บทที่ 67 หนุ่มน้อยที่รักของฉัน
คราวก่อนที่เวินอี่ฝานนั่งเครื่องบินจากเมืองหนานอู๋มายังเมืองอี๋เหอก็คือเมื่อแปดปีที่แล้ว
วันถัดมาหลังจากที่เธอเจอซังเหยียนที่เมืองเป่ยอวี๋เป็นครั้งสุดท้าย เวินอี่ฝานก็นั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองหนานอู๋ เธอไปหาจ้าวหยวนตงเพื่อเอาเงินทั้งหมดที่พ่อเหลือไว้ให้เธอและเอกสารต่างๆ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้อยู่ที่สองเมืองนี้อีก
เธอนั่งเครื่องบินมายังเมืองอี๋เหอคนเดียว
ครั้งนี้เวินอี่ฝานกลับรู้สึกแตกต่างไปจากครั้งนั้นโดยสิ้นเชิง
เวินอี่ฝานนั่งเครื่องบินในตำแหน่งริมหน้าต่าง เธอไม่ได้ทำอะไรเลย เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดว่าอีกเดี๋ยวพอลงจากเครื่องบินแล้วจะเล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาให้ซังเหยียนฟังอย่างไรดี
เธอไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบถึงเขาด้วยหรือเปล่า
ท้องฟ้าภายนอกมืดลงแล้ว ทว่ายังสามารถเห็นเมฆเป็นชั้นๆ ทั้งหนาและดำมืด ส่วนด้านล่างก็เป็นทิวทัศน์ในยามค่ำคืนและแถบแสงสีแดง ภายในห้องโดยสารเงียบสงบและมืดสลัว ยังแอบได้ยินเสียงคนซุบซิบพูดคุยกันเบาๆ
คล้ายเป็นการเดินทางที่แสนยาวไกลอันไม่มีจุดสิ้นสุด
จู่ๆ เวินอี่ฝานก็อยากรู้มากว่าเมื่อก่อนทุกครั้งที่ซังเหยียนนั่งรถไฟความเร็วสูงมาหาเธอที่เมืองเป่ยอวี๋ เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
จะเหมือนกับเธอในตอนนี้ไหม ที่รู้สึกตึงเครียดและเฝ้ารอคอย
รอคอยวินาทีที่จะได้พบหน้าเขา แต่เธอก็กลัวว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากเจอเธอเลย
อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในเครื่องบินก็ต่ำอยู่บ้าง เวินอี่ฝานจึงดึงผ้าห่มขนสัตว์ให้สูงขึ้นมาหน่อยโดยไม่รู้ตัว เธออยู่บนยานพาหนะตัวคนเดียว ไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยสักนิด ถึงจะไม่มีอะไรทำ เธอก็ไม่คิดจะนอน
เวินอี่ฝานมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ซังเหยียนฟัง เธอเลยรู้สึกสงบยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา
เธอเม้มปากเล็กน้อย คิดว่าจะค่อยๆ จัดการเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วอารมณ์ความรู้สึกในยามค่ำคืนก็ค่อยๆ ดึงเธอกลับไปสู่ความทรงจำช่วงนั้นที่เธอไม่อยากนึกถึงเลย
เวินอี่ฝานย้ายไปอยู่เมืองเป่ยอวี๋พร้อมครอบครัวลุงใหญ่ตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้น ม.5 เทอมสอง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้ต่างไปจากเมืองหนานอู๋เลย เพียงแค่เปลี่ยนจากที่เธออาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นในเมืองที่คุ้นเคย ไปสู่เมืองที่ไม่คุ้นเคยก็เท่านั้น
ช่วงเวลานั้นเวินอี่ฝานก็ไม่ค่อยแคร์เรื่องนี้สักเท่าไหร่
เธอรู้สึกว่าไม่มีทางเลือก แต่ก็ตระหนักได้ว่าเธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เธอเพียงแต่คิดว่าจะขยันเรียนทำคะแนนให้ดีขึ้น สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีหน่อย แล้วเธอก็หวังว่าเวลาจะเคลื่อนผ่านไปเร็วอีกนิด
เธอจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเร็วหน่อย เติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็วหน่อย และหาเงินได้ด้วยความสามารถของตัวเองเร็วหน่อย
ชีวิตแบบนี้จะได้จบลงสักที
สำหรับเวินอี่ฝานแล้ว แม้ว่าชีวิตในช่วงนั้นเธอจะเก็บกดและเป็นทุกข์ ทว่าเธอก็ยังคงมีความหวัง
เธอคิดว่าขอเพียงอดทนผ่านช่วงเวลานี้ไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น
ทว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เธอขึ้นชั้น ม.6
ปีนั้นเชอซิงเต๋อย้ายมาเมืองเป่ยอวี๋จากอีกเมืองหนึ่ง เขาไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ต้องคอยเกาะพี่สาวกิน หลังจากนั้นก็พักอยู่ที่บ้านของลุงใหญ่มาตลอด
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เวินอี่ฝานก็ไม่ถูกชะตากับคนที่เรียกตัวเองว่า ‘น้า’ เลยสักนิด
เวินอี่ฝานเป็นคนที่ความรู้สึกช้ามาก จะรับรู้ถึงความรู้สึกช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งจังหวะ ทว่าเธอกลับรู้สึกมาตลอดว่าแววตาที่เขามองเธอดูแปลกมาก พูดจาทั้งเลี่ยนและหยาบคาย ส่อแววถึงเจตนาร้ายชัดๆ
เธอเป็นคนที่แสดงออกไม่ค่อยเก่ง แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า
เริ่มแรกเชอซิงเต๋อไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลย
ตอนที่เชอซิงเต๋อยังหางานทำไม่ได้ เขาก็จะอยู่แต่บ้านแทบทุกวัน มานั่งพิงเวินอี่ฝานอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็อ้างเหตุผลว่าจะไปหยิบของแล้วแตะโดนตัวเธอ
ถ้าแค่ครั้งสองครั้งเวินอี่ฝานก็คิดว่าอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญ แต่พอบ่อยครั้งเข้าเธอก็ชักเริ่มรู้สึกว่าผิดปกติ
เวินอี่ฝานได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดีมาตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยพานพบเรื่องพรรค์นี้ ไม่รู้เลยว่าควรจะจัดการอย่างไร เวลาที่แม่โทรมาหาเธอ มีหลายครั้งที่คำพูดติดอยู่ที่มุมปาก แต่เธอกลับพูดไม่ออก
สำหรับเด็กสาวในวัยนั้นเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่พูดยาก
โชคดีที่ตอนอยู่ชั้น ม.6 เธอเรียนหนัก ทางโรงเรียนก็เห็นด้วยที่จะให้นักเรียนชั้น ม.6 ทบทวนบทเรียนที่โรงเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์
เวินอี่ฝานเลยตัดสินใจอยู่ประจำที่โรงเรียนไปเลย กลับบ้านให้น้อยลง ถ้าไม่ใช่วันหยุดเทศกาลที่โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนพักอยู่ในโรงเรียน ถึงขนาดที่เธอจะไม่เป็นฝ่ายขอกลับไปที่บ้านลุงใหญ่เอง
หลังจาก ม.6 เทอมแรกจบสิ้นไป
เวินอี่ฝานก็เริ่มเข้าสู่ปิดเทอมภาคฤดูหนาวสุดท้ายในช่วงมัธยมปลาย ถ้าคิดรวมเวลาจริงๆ ก็ไม่ถึงสองอาทิตย์ ทว่าในช่วงนั้นเชอซิงเต๋อก็เริ่มทำอะไรรุนแรงขึ้น
เวินอี่ฝานทนไม่ได้อีกต่อไป จึงบอกเชอเยี่ยนฉินไปครั้งหนึ่ง
เชอเยี่ยนฉินไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เลย เพียงแต่บอกว่าเธออ่อนไหวเกินไป อย่าไปหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แล้วก็อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
ก่อนจะพูดเวินอี่ฝานก็ทำใจไว้แล้วว่าเชอเยี่ยนฉินคงไม่เข้าข้างเธอ ในเมื่อหนทางนี้เป็นทางตัน เธอจึงไประบายเรื่องนี้กับแม่แทน ความหมายโดยคร่าวๆ ก็คือเธออยากไปเช่าอพาร์ตเมนต์ข้างนอกอยู่เอง
พอจ้าวหยวนตงได้ฟังก็รู้สึกเป็นกังวล แต่ก็ไม่วางใจให้เธอไปอยู่ข้างนอกคนเดียว พอพูดมาถึงตอนสุดท้ายเลยบอกเวินอี่ฝานว่าจะคุยกับเชอเยี่ยนฉินให้อีกครั้งแล้วกัน
ทว่าก็ไม่มีเรื่องราวต่อจากนั้น
คล้ายว่าเชอซิงเต๋อสังเกตเห็นว่าเวินอี่ฝานเอาแต่อดกลั้นและคอยหลบเลี่ยงเขา เขาก็เริ่มรุกหนักขึ้น เริ่มสะเดาะกุญแจเข้าห้องเธอในยามวิกาล มิหนำซ้ำยังทำท่าเหมือนคนเมาในบางครั้ง ออกแรงตบประตูห้องเธอ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองมาผิดห้อง
เวินอี่ฝานเคยเตือนเขาแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่เป็นผลแต่อย่างใด
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเขายิ่งตบประตูอย่างได้ใจมากขึ้น
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เวินอี่ฝานเพียงแต่เฝ้ารอคอยให้เวลาเคลื่อนผ่านไปจนถึงตีสามโดยเร็ว
เวินเหลียงเสียนและเชอเยี่ยนฉินเปิดแผงขายปิ้งย่าง พวกเขาจะขายจนถึงเวลาตีสองครึ่งในทุกคืน แล้วใช้เวลาเดินกลับบ้านราวครึ่งชั่วโมง ซึ่งจะกลับถึงบ้านประมาณตีสาม
เชอซิงเต๋อเกรงกลัวเวินเหลียงเสียนมาก
ถ้าเวินเหลียงเสียนอยู่ เขาจะคอยเก็บอาการ ไม่กล้าทำอะไรกำเริบเสิบสาน
ถึงแม้เวินอี่ฝานจะล็อกประตู แม้ว่าพอเธอกลับเข้าห้องจะดันโต๊ะไปกันประตูไว้ เธอก็ยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด เธอเริ่มซ่อนกรรไกรและคัตเตอร์ไว้ใต้หมอน เวลาอยู่บ้าน ถ้ายังไม่ถึงตีสามเธอจะไม่กล้าเข้านอน
เธอกลัวว่าเชอซิงเต๋อจะพังประตูเข้ามาตอนที่เธอไม่ระวัง
เธอใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปจนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ
ระหว่างนี้เวินอี่ฝานก็โทรหาแม่ติดต่อกันหลายครั้ง จ้าวหยวนตงก็แสดงท่าทีว่าทางเจิ้งเข่อจยาค่อยๆ ยอมรับเธอแล้วอยู่ตลอด รอให้แม่โน้มน้าวไปอีกสักระยะก็น่าจะให้เวินอี่ฝานย้ายกลับมาได้
หลังจากประกาศผลสอบ
ขณะที่เวินอี่ฝานกำลังจะเลือกมหาวิทยาลัย จ้าวหยวนตงก็ขอร้องให้เธอเลือกมหาวิทยาลัยหนานอู๋
ความหมายของแม่ก็คืออยากให้เวินอี่ฝานกลับมาอยู่ใกล้ๆ วันหลังจะได้ดูแลเธอสะดวกขึ้น
แม้ว่าเหตุผลที่จ้าวหยวนตงให้เธอมาพักอยู่บ้างลุงใหญ่ชั่วคราวในช่วงเวลานั้นจะเป็นเพราะครอบครัวใหม่ แต่เวินอี่ฝานก็ยังคงพึ่งพาจ้าวหยวนตงในหลายๆ เรื่อง เธอคิดเพียงว่าอยากจะหลุดพ้นออกจากชีวิตในช่วงนี้โดยเร็ว ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่อดีตไป เธอก็อยากลองปรับตัวเข้ากับครอบครัวใหม่เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เวินอี่ฝานจึงตอบตกลงกับจ้าวหยวนตง เพราะสำหรับเธอแล้ว นอกจากเมืองเป่ยอวี๋ เมืองอื่นก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ บวกกับเธอคิดว่าซังเหยียนก็อยู่ที่เมืองหนานอู๋ เขาอาจจะอยากอยู่ที่เมืองหนานอู๋มากกว่า
อาทิตย์นั้นที่เริ่มเลือกมหาวิทยาลัย ซังเหยียนก็ส่งมาหลายข้อความต่อเนื่องกัน ล้วนถามเธอว่าอยากจะเลือกมหาวิทยาลัยไหน
เวินอี่ฝานกลัวว่าเขาจะกรอกมหาวิทยาลัยที่ไม่สนใจเพราะเธอ เธอเลยลองถามเขาว่าอยากจะเลือกมหาวิทยาลัยไหน ทว่าเขาไม่ยอมตอบมาสักที ท้ายที่สุดเธอจึงต้องบอกเป็นการยืนยันไปว่าตัวเองจะเลือกมหาวิทยาลัยหนานอู๋
เธอจะกลับไปยังเมืองหนานอู๋
ถือว่าความทุกข์ระทมในช่วงเกือบสองปีนี้เป็นเพียงเมฆหมอกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
พวกเขาจะได้อยู่เมืองเดียวกัน
เวินอี่ฝานไม่อยากให้เขาต้องลำบากลำบนเดินทางข้ามเมืองมาหาเธอเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
จากนี้ไปพวกเขาจะได้เจอหน้ากันทุกวัน ดังเช่นตอนที่พวกเขายังเรียนอยู่ชั้น ม.4
ชีวิตต่อจากนี้ไปก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
จนกระทั่งวันสุดท้ายของการเลือกมหาวิทยาลัย
เช้ามืดวันนั้นในบ้านเหลือเพียงแค่เวินอี่ฝานคนเดียว ช่วงนั้นเชอซิงเต๋อหางานทำได้แล้ว ในอาทิตย์หนึ่งเขาจะไม่อยู่บ้านตั้งหลายวัน เธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องเวลาทำงานของเขา ไม่ค่อยแน่ใจว่าวันนี้เขาจะกลับบ้านหรือไม่
แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตีสาม เวินอี่ฝานก็ไม่กล้าเข้านอน
เวินอี่ฝานคุยกับซังเหยียนโดยการส่งข้อความทางมือถือ พลางคอยชำเลืองมองเวลาที่นาฬิกาปลุกตรงหัวเตียง
‘พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอได้มั้ย’
เวินอี่ฝานครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบ
‘รออีกสักระยะนึงแล้วกัน ฉันกำลังจะกลับไปเมืองหนานอู๋อยู่แล้ว นายไม่ต้องมาหรอก’
‘เธอจะกลับมาเมื่อไหร่อะ’
‘รอให้ได้จดหมายตอบรับเข้าเรียนก่อนแล้วกัน ยังไงพวกเราก็ต้องกลับไปเอาที่โรงเรียน’
‘ตั้งเดือนกรกฎาแน่ะ’
ผ่านไปสักครู่ซังเหยียนก็ส่งข้อความมาอีก
‘วันที่ได้จดหมายตอบรับ ฉันจะไปหาเธอหน่อยแล้วกัน’
จนกระทั่งเวลาตีหนึ่งครึ่ง เชอซิงเต๋อก็ยังไม่กลับมา
เวินอี่ฝานคิดว่าเชอซิงเต๋อคงไม่กลับมาแล้ว ทว่าก็ยังกระวนกระวายใจอยู่บ้าง คล้ายพายุกำลังตั้งเค้า เธอนอนลงบนเตียง คุยกับซังเหยียนไปสักพักก็เริ่มง่วง
เธอฝืนเปิดเปลือกตาไว้ คิดว่าจะทนไปจนถึงเวลาตีสามแล้วค่อยเข้านอน แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงสู้ความง่วงงุนไม่ได้
เธอคิดเพียงว่าเวลาดึกดื่นป่านนี้แล้ว อีกสักครู่ลุงใหญ่ก็คงจะกลับมาบ้าน
จากนั้นเวินอี่ฝานก็ต้องสะดุ้งโหยงจากเสียงที่ประตู
คราวนี้เสียงที่ดังมาไม่ใช่เสียงโลหะสะเดาะลูกบิดประตูเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับเป็นเสียงกุกกักเหมือนใช้กุญแจไข เธอลืมตาขึ้นทันที ท่ามกลางความมืดมิดเธอพลันเห็นโต๊ะที่ใช้กันประตูไว้ล้มลงเพราะประตูถูกเปิดออก
เวินอี่ฝานช้อนตาขึ้นปะทะกับใบหน้าของเชอซิงเต๋ออย่างจัง
เชอซิงเต๋อใช้นิ้วควงกุญแจพลางหัวเราะอย่างชั่วช้าและน่าสยดสยอง รูปร่างเขาออกจะท้วม พอเข้ามาในห้องได้ก็โยนกุญแจทิ้งแล้วกระโจนขึ้นไปคร่อมร่างเธอ กลิ่นเหม็นเหงื่อและกลิ่นเหล้าคละคลุ้งตลบอบอวล
เขากดทับร่างเธอไว้ด้วยกำลังของเพศชายที่เหนือกว่าเพศหญิง
ชั่วพริบตานั้นเวินอี่ฝานก็ตื่นตัวเต็มที่ รับรู้ได้ว่าผ้าห่มบนร่างถูกกระชากออก เจตนาในการมาเยือนของเขาชัดแจ้งนัก มือหนึ่งดึงผมเธอไว้ อีกมือหนึ่งก็พยายามจะถอดกางเกงเธอ
เธอกรีดร้องสุดเสียง ดิ้นรนไปพลางเริ่มร้องขอความช่วยเหลือ
เวินอี่ฝานคิดว่าในวินาทีนั้นคล้ายวิญญาณเธอจะหลุดออกจากร่าง และกลายเป็นคนนอกที่คอยสังเกตการณ์ เธอเห็นตัวเองต่อต้านอย่างสุดกำลัง เธอคลำไปเจอกรรไกรที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนจึงรีบชักออกมาแทงไปที่เชอซิงเต๋ออย่างขาดสติ
เชอซิงเต๋อผงะถอยไปด้วยความเจ็บปวด แต่เดี๋ยวเดียวก็กระโจนเข้ามาอีก เขาคว้ากรรไกรจากมือเธอทันที
‘แม่งเอ๊ย อีนังโสเภณี!’
เวินอี่ฝานตาแดงก่ำพลางกระถดถอยไปด้านหลัง คลำหาคัตเตอร์ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนอีกครั้ง ร่างเธอแข็งเกร็งจนถึงที่สุด ทั้งกายและใจกำลังป้องกันตัวอย่างเต็มที่ เธอควบคุมเสียงที่สั่นเครือไว้ เอ่ยเน้นอย่างชัดเจน
‘น้าทำแบบนี้จะต้องติดคุกนะ’
เชอซิงเต๋อแสยะยิ้ม ‘เธอกล้าแจ้งตำรวจเรอะ’
‘…’
‘เธอจะให้ชาวบ้านเขารู้ว่าเธอถูกน้าข่มขืน?’ เชอซิงเต๋อร้องหึ ‘ซวงเจี้ยง ถ้าชาวบ้านรู้เข้า วันหน้าเธอจะแต่งออกไปยังไง นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าจะตายไป เธอรู้มั้ย’
คล้ายว่าเวินอี่ฝานจะไม่ได้ยินที่เขาพูด เธอเอาแต่จ้องหน้าเขานิ่ง
เธอกลัวเพียงอย่างเดียวว่าเขาจะกระโจนเข้ามาหาเธออีก
เด็กสาวผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวหน้านวลเนียน ริมฝีปากแดงระเรื่อ หน้าตาสวยหยาดเยิ้ม แขนขาขาวเกลี้ยงเกลา ท่วงท่าเธอขับเน้นให้เห็นทรวดทรงองค์เอวชัดเจน ทั่วทั้งร่างผิวเนียนนุ่มอย่างที่สุด เธอหดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งคล้ายลูกแมวที่มีหนามรอบตัว
เพราะเธอแสดงท่าทางเช่นนี้ ไฟราคะของเชอซิงเต๋อก็พุ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้ง
‘ไม่เป็นไรนะ น้าจะสู่ขอเธอเอง อย่าไปเรียนมหา’ลัยเลยนะซวงเจี้ยง มาเป็นเมียน้าเถอะ…’
เชอซิงเต๋อเอ่ยไปพลางขึ้นคร่อมร่างเวินอี่ฝานอีกครั้ง
คราวนี้คล้ายว่าเขาเห็นอยู่แต่แรกแล้วเลยกระชากคัตเตอร์มาจากมือเธออย่างมือไวตาไว เขาพยายามถอดกางเกงเธออีกครั้ง ลมหายใจแรงพ่นไปบนร่างเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
เวินอี่ฝานพยายามดิ้นรนด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกว่าตัวเองแหลกสลาย หมดแรงและสิ้นหวังอย่างที่สุด
และเป็นเวลาที่เธอรู้สึกว่าตัวเองแปดเปื้อนเหลือเกิน เธออยากตายไปเสียเดี๋ยวนั้น
ห้องของเธอมืดมิดอย่างที่สุด
เห็นชัดว่าผ้าม่านยังเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ทว่าชั่ววินาทีนั้นเวินอี่ฝานตระหนักว่าตัวเองคงไม่ได้เห็นแสงอีกแล้ว
เธอหวังให้ตนเองตายไปในทันที
ถ้าจะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้พร้อมแบกรับเรื่องอัปยศอดสูแบบนี้
งั้นเธอก็ขอตายไปเลยซะดีกว่า
ขณะที่เชอซิงเต๋อกดมือเธอไว้ทั้งสองข้างพยายามจะถอดเสื้อเธอออกก็มีเสียงดังขึ้นตรงทางเข้าบ้าน
เวินอี่ฝานน้ำตารื้น คล้ายว่าเธอจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหน้าไปมองนาฬิกาบนหัวเตียง
ตอนนี้เป็นเวลาตีสาม
ดวงตาของเธอที่ว่างเปล่านั้นก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้น เธอเริ่มร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ทว่าเป็นเพราะเธอตะโกนมานานเสียงเลยแหบพร่า แฝงไปด้วยเสียงสะอื้น
‘ลุงใหญ่! ช่วยหนูด้วย!’
เชอซิงเต๋อชะงักไปโดยพลัน แอบสบถด่าเธอเบาๆ
จากนั้นไฟในห้องรับแขกก็สว่างขึ้น
เสียงของเวินเหลียงเสียนดังมา ‘เกิดอะไรขึ้นน่ะ’
เชอเยี่ยนฉินก็เอ่ยว่า ‘ซวงเจี้ยง ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ตะโกนโหวกเหวกทำไมกัน…’
พอเชอเยี่ยนฉินเห็นเหตุการณ์ภายในห้องก็เงียบเสียงลงในทันใด
เวินเหลียงเสียนไม่พอใจในตัวเชอซิงเต๋อนานแล้ว พอเห็นสภาพเช่นนี้ก็เดือดดาลขึ้นมาทันใด เขาเดินเข้าไปลากเชอซิงเต๋อลงมาจากเตียงพลางตะคอกเสียงดังลั่น
‘นายทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอะไรน่ะ เด็กคนนี้เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง นายไม่รู้หรือไง!’
พอโผล่พ้นออกมาจากขุมนรก เวินอี่ฝานก็เอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้ทันที เธอก้มหน้าลงจ้องรอยเลือดที่มือ เป็นเลือดของเชอซิงเต๋อที่เปื้อนมาโดนตอนเธอใช้กรรไกรแทงเขา
เธอพยายามกลั้นน้ำตาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
เธอไม่มีทางหลั่งน้ำตาให้ไอ้สารเลวคนนี้
ไม่มีทางแน่นอน
‘ไม่ใช่ พี่เขย’ เชอซิงเต๋ออธิบาย ‘ผมดื่มเยอะไปหน่อย ผมเพิ่งเข้ามาเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเลย…’
พอได้ฟังเชอเยี่ยนฉินก็ถอนใจโล่งอก เดินเข้ามาโน้มน้าว ‘พี่ มันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ พี่ก็ไม่ต้องโมโหถึงขนาดนี้หรอก เต๋อไจ่* ก็แค่ดื่มเยอะไปหน่อย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป…’
ไม่รอให้เธอพูดจบ เวินอี่ฝานก็เอ่ยขัดจังหวะ ‘หนูจะแจ้งตำรวจ’
‘…’
‘ยายเด็กคนนี้พูดอะไรของเธอเนี่ย จะแจ้งตำรวจหาพระแสงอะไรกัน!’ เชอเยี่ยนฉินขมวดคิ้ว ‘น้าเขาก็แค่ดื่มเยอะไปหน่อย เธอดูเสื้อผ้าของเธอก็เรียบร้อยดีอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าชาวบ้านรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’
เวินเหลียงเสียนรักหน้าเป็นที่สุด เขากลัวว่าชาวบ้านจะล่วงรู้ว่าเขาดูแลหลานสาวจนมีสภาพแบบนี้
‘อาเจี้ยง ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ลุงใหญ่จะจัดการเรื่องนี้ให้เธอเองนะ แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเอะอะไปถึงนอกบ้านหรอก’
เวินอี่ฝานเงยหน้าขึ้น
เธอกวาดตามองหน้าเชอเยี่ยนฉิน เวินเหลียงเสียน ท้ายที่สุดก็จ้องหน้าเชอซิงเต๋อที่กำลังได้ใจอยู่เล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ เธอก็พูดซ้ำอีกครั้งด้วยอารมณ์สงบนิ่ง ร่างกายยังคงสั่นเทิ้ม
‘หนูจะแจ้งตำรวจ’
‘…’
‘เธอยังมีหัวจิตหัวใจมั้ยเนี่ย! อยากให้น้าของเธอติดคุกใช่ปะ!’ เชอเยี่ยนฉินเดือดพล่าน ‘เขาก็แค่เมาแล้วเดินเข้าผิดห้อง อีกอย่างเธอกลัวว่าวันหลังเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นขี้ปากคนอื่น…’
เวินอี่ฝานเอ่ยขัดจังหวะ ‘ก็แล้วแต่’
‘…’
‘หนูไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง’ เวินอี่ฝานหยิบมือถือมาจากข้างตัว พูดไปพลางโทร 110 ท่วงท่าเธอแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ ‘คนอื่นจะเม้าท์กันยังไงหนูไม่แคร์ หนูแค่อยากแจ้งตำรวจ’
พอได้ฟังเชอซิงเต๋อก็กะจะเดินไปแย่งมือถือเธอมา ทว่าปลายสายมีคนรับสายแล้ว
เวินอี่ฝานนั่งอยู่บนเตียง ตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอพยายามทำให้ตัวเองสงบลง เล่าถึงสถานการณ์ตามจริงไปรอบหนึ่ง
เชอซิงเต๋อหันไปมองเชอเยี่ยนฉินด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลนทันที
เชอเยี่ยนฉินก็ปลอบเขาไปว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’
พูดจบเวินอี่ฝานก็ไม่แลไปทางพวกเขาสามคนอีก มือยังคงสั่นเทา แล้วเริ่มโทรไปหาจ้าวหยวนตง
อาจเป็นเพราะกำลังนอนหลับอยู่ ผ่านไปครึ่งนาทีจ้าวหยวนตงจึงค่อยรับสาย
‘อาเจี้ยง?’
เวินอี่ฝานสูดจมูกฟึดฟัด พอได้ยินเสียงของแม่ น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ร่วงลงมาในเวลานี้ ไม่รอให้เธอได้ทันเอ่ยปาก เชอเยี่ยนฉินก็แย่งมือถือไปจากมือเธอแล้วหัวเราะเสียงเย็น
‘จ้าวหยวนตง ดูลูกสาวสุดที่รักของเธอสิ!’
‘…’
‘ฉันช่วยเธอเลี้ยงลูกอย่างลำบากยากเย็น แล้วผลสุดท้ายเป็นไง! ตอนนี้ลูกเธออยากเอาน้องชายฉันเข้าคุก ฉันจะบอกเธอไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าวันนี้เธอไม่แก้ปัญหานี้ให้ฉัน ก็อย่าคิดที่จะมีชีวิตสุขสบายไปได้!’ เชอเยี่ยนฉินเอ่ย ‘น้องชายฉันไปทำอะไรให้ เขาก็แค่เมาแล้วเข้าผิดห้อง! ยังไม่ได้ทำอะไรลูกสาวเธอเลย! ลูกสาวเธอก็พยายามจะมาปรักปรำเขาด้วยโทษข่มขืน! เด็กคนนี้ใจจืดใจดำเหลือเกิน!’
เหมือนว่าเชอเยี่ยนฉินเดือดดาลจนถึงขีดสุด ก่นด่าไปพักหนึ่ง
เวินอี่ฝานก็ไม่มีแรงที่จะแย่งมือถือกลับมา
หลังจากนั้นครู่ใหญ่เชอเยี่ยนฉินจึงโยนมือถือกลับไปให้เธอ
เวินอี่ฝานจ้องหน้าจอที่บ่งบอกว่าจ้าวหยวนตงยังอยู่ในสาย จู่ๆ เธอก็ไม่กล้าฟังสักเท่าไหร่ เมื่อนึกไปถึงครั้งก่อนตอนที่เธออยากให้แม่มารับเธอกลับไป แม่ก็ไม่ฟังอะไรเธอเลยแล้ววางสายไปทันที
เธอกำหมัดแน่น ค่อยๆ เอามือถือแนบหู
ขอร้องล่ะ แม่ ขอร้องล่ะ หนูขอร้องล่ะ แม่ช่วยหนูทีเถอะ แม่อย่าทอดทิ้งหนูอีกเลยนะ
ครู่ต่อมาเสียงลำบากใจของจ้าวหยวนตงก็ดังมาจากปลายสาย ‘อาเจี้ยง มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า ป้าใหญ่บอกแล้วว่าน้องชายเธอไม่ใช่คนอย่างนั้น…ลูกก็อย่าคิดมากเลยนะ อีกสองวันแม่ก็จะไป…’
เวินอี่ฝานไม่ทนฟังอีกต่อไป กดวางสายทันที
ยากนักที่จะใช้คำพูดมาอธิบายถึงความรู้สึกของเธอในตอนนี้
เธอไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้แล้วตัวเองก็มีด้านนี้เหมือนกัน
วินาทีนั้นเธอเพียงแต่หวังว่าให้โลกทั้งใบดับสิ้นไปซะ
เช้ามืดวันนั้นที่ยุ่งวุ่นวาย
ทางตำรวจนำตัวเวินอี่ฝานและเชอซิงเต๋อไปยังสถานีตำรวจ เธอเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา บวกกับเรื่องราวที่ผ่านมาในระยะเวลาหนึ่งปี หลังจากนั้นเธอก็ไม่กลับไปที่บ้านลุงใหญ่อีก แต่ไปพักที่บ้านของตำรวจหญิงคนหนึ่ง
ตำรวจหญิงนึกสงสารที่เธอต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนี้จึงให้คำปรึกษากับเธอ และบอกว่าเธอจะพักอยู่ที่บ้านนี้นานเท่าไหร่ก็ได้
ตำรวจหญิงคนนี้มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อว่าเฉินซี เธอเป็นเพื่อนห้องเดียวกับเวินอี่ฝานพอดี เวลาอยู่ที่โรงเรียนทั้งสองคนไม่ได้คุยกันมากนัก แต่เฉินซีเป็นคนเฟรนด์ลี่มาก เธอไม่พูดถึงเรื่องที่เวินอี่ฝานประสบพบเจอมาเลย
เพียงแต่ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
พอตกกลางคืนระหว่างที่เฉินซีคุยกับเธอ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในห้อง ‘จริงสิ ฉันว่าฉันจะเปลี่ยนมหา’ลัยแล้ว ฉันไม่อยากเรียนเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์อะ! โอ๊ย ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย!’
พอได้ยินคำว่า ‘เปลี่ยนมหา’ลัย’ เวินอี่ฝานก็ขยับเปลือกตาเล็กน้อย
เธอพลันนึกได้ว่าตัวเองก็เลือกมหาวิทยาลัยหนานอู๋เพราะแม่ขอร้อง แล้วก็นึกถึงคำพูดที่เพิ่งคุยกับแม่ทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานนี้
เธอก้มหน้าลงจ้องรอยแดงบนข้อมือที่ถูกเชอซิงเต๋อบีบด้วยสีหน้านิ่งงัน
ผ่านไปไม่นานเวินอี่ฝานก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของเฉินซี
ในเวลานี้เฉินซีกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอเพิ่งเปิดคอมพิวเตอร์ หางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างเวินอี่ฝาน เธอเลยหันมาถามพลางหัวเราะคิกๆ
‘มีอะไรเหรอ’
เวินอี่ฝานจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ‘เฉินซี ฉันขอใช้คอมพิวเตอร์ของเธอหน่อยได้มั้ย’
‘ได้สิ’ เฉินซีตอบในทันที ‘เธอจะทำอะไรเหรอ’
ภายในห้องเงียบไปหลายวินาที
คล้ายว่าแสงในดวงตาของเวินอี่ฝานจะมอดดับลงขณะที่เธอเอ่ยเบาๆ ‘ฉันอยากเปลี่ยนมหา’ลัยน่ะ’
ช่วงต่อมาเวินอี่ฝานก็พักอยู่ที่บ้านของเฉินซีตลอด
แม้ว่าจะพ้นออกมาจากคนอย่างเชอซิงเต๋อแล้ว ทว่าถ้ายังไม่ถึงตีสาม เวินอี่ฝานก็ยังคงนอนไม่หลับ เธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลย มักจะหลับไปแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา มักจะรู้สึกว่ามีคนมาทับร่างเธออยู่
เธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยออกอยู่ทุกวัน
เวินอี่ฝานไม่อยากติดต่อกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ทุกวันเธอจะหดตัวอยู่แต่ในกระดองของตัวเอง เพียงแต่ฟังที่ตำรวจหญิงกำชับ ถ้ามีอะไรที่ต้องให้การเพิ่มเติมจึงจะออกจากบ้านไปยังสถานีตำรวจ
ทว่าเพราะบนร่างของเวินอี่ฝานไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย แล้วก็ไม่มีหลักฐานอะไร บวกกับเวินเหลียงเสียนและเชอเยี่ยนฉินก็ให้การเข้าข้างเชอซิงเต๋อ สุดท้ายแล้วเชอซิงเต๋อก็ไม่ได้ถูกลงโทษหนักหนาอะไร เพียงแค่ถูกกักตัวไม่กี่วัน
เรื่องนี้ลือกันไปทั่วเขตหนึ่งของเมืองเป่ยอวี๋
ชาวบ้านต่างลือกันว่ามีน้าของครอบครัวหนึ่งไปข่มขืนหลานสาวของตัวเอง
เวินอี่ฝานขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านของเฉินซีทุกวันเลยไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกว่าชีวิตช่างเป็นทุกข์เหลือเกิน เกินที่จะทนไหว ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็จะเห็นได้ชัดว่าเธอผ่ายผอมลง
เธอรู้สึกว่าสภาพตัวเองเช่นนี้ดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
เวินอี่ฝานไม่อยากจะไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้แล้ว
เธอไม่อยากอยู่ในเมืองนี้ แล้วก็ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว
เธอคิดแต่เพียงว่าอยากได้จดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยโดยเร็ว พอได้มาแล้วเธอก็จะออกจากเมืองนี้ทันที
ออกไปให้ไกลจากเรื่องเหล่านี้
ในช่วงเวลานั้นเวินอี่ฝานใช้ชีวิตไปอย่างเบลอๆ
เธอไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลย มือถือก็ปิดมาเป็นเวลานาน สิ่งที่เธอใช้เวลาทำนานที่สุดในทุกวันคือการเหม่อลอยอยู่ในมุมหนึ่ง
เวินอี่ฝานรู้สึกว่าตัวเองทำตัวแปลกมาก
ทั้งๆ ที่ช่วงก่อนเธอยังรู้สึกว่าแสงรุ่งอรุณอยู่ไม่ไกลแล้ว
ทั้งๆ ที่ช่วงก่อนเธอยังรู้สึกว่าชีวิตกำลังจะดีขึ้น
ทว่าในยามนี้เธอกลับควบคุมพลังด้านลบของตนเองไม่ได้เลย
ทุกวันขณะที่เธอเอาแต่นึกถึงตอนที่เชอซิงเต๋อมาทับร่างตัวเอง ความคิดนั้นก็มักจะผุดขึ้นมา
เธอคิดอยากตายแทบทุกวัน
ช่วงอาทิตย์นั้นที่ได้รับจดหมายตอบรับ ในเมืองเป่ยอวี๋ก็ฝนตกปรอยๆ ติดต่อกันหลายวัน
วันนั้นพอเช็กการประกาศผล เฉินซีก็ดีใจเป็นที่สุด กอดเธออย่างตื่นเต้น ‘ดีจังเลย ฉันกับแฟนได้เข้าเรียนในคณะเดียวกัน แล้วพวกเรายังได้ไปเรียนมหา’ลัยเดียวกันด้วย’
ชั่วพริบตานั้นความคิดของเวินอี่ฝานก็หลุดออกมาจากความมืดมิด
จู่ๆ เธอก็นึกได้ว่าช่วงนี้เธอลืมอะไรไปบางอย่าง
เธอตกลงกับซังเหยียนว่าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน
…ทว่าเธอลืมไป
เธอเปลี่ยนมหาวิทยาลัย แล้วก็ไม่ได้บอกซังเหยียน
ขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เวินอี่ฝานก็ยังคงสงบนิ่งมาก เหมือนเธอจะคิดว่าผลลัพธ์มันก็ควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงลุกขึ้นไปควานหามือถือในกระเป๋านักเรียนที่ช่วงนี้ไม่ได้หยิบออกมาเลย
เธอกดปุ่มเปิดเครื่อง
ข้อความที่ยังไม่ได้อ่านและสายที่ไม่ได้รับก็เด้งขึ้นมาเป็นกอง
ซังเหยียนส่งข้อความให้เธอหลายสิบข้อความ
ข้อความล่าสุดที่เขาเพิ่งส่งมาคือเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
‘ฉันจะไปหาเธอนะ’
เวินอี่ฝานจ้องข้อความนั้นอยู่นาน
เฉินซีที่อยู่ข้างๆ พบว่าเธอเหม่อลอยจึงเอ่ยขัดจังหวะเพื่อเบนความสนใจของเธอ ‘เป็นอะไรไปเหรอ’
เวินอี่ฝานเงยหน้าขึ้น ‘ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อยนะ’
‘หา?’ นี่เป็นครั้งแรกในเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เวินอี่ฝานเอ่ยปากขอออกจากบ้านเอง เฉินซีเลยแปลกใจเล็กน้อย ‘มีอะไรเหรอ เธอจะไปไหนอะ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย’
เวินอี่ฝานยิ้มเล็กน้อย ‘ไม่ต้องหรอก ฉันไปหาเพื่อนคนนึงอะ’
‘โอเค’
เวินอี่ฝานลุกขึ้นเดินไปตรงทางเข้าแล้วเปิดประตูออก แล้วก็มีเสียงของเฉินซีดังตามมา
‘เอ๊ะ! จริงสิอี่ฝาน ข้างนอกฝนตกนะ เธอเอาร่มออกไปด้วยเถอะ!’
เฉินซีพูดไปพลางวิ่งเอาร่มมายัดใส่มือเธอ
เวินอี่ฝานมองไปทางเฉินซีพลางเอ่ยเบาๆ ‘ขอบคุณนะ’
‘ขอบคุณอะไรกันล่ะ!’ เฉินซียกยิ้ม ‘ไปเที่ยวกับเพื่อนให้แฮปปี้ๆ นะ’
พอได้ยินคำพูดนี้เวินอี่ฝานก็เงียบไปหลายวินาทีแล้วเอ่ยว่า ‘จ้ะ’ ก่อนจะออกจากบ้านไป
ท้องฟ้าภายนอกมืดสลัว ฝนตกไม่หนักเท่าไหร่ คล้ายกับเข็มเล่มเล็กๆ ตกลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง เมฆหมอกตรงหน้าดูหนาทึบ ดินโคลนก็มีที่ลึกบ้างตื้นบ้าง
เวินอี่ฝานกำลังนึกถึงสถานที่ที่ปกติซังเหยียนจะลงรถประจำทาง เธอจึงเดินไปทางบ้านลุงใหญ่
เพิ่งเดินไปถึงตรอกเล็กๆ ตรอกนั้น เวินอี่ฝานก็เจอกับเชอซิงเต๋ออีกครั้ง คล้ายว่าจะนึกไม่ถึงที่เจอกับเธอ เขาตะลึงไปเล็กน้อยแล้วเข้ามากระชากแขนเธออีกครั้ง คล้ายคนชั้นต่ำที่พบกับความสำเร็จ
‘โอ้ ซวงเจี้ยง’
‘…’ ความเจ็บปวดรวดร้าวของเวินอี่ฝานพุ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้ง เธอออกแรงสลัดให้หลุดจากมือเขา
‘เธอกล้าแจ้งตำรวจใช่มั้ย เธอว่าเรื่องที่เธอแจ้งตำรวจไป ระหว่างพวกเราสองคนใครจะเสียหายมากกว่ากัน น้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เธอน่ะสิ โดนชาวบ้านเม้าท์ซะจนมีสภาพแบบนี้?’ อาจเป็นเพราะเขาโดนกักตัวที่สถานีตำรวจซะหลายวัน หน้าตาจึงค่อยๆ แฝงไปด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อน ‘อีกอย่างเรื่องนี้จะมาโทษน้าคนเดียวก็ไม่ได้ปะ เธอหน้าตาอย่างกับอีนังร่าน วันๆ อยู่บ้านก็ใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น ก็ไม่ได้เพราะว่าเธออยากจะอ่อย…’
ไม่รอให้เขาพูดจบ จู่ๆ ซังเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้น เขาดึงตัวเวินอี่ฝานมาอยู่ด้านหลังแล้วพุ่งเข้าใส่เชอซิงเต๋อทันที
ใบหน้าของซังเหยียนแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม ออกแรงชกไปที่หน้าเชอซิงเต๋อหมัดหนึ่ง จากนั้นก็กระทุ้งเข่าใส่ท้องอีกฝ่าย ท่าทางเหมือนคนขาดสติที่ใช้กำลังไม่ยั้ง
เสียงกระแทกตุบตับดังลั่น
เชอซิงเต๋อไม่อาจสู้กลับได้เลย เขาโดนเตะโดนต่อยจนเริ่มร้องขอชีวิต
เวินอี่ฝานดึงสติกลับมาได้โดยพลัน เธอไม่อยากให้ซังเหยียนต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่อยากให้เขาต้องมีปัญหาเพราะเธอ จึงรีบเข้าไปดึงข้อมือเขาให้เดินไปอีกทาง
ซังเหยียนเดินตามเธอไป ‘คนนั้นเป็นใคร’
เวินอี่ฝานไม่ได้หันไปมองเขา ‘ฉันไม่รู้จัก’
ทั้งสองคนยังคงเดินต่อไป
ซังเหยียนก็เอ่ยขึ้นอีก ‘เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย’
เวินอี่ฝานตอบอืมไปเบาๆ
‘เวินซวงเจี้ยง วันหลังถ้าเย็นขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่ต้องลงมาก่อนหรอก’ เพราะผู้ชายที่เจอเมื่อครู่นี้ ซังเหยียนจึงอดพูดไม่ได้ ‘ฉันจะไปหาเธอที่ตึกที่เธอพักเอง’
เวินอี่ฝานยังคงเงียบกริบ
‘ช่วงนี้เธอยุ่งมากเหรอ’ เมื่อซังเหยียนสัมผัสได้ว่าเธอดูแปลกไป เขาก็ชะงักไปสองวินาที ‘ฉันติดต่อเธอไม่ได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า’
‘เปล่า มือถือฉันเสียน่ะ’ เวินอี่ฝานถือร่มให้สูงหน่อยเพื่อบังฝนให้เขา ‘ทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ’
‘อ้า’ ซังเหยียนรับร่มมาจากมือเธอ เอ่ยอย่างเป็นเรื่องธรรมดามาก ‘พวกเราตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ พอได้จดหมายตอบรับ ฉันก็จะมาหาเธอไง’
‘…’
เผลอแวบเดียวทั้งสองคนก็เดินมาถึงตรอกหนึ่ง
ว่างเปล่าไร้ผู้คน แสงไฟมืดสลัว มียุงบินว่อนอยู่ตรงหน้าไม่กี่ตัว เสียงฝนตกดังเปาะแปะ ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้คล้ายว่าจะแฝงไปด้วยความเย็นสบายอยู่หลายส่วน
อาจเป็นเพราะซังเหยียนเกรงว่าผู้ชายคนที่เจอเมื่อครู่นี้จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกเธอ เขาก็เลยพูดเยอะกว่าปกติ
‘ฉันได้จดหมายตอบรับแล้วนะ ฉันสอบติดคณะวิศวฯ ซอฟต์แวร์ที่หนานอู๋ เธอคะแนนน้อยกว่าฉันหน่อย แต่คะแนนของเธอน่าจะเข้าคณะนั้นได้สบาย…’
เวินอี่ฝานจ้องหนุ่มน้อยตรงหน้า คล้ายกำลังตั้งใจฟังที่เขาพูด แต่ก็คล้ายกับเธอไม่ได้ฟังอะไรเลย
คำพูดจากปากเชอซิงเต๋อยังดังก้องวนเวียนอยู่ในความคิดเธอ
‘นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าจะตายไป เธอรู้มั้ย’
เธอนึกย้อนซ้ำไปซ้ำมา
อีนังโสเภณี
อีนังร่าน
คำเหล่านี้…
เวินอี่ฝานจำความรู้สึกของตนเองในตอนนั้นไม่ได้
เธอจำได้เพียงว่าตอนนั้นเธอไม่แคร์ว่าใครหน้าไหนจะรู้เรื่องนี้บ้าง ถึงชาวบ้านจะลือกันว่าอย่างไรเธอก็ไม่สนใจ
ทว่าเธอไม่อยากให้ซังเหยียนรู้ ไม่อยากเลยแม้สักนิดเดียว
เธอไม่อยากเผยพิรุธออกมาแม้แต่น้อย
เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี เขาถึงจะไม่เคลือบแคลงสงสัยเลยสักนิด เธอคิดได้แต่เพียงวิธีที่ต้องใช้คำพูดรุนแรงเพื่อทำลายศักดิ์ศรีเขาให้ย่อยยับ
เวินอี่ฝานไม่อยากให้ซังเหยียนมีสภาพอย่างในตอนนี้ เขาต้องใช้เวลาเดินทางมาตั้งไกลเพียงเพื่อมาพบเธอ
นี่คือความผิดของเธอเอง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แม้จะสืบสาวราวเรื่องถึงสาเหตุ ก็แค่เพราะเธอลืมบอกเขา
ไม่มีความจำเป็นต้องให้ซังเหยียนมาแบกรับ
คนอย่างเธอทนไม่ได้ที่เขาจะมาทำดีกับเธอแบบนี้
พวกเขาน่าจะขาดการติดต่อกันไปตั้งนานแล้ว ครั้งก่อนที่เธอบอกเขาทางโทรศัพท์ว่าอย่ามากวนเธออีก พวกเขาก็ควรที่จะจบความสัมพันธ์กันไปแล้ว
…มันควรจะจบไปตั้งนานแล้ว
จู่ๆ เวินอี่ฝานก็เอ่ยขัดจังหวะ ‘ซังเหยียน’
‘หืม?’
‘ฉันไม่ได้เลือกมหา’ลัยหนานอู๋นะ’
พอได้ยินเธอพูด ซังเหยียนก็จ้องเธอนิ่งเหมือนจะไม่เข้าใจ เขายิ้มมุมปากขึ้นทันที
‘เธอล้อฉันเล่นใช่ปะ’
เวินอี่ฝานเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘เปล่า’
‘…’
ซังเหยียนมองตรวจสอบสีหน้าเธอ ผ่านไปหลายวินาทีเขาจึงตระหนักได้ว่าเธอพูดความจริง เขาค่อยๆ หุบยิ้มลง ครู่ใหญ่จึงถามขึ้น
‘แล้วเธอเลือกที่ไหน’
เวินอี่ฝานตอบตามจริง ‘อี๋เหอ’
‘ทำไม’
‘…’
ซังเหยียนจ้องหน้าเธอ ลูกกระเดือกค่อยๆ ขยับ เค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
‘ทำไมเธอถึงเลือกอี๋เหอล่ะ’
เวินอี่ฝานบังคับให้ตัวเองสบตาเขา ชั่วเวลานั้นเธอคิดหาเหตุผลอื่นที่ตัวเองเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไม่ออกจริงๆ เลยอ้างเหตุผลมั่วซั่วไป
‘ฉันตกลงกับคนอื่นไว้แล้วน่ะ’
‘แล้วฉันล่ะ’ ดูเหมือนซังเหยียนจะรู้สึกว่าช่างไร้สาระสิ้นดี เขาจ้องหน้าเธอ ‘เธอไม่มีอะไรอยากบอกฉันเหรอ’
เวินอี่ฝานเม้มปาก ไม่พูดไม่จา
ภายในตรอกเงียบสงัดเหลือเกิน
ซังเหยียนมองเธอเงียบๆ คล้ายว่ากำลังรอคำตอบจากเธอ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หลับตาลง เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอเสียดูห่างเหิน
‘เวินอี่ฝาน ฉันเป็นแค่ตัวสำรองของเธอเหรอ’
‘นายจะคิดอย่างนั้นก็ได้’ เวินอี่ฝานเงยหน้าขึ้น เธอรู้สึกเพียงว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูสะอาดบริสุทธิ์เหลือเกิน เขาไม่ควรจะต้องมาคบกับคนอย่างเธอ ‘ได้จดหมายตอบรับมาแล้ว นายอยู่ที่เมืองหนานอู๋ก็ดีแล้วนี่’
‘ถ้าเธอไม่อยากเข้ามหา’ลัยเดียวกับฉัน เธอก็บอกฉันมาตรงๆ เลยสิ’ ซังเหยียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา ‘ไม่ต้องใช้วิธีนี้ก็ได้’
‘งั้นฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ ซังเหยียน ฉันไม่ชอบเอามากๆ เลย’ เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ‘ฉันไม่ชอบที่นายคอยมาหาฉันที่เมืองเป่ยอวี๋อยู่ตลอด แล้วทุกครั้งฉันก็รำคาญมากด้วยที่ต้องออกมาเจอนาย’
‘…’
‘เมืองเป่ยอวี๋อยู่ใกล้เมืองหนานอู๋ งั้นฉันก็ไปเมืองที่ไกลหน่อยแล้วกัน โอเคมั้ย’ เวินอี่ฝานพูดจนจบโดยไม่กะพริบตา ‘วันหลังฉันไปถึงเมืองอี๋เหอแล้ว หวังว่านายจะไม่ไปหาฉันอีกเหมือนในตอนนี้นะ’
ตั้งแต่เธอเติบโตมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เวินอี่ฝานพูดจาแรงที่สุดกับคนอื่น
เธอไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายที่ต้องทนฟังคำพูดเหล่านี้จะเป็นซังเหยียน
หยดน้ำเกาะอยู่ที่ขนตาและผมเผ้าของซังเหยียนเต็มไปหมด เสื้อก็เปียกไปเสียครึ่ง ดวงตาเขาดำขลับ เธอมองอารมณ์เขาไม่ออก เขาขยับปากเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่รู้ว่าเสียงน้ำหยดดังมาจากที่ใด
เสียงดังเปาะแปะ…คล้ายเป็นเสียงหยาดน้ำตาหยดลงมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
เหมือนว่าซังเหยียนจะเดาอะไรขึ้นมาได้ เขายกมุมปากเล็กน้อย สีหน้านิ่งอึ้งไปบ้าง
‘เพราะฉะนั้นช่วงนี้ที่เธอไม่ยอมตอบข้อความฉันก็เพราะเรื่องนี้?’
‘อืม’
‘เวินอี่ฝาน’ ซังเหยียนเรียกเธอเป็นครั้งสุดท้าย ลูกกระเดือกขยับอีกครั้ง ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเอง เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง เอ่ยพลางหัวเราะเยาะตัวเอง ‘ฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นปะ’
เวินอี่ฝานรู้สึกคอแห้งผาก เธอเคลื่อนสายตาไปทางอื่น ไม่มองเขาอีก
คล้ายว่าจะรักษาเกียรติของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ซังเหยียนยิ้มน้อยๆ ‘วางใจเถอะ ฉันจะไม่มากวนเธออีก’
ช่วงเวลาหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่คุยกันอีก
ซังเหยียนยังคงเดินไปส่งเธอถึงตึกที่พัก เขาคืนร่มใส่มือเธอ ดูเหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เขามองหน้าเธอพลางเอ่ยเบาๆ
‘ฉันไปล่ะ’
เวินอี่ฝานตอบไปว่าอืม
เขาเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันหน้ากลับมาเอ่ยคำว่า ‘ลาก่อน’ พูดจบก็หมุนตัวเดินไปตามตรอกนั้น
เงาหลังเขาผอมสูง เวลาเดินเขามักจะเดินหลังตรง คล้ายไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร
แล้วเขาก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก
เหมือนหนุ่มน้อยคนนั้นในอดีตที่ยืนอยู่หน้าเครื่องกดน้ำ เรียกเธอว่า ‘รุ่นน้อง’ อย่างยโสโอหัง
เวินอี่ฝานยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ มองดูเขาที่ตั้งตารอคอยเดินทางข้ามเมืองมาหาเธอ ทว่ากลับต้องเดินออกจากสายตาเธอไปด้วยสภาพแบบนี้
ระหว่างที่ใจลอยอยู่นั้น เวินอี่ฝานคล้ายเกิดภาพลวงตา
สายฝนเป็นเหมือนพลังบางอย่างที่ไร้รูปกระแทกลงบนตัวเขาทีละหยด ทำลายความหยิ่งยโสในตัวเขาไปทีละนิ้ว
สีหน้าเธออึ้งไปเล็กน้อย จ้องร่มที่อยู่ในมือตัวเอง เธอก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเวินอี่ฝานก็เห็นว่าเขาหายไปท่ามกลางม่านหยาดฝน
ภายในตรอกเล็กๆ ที่ยาวไกลและมืดมิดคล้ายว่าไม่มีจุดสิ้นสุด
เวินอี่ฝานหยุดชะงัก ดวงตาค่อยๆ แดงก่ำขณะเอ่ยเบาๆ ‘ลาก่อน’
ลาก่อน
หนุ่มน้อยที่รักของฉัน
ฉันหวังว่าในชาตินี้นายจะพานพบแต่เรื่องที่สมดั่งใจ
หวังว่านายคงจะไม่เจอคนอย่างฉันอีก
ตั้งแต่นี้ต่อไป
นายก็ยังคงเป็นหนุ่มน้อยคนนั้นที่มีชีวิตชีวาและเย่อหยิ่งบาดตาบาดใจ
เวินอี่ฝานหยิบกระเป๋าเดินทางลงมาจากเครื่องบิน
เธอมาเจอซังเหยียนตรงทางออกตามที่เขาบอกตำแหน่งมาทางโทรศัพท์ ความประหม่าก็ผุดขึ้นมาทันทีทันใด เธอเดินเข้าไปหาเขา
“ทำไมนายถึงอยู่สนามบินล่ะ”
ซังเหยียนรับกระเป๋าเดินทางมาจากมือเธอ เอ่ยไปเรื่อย “เดิมทีฉันกำลังจะเตรียมตัวกลับน่ะ”
“…”
“ไปกันเถอะ” ซังเหยียนเดินไปข้างหน้า “หาโรงแรมก่อนแล้วกัน”
เวินอี่ฝานเดินตามเขาไป จ้องมือชายหนุ่มอีกข้างที่ยังว่างอยู่ แล้วเธอก็ยื่นมือไปกุมมือเขาอย่างลังเล
ซังเหยียนหันมามองแล้วกุมมือเธอตอบ
“เมื่อวานฉันค้นท้ายรถ เห็นว่านายไม่ได้เอากระเป๋าเดินทางมาด้วย” เวินอี่ฝานเลียมุมปาก อธิบายเบาๆ “พอดีหัวหน้าฉันอนุญาตให้ฉันหยุดงานสามวันน่ะ ฉันก็เลยมาที่นี่ แล้วถือโอกาสเอาเสื้อผ้ามาให้นายด้วย”
ซังเหยียนตอบอืมเบาๆ
หลังจากทั้งสองคนออกจากสนามบิน ซังเหยียนจึงพบว่าภายนอกฝนเริ่มตกปรอยๆ ไม่รู้ว่าตกตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชะงักไปชั่วครู่ มองไปทางเวินอี่ฝาน
“เธอรออยู่ตรงนี้นะ ฉันไปซื้อร่มข้างในแป๊บนึง”
เวินอี่ฝานพยักหน้า
เธอจ้องมองเงาหลังของซังเหยียน ผ่านไปสักครู่จึงเบนสายตากลับ
จากนั้นเวินอี่ฝานก็มองดูสายฝนที่ตกปรอยๆ อยู่ด้านนอก ผ่านไปไม่นานเธอก็เหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีดำ รูปร่างผอมสูง เดินฝ่าสายฝนตรงไปทางรถบัสของสนามบิน
ชวนให้เธอนึกไปถึงความทรงจำในช่วงนั้นอีกครั้ง ท่าทางเธอเหมือนเหม่อลอย อยากจะเดินตามไปทันที
ครู่ต่อมาซังเหยียนก็ดึงเธอจากด้านหลัง “เธอจะไปไหนน่ะ”
เวินอี่ฝานดึงสติกลับมาโดยพลันแล้วมองหน้าเขา
ซังเหยียนขมวดคิ้ว “ฉันบอกให้เธอรออยู่ตรงนี้ไง”
เวินอี่ฝานมีสีหน้าอึ้งๆ แล้วร้องเรียกเขา “ซังเหยียน”
“มีอะไร”
“ขอโทษนะ” เวินอี่ฝานมองเขา ผ่านมาหลายปีแล้วในที่สุดเธอก็พูดถึงเรื่องราวในอดีตกับเขาอีกครั้ง “ตอนนั้นฉันควรจะเอาร่มให้นาย”
ซังเหยียนยังคิดตามไม่ทัน “อะไรนะ”
ความสำนึกผิดที่เพิ่งโผล่มาเอาป่านนี้ค่อยๆ บุกทะลวงเข้าไปในร่างกายเธอทีละชั้นๆ เวินอี่ฝานก้มหน้าลง พยายามอดกลั้นไม่ให้เสียงสั่นแล้วพูดต่อจนจบ
“…ฉันไม่ควรให้นายกลับไปในสภาพเปียกปอนอย่างนั้น”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.