บทที่ 66 หญิงสาวที่เขาชอบมาหลายปี
ตลอดทางตั้งแต่ออกจากตึกมาจนถึงบ้าน อารมณ์ของซังเหยียนดูแปลกเหลือเกิน หลังจากเข้าบ้านแล้วท่าทีทุกอย่างของเขาก็คล้ายมีเป้าหมายชัดเจน เห็นชัดว่าคงรู้เรื่องนี้มาจากปากใครเข้า
เวินอี่ฝานก้มหน้าลงมองบาดแผลบนขาตามที่เขาพูด หยุดต่อต้านในทันที “ก็แค่โดนผลักน่ะ แล้วกิ่งไม้บาดเอา ไม่รุนแรงอะไรหรอก ฉันทายาแล้ว เดี๋ยวก็หาย”
พอเธอพูดออกไป ภายในบ้านก็เงียบงัน
เวินอี่ฝานเลียมุมปาก รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เลยช้อนตาขึ้นสบตาซังเหยียนอีกครั้ง สีหน้าเขาไร้คลื่นอารมณ์ราวกับกำลังรอคอย รอให้เธอพูดต่อ
ชะงักค้างกันไปอีกสักครู่
ดูเหมือนซังเหยียนจะหมดความอดทน “เธอพูดจบแล้ว?”
“…”
“ใครผลักเธอ”
เวินอี่ฝานตอบตามตรง “…ก็ผู้ชายคนนั้นที่เรียกตัวเองว่าน้าน่ะ”
ซังเหยียนถามคำถามหนึ่งและต่อด้วยอีกคำถาม “นานแค่ไหนแล้ว”
“หา?”
“เขามาก่อกวนเธอนานแค่ไหนแล้ว”
“…” เวินอี่ฝานตอบไปโดยอัตโนมัติ “เขาไม่ได้มาก่อกวน”
ชายหนุ่มทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอปฏิเสธ เอ่ยต่อว่า “ตั้งแต่คราวที่แล้วที่เขามาเกาะแกะเธอที่จยาปัน? หรือก่อนหน้านั้นอีก”
“ไม่ใช่ ฉันก็ไม่ค่อยได้เจอเขา ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาอยู่เมืองหนานอู๋” เวินอี่ฝานอธิบาย “แล้วช่วงนี้ก็ไม่…”
“ช่วงนี้?” ซังเหยียนขัดจังหวะเธอ เอ่ยเน้นอย่างชัดเจน “เพราะฉะนั้นมันนานแค่ไหนแล้ว”
“…”
“เวินอี่ฝาน ช่วงนี้ฉันบอกเธอว่า…” ซังเหยียนโกรธจัดจนหัวเราะออกมา “ ‘ถ้ามีเรื่องอะไรก็คุยกับฉันได้นะ’ กี่ครั้งแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อจริงอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน เวินอี่ฝานก็อึ้งไปเล็กน้อย เธอขยับปาก จู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าพูดอยู่บ้าง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพึมพำออกมา
“ขอโทษนะ”
ซังเหยียนมองเธอ
“ฉันแค่คิดว่าไม่อยากให้เรื่องนี้มากระทบถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน” เวินอี่ฝานเอ่ย “แล้วฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เป็นเรื่องที่ฉันแก้ไขเองได้”
“ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่” ซังเหยียนพูดซ้ำคำพูดของเธอขึ้นมาลอยๆ น้ำเสียงไม่หลงเหลือความอบอุ่นอยู่เลย “แล้วอะไรถึงเป็นเรื่องใหญ่”
เวินอี่ฝานตอบไม่ได้
“จะต้องให้ฉันถามประโยคนึง เธอถึงตอบประโยคนึงเหรอ” ซังเหยียนจ้องหน้าเธอ น้ำเสียงเย็นยะเยียบและแข็งกร้าว “ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง สำหรับเธอแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นแบบนี้ใช่มั้ย”
“…”
“เวินอี่ฝาน” ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงไปมา “เธอนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย”
เขารู้สึกว่าเธอและเขาดูเหมือนจะเขยิบเข้าใกล้กันได้เพียงเท่านี้
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเพื่อเธออีก ก็คงไม่มีทางที่จะเดินเข้าไปในหัวใจของเธอได้
“ฉันเข้าใจว่าเธอมีเรื่องที่ไม่อยากพูด ได้ ไม่เป็นไร เธออยากจะเล่าให้ฉันฟังเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แม้แต่เรื่องนี้เธอยังไม่เล่าให้ฉันฟัง” ซังเหยียนปล่อยมือออก ค่อยๆ พูดต่อจนจบ “เธอไม่เชื่อใจฉันใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” ไม่ใช่ว่าเวินอี่ฝานจะไม่เคยเห็นซังเหยียนโมโห ทว่าในเวลานี้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจเหลือเกิน “เพียงแต่นายกำลังจะไปเมืองอี๋เหอ แล้วฉันก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้ เลยไม่อยากให้นายเป็นห่วงอะ”
ซังเหยียนไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องหน้าเธอ
ผ่านไปครู่ใหญ่ความรู้สึกในดวงตาเขาค่อยๆ จางหายไป ความโกรธจัดคล้ายว่าจะดับมอดลง กลับไปสู่ท่าทางรักษาระยะห่างอย่างคนแปลกหน้าเหมือนในยามปกติ
เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ฉันวางกุญแจไว้ตรงนี้ หลายวันนี้เธอก็ขับรถไปทำงานและขับรถกลับเองแล้วกัน ก่อนนอนก็ล็อกประตูบ้านด้วย”
“…”
ซังเหยียนหลุบตาลง ค่อยๆ ดึงขากางเกงของเธอลงมาให้เรียบร้อย จากนั้นก็อุ้มเธอลงมาจากตู้รองเท้า ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อครู่ที่พวกเขาทะเลาะกันคล้ายเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ฉันไปล่ะ” ซังเหยียนไม่หันมามองเธออีก เขาเปิดประตูบ้านพลางพูด “เธอไปพักผ่อนเถอะ”
เวินอี่ฝานจ้องประตูที่ถูกปิดลง เธออยากจะเดินตามเขาไปในทันที แต่เป็นเพราะประโยคสุดท้ายที่ซังเหยียนพูด ดูจากน้ำเสียงและสีหน้า คล้ายว่าจะแสดงถึงความผิดหวังอยู่บ้าง เธอจึงค่อยๆ หยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวเท้าตามไป
ท่าทางแบบนั้นเวินอี่ฝานคุ้นตามาก
คล้ายกับตอนที่เธอเจอเขาครั้งสุดท้าย ก่อนจะมาพบกันใหม่
เวินอี่ฝานไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดไปหรือเปล่า
เธอทำผิดเหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย
เธอเพียงอยากทำดีกับเขาให้มากหน่อย คิดเพียงว่าอยากให้เรื่องพวกนั้นที่ยากจะรับได้ในชีวิตเธออยู่ห่างจากตัวเขา เพียงแค่อยากให้เขารู้สึกว่าการคบกับเธอเป็นเรื่องสบายใจและธรรมดาอย่างที่สุด เธอเพียงอยากให้เขาอยู่ข้างกายเธอตลอดไป
ทว่าดูเหมือนเธอยังทำได้ไม่ดีพอ
คล้ายว่าเธอไปทำร้ายซังเหยียนซ้ำอีกครั้ง
เวินอี่ฝานยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจลอย จู่ๆ เธอก็หันไปมองนาฬิกาบนผนัง
เกือบทุ่มครึ่งแล้ว
เธอกลัวว่าเขาจะเรียกรถไม่ได้จึงเลิกล้มความคิดตอนนี้ไปโดยพลันแล้วหยิบกุญแจรถ เปิดประตูออกไปทันที เธอหยิบมือถือออกมาส่งข้อความไปหาซังเหยียน
เวินอี่ฝาน : ฉันไปส่งนายแล้วกัน เวลานี้เรียกรถยาก
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พิมพ์ต่อไปอีกว่า ‘รอให้นายกลับมา พวกเราค่อยมาคุยกันดีมั้ย’
ทว่ายังไม่ทันส่งออกไป ซังเหยียนก็ตอบมาพอดี
ซังเหยียน : ไม่ต้อง
ซังเหยียน : ฉันขึ้นรถแล้ว
ปลายนิ้วเธอชะงักในทันใด ฝีเท้าก็หยุดตามไปด้วย ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงลบคำที่พิมพ์ในช่องทิ้งไปแล้วพิมพ์ใหม่
เวินอี่ฝาน : งั้นนายก็ระวังตัวด้วยล่ะ
เวินอี่ฝาน : ถ้าถึงแล้วบอกฉันด้วยนะ
เวินอี่ฝานหลุบตาลง
ถ้าเดินทางจากตัวเมืองไปถึงสนามบินในเวลานี้ เวินอี่ฝานไม่รู้ว่าเขาจะไปทันขึ้นเครื่องไหม เธอไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเรื่องอื่น คำนวณเวลาไปพลางถามเขาว่าถึงสนามบินหรือยัง
ซังเหยียนก็ตอบมาตามที่ถามไป
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ตอบมาก็ตอบแค่ไม่กี่คำ คล้ายว่าเขาไม่มีความอดทนพอที่จะพิมพ์ตัวอักษรไม่ต่างจากปกติมากนัก ทว่าที่ผ่านมาพอเขาพิมพ์มาไม่กี่ประโยคก็จะเริ่มส่งข้อความเสียง
มองแค่ตัวอักษร ไม่อาจสัมผัสถึงอารมณ์ได้
คล้ายว่ามันสามารถออกแรงดึงให้พวกเขาแยกออกจากกันแบบไร้รูป
เพราะความเย็นชาของเขา เวินอี่ฝานจึงไม่กล้าถามบ่อยเกินไป จนกระทั่งแน่ใจว่าเขาขึ้นเครื่องแล้วก็วางใจลง เธอกลับเข้าห้องนอนด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ล้มตัวนอนลงบนเตียง ไม่อยากขยับตัวเลย
ทว่าเมื่อนึกถึงบาดแผลที่ขา เวินอี่ฝานก็ยังต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ เธอพยายามไม่ให้แผลโดนน้ำ อาบน้ำไปอย่างลวกๆ จากนั้นก็ไปนั่งลงบนเตียงแล้วเริ่มทายา
เธอใช้คอตตอนบัดเช็ดคราบน้ำที่โดนแผลโดยบังเอิญ ตั้งใจทำแผลอย่างระมัดระวัง
รอบด้านเงียบสงัด
เวินอี่ฝานค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายที่กลืนกินเธอเข้าไปทีละนิด
เธอค่อยๆ กำคอตตอนบัดแน่นขึ้น ภาพที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในคืนนั้นค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิด
‘พรุ่งนี้นายยังจะช่วยฉันทายามั้ย’
‘พออาบน้ำเสร็จก็เข้ามาหาฉันแล้วกัน’
รอยแดงที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ พร่าเบลอ เธอมองอะไรไม่ค่อยชัด
เวินอี่ฝานทายาให้ตัวเองต่อ เงียบงันและสงบนิ่งอย่างที่สุด เธอพยายามกะพริบตา น้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาโดนแผล ทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ด
เธอดึงสติกลับมา ใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างยากลำบาก ก่อนจะหยิบคอตตอนบัดมาเช็ดคราบน้ำออกจนแห้งอีกครั้ง
ช่วงบ่ายวันต่อมาเวินอี่ฝานก็ได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจ ทางนั้นขอให้เธอไปให้ปากคำอีกหน่อย งานสายนักข่าวต้องไปสถานีตำรวจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พอเธอพิมพ์ต้นฉบับเสร็จก็เก็บของออกจากออฟฟิศ
คราวนี้เวินอี่ฝานถูกถามคำถามเกี่ยวกับที่เธอโดนเชอซิงเต๋อก่อกวนอย่างต่อเนื่อง
ทางสถานีตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดของสถานีโทรทัศน์แล้วก็พบว่าเชอซิงเต๋อมาปรากฏตัวที่สถานีโทรทัศน์หนานอู๋แทบทุกวัน ทว่าเขาไม่ได้ทำร้ายเวินอี่ฝานอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งก็ไม่ได้ทำรุนแรงกับเธอ
เชอซิงเต๋อขโมยกระเป๋าเธอไม่สำเร็จ หลังจากถูกจับก็ไม่ได้คิดหนี ข้อหาจึงไม่รุนแรงนัก วันนั้นเชอเยี่ยนฉินก็ไปขอยอมความกับเวินอี่ฝาน พอถูกปฏิเสธกลับมาก็ตะโกนโหวกเหวกว่าจะหาทนาย
เวินอี่ฝานก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะลงเอยเช่นไร
เธอใจลอยทั้งวัน ไม่มีอารมณ์จะทำงาน แล้วก็ขี้เกียจจะไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ เธอเพียงแต่จัดการในส่วนที่ควรจัดการ ส่วนที่เหลือนั้นเธอไม่มีกำลังจะไปครุ่นคิดเลย
เมื่อกานหงหย่วนสังเกตเห็นท่าทางของเวินอี่ฝาน เขาก็เข้าใจว่าเธอคงได้รับผลกระทบจากเชอซิงเต๋อ บวกกับวันหยุดของเธอในช่วงก่อนเธอก็ต้องรีบมาทำโอทีที่ออฟฟิศเพราะเกิดเหตุกะทันหันขึ้น เลยตัดสินใจให้เธอหยุดงานสามวันเพื่อไปสะสางเรื่องพวกนี้
พอเวินอี่ฝานได้วันหยุด เธอก็ไม่ได้ดีใจอย่างที่คาดไว้ ถึงขนาดอยากปรึกษากับกานหงหย่วนว่าวันหยุดสามวันนี้จะขอเลื่อนไปอีกอาทิตย์ได้ไหม ในเมื่อเธออยู่บ้านคนเดียวก็ไม่มีอะไรทำ
เวินอี่ฝานอยากรอให้ซังเหยียนกลับมาก่อนแล้วค่อยหยุดสามวัน แต่ก็กังวลว่าถ้าเธอพูดเช่นนี้ กานหงหย่วนก็คงจะคิดว่าเธอไม่มีปัญหาอะไร แล้วเปลี่ยนใจไม่ให้เธอหยุดงาน
หลังจากกานหงหย่วนอนุญาตให้หยุดงาน เวินอี่ฝานก็ไม่ได้กลับบ้านทันที เธออ้อยอิ่งอยู่ที่ออฟฟิศจนถึงหกโมงแล้วค่อยปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เปิดวีแชตตามความเคยชิน ส่งข้อความหาซังเหยียน
ปลายนิ้วเธอชะงักอยู่ที่ปุ่มกดส่ง มือกำแน่น ผ่านไปหลายวินาทีจึงกดส่ง
เวินอี่ฝาน : นายกินข้าวหรือยัง
คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ซังเหยียนจะตอบมาทันที
เวินอี่ฝานรอสักครู่ แล้วค่อยเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างเงียบๆ ลุกขึ้นเดินออกจากออฟฟิศ
พอกลับถึงบ้าน เธอก็หยิบกุญแจมาเปิดประตูแล้วจ้องที่ตู้รองเท้าสักครู่
ในหัวคิดไปถึงเรื่องที่เธอกับเขาทะเลาะกันเมื่อคืน
ครู่ต่อมามือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเธอ
เวินอี่ฝานรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วรับสายทันที เสียงของจงซือเฉียวดังมาจากปลายสาย เอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก
“เป็นไงบ้าง ไม่มีแฟนอยู่ข้างตัวรู้สึกสบายใจมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
“…” เวินอี่ฝานถอนสายตากลับ เดินไปทางโซฟา เพียงแต่ยิ้มๆ
“รอให้เธอหยุดงานก่อน แล้วพวกเราสองคนค่อยออกไปกินข้าวกัน ซังเหยียนไปหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ” จงซือเฉียวเอ่ย “เฮ้อ หลังจากเธอมีแฟน เขาก็ดึงเวลาของเธอไปหมดเลย ฉันไม่ได้เจอเธอตั้งนานแล้วนะ”
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “โอเคจ้า”
“เธอพูดเสียงแบบนี้ เป็นอะไรไปเหรอ” จงซือเฉียวเอ่ยหยอกล้อ “ซังเหยียนเพิ่งไปวันเดียวเอง เธอก็คิดถึงเขาแล้วเหรอ ทำไมแต่ก่อนฉันมองไม่ออกเลยล่ะว่าเธอเป็นคนติดแฟน”
เวินอี่ฝานแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
เพียงครู่เดียวจงซือเฉียวก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติ จึงเอ่ยถาม “เฮ้อ เป็นไรอะ ปกติเวลาฉันพูดถึงซังเหยียน เธอก็จะพูดได้ตั้งหลายประโยคไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไม่พูดไม่จาเลยล่ะ ทะเลาะกับเขาเหรอ”
เวินอี่ฝานเงียบไปสักพัก ไม่ได้ยอมรับ เพียงแต่เอ่ยว่า “เขารู้สึกว่าฉันไม่บอกอะไรเขาเลย”
“หา! เธอเป็นหนักเอาการนะเนี่ย มีอะไรก็ชอบเก็บไว้ในใจคนเดียว” จงซือเฉียวเอ่ย “แต่คนที่เป็นแฟนกันจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เตี่ยนเตี่ยน เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นครั้งสองครั้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยครั้งเข้า พวกเธอสองคนจะเริ่มเข้ากันไม่ได้นะ”
“…” เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างงุนงง “แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่บอกอะไรเขาเลยนะ”
“หา?”
เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันเพียงแค่ไม่เล่าเรื่องแย่ๆ ให้เขาฟัง”
จงซือเฉียวยิ้มๆ “นั่นก็เหมือนกันแหละ”
“…”
“ถ้าเธอไม่พูด อีกฝ่ายเขาก็จะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูด เขาจะรู้สึกเพียงว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนยังไม่ถึงขั้นที่เธอจะเปิดเผยต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาได้ในทุกเรื่อง” จงซือเฉียวเอ่ย “ถ้าท้ายที่สุดแล้วเขาไปได้ยินจากปากคนอื่น อาจจะทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากนะ”
เงียบงันกันไปชั่วครู่
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “เฉียวเฉียว อาจเป็นเพราะฉันคบกับซังเหยียนมานานแล้ว ช่วงนี้ฉันเลยมักจะนึกถึงเรื่องแต่ก่อนเรื่องนึงอะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
เวินอี่ฝานเอ่ยเนิบๆ “ตอนแรกฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันเลือกมหา’ลัยหนานอู๋อะ”
จงซือเฉียวไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจึงอึ้งไปเล็กน้อย “ใช่สิ ฉันยังงงมากเลยว่าสุดท้ายทำไมเธอถึงเลือกอี๋เหอ ยังคิดอยู่เลยว่าพวกเราสองคนจะได้เรียนมหา’ลัยเดียวกัน”
“ตอนนั้นที่เลือกมหา’ลัย ซังเหยียนก็มาถามฉัน ฉันก็ตกลงกับเขาไปว่าจะเลือกหนานอู๋” เวินอี่ฝานไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้กับใครเลย แม้แต่ตอนอยู่ต่อหน้าซังเหยียนก็ยังไม่กล้าพูดสักนิด “แต่ฉัน…”
“มีอะไรเหรอ”
เวินอี่ฝานพูดไม่ออกอยู่บ้าง “สุดท้ายฉันก็เปลี่ยนมหา’ลัย”
“…”
เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “ฉันกังวลมากว่าเขาจะถือสาฉันเรื่องนี้”
คล้ายว่าพอมีเรื่องที่แคร์ คนก็จะเริ่มอ่อนแอขึ้นมา จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง
“เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้ ฉันพยายามจะคล้อยตามเขา ไม่ไปเพิ่มปัญหาให้เขา” เวินอี่ฝานถามอย่างช้าๆ “นี่ฉันทำผิดใช่มั้ย”
ผ่านไปครู่ใหญ่จงซือเฉียวก็ถามว่า “…เพราะฉะนั้นทำไมเธอถึงเปลี่ยน”
เวินอี่ฝานไม่ตอบ
จงซือเฉียวก็ตระหนักได้ว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร จึงไม่ซักไซ้ถามอีก “เธอก็ไม่ได้บอกเขา?”
เธอตอบอืมไปเบาๆ
“ฉันก็ยังคงพูดเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ถ้าเธออยากคบกับเขาต่อ เธอต้องบอกเขา” จงซือเฉียวเอ่ย “ไม่งั้นนี่จะเป็นเหมือนหนามที่คอยทิ่มแทงพวกเธอ”
“…”
“เตี่ยนเตี่ยน ไม่ใช่ว่าพูดแล้วถึงจะทำร้ายเขานะ” จงซือเฉียวเอ่ยอย่างจริงจัง “เธอหลีกเลี่ยงไม่ยอมพูดก็ทำร้ายเขาได้เหมือนกัน”
ทั้งสองฝ่ายดำดิ่งเข้าสู่ความเงียบ
ผ่านไปไม่กี่วินาทีจงซือเฉียวก็ถอนใจออกมา “เธออย่าทำผิดซ้ำอีกเลย”
เวลาสองทุ่มในวันต่อมาที่เมืองอี๋เหอ
หลังจากทานข้าวกับซังจื้อและต้วนจยาสวี่ เดิมทีซังเหยียนคิดว่าจะกลับไปนอนที่บ้านของต้วนจยาสวี่ ไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอคู่รักที่หวานจนเลี่ยนคู่นี้
ใครจะไปคิดว่าซังจื้อยังจะลากเขาไปดูหนังด้วยให้ได้ แล้วยังจัดแจงให้เขานั่งกับต้วนจยาสวี่ในที่นั่งสำหรับคู่รัก
ซังเหยียนรู้สึกหงุดหงิดและคิดว่าไร้สาระสิ้นดี เขาไล่ต้วนจยาสวี่ไปทันที จากนั้นก็นั่งพิงพนักดูมือถือ
ซังเหยียนตกเครื่องเมื่อวานซืน เขาเลยต้องซื้อตั๋วเครื่องบินสำหรับช่วงบ่ายในวันถัดไป แต่เขาไม่ได้บอกเวินอี่ฝาน เมื่อคืนตอนเธอส่งข้อความให้เขา เขาก็อยู่บนเครื่องบิน
หลังจากมาถึงสนามบิน ซังเหยียนถึงเพิ่งเห็นข้อความ พอตอบกลับไปเธอก็ส่งข้อความมาว่าให้เขานอนเร็วหน่อย หลังจากนั้นทั้งคืนมือถือของเขาก็ไม่มีข้อความอะไรมาอีก
ขนาดเวลาทานข้าวในวันนี้ ซังเหยียนก็ยังไม่ได้รับข้อความจากเวินอี่ฝาน
เขาจ้องห้องแชตของพวกเขาสองคน
พอนึกได้ว่าก่อนมาเมืองอี๋เหอเขาสาดไฟโทสะเหล่านั้นใส่เธอ ซังเหยียนก็ขยับปลายนิ้ว พิมพ์ไปว่า ‘กลับบ้านหรือยัง’
ทางฝั่งนั้นก็ยังไม่ตอบ
ภาพยนตร์เริ่มฉายพอดี
ซังเหยียนก็รออีกสักครู่แล้วโยนมือถือไปด้านข้าง จ้องที่หน้าจอตรงหน้า เขาไม่มีอารมณ์จะดูหนังเลยสักนิด โฟกัสไม่ได้เลย ผ่านไปอีกสักครู่ถึงรู้ว่านี่คือภาพยนตร์ 3D แต่เขากลับขี้เกียจสวมแว่น 3D
เสียงในโรงภาพยนตร์ดังมาก สั่นสะเทือนจนรู้สึกปวดหูนิดหน่อย ทว่าซังเหยียนไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด กลับรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง
ความง่วงงุนถาโถมเข้ามา ตามมาด้วยภาพฝันที่มืดสลัวและดูน่ากลัวที่สุด
ซังเหยียนฝันถึงตอนที่เวินอี่ฝานอายุสิบเจ็ดปี
เวินอี่ฝานที่อยู่ในฝันสวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่เหมือนกันทั้งเมืองเป่ยอวี๋ เธอก้าวเท้ายาวเดินไปในตรอกเดิมที่พวกเขาสองคนเคยเดินไปเดินมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่ามีใครเดินตามเธอมา สีหน้าเธอแฝงไปด้วยความหวาดกลัว หมดหนทางอย่างที่สุด
ครู่ต่อมาคนที่อยู่ด้านหลังก็ดึงตัวเธอไว้
เธอเห็นรอยยิ้มอันหยาบคายอย่างที่สุดของ ‘น้า’ คนนั้น
ท่าทางของเธอเตรียมป้องกันตัวเต็มที่ อยากสลัดออกในทันที ทว่ากลับสลัดไม่หลุดสักที
สภาพโดยรอบเงียบสงัดจนน่ากลัว บนโลกนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกเขาสองคน ดูเหมือนว่าแม้เธอจะกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร ก็จะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ยืดยาวออกไป ไม่มีใครมาช่วยเธอเลย
พอฉากเปลี่ยนไป
เวินอี่ฝานนั่งอยู่บนเตียงคนเดียว ลำแสงมืดสลัวอย่างมาก เหมือนทุกครั้งที่เธอละเมอ เธอจะนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขก หญิงสาวใช้ผ้าห่มห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ เพียงหลุบตาลง หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาทีละหยดๆ
ก่อนจะมีคนตบประตูอย่างแรงจากด้านนอก ส่งเสียงกระแทกดังมาก
ครู่ต่อมาจู่ๆ ซังเหยียนก็ถูกปลุกให้ตื่น
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันเห็นใบหน้าของซังจื้อที่ดูแปลกใจเล็กน้อย “พี่ กลับกันเถอะ”
ซังเหยียนคลิกมือถือด้านข้างให้หน้าจอสว่างโดยไม่รู้ตัว ยังคงไม่มีข้อความตอบกลับมาแต่อย่างใด เขาใจลอยไปบ้าง ตอบอืมไปเรื่อยเปื่อยแล้วลุกขึ้นยืน
ทั้งสามคนขึ้นไปบนรถ
ซังเหยียนนั่งอยู่เบาะหลัง มองออกไปนอกหน้าต่าง อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดถูกครอบงำด้วยความฝันเมื่อครู่นี้ เมื่อคิดรวบรวมร่องรอยต่างๆ ในช่วงนี้เขาก็พอจะได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่อยากเชื่อเลย
ในความทรงจำนั้นซังเหยียนจำได้แม่นว่าในครั้งสุดท้ายเวินอี่ฝานพูดจารุนแรงทำร้ายจิตใจเขา
เป็นคำพูดที่ทำลายศักดิ์ศรีของเขาลงอย่างสิ้นเชิง
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเอะใจเลยว่าเธอจะมีเหตุผลอื่น แต่เขาขออย่าให้มีเลย
เขาขอให้เป็นเพราะ…หญิงสาวคนนั้นที่เขาชอบมาหลายปี ตอนนั้นเป็นเพียงเพราะเธอทนไม่ไหวที่เขามาคอยกวนใจเธอ เป็นเพียงแค่เหตุผลนี้เท่านั้น เธอจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะออกห่างจากเขา
เป็นเพียงเพราะเธอไม่ชอบเขาเท่านั้น
เขาไม่อยากให้มีเหตุผลอื่นเลย
เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลายปีที่ผ่านมาที่จริงแล้วเธอไม่มีความสุขเลยสักนิด
ผ่านไปแค่แวบเดียวรถก็ขับมาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยอี๋เหอ
ซังเหยียนหันไปจ้องประตูมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคย เขาค่อยๆ ใจลอยไป นึกถึงที่เธอเคยพูดไว้เมื่อรู้ว่าเขาจะมาหาซังจื้อ
‘เธออยู่ที่โน่นคนเดียวก็น่าเป็นห่วงจริงๆ แหละ’
ซังเหยียนพึมพำอย่างไม่ตั้งใจ “พี่ว่าพี่กลับดีกว่า”
ซังจื้อที่นั่งอยู่เบาะหน้าได้ยินไม่ชัดจึงหันมาถาม “อะไรนะ”
“พวกเธอสองคนไปออกเดตกันเถอะ” ซังเหยียนมองมือถืออีกครั้ง เอ่ยเสียงเรียบ “พี่จะกลับเมืองหนานอู๋”
พอไปถึงสนามบินก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว
ซังเหยียนเดินไปที่ช่องขายตั๋วเครื่องบิน ในขณะที่กำลังจะถามว่ายังเหลือตั๋วกลับเมืองหนานอู๋หรือไม่ จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้น เขาชะงักไปชั่วครู่ หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอดูหน้าจอก็เห็นชื่อ ‘เวินซวงเจี้ยง’
สีหน้าเขาผ่อนคลายลง ชายหนุ่มเดินออกมาจากแถวซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วรับสายทันที
“กลับถึงบ้านแล้ว?”
“หา?” เวินอี่ฝานเอ่ยเบาๆ “ยัง”
“เลิกงานกี่โมง”
“…”
เงียบงันกันไปชั่วครู่
จู่ๆ เวินอี่ฝานก็ถามกลับ “ซังเหยียน ตอนนี้นายว่างหรือเปล่า”
“หืม?”
“ฉันไปหานายได้มั้ย ตอนนี้ฉันเพิ่งลงจากเครื่องบิน” เวินอี่ฝานชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสริมว่า “ฉันอยู่สนามบินเมืองอี๋เหอน่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.