X
    Categories: Sweet Candy Fairy ให้รักนี้มีแต่ความหวานWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Sweet Candy Fairy ให้รักนี้มีแต่ความหวาน บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2

เพื่อนนักเรียนมัธยมปลายปีสองห้องสองรับทราบตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้วว่าเปิดภาคเรียนใหม่จะมีนักเรียนพิเศษย้ายมาที่ห้อง

หลิวชิ่งหวาครูประจำชั้นไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ของชีอิ้งอย่างเจาะจงชัดเจน แค่บอกนักเรียนเอาไว้ในกลุ่มแชตของห้องว่าพ่อของนักเรียนใหม่เป็นตำรวจท่านหนึ่งที่เสียสละเพื่อประชาชน มีเกียรติยศยิ่งใหญ่ นักเรียนใหม่เป็นบุตรธิดาของผู้พลีชีพ เป็นทายาทของวีรบุรุษ ทุกคนต้องให้ความช่วยเหลือและความรัก

ความยุ่งยากใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตปกติธรรมดาของเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยแรกแย้มกลุ่มนี้ไม่พ้นเรื่องผลการเรียนการสอบ อาจจะเพิ่มความว้าวุ่นจากการแอบรักเข้าไปด้วย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักกับคำศัพท์อย่าง ‘วีรบุรุษผู้พลีชีพ’ หลังจากตื่นตะลึงไปแล้วก็พากันส่งข้อความรับคำมาไม่หยุดหย่อนว่าจะรักและทะนุถนอมเพื่อนนักเรียนคนใหม่อย่างแน่นอน!

ช่วงเปิดเทอม บริเวณโรงเรียนเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา

แม้ว่าชีอิ้งจะเตรียมสภาพจิตใจของตัวเองมานานแล้ว แต่แวบแรกที่เห็นว่ารอบตัวมีคนเยอะขนาดนี้ ถึงจะเตรียมตัวมาดีอย่างไรก็ยังปรับตัวไม่ได้

ชาติก่อนเธอระหกระเหินเร่ร่อนมาตั้งแต่เกิด ทั่วทุกหนแห่งพบเห็นการบาดเจ็บ ผู้คนทุกข์ยากแร้นแค้น ภายหลังอาศัยอยู่ลึกในจวนแม่ทัพ ข้างกายมีแค่สาวรับใช้สองสามคน ความทรงจำส่วนใหญ่จึงจืดชืดไร้ชีวิตชีวา โดดเดี่ยวอ้างว้าง

ความสนุกสนานเพียงอย่างเดียวที่นึกออกคือเทศกาลโคมไฟ* ท่านแม่ทัพกลับมาเมืองหลวงพอดี หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็พาเธอไปเดินเล่นที่ถนน จูงมือเธอท่ามกลางผู้คนที่เดินเบียดเสียดกระทบไหล่ ซื้อถังหูลู่** ให้เธอไม้หนึ่ง

น้ำตาลนั้นทั้งหวานทั้งเหนียว ทำให้ฟันของเธอติดหนึบ ท่านแม่ทัพถามเธอว่า ‘อร่อยหรือไม่’

เธออ้าปากไม่ได้ แอบกระดากอายกับตัวเองจึงได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะยื่นถังหูลู่ในมือตนเองออกไปอย่างลังเล ท่านแม่ทัพเพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายศีรษะ ‘ซื้อให้เจ้า’

จู่ๆ เธอก็ถูกกระแทกจากด้านหลังอย่างแรง ตัวชีอิ้งโงนเงน ความทรงจำถูกขัดจังหวะ

นักเรียนชายกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านทางเดินไปราวกับสายลม ส่งเสียงด่าทอโหวกเหวกคนโน้นทีคนนี้ที อวี๋จั๋วประคองตัวชีอิ้งไว้ได้ก็ด่าใส่คนที่วิ่งชนโดยไม่หันมาขอโทษสักคำ “ไม่มีตาหรือไง!”

นึกไม่ถึงว่านักเรียนชายที่วิ่งรั้งท้ายจะได้ยินแล้วหยุดกึกก่อนจะหมุนตัวมา ดูท่าคิดจะต่อปากต่อคำกับอวี๋จั๋ว แต่เพิ่งจะเดินกลับมาได้สองก้าว เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงพวกพ้องตนเองตะโกนเรียก “ไอ้เบิ้มชวี! แกมัวอืดอาดอะไรอยู่ พี่รั่งกำลังรอพวกเราอยู่นะ!!”

นักเรียนชายที่ถูกเรียกว่าไอ้เบิ้มชวีชูนิ้วกลางใส่อวี๋จั๋ว แล้วหันตัววิ่งไป

อวี๋จั๋วชูนิ้วกลางกลับอย่างไม่ลดราวาศอก

เด็กชายใส่แว่นที่พิงระเบียงอยู่ข้างๆ เอ่ยปาก “เพื่อน…ฉันขอเตือนนายนะ อย่าไปยั่วคนอย่างนั้นจะดีกว่า”

อวี๋จั๋วตอนมัธยมต้นเป็นเด็กเกเร ไม่กลัวการก่อเรื่องแม้แต่น้อย ได้ยินคำเตือนก็เพียงแค่นหัวเราะ “ทำไมถึงยั่วไม่ได้ล่ะ”

เด็กชายใส่แว่นยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องปากก่อนจะบอกว่า “นั่นคือพวกที่อยู่กับจี้รั่งทั้งนั้นเลย”

อวี๋จั๋วเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ “จี้รั่ง? ไอ้เวรที่ไหน ไม่เห็นเคยได้ยิน”

รอบข้างที่วุ่นวายในชั่วขณะนั้นก็พลันสงบนิ่ง

เด็กชายใส่แว่นเหมือนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดจาอวดดีขนาดนี้ หลังจ้องปากอ้าตาค้างอยู่สักพักก็ส่งสายตาที่อ่านได้ว่า ‘หาความสุขใส่ตัวให้มากหน่อย’ ทิ้งไว้ให้อวี๋จั๋วก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

อวี๋จั๋วยังไม่รู้ว่าตัวเองไปแส่หาเรื่องอะไรเข้า หลังปัดเสื้อให้ชีอิ้งที่ยืนนิ่งสงวนท่าทีอยู่กับที่ก็จูงข้อมือของเธอพาไปส่งถึงห้องทำงานของครูประจำชั้น

หลิวชิ่งหวากำลังจัดระเบียบใบระเบียน เพิ่งเปิดมาถึงหน้าเอกสารของชีอิ้งพอดี นักเรียนหญิงในรูปขนาดหนึ่งนิ้วรวบผมเป็นทรงหางม้า เผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบ มุมปากเม้มเป็นวงโค้งตื้นบาง ดูแล้วทั้งเรียบร้อยน่ารักและสงบเสงี่ยม

พอได้ยินเสียงเรียกก็เงยหน้าขึ้นมาพบเข้ากับเด็กสาวที่สวยกว่าในรูปยืนอยู่ที่ประตูท่าทางเหนียมอาย

อวี๋จั๋วฝากชีอิ้งไว้กับหลิวชิ่งหวาแล้วจึงกลับห้องเรียนของตนเอง

หลิวชิ่งหวาพยายามสื่อสารกับชีอิ้งอยู่ในห้องทำงานของตนโดยใช้ท่าทางประกอบ มือที่ไขว้อยู่ข้างหลังของชีอิ้งสั่นระริก เธอพยายามทำความเข้าใจความหมายที่คนแปลกหน้าตรงหน้าถ่ายทอดให้

ครูประจำชั้นของห้องติดกันที่ยืนดูอยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “เหล่า* หลิว นี่คือนักเรียนพิเศษคนนั้นของห้องคุณเหรอ ทั้งไม่ได้ยินแล้วยังพูดไม่ได้อีก คุณทำท่าไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก”

สุดท้ายหลิวชิ่งหวาก็ยอมแพ้ เขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษสมุดให้เธออ่าน

‘ครูแซ่หลิว เป็นครูประจำชั้นของเธอนะ ตอนนี้ครูจะพาเธอไปที่ห้องเรียน เพื่อนนักเรียนใหม่เป็นกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องห่วง’

 

ชีอิ้งถอนใจอย่างโล่งอกแล้วจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

ห้องเรียนของชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสองตั้งอยู่ปลายสุดของระเบียง กริ่งเข้าเรียนครั้งแรกของภาคเรียนใหม่ดังขึ้นแล้ว หลิวชิ่งหวาผลักประตูเข้าไป ชั้นเรียนที่วุ่นวายพลันเงียบสงบลง ดวงตาหลายสิบคู่มองมาทางเงาร่างผอมที่อยู่ด้านข้างเธอโดยพร้อมเพรียง

ชีอิ้งหลบอยู่หลังหลิวชิ่งหวาโดยไม่ได้ตั้งใจ

หลิวชิ่งหวารู้สึกได้ถึงความกลัวของเด็กสาวจึงกุมมือเธอแล้วตบเบาๆ พาเดินมายืนบนแท่นบรรยาย “นี่คือนักเรียนชีอิ้งที่ครูเคยบอกกับพวกเธอไว้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีอิ้งคือส่วนหนึ่งของห้องสองของเรา ชีอิ้งมีความพิเศษบางอย่าง ทุกคนต้องช่วยเหลือเธอให้มากๆ และเป็นเพื่อนกับเธอนะ มา! เราปรบมือต้อนรับเธอกันสักหน่อย”

เสียงฝ่ามือแปะๆ ดังขึ้นในชั้นเรียน

ชีอิ้งมองดูการปรบมืออย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกันของเหล่านักเรียน แม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่ก็รับรู้ว่านี่เป็นการกระทำเพื่อต้อนรับเธอ ใบหน้าและริมฝีปากที่ซีดขาวด้วยความตื่นเต้นค่อยๆ คลี่เป็นรอยยิ้มออกมา

เพื่อนนักเรียนในห้องสองยิ่งปรบมืออย่างแข็งขันกว่าเดิม

เพื่อนคนใหม่ที่นั่งติดกันกับชีอิ้งเป็นนักเรียนหญิงรูปร่างอวบ ใบหน้าดูเด็ก และมีลักยิ้มเล็กๆ ชื่อเยวี่ยหลี อีกฝ่ายจ้องมองชีอิ้งด้วยดวงตากลมแวววาว รอให้ชีอิ้งนั่งลงก็ยื่นมือออกมาแสดงความเป็นเพื่อนทันที

ชีอิ้งจับมือกับอีกฝ่าย เยวี่ยหลีอาศัยช่วงที่หลิวชิ่งหวากำลังพูดเรื่องเปิดเทอม หยิบคำแนะนำตัวเองที่เขียนไว้ส่งให้ชีอิ้งอ่านด้วยสีหน้าตื่นเต้น

คำแนะนำตัวนี้ถ้าจัดหน้าให้เป็นระเบียบสักหน่อย แล้วเพิ่มประสบการณ์ทำงานเข้าไปอีกสักนิด ก็เอามาใช้เป็นเรซูเม่ได้แล้ว

ชีอิ้งรู้แม้กระทั่งครอบครัวเยวี่ยหลีมีสมาชิกกี่คน เลี้ยงหมากี่ตัว ชอบกินขนมจั้ง* แบบหวานหรือขนมจั้งแบบคาว

เพื่อนนักเรียนที่นั่งอยู่หน้าหลังซ้ายขวาของเธอพอเห็นตัวอย่างก็ทำตามบ้าง คาบประชุมห้องที่เหลือต่อจากนั้นชีอิ้งจึงใช้เวลาหมดไปกับการอ่านเรซูเม่ของเพื่อนร่วมห้อง

หลังเลิกคาบ นักเรียนหญิงในห้องคนหนึ่งก็เรียกชีอิ้งให้ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน

ช่วงที่เป็นนักเรียน การเข้าห้องน้ำด้วยกันคือสัญญาณของจุดเริ่มต้นมิตรภาพ

แม้ว่าชีอิ้งจะไม่ได้ต้องการคลายกระเพาะปัสสาวะ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม อบอุ่นเป็นกันเองของเพื่อนๆ เธอก็ปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ไม่ลงจึงได้แต่ติดตามไป

บรรดาเด็กผู้หญิงของห้องสองล้อมเธอไว้ตรงกลางราวกับเป็นสิ่งของที่แตกสลายง่ายก็ไม่ปาน

เดินเตาะแตะไป แล้วก็เดินเตาะแตะกลับ ระหว่างนั้นยังแวะคุยกับนักเรียนที่อยู่ห้องติดกันอีกคำสองคำ

“นี่คือนักเรียนพิเศษของห้องพวกเธอเหรอ”

“ดาวประจำห้องของห้องพวกเธอต้องเปลี่ยนคนแล้วไหมล่ะ”

“เธอไม่ได้ยินอะไรเลยจริงเหรอ”

“…”

ภายในเวลาเช้าเดียว ชั้นเรียนปีสองก็ลือกันไปทั่วแล้วว่าที่ห้องสองมีเด็กผู้หญิงหูหนวกหน้าตาสวยมากคนหนึ่งย้ายมา พ่อของเธอเป็นตำรวจที่เสียสละเพื่อประชาชน

แม้ว่าพวกเด็กผู้ชายปลายแถวจากห้องเก้าจะเพิ่งทะเลาะวิวาทกับนักเรียนเกเรของโรงเรียนอื่นมา แถมสองคนในนั้นยังมีแผลบนใบหน้าด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อการร่วมซุบซิบนินทาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้มีนักเรียนคนแล้วคนเล่าแวะไปที่ห้องสองเพื่อสำรวจนักเรียนพิเศษคนนั้น ไม่ทันไรนายเบิ้มชวีก็เดินสบถกลับมา “เวร! ไม่เห็นแม้แต่เส้นขน พวกหนอนหนังสือห้องสองมันใช้หนังสือปิดหน้าต่างเอาไว้ มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ”

ชื่อเดิมของนายเบิ้มชวีคือชวีเผิง เขามีรูปร่างใหญ่บึกบึนอย่างนักกีฬาทำให้ได้ชื่อนี้มา

“ทำไมจะไม่ต้อง” หลิวไห่หยางเตะเขาหนึ่งที “นั่นเป็นลูกของผู้พลีชีพ! จะให้แกมองส่งเดชได้ไง”

นายเบิ้มชวีไม่พอใจ “มองแค่ทีสองทีเนื้อก็ไม่ได้หลุดออกมาสักหน่อย”

ทางเดินด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกดังลอดเข้ามา “ฉันมีรูปของนักเรียนพิเศษ! ใครอยากดูบ้าง”

ในห้องเรียนเกิดความโกลาหลอลหม่านไปชั่วขณะ “ฉันอยากดู! เอามาให้ฉันดู!”

ตรงมุมชิดหน้าต่างแถวสุดท้าย เด็กหนุ่มที่ฟุบอยู่บนโต๊ะเรียนถูกเสียงดังปลุกจนตื่น ศีรษะของเขาไม่ได้เงยขึ้น แต่เท้าเตะไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที ม้านั่งแถวหน้าล้มลงบนพื้นดังตึงสองครั้ง ห้องเรียนพลันเงียบสงบลง

นายเบิ้มชวีทำท่าบอกหลิวไห่หยางให้เงียบ

แม้แต่พวกเด็กหนุ่มที่คลุกคลีกับเขายังเงียบเสียงเป็นจิ้งหรีดในฤดูหนาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนคนอื่นที่หุบปากไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ผ่านไปพักใหญ่เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นในอากาศ “มีเกียรตินักเหรอ”

นายเบิ้มชวีสีหน้างุนงง “อะไรนะ พี่รั่งพูดว่าอะไรนะ”

เด็กหนุ่มที่ฟุบอยู่บนโต๊ะเรียนเงยหน้าขึ้นในที่สุด ลูกตาดำใต้ผมชี้ฟูที่กระเซอะกระเซิงเหมือนมีดคู่หนึ่ง เวลามองคนแล้วราวกับคมมีดกรีดผ่าน มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด “ฉันพูดว่า…เสียสละเพื่อประชาชนมีเกียรตินักเหรอ”

อยู่ข้างจี้รั่งมานานขนาดนี้ ถ้ายังไม่รู้สึกว่าเขากำลังอารมณ์ขุ่นมัวก็อยู่ด้วยกันเสียเปล่าแล้ว

ไม่มีใครกล้าต่อคำ

จี้รั่งหัวเราะโดยไร้เสียง แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนอีกครั้ง

จนกระทั่งเลิกเรียน แถวหลังของห้องที่ปกติจะเอะอะเสียงดังกันตลอดก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก ทำเอาแม้แต่ครูเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมวันนี้นักเรียนเกเรกลุ่มนี้ถึงเชื่อฟังดี

เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนเพิ่งจะดังขึ้น ลั่วปิงจากห้องแปดก็วิ่งทะลวงเข้ามาในห้อง “พี่รั่ง! เมื่อกี้ไอ้เด็กแซ่หลี่รายงานว่าปีหนึ่งมีนักเรียนใหม่ด่าพี่ว่าไอ้เวร!”

จี้รั่งยังคงนอนฟุบหน้าไม่ตอบสนองใดๆ แต่คนข้างๆ จำนวนหนึ่งนั่งไม่ติดที่แล้ว

“เชี่ย! ไอ้งั่งที่ไหนมันบ้าขนาดนี้”

“แม่งเอ๊ย ไอ้สารเลว!”

“ไม่ตีสักวันเด็กมันจะเสียคน นักเรียนใหม่รุ่นนี้บ้าดีเดือดแฮะ”

จี้รั่งลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน หยิบเสื้อนักเรียนขึ้นพาดบ่า “พามันไปที่ตรอกซีถ่า”

ลั่วปิงรับคำสั่ง สะบัดหน้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

 

เปิดเทอมวันแรก ความจริงได้เรียนกันแค่ไม่กี่คาบ ส่วนใหญ่ก็รับการบ้าน แจกหนังสือใหม่ ปรับเปลี่ยนที่นั่ง จนตอนบ่ายถึงได้เรียนวิชาภาษาและวรรณคดีหนึ่งคาบและคณิตศาสตร์อีกหนึ่งคาบ

ชาติก่อนชีอิ้งไม่รู้หนังสือ ภายหลังเข้าจวนแม่ทัพแล้วเธอก็ทำได้แค่เขียนชื่อตัวเอง แต่มาตอนนี้เธอมีความทรงจำของร่างกายนี้หลงเหลืออยู่จึงกลายเป็นคนมีความรู้ในทันใด ช่างน่าปลาบปลื้มใจเสียจริง

ผลการเรียนของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่แย่ เมื่อก่อนอันดับอยู่ที่สิบคนแรกของระดับชั้น ชีอิ้งมองดูสูตรและรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ ในหนังสือคณิตศาสตร์ก็พลันเข้าใจความหมายของมันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

แม้จะไม่ได้ยินที่ครูสอน แต่เธอก็ยังลอกโน้ตบนกระดานอย่างตั้งใจ

ชีอิ้งรู้ดี ไม่ว่าจะสมัยไหนผู้คนต่างก็ชื่นชอบบุคคลมีการศึกษา มาตอนนี้ไม่ง่ายกว่าจะได้โอกาสในการเรียนหนังสือ ได้รับความเท่าเทียมและอิสรเสรีเหมือนเด็กผู้ชาย จึงยิ่งรักถนอมเป็นหลายเท่าตัว

เยวี่ยหลีจดโน้ตเบียดชิดติดกันทั่วทั้งหน้ากระดาษ พอมองสมุดของชีอิ้งแล้วในชั่วขณะก็รู้สึกว่าตนเองถูกฆ่าเรียบ

เธอส่งแผ่นกระดาษเล็กๆ ให้ชีอิ้งอย่างละอายใจในตัวเอง

 

อิ้งอิ้ง สมุดโน้ตของเธอเป็นระเบียบจัง ให้ฉันยืมลอกหน่อยได้ไหม

 

ชีอิ้งรู้สึกว่าแม้แต่พรสวรรค์ในการเรียนของร่างกายนี้เธอก็น่าจะได้รับสืบทอดมาด้วย จึงให้อีกฝ่ายยืมสมุดโน้ตอย่างใจกว้าง

หลังเลิกเรียนอวี๋จั๋วก็มารับเธอ

ชีอิ้งโบกมือลาเพื่อนนักเรียนที่อยู่รอบๆ ทีละคน แล้วค่อยสะพายกระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องในที่สุด

เพิ่งจะเดินไปถึงประตูโรงเรียน หยางซินหย่วนเพื่อนพ้องของอวี๋จั๋วก็วิ่งรี่มาหา พูดด้วยลมหายใจหอบรัว “เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าจี้รั่งส่งคนมาอัดนาย นายรีบหนีไปเร็ว!”

“จี้รั่งไหน”

“คนที่นายด่าว่าไอ้เวรนั่นไง! ขาใหญ่แห่งมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่ง!”

อวี๋จั๋วสีหน้าเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ได้กลัวขาใหญ่ในตำนานคนนี้ แค่ว่าตอนนี้ชีอิ้งอยู่ด้วย ถ้าหากว่าชีอิ้งผมหายไปแม้แต่เส้นเดียวล่ะก็…เขากลัวว่าจะโดนพ่อถลกหนังเอาได้

ไม่ไกลออกไป ลั่วปิงพาคนเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางขู่เข็ญคุกคาม

อวี๋จั๋วผลักชีอิ้งไปอยู่ข้างหยางซินหย่วนทันที “นายพาพี่สาวฉันไปที่ร้านชานมชีหลี่เซียงก่อน เดี๋ยวสักพักฉันจะตามไป”

เจ้าของร้านชานมชีหลี่เซียงเป็นแฟนคลับของโจวเจี๋ยหลุน* ไม่ว่าจะไปที่ร้านเวลาไหนก็มักจะได้ยินเพลงของเจย์ โจวอยู่เสมอ

หยางซินหย่วนซื้อชานมให้ชีอิ้งแก้วหนึ่ง แล้วรอคอยอย่างว้าวุ่นลุ้นระทึก

จนกระทั่งชีอิ้งดื่มชานมทั้งแก้วเสร็จแล้ว แม้แต่ไข่มุกก็ไม่เหลือสักเม็ด อวี๋จั๋วก็ยังไม่กลับมา

เขานึกถึงเรื่องที่จี้รั่งซ้อมรุ่นพี่ที่อยู่ระดับชั้นสูงกว่าจนเข้าโรงพยาบาลเมื่อเทอมที่แล้วก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป พิมพ์ข้อความบอกให้ชีอิ้งรออยู่ที่นี่อย่าไปไหนโดยพลการก่อนจะวิ่งออกไปหาอวี๋จั๋ว

แม้ชีอิ้งจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สังเกตจากคำพูดและสีหน้าของหยางซินหย่วนแล้วเธอก็รู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่เข้าท่า และเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของอวี๋จั๋วเมื่อครู่ก็คิดว่าเขาคงจะพบเรื่องเดือดร้อนอะไรบางอย่างจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

เมื่อคิดดูแล้ว เธอก็ลุกขึ้นไปตามหาเขา

ตรอกซีถ่าอยู่ที่ประตูหลังของโรงเรียน

อวี๋จั๋วเผชิญหน้ากับคนทั้งกลุ่มซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยตัวคนเดียวโดยไม่ขลาดกลัวเลยสักนิด ตอนเขาอยู่ มัธยมต้นก็เป็นนักเลง ทั้งยังฝึกเทควันโดมานิดหน่อย ทะเลาะวิวาทไม่เต็มร้อยก็ได้สักแปดสิบ ไม่เห็นขาใหญ่โรงเรียนไห่อี* อยู่ในสายตาจริงๆ

เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แล้วถามขึ้นอย่างหาเรื่องว่า “จะเข้ามาพร้อมกันหรือจะมาทีละคน”

ทุกคนโมโห!

นายเบิ้มชวีถกแขนเสื้อขึ้นแล้วด่า “แกอย่าอวดดีนักเลย เดี๋ยวจะร้องไห้หาพ่อเรียกหาแม่ไม่ทัน!”

คนทั้งกลุ่มกำลังจะบุกเข้าไปซ้อมเขา แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น “หลีกไป”

อวี๋จั๋วมองดูเด็กหนุ่มที่สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะเดินเข้ามาจากท่ามกลางกลุ่มคนที่แหวกทางให้ด้วยท่าทางไม่รีบร้อน เปลือกตาหรี่ลงครึ่งเดียว จะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ถามเขาว่า “อวี๋จั๋วใช่ไหม”

อวี๋จั๋วแค่นยิ้ม “ฉันเป็นปู่แกต่างหาก”

จี้รั่งกวักนิ้วให้เขา “มา”

อวี๋จั๋วชูหมัดพุ่งเข้าไป

ในการต่อสู้ตัวต่อตัวเขายังไม่เคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ผลปรากฏว่าหมัดแกว่งใส่ความว่างเปล่า แทบจะในชั่วพริบตาท้องน้อยก็เจ็บแปลบ เขาถูกจี้รั่งกระแทกเข่าใส่จนแทบจะล้มหงาย

อวี๋จั๋วคิดในใจ เสร็จกัน! ประมาทศัตรู พบเจอมือดีซะแล้ว

ทั้งสองยังสู้กันต่อ แต่แล้วตรอกที่สงบเงียบอยู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมา ตามด้วยคนสิบกว่าคนวิ่งออกมาติดๆ กันจากช่วงหัวโค้งของซอย ในมือถือไม้บ้างอิฐบ้าง

นายเบิ้มชวีด่าเสียงดัง “ฉิบหาย พวกมันซ่องสุมกำลังคน!”

อวี๋จั๋วตะโกนโต้กลับ “ไม่ใช่คนของฉัน!”

นายเบิ้มชวีเพ่งมองแล้วพบว่าเป็นพวกอันธพาลจากโรงเรียนมัธยมหมายเลขสามที่อยู่ติดกันและโดนพวกเขาเล่นงานไปเมื่อเช้านี้

อาศัยตอนที่พวกเขากำลังต่อสู้กันที่นี่ ฉวยโอกาสทำการโจมตี

การสู้ตัวต่อตัวกลายเป็นการรุมสกรัม อวี๋จั๋วที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เขาจะสู้กับใครก็ไม่ถูกต้องจึงได้แต่ยืนดูการต่อสู้นิ่งๆ

จี้รั่งลงมือหนักจริง ดูออกว่าเคยฝึกฝีมือมา รวบรัดหมดจด ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปก็เห็นเลือด แต่ว่าครั้งนี้จี้รั่งตั้งใจมาอัดเขา เดิมทีไม่ได้พาคนมาด้วยสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้นำเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมา อีกฝ่ายกำลังคนมากกว่าแล้วยังมีอาวุธอีกด้วย นับว่าถือดีอย่างมาก

อวี๋จั๋วกำลังใช้ความคิด ร้ายดียังไงก็เป็นโรงเรียนเดียวกัน ช่วยสักหน่อยดีไหมนะ

ขณะกำลังคิดอยู่ เด็กคนหนึ่งที่ถือก้านเหล็กในมือก็ฉวยโอกาสตอนที่จี้รั่งหันหลังไปรับมือกับคนอีกสองคนพุ่งปราดเข้าไปแล้วเงื้อก้านเหล็กขึ้นฟาด อวี๋จั๋วตวาดเสียงดัง “ระวัง!”

เพิ่งจะสิ้นเสียง ตรงหางตาก็มีเงาคนวาบเข้ามา ยังไม่ทันตอบสนอง คนที่มาถึงด้านหลังของจี้รั่งก็ฝืนรับก้านเหล็กนั้นแทนเขา

พอเห็นชัดว่าผู้มาใหม่เป็นใคร อวี๋จั๋วก็หลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาในชั่วพริบตา

“พี่!” อวี๋จั๋วโกรธจนตาแทบถลน พุ่งเข้าไปแล้วเตะคนที่ลอบโจมตีกระเด็นไปในเท้าเดียว “ไอ้สารเลว!”

จี้รั่งหันกลับมาทันควัน โอบกอดร่างที่อ่อนปวกเปียกข้างหลังเอาไว้

ปลายจมูกเด็กหนุ่มได้กลิ่นหอมจางๆ

เขาก้มหน้าลงไปสบกับดวงตาคู่หนึ่งซึ่งมีน้ำตาคลอหน่วย ราวกับมีแสงจันทร์แสงดาวโปรยลงมา

เธอเรียกเขาอย่างไร้เสียงว่า “ท่านแม่ทัพ”

 

เชิงอรรถ

* เทศกาลโคมไฟ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติจีน

** ถังหูลู่ ผลไม้เคลือบน้ำตาล

* เหล่า คำเรียกที่ใช้กับคนที่สนิทสนมกัน โดยจะวางไว้หน้าแซ่

* ขนมจั้ง หรือขนมจ่าง ขนมจากข้าวเหนียว แบบหวานในไทยเรียกว่า ‘กีจ่าง’ แบบคาวเรียกว่า ‘บ๊ะจ่าง’ ใช้ไหว้ในเทศกาลตวนอู่

* โจวเจี๋ยหลุน หรือ Jay Chou นักร้องชายของไต้หวัน ‘ชีหลี่เซียง’ ที่แปลว่าต้นแก้วก็เป็นหนึ่งในชื่อเพลงและอัลบั้มของโจวเจี๋ยหลุน

* ไห่อี คำเรียกย่อๆ ของโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: