X
    Categories: First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน First Frost วันนี้ วันไหน ยังไงก็เธอ บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 9 ชาวนาแซ่เวินกับงูเห่าแซ่ซัง

เงียบงันกันไปสักครู่

ในขณะที่เอ่ยคำพูดนี้ออกไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนวันปีใหม่ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเวินอี่ฝาน…เธอถูกคนที่เดินผ่านชนเข้า และโดยไม่ทันระวังก็ชนเข้ากับแผ่นอกของซังเหยียนอีก จากนั้นเธอก็เอ่ยขอโทษ เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่า ‘ไม่เป็นไร’

เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า

ถึงแม้เวินอี่ฝานจะเดาได้ว่าเขาก็คงจำเธอได้ ต่างฝ่ายต่างก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะสารภาพอย่างตรงไปตรงมา

ในเมื่อตั้งแต่แรกเวินอี่ฝานก็แสดงออกไปตามท่าทีของเขา ดังนั้นในตอนนี้ซึ่งเธอคิดว่ายังแสดงฉากนี้ต่อไปได้ แต่ทางฝ่ายเขากลับรู้สึกว่าปกปิดต่อไปไม่ได้แล้วก็เลยชิงแสดงท่าที ‘แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันมันสนุกนักเรอะ’ ออกมาก่อน

เห็นได้ชัดว่าเขาคนนี้ปฏิบัติต่อคนหรือทำสิ่งต่างๆ อย่างจริงใจเสมอมา เขาไม่เคยวกไปวนมาหรือทำเรื่องเสแสร้ง

โดยสรุปแล้วก็กลายเป็นเรื่องเล่าของ ‘ชาวนาแซ่เวิน’ และ ‘งูเห่าแซ่ซัง’

เวินอี่ฝานเงียบไปสองวินาที เธอก็ไม่อยากจะรักษาหน้าเขาอีกต่อไป “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันนึกว่านายจำฉันไม่ได้”

ซังเหยียนยกมุมปากขึ้น

“ในเมื่อตอนนั้นฉันสวมหน้ากากอนามัยอยู่ ปิดหน้ามิดชิด” เธอสบตาเขาอย่างไม่หวั่นไหวขณะเอ่ยช้าๆ “คิดไม่ถึงว่าสายตานายจะดีขนาดนี้”

ซังเหยียนเลิกคิ้ว “สายตาดี?” แล้วเขาก็พูดพลางหาวหวอด “อ้า โทษทีที่ฉันทำให้เธอเข้าใจผิด”

เวินอี่ฝานงุนงงโดยพลัน “…?”

“ฉันไม่ได้เป็นคนเห็นเธอหรอก น้องสาวฉันต่างหากที่จำเธอได้” ท่าทางของซังเหยียนดูสบายๆ ไม่กินปูนร้อนท้องเลยสักนิด “น้องสาวฉันบอกว่าเธอจ้องฉันอยู่ตลอดเลย”

“…”

เวินอี่ฝานยังคงสีหน้าเรียบเฉย พูดต่อว่า “ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละ”

ซังเหยียนจ้องมองเธอ

“ตอนนั้นที่ฉันมองนาย” เวินอี่ฝานตัดสินใจว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ก็เลยเริ่มพูดทีเล่นทีจริง “เพราะนายไม่ได้รูดซิปกางเกงน่ะ”

“…”

เวินอี่ฝานกลัวว่าคำพูดนี้จะทำให้เขาเข้าใจผิด ก็เลยพูดเสริมอีกประโยค “หลายคนรอบตัวฉันก็เม้าท์กันอยู่นะ”

ซังเหยียนนิ่งอึ้ง “…”

“นายไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้มากนักหรอก ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว” เวินอี่ฝานยิ้มๆ แสร้งทำเป็นปลอบโยน “ไม่คุยกับนายละ ฉันยังมีงานต้องไปจัดการอีกนิดหน่อย กลับก่อนนะ”

เธอยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป จู่ๆ ซังเหยียนก็เรียก “เฮ้”

เวินอี่ฝานชะงัก “…?”

“เธอจำได้มั้ยว่าเมื่อกี้ซูเฮ่าอันจอดรถไว้ที่ไหน”

หญิงสาวพยักหน้าทันที

“ดี” ซังเหยียนเชิดคางขึ้น “นำทางด้วย”

เวินอี่ฝานยังคงงุนงงหนักมาก

เดิมทีคิดว่าพอพาเขามาที่รถแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ควรถามด้วยมารยาทว่า ‘จะให้ไปส่งที่ไหนมั้ย’ แต่ผลสุดท้ายหลังจากที่มาถึงรถแล้ว ซังเหยียนก็พูดกับเธอแค่ ‘ไว้เจอกันนะ’

เขาไม่มีทีท่าอยากจะร่วมเดินทางไปกับเธอเลย

เดิมทีเวินอี่ฝานคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าเธอเพิ่งมองสำรวจบริเวณโดยรอบสักครู่ ถึงพบว่าร้านอาหารร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนเปลี่ยว เธอค้นหาในมือถือว่ารถไฟใต้ดินสายไหนที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่มันก็ยังอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร

รอบข้างมีรถผ่านไปไม่กี่คัน มองออกไปด้านนอกก็มืดจนน่ากลัว

เวินอี่ฝานลังเลอยู่ชั่วครู่ จ้องไปที่ซังเหยียน เขายังไม่ขับรถออกไปสักที เธอเลยจำต้องไปเคาะกระจกด้านข้างคนขับ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีซังเหยียนก็ลดระดับหน้าต่างลง เหลือบมองเธออย่างเย็นชา

เวินอี่ฝานเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “นายไปส่งฉันหน่อยได้มั้ย ที่นี่มันเปลี่ยวอะ”

ซังเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ “บ้านเธออยู่ไหน”

“เฉิงซื่อจยาย่วน”

“อ๋อ” ซังเหยียนถอนสายตากลับ “มันคนละทางอะ”

“…”

ในชีวิตนี้เวินอี่ฝานไม่เคยเจอใครที่ใจแคบเท่านี้มาก่อน เธอยิ้มเป็นเชิงขอโทษแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้จะให้นายส่งฉันกลับบ้าน นายส่งฉันแค่รถไฟใต้ดินแถวนี้ก็พอ รบกวนนายด้วยจริงๆ นะ”

ซังเหยียนจ้องตรงมาที่เธอ ผ่านไปไม่กี่วินาทีจึงฝืนพูดออกมา

“ขึ้นรถมาเถอะ”

เวินอี่ฝานแอบถอนใจโล่งอก ขึ้นนั่งในตำแหน่งด้านข้างคนขับ เธอก้มหน้าลงพลางรัดเข็มขัดนิรภัย

ซังเหยียนเคลื่อนรถออกในทันที

บรรยากาศภายในรถเงียบเป็นเป่าสาก พื้นที่ด้านในรถก็มิดชิดและคับแคบ

ซังเหยียนไม่ได้เปิดเพลง อีกทั้งก็ไม่มีทีท่าจะชวนเธอคุยด้วย

เวินอี่ฝานรู้สึกว่าถ้าตนเองยังคงเงียบอยู่แบบนี้ต่อไปก็เหมือนกับขึ้นรถมาเปล่าๆ ซังเหยียนก็เป็นเหมือนคนขับรถ เธอจึงเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน

“ทำไมจู่ๆ นายจะกลับแล้วล่ะ ไม่ใช่มาสังสรรค์กับเพื่อนเหรอ”

ซังเหยียนตอบอย่างขอไปที “หนวกหู”

“…”

เวินอี่ฝานก็ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่างานสังสรรค์หนวกหูหรือกำลังบอกว่าเธอหนวกหู

หญิงสาวขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เวินอี่ฝานหันไปมองทางหน้าต่าง มองทิวทัศน์ด้านนอกที่เคลื่อนตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ไฟข้างทางถูกดึงออกเป็นสายยาวที่ส่องสว่าง ทั้งบาดตาและทำให้เธอใจลอย เธอค่อยๆ เหม่อลอยไป

เธอนึกไปถึงบทสนทนาที่ตัวเองพูดกับซูเฮ่าอันบนรถขามา

เธอไม่ได้เจอซูเฮ่าอันเจ็ดแปดปีแล้วจริงๆ

แต่ไม่ใช่กับซังเหยียน

เวินอี่ฝานไม่เคยบอกใครเรื่องนี้

มองจากปฏิกิริยาของซูเฮ่าอันแล้ว คล้ายว่าซังเหยียนก็คงไม่ได้บอกใครเหมือนกับเธอ

เหมือนว่าจะมีแค่เขาและเธอสองคนที่รู้เรื่องนี้

ตอนอยู่ชั้น ม.5 เทอมสอง เพราะลุงของเวินอี่ฝานจะย้ายบ้าน เธอจึงต้องย้ายไปยังเมืองเป่ยอวี๋พร้อมกับพวกเขาด้วย หลังจากนั้นนอกจากเพื่อนสนิทอย่างจงซือเฉียวและเซี่ยงหล่างแล้ว เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับใครที่โรงเรียนเก่าอีกเลย

…นอกจากซังเหยียน

เดิมทีเวินอี่ฝานคิดว่าเขาและเธอคงจะขาดการติดต่อกันด้วยเหตุนี้ แต่พอผ่านไปสักระยะเธอก็ได้รับข้อความจากซังเหยียน เธอลืมไปแล้วว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่คุยเรื่องไร้สาระกับเธอเลย แล้วก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถามอะไรเธอ เพียงแต่ส่งคะแนนและลำดับที่ของการสอบทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นสอบเก็บคะแนนหรือว่าสอบประจำภาคเรียนของเขามาให้

เขาส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้จนจบชั้น ม.5

หลังจากสอบปลายภาคตอนชั้น ม.5 เวินอี่ฝานก็ได้รับข้อความจากซังเหยียนพอดี ตอนนั้นเธอลังเลอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ค่อยๆ พิมพ์คะแนนของตนเองตามใบคะแนนสอบ จากนั้นก็กดส่งออกไป

ทางฝ่ายนั้นคงไม่ได้คิดว่าเธอจะส่งข้อความตอบกลับ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบมาว่า

 

ดูเหมือนว่าคะแนนของพวกเราสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ พวกเรามาสอบเข้ามหาลัยกันเถอะ

 

ผ่านไปสักครู่หนึ่งเขาก็ส่งข้อความมาอีกสองคำ

 

โอเคมั้ย

 

เวินอี่ฝานถอนใจเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน

เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าซังเหยียนขับรถผ่านสถานีรถไฟใต้ดินไปหลายสถานีแล้วก็ตะลึงไป จึงเอ่ยเตือนเขา

“ดูเหมือนว่านายจะขับผ่านไปแล้วนะ ฉันจำได้ว่าขับไปอีกหน่อยยังมีสถานีรถไฟใต้ดินอีกที่หนึ่ง ส่งฉันที่ข้างหน้าก็ได้นะ?”

ซังเหยียนเอ่ยอย่างเยียบเย็น “เธอเห็นฉันเป็นคนขับรถเหรอ”

“…”

ไม่ใช่ตกลงกันไว้แต่แรกแล้วเหรอ

ซังเหยียนไม่ได้หยุดรถ เหมือนเป็นเพราะเขาไม่ค่อยพอใจกับคำพูดประโยคนี้ จึงขับต่อไปเรื่อยๆ

เวินอี่ฝานอดถามไม่ได้ “นายจะขับไปถึงไหน”

“บ้านเธอไง” น้ำเสียงของซังเหยียนมักจะแฝงด้วยการถากถางอยู่เล็กน้อย “ไม่งั้นจะให้ฉันไปส่งที่ไหน”

“…”

เวินอี่ฝานรู้สึกว่าเราจะพูดจากันดีๆ ไม่ได้เลย เวลาที่เขาพูดมักจะแฝงการเสียดสี คล้ายมีคล้ายไม่มี เห็นชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติในการสนทนา

เวินอี่ฝานอยากพูดคุยกับเขาดีๆ แต่ก็คิดว่าเหมือนจะไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องพูด

ในระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นก็มาถึงเฉิงซื่อจยาย่วนในที่สุด

ชุมชนแห่งนี้สร้างมาสิบกว่าปีแล้ว การก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนล้วนมีสภาพเก่าทรุดโทรม พื้นที่ไม่กว้างนัก ทางขึ้นตึกมีแต่บันได ไม่มีลิฟต์ ปกติส่วนกลางก็ไม่ค่อยจะมาดูแล เวลานี้ยิ่งไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่ทางเข้าอีก

แม้แต่ราวที่กั้นรถก็ไม่ลดระดับลง

ซังเหยียนไม่ได้ขับรถเข้าไปด้านใน เขาจอดรถอยู่ที่ทางเข้า

เวินอี่ฝานปลดเข็มขัดนิรภัย เอ่ยไปตามมารยาท “วันนี้ขอบคุณนายมากนะ รอให้นายมีเวลาว่าง ไว้ฉันขอเลี้ยงข้าวนายสักมื้อนึง”

“หืม?” ซังเหยียนเอนหลังพิงเบาะรถ หันหน้ามาด้วยสีหน้าเฉยเมย “เธอคิดถึงการเจอกันครั้งหน้าเร็วขนาดนี้?”

“…”

เวินอี่ฝานรู้สึกประหลาดใจมาก

หลายปีมานี้ที่ซังเหยียนมีฉายาว่า ‘ตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่ว’ เขาจะฮอตสักแค่ไหนกันนะ

ไม่ว่าเขาจะได้ยินคำพูดใดก็ตามก็มักจะรู้สึกว่าคนอื่นมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เสมอ หรือเป็นเพราะที่เธอพูดที่ผับก่อนหน้านี้ทำให้เขาเข้าใจเธอผิดไป?

เวินอี่ฝานตัดสินใจอธิบายสักหน่อย “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ผับ ฉันไม่ทันระวัง พูดผิดไป…”

ซังเหยียนไม่รอให้เธอพูดจบก็ขัดจังหวะขึ้นมาทันที “ประโยคไหนล่ะ…ประโยคที่ว่า ‘น่าเสียดายจัง’ อะเหรอ”

“…”

เวินอี่ฝานเลิกล้มความคิดโดยพลัน เธอหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไปเลย ยื่นมือไปเปิดประตู

“นายขับรถกลับระวังหน่อยแล้วกัน”

เวินอี่ฝานเดินเข้าเขตชุมชนไป

เธอพักอยู่ในตึกที่อยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด พอเดินเข้าไปเลี้ยวขวาไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว

เวินอี่ฝานหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูตึกแล้วค่อยๆ เดินขึ้นไป ตึกนี้ในหนึ่งชั้นมีห้องชุดอยู่หกห้อง พอขึ้นไปถึงชั้นสามที่ตัวเองพักอาศัย เธอก็เดินตามทางเดินเข้าไปด้านในสุดซึ่งเป็นห้องของเธอ

เวินอี่ฝานกำลังจะเดินเข้าไป แต่จู่ๆ ก็สังเกตเห็นผู้ชายสามคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้อง กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ตอนนี้พวกเขากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น คุยเรื่องลามกอนาจารและพ่นคำหยาบคายพลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

ไม่รู้ว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาหรืออยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่งแล้ว

โคมไฟในตึกก็เสีย ภายในตึกจึงดูมืดสลัว มองเห็นพวกเขาไม่ชัดเจน แต่พอมีแสงรำไรส่องเข้ามาจากด้านนอก เวินอี่ฝานก็พอจำรูปร่างของคนหนึ่งในนั้นได้ เป็นชายหนุ่มที่พักอยู่ข้างห้อง…

เวินอี่ฝานถึงเพิ่งนึกได้ นับตั้งแต่วันที่เธอแจ้งตำรวจ นี่มันก็ผ่านมาห้าวันแล้ว

เดิมทีเธอคิดว่าวันนี้จะไปค้างบ้านของจงซือเฉียวสักคืนหนึ่ง พอเย็นนี้ตกลงกับหวังหลินหลินเสร็จเรียบร้อย พรุ่งนี้ค่อยหาเพื่อนร่วมงานผู้ชายมาช่วยเธอย้ายข้าวของ

ทว่าเพราะคืนนี้ไปงานสังสรรค์เลยพบกับซังเหยียนรวมถึงเรื่องราววุ่นวายต่างๆ นานา ทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

เวินอี่ฝานหยุดชะงัก กุญแจในมือกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ

จู่ๆ ผู้ชายพวกนั้นก็หันมามองเธอ

ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือยิ้มกริ่มพลางก้าวออกมา “พี่สาวคนสวย กลับมาแล้วเหรอ”

ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เวินอี่ฝานรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

“พี่น้อง เป็นเพราะสาวสวยคนนี้แหละ บอกว่ากูรบกวนเธอ” ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือถอนใจออกมา น้ำเสียงทุ้มต่ำระคนแหบพร่า “กูบริสุทธิ์ กูโดนปรักปรำ กูก็แค่ไปเคาะประตูห้องเธอก็ถือว่ารบกวนแล้ว?”

“คนสวย เราไม่เคยเจอกันใช่มั้ย” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยยิ้มๆ “เธออยากรู้มั้ยล่ะว่าอะไรที่เรียกว่ารบกวนของจริง”

เวินอี่ฝานไม่พูดไม่จา เธอหันหลังกลับแล้วรีบวิ่งลงบันไดไป

“ทำไมเธอวิ่งหนีไปแล้วล่ะ”

“กูจะไปรู้ได้ไงว่าทำไมเธอถึงวิ่งหนี คนสวย! พวกเราไม่ได้จะทำอะไร! แค่ขอคุยด้วยได้มั้ย”

“ผมไม่โทษพี่สาวคนสวยหรอก! ผมก็แค่อยากกระชับความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองคน พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน อย่าทำให้มันมึนตึงแบบนี้สิ”

ในขณะที่พูดพล่ามพวกเขาก็วิ่งตามเวินอี่ฝานลงบันไดมา

พวกผู้ชายก้าวเท้ายาวกว่า ปากก็หัวเราะอย่างนึกสนุก คล้ายจะเล่นเกมวิ่งไล่จับ ยิ่งอยู่ในสถานที่มืดสลัวยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว

เวินอี่ฝานไม่มีแม้แต่เวลาจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเพื่อโทรแจ้งตำรวจ เมื่อวิ่งไปถึงชั้นล่างก็เปิดประตูแล้ววิ่งออกไปยังทางเข้าของชุมชน เธออยากขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่จู่ๆ ก็นึกได้ว่าตอนกลับมาในป้อมยามก็ไม่มีใครอยู่

ที่ตั้งของชุมชนแห่งนี้ไม่ถือว่าเปลี่ยวมาก พอออกไปแล้วเดินไปสักช่วงหนึ่งก็จะเป็นถนนที่ขายของกินตามข้างทาง เวินอี่ฝานคิดว่าถ้าวิ่งออกไปยังที่ที่มีคนมากก็คงจะหมดปัญหา

เสียงฝีเท้าที่ตามมาด้านหลังก็ดูเหมือนยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ทันใดนั้นเวินอี่ฝานก็เห็นรถของซังเหยียนยังจอดอยู่ที่เดิมนอกเขตชุมชน เขายืนพิงประตูฝั่งด้านข้างคนขับอย่างสบายๆ ดูเหมือนว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่

เมื่อซังเหยียนสังเกตเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวจากทางนี้ก็พลันช้อนตาขึ้นสบตากับเธอ

เวินอี่ฝานวิ่งช้าลงเล็กน้อย ความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากเขาผุดขึ้นมาในทันใด แต่เธอก็ชั่งใจอยู่ ท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะวิ่งไปทางถนนที่ขายของกินจะดีกว่า

เวินอี่ฝานกำลังคิดที่จะวิ่งผ่านตัวเขาไป ซังเหยียนวางสายโดยพลัน เอ่ยปากตะโกนเรียกเธอ

“เวินอี่ฝาน!”

หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองสบตากับเขาอีกครั้ง

เขาเหลือบเห็นสีหน้าเธอในขณะนี้ รวมทั้งผู้ชายสามคนที่ดูท่าไม่ดีวิ่งตามหลังเธอมา

ซังเหยียนแสดงสีหน้าเฉยเมย ดูสงบจนเกินไป

“มานี่”

บทที่ 10 ฉันกลัวว่านายจะสู้ไม่ไหว

ตั้งแต่ที่เขาได้พบเธออีกครั้งจนถึงตอนนี้ ครั้งนี้คล้ายจะเป็นครั้งแรกที่ซังเหยียนตะโกนเรียกชื่อเธอ

เวินอี่ฝานลนลานจนถึงขีดสุด ในขณะที่เธอตื่นตระหนกอยู่นั้นก็คล้ายกับตนเองหูฝาดไป เธอไม่มีเวลาที่จะหยุดฝีเท้าลงเพื่อยืนยันให้แน่ใจ เลยวิ่งขึ้นหน้าไปอีกหลายก้าวในทันที

ครู่ต่อมาซังเหยียนก็คว้าข้อมือของหญิงสาวไว้

ซังเหยียนดึงเธอมาทางเขาด้วยแรงมือที่หนักพอสมควร เวินอี่ฝานก็หันมาโดยพลัน สายตาเธอตรึงอยู่กับใบหน้าด้านข้างอันแข็งกระด้าง ริมฝีปากบางของเขาเม้มเอาไว้ มือหนึ่งเปิดประตูรถ ดูท่าทางโมโหอยู่บ้าง

“มัวตะลึงมองหาพระแสงอะไร”

เพราะความหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้และการวิ่งมาตลอดทางทำให้เวินอี่ฝานหายใจกระชั้น เธอช้อนตาขึ้นมองเขาโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถตามท่าทีและคำพูดของซังเหยียน

ซังเหยียนพลันปิดประตูรถ

เวินอี่ฝานมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเขากดปุ่มล็อกรถทันที

ชายหนุ่มสามคนนั้นก็วิ่งตามมาทัน

พอชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือมองเห็นเหตุการณ์นี้และมองไปในรถแวบหนึ่ง หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอื่นจึงพูดอย่างอันธพาล

“พี่สุดหล่อ คนนี้เป็นแฟนพี่เหรอ สวยดีนี่!”

ซังเหยียนเงยหน้าขึ้น พูดเน้นทีละคำ “แล้วมายุ่งอะไรด้วย”

เพราะท่าทีของเขาทำให้ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือไม่สบอารมณ์ในทันใด จึงเดินขึ้นหน้ามาผลักไหล่เขา

“มึงคิดจะทำอะไร กูบอกว่าเกี่ยวกับกูเหรอ พูดดีๆ ไม่ชอบใช่มั้ย”

ซังเหยียนคว้าข้อมืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพลางบีบรัดแน่น ครู่เดียวก็สลัดออกคล้ายกับไปหยิบของสกปรก

ในสายตาของซังเหยียนไร้ซึ่งความเมตตา น้ำเสียงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ “จะไปไม่ไป”

“ก็ได้ กูก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล” ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือยอมถอย ชี้ไปทางเวินอี่ฝาน “ให้นังโสเภณีที่อยู่ในรถมึงลงมาขอโทษกูก่อน รูปร่างหน้าตาน่าปล้ำซะเหลือเกิน…”

เหมือนกับไปแหย่ถูกเส้นประสาทเส้นไหนของซังเหยียนเข้า จู่ๆ เขาก็เตะไปที่ส่วนท้องของชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสืออย่างไม่บอกไม่กล่าว

เตะไปด้วยพลังเต็มเปี่ยมไม่มียั้งเลยสักนิด เวินอี่ฝานอยู่ในรถยังได้ยินเสียงเตะดังปั้ก

คำพูดของชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือชะงักลงทันใด ร่างกายเซถอยหลังไปหลายก้าว ยืนตัวงอ ก่อนจะโพล่งคำหยาบคายออกมาอย่างยากลำบาก

“ไอ้…สัตว์…”

อีกสองคนที่อยู่ด้านหลังถึงกับอึ้งไป

หลังจากได้ยินชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือพูดไปด่าไปถึงได้สติกลับมา เดินเข้ามาช่วยเหลือทันที

เวินอี่ฝานหลุบตาลง พยายามควบคุมมือที่สั่นเทา เธอหยิบมือถือออกมาโทรแจ้งตำรวจ

คนอย่างซังเหยียนที่ทำตัวเหนื่อยหน่ายเกียจคร้านมาตลอด ท่าทางไม่อยากยุ่งกับอะไรทั้งนั้น เวลามองคนมักแฝงไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน คราวนี้เหมือนกับว่าเขาจะโมโหจริง หน้าตาราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์

ดวงตาเขาสีดำขลับแฝงไปด้วยความชั่วร้าย มองคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกับเป็นแค่เนื้อดิบก้อนหนึ่ง

ในขณะเดียวกันสองคนนั้นก็เดินขึ้นหน้ามาคว้าตัวเขา คิดจะควบคุมตัวเขาไว้

ซังเหยียนมือไวตาไว ดึงผมของคนหนึ่งในนั้นขึ้นมา ออกแรงดึงขึ้นด้านบนแล้วเหวี่ยงไปกระแทกกับเสาไฟด้านข้าง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ฉวยโอกาสนี้ชกหน้าซังเหยียนไปหมัดหนึ่งอย่างแรง

เขาหลบไม่ทัน หน้าเอียงไปด้านหนึ่ง ตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่

เหมือนกับซังเหยียนไม่มีสติและไม่เจ็บปวด เขาได้รับบาดเจ็บแต่ยังยิ้มออกมาได้

หลังจากที่เวินอี่ฝานตระหนักได้ว่าถึงตัวเองจะออกไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ในทางกลับกันจะเป็นตัวถ่วงให้ซังเหยียนอีก เธอจึงไม่ได้วิ่งพรวดพราดออกไป แต่ยังเป็นกังวลว่าพวกเขาจะมีใครที่มีอาวุธหรือเปล่า คอยจ้องดูการเคลื่อนไหวของอันธพาลพวกนั้นอย่างเหงื่อตก

นอกเสียจากว่าอีกสองคนจะเข้ามารุมเขาซะจนน่วม ซังเหยียนตั้งท่าต่อสู้ในเชิงรุกอยู่ตลอด เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปบนร่างของชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือแล้ว ทันใดนั้นเวินอี่ฝานก็เห็นปากเขาเผยอออกและปิดลง เหมือนจะพูดเพียงประโยคสั้นๆ แต่เขาอยู่ห่างออกไปสักระยะหนึ่ง เวินอี่ฝานจึงไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไร

โชคดีที่ตำรวจลาดตระเวนที่อยู่แถวนี้มาถึงเร็ว เดินขึ้นหน้ามาตะโกนว่า “เฮ้ย! ทำอะไรกันน่ะ!”

เมื่อเห็นเหตุการณ์เวินอี่ฝานก็ลงจากรถทันทีแล้วเดินไปทางซังเหยียน กลัวว่าตำรวจจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นตัวการก่อเรื่อง เธอกันให้ซังเหยียนไปอยู่ด้านหลัง พยายามพูดอย่างสงบ

“คุณตำรวจคะ เมื่อกี้เป็นฉันเองที่แจ้งตำรวจ คนนี้เป็นเพื่อนของฉันค่ะ…”

เห็นชัดว่าซังเหยียนได้รับบาดเจ็บบนใบหน้า มุมปากมีรอยเลือดอยู่เล็กน้อย มีรอยถลอกอยู่บ้าง ใบหน้าด้านข้างมีรอยช้ำอยู่นิดหน่อย โทสะในดวงตาเขาจางไปเล็กน้อย เขาหลุบตาลงจ้องไปที่ท้ายทอยขาวเนียนของเวินอี่ฝานอย่างเงียบงัน

 

พวกเขาถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน

มองจากอาการบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายแล้วก็ไม่นับว่าเป็นการทำไปเพื่อป้องกันตัว สถานการณ์ดูจะเอนเอียงไปว่าทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน แต่ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือมีข้อหาอยู่ก่อนแล้ว บวกกับที่วันนี้เพิ่งถูกปล่อยตัวก็ไปหาเรื่องผู้ที่ได้รับความเสียหายในครั้งก่อนอีก จึงได้รับโทษหนักหน่อย

นอกจากชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปเสือแล้ว คนอื่นก็แค่ถูกตักเตือน ปรับเพียงไม่กี่ร้อยหยวนแล้วก็กลับไป

หลังออกมาจากสถานีตำรวจ เวินอี่ฝานแอบมองหน้าซังเหยียนพลางเม้มปาก

“นายจะไปโรงพยาบาลหน่อยมั้ย”

ซังเหยียนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่จึงไม่ได้สนใจเธอ

“บนตัวนายยังมีตรงไหนบาดเจ็บอีกหรือเปล่า” เพราะนี่เป็นเรื่องของเธอเองแท้ๆ แต่ดันลากเขาเข้ามาเอี่ยวด้วย เวินอี่ฝานรู้สึกผิดและไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ “พวกเราไปโรงพยาบาลหน่อยเถอะ น่าจะเสียเวลาไม่นาน…”

ซังเหยียนเอ่ยขัดจังหวะเธอ “เวินอี่ฝาน”

เวินอี่ฝานช้อนตาขึ้น “มีอะไรเหรอ”

ซังเหยียนจ้องมองเธอแล้วโพล่งออกมา “ฉันยืนอยู่ตรงนั้น เธอมองไม่เห็นเหรอ”

เวินอี่ฝานไม่เข้าใจ “อะไรเหรอ”

“เธอดันไม่เรียกให้ฉันช่วย เธอจะวิ่งไปไหน”

“…”

“ฉันเรียกให้เธอมานี่ เธอก็ไม่ได้ยินเหรอ” น้ำเสียงของซังเหยียนไม่เกรงใจเลยสักนิด แฝงการเสียดสีเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม “เธอทั้งตาบอด หูหนวก และหน้าด้าน เหลือขาแค่สองข้างที่ยังวิ่งได้ใช่มั้ย”

เวินอี่ฝานไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับการพูดเสียดสีของเขา เขาช่วยเธอไว้แล้วยังได้รับบาดเจ็บ คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรเธออยู่ต่อหน้าเขาก็รู้สึกว่าเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี

“ฉันก็อยากเรียกให้นายช่วยเหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะลงไม้ลงมือหรือเปล่า ฉันไม่อยากลากนายให้เข้ามาเอี่ยวด้วยน่ะ”

ดวงตาซังเหยียนลึกล้ำ เขากำลังฟังเธออธิบาย

“อีกอย่าง” เวินอี่ฝานพูดตามจริง “โดยหลักแล้วก็คือพวกเขามีสามคน ฉันกลัวว่านายจะสู้ไม่ไหว”

“…”

ซังเหยียนหัวเราะออกมาด้วยความฉุน สะอึกกับคำพูดของเธอจนพูดไม่ออก

จังหวะนั้นพวกเธอเดินผ่านร้านขายยาร้านหนึ่งพอดี

เวินอี่ฝานชะงักฝีเท้า สายตาก็เหลือบมองหน้าชายหนุ่มแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น

“นายรออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ”

เมื่อพูดจบก็ไม่รอให้ซังเหยียนตอบตกลง เวินอี่ฝานเดินเข้าไปในร้านขายยา ซื้อยาทาแผลถลอกฟกช้ำ หลังจากออกมาแล้วเธอกวาดตามองไปรอบด้านก็เห็นม้านั่งยาวตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวละแวกนั้น

ทั้งสองคนเดินไปทางนั้น

“ทายาสักหน่อยแล้วกัน” เวินอี่ฝานยื่นถุงยาให้เขา พูดอย่างจริงใจ “ถ้านายออกไปในสารรูปแบบนี้คงไม่สามารถเจอหน้าใครได้”

“…”

ซังเหยียนคล้ายจะหายใจติดขัดอยู่บ้าง เขามองเธออยู่ชั่วครู่แล้วเปิดถุงยาโดยไม่พูดไม่จา

เวินอี่ฝานก็ไม่พูดอะไรต่อ เธอนั่งอยู่ด้านข้าง มองเขาเลิกแขนเสื้อ พ่นยาไปที่รอยช้ำบนแขน เดิมทีเธอก็รู้สึกว่าตัวเองมีโทษร้ายแรงอยู่แล้ว พอยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าโทษหนักกว่าเดิมอีก

ซังเหยียนทายาอย่างลวกๆ แค่ต้องการทาให้เสร็จๆ ไป เวินอี่ฝานรู้สึกว่าเขาทายาก็เหมือนไม่ได้ทา

หลังจากนั้นเขาก็ทายาที่หัวเข่าและท้ายสุดที่ใบหน้า พอมาถึงตรงส่วนนี้ก็เริ่มทายากขึ้น เพราะว่าใบหน้าคือส่วนที่ตาคนเรามองไม่เห็น บวกกับรอบตัวในเวลานี้ไม่มีกระจก ซังเหยียนก็คลำไปทาไป แรงมือก็ไม่ยั้งสักนิด และมักจะทาผิดที่ ก็เลยขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว

เวินอี่ฝานทนดูต่อไปไม่ไหว “ฉันช่วยนายทาแล้วกัน”

ซังเหยียนเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ชะงักไปไม่กี่วินาทีแล้วยื่นของในมือให้เธอ

เวินอี่ฝานกำลังคิดจะเขยิบเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเขาพูดขึ้น

“อย่าฉวยโอกาสมาแต๊ะอั๋งฉันนะ”

“…”

เวินอี่ฝานชะงักไปโดยพลัน พูดอย่างกล้ำกลืน “โอเค ฉันจะระวัง”

เธอหยิบคอตตอนบัดชุบยาเตี่ยนฝูแล้วจ้องไปที่บาดแผลบนใบหน้า ทาลงไปอย่างระมัดระวัง เธอเพิ่งแตะโดนบาดแผล ซังเหยียนก็ทำราวกับว่าเธอใช้เข็มแทงเข้าไป ร้องซี้ดขึ้นมาทันใด

เวินอี่ฝานตัวแข็งทื่อไปในทันที

เหมือนกับเธอหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ซังเหยียนพูดอย่างไม่พอใจ “เธอทาเบาๆ หน่อยได้มั้ย”

เวินอี่ฝานงุนงง เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันแตะโดนแผลเขาเลย

หญิงสาวพูดอย่างใจเย็น “ได้ ฉันจะทาเบากว่านี้”

ทั้งสองคนค่อยๆ เขยิบเข้าหากัน

เวินอี่ฝานจ้องไปที่บาดแผลอย่างใจจดใจจ่อ ระวังเรื่องแรงมืออย่างที่สุด สิ่งเดียวที่กลัวคือเขาจะไม่พอใจ แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาด้านล่าง ทาบาดแผลตรงมุมปาก เธอหยิบคอตตอนบัดชุบยาเตี่ยนฝูอันใหม่ หลังจากหักแล้วก็ทาลงบนแผลอย่างเบามือ

หลังจากทายาเสร็จเรียบร้อยเวินอี่ฝานก็ช้อนตาขึ้น ประสานเข้ากับสายตาเขาพอดี

เธอหยุดหายใจไปในชั่วพริบตา

“ก็แค่ทายา” ดวงตาซังเหยียนหม่นลง น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เธอจะต้องเขยิบเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้?”

“…” เวินอี่ฝานนั่งหลังตรงทันที “ขอโทษด้วย ที่นี่แสงไม่พอ ฉันมองเห็นไม่ค่อยชัดน่ะ” พูดจบเธอก็เสริมไปอีกประโยค “ทาเสร็จแล้ว”

หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก

ซังเหยียนนั่งเอนหลังพิงม้านั่ง ถามไปเรื่อยเปื่อย “แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น”

เวินอี่ฝานหลุบตาลงเก็บของบนม้านั่งพลางอธิบายช้าๆ “ก็เคยมีเรื่องกันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อกี้คนที่ตัวใหญ่สุดพักอยู่ห้องข้างๆ ฉัน เขาชอบมาเคาะประตูห้องฉันบ่อยๆ ก่อนหน้านี้ฉันก็ไปแจ้งความ ทำให้เขาถูกกักตัวห้าวัน เขาคงจะแค้นฉันมั้ง”

พอได้ยินดังนั้นซังเหยียนก็ทำหน้าตาบูดบึ้ง “แล้วคืนนี้เธอยังจะกลับไปนอนที่โกโรโกโสนั่นอีก?”

“ฉันหาที่อยู่ใหม่ไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ย้าย คืนนี้ฉันคงไปค้างที่บ้านเพื่อนก่อน”

ซังเหยียนไม่ได้พูดต่อ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงตอบว่าอืม

เวินอี่ฝานมองเวลาแล้วลุกขึ้นยืนก่อน “พวกเรากลับกันเถอะ ดึกมากแล้ว นายจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย รถของซูเฮ่าอันยังจอดอยู่ที่ด้านนอกเขตชุมชน นายยังต้องกลับไปเอารถอีก”

ซังเหยียนแค่พยักหน้า ไม่วิจารณ์ต่อ

ทั้งสองคนเรียกรถกลับไปยังเฉิงซื่อจยาย่วน

พอลงจากรถซังเหยียนไม่รอให้เวินอี่ฝานกล่าวลา เขาเดินเข้าไปในชุมชนทันที เธอไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรจึงรีบตามไป

“นายยังมีอะไรเหรอ”

ซังเหยียนหันมามองเธอ “ขึ้นไปเก็บข้าวของซะ”

เวินอี่ฝานตะลึงโดยพลัน “หืม?”

ในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยการดูแคลนชุมชนแห่งนี้ “เธอยังคิดที่จะกลับมาอยู่ในที่โกโรโกโสแบบนี้?”

“…”

ความหมายนี้คล้ายว่าเขาจะขึ้นไปเก็บข้าวของเป็นเพื่อนเธอ

เดิมทีเวินอี่ฝานก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ในเมื่อเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่นาน เธอไม่กล้าขึ้นไปเองคนเดียว บวกกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน เธอก็ไม่รู้จะไปหาใครขึ้นไปเป็นเพื่อนและก็ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากซังเหยียนด้วย แต่ในเมื่อเขาพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอจึงถอนใจโล่งอกได้สักที

เวินอี่ฝานเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณนายมากนะ”

ซังเหยียนทำเป็นไม่สนเธอ

 

ส่วนกลางของชุมชนแห่งนี้จัดการได้แย่จริงๆ

ตึกที่เวินอี่ฝานพักอยู่มีบางชั้นที่โคมไฟเสีย มืดเสียจนเกือบมองไม่เห็นทาง แต่ก็ไม่มีคนมาเปลี่ยนสักที ทางเลี้ยวโค้งตรงทางเดินยังมีขยะทิ้งไว้อยู่ไม่น้อย กลิ่นทั้งเหม็นทั้งอับชื้น

ก่อนหน้านี้เวินอี่ฝานก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมีคุณชายมาด้วย เธอก็รู้สึกขึ้นมาอย่างประหลาดว่าสภาพความเป็นอยู่ของตนเองนั้นน่าอับอายขายหน้าเสียจริง

ทว่าคราวนี้ซังเหยียนกลับไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องของตน เวินอี่ฝานก็หยิบกุญแจมาเปิดประตู

ซังเหยียนไม่บุ่มบ่ามเข้าไปในที่พักของหญิงสาว เขาซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อ ยืนอยู่ด้านนอก

“ฉันจะรอเธออยู่ข้างนอก”

เวินอี่ฝานพยักหน้า

เธอเดินเข้าไปในห้อง ดึงกระเป๋าเดินทางออกมาจากใต้เตียง

เวินอี่ฝานมาถึงเมืองหนานอู๋ยังไม่ถึงสามเดือน ก่อนจะมาเธอได้ขายกระเป๋าเดินทางไปหลายใบหรือไม่ก็ทิ้งไว้อย่างนั้น บวกกับยังไม่มีเวลาไปซื้อของใหม่สักที คราวนี้ที่เธอเก็บข้าวของก็ไม่ต่างจากตอนมาเมืองหนานอู๋เท่าไหร่

เธอใช้เพียงกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบรวมกับกระเป๋าสัมภาระอีกหนึ่งใบก็เก็บข้าวของจนหมด

หลังจากที่ตรวจสอบว่าไม่ได้ทิ้งของอะไรไว้แล้ว เวินอี่ฝานก็เปิดประตูเดินออกไป

ซังเหยียนเหลือบมองกระเป๋าเดินทางของเธอแวบหนึ่ง “มีแค่นี้?”

“อืม”

ชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรอีก พลันเข้าไปช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางสองใบลงไปด้านล่างทันที

หลังออกจากชุมชนแห่งนั้น ซังเหยียนก็วางกระเป๋าเดินทางไว้ที่ท้ายรถ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ

“เพื่อนเธอพักอยู่ที่ไหน”

เวินอี่ฝานครุ่นคิดว่าจะไปค้างบ้านของจงซือเฉียวดี หรือว่าจะปรึกษากับหวังหลินหลินว่าเธอจะขอเข้าไปพักคืนนี้เลย

ซังเหยียนไม่มีความอดทนมากนัก “เธอได้ยินมั้ยเนี่ย”

เวินอี่ฝานพูดได้เพียงว่า “ซั่งตูฮวาเฉิง”

ซังเหยียนขมวดคิ้วมองเธอแวบหนึ่งแล้วเคลื่อนรถออกไป

ที่นี่อยู่ใกล้ซั่งตูฮวาเฉิงมาก ขับรถไปไม่ถึงห้านาที

พอใกล้จะถึงจุดหมาย ซังเหยียนก็ถามไปเรื่อยเปื่อย “เพื่อนเธอพักอยู่ตึกไหน”

“…” เวินอี่ฝานจำตำแหน่งได้ แต่ไม่ได้ตั้งใจมองว่าอยู่ตึกไหน เธอพูดตามความจริง “ฉันจำไม่ได้แล้วอะ”

ซังเหยียนก็ไม่ได้ใจร้อน “เธอลองถามเพื่อนดู”

เวินอี่ฝานส่งข้อความวีแชตไปหาหวังหลินหลิน แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ดูมือถือ เลยไม่ตอบกลับมาสักที เธอไม่อยากรบกวนซังเหยียนนานเกินไปจึงพูดขึ้นว่า

“เธอยังไม่กลับมา ไม่เป็นไร นายส่งฉันลงตรงทางเข้าก็ได้”

จากนั้นก็เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง

“เธอมีเพื่อนอยู่ที่นี่จริงๆ?” ฟังจากน้ำเสียงของซังเหยียนไม่รู้ว่าเขามาอารมณ์ไหน

“…” เวินอี่ฝานไม่เข้าใจความหมายของเขา “อะไรนะ”

ซังเหยียนไม่พูดอะไรอีก

พอถึงทางเข้าซั่งตูฮวาเฉิง ซังเหยียนก็ลงจากรถ ช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางลงมา

เวินอี่ฝานจึงเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้งอย่างเกรงใจ “วันนี้รบกวนนายจริงๆ นายว่างเมื่อไหร่ฉันขอเลี้ยงข้าวนายมื้อนึงนะ”

“เรื่องเลี้ยงข้าวไม่ต้องหรอก” น้ำเสียงซังเหยียนเย็นชา พูดอย่างเฉียบขาด “วันนี้ถึงจะเป็นคนที่ไม่รู้จัก ฉันก็ต้องทำเหมือนกัน”

เวินอี่ฝานจ้องที่รอยช้ำบนใบหน้าเขา อดพูดไม่ได้ “งั้นถ้านายกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องแบบนี้ ภายในปีนึงหน้านายจะดูได้บ้างมั้ยเนี่ย”

“…”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)

 

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: