าบอกหรือเปล่า”
ซังเหยียนยังไม่ทันได้เอ่ยปากมือถือของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหลุบตาลงมอง จู่ๆ ก็พูดว่า “พี่พูดเธอไม่ฟัง งั้นก็ให้ ‘พี่ชายแท้ๆ’ ของเธอมาปลอบแล้วกัน”
“อะ…” อาจเห็นว่ามีโทรศัพท์เข้า ซังจื้อเลยเงียบเสียงโดยพลัน ผ่านไปไม่กี่วินาทีจึงกระซิบว่า “ไม่เอา”
หลังจากนั้นซังเหยียนก็ไม่พูดมากอีก เดินกลับไปรับสายตรงศาลา
แล้วเสียงก็เงียบลง
แม้จะมีบางประโยคที่เวินอี่ฝานฟังไม่เข้าใจ แต่เรื่องที่แอบฟังคนรู้จักสนทนากันในระยะประชิดแบบนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง โชคดีที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่จึงทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหลายส่วน
เวินอี่ฝานคลิกหน้าจอมือถือ
เธอสังเกตเห็นว่าที่เธอพิมพ์ในห้องแชตเมื่อครู่นี้ยังไม่ได้ส่งออกไป มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ก็เลยลบออกทั้งหมด เธออยากยืนยันโดยอ้อมๆ ว่าอีกฝ่ายจะรู้ไหมว่านี่เป็นวีแชตของเธอ พอครุ่นคิดไปมา ท้ายที่สุดก็เพียงตอบกลับไปด้วยความระมัดระวังว่า
เวินอี่ฝาน : ?
ซังเหยียนคงคุยโทรศัพท์อยู่ เลยยังไม่ได้ตอบในทันที
เวินอี่ฝานจ้องอยู่สองวินาที จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงปัญหาหนึ่ง
ถึงซังเหยียนจะบล็อกเธอไปแล้วจริงๆ แต่ในโมเมนต์ของเธอ เธอกลับไม่ได้บล็อกซังเหยียน
“…”
พอคิดได้แบบนี้แล้วเวินอี่ฝานก็คลิกเข้าไปในโมเมนต์ของตัวเองทันที
ในช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย โพสต์ล่าสุดในโมเมนต์ของเธอคือเมื่อสองเดือนก่อน ในตอนนั้นเธอยังอยู่ที่เมืองอี๋เหอ เหมือนว่าจะโพสต์ตอนที่ไปผับพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน
เวินอี่ฝานจ้องอยู่ครู่หนึ่ง
สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าคือรูปเซลฟี่กับเพื่อนร่วมงานที่เก่า
คนอื่นๆ ในรูปล้วนยิงฟันขาว ยิ้มเฉิดฉาย โพสท่าต่างๆ กันไป เวินอี่ฝานนั่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างซ้าย ผิวเธอขาวเนียนเสียจนเหมือนกับใส่แสงแฟลชมากเกินไป เพียงมองกล้องพลางยิ้มอ่อนๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
หน้าเธอชัดมาก…
แถวที่ต่ออยู่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปใกล้ห้องน้ำ ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนเดินออกมาพอดี จนถึงคิวตัวเองเวินอี่ฝานถึงได้สติกลับมา เก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินไปด้านใน
ผ่านไปสักครู่เธอก็เดินออกมา
อ่างล้างมืออยู่ตรงกลางระหว่างห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชาย ความกว้างประมาณสองสามเมตร ชายหญิงใช้ร่วมกันได้
เวินอี่ฝานเปิดก๊อกน้ำพลางรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้นตอนที่เจอกันในผับเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันน่ะสิ
เขาส่งข้อความอวยพรไปให้หลายคน แต่จงใจไม่ส่งมาให้ฉัน
พอเขาเห็นข้อความของฉัน ปฏิกิริยาแรกก็คงจะไม่พอใจ
เวินอี่ฝานเงยหน้าขึ้น มองกระจกที่อยู่ตรงหน้า เธอเห็นซังเหยียนยังยืนอยู่ที่เดิม ดูท่าจะคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว มือข้างหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ อีกมือหนึ่งเล่นมือถืออยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมตอบข้อความเธอสักที
ครู่ต่อมาเวินอี่ฝานเห็นซังจื้อเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เด็กสาวเดินมาที่อ่างล้างมือด้านข้าง ทว่าก๊อกน้ำอาจจะเสียถึงได้เปิดแล้วไม่มีน้ำไหลออกมา
เวินอี่ฝานเพิ่งใช้เสร็จจึงหลีกทางให้อีกฝ่าย “น้องใช้อันนี้แล้วกันจ้ะ”
ซังจื้อพูดขึ้นทันที “ขอบคุณค่ะ”
พอซังจื้อสบตาเข้ากับเวินอี่ฝานก็คล้ายว่าจะอึ้งไป
เวินอี่ฝานไม่ทันได้สังเกต เธอถอนสายตากลับทันทีพลางหยิบมือถือออกมาแล้วเดินออกไปด้านนอก คลิกที่หน้าจอซึ่งยังเป็นห้องแชตของเธอกับซังเหยียน
คราวนี้เขาไม่ได้ส่งเครื่องหมายใดๆ มาให้เธออีก
ในที่สุดเวินอี่ฝานก็เข้าใจถึงเหตุผล เธอเงียบไปสักครู่ อดที่จะพิมพ์ลงไปไม่ได้ว่า ‘ไม่งั้นพวกเราก็ลบวีแชตของกันและกันไปเลยเถอะ’ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเธอก็ลบข้อความอีก
เธอเหลือบเห็นเครื่องหมายคำถามที่เขาและเธอส่งให้กันก็ชะงักไป จู่ๆ ก็คิดว่าบันทึกการแชตนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินระเบิด* มีความหมายทำนองว่า ‘ไอ้โง่เอ๊ย ส่งเป็นแต่เครื่องหมายคำถามเรอะ’
ทว่าเธอไม่มีเจตนาจะชวนเขาทะเลาะ
เวินอี่ฝานไม่อยากเอะอะไปในวันสำคัญแบบนี้ เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางลงอย่างไร
เธอพิมพ์ไปคำหนึ่ง
เวินอี่ฝาน : งั้น
เธอจ้องไปที่เครื่องหมายคำถามที่ซังเหยียนส่งมา รวมกับคำว่า ‘สุขสันต์’ ที่ตัวเองส่งไป เธอพิมพ์ต่อไปอย่างลังเล
เวินอี่ฝาน : ไม่สุขสันต์ก็ได้นะ
“…”
หลังจากที่ส่งออกไปแล้ว เวินอี่ฝานก็เดินเข้าใกล้ซังเหยียนมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเพียงแค่เดินเฉียดไหล่กัน เธอก้มหน้าลงอย่างอึดอัด เหลือบมองเขาทางหางตา เหมือนว่าเขากำลังคลิกไปอ่านข้อความในวีแชต
ขนตายาวหนาเป็นแพของชายหนุ่มหลุบต่ำลง จ้องตัวอักษรบนหน้าจอ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนว่าเธอจะได้ยินเขาหัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ แผ่นหลังของเธอเย็นวาบในทันใด
หญิงสาวเดินต่อไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งอยู่ห่างกันแล้ว ความรู้สึกกินปูนร้อนท้องที่ไม่รู้มาจากไหนในที่สุดก็คลายลง เธอมองหน้าจออีกครั้ง เขายังไม่ได้ตอบข้อความเหมือนที่เธอคาดคิดไว้
เวินอี่ฝานถอนใจออกมา เธอไม่มีเวลาจะมาหมกมุ่นในเรื่องนี้อีก เธอรู้สึกว่าตัวเองไปห้องน้ำนานเกินไปหน่อย จึงไม่กล้าที่จะโอ้เอ้ เร่งฝีเท้าเดินไปยังจุดที่จะถ่ายทำ
บรรยากาศขณะนี้ไม่ได้ต่างจากตอนก่อนที่เธอไปห้องน้ำมากนัก
ภายในจัตุรัสมีการตกแต่งประดับประดา ต้นไม้และสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กถูกพันด้วยไฟประดับหลากสี สร้างบรรยากาศของการเฉลิมฉลองวันข้ามปี ผู้คนรอบตัวเดินไปเดินมาขวักไขว่ มีเจ้าหน้าที่ดูแลลำดับการเข้างาน เธอทอดสายตามองไปมีแต่ความรื่นเริงปีติยินดี
ขั้นตอนแรกของการเฉลิมฉลองนั้นถูกตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว รอเพียงให้วันปีใหม่มาถึง
เฉียนเว่ยหวาและเจินอวี้กำลังสนทนากันอยู่ ฟู่จ้วงยืนอยู่ข้างพวกเขาทั้งสอง กำลังฟังอย่างรู้หน้าที่ ไม่พูดอะไรสักคำ พอเห็นเวินอี่ฝานกลับมาเขาก็เดินมาหาอย่างระมัดระวังทันที
ฟู่จ้วงเป็นเด็กฝึกงานที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขากำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สี่ ชื่อของเขากับสภาพความเป็นจริงไม่สอดคล้องกันเลย เขามีรูปร่างผอมแห้ง ไม่สูงมาก ดูราวกับต้นไผ่ หน้าตาเหมือนเด็กน้อยแต่กลับพูดจาเหมือนประทัดเสียงต่ำ
“พี่ ถ้าพี่มาช้ากว่านี้อีกก้าว…”
เวินอี่ฝานยังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “มีอะไรเหรอ”
ฟู่จ้วงเอ่ยอย่างหนักใจ “พี่อาจจะเห็นผมเป็นศพแข็งตายไปแล้วน่ะสิครับ”
“…” เวินอี่ฝานพยักหน้า “งั้นขอบคุณนะ พี่ยังเลือกหัวข้อไม่ได้เลยอะ”
“ในสายตาพี่ ผมเป็นแค่ที่หาหัวข้อเหรอ!” ฟู่จ้วงโอดครวญ เขาหนาวจนตัวสั่น แต่น้ำเสียงกลับมีพลัง “ผมโคตรหนาวเลย ลมพัดจนผมน้ำมูกไหลแล้วเนี่ย”
เวินอี่ฝานมองไปทางเขา
นักศึกษาชายในวัยนี้ส่วนมากจะเอาแต่รักษาภาพลักษณ์ ละเลยเรื่องสุขภาพ ฟู่จ้วงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาสวมเพียงเสื้อคลุมยีน มองดูแล้วไม่สามารถกันหนาวได้เลย ริมฝีปากเขาคล้ำจนจะม่วงอยู่แล้ว และเขาก็ยังผอมแห้ง เหมือนกับว่าในวินาทีต่อมาจะถูกลมทะเลพัดจนล้มได้
“อยู่ริมทะเลก็ต้องหนาวอยู่แล้วล่ะ วันหลังออกมาสัมภาษณ์ข้างนอกใส่เสื้อให้หนากว่านี้หน่อยนะ” เวินอี่ฝานเอ่ยพลางหยิบถุงร้อนให้เขา “เอาไปซุกมือจะได้อุ่น”
“เฮ้ย ไม่ต้องหรอกครับ” ฟู่จ้วงไม่เคยคิดที่จะใช้ของของเธอ “พี่เก็บไว้เองเถอะ พี่เป็นผู้หญิง คงหนาวกว่าผมแน่”
“ในกระเป๋าพี่มีสองอันจ้ะ” เวินอี่ฝานเอ่ย “พอดีอันนี้ไม่มีที่วาง”
“…”
คราวนี้ฟู่จ้วงจึงรับมาอย่างไม่รู้สึกเป็นภาระสักนิด แล้วก็ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิพี่ ก่อนหน้านี้พี่เคยมางานดอกไม้ไฟมั้ยครับ”
เวินอี่ฝานตอบอืม “แต่ยังไม่เคยมางานใหญ่ขนาดนี้นะ”
“ขอพรกับดอกไม้ไฟแบบนี้จะได้ผลเหรอครับ”
“ไม่ได้หรอก”
“…” ฟู่จ้วงพึมพำ “ผมอยากขอพรอยู่ข้อเดียว ปีหน้าขอให้ผมได้แฟนเถอะครับ”
เวินอี่ฝานขำ “นั่นยิ่งจะไม่ได้ผลเข้าไปใหญ่”
“พี่อี่ฝาน ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้ล่ะครับ!” ฟู่จ้วงตะโกนลั่น “งั้นผมจะขอพรให้สูงขึ้นอีกสักห้าเซ็นต์โอเคมั้ยครับ! ผู้ชายอายุยี่สิบแล้วจะสูงได้อีกมั้ย…”
คราวนี้เวินอี่ฝานไม่โจมตีเขา
พอพูดมาถึงตรงนี้จู่ๆ ฟู่จ้วงก็ชี้ไปทางหนึ่ง “เนี่ย! สูงประมาณนั้นแหละครับ ความฝันของผมเลย เตี้ยกว่าเขาสักครึ่งหัว ผมก็พอใจมากแล้วล่ะ”
เวินอี่ฝานมองไปแล้วก็เงียบงันโดยพลัน
มันบังเอิญมากไปแล้ว คนที่ฟู่จ้วงชี้ก็คือซังเหยียน
ไม่รู้ควรจะกล่าวว่าพวกเธอมีพรหมลิขิตต่อกันหรือเปล่า หรือควรกล่าวว่าวิญญาณยังไม่ไปผุดไปเกิดสักที
เขายืนพิงราวกั้นซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณสิบเมตร เสื้อคลุมถูกลมพัดจนปลิว คางเชิดขึ้นเล็กน้อย กำลังเล่นมือถืออย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
ซังจื้อที่อยู่กับเขาเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว
“รูปร่างอย่างเขาเป็นรูปร่างในฝันของผมเลยนะครับ” ฟู่จ้วงถอนใจ “ขอสวรรค์และดอกไม้ไฟจงเป็นพยาน วันนี้ผมจะย้ายหัวไปไว้บนตัวเขาได้มั้ย”
เวินอี่ฝานเบนสายตากลับมา เอ่ยอย่างขำๆ “ทำไมเธอถึงไม่ขโมยหน้าตาของเขามาด้วยล่ะ”
เห็นชัดว่าฟู่จ้วงก็คิดแบบนี้ ถึงได้เกิดความหวั่นไหวในคำพูด “เอามาหมดทั้งสองอย่างจะดูไม่ค่อยดีหรือเปล่าครับ”
“…”
จู่ๆ เฉียนเว่ยหวาก็เรียกพวกเธอ
เขาคงจะรู้สึกได้ว่าละเลยพวกเธอมานานเกินไป เริ่มรู้สึกผิดอยู่บ้างจึงเรียกพวกเธอไป จะได้แสดงออกว่าทุ่มเทกับการทำงาน สอนพวกเธอว่าเวลามาถ่ายทอดสดนอกสถานีจะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป
เวลาข้ามปีใกล้เข้ามา บรรยากาศยิ่งครึกครื้นมากขึ้น แสงไฟ LED แสดงตัวเลขนับถอยหลังอยู่บนตึกสูง ผู้คนรอบด้านส่งเสียงดังโหวกเหวก ในนาทีสุดท้ายเริ่มมีคนตะโกนนับถอยหลังตามไปด้วย
“…ห้าสิบเก้า ห้าสิบแปด ห้าสิบเจ็ด”
…
“…ห้า สี่ สาม”
“…สอง!”
“…หนึ่ง!”
ขณะตะโกนตัวเลขสุดท้าย ดอกไม้ไฟมากมายนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นสู่ฟากฟ้า เส้นสายหลากสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี จากนั้นก็ระเบิดออกไปยังตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง แสงหลากสีกระจายตัวกลายเป็นดอกไม้ในแบบต่างๆ เบ่งบานซ้อนทับกันขึ้นไป
ผู้คนที่อยู่ในงานต่างยกมือถือขึ้นบันทึกภาพ หาตำแหน่งถ่ายรูปที่ตัวเองดูสวยที่สุด บันทึกภาพบรรยากาศเก็บเอาไว้
พอเฉียนเว่ยหวาไม่มีอะไรจะสั่งเธอแล้ว เวินอี่ฝานก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปสักสองสามรูป
เธอถูกคนที่อยู่ด้านหน้าบังจึงต้องขยับไปถ่ายมุมอื่น
การแสดงดอกไม้ไฟกินเวลาต่อกันสิบกว่านาที
ในขณะที่เธอไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวินอี่ฝานก็ถูกผู้คนเบียดออกมาด้านนอก มาถึงตรงราวกั้นเขตเข้างาน เธอสังเกตเห็นว่างานดอกไม้ไฟใกล้จบลงแล้ว จึงคิดที่จะเดินกลับไปหาเฉียนเว่ยหวา แต่จู่ๆ ก็โดนคนที่เดินผ่านมาชนเข้า
เวินอี่ฝานเซไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่ จากนั้นก็ชนเข้ากับอีกคนหนึ่ง
เธอผงะถอยหลังไปในทันใด เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ย “ขอโทษค่ะ”
พอเอ่ยปากออกไปแล้วเธอถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนที่เธอชนคือซังเหยียน เขากำลังหลุบตาลงมองเธอ เธอเลยเห็นหน้าตาเขาไม่ชัดนัก ท่าทางเขาคล้ายกำลังคุยโทรศัพท์กับคนอื่นอยู่
“…อืม กำลังจะกลับแล้ว”
ด้วยมารยาทเวินอี่ฝานจึงต้องเอ่ยขอโทษอีกครั้ง
ซังเหยียนปรายตามองเธอชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า เหมือนกับจะบอกว่าเขาได้ยินแล้ว
ในขณะที่เวินอี่ฝานกำลังจะเดินกลับไปก็แอบได้ยินเสียงเขาพูดกับคนปลายสาย
“สุขสันต์วันปีใหม่”
เมื่อเวินอี่ฝานกลับไปหาเฉียนเว่ยหวาก็คลำใบหน้าตัวเอง ถึงมารู้ตัวว่าเธอยังสวมหน้ากากอนามัยอยู่ เธอชะงักไปโดยพลัน อารมณ์ก็ผ่อนคลายลง
ฉันปิดบังใบหน้าอยู่ เขาคงจำไม่ได้…หรอกมั้ง
อีกฝั่งหนึ่ง
เฉียนเฟยผู้เป็นทั้งเพื่อนและรูมเมตของซังเหยียนสมัยเรียนมหา’ลัยที่อยู่ปลายสายกำลังพูดไปเรื่อยก็ถูกซังเหยียนขัดจังหวะถึงสองครั้ง จึงเงียบเสียงไปหลายวินาที
“อ๋อ ฉันไม่ห่วงหรอกว่านายจะกลับบ้านเมื่อไหร่ แต่ก็ขอบคุณนะเพื่อน นายก็สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกัน”
ซังเหยียนเลิกคิ้ว “ขอบคุณอะไร”
“นายไม่ได้อวยพรฉันเหรอ”
“อย่าคิดเอาเองได้ปะ” ซังเหยียนลากเสียงสุดท้าย เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ฉันไม่ได้พูดกับนาย”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.