X
    Categories: First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอ บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 7 แสงจันทร์นวลผ่อง

หลังการถ่ายทอดสดเสร็จสิ้นลง เจินอวี้ก็ไปสัมภาษณ์ผู้คนที่มาชมงานดอกไม้ไฟสองสามคนจากบริเวณโดยรอบ หลังจากนั้นพวกเขาก็จัดเก็บอุปกรณ์เตรียมกลับสถานีโทรทัศน์

เมื่อเวินอี่ฝานนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงเรียกฟู่จ้วงที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยกัน

“ต้าจ้วง”

ฟู่จ้วงตอบรับ “อะไรครับ”

เวินอี่ฝานยังไม่ได้ถอดหน้ากากอนามัยออก “ถ้านายเจอพี่ตามข้างทางแล้วพี่ใส่หน้ากากอนามัยเหมือนในตอนนี้ เสื้อผ้าที่พี่ใส่นายก็ไม่เคยเห็น…” เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างจริงจังว่า “นายจะจำพี่ได้มั้ย”

“ใส่แค่หน้ากาก” ฟู่จ้วงครุ่นคิดสักครู่ ถามอย่างระมัดระวังอย่างมาก “ส่วนอื่นไม่ได้ปิดบังเลยใช่มั้ยครับ เช่นใส่แว่นกันแดดหรือใส่หมวกอะไรทำนองนี้”

“ก็อย่างในตอนนี้”

ฟู่จ้วงกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “จำได้สิพี่!”

“…”

“พี่อี่ฝาน พูดตรงๆ นะ ผมไม่เคยเห็นใครหน้าตาดีกว่าพี่เลย” ฟู่จ้วงเกาหัวอย่างเขินๆ “วันแรกที่ผมมาทำงานที่นี่ ตอนที่ได้เจอพี่ ผมยังนึกว่าพี่เป็นดาราดังมาทำงานผิดที่หรือเปล่า”

เจินอวี้ที่นั่งด้านข้างคนขับก็เอ่ยยิ้มๆ “เสี่ยวฝานนี่สวยจริงๆ นะ”

“พอตั้งใจมองแบบนี้ก็สวยจริงๆ นะ” ในเวลาว่างเฉียนเว่ยหวาจะใจดีกว่าปกติ จึงพูดล้อเล่น “เสี่ยวฝานมีแฟนหรือยัง เดี๋ยววันไหนครูจะแนะนำลูกชายให้รู้จัก”

เจินอวี้ด่ายิ้มๆ “โหขี้คุย ลูกชายของคุณยังไม่จบชั้นประถมเลยมั้ง”

ฟู่จ้วงทำหน้าทะเล้น “ไม่งั้นจะพิจารณาผมมั้ยครับ”

เวินอี่ฝานก็ไม่ได้หงุดหงิดที่พวกเขาหยอกล้อเธอ เพียงแค่ยิ้มๆ และกล่าวต่อว่า “รอให้พรปีใหม่ของนายเป็นจริงก่อนนะ แล้วค่อยมาคุยกัน”

ฟู่จ้วงโวยวาย “พี่เสี่ยวฝาน ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้อะครับ” พอโพล่งประโยคนี้ออกไป ฟู่จ้วงก็เขยิบเข้าไปใกล้เธอแล้วกระซิบว่า “แต่ว่า…”

“หืม?”

“พี่ เพราะวันนี้พี่ให้ถุงร้อนกับผม ผมรู้สึกซึ้งใจมาก” ฟู่จ้วงทำตาโต สีหน้าคล้ายว่าเขาจะขอร้องให้เธอชมเขาหน่อย “เพราะฉะนั้นตอนที่ผมขอพร ผมยังช่วยพี่ขอด้วยนะครับ”

“นายขอพรอะไรล่ะ”

“ผมขอให้พี่ได้เจอแฟนที่ดีมากๆ ในเร็ววันครับ” ฟู่จ้วงกำหมัด “ดีมากในทุกๆ ด้าน รูปร่างหน้าตาหล่อเหมือนผู้ชายคนนั้นที่พวกเราเพิ่งเห็นในวันนี้!”

“…”

ตอนที่เวินอี่ฝานกลับถึงห้องก็เกือบจะตีสองแล้ว

การนอนดึกถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แค่รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากขยับ เธอเปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะแล้วนั่งลงบนพรมข้างเตียง สไลด์มือถือไปอย่างเซ็งๆ

เพราะก่อนหน้านี้เธอส่งข้อความไปให้หลายคน บวกกับมีสายที่ไม่ได้รับและข้อความที่ยังไม่ได้อ่านอยู่ไม่น้อย

เวินอี่ฝานสไลด์หน้าจอต่อไปแล้วตอบทีละข้อความ จนสไลด์ไปถึงข้อความด้านล่างก็ยังไม่เห็นวี่แววการตอบกลับจากซังเหยียนเลย

เธอเลยคลิกเข้าไป

เหลือบมองประโยค ‘ไม่สุขสันต์ก็ได้นะ’ เวินอี่ฝานก็เครียดขึ้นมาโดยพลัน

“…”

ตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่อยากล้อเขาเล่นเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติ

ทว่าตอนนี้พอมาคิดดูแล้วทำไมเธอถึงรู้สึกเปลี่ยนไป

มันดูคล้ายการยั่วยุ

เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะสนใจเธอ เวินอี่ฝานก็ไม่ส่งข้อความไปทำให้ตัวเองลำบาก เธอเริ่มใจลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นึกย้อนไปถึงบทสนทนาระหว่างซังเหยียนและซังจื้อน้องสาวของเขาขึ้นมาอย่างประหลาด

จากนั้นเธอก็นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่อยู่ ม.4

ตอนนั้นเธอและเขาสอบได้คะแนนพอๆ กัน จัดอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางล่างและอยู่ในห้องบ๊วยของชั้นปี

เวินอี่ฝานสอบเข้าโรงเรียนหนานอู๋อีจงด้วยความสามารถพิเศษด้านการเต้นรำ คะแนนวิชาทั่วไปของเธอจึงไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แต่ซังเหยียนกลับทำคะแนนได้ดีในบางวิชา ส่วนคะแนนวิชาอื่นก็แย่เช่นกัน นอกจากวิชาในสายวิทย์ ได้แก่ คณิตศาสตร์ ชีวะ และเคมีซึ่งเขาทำได้ดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่เคยจะสนใจเรียนวิชาอื่นเลย ใบคะแนนแต่ละครั้งดูแย่อย่างกับโดนสุนัขแทะ

ซังเหยียนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ชีวะ และเคมีได้คะแนนเกือบเต็ม ส่วนวิชาอื่นโดยมากแล้วก็ได้เพียงสามสิบสี่สิบคะแนนเท่านั้น

ทุกครั้งที่คะแนนสอบออกมา ซังเหยียนจะหยิบคะแนนวิทยาศาสตร์มาดูก่อนพลางเลิกคิ้วยิ้มๆ

พอผ่านไปหลายครั้งเข้า ถึงเวินอี่ฝานจะเป็นคนใจเย็นแค่ไหนก็อดที่จะบ่นไม่ได้ ‘ซังเหยียน นายมาดูข้อสอบของฉันมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ นายจะต้องทำความเข้าใจปัญหาจากข้อที่นายทำผิดสิ’

‘หืม? เธอเข้าใจฉันผิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย’ ซังเหยียนช้อนตามองเธอ เขาใช้นิ้ววงรอบกากบาทสีแดงบนข้อสอบของเธอ พูดอย่างเอ้อระเหยและน่าตีนักว่า ‘ข้อสอบของฉันไม่มีอันนี้นะ’

 

เวินอี่ฝานพยายามระงับอารมณ์ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเข้าไปอาบน้ำ

เรื่องที่ซังเหยียนจงใจทำเป็นไม่รู้จักเธอ จริงๆ เธอก็เข้าใจได้

เธอเดาว่าในชั่วพริบตาที่เขาเจอเธอก็คงจะนึกถึงช่วงวัยเยาว์ที่บ้าระห่ำ ที่เคยทำเรื่องโง่ๆ ไปเพื่อคนที่ไม่คู่ควร นึกถึงประวัติศาสตร์อันเลวร้ายครั้งหนึ่งที่เคยประสบพบเจอมาในชีวิต และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากยุ่งกับเธออีก

แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคือทางเลือกที่ดีที่สุด

เมื่อนึกถึงจุดนี้เวินอี่ฝานก็เข้าใจมุมมองของซังเหยียน

เด็กสาวผู้เป็นที่รักที่เขาเคยชื่นชมนักหนา ทั้งๆ ที่เขาลืมเลือนเธอไปนานแล้ว แต่จู่ๆ เธอก็มาโผล่ที่ผับของเขา แล้วยังพูดประมาณว่ามาเพื่อเหล่ผู้ชายอีก

เธอจงใจทำสร้อยข้อมือตกไว้เพื่อจะได้พบกับเขาเป็นครั้งที่สอง

เธอจงใจส่งข้อความอวยพรมาให้เขา พยายามจะทำตัวเป็นมิตร

ท้ายที่สุดยังมาแกล้งทำเป็นโดนคนชน เนื้อตัวจึงสัมผัสถูกเขา

“…”

และก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะมโนถึงเรื่องอะไรอีก

วันปีใหม่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

เวินอี่ฝานเพิ่งเม้าท์มอยกับจงซือเฉียวเสร็จไปไม่นาน จงซือเฉียวก็ส่งวีแชตของเพื่อนที่เป็นนายหน้าหาบ้านมาให้เธอ

ทว่าหลังเวินอี่ฝานบอกราคาที่มีอยู่ในใจไป เพื่อนของจงซือเฉียวคนนี้ก็แนะนำห้องชุดให้เธอไม่น้อย ล้วนเป็นห้องชุดที่ต้องเช่ารวมกับคนอื่นเหมือนที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่แถวชานเมือง

ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นจงซือเฉียวที่ให้คำแนะนำเธอว่าให้ลองไปคิดดูว่าจะหาใครมาเช่าร่วมด้วย เพราะห้องชุดที่มีสองห้องหรือสามห้อง ถ้าแบ่งกันเช่าจะราคาถูกลงไม่น้อย

เวินอี่ฝานรับคำแนะนำนี้มา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาเพื่อนมาเช่าห้องด้วยกันจากที่ไหน เพื่อนข้างห้องคนนั้นยังคงทำให้เธอหวาดผวาอยู่ เธอจึงไม่กล้าไปหาคนแปลกหน้ามาเป็นรูมเมต

เธอแค่อยากจะหาคนรู้จักที่เป็นเพศเดียวกัน

ในช่วงบ่ายวันศุกร์ เวินอี่ฝานเดินออกจากห้องตัดต่อเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ หลังจากที่เธอออกจากห้องน้ำก็พบกับหวังหลินหลินที่อยู่ในทีมเดียวกัน

หวังหลินหลินทำงานอยู่ในทีมรายการ ‘บอกข่าวเล่าต่อ’ อายุมากกว่าเวินอี่ฝานไม่กี่ปี หน้าตาและน้ำเสียงก็หวานมาก วันปีใหม่วันนั้นเป็นวันหยุดของเธอพอดี บวกกับปกติแล้วเธอมักจะมาทำงานสายและกลับเร็วอยู่บ่อยครั้ง เวินอี่ฝานจึงรู้สึกคล้ายว่าไม่ได้เจออีกฝ่ายนานแล้ว

เวินอี่ฝานเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อน

หวังหลินหลินมองหน้าเธอผ่านทางกระจก “เอ๊ะ เสี่ยวฝานจ๊ะ เธอใช้ลิปสติกเบอร์อะไรอะ สวยดีเหมือนกันนะ”

เวินอี่ฝานตอบไปโดยอัตโนมัติ “วันนี้ฉันไม่ได้ทาลิปสติกมาค่ะ แต่ปกติฉันทาเบอร์…”

“โอ๊ย!” ไม่รอให้เธอพูดจบ หวังหลินหลินก็เอ่ยขัดจังหวะ พูดอย่างมีจริตจะก้าน “อะไรจะไม่ได้ทา พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน จริงใจกันหน่อยได้มั้ย ถ้าเธอมาถามพี่ว่าใช้เครื่องสำอางยี่ห้ออะไร พี่ก็จะบอกเธอไปตรงๆ”

พอพูดจบก็ไม่รอให้เวินอี่ฝานตอบ หวังหลินหลินย่ำรองเท้าส้นสูงเดินออกจากห้องน้ำไปแล้ว

เวินอี่ฝานยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงง เธอมองตัวเองในกระจก จากนั้นก็ใช้หลังมือถูริมฝีปากอย่างละล้าละลัง

“…”

ก็ไม่ได้ทาจริงๆ นี่นา 

พอกลับไปที่ห้องทำงาน เวินอี่ฝานก็เดินไปยังโต๊ะของตนเอง โต๊ะทำงานของหวังหลินหลินอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง คราวนี้อีกฝ่ายกึ่งนั่งกึ่งยืนที่โต๊ะทำงานของเธอ หันมาคุยกับซูเถียนที่อยู่โต๊ะข้างๆ เวินอี่ฝาน

ซูเถียนเข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์พร้อมกับเวินอี่ฝาน ทั้งสองคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

เวินอี่ฝานเอ่ยยิ้มๆ “คุยอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ”

ซูเถียนตอบ “คุยเรื่องที่พี่หลินไปเคานต์ดาวน์กับแฟนน่ะสิ”

“ก็แค่คุยไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” หวังหลินหลินโบกมือ พูดไปตามใจ “นับว่าพี่โชคดีเหมือนกันน้า วันปีใหม่ได้หยุดพอดี ก็เลยได้ฉลองข้ามปีกับแฟนที่รีสอร์ตไหวจู๋วันทั้งคืนเลย ได้ดินเนอร์ใต้แสงเทียน แช่น้ำพุร้อนอะไรทำนองนี้ เขายังโอนเงินให้พี่ห้าพันสองร้อย* หยวนและหนึ่งพันสามร้อยสิบสี่ หยวนด้วย ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก น่าเบื่ออยู่เหมือนกัน”

“อิจฉาพี่จริงๆ เลย พี่หลิน” ซูเถียนยกมุมปากขึ้นแล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “จริงสิ อี่ฝาน เธอกำลังอยากจะย้ายบ้านไม่ใช่เหรอ หาบ้านใหม่ได้หรือยัง”

หวังหลินหลินแสดงสีหน้าแปลกใจ ถามขึ้นทันที “เอ๊ะ เสี่ยวฝาน เธอจะย้ายบ้านเหรอ”

เวินอี่ฝานตอบไปตามตรง “ใช่ค่ะ”

“บังเอิญมากเลย!” หวังหลินหลินลุกขึ้นยืนโดยพลัน สีหน้าดีใจอย่างที่สุด “ช่วงนี้พี่กำลังกังวลอยู่เลย ก่อนหน้านี้รูมเมตที่เช่าร่วมกับพี่ลาออกจากงานกลับบ้านนอก พี่ยังหาคนที่เหมาะสมที่จะมาอยู่ด้วยกันไม่ได้เลย”

เวินอี่ฝานอึ้งไปโดยพลัน ไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด

หวังหลินหลินเอ่ยถาม “เธอจะพิจารณาบ้านพี่สักหน่อยมั้ย”

ซูเถียนเริ่มพูดก่อน “บ้านพี่หลินอยู่ที่ไหนเหรอ อี่ฝานอยากอยู่ที่ใกล้สถานีหน่อย”

“ก็ซั่งตูฮวาเฉิงไง ใกล้มากเลยจ้า”

เวินอี่ฝานรู้จักชุมชนนี้ดีเพราะอยู่ใกล้กับสถานีโทรทัศน์มาก โดยปกติแล้วเวลาเธอเข้างานหรือเลิกงานก็จะต้องเดินผ่านชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนที่สร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่ปีนี้ ถือว่าเป็นชุมชนระดับสูงเลยทีเดียว

ซูเถียนหันไปมองเวินอี่ฝานแวบหนึ่ง ถามอีกว่า “งั้นนอกจากพี่แล้ว ยังมีเพื่อนร่วมเช่าคนอื่นอีกมั้ย”

“ไม่มีๆ มีแค่พี่คนเดียวจ้า” หวังหลินหลินตบไหล่เวินอี่ฝาน ยิ้มอย่างน่ารักน่าชม “วางใจเถอะ พี่ไม่พาคนโน้นคนนี้มาที่ห้องหรอก ถ้าพวกเราจะเป็นรูมเมตกันจริงๆ ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่ เธอก็บอกได้นะว่าจะให้ระวังเรื่องอะไรบ้าง ถ้าเธอสนใจ วันนี้หลังเลิกงานไปดูบ้านกับพี่ก่อน…” พอพูดถึงตรงนี้หวังหลินหลินก็ชะงักทันที เปลี่ยนคำพูดเป็น “โอ๊ย ไม่ได้ เปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน คืนนี้พี่จะไปดูหนังกับแฟน”

เวินอี่ฝานรับคำ “ได้ งั้นก็พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ”

ซูเถียนฉวยโอกาสตอนที่หวังหลินหลินไปห้องแพนทรี่เขยิบเข้ามาใกล้ หน้าตาดูเป็นกังวลอยู่บ้าง

“เธอจะอยู่บ้านเดียวกับพี่หลินจริงๆ เหรอ ฉันรู้สึกว่าเค้าก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ เพ้อถึงแฟนลูกเศรษฐีที่เพิ่งคบกันทั้งวี่ทั้งวัน แล้วเพราะเธอหน้าตาดี ฉันรู้สึกว่าเวลาที่เค้าพูดกับเธอดูแปลกๆ ชอบกล”

เวินอี่ฝานก็พอจะรู้จักนิสัยของหวังหลินหลิน อีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรหรอก ก็แค่ขี้บ่น หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ซึ่งสองข้อนี้เธอไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร ทำงานร่วมกันมาหลายเดือนแล้ว โดยส่วนใหญ่หวังหลินหลินก็ดีกับเธอ

อีกทั้งตอนนี้เธอก็อยากจะรีบย้ายบ้านจริงๆ

เวินอี่ฝานยิ้มน้อยๆ เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ฉันขอไปดูบ้านก่อนแล้วกัน”

หลังเลิกงานในวันต่อมาเวินอี่ฝานและหวังหลินหลินก็นั่งรถไฟใต้ดินไปซั่งตูฮวาเฉิงด้วยกัน

บ้านที่หวังหลินหลินเช่าเป็นห้องชุดที่มีทั้งหมดสามห้องนอน แต่เจ้าของบ้านปล่อยเช่าเพียงสองห้อง ส่วนอีกห้องหนึ่งใช้เป็นห้องเก็บของซึ่งถูกล็อกมาเป็นเวลานานแล้ว เหลือเพียงห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัวและห้องนอนเล็ก ดังนั้นค่าเช่าห้องนอนเล็กจึงถูกกว่าบ้าง

สภาพโดยรวมถือว่าไม่เลวเลย มีทั้งห้องครัว โต๊ะอาหาร ระเบียง รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นอยู่ครบ

หวังหลินหลินพักอยู่ในห้องนอนใหญ่มาตลอด

เวินอี่ฝานกวาดตาดูห้องนอนเล็กแวบหนึ่ง พบว่าภายในห้องถูกจัดเก็บจนสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะไม่มีฝุ่นเลยสักนิด

หวังหลินหลินพูดอยู่ด้านข้างว่า “เพราะพี่พักอยู่ห้องนอนใหญ่ พี่ก็จะต้องจ่ายค่าเช่าแพงกว่าเธอนิดหน่อย เดือนนึงเธอจ่ายค่าเช่าสองพันหยวนแล้วกัน แล้วเรื่องค่าน้ำค่าไฟพวกเราหารกันคนละครึ่ง เธอโอเคมั้ย”

ค่าเช่าที่นี่แพงกว่าที่เธอเคยเช่าอยู่บ้าง แต่ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ อีกทั้งเงื่อนไขในด้านต่างๆ ก็ดีกว่าไม่น้อย

เวินอี่ฝานคิดว่าห้องนี้เหมาะสมอย่างมาก แต่เธอก็ไม่ได้ตัดสินใจในทันที

“เธอลองเอาไปคิดดูก่อนแล้วกัน” ในเมื่อเรื่องการย้ายบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก หวังหลินหลินก็ไม่ได้เร่งเร้าให้เธอตอบตอนนี้ แล้วก็มองดูเวลาแวบหนึ่ง “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย พวกเราไปกินข้าวเย็นด้วยกันเถอะ พี่รู้สึกหิวจัง”

เวินอี่ฝานไม่เคยชินกับการทานอาหารเย็น เดิมทีเธอจะปฏิเสธ แต่ก็คิดได้ว่าพวกเธอน่าจะได้เช่าห้องร่วมกัน ด้วยความคิดที่อยากจะกระชับความสัมพันธ์เธอจึงตอบตกลง

ทั้งสองคนเพิ่งออกมาจากเขตชุมชน มือถือของหวังหลินหลินก็ดังขึ้นในทันใด เธอรับสายพลางทำเสียงสอง ลากเสียงซะสูงปรี๊ด

“ฮัลโหลที่รัก มีอะไรเหรอคะ”

เวินอี่ฝานเดินอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

“ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอกกับเพื่อนที่ทำงานค่ะ กำลังจะไปกินข้าว” หวังหลินหลินเริ่มออดอ้อน “ได้สิคะ คุณอยู่ไหน ตอนนี้ฉันเพิ่งออกมาจากประตูใหญ่…เอ๊ะ คุณจะถึงแล้วเหรอ งั้นดีเลย ฉันไม่กวนคุณขับรถแล้วล่ะ ฉันจะทำตัวน่ารักรอคุณอยู่หน้าประตู คุณต้องรีบมารับฉันนะคะ”

รอจนหวังหลินหลินวางสาย เวินอี่ฝานก็เอ่ยอย่างรู้จักกาลเทศะ “งั้นฉันกลับก่อนแล้วกัน คืนนี้จะ…”

“ทำไมอยู่ดีๆ จะกลับแล้วล่ะ พวกเราตกลงกันดิบดีแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน” หวังหลินหลินขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็เข้าใจในทันที “อ๋อ เธอไม่ต้องอึดอัดไป เธอไม่ใช่ ก.ข.ค. หรอก แฟนพี่จะพาเพื่อนมาด้วย ถือว่าไปงานสังสรรค์ก็แล้วกัน”

เวินอี่ฝานยังไม่ทันได้กล่าวปฏิเสธอีกครั้ง รถสีดำคันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าพวกเธอทั้งสอง

กระจกด้านข้างคนขับลดระดับลง คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับหันหน้ามามองแล้วเอ่ยยิ้มๆ

“ที่รัก รีบขึ้นรถเร็ว” ครู่ต่อมาเขาเหลือบเห็นเวินอี่ฝานที่ยืนอยู่ข้างหวังหลินหลินแล้วก็อึ้งไปโดยพลัน “เอ๊ะ เวินอี่ฝาน?”

เวินอี่ฝานมองไปและตกตะลึงทันทีไม่ต่างกัน

เธอนึกไม่ถึงเลยว่าแฟนของหวังหลินหลินที่เป็นลูกเศรษฐีก็คือซูเฮ่าอัน

“โอ้ พวกเราไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย…” ไม่รอให้เขาพูดจบ ด้านหลังก็มีเสียงกดแตรดังมา “เร็วๆๆ พวกเธอสองคนรีบขึ้นรถมาก่อน จอดรถตรงนี้ไม่ได้”

เวินอี่ฝานกำลังจะปฏิเสธ “ไม่…”

ซูเฮ่าอันกลับพูดอย่างรีบเร่ง “เร็วเข้า!”

“…”

เธอเลยจำเป็นต้องขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง

หลังจากขึ้นมานั่งบนรถแล้ว เวินอี่ฝานจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่เบาะหลังยังมีคนอื่นอยู่อีก

เธอมองหน้าเขานิ่ง

แสงภายในรถทึมกว่าด้านนอก

ชายหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เขาหายใจเบาๆ แต่ออร่าของเขาเปล่งประกายมาก ตอนนี้เขานั่งเลื้อยอย่างกับคนไม่มีกระดูกพลางหลับตา ท่าทางดูเกียจคร้านและเหนื่อยล้า

อย่างกับไม่รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบด้าน

รถเคลื่อนตัวออกไป…

ซูเฮ่าอันมองผ่านกระจกหลัง ขับรถไปด้วยพลางพูดอย่างนึกสนุกโดยไม่คิดอะไร “เฮ้! ซังเหยียน รีบตื่นเร็วเข้า! รีบตื่นมาพบกับแสงจันทร์นวลผ่องเร็ว!”

เวินอี่ฝานอึ้งไปในทันที “…”

 

บทที่ 8 หนึ่งวันราวกับผ่านไปเป็นปี

ซังเหยียนหันหน้ามาเล็กน้อยเมื่อถูกปลุก ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน

เขาสบตาเข้ากับเธอพอดี

ราวกับมีความอึดอัดประสานกันกลางอากาศ

ซังเหยียนไม่พูดจาอะไร นั่งมองเธออย่างเงียบๆ ดวงตาเขาแจ่มชัด ไม่แสดงถึงความหงุดหงิดเหมือนคนเพิ่งตื่นเลย

หน้าตาเขาหล่อเหลาเหลือเกิน มีตาสองชั้น หางตาเชิดขึ้น บวกกับที่เขามักแสดงท่าทางไม่แยแสต่ออะไรทั้งสิ้น มองดูแล้วเหมือนแฝงไปด้วยความเฉียบคมคล้ายปลายมีด

ชั่วพริบตาเดียวเวินอี่ฝานพลันเกิดลางสังหรณ์ เธอรู้สึกว่าในวินาทีต่อมาเขาจะเริ่มถากถางพลางกระหน่ำซ้ำเติมกับคำว่า ‘แสงจันทร์นวลผ่อง’

หวังหลินหลินเริ่มเอ่ยปากก่อน “พวกคุณรู้จักกันเหรอคะ”

ซูเฮ่าอันเป็นคนตอบ “อืม เป็นเพื่อนสมัย ม.ปลาย น่ะ”

เวินอี่ฝานถอนสายตากลับมา ขณะที่เธอกำลังจะถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง หวังหลินหลินก็พูดอย่างไม่มีอีคิวเอาซะเลย

“แสงจันทร์นวลผ่องหมายความว่าอะไรเหรอคะ เมื่อก่อนเพื่อนของคุณจีบเสี่ยวฝานไม่ติดใช่มั้ย”

ซูเฮ่าอันหัวเราะฮ่าๆ อย่างไม่รู้จักกาลเทศะอะไรเลย “ใช่ๆๆ”

“…”

มิน่าล่ะสองคนนี้ถึงดูเหมาะสมกัน

ในสถานการณ์แบบนี้ถึงเวินอี่ฝานอยากทำเป็นแสร้งโง่อีกก็คงทำต่อไปไม่ได้แล้ว

เธอรู้สึกอย่างชัดแจ้ง ก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน แต่ในขณะนี้กลับถูกสองคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าฉีกออกไปกว่าครึ่งแล้ว เหลือเพียงแค่เศษซากที่เอาไว้ปกปิด

เธอก็ไม่ได้หวังที่จะให้ซังเหยียนพูดอะไรเพื่อแก้สถานการณ์

เวินอี่ฝานรู้ว่าที่ผ่านมาเขารักหน้าอย่างกับอะไรดี เธอจึงเอ่ยอย่างสงบ “งั้นเหรอ ฉันเป็นคู่กรณีแท้ๆ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ ซูเฮ่าอัน นายจำผิดหรือเปล่า”

“จะจำผิดได้ยังไง พวกเธอสองคน…” พอพูดถึงตรงนี้ซูเฮ่าอันถึงเพิ่งรู้ตัว เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “เอ๊ะ พวกเธอสองคน นี่คืออึดอัดหรืออะไร ไม่ใช่มั้ง มันผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว ยังจำฝังใจกันอยู่อีกเหรอ ฉันก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเปื่อย”

หวังหลินหลินเอ่ยถามบ้าง “พวกคุณไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วคะ”

“ตอนนี้นับไม่ถูกแล้วล่ะ เวินอี่ฝาน เธออยู่ที่โรงเรียนนั้นแค่ปีเดียวใช่ปะ” ซูเฮ่าอันถาม “ฉันจำได้เหมือนว่าเธอจะย้ายโรงเรียนตอน ม.สี่ หรือ ม.ห้า นี่แหละ”

เวินอี่ฝานเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันย้ายตอน ม.ห้า เทอมสอง”

“งั้นก็ประมาณเจ็ดแปดปีแล้วมั้ง” ซูเฮ่าอันสังเกตว่าซังเหยียนเงียบมาตลอดจึงเอ่ยอีกว่า “ซังเหยียน ทำไมนายไม่พูดไม่จาเลยล่ะ มันก็ผ่านมาตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว! นายคงไม่ได้ยังฝังใจอยู่กับเรื่องนี้หรอกมั้ง”

ซังเหยียนหลุบตาลงอีก ไม่สนใจอีกฝ่าย

“นายเยี่ยมไปเลยเพื่อน” ซูเฮ่าอันยอมเขาแล้ว แขวะรัวๆ “เวินอี่ฝาน เธอไม่ต้องไปสนเขาหรอก เธอก็รู้อยู่ว่าเขาเป็นคนยังไง ตาไปงอกอยู่บนหัวมันมั้ง ฉันเดาว่าเขาคงคิดว่าเธอตาบอดถึงได้เมินใส่เขาในตอนนั้น แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าที่เขาทำตัวแบบนี้มันน่ารำคาญ…”

หวังหลินหลินขัดจังหวะซูเฮ่าอัน “โอ๊ย คุณตั้งใจขับรถดีๆ เถอะค่ะ อย่าว่าเพื่อนคุณแบบนี้เลย”

“…”

ซูเฮ่าอันกลืนคำพูดที่เหลือลงไป ขมวดคิ้วมุ่น หาจังหวะเหลือบมองหวังหลินหลินแวบหนึ่ง

“เวลาขับรถต้องมีสมาธิ ไม่อย่างนั้นมันอันตรายนะ” หวังหลินหลินสังเกตได้ถึงอารมณ์ของเขาจึงพูดอีกในทันทีว่า “อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย ฉันก็แค่เตือนคุณเฉยๆ ถ้าคุณอยากพูดก็พูดต่อเถอะค่ะ”

ซูเฮ่าอันถึงยิ้มออก “ผมไม่ได้โกรธสักหน่อย ขอบคุณนะที่รักที่เตือนผม”

ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงร้านอาหารในที่สุด

ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว เวินอี่ฝานก็ไม่กล้าพูดออกไปอีกว่าตัวเองอยากกลับ ในเมื่อซังเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ และในทางตรงกันข้ามกลับจะทำให้เห็นชัดว่าเธอยังแคร์กับเรื่องราวในอดีตอยู่ แม้แต่จะทานข้าวโต๊ะเดียวกันสักมื้อยังทำไม่ได้

เธอคิดว่าทานข้าวมื้อหนึ่งต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็กลั้นใจทนๆ ให้มันผ่านไปแล้วกัน

ทว่าสิ่งที่เวินอี่ฝานนึกไม่ถึงก็คือก่อนหน้านี้หวังหลินหลินบอกเธอว่า ‘แฟนพี่จะพาเพื่อนมาด้วย’ คำว่า ‘เพื่อน’ นั้นไม่ใช่ซังเหยียนแค่คนเดียว…แต่เป็นเพื่อนกลุ่มหนึ่ง

พวกเขาจองห้องพิเศษไว้ ตอนนี้ด้านในห้องนั่งกันจนเต็มแล้ว

โดยหลักแล้วถือว่าหวังหลินหลินเป็นคนพาเวินอี่ฝานมา ควรจะนั่งกับเธอถึงจะถูก แต่เพราะเหลือเพียงแค่สี่ที่นั่งติดกันเป็นคู่ๆ เธอจึงทิ้งเวินอี่ฝานอย่างไร้เยื่อใยแล้วไปนั่งคู่กับซูเฮ่าอัน

เวินอี่ฝานก็เลยถูกบังคับให้นั่งกับซังเหยียนไปโดยปริยาย เมื่อมองจากมุมนี้จึงเหมือนว่าซังเหยียนเป็นคนพาเวินอี่ฝานมา

มีชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “ซังเหยียน นายนี่มันเจ้าเล่ห์นักนะ จู่ๆ ทำไมมีแฟนแล้วล่ะ”

ซูเฮ่าอันร้องฮึ “อย่าพูดเหลวไหลไป ไอ้โง่ซังเหยียนคู่ควรกับเธอเรอะ คนนี้เป็นเพื่อนเก่าของพวกเราตอน ม.ปลาย ตอนนั้นเธอเป็นดาวโรงเรียนเลยนะ ดังมากเลย!…เฉียนเฟยนายจำได้มั้ย ตอน ม.ปลาย นายก็เรียนที่โรงเรียนหนานอู๋อีจงไม่ใช่เหรอ”

“จำได้ๆ เวินอี่ฝานนี่ ก่อนหน้านี้ฉันเรียนอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนเธอ จงซือเฉียวไง” ชายหนุ่มร่างอ้วนท้วนที่นั่งข้างๆ ซังเหยียนมองมาที่เวินอี่ฝาน ยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ฉันเคยเห็นจงซือเฉียวโพสต์รูปที่ถ่ายกับเธอน่ะ”

เวินอี่ฝานยิ้มให้พลางพยักหน้า

ครู่ต่อมาก็มีชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นว่า “เฮ้ยไอ้อ้วน! ทำไมหน้านายแดงล่ะ ไม่กลัวแฟนนายมาฆ่าเอาเรอะ!”

ซังเหยียนไม่ได้ร่วมคุยในหัวข้อนี้ด้วย ถึงในระหว่างนี้จะมีหลายคนที่พูดถึงชื่อเขา เขาก็ทำเป็นหูทวนลม แต่พอได้ยินประโยคนี้เขากลับมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง ช้อนตาขึ้นมองไปทางเฉียนเฟย

ซูเฮ่าอันเอ่ยขึ้น “เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดแหละ ไม่ใช่หรือไง พอเจอคนสวยก็พูดอะไรไม่ออก”

อาจจะสัมผัสได้ถึงการถูกละเลย หวังหลินหลินจึงรู้สึกไม่พอใจ เริ่มเอ่ยแทรกในการสนทนาของพวกเขา “อะไรกันคะ ทำไมคุณมาบอกว่าคนอื่นสวยต่อหน้าฉันล่ะ”

เงียบงันไปไม่กี่วินาที ซูเฮ่าอันก็ปลอบใจในทันที “ที่รัก คุณเข้าใจยังไงกัน อย่าหึงมั่วๆ น่า”

ร้านอาหารร้านนี้เสิร์ฟอาหารช้ามาก มีคนกลุ่มหนึ่งไปเร่งเครื่องดื่มกันยกใหญ่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ รอตั้งนานอาหารก็ยังไม่มาเสิร์ฟสักอย่าง เรื่องที่สนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เพราะเวินอี่ฝานมาในฐานะคนแปลกหน้า จึงทำให้สายตาหลายคู่ที่จับจ้องเธออยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เบนไปทางอื่น

ซังเหยียนไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าเล่นมือถือ แสดงท่าทางราวกับไม่สนใจอะไรเลย คนอื่นเรียกเขาก็ไม่สนใจ

เวินอี่ฝานก้มหน้าดื่มน้ำ รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้ากับผู้คนที่นี่เลย

ผ่านไปสักพักจู่ๆ หวังหลินหลินก็หอมแก้มซูเฮ่าอัน ลุกขึ้นเดินมาหาเวินอี่ฝานแล้วดึงข้อมือเธอ เอ่ยพลางยิ้มตาหยี

“เสี่ยวฝาน ไปห้องน้ำกับพี่หน่อยสิ”

เวินอี่ฝานลุกขึ้นยืน เหลือบมองกระเป๋าที่วางอยู่บนเก้าอี้แล้วก็หยิบมาด้วย

ทั้งสองคนเดินตามป้ายบอกทางแล้วเข้าห้องน้ำไป

หวังหลินหลินหยิบลิปสติกสีโปรดออกมาทาทับอีกรอบ เอ่ยอย่างสบายใจ “เมื่อก่อนเธอปฏิเสธซังเหยียนเหรอ”

เวินอี่ฝานเงียบงันไม่ตอบ

หวังหลินหลินถือว่าเธอยอมรับจึงเอ่ยอย่างแปลกใจที่สุด “เธอรู้หรือเปล่าว่าผับจยาปันที่อยู่ใกล้กับสถานีโทรทัศน์เรา เขาลงทุนเปิดกับแฟนพี่และผู้ชายอีกคนหนึ่งนะ”

“…”

“เขาดูดีจะตายไป ทั้งสูงทั้งหล่อ แถมรวยด้วย คนแบบนี้เธอก็ยังปฏิเสธได้ลง?” หวังหลินหลินส่ายหน้า รู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ “สเป็กเธอสูงเกินไปแล้วมั้ง แต่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว พี่เห็นท่าทางเขาเมื่อกี้นี้ก็ดูไม่ได้สนใจเธอสักเท่าไหร่”

“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” เวินอี่ฝานยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมามองแวบหนึ่ง “จริงด้วย พี่หลิน ขอโทษจริงๆ ฉันต้องกลับแล้วล่ะ ครูเฉียนให้ฉันส่งต้นฉบับข่าวไปให้คืนนี้ รบกวนพี่ช่วยบอกเพื่อนๆ ให้ด้วยนะ”

หวังหลินหลินร้อง “หา!” รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “แค่อาหารมื้อเดียว เสียเวลาไม่มากหรอก”

“ครูจะรีบเอา” เวินอี่ฝานพูด “ฉันก็ไม่กล้าอู้งานซะด้วยสิ นี่ยังอยู่ในช่วงโปรฯ นะ”

“อ๋อ งั้นก็ได้” หวังหลินหลินเบะปาก “งั้นเธอเดินทางระวังหน่อยแล้วกัน พี่ไปก่อนนะ”

“โอเค ขอบคุณมากพี่หลิน เจอกันพรุ่งนี้นะ”

หลังจากรอให้หวังหลินหลินเดินออกจากห้องน้ำไป เวินอี่ฝานก็เปิดก๊อกน้ำล้างมือ เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำให้หวังหลินหลินไม่พอใจหรือเปล่า ทว่าเธอไม่อยากอยู่ในงานสังสรรค์กับคนที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว

เวินอี่ฝานถอนใจโล่งอก ดึงกระดาษชำระมาเช็ดมือจนแห้ง

เวินอี่ฝานเพิ่งเดินออกไปก็เห็นซังเหยียนออกมาจากห้องน้ำชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คราวนี้ท่าทางของเขาไม่เหมือนกับที่เธอคาดคิดไว้ เขาไม่ได้เดินผ่านไปราวกับเห็นเธอเป็นอากาศธาตุ

ซังเหยียนชะงักฝีเท้า สีหน้าเฉยเมย เขายืนอยู่ที่เดิมพลางมองมาที่เธอ

เวินอี่ฝานรู้สึกคุ้นเคยกับฉากนี้อย่างประหลาด เธอนึกไปถึงครั้งแรกที่ผับจยาปัน ครั้งนั้นเธอเจอกับเขาที่ทางเดินนอกห้องน้ำ แต่สถานการณ์ในครั้งนี้ต่างกับครั้งนั้นโดยสิ้นเชิง

…ราวกับเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

สถานการณ์กลับไปเป็นเช่นเดิม

มองจากท่าทางเขาที่เงียบมาตลอดในคืนนี้ เวินอี่ฝานคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องพูดถึงตอนที่พบกันอยู่ไม่กี่ครั้งในช่วงก่อนหน้านี้ เธอพยักหน้าไปทางเขา แสดงออกเหมือนว่าหลังจากผ่านไปหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน เอ่ยทักทายกับเขาอย่างมีมารยาท

“ไม่ได้เจอกันนานนะ”

ทว่าเหนือความคาดหมาย คล้ายว่าซังเหยียนไม่คิดที่จะรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าอีกต่อไป เขายังคงมองสำรวจเธอ เอ่ยซ้ำอีกครั้งอย่างเหนื่อยหน่าย

“ไม่ได้เจอกันนาน?”

น้ำเสียงเขาทำให้เวินอี่ฝานแยกไม่ออกว่าเป็นประโยคแสดงความสงสัยหรือพูดไปเรื่อย

จากนั้นซังเหยียนก็เอ่ยอีกว่า “จากวันปีใหม่จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาไม่กี่วันเอง เธอไม่ได้เจอฉัน…” เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วค่อยๆ กระชากเศษหน้ากากที่ยังหลงเหลืออยู่ออกมาจนหมด “ผ่านไปแค่วันเดียวคงไม่ได้เหมือนผ่านไปเป็นปีหรอกมั้ง”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: