บทที่ 65 เธออยากแตะส่วนไหนของฉัน
เวินอี่ฝานเคยโพล่งฉายา ‘ตัวท็อป’ ออกมาโดยไม่ทันคิด ยังนึกว่าซังเหยียนจะโมโห ในเมื่อคำนี้แฝงไปด้วยความหมายไม่ค่อยดี แต่เกินความคาดหมาย ในทางกลับกันเขาทำท่าคล้ายจะพอใจ
ทุกครั้งที่เขาอยู่ต่อหน้าเธอจะสวมบทตัวท็อปได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่เอ่ยคำพูดนี้ ซังเหยียนจับมือเธอเลื่อนลงไปด้านล่าง น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“เธอจ้องฉันตาเป็นมันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้เธอก็พยายามคิดหาทุกวิถีทางที่จะเอาเปรียบฉัน…”
“…”
“ตอนนี้เธอมีอำนาจอยู่ในกำมือแล้วนี่” ซังเหยียนจูบริมฝีปากเธออีกครั้ง น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงไปด้วยความเอ้อระเหยและอ้ำอึ้งฟังไม่ชัด “แต่ทำไมเธอถึงเก็บกดแรงปรารถนาไว้ล่ะ”
ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจฟังที่เขาพูดหรือเปล่า
เวินอี่ฝานเกี่ยวคอเขาแน่นขึ้น เธอเผยอปากโดยไม่รู้ตัว อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ครู่ต่อมาริมฝีปากและลิ้นของเขาก็เคลื่อนเข้าไป ครั้งนี้อ่อนโยนลงบ้าง เขาพรมจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกำลังยั่วเย้า แต่ก็ดูคล้ายกำลังล่อลวง
ค่อยๆ ไหลลื่นลงไปด้านล่าง
ไปตามคางและลำคอของเธอ ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ที่ไหปลาร้า ทิ้งคราบน้ำอันแวววาวและน่าหลงใหลไว้ ตามมาด้วยรอยแดงคล้ายสีกุหลาบจุดแล้วจุดเล่า
เวินอี่ฝานค่อยๆ ใจลอยไป เธอเงยหน้าขึ้น นึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น เธอเพียงแต่อยากเข้าไปใกล้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง คิดเพียงจะทำตามความต้องการของเขา เธอหวังว่าความกระหายจะช่วยลบล้างความวุ่นวายใจของตัวเองให้หมดไปได้
ซังเหยียนช้อนตาขึ้นสบตาเธออีกครั้ง จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองถูกเขานำพาไปหยุดอยู่ที่หนึ่ง ดวงตาเขาดำขลับ ยกมุมปากขึ้น ไม่ปิดบังแรงปรารถนาในน้ำเสียงสักนิด
“เธออยากแตะส่วนไหนของฉัน”
“…”
บางส่วนของเขาก็แข็งตัวชูชันขึ้นมาเล็กน้อย
“ตรงนี้?”
เวินอี่ฝานจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าคล้ายจะแจ่มชัดแต่ก็คล้ายจะงุนงง ท่วงท่าของเธอเหมือนจะไม่ได้อยู่ในเรื่องกามารมณ์เลยสักนิด เหมือนว่าเพียงอยากจะแสวงหาความสงบมากกว่า เธอเอ่ยเบาๆ
“ได้ทั้งนั้น”
ซังเหยียนชะงักไปเล็กน้อย
เธอจูบไปที่ลูกกระเดือกของเขา คล้ายว่าพร้อมใจจะมอบกายให้ “ได้ทั้งนั้น”
“…”
ซังเหยียนหลุบตาลงจ้องท่าทางเธอ ราวกับว่าในที่สุดก็สังเกตได้ว่าเธอดูแปลกๆ ไป ลมหายใจของเขายังคงร้อนรุ่มเหลือเกิน แต่กลับไม่รุกต่อ หยุดชะงักลงในทันใด
เวินอี่ฝานจูบลงไปเรื่อยๆ จากลูกกระเดือก
ไม่รอให้เธอทำอย่างอื่นต่อ ซังเหยียนก็ล็อกศีรษะเธอไว้แล้วกดลงไปด้านหลังเบาๆ เพื่อให้เธอเงยหน้าขึ้น ทั้งสองคนสบตากัน
เวินอี่ฝานจ้องเขาทื่อๆ “มีอะไรเหรอ”
“เวินซวงเจี้ยง นี่มันเกิดอะไรขึ้น” แรงปรารถนาในดวงตาเขายังไม่จางหายไป ซังเหยียนลูบมุมปากเธอเบาๆ เอ่ยไปเรื่อยเปื่อย “เล่าให้ฉันฟังสิ”
เวินอี่ฝานไม่ตอบ พึมพำว่า “ไม่ไปต่อเหรอ”
“เธอคิดถึงแต่เรื่องนี้จริงๆ เหรอ แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอไม่มีสมาธิเลยอะ” ซังเหยียนสังเกตสีหน้าเธอ คล้ายจะถอนใจออกมา เริ่มถามว่า “อยู่ดีๆ ทำไมออกมาจากห้อง”
เวินอี่ฝานค่อยๆ ดึงสติกลับมา เธอเม้มปากน้อยๆ ยังหายใจกระชั้นอยู่บ้าง “นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
ซังเหยียนเอ่ยถึงเรื่องเชอซิงเต๋ออีกครั้ง “เพราะเรื่องที่เธอเพิ่งพูดถึง?”
เวินอี่ฝานไม่พูดไม่จา คล้ายว่าจะยอมรับ
“…” ซังเหยียนยื่นมือไปหยิกแก้มเธอแรงอยู่บ้าง “ฉันบอกเธอแล้วไง เรื่องแค่นี้เอง ถ้าเธอไม่พูด ฉันก็เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”
พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เวินอี่ฝานก็จ้องหน้าเขา
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”
เวินอี่ฝานส่ายหน้า
“เวินซวงเจี้ยง ช่วงนี้เธอละเมอ…” คล้ายว่าในที่สุดก็อดไม่ไหว ซังเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างเนิบช้า “บ่อยขึ้นนะ”
เวินอี่ฝานก้มหน้าลง เอ่ยอย่างสงบ “อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันนอนน้อย”
“ถ้าเธอรู้สึกเหนื่อย ลางานสักสองสามวันสิ” ซังเหยียนเอ่ยถาม “ได้มั้ย”
“…อืม”
“อีกสักระยะนึง ฉันอาจจะต้องไปเมืองอี๋เหอนะ น้องสาวฉันไม่กลับมาตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อน พ่อแม่ฉันก็ไม่วางใจ เลยให้ฉันไปเยี่ยมน้องหน่อย” ซังเหยียนก้มหน้าลงงับติ่งหูของเธอ “ถ้าเธอเป็นอย่างนี้ ฉันจะไปได้ยังไง”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” เวินอี่ฝานรู้สึกคันๆ เลยหดคอมาหน่อย “นายจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“ปลายเดือนกรกฎามั้ง”
“ไปนานแค่ไหนอะ”
“หนึ่งอาทิตย์” ซังเหยียนยังคงจ้องหน้าเธอ เอ่ยเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรก็อาจจะกลับมาก่อน”
“นายไปอยู่เป็นเพื่อนจือจือก็ดีเหมือนกัน เธออยู่ที่โน่นคนเดียวก็น่าเป็นห่วงจริงๆ แหละ นายก็อย่าไปทะเลาะกับเธอล่ะ” ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็เหมือนว่าท่าทางของเวินอี่ฝานจะกลับไปเป็นปกติ “งั้นพอถึงเวลานั้นฉันจะช่วยดูโรงแรมให้? ฉันน่าจะคุ้นกับทางโน้นมากกว่านายหน่อย”
สีหน้าซังเหยียนดูคลุมเครือ ผ่านไปสักพักจึงรับคำ “โอเค”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการโทรศัพท์ในครั้งนั้นได้ผล หรือเป็นเพราะเธอคิดไปเอง หลังจากนั้นมาเวินอี่ฝานก็ไม่เห็นหน้าเชอซิงเต๋ออีก แล้วก็ไม่ได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดถึงคนผู้นี้ด้วย
ในวีแชตของจ้าวหยวนตงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องครอบครัวลุงใหญ่อีก
เมื่อคนพวกนั้นไม่มาตามราวีเธอ อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติ
ต่อมาเวินอี่ฝานก็ติดต่อที่ปรึกษาเซลส์ขายรถผ่านทางวีแชตในบางครั้ง
เดิมทีเธอเลือกรถไว้แล้ว เหลือเพียงแต่ไปจ่ายเงินและดำเนินขั้นตอนการซื้อ ทว่าจงซือเฉียวก็มาโน้มน้าวเธอ บอกว่าให้รอช่วงวันชาติ พอถึงเวลานั้นบริษัทรถก็จะจัดโปรโมชั่นอีก ราคาก็จะถูกลงไม่น้อย
เวินอี่ฝานถูกโน้มน้าวเสียจนรู้สึกว่าที่เพื่อนพูดก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง ท้ายที่สุดเลยคิดว่ารอไปอีกสองสามเดือนก็แล้วกัน
ด้วยเหตุนี้แผนที่วางไว้ว่าจะซื้อรถจึงถูกเลื่อนออกไป
ส่วนซังเหยียนก็ไม่ค่อยได้ออกความเห็นในเรื่องนี้ อีกทั้งไม่ได้แสดงความหงุดหงิดที่ต้องมารับเธอทุกวัน เพียงแต่พูดไปเรื่อยเปื่อยว่าถ้าเธอจะใช้รถก็ขับรถของเขาไปได้
จากการมาเยือนของช่วงที่ร้อนที่สุด อุณหภูมิในเมืองหนานอู๋ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ปลายเดือนกรกฎาคมคล้ายว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด แสงอาทิตย์ร้อนแรง ไอความร้อนลอยสูงขึ้นจากพื้นปูนซีเมนต์ ทำให้คนยิ่งใจร้อนขึ้นบ้างด้วยเหตุนี้
เวินอี่ฝานได้รับสายด่วน แจ้งว่ามีร้านอาหารแฟรนไชส์ร้านหนึ่งที่สุขอนามัยไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ลูกค้าหลายคนมีอาการอาเจียนและท้องเสีย ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ขณะนี้สำนักงานกำกับอาหารและยาเข้าไปตรวจสอบแล้ว
หลังจากรวบรวมเอกสารเรียบร้อย เวินอี่ฝานก็เบิกรถสัมภาษณ์กับทางสถานีโทรทัศน์ แล้วออกจากออฟฟิศไปกับฟู่จ้วง
ทว่าเพิ่งเดินออกจากตึก ฟู่จ้วงก็เกาหัว จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี
“พี่ ผมลืมหยิบมือถือมาด้วยอะครับ พี่รอผมอยู่ตรงนี้สักสองนาทีนะ ผมจะรีบไปรีบมาครับ”
“…” เวินอี่ฝานแบกอุปกรณ์อยู่ เอ่ยอย่างจนใจ “รีบไปเถอะ”
“ครับ!” ฟู่จ้วงวิ่งไปด้านในตึกพลางตะโกน “แป๊บเดียวครับ!”
เวินอี่ฝานหยิบมือถือออกมาขณะยืนรออยู่ที่เดิม พอยืนนานเข้าก็รู้สึกว่าพวกอุปกรณ์ที่แบกไว้มันหนักอยู่บ้างจริงๆ เธอครุ่นคิดชั่วครู่แล้วก็ส่งข้อความไปหาฟู่จ้วง
เวินอี่ฝาน : พี่จะไปรอนายอยู่ในรถนะ
จากนั้นเธอก็ก้าวเท้าเดินไปทางลานจอดรถ
พอเวินอี่ฝานหาตำแหน่งรถเจอ ขณะกำลังจะเดินไปที่รถ จู่ๆ ก็มีคนมาดึงสายรัดกระเป๋าเป้ด้านหลัง เธอไม่ได้เตรียมป้องกันแต่อย่างใด เลยผงะถอยตามแรงดึงไปสองสามก้าวแล้วรีบหันไปมองทันที
คล้ายประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
สายตาเธอปะทะเข้ากับใบหน้าของเชอซิงเต๋ออย่างจัง คล้ายวิญญาณยังไม่ยอมไปผุดไปเกิด
“ในที่สุดก็เจอเธอสักทีนะ” เชอซิงเต๋อแสยะยิ้มอย่างกับอันธพาล เขาคลายมือออกตามท่าทีของเธอ “เธอนี่แน่มากนะ ช่วงนี้น้ามาทุกวัน ไม่เจอเธอเลยสักครั้ง เธอก็ไม่ต้องทำมาเป็นหลบน้าอย่างนี้หรอก”
เวินอี่ฝานเงยหน้ามองกล้องวงจรปิด “ที่ฉันเคยบอกคุณไปยังไม่ชัดอีกเหรอ”
“เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย” คราวนี้เชอซิงเต๋อชี้แจงถึงเจตนาการมาให้เธอฟังอีกครั้งอย่างชัดแจ้ง “ได้ งั้นน้าก็จะพูดกับเธอให้ชัดนะ อยากจะสลัดพวกเราให้หลุด ได้ เธอก็ให้เงินมาหมื่นนึงสิ”
“…”
“น้ามาเบิกค่าที่ถูกแฟนเธอขูดรีด ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุขไปได้”
เวินอี่ฝานทำเหมือนไม่ได้ยิน เธอไม่สนใจเขาแล้วเดินขึ้นหน้าต่อ
บางทีอาจเป็นเพราะเชอซิงเต๋อรู้สึกว่าเธอเห็นตัวเองเป็นอากาศธาตุ เลยยิ่งเดือดดาลมากขึ้นคล้ายว่าหมดความอดทน สีหน้าดูโหดเหี้ยมขึ้นหลายส่วน เขากระชากกระเป๋าข้างตัวเธอมาทันที
“แม่งเอ๊ย! น้าไว้หน้าเธอแล้วนะ ไอ้แฟนบ้าของเธอมันทำให้น้าเสียหน้า! แล้วเธอยังมากล้าชักสีหน้าใส่น้าอีกเหรอ!”
กระเป๋าของเวินอี่ฝานถูกเขาดึงไปอยู่ในมือ
จากนั้นเชอซิงเต๋อก็ผลักเธออย่างแรงทีหนึ่ง ระบายอารมณ์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“นังร่าน! เกาะคนรวยแล้ววิเศษวิโสนักเหรอ!”
เวินอี่ฝานผงะถอยไปอย่างควบคุมไม่อยู่ พุ่มไม้ด้านข้างที่มีกิ่งไม้สองสามกิ่งยื่นออกมาไม่เป็นระเบียบจึงข่วนโดนต้นขาของเธอจนเกิดรอยแผลสองสามรอยอย่างเห็นได้ชัด เธอแอบร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บ พยายามฝืนยืนให้มั่นแล้วมองลงไป
…เห็นแผลที่ต้นขาตัวเองเริ่มมีเลือดไหลออกมา
ดูเหมือนว่าเชอซิงเต๋อยังอยากเดินเข้าไปหาเธออีก
จังหวะนั้นฟู่จ้วงก็กลับมาจากการไปหยิบมือถือ พอเห็นเหตุการณ์เขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย ตามมาด้วยความเดือดดาลอย่างที่สุด
“เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะ!”
เพราะมีคนอื่นปรากฏตัวขึ้น เชอซิงเต๋อก็คล้ายจะดึงสติกลับมาได้ เขาร้องหึพลางถลึงตาอย่างโหดเหี้ยมใส่เวินอี่ฝานแวบหนึ่ง แล้วกำลังจะเดินจากไปพร้อมกระเป๋าของเธอ
ฟู่จ้วงยื่นแขนไปขวางอีกฝ่ายไว้พลางโทรแจ้งตำรวจ อดที่จะสบถออกมาไม่ได้ “แกมาขโมย ทำร้ายคนอื่น แล้วยังหน้าด้านอีก? รอไปนอนในคุกแล้วกันไอ้โง่!”
เชอซิงเต๋อตะคอกกลับ “มึงสิที่จะต้องไปนอนในคุก! กูแค่หยิบกระเป๋าของหลานสาว ขโมยของตรงไหนกัน!”
“ฟู่จ้วง รอให้ตำรวจมาจัดการแล้วกัน” เวินอี่ฝานลุกขึ้น คล้ายเธอจะไม่รู้สึกเจ็บ “มีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่ต้องกลัวหรอกว่าเขาจะหนี”
“…”
เชอซิงเต๋ออึ้งไปเล็กน้อย เพิ่งมาสังเกตเห็นกล้องวงจรปิดเอาตอนนี้ เขาจึงตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ยังคงฝืนยิ้มอย่างได้ใจ
“กระเป๋าในมือกูก็ไม่ใช่ของใครอื่น มึงคิดว่าแจ้งตำรวจแล้วจะช่วยอะไรได้เหรอ มึงดูเอาเองแล้วกันว่าตำรวจจะมีเวลามายุ่งเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้หรือเปล่า”
“ได้” เวินอี่ฝานจ้องเขา เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันกำลังรอดูอยู่”
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ การรายงานข่าวของเวินอี่ฝานจึงถูกส่งต่อไปให้เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง ส่วนเธอขอลางานครึ่งวันแล้วไปที่สถานีตำรวจพร้อมกับตำรวจที่มายังที่เกิดเหตุ หลังจากหัวหน้าปลอบใจเธออย่างห่วงใยไม่กี่ประโยค ยังส่งฟู่จ้วงให้มาติดตามข่าวนี้ตามหน้าที่ด้วย
เวินอี่ฝานไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน แล้วค่อยไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ
ผ่านไปไม่นานพอเชอเยี่ยนฉินได้รับโทรศัพท์ก็รีบมา ครั้นเหลือบเห็นเวินอี่ฝานก็เข้าใจสถานการณ์ทันที
“คุณตำรวจคะ คุณสอบสวนยังไงกัน นี่ขโมยของที่ไหน”
เชอเยี่ยนฉินเสียมารยาทมาก ตำรวจตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ทำไมจะไม่ใช่ มีทั้งพยานบุคคลและหลักฐาน ลงบันทึกไว้แล้วด้วย”
“พวกเราเป็นญาติกันค่ะ! คนนี้เป็นหลานสาวของฉันเอง!” เชอเยี่ยนฉินเดือดพล่าน “คุณไม่มีครอบครัวเหรอ หยิบของของคนในครอบครัวก็ถือว่าขโมย?”
ตำรวจขมวดคิ้ว “คุณพูดจาอะไรระวังด้วย!”
เวินอี่ฝานไม่ได้รับผลกระทบสักนิด เธอมองตำรวจที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย อธิบายอย่างสงบนิ่งที่สุด
“คนนี้คือป้าสะใภ้ใหญ่ค่ะ แต่ว่าฉันไม่ค่อยสนิทกับพวกเขา”
“…”
“อีกอย่าง…” เวินอี่ฝานชะงักไปชั่วครู่แล้วค่อยเอ่ยต่อ “เชอซิงเต๋อเริ่มมาก่อกวนฉันนานแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าจะลงบันทึกไปด้วยกันเลยได้มั้ยคะ ไปตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดที่หน้าสถานีโทรทัศน์ได้ค่ะ”
พอให้ปากคำเสร็จ หลังจากให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เวินอี่ฝานก็กลับบ้านเลย เดิมทีเธออยากอาบน้ำ แต่ก็กลัวว่าบาดแผลที่ต้นขาจะโดนน้ำ จึงแค่สระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัว
เวินอี่ฝานสังเกตเห็นแผลตรงต้นขาอันน่าสยดสยอง หลังจากทายาแล้วก็สวมกางเกงขายาว
หลังออกมาจากห้องน้ำ เธอก็นอนลงบนเตียงแล้วส่งข้อความหาซังเหยียน บอกเขาว่าตัวเองกลับถึงบ้านแล้ว
พอนึกได้ว่าพรุ่งนี้ซังเหยียนจะต้องเดินทางไปเมืองอี๋เหอ เวินอี่ฝานก็เลยเปิดแอพฯ ช่วยเขาหาโรงแรม ดูไปดูมาก็รู้สึกง่วงอยู่บ้าง ในขณะที่กำลังจะหลับเธอก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวตรงทางเข้า
เวินอี่ฝานลืมตาขึ้นทันที เธอลังเลอยู่สักครู่ระหว่างการนอนกับซังเหยียน แต่ก็ยังคงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง
เพิ่งเดินไปถึงห้องรับแขกเธอก็ได้สบตากับชายหนุ่ม
ซังเหยียนเลิกคิ้วทันที “วันนี้ทำไมเลิกงานเร็วจัง”
“อืม” เวินอี่ฝานนั่งลงบนโซฟา “สัมภาษณ์เสร็จก็ไม่มีงานอะไร เลยกลับบ้านน่ะ”
ซังเหยียนเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะเดินเข้ามา สายตาเขาเคลื่อนลงด้านล่าง เห็นเธอใส่กางเกงขายาว เขานั่งลงข้างเธอแล้วจึงถามไปเรื่อยเปื่อย
“หน้าร้อนอย่างนี้ อยู่บ้านทำไมยังต้องใส่กางเกงขายาวด้วยล่ะ”
เวินอี่ฝานหลุบตาลง โกหกไปทันที “เมนส์มาน่ะ ตากแอร์แล้วรู้สึกหนาวนิดหน่อย”
พอได้ยินคำตอบนี้ซังเหยียนก็นึกย้อนไปครู่หนึ่ง “เดือนนี้มาเร็ว?”
“…” เวินอี่ฝานอึ้งไปก่อนจะพึมพำตอบ “อ้า ใช่ มาไม่ค่อยตรงน่ะ”
“งั้นคืนนี้อย่าเปิดแอร์นอนเลย” ซังเหยียนไม่ได้สงสัยอะไร ดึงหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอดตามเคย แล้วยื่นมือไปลูบท้องน้อยของเธอ “ปวดท้องมั้ย”
เวินอี่ฝานจ้องหน้าเขา จู่ๆ ก็รู้สึกพูดไม่ค่อยออก เลยเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้นายจะไปเมืองอี๋เหอไม่ใช่เหรอ ไปจัดกระเป๋าก่อนเถอะ”
ซังเหยียนยิ้มๆ “มีอะไรจะต้องจัดล่ะ”
“พรุ่งนี้เครื่องบินออกสองทุ่มครึ่ง” เวินอี่ฝานเริ่มวางแผนอย่างจริงจัง “งั้นหลังจากนายเลิกงานก็มารับฉันที่สถานีโทรทัศน์ แล้วฉันค่อยขับไปส่งนายที่สนามบิน แล้วค่อยขับกลับ?”
“โอเค” ซังเหยียนก้มหน้าลง ฝ่ามืออันอบอุ่นแนบอยู่กับท้องน้อยของเธอ เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจอะไร “อีกเดี๋ยวฉันต้มซุปน้ำตาลทรายแดงให้เธอดีกว่า กินเสร็จแล้วค่อยนอน”
เวินอี่ฝานหลบสายตาเขา “ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ต้องอะไรกัน” ซังเหยียนเอ่ยอย่างเนือยๆ “ฉันไม่อยากให้เธอปวดท้องกลางดึกแล้วมากวนเวลาฉันนอน”
“…”
ช่วงบ่ายวันต่อมา
ซังเหยียนเดินออกจากห้องทำงานเพื่อมาเข้าห้องน้ำ เขาเพิ่งรูดซิปกางเกงลงก็มีคนมายืนอยู่ที่โถปัสสาวะด้านข้าง เอ่ยทักทายเขาอย่างสนิทสนมเหลือเกิน
“ซังเหยียน นายก็มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันเหรอ”
“…” ซังเหยียนหันไปมองก็เห็นเซี่ยงหล่าง “นายมีธุระเหรอ”
“ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แค่ทักทายเฉยๆ น่ะ” เซี่ยงหล่างชวนคุยไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พูดไปพูดมา ถึงพวกเราจะอยู่บริษัทเดียวกัน แต่ก็ได้เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
ซังเหยียนคร้านจะไปสนใจอีกฝ่าย
เซี่ยงหล่างก็ไม่ได้แคร์กับท่าทีของเขา เพียงแต่รู้สึกว่าน่าขัน “ทำไมนายถึงชอบทำท่าแบบนี้ใส่ฉันนะ ตั้งแต่ตอน ม.ปลาย ละ”
ซังเหยียนเหลือบมองอีกฝ่าย เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็ฉันเห็นหน้านายแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาน่ะ”
“…”
อธิบายเสร็จซังเหยียนก็หมุนตัวเดินไปทางอ่างล้างมือ
“นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ปะ ฉันกับอี่ฝานเป็นแค่เพื่อนกัน นายเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ฉันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย” เซี่ยงหล่างเดินตามมา พอพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยบอกว่าฉันนัดกับอี่ฝานว่าจะไปเรียนที่มหา’ลัยอี๋เหอ ฉันกุเรื่องขึ้นมาเองน่ะ”
พอได้ฟัง ซังเหยียนก็ค่อยๆ ช้อนตาขึ้น
“ตอนนั้นฉันจงใจจะทำให้นายไม่สบอารมณ์น่ะ แต่พอเห็นนายไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็รู้สึกว่าไม่สนุกเลย แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว คงไม่ต้องทำโทษให้กินเหล้าแล้วมั้ง” เซี่ยงหล่างเปิดก๊อกน้ำ เอ่ยยิ้มๆ “นายอย่าไปพาลโกรธอี่ฝานเพราะเรื่องนี้นะ”
ซังเหยียนร้องหึเสียงหนึ่ง
เซี่ยงหล่างมองเขาด้วยความสนใจใคร่รู้ ทอดถอนใจอยู่บ้างที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ในที่สุดพวกเขาสองคนก็ได้คบกัน
“บอกตามตรงนะ ก่อนหน้านี้ฉันคิดมาตลอดว่านายเป็นคนที่มีโอกาสจีบอี่ฝานติดมากที่สุด”
“…”
“แต่ว่าโชคก็ไม่เข้าข้างนายเลย” เซี่ยงหล่างเอ่ยไปเรื่อย “ฉันคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะอี่ฝานจะต้องย้ายไปอยู่เมืองเป่ยอวี๋กับลุงใหญ่ นายและเธอคงได้คบกันนานแล้วล่ะ”
ซังเหยียนจ้องอีกฝ่ายนิ่ง “ลุงใหญ่?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เธอไม่ได้อยู่บ้านคุณย่าเหรอ”
“ไม่ใช่ ตอนแรกเธออยู่บ้านคุณย่าสักระยะนึง ต่อมาก็อยู่บ้านลุงใหญ่มาตลอด” เซี่ยงหล่างอาจจะรู้สึกว่าชวนคุยมานานแล้ว ก็เลยไม่ได้คุยต่อ แล้วเขาก็เดินออกไป “ฉันไปทำงานล่ะ”
ซังเหยียนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาหลุบตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอถึงเวลาหกโมง ซังเหยียนก็ออกจากบริษัทตรงเวลาแล้วขับรถไปยังสถานีโทรทัศน์หนานอู๋ เขาจอดรถไว้ที่หนึ่ง ลดระดับหน้าต่างลงแล้วส่งข้อความไปบอกเวินอี่ฝานว่าถึงแล้ว
เวินอี่ฝานตอบอย่างเร็ว
เวินอี่ฝาน : จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ นายรอแป๊บนึงนะ
ซังเหยียนเคาะปลายนิ้วที่ขอบหน้าต่าง ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เซี่ยงหล่างพูดมาเมื่อครู่ก็เลยใจลอยไปบ้าง
ตอนเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย เวินอี่ฝานพักอยู่ที่บ้านลุงใหญ่ แต่เธอกลับบอกเขาว่าอยู่บ้านคุณย่ามาตลอด น้าคนนั้นเป็นน้องชายของป้าใหญ่ วันที่ประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาไปหาเธอที่เมืองเป่ยอวี๋ก็เห็นน้าคนนี้กำลังเกาะแกะเธออยู่
เธอบอกว่าตัวเองไม่รู้จักคนคนนี้
พอนำมารวมเข้ากับอารมณ์ของเธอในช่วงนี้หลังจากที่เจอผู้ชายคนนั้น
ซังเหยียนค่อยๆ เม้มปากจนเป็นเส้นตรง การคาดเดาบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิด เขาไม่อยากจะเชื่อเลย และไม่กล้านึกถึงมันอีก เลยหันหน้าไปพลางหยิบบุหรี่ เพิ่งหยิบออกมามวนหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ได้ยินว่ามีคนเรียก
“พี่ซังเหยียน!”
พอได้ยินซังเหยียนก็มองไป จึงสบเข้ากับดวงตากลมโตของฟู่จ้วง
ฟู่จ้วงเดินมาเกาะที่หน้าต่าง ทำตัวสนิทสนมเหลือเกิน “พี่มารับพี่อี่ฝานเหรอครับ”
ซังเหยียนเจอเด็กหนุ่มคนนี้มาหลายครั้งแล้ว คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย เพียงแต่พยักหน้า
“พี่เป็นแฟนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลย” ฟู่จ้วงเอื้อมมือไปตบไหล่เขา ปลอบใจว่า “แต่ว่าช่วงนี้พี่น่าจะไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ ผู้ชายโรคจิตคนนั้น ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่ที่สถานีตำรวจ ช่วงนี้ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรแล้วล่ะครับ”
“…” ซังเหยียนหันหน้าไป จับประเด็นได้สี่คำ “ผู้ชายโรคจิต?”
“ใช่พี่ หยาบคายและน่ารังเกียจมาก แค่ที่เขาพูดออกมาผมฟังแล้วโมโหสุดๆ อะ” ฟู่จ้วงยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล เสียงดังขึ้นมาหน่อย “เขาพูดอยู่ตลอดว่าพี่อี่ฝานเป็นหลานสาวหรืออะไรนี่แหละ ช่วงนี้ก็ชอบมาก่อกวนเธอที่สถานีโทรทัศน์ เมื่อวานก็มาหาเรื่องจนถึงขั้นไปสถานีตำรวจ”
ซังเหยียนถามเสียงเบาลง “สถานีตำรวจเหรอ”
ฟู่จ้วงพยักหน้า “เขายังผลักพี่อี่ฝานด้วย โดนกิ่งไม้บาดที่ขา เลือดไหลออกมาเยอะเหมือนกัน มองแล้วคงเจ็บน่าดู”
เล่ามาตั้งนาน ฟู่จ้วงจึงเพิ่งนึกได้ เขาแปลกใจอยู่บ้าง “พี่ซังเหยียน พี่ไม่รู้เหรอครับ พี่อี่ฝานไม่ได้เล่าให้พี่ฟังเหรอ”
ซังเหยียนหมุนบุหรี่ในมือเล่น เงียบไปหลายวินาที
“เล่าแล้ว”
เวินอี่ฝานกลัวว่าจะทำให้ซังเหยียนตกเครื่องบิน พอได้รับข้อความจากเขาแล้วเธอก็ไม่กล้าอืดอาดยืดยาด เมื่อเดินออกมาจากตึกก็เห็นรถของซังเหยียนที่จอดในที่ที่คุ้นเคย หลังจากขึ้นไปนั่งข้างคนขับก็ถามขึ้น
“จะให้ฉันขับไปมั้ย”
“ไม่ต้อง”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก ออกรถในทันที
เวินอี่ฝานพยักหน้า ก้มหน้าลงไปควานหามือถือพลางเอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ เมื่อวานฉันช่วยนายเลือกโรงแรมไว้หลายที่ อยู่แถวๆ มหา’ลัยอี๋เหอทั้งนั้น ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน โรงแรมทางโน้นเลยมีห้องว่างเยอะ เลยไม่ต้องรีบจอง อีกเดี๋ยวนายลองดูว่าชอบโรงแรมไหนมากกว่า ฉันค่อยจองให้นายนะ?”
ซังเหยียนตอบอืม
เวินอี่ฝานสังเกตว่าเขาพูดน้อย เธอเลยหันหน้าไป กำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็พบว่าเหมือนเขาจะขับมาผิดทาง จึงเอ่ยอย่างลังเล
“นายขับผิดทางหรือเปล่า ตอนนี้พวกเราจะไปสนามบินนะ ทางนี้เป็นทางกลับบ้านนี่”
ซังเหยียนมองตรงไปข้างหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา “กลับบ้านก่อน”
“…” เวินอี่ฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามด้วยความลังเล “นายลืมของไว้เหรอ”
ซังเหยียนก็ตอบอืมอย่างขอไปที
เธอเหลือบมองเวลา “งั้นพวกเราต้องรีบหน่อยนะ ฉันกลัวนายจะตกเครื่องบิน”
น่าแปลกมาก เวินอี่ฝานรู้สึกว่าตอนนี้ความกดอากาศในรถต่ำมาก เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย หนังตาขวากระตุกอยู่ตลอด จึงอดถามไม่ได้
“วันนี้นายอารมณ์ไม่ดีเหรอ”
ซังเหยียนยังคงไม่พูดไม่จา
เวินอี่ฝานถามต่อ “มีอะไรเหรอ”
เธอเห็นเขายังคงเงียบกริบก็เลยเล่าเรื่องสนุกให้ฟัง หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นเขายังไม่อยากคุยจึงค่อยๆ หยุดปาก
เธอยังกังวลอยู่บ้าง แล้วก็รู้สึกเหมือนพายุกำลังตั้งเค้า
ซังเหยียนขับมาจนถึงลานจอดรถใต้ดินของซั่งตูฮวาเฉิง
หลังลงจากรถเขาก็จูงมือเวินอี่ฝานเดินไปทางลิฟต์ เธอจ้องใบหน้าด้านข้างของเขา ไม่รู้ว่าทำไมถึงสัมผัสได้ถึงลางร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอพยายามเอ่ยปลอบใจไม่กี่ประโยคเพื่อให้เขาเบิกบานขึ้นบ้าง
ซังเหยียนก็ตอบรับ แต่น้ำเสียงไม่เหมือนกับที่ผ่านมาเลย เขาทำท่าทางเย็นชาอย่างที่สุดมาตลอดทาง คล้ายว่าแค่รับคำไปเฉยๆ เพราะไม่อยากให้เธออึดอัด แต่ในความเป็นจริงดูท่าเขาไม่อยากจะพูดอะไรเลย
พอขึ้นไปถึงชั้นสิบหก ซังเหยียนก็หยิบกุญแจมาเปิดประตู
ทั้งสองคนเดินเข้าไป
เวินอี่ฝานยืนอยู่ตรงทางเข้า ไม่คิดที่จะถอดรองเท้า “งั้นนายรีบไปเอา…”
ไม่รอให้เธอพูดจบ ซังเหยียนก็อุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตู้รองเท้า มองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย คล้ายว่าอยากยืนยันอะไรบางอย่าง เขาถลกขากางเกงของเธอขึ้นทันที
“…” สีหน้าของเวินอี่ฝานแข็งทื่อไป
ในชั่วพริบตานั้นด้วยท่าทีของเขา เธอก็พลันเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย
เวินอี่ฝานทำท่าห้ามเขาในทันที
ซังเหยียนตอบสนองอย่างไว ไม่ใส่ใจกับการต่อต้านเพียงเล็กน้อยของเธอ เขาใช้มือเดียวล็อกมือทั้งสองข้างของเธอไว้ พยายามจะถลกขากางเกงขึ้นไปอีกจนถึงบริเวณขาหนีบ
ขาเธอขาวเนียนเกลี้ยงเกลา ไม่มีรอยแผลสักรอย
ซังเหยียนก็ชะงักไป ช้อนตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่งแล้วเริ่มถลกขากางเกงอีกข้างอย่างเงียบกริบ
เวินอี่ฝานจึงร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แต่กลับสู้แรงเขาไม่ได้
“ซังเหยียน!”
เพิ่งถลกขึ้นมาถึงต้นขา ซังเหยียนก็เห็นรอยแผลหลายรอยอย่างชัดเจน ยังไม่ตกสะเก็ด มีหลายรอยที่ยังเลือดไหลซิบๆ บวมแดง มองดูแล้วน่าตกตะลึงอย่างที่สุด
ชั่ววินาทีนี้ไฟโทสะของซังเหยียนเหมือนเพิ่งจุดติดในที่สุด
เขาหลับตาลง ถามพลางระงับไฟโทสะไว้ “ไปโดนอะไรมา”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.