บทที่ 1 ประตูห้องบันได
ความจริงแล้ว ความเหงาเป็นผลพวงจากการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
(1)
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะขึ้นมาชั้นบนก็พบว่าบรรยากาศในสำนักงานทนายความผิดปกติ มีหลายคนแอบเมียงมองอยู่ที่หน้าประตูห้องประชุม
ผ่านไปสักครู่ประตูก็ถูกเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งก้าวเท้าออกมาจากด้านในช้าๆ หน้าสุดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขามีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสง่าผ่าเผย พร้อมด้วยนัยน์ตาเย็นชาคู่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ สายตากวาดผ่านกลุ่มคนทั้งหมดอย่างเชื่องช้าโดยไม่หยุดชะงัก จากนั้นกล่าวทักทายไม่กี่ประโยคแล้วจึงกล่าวลา
ชายคนนั้นเดินด้วยท่าทางแปลกๆ แต่ว่าแปลกตรงไหนกลับอธิบายไม่ถูก
ระหว่างที่เดินเฉียดตัวเสิ่นเสี่ยอี้ไป เขาก็สัมผัสได้ถึงแววตาของเธอที่จ้องมองเขาอยู่ เขาจึงหันหน้ามาเล็กน้อย ส่งยิ้มบางๆ ให้เธออย่างมีมารยาท เดิมทีเขามีหนังตาสองชั้นหลบใน ดังนั้นเมื่อมองเผินๆ จึงเหมือนมีตาชั้นเดียว เพียงชำเลืองมองมาดั่งมีรอยยิ้มในดวงตา ก็ราวกับว่าสามารถดูดวิญญาณคนได้
เสิ่นเสี่ยอี้เคยเห็นเขาจากในข่าวมาก่อน เจ้าของลี่ซื่อกรุ๊ปคนปัจจุบันลี่เจ๋อเหลียง หลังกลับจากไปเรียนที่เยอรมนีเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาก็มาสืบทอดกิจการของตระกูล เวลานี้สามารถเรียกลมเรียกฝนธุรกิจในเมือง A ได้แล้ว
“ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้ถาม
“นี่เป็นผลงานของพวกเรา” อู๋เหว่ยหมิงเพื่อนร่วมงานกล่าว “ลี่ซื่อกรุ๊ปตกลงร่วมมือกับพวกเราแล้วนะ”
เดิมทีเสิ่นเสี่ยอี้กำลังเซ็นชื่ออยู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าก็ชะงักปลายปากกา ย้อนถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ “จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ! ฉันเองก็แทบไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เราสองคนไปเจรจากับผู้จัดการหลีที่อยู่แผนกบริการลูกค้ามาน่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้า ผู้จัดการหลีคนนั้นวางมาดใหญ่โต เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามสำนักงานทนายความของพวกเขาเต็มสูบ ดังนั้นเธอกับอู๋เหว่ยหมิงจึงไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว
“ไม่คิดว่าวันนี้ลี่เจ๋อเหลียงจะมาด้วยตัวเอง มีความจริงใจใช้ได้เลยนะ” อู๋เหว่ยหมิงพยักหน้า
“ถ้างั้นพวกเราก็ต้องส่งทนายไปประจำใช่หรือเปล่า”
“เธออยากไปเหรอ” อู๋เหว่ยหมิงชำเลืองมองเธอ
“อยากสิ!” เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้าขึ้นลงราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว “บริษัทใหญ่โตขนาดนั้น ฉันอยากไปเก็บประสบการณ์สักหน่อย มันเป็นความฝันของใครหลายๆ คนเลยนะ”
ลี่ซื่อกรุ๊ปซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมีตึกสูงเสียดฟ้าอยู่ที่จัตุรัสหงจี การสวมป้ายพนักงานของพวกเขาเข้าออกพื้นที่ได้ถือเป็นความฝันของหนุ่มสาวมากมาย
“นั่นเพราะความฝันของพวกนั้นคือลี่เจ๋อเหลียงต่างหาก หรือว่าเขาก็เป็นความฝันของเธอด้วย” อู๋เหว่ยหมิงหัวเราะ เสิ่นเสี่ยอี้เองก็หัวเราะแหะๆ ตามไปด้วย
ในที่สุด ภายหลังความพยายามหลายต่อหลายครั้งของเสิ่นเสี่ยอี้ สำนักงานก็ยอมให้เธอไปปรับตัวเพื่อสร้างความคุ้นชินก่อน
วันนี้เสิ่นเสี่ยอี้ได้รับอนุญาตให้เลิกงานเร็วได้ เธอเก็บเอกสารส่วนที่จำเป็นสำหรับใช้ทำงานตอนอยู่ที่นั่นจนเรียบร้อย ตอนนั่งแท็กซี่กลับบ้านขณะผ่านตึกระฟ้าลี่ซื่อกรุ๊ปที่จัตุรัสหงจี เสิ่นเสี่ยอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองตึกใหญ่แห่งนั้นแวบหนึ่ง
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอก็จะได้พบปะพูดคุยกับผู้ชายแซ่ลี่คนนั้นแล้ว จู่ๆ เธอก็คิดถึงภาพเหตุการณ์วันนั้นตอนเธอเฉียดผ่านเขาไป ในตอนนั้นไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอก เพราะเธอรู้สึกได้ว่าสาวๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็แทบจะเป็นลมกันหมดเช่นกัน
วันแรกที่ต้องไปทำงานที่ตึกระฟ้าลี่ซื่อกรุ๊ป เสิ่นเสี่ยอี้ตื่นแต่เช้า เธอมาถึงเช้ากว่าเวลาเข้างานมาก จึงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สวนสาธารณะด้านนอกอาคารคนเดียว รอจนกว่าจะถึงเวลาที่นัดหมายเอาไว้
ริมทางเดินเล็กๆ ของสวนสาธารณะมีดอกท้อหลายกิ่งผลิบานสีสวยสดใส บนสนามหญ้าหอมมีคนเฒ่าคนแก่ไม่กี่คนกำลังรำไท้เก็กกันอยู่ ในช่วงเวลานี้เด็กๆ ค่อนข้างน้อย
รถเก๋งสีเงินจอดลงช้าๆ ที่หน้าอาคาร พอมีคนลงจากรถคนหนึ่งถึงได้เคลื่อนเข้าไปในลานจอดรถด้านล่าง
เสิ่นเสี่ยอี้มองอยู่ไกลๆ คนที่ลงรถมาก็คือลี่เจ๋อเหลียงนั่นเอง ชุดสูทสะอาดสะอ้านสีเข้มที่สวมทับบนร่างกายเขาแลดูแนบเนื้อเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้เห็นรูปร่างสูงโปร่งหลังตรงของเขาชัดเจนขึ้น
เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปในตึกใหญ่ลี่ซื่อกรุ๊ปตรงเวลาตอนเก้าโมง เลขาฯ แซ่หลินเป็นคนออกมารับรองเธอ อีกฝ่ายพาเสิ่นเสี่ยอี้ไปยังห้องทำงานที่เตรียมเอาไว้ให้เธอล่วงหน้า รอจนเสิ่นเสี่ยอี้วางข้าวของลงเรียบร้อยแล้วจึงพาเธอไปดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“ฝั่งทางเดินนี้เป็นห้องน้ำนะคะ”
“ทางนี้เป็นห้องชงชา ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มทุกชนิด คุณอยากดื่มอะไรก็เลือกหยิบได้เลย หรือจะให้ฉันส่งไปให้ก็ได้ค่ะ”
“ชั้นล่างสุดของอาคารมีโรงอาหารพนักงาน บัตรกินข้าวของคุณอยู่ในลิ้นชัก แล้วก็มีบัตรพนักงานชั่วคราวค่ะ บัตรของพนักงานประจำจำเป็นต้องให้คุณส่งไฟล์รูปถ่ายให้ก่อนถึงจะทำให้ได้ค่ะ”
เมื่อเดินไปถึงประตูที่ไม่มีป้ายบอกหน้าห้องตรงสุดทางเดิน เสี่ยวหลินก็กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของคุณลี่ค่ะ”
“ ‘คุณลี่’ คนไหนเหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้ใคร่ครวญอะไรมากก็โพล่งถามออกมา ที่นี่น่าจะมีคุณลี่หลายคนนะ
“ประธานลี่ค่ะ” เสี่ยวหลินหัวเราะ “แต่เขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกแบบนี้หรอกนะคะ”
“คุณหลินเป็นเลขาฯ ของคุณลี่เหรอคะ” เสิ่นเสี่ยอี้มองป้ายพนักงานของเสี่ยวหลินแวบหนึ่ง
“ใช่ค่ะ” เสี่ยวหลินยังคงยิ้มเหมือนเดิม
“บริษัทให้เลขาฯ ท่านประธานมารับรองพนักงานใหม่หรือทนายความที่จ้างมาใหม่ตลอดเลยเหรอคะ”
เดิมทีเสิ่นเสี่ยอี้นึกอยากถามว่าคนของฝ่ายบุคคลไปทำอะไรที่ไหนกันหมดคะ แต่สุดท้ายเธอก็กลืนประโยคนั้นลงไป
เสี่ยวหลินรักษารอยยิ้มเอาไว้อย่างใจเย็น “เรื่องนี้บอกได้แค่ว่าคุณลี่ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันกับถังเฉียวค่ะ”
รอยยิ้มของเธอช่างเป็นมืออาชีพเหลือเกิน…
หลังจากทำงานอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เสิ่นเสี่ยอี้ก็พบว่านี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีงานให้ทำ แต่เป็นตำแหน่งที่มีงานซึ่งจำเป็นต้องใช้สมองโอเวอร์โหลดทั้งกลางวันและกลางคืนอีกด้วย
ช่วงบ่ายของเวลาทำงาน เสิ่นเสี่ยอี้รับสายโทรศัพท์ส่วนตัวสายหนึ่ง
“เสี่ยอี้ นี่ผมเอง”
“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง
“หยางวั่งเจี๋ย” เขาทำได้เพียงรายงานชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย
“อ๋อ” เสิ่นเสี่ยอี้ตอบรับก่อนกล่าวอธิบาย “ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลยน่ะ”
คนคนนี้เป็นญาติของอู๋เหว่ยหมิงเพื่อนร่วมงานของเธอ คู่ดูตัวที่ได้รับการแนะนำผ่านอู๋เหว่ยหมิงเมื่อคราวก่อน เขาเป็นสถาปนิก ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง
“คุณยังไม่ได้กินข้าวหรอกใช่ไหม” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
กินข้าว? เสิ่นเสี่ยอี้มองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดแล้ว ส่วนเธอก็ก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คนเดียวโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“กินข้าวด้วยกันนะ ผมไปรับเอง” หยางวั่งเจี๋ยเชิญชวนด้วยความจริงใจ
ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงรีบจบงานในมือให้เรียบร้อย ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเก็บของเตรียมเลิกงาน
ระหว่างเดินไปที่ลิฟต์เธอก็เห็นว่ามีใครอีกคนกำลังรอลิฟต์อยู่เหมือนกัน เสิ่นเสี่ยอี้มองอย่างละเอียด เป็นลี่เจ๋อเหลียงนั่นเอง เธอมองเขาจากทางด้านหลัง สายตาตกลงที่หลังใบหูของลี่เจ๋อเหลียงพอดิบพอดี ผิวส่วนนั้นของเขาขาวจั๊วะเชียว
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยิ้มให้
“คุณลี่” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยทักทายก่อน
ลี่เจ๋อเหลียงพยักหน้าตอบรับ พวกเขาไม่เคยทำความรู้จักกันซึ่งๆ หน้าอย่างเป็นทางการมาก่อน เขารู้จักหรือไม่รู้จักเธอก็ดูเป็นเรื่องปกติทั้งนั้น
‘ติ๊งต่อง’ ประตูลิฟต์เปิดออก ลี่เจ๋อเหลียงส่งสัญญาณให้เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปก่อน เสิ่นเสี่ยอี้จึงไม่ได้หลีกทางให้
ภายในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคน ทั้งคู่ยืนเคียงไหล่กันมองตรงไปข้างหน้า ด้านในของตัวลิฟต์ถูกขัดเอาไว้เสียมันวับจนสะท้อนเงาของคนทั้งสอง เสิ่นเสี่ยอี้มองไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเธอไม่จัดว่าเตี้ย แต่เมื่อสวมรองเท้าส้นสูงธรรมดาๆ เธอก็อยู่ที่ระดับความสูงของใบหูเขาเท่านั้นเอง
ลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนลง มุมปากและดวงตาของเขาเจือด้วยรอยยิ้มตามปกติ ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าดูค่อนข้างเย็นชา
“คุณเสิ่น ดึกขนาดนี้เพิ่งจะเลิกงานเหรอครับ” ในที่สุดลี่เจ๋อเหลียงก็ปริปากพูด น้ำเสียงก้องกังวานน่าฟัง
“เพิ่งทำงานในมือบางส่วนเสร็จน่ะค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวไปก็ลูบผมไปด้วย เวลาที่เธอตื่นเต้นก็มักจะมีปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้โดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนว่าข้างนอกฝนจะตกนะ” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว
“คะ?” เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างประหลาดใจที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา “ฉันร่างกายแข็งแรงมากค่ะ ไม่มีปัญหา”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป เสิ่นเสี่ยอี้ก็พลันรู้สึกว่าโรคก่อเรื่องงี่เง่าของเธอเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ค่อนข้างจะคิดเองเออเองไปหน่อย ว่ากันว่าเขาเรียนอยู่ที่เยอรมนีมาหลายปี บางทีเขาคนนี้อาจจะยังคงรักษาธรรมเนียมอย่างชาวต่างชาติอยู่ก็ได้ เพียงแค่อยากพูดคุยเรื่องอากาศด้วยก็เท่านั้น
ลี่เจ๋อเหลียงได้ฟังก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะลงมาถึงชั้นหนึ่งก็เห็นหยางวั่งเจี๋ยรอเธออยู่ที่บริเวณทางออก หยางวั่งเจี๋ยกับลี่เจ๋อเหลียงพยักหน้าให้กันเป็นการทักทาย
ตอนที่รถของพวกเขายูเทิร์นกลับมา เสิ่นเสี่ยอี้เห็นว่าลี่เจ๋อเหลียงยังคงรอคนขับรถอยู่
“ดูเหมือนว่าขาของผู้ชายคนนี้จะมีปัญหานะ” หยางวั่งเจี๋ยขับรถไปพลางสายตาก็มองลี่เจ๋อเหลียงที่อยู่นอกหน้าต่าง
“หืม?”
“ถึงตอนยืนจะดูไม่ออก แต่พอเขาเดินแล้วดูค่อนข้างแปลกเลยล่ะ อีกอย่างเขายังหันตัวช้าเป็นพิเศษด้วย” หยางวั่งเจี๋ยอธิบาย
เสิ่นเสี่ยอี้หันไปมองหยางวั่งเจี๋ยทันทีที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา สีหน้าของเธอเจือด้วยความตื่นตะลึง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา เมื่อรถขับออกมาไกลมากแล้วเธอถึงได้หันกลับไปมองอย่างใจลอย เงาร่างของลี่เจ๋อเหลียงเลือนรางไปมากแล้ว เหมือนว่าจะยังถือร่มยืนอยู่ท่ามกลางม่านฝนที่ตกไปทั่วท้องฟ้า
เธอไม่เห็นจะมองออกเลย
“เขาเป็นเพื่อนคุณเหรอ” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอก ฉันมีวาสนาขนาดนั้นที่ไหนล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะ “เขาเป็นเจ้าของลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้
ลี่เจ๋อเหลียง”
“ลี่เจ๋อเหลียง? เขาถึงกับเป็นตำนานของวงการอสังหาริมทรัพย์เลยนะ” หยางวั่งเจี๋ยหัวเราะพลางเอ่ยไปด้วย “เขาลงมือว่องไว แม่นยำ แล้วก็โหดเหี้ยมมาตลอด กลายเป็นกังหันบอกทิศทางลมของสายงานพวกเราไปแล้ว เมื่อสองปีก่อนการบุกเบิกเขตใหม่ทำให้ชื่อเสียงและอิทธิพลของลี่ซื่อกรุ๊ปขยายตัวรวดเร็วจนน่าตกใจ”
เรื่องนี้เสิ่นเสี่ยอี้เองก็รู้ดี ช่วงก่อนหน้านี้รัฐบาลบุกเบิกเขตพื้นที่ใหม่ เยี่ยซิงกรุ๊ปซื้อที่ดินไปเตรียมจะเผยแผนการใหญ่ อีกทั้งยังกำหนดให้อาคารบนพื้นที่เป็นที่พักอาศัยชั้นดี ใครจะรู้ล่ะว่าแม้เขตพื้นที่ใหม่สภาพแวดล้อมจะดี แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการกลับไม่ได้เรื่อง ถนนหนทางที่สะดวกยังเข้าไม่ถึง แค่ก้าวแรกอย่างช่วงจองห้องล่วงหน้าก็ขาดทุนแล้ว ต่อมาเงินทุนของเยี่ยซิงหมุนเวียนไม่ดีนัก วันส่งมอบห้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เกือบจะกลายเป็นอาคารที่สร้างไม่เสร็จเพราะประสบปัญหาทางการเงิน จนกระทั่งตอนที่เยี่ยซิงคิดจะโยนทิ้งเปลี่ยนมือ นักพัฒนาในสายงานก็ไม่กล้าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ในเวลานั้นเองลี่เจ๋อเหลียงก็ยื่นมือเข้ามากว้านซื้อด้วยราคาที่ต่ำสุดๆ จากนั้นก็เซ็นซื้อที่นารกร้างรอบๆ ไปด้วยกัน ตั้งแต่ที่ดึงดูดครูมีชื่อเสียงมาสร้างโรงเรียนเลื่องชื่อ* ก็ทำให้พื้นที่ทั้งหมดดำเนินการบุกเบิกได้ครบวงจร ทั่วทั้งเขตพื้นที่ใหม่เปลี่ยนไปเป็นเขตเมืองหลักของเขตพื้นที่โดยรอบ ผลงานชิ้นใหญ่ที่สร้างขึ้นมาเองกับมือนี้ หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทรัพย์สมบัติที่อยู่มาถึงสามรุ่นของตระกูลลี่คงเกือบสูญไปในชั่วพริบตาเดียว ทว่าเขาก็ทำสำเร็จ
ปีนั้นลี่เจ๋อเหลียงอายุยี่สิบหกปี
“ตอนนี้เยี่ยซิงทำการค้าขายเล็กๆ ขยายกิจการไปทีละเล็กละน้อยอยู่ในเมือง A ส่วนลี่ซื่อกรุ๊ปก็กลายมาเป็นผู้นำในวงการนี้” หยางวั่งเจี๋ยทอดถอนใจ
ทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้วก็ออกมาจากภัตตาคาร ฝนหยุดตกแล้ว ค่ำคืนหลังฝนตกอากาศสดชื่นเป็นพิเศษ จู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา ระหว่างทางกลับบ้านจึงแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตกับหยางวั่งเจี๋ย เตรียมซื้อของใช้ประจำวัน
ตอนที่คิดเงินเพื่อชำระค่าสินค้า ทันใดนั้นเสิ่นเสี่ยอี้ก็ได้ยินว่ามีคนเรียก “ทนายเสิ่น”
เมื่อเสิ่นเสี่ยอี้หันกลับไปทันทีก็พบว่าเป็นเสี่ยวเซี่ยงลูกความของคดีที่ผ่านมือมาก่อนหน้านี้ เสิ่นเสี่ยอี้แย้มยิ้ม กล่าวทักทายเธออย่างเกรงใจ
“คุณเซี่ยง สวัสดีค่ะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
“คุณทำงานอยู่ที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ” เสี่ยวเซี่ยงยิ้มให้ “งานนี้ไม่ได้สบายเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าฉันก็ชอบมากอยู่ดีค่ะ”
“จูอันไหวไม่ได้มาหาเรื่องคุณอีกใช่ไหม”
“ไม่ได้มาค่ะ ขอบคุณนะคะทนายเสิ่น ถ้าไม่ใช่เพราะคุณก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันจะทำอะไรอยู่”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มอย่างเก้อเขิน “เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ”
เสี่ยวเซี่ยงเป็นเด็กสาวที่มาจากเมืองอื่น เพิ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มาทำงานที่ธนาคารฮุยฮู่ เพราะว่าเธอหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักจึงมีคนตามจีบมากมาย หนึ่งในนั้นที่ทำให้เธอปวดหัวที่สุดก็คือคุณชายน้อยจูอันไหวแห่งฮุยฮู่เจ้านายของเธอเอง คนผู้นี้พูดจาแทะโลมและลวนลามร่างกายเธอหลายครั้ง เสี่ยวเซี่ยงร้องเรียนกับบริษัทอย่างไม่มีทางเลือก ผลลัพธ์คือคุณชายจูโกรธจัด ส่งคนมาซ้อมเธอจนเกือบเสียโฉม ต่อมาเสิ่นเสี่ยอี้ก็มาเป็นทนายให้เธอ
หลังออกมาจากซูเปอร์มาเก็ต หยางวั่งเจี๋ยฟังเสิ่นเสี่ยอี้บรรยายสั้นๆ ง่ายๆ เสร็จแล้วก็กล่าวว่า “ผมเคยอ่านข่าวนี้ หลังจากนั้นจูอันไหวถูกตัดสินโทษไปนานแค่ไหน”
“หกเดือน” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
“คุณเองก็ต้องระวังจูอันไหวคนนี้เอาไว้นะ” หยางวั่งเจี๋ยกล่าว
คืนนั้นอู๋เหว่ยหมิงเพื่อนยากก็โทรศัพท์มาทักทายเสิ่นเสี่ยอี้ “ช่วงนี้ไปอยู่บริษัทใหญ่โต ชีวิตสบายเลยล่ะสิ”
“สบายอะไรกัน ถูกนายทุนกดขี่ต่างหากล่ะ”
“ถูกนายทุนอย่างลี่เจ๋อเหลียงกดขี่ ยังไงก็ต้องอารมณ์ดีหน่อยแหละน่า ไม่อย่างนั้นทุกคนจะยอมหัวแตกเลือดอาบ* เพื่อเข้าลี่ซื่อกรุ๊ปกันทำไม”
เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะ พูดคุยกับเขาเรื่องอื่นสักครู่ ทันใดนั้นเธอก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “เหล่าอู๋ ขาของเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เธอหมายถึงลี่เจ๋อเหลียงน่ะเหรอ” อู๋เหว่ยหมิงกล่าว “ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อนน่ะ ก็เลยได้รับบาดเจ็บ”
“งั้นเหรอ” เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างแปลกใจ เธอตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
(2)
วันรุ่งขึ้น เสิ่นเสี่ยอี้มาถึงบริษัทแต่เช้าอีกครั้ง
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ในสวนสาธารณะเล็กๆ ที่เคยหยุดพักก่อนหน้านี้ ก่อนจะเห็นลี่เจ๋อเหลียงลงจากรถ เขายังคงทำเหมือนเวลาที่มาทำงานตามปกติ ไม่ได้ลงรถที่ลานจอดรถใต้ดิน
ตอนนี้พอเสิ่นเสี่ยอี้มองให้ละเอียดก็พบว่าขาขวาของเขามีปัญหาจริงๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนพิการเสียหน่อย ก็แค่ความเร็วในการเดินของขาขวาช้ากว่าขาซ้ายไปบ้าง เวลาที่เขายกขาขึ้นก็ยกได้ค่อนข้างต่ำ
เขาขึ้นบันไดไปสองก้าวแล้วเข้าไปในตัวอาคาร เสิ่นเสี่ยอี้เดินตามขึ้นไปก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงเดินอ้อมลิฟต์แล้วก้าวเข้าไปในห้องบันได
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาจะเดินขึ้นบันไดไป
เมื่อสรุปผลภายในใจได้อย่างนี้แล้ว เสิ่นเสี่ยอี้ก็ตกใจมาก นี่จะเป็นไปได้ยังไง ห้องทำงานของเขาอยู่ที่ชั้นยี่สิบสาม ต่อให้เป็นเธอที่มีขาและเท้าแข็งแรงก็ยังเหนื่อยแทบตาย แต่ลี่เจ๋อเหลียงก็ทำมันจริงๆ
ขึ้นบันไดชั้นหนึ่งต้องหมุนร้อยแปดสิบองศา คนที่อยู่ข้างหน้าก็เลยมองไม่เห็นตำแหน่งที่ด้านหลัง ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงตามหลังไปเงียบๆ
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปข้างบน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคนอยู่ข้างหลัง ในห้องบันไดมีเสียงสะท้อนจากฝีเท้าของลี่เจ๋อเหลียง ในตอนแรกฝีเท้าของเขาเร็วจนเสิ่นเสี่ยอี้ตามไม่ทัน จากนั้นก็ค่อยๆ ช้าลง สุดท้ายกลายเป็นเชื่องช้าจนบางครั้งก็มีสะดุดบ้าง เสิ่นเสี่ยอี้จึงหยุดรออยู่ที่ข้างกำแพง กระทั่งเสียงฝีเท้าอันเชื่องช้าของเขาไกลขึ้นไปแล้วเธอถึงได้เดินขึ้นบันไดต่อ
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมเขาต้องมาบริษัทเช้าขนาดนี้ นั่นก็เพื่อให้เขาได้ต่อสู้ดิ้นรนบนบันไดอันยาวเหยียดด้วยตัวคนเดียว ผู้ชายคนนี้แม้ใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถพลิกสถานการณ์ในโลกธุรกิจได้ แต่ก็ยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ยินดีให้คนสังเกตเห็น
‘ชั้นสิบเก้า’
ขณะที่เสิ่นเสี่ยอี้เหน็ดเหนื่อยจนตาพร่าเบลอก็ไม่ลืมที่จะมองเลขชั้น จากนั้นเธอก็ตีโค้งเป็นครั้งที่สามสิบเจ็ด
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็ตื่นตะลึงอยู่ตรงที่เดิม ลี่เจ๋อเหลียงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น กำลังเผชิญหน้ากับเธอ เธอถูกจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้ว
เสิ่นเสี่ยอี้ในตอนนี้ผมฟูกระเซอะกระเซิง หน้าตามอมแมม เหงื่อท่วมไปทั้งตัว เหมือนสตอล์กเกอร์ที่จนตรอกสุดๆ แถมยังถูกจับความเคลื่อนไหวได้อีกต่างหาก
“คุณเสิ่นนี่เป็นคนกระตือรือร้นดีนะครับ เดินขึ้นบันไดแต่เช้าตรู่เลย” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวหยอกล้อ
หลังจากที่ลี่เจ๋อเหลียงเดินขึ้นบันได สีหน้าของเขาก็ดูเหนื่อยล้า ใบหน้าขาวซีด ตอนพูดจาไม่ได้ใช้น้ำเสียงเข้มงวด แต่เมื่อรวมเข้ากับสีหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างฤดูใบไม้ผลิก็ยังทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกได้ถึงลมหนาวที่โชยจากด้านหลังมาเป็นระยะ
เสิ่นเสี่ยอี้เช็ดใบหน้า ในใจลอบเถียงข้างๆ คูๆ กับตัวเอง ที่ไหนกันล่ะ ก็สนุกเรื่องเดียวกับคุณไง บังเอิญเจอกันก็เท่านั้นเอง แต่เขาคนนี้เป็นเหมือนบิดามารดาที่ให้เสื้อผ้าและอาหารกับเธอรวมถึงทั้งสำนักงานทนายความถังเฉียว อีกทั้งใจเธอเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่กล้าโต้ตอบ ทำได้เพียงกระซิบเบาๆ ในใจให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้
ทั้งสองคุมเชิงกันในฉับพลัน เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกได้ถึงท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์ที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าที่ดูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้น
เงียบงัน…
ความเงียบงันในเวลาแบบนี้ทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ค่อนข้างใจฝ่อ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นฝ่ายแอบสอดส่องความลับของเขา
เสิ่นเสี่ยอี้กระแอมขึ้นสองครั้ง ตัดสินใจว่าจะทำลายสถานการณ์ที่หยุดชะงักนี้เสีย เธอกล่าว “หนึ่งวันออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง ทำงานได้แข็งแรงถึงห้าสิบปีเชียวนะคะ”
เธอทำได้เพียงโพล่งประโยคแบบนี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ สำหรับนายทุนที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อทุกคนแล้วประโยคหลังก็ฟังดูค่อนข้างรื่นหู
“หนึ่งชั่วโมงของฉันในวันนี้สำเร็จแล้ว เชิญคุณลี่ไปต่อได้เลยค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวจบก็เตรียมเดินอ้อมลี่เจ๋อเหลียงไปด้วยความรวดเร็ว เธอวิ่งพรวดออกไปจากทางออกที่ชั้นสิบเก้า
“คุณเสิ่นครับ” คิดไม่ถึงว่าตอนที่เฉียดตัวกันนั้นลี่เจ๋อเหลียงกลับจับข้อมือของเธอไว้ “ดูเหมือนว่าคุณจะสนใจในตัวผมมากเลยนะ” ลี่เจ๋อเหลียงหรี่ตามองและยิ้มเรียบๆ ไม่มีความคิดจะปล่อยมือแม้แต่น้อย
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้ เธอถูกเขาจับข้อมือตรึงเอาไว้ ร่างกายแข็งทื่อ ใบหน้าแดงซ่านไปหมด การกระทำนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก
“ฉัน…ฉัน…” เธอรู้สึกค่อนข้างประหม่า
“ตามผมมาทำไม”
“ฉันออกกำลังกายค่ะ”
“ในเมื่อคุณเสิ่นเองก็มีงานอดิเรกนี้เหมือนกัน ถ้างั้นคราวหน้านัดมาด้วยกันเลยดีไหม” ลี่เจ๋อเหลียงเลิกคิ้ว
ถ้าคนอื่นได้ยินการเชื้อเชิญแบบนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจสักแค่ไหน แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ในบรรยากาศแบบนี้ เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มไม่ออกจริงๆ เธอฉีกมุมปากออกแล้วกล่าวว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คราวหน้าฉันตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนไปใช้ลู่วิ่งแทน”
จู่ๆ ประตูห้องบันไดก็ถูกผลักให้เปิดออก ป้าแม่บ้านสวมชุดทำความสะอาดเดินเข้ามา เธอเห็นลี่เจ๋อเหลียงก็รีบร้อนผงกศีรษะให้พลางกล่าวว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณลี่” กล่าวจบก็เห็นเสิ่นเสี่ยอี้ในจังหวะต่อมา และจังหวะที่สามเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของพวกเขาทั้งสอง ป้าแม่บ้านก็เผยสีหน้าราวกับบรรลุได้ในฉับพลัน รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสิบนาที ภายในอาคารลี่ซื่อกรุ๊ปก็มีข่าวชวนให้ตื่นตระหนก
เมื่อเสิ่นเสี่ยอี้หนีกลับมาห้องทำงานของตัวเองที่ชั้นยี่สิบเอ็ดแล้วเธอก็ยังแค้นเคืองแทบตาย อดรนทนไม่ไหวอยากจะหาอุโมงค์ใต้ดินแล้วมุดเข้าไปเสีย ผ่านไปเนิ่นนานเธอถึงได้นึกคำพูดที่เมื่อก่อนเคยใช้ปลอบใจโจวผิงซินขึ้นมาได้ เธอจึงยืมมาใช้คลายความกังวลให้กับตัวเอง
ตอนที่เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะมาถึงสำนักงานทนายความถังเฉียวได้ไม่นาน เธอก็พบเข้ากับโจวผิงซินเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนอ่อนโยน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ของโจวผิงซินคับไปหน่อย เพียงแค่เธอยกมือกระดุมที่หน้าอกก็กระเด็นหลุดออกไปเสียได้ ทำเอาผู้ร่วมงานชายสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเบือนหน้าหนีไปด้วยความประดักประเดิดในทันที โจวผิงซินหน้าแดงไปหมด เธอจึงหลบเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ
ตอนที่เสิ่นเสี่ยอี้เข้าไปในห้องน้ำก็บังเอิญเจอเธอเข้าพอดี จึงช่วยหาเข็มกับด้ายมาเย็บกระดุมของอีกฝ่ายให้กลับเข้าที่ ทว่าโจวผิงซินเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมออกมาจากประตูห้องน้ำ ร้องไห้เป็นสาวเจ้าน้ำตา บอกว่าตัวเองไม่มีหน้าจะพบเจอผู้คนแล้ว
‘ใครๆ ก็มีช่วงเวลาที่อับอายขายหน้ากันทั้งนั้น ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะนะ’ เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยเกลี้ยกล่อมเธอ
‘ต่อไปก็ไม่มีหน้าจะเจอเพื่อนร่วมงานอีกแล้ว ฉันโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อนเลย’
‘งั้นเหรอ ถ้างั้นเธอก็โชคดีจริงๆ’ เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะพลางกล่าวไปด้วย ‘ฉันซุ่มซ่ามบ่อยๆ มาตั้งแต่เด็กเลย ยิ่งกว่าเรื่องน่าอับอายนี่เยอะมาก’
‘จริงเหรอ’
‘ตอนที่ฉันเรียนมัธยมต้น มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันสวมกระโปรงใหม่ไปโรงเรียน’ เสิ่นเสี่ยอี้กลัวว่าจะเล่าไม่ละเอียดพอจึงกล่าวเสริม ‘เป็นกระโปรงรัดรูปที่ไม่สั้นไม่ยาว ตอนเรียนวิชาภาษาครูเรียกให้ฉันตอบคำถาม ปรากฏว่าพอลุกขึ้นมาไม่รู้กระโปรงถูกส่วนไหนของเก้าอี้เกี่ยวไว้ ถ้าลุกขึ้นยืนกระโปรงก็จะถูกดึงลงไป ฉันเลยทำได้แค่โน้มเอวลงย่อตัวตอบคำถาม ตอนอายุเท่านั้นฉันทะนงตัวเป็นพิเศษ รู้สึกไม่ดีที่จะบอกเพื่อนร่วมห้อง หลังจากหมดคาบก็นั่งบื้ออยู่คนเดียว พอเลิกเรียนแล้วพวกนักเรียนเวรก็ต่างคนต่างทำความสะอาด ไม่มีใครสังเกตเห็น ฉันถึงได้กล้าดึงกระโปรงกลับลงมาช้าๆ ด้วยตัวคนเดียว’
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวต่อไป ‘อีกครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องของกระโปรงเหมือนกัน ฉันเรียนมัธยมปลายปีที่หนึ่งแล้ว ตอนนั้นฉันมีไปเรียนเสริมคณิตศาสตร์โอลิมปิก ในห้องเรียนมีรุ่นพี่ที่จะเรียนจบปีนั้นอยู่ เป็นผู้ชายที่ฉันชื่นชมมาตลอดตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ทุกๆ ครั้งเขาจะนั่งอยู่แถวสุดท้ายติดหน้าต่าง และเขามักจะนั่งที่เดิมเสมอ…’
เสิ่นเสี่ยอี้จมลงสู่ความทรงจำอันยาวนาน
ในความทรงจำของเธอเขามักจะนั่งอยู่ตรงมุมนั้นเสมอ แม้จะเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ทว่าผ่านมานานก็ไม่เคยมีใครไปยื้อแย่งกับเขา เขามีดวงตาสีอ่อน สีผมเองก็ไม่ได้เป็นสีดำสนิท เวลาดวงอาทิตย์ปลายฤดูใบไม้ร่วงสาดแสงลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบลงบนโต๊ะของเขาจะเกิดเป็นประกายแสงแสบตาบนหนังสือนิดหน่อย หลายๆ ครั้งเขาจะหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยแล้วหันไปทางอื่นนิดๆ แต่แสงแดดก็ยังคงส่องลงบนนิ้วมือของเขาอยู่ดี ทำให้นิ้วมือเหล่านั้นดูคล้ายกับโปร่งแสงอยู่บ้าง เขาไม่เคยเข้าไปคุยกับใครก่อนเลย แต่ครูกลับชื่นชอบเขาเป็นที่สุด ถึงกับเฉพาะเจาะจงเรียกให้เขามารับผิดชอบธุระชั่วคราวของห้องเรียน
ตอนนั้นระหว่างที่เสิ่นเสี่ยอี้ไม่เข้าใจเนื้อหาในวิชาเรียนโดยสิ้นเชิงและยืนกรานที่จะลงชื่อในห้องเรียนเสริม ทุกครั้งเธอจะมาตั้งแต่เนิ่นๆ สลัดภาพลักษณ์ทอมบอยออกไป แต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังยึดจองที่นั่งข้างๆ เขาซึ่งอยู่ถัดมาจากทางเดินเอาไว้ก่อนด้วย
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวต่อไป ‘วันนั้นพอดีว่าผู้ชายคนนี้มาสาย ตั้งแต่เขาก้าวเข้าประตูมาฉันก็จ้องมองเขาอย่างได้ใจ แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจฉันเลย ตอนที่นั่งลงยังเผลอมองมาที่ฉันแบบไม่ตั้งใจด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉัน ตอนนั้นฉันตื่นเต้นดีใจสุดฤทธิ์ ผ่านไปสักพักเขาก็มองฉันอีกครั้ง’
‘จากนั้นล่ะ’ โจวผิงซินถามด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นเสี่ยอี้ลากเธอกลับไปนั่งที่ห้องทำงาน จากนั้นจึงกล่าวว่า ‘ฉันมีความสุขมาก แต่ก็ยังปลอมสีหน้าว่าตั้งใจเรียนอยู่ ไม่คิดว่าผ่านไปไม่กี่วินาทีเขาคนนั้นจะฉวยโอกาสที่ครูกำลังเขียนตัวอักษรบนกระดานดำส่งเศษกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนั้นฉันสะกดกลั้นใจที่เต้นถี่รัวเอาไว้เชียวนะ ฉันคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง ด้านในมีประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้’
‘เขียนว่ายังไง’ ผิงซินถามด้วยความร้อนใจ
‘เธอใส่เดรสกลับด้านน่ะ’
เสียงพรืดดังขึ้นครั้งหนึ่ง โจวผิงซินหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า ‘เรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย’
‘เรื่องจริงน่ะสิ’
‘แต่ตอนนั้นเธอยังเด็กอยู่ ขายหน้านิดหน่อยก็ไม่น่าจะลำบากใจเท่าไหร่นะ’
‘เด็กงั้นเหรอ?’ เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะ ‘เธอไม่เคยแอบชอบรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมห้องเลยหรือไง ขายหน้าต่อหน้าคนที่ตัวเองปลื้มตอนอายุขนาดนั้นเป็นอะไรที่ไม่มีหน้าจะใช้ชีวิตต่อไปเลยนะ’
‘แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นล่ะ’
‘ไม่รู้สิ’ เสิ่นเสี่ยอี้แววตาเป็นประกาย เธอส่ายหน้าพลางกล่าวว่า ‘จำไม่ได้ทั้งรูปร่างหน้าตาแล้วก็ชื่อแซ่ด้วย แต่ว่ารายละเอียดบางอย่างกับท่าทางก็ยังพอมีความทรงจำอยู่บ้างนะ’ สายตาของเธอค่อนข้างหงอยเหงา
คำพูดเหล่านี้…เรื่องราวเหล่านี้…ตอนนี้เสิ่นเสี่ยอี้นึกขึ้นมาได้ก็เหมือนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นชัดเจนอยู่ในสายตา บางทีคำพูดที่เธอปลอบใจโจวผิงซินไปในตอนนั้นอาจฟังดูพูดง่ายแต่ทำยากจริงๆ ก็ได้ อย่างเช่นตอนนี้เธอเองก็ไม่อยากปรากฏตัวต่อหน้าลี่เจ๋อเหลียงอีกแล้วแน่ๆ ดีไม่ดีผู้ชายคนนั้นอาจเข้าใจผิดว่าเธอมีนิสัยชอบสะกดรอยตามเสียอีก
เสิ่นเสี่ยอี้นวดขมับอย่างค่อนข้างหงุดหงิดใจ ก่อนจะลูบผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงของตัวเอง เธอไม่ชอบไว้ผมหน้าม้า เพียงแค่มัดผมตรงให้เป็นหางม้าอย่างเรียบง่ายอยู่หลังศีรษะเท่านั้น แต่ถ้าไม่มัดให้แน่นสักหน่อยหางม้าก็จะห้อยลงมา ดังนั้นเธอจะจัดทรงอย่างใจเย็นสามถึงสี่รอบทุกวัน
ตกกลางคืนเสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะมีเวลาว่างก็ได้รับสายจากเมิ่งหลีลี่ลูกความในคดีมรดกที่เธอรับผิดชอบอยู่ก่อนหน้านี้ เมิ่งหลีลี่คนนี้เป็นภรรยาใหม่ของเถ้าแก่หวงเจ้าของธนาคารเจิ้งหยวนที่แต่งงานใหม่หลังจากภรรยาเสียชีวิต เถ้าแก่หวงเพิ่งเสียชีวิตเมื่ออาทิตย์ก่อน ลูกชายและลูกสาวของเขาก็แย่งชิงมรดกกับเมิ่งหลีลี่ เวลานี้มาก่อกวนถึงหน้าบ้านแล้ว
เสิ่นเสี่ยอี้รีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เรียกรถแท็กซี่ออกจากบ้านไป เธอโอนคดีนี้ให้กับเพื่อนร่วมงานอย่างอู๋เหว่ยหมิงไปแล้ว แต่เมื่อคุณเมิ่งนึกถึงเธอขึ้นมา ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่เหนือภาระหน้าที่ก็ผลักดันให้เธอมุ่งหน้าไปดูสักหน่อย
เมื่อไปถึงบ้านหวง เสิ่นเสี่ยอี้ก็ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะไล่สองพี่น้องผู้เซ้าซี้ให้จากไปได้อย่างลำบากยากเย็น เมิ่งหลีลี่กล่าวขอบคุณเธอ
“ก่อนหน้านี้ตอนที่สามีฉันยังอยู่ เขาบอกกับฉันว่าถ้าพวกเขาทำให้ฉันลำบากใจหรือต้องการความช่วยเหลือก็ให้โทรหาทนายเสิ่นที่สำนักงานทนายความถังเฉียว ดูจากตอนนี้ฉันก็ควรจะฟังที่เขาพูดจริงๆ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้ม “ความจริงแล้วเมื่อก่อนพ่อของฉันกับลุงหวงพอจะสนิทสนมกันอยู่บ้าง ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“คุณเสิ่นคะ ขอบคุณจริงๆ นะคะ” เมิ่งหลีลี่ยังกล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
เสิ่นเสี่ยอี้รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร เมิ่งหลีลี่ไม่ใช่คนอ่อนแอ ทว่าก็มีบางคำพูดที่หากให้เธอเป็นคนพูดเองก็จะกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมา จึงได้แต่ให้เสิ่นเสี่ยอี้มาคอยประสานอยู่ตรงกลางแบบนี้
“ความจริงแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนฉันโอนคดีของคุณให้ทนายอู๋ไปแล้ว คิดว่าอีกไม่นานสำนักงานคงจะแจ้งให้คุณทราบ ถ้าเกิดคุณตกลงเขาก็จะมาเซ็นข้อตกลงกับคุณใหม่ค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ฉันถูกย้ายไปทำงานที่ลี่ซื่อกรุ๊ปน่ะค่ะ เลยไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องของคุณได้เป็นการชั่วคราว”
“อุ๊ย ดีใจด้วยนะคะ ลี่ซื่อกรุ๊ปมีชื่อเสียงโด่งดัง ขอให้เจริญก้าวหน้าค่ะ” เมิ่งหลีลี่กล่าวเช่นนี้ก็จริง แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย เธอค่อนข้างจะชอบเสิ่นเสี่ยอี้หญิงสาวคนนี้มากทีเดียว
(3)
สุดสัปดาห์ เสิ่นเสี่ยอี้ไปดูห้องเป็นเพื่อนโจวผิงซิน อีกฝ่ายในตอนนี้หมั้นหมายแล้ว ระยะนี้เตรียมตัวซื้อห้องใหม่เพื่อจะอยู่ตอนแต่งงาน หลังดูไปหลายที่แล้วก็เหมือนจะพอใจกับอาคารริมแม่น้ำอยู่แค่ที่เดียว แต่ราคาก็ชวนให้คนไม่กล้าปริปากนัก
ที่ฝ่ายขายคอนโดฯ ทั้งคู่ก็ได้พบกับหยางวั่งเจี๋ยคู่ดูตัวของเสิ่นเสี่ยอี้ด้วย
“เสี่ยอี้? บังเอิญจังนะ” หยางวั่งเจี๋ยเห็นพวกเธอก่อน
“คุณหยาง” เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มให้แล้วเอ่ยทักทาย
“พวกคุณมาดูห้องกันเหรอครับ”
“ฉันมาเป็นเพื่อนเพื่อนน่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวพลางส่งสัญญาณไปยังโจวผิงซินที่อยู่ข้างๆ
หยางวั่งเจี๋ยผงกศีรษะให้แล้วหันไปถามโจวผิงซิน “คุณผู้หญิงถูกใจห้องตรงไหนครับ”
“เอ่อ…” โจวผิงซินชี้ไปยังห้องจำลองบนกระบะทราย
หยางวั่งเจี๋ยหัวเราะพลางเอ่ยเสียงค่อย “พอดีเลยครับ ตรงนี้บริษัทของเราสามารถเอามาในราคาภายในได้”
โจวผิงซินได้ยินก็มีสีหน้ายินดี แต่ก็ยังหันมามองเสิ่นเสี่ยอี้ รอให้เธอเป็นคนชี้ขาด เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อนของเธอ
“ทำแบบนี้จะรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่า” เสิ่นเสี่ยอี้ไม่คิดว่าหยางวั่งเจี๋ยจะกระตือรือร้นขนาดนี้
“ไม่ลำบากหรอก ห้องนี้บริษัทของเราเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างน่ะ”
ภายใต้การแนะนำของหยางวั่งเจี๋ย ห้องจึงได้รับสิทธิพิเศษสองอย่าง โจวผิงซินรีบเรียกคู่หมั้นมาในทันที จากนั้นก็เซ็นสัญญาด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก
ช่วงสุดสัปดาห์ หยางวั่งเจี๋ยนัดเสิ่นเสี่ยอี้อีกครั้ง เพื่อเป็นการให้เกียรติเขาที่ลดราคาห้องให้ในวันนั้น คราวนี้เธอไม่อาจมีข้ออ้างได้อีก
“หน้าผากคุณมีรอยแผลเป็นด้วยเหรอ” ขณะกินข้าวหยางวั่งเจี๋ยก็เห็นขมับของเสิ่นเสี่ยอี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
“หืม?” เสิ่นเสี่ยอี้ตั้งสติไม่ทันไปชั่วขณะ สักครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ว่าเขาพูดถึงอะไร เธอจึงยกมือขึ้นลูบรอยแผลเป็นนั้น “เสียโฉมนิดหน่อยน่ะ”
ตรงขมับด้านขวาของเธอมีรอยแผลเป็นสีชมพูลากยาวมาจนถึงกรอบผมอยู่ มันดูไม่นูนเด่นเท่าไรนัก ดังนั้นเสิ่นเสี่ยอี้จึงไม่ได้จงใจไว้ผมหน้าม้าเพื่อปกปิดเอาไว้
หลังมื้ออาหาร เสิ่นเสี่ยอี้ไปแต่งหน้าเพิ่ม ภายในห้องน้ำก็มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาพลางพูดคุยกัน
“ยุคสมัยนี้แม่ม่ายเนื้อหอมยิ่งกว่าวัยรุ่ยสาวๆ ซะอีก”
“ก็นั่นน่ะสิ มีทรัพย์สินแถมยังมีประสบการณ์มาก่อน อายุก็ไม่แก่ไม่เด็ก ไหนยังมีมรดกก้อนโต”
“ไม่กลัวว่าสามีเก่าจะปีนออกจากโลงมาเรียกร้องเอาชีวิตเธอบ้างเลยนะ”
คำพูดนินทาเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ เสิ่นเสี่ยอี้ไม่มีแก่ใจจะรับฟัง เธอเพิ่งจะกลับมาถึงโถงใหญ่ก็เห็นคนสองสามคนโต้เถียงกันอยู่
“คนเลวอย่างเธอน่ะ ยังมีหน้าเอาเงินของพ่อฉันมาเลี้ยงหนุ่มน้อยไว้นอกบ้านอีกเหรอ!” ใครคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น
เสิ่นเสี่ยอี้หันหน้าไปมองก็พบว่าคนที่ถูกต้อนอยู่อีกฝั่งคือเมิ่งหลีลี่ ใบหน้าที่เดิมทีขาวซีดกลับกลายเป็นสีแดงฉาน มือหยิบกระเป๋ากลิตเตอร์ใบเล็กได้ก็กุมแน่นด้วยนิ้วมือทั้งสิบ ผู้ชายที่มากับเธอรูปร่างสูงใหญ่ ทว่าเขายืนอยู่ด้านหลัง ไม่ได้มีท่าทีจะปกป้องเธอเลยสักนิด เสิ่นเสี่ยอี้จึงเข้าใจขึ้นมาว่าคนที่ผู้หญิงสองคนนั้นกล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ก็คือเมิ่งหลีลี่
ส่วนคนที่ด่าทอก็คือลูกเลี้ยงของเมิ่งหลีลี่ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวง…หวงเจียฮุ่ย
เดิมทีเพราะเรื่องจัดสรรมรดกพวกเขาสองพี่น้องตระกูลหวงก็ได้ก่อความวุ่นวายกับเมิ่งหลีลี่จนหมางเมินกันอย่างที่สุดแล้ว เนื่องจากเมิ่งหลีลี่แต่งงานกับเถ้าแก่หวงได้แค่ไม่กี่ปี พื้นเพของครอบครัวฝ่ายเธอก็ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร คนนอกมองเข้ามาก็เห็นเพียงคู่ตาเฒ่ากับหญิงสาว มองเมิ่งหลีลี่เสมือนเด็กสาวจากชนบทที่โผบินสู่ยอดไม้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่ามรดกครึ่งหนึ่งถูกแบ่งให้หญิงม่ายคนนี้ก็เป็นธรรมดาที่ลูกชายลูกสาวจะไม่พอใจ
อาทิตย์ก่อนเสิ่นเสี่ยอี้ลับริมฝีปากไปถึงไล่พวกเขาสองพี่น้องกลับไปได้ เวลานี้เมิ่งหลีลี่กับชายคนรักใหม่เปิดตัวกันในที่สาธารณะ อีกทั้งยังถูกหวงเจียฮุ่ยจับได้ คราวนี้หวงเจียฮุ่ยจะต้องตั้งท่าวางตนเป็นใหญ่ไม่ยอมเลิกราแน่ เสียงเอะอะโวยวายจึงดังขึ้นทุกที
“เจียฮุ่ย กลับไปคุยกันเถอะนะ ก่อความวุ่นวายที่นี่ต่อไป เหมือนอะไรก็ไม่รู้” เมิ่งหลีลี่ยืดเอวหลังตรง กล่าวขึ้นเบาๆ
หวงเจียฮุ่ยถูกตามใจจนเสียนิสัยตั้งแต่เล็กๆ ครั้นเห็นเมิ่งหลีลี่โต้ตอบเธอก็โกรธจัดยิ่งกว่าเดิม “ตอนนี้เธอรู้จักรักษาหน้าแล้ว? หน้าตาของพวกเราตระกูลหวงถูกเธอทำลายจนหมดไปตั้งนานแล้วนะ”
กล่าวจบเธอก็เงื้อมือขึ้นจะตบเมิ่งหลีลี่ ตอนนั้นเองจู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็พุ่งตัวเข้าไปขวางอยู่ตรงกลาง เสียงเพียะดังขึ้นครั้งหนึ่ง เป็นธรรมดาที่ลูกตบนั้นจะฟาดลงบนคอของเสิ่นเสี่ยอี้
“ทนายเสิ่น!”
“เสี่ยอี้!”
เมิ่งและหยางทั้งสองคนร้องตกใจขึ้นพร้อมๆ กัน จากนั้นหยางวั่งเจี๋ยก็รีบก้าวขึ้นมาประคองเสิ่นเสี่ยอี้อย่างว่องไว
“คุณ!” หวงเจียฮุ่ยพลั้งมือตบผิดคนก็ตกตะลึงไปบ้าง
ผู้จัดการภัตตาคารได้ยินเสียงก็รี่เข้ามา เกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหลายคนเข้าไปในห้องทำงานด้านหลัง ส่วนคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงจากไปทางประตูหลัง
เสิ่นเสี่ยอี้รับถุงน้ำแข็งที่พนักงานเสิร์ฟหยิบมาให้ เธอพบว่าชายคนรักของเมิ่งหลีลี่หายไปไหนไม่รู้ตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นเสียด้วยซ้ำ เธอตัดสินใจหันหน้ากลับไปดู เมื่อเห็นว่าหยางวั่งเจี๋ยยังอยู่ ในใจก็คล้ายได้รับการปลอบโยนอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดกับเขาในเชิงนั้น แต่พอตอนนี้มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้างกาย ในใจเธอก็ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายมากนัก
เมิ่งหลีลี่กล่าวอธิบายอย่างประดักประเดิด “ฉันก็แค่…เหงาเมื่ออยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าใครเขาก็มีช่วงเวลาที่เปล่าเปลี่ยวกันทั้งนั้น”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ความจริงแล้ว ความเหงาเป็นผลพวงจากการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ถ้าหากคนคนหนึ่งทำงานหกวันในหนึ่งอาทิตย์ ทุกๆ วันทำงานเกินสิบชั่วโมง เอาตัวเข้าชนจนสะบักสะบอมเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง คนคนนั้นจะมีเวลาไปเหงาได้อย่างไร
ความเหงาเป็นโรคของคนรวยจริงๆ
ก่อนจะไป เมิ่งหลีลี่กุมมือของเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้แน่น เธอกล่าวขึ้นซ้ำๆ “คุณเสิ่น ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันแก้ไขสถานการณ์”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ต่อไปมีเรื่องอะไรก็บอกฉันได้เสมอนะคะ ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันทำได้ ฉันจะช่วยเหลือคุณอย่างแน่นอนค่ะ”
ได้ยินคำสัญญานี้ เสิ่นเสี่ยอี้ก็หัวเราะออกมา “ตอนนี้ยังไม่มีหรอกค่ะ”
หยางวั่งเจี๋ยขับรถไปส่งเสิ่นเสี่ยอี้กลับบ้าน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” หยางวั่งเจี๋ยเอ่ยถาม
“ไม่เจ็บแล้ว” แค่ตบฝ่ามือเดียวเท่านั้นเอง เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย
“คุณใส่ใจเรื่องของคุณเมิ่งมากเกินไปแล้วนะ”
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวเรียบๆ “ฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง”
หลังจากที่เธอกลับไปยังอพาร์ตเมนต์แล้วก็แผ่ตัวอยู่บนโซฟา แขนขาอ่อนล้าจนเหมือนว่าจะหลุดออกจากร่างกายอย่างไรอย่างนั้น ไม่แน่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เธอเดินเข้าไปขวางช่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่า…
เสิ่นเสี่ยอี้โทรเข้าโทรศัพท์ของคนที่อยู่เมือง B
“ตงเจิ้น ฉันเอง” เธอกล่าว
วันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้ไปทำงานแล้วเจอเข้ากับเรื่องยุ่งยาก บริเวณลำคอที่เธอถูกตบบวมเป่งขึ้นมา โดยปกติต้นฤดูร้อนคนจะสวมเสื้อผ้าได้ไม่มากชิ้นนัก ซึ่งรอยบวมแดงนั้นก็เผยออกมาจากปกเสื้อเชิ้ตเล็กน้อยพอดี ใครเห็นก็รู้สึกค่อนข้างแปลกตาทั้งนั้น ในตู้รถไฟฟ้าก็มีคนเหลือบมองลำคอของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วมองเธออย่างจดจ่อตั้งใจจริงๆ มองเสียจนเสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดไปหมด
ดังนั้นหลังลงจากรถไฟฟ้าเธอจึงไปซื้อพลาสเตอร์ยาที่ร้านขายยามาสองแผ่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อแปะพวกมันเสีย พยายามปิดบังบริเวณที่บวมแดงเอาไว้ แต่หลังจากเสิ่นเสี่ยอี้แปะแล้วมองดูในกระจก เธอกลับรู้สึกว่ามันดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า นี่มันคล้ายกับรอยคิสมาร์กที่หลงเหลืออยู่หลังจากเริงสวาทกับใครมาทั้งคืน ทั้งตอนนี้ยังถูกเธอปิดบังเอาไว้อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีก พอแปะพลาสเตอร์ยาสองแผ่นนี้ลงไปตรงนั้นแล้วกลับยิ่งทำให้ผู้อื่นคิดเป็นตุเป็นตะ
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ หรือว่าจะต้องใส่ผ้าพันคอในฤดูแบบนี้? การแต่งตัวที่ขัดกับสภาพอากาศจะไม่ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้อื่นหรอกเหรอ
ก่อนมื้อกลางวัน เสิ่นเสี่ยอี้ไปส่งเอกสารที่ห้องประธาน
“คุณลี่คะ ตรงนี้มีเอกสารสองฉบับที่จำเป็นต้องให้คุณเซ็นชื่อค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้เคาะประตูพลางกล่าวไปด้วย
ลี่เจ๋อเหลียงเดิมทีกำลังพูดคุยอยู่กับเสี่ยวหลิน พอได้ยินเสียงเธอเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาเคลื่อนอย่างช้าๆ กระทั่งพบเข้ากับพลาสเตอร์ยาบนคอของเสิ่นเสี่ยอี้ก็ชะงักลงชั่วขณะหนึ่ง
เสิ่นเสี่ยอี้ดึงปกเสื้ออย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เสี่ยวหลินเอ่ยปากขึ้นก่อน “เสี่ยอี้ คอเธอเป็นอะไรไปน่ะ” หลังจากที่เสี่ยวหลินรับรองเสิ่นเสี่ยอี้เมื่อวันนั้นก็เปลี่ยนมาสนิทสนมกับเธอมากๆ
“อ๋อ…ฉันหกล้มมาน่ะ ก็เลยคอเคล็ด” เธอพูดไม่ออกกะทันหัน มือลูบลงบนลำคอ อธิบายอย่างทึ่มๆ
เวลานั้นเองโทรศัพท์ที่ด้านนอกก็ดังขึ้น เสี่ยวหลินวางชาที่เพิ่งยกมาลงเพื่อออกไปรับโทรศัพท์
ลี่เจ๋อเหลียงเอื้อมมือออกไปรับเอกสารจากมือเสิ่นเสี่ยอี้ “คุณรอสักครู่ ผมเซ็นแล้วจะคืนให้ทันที” จากนั้นเขาก็พลิกเปิดอ่าน
เสิ่นเสี่ยอี้จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
ชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ บนโต๊ะยังคงมีควันลอยกรุ่น ใบชาราวกับเข็มเงินลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในแก้วกระเบื้องขาวดุจหิมะ ในที่สุดก็จมลงไปช้าๆ รวมกันเป็นกองเล็กๆ อยู่ที่ก้นแก้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาระลอกหนึ่งฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ทั้งห้องเปี่ยมไปด้วยความสดชื่น
ลี่เจ๋อเหลียงเปิดเอกสารไปได้หน้าหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวนั้นไร้ที่ติ ข้อนิ้วที่ค่อนข้างยื่นออกมาเผยเสน่ห์อย่างหนึ่งของบุรุษเพศให้เชยชม ช่างงดงามเสียเหลือเกิน ผ่านไปสักครู่เขาก็หยิบปากกาแล้วเซ็นชื่อลงไปว่า ‘ลี่เจ๋อเหลียง’ สามตัวอักษรปรากฏขึ้นภายใต้ปลายปากกาที่ลื่นไหล
เขาชะงัก จากนั้นจึงเพิ่มความคิดเห็นลงไปสองบรรทัด
ผู้ชายคนนี้เขียนตัวหนังสือประณีตสวยงามเป็นที่สุด ลายเส้นชัดเจน ดุดันรวดเร็ว ตั้งตรงสง่า ยามที่เขาจรดปากกาทั้งดูหนักแน่นและนุ่มนวลอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าการแบ่งช่องไฟทุกๆ ตัวอักษรล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของนิ้วมือทั้งห้า
ตอนที่คืนเอกสารให้กับเสิ่นเสี่ยอี้ เขาก็มองลำคอเธออีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “หวังว่าคุณเสิ่นจะไม่ได้เกิดคอเคล็ดตอนเปลี่ยนไปวิ่งหลังจากที่หยุดขึ้นบันไดนะครับ”
ตั้งแต่ที่เสิ่นเสี่ยอี้ถูกเขาจับได้ในห้องบันไดเมื่อคราวก่อน นอกจากเรื่องงานแล้วเธอก็ไม่ได้พบหน้าเขาสองต่อสองเป็นการส่วนตัวอีกเลย ประโยคนี้พลันทำให้เสิ่นเสี่ยอี้ที่กว่าจะลืมเรื่องน่าขายหน้านั่นไปได้รู้สึกลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” เธอรีบร้อนโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี” ลี่เจ๋อเหลียงหยุดนิ่งไปชั่วขณะ “หลังจากที่คุณคอเคล็ด หมอคนไหนกันที่เขียนใบสั่งยาให้คุณแปะพลาสเตอร์ยา”
“…”
เสิ่นเสี่ยอี้สาบานได้ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะตีหน้าตายกล่าวคำพูดนี้กับเธอด้วยความเคร่งเครียด แต่ในใจของผู้ชายคนนี้ต้องกำลังแอบหัวเราะเธออยู่แน่นอน
(4)
วันหนึ่ง อู๋เหว่ยหมิงกับเสิ่นเสี่ยอี้พูดคุยกัน
“เสี่ยอี้ เธอทายซิว่าก่อนหน้านี้เป้าหมายของฉันคืออะไร”
“คนรักสวยเช้ง ลูกพันแข้งขา”
อู๋เหว่ยหมิงกระแอมออกมา “นี่ก็ถือเป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่ยังมีที่ยาวไกลกว่านั้นอีก”
“ถ้ามองการณ์ไกลล่ะก็ หรือจะกลายเป็นเศรษฐีรวยระดับล้านล้าน”
“เสี่ยอี้ ในสายตาเธอฉันจะสูงส่งกว่านี้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง”
“ถ้าจะให้สูงส่งกว่านี้ล่ะก็ คงต้องขอให้โลกเกิดสันติสุข?” ครั้นเห็นอู๋เหว่ยหมิงกลอกตาใส่เธออย่างสุดกำลัง เสิ่นเสี่ยอี้ก็รีบร้อนเปลี่ยนคำพูด “หรือว่านายยังอยากปลดปล่อยมวลมนุษยชาติด้วย”
อู๋เหว่ยหมิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความจนใจ “เสี่ยอี้ ฉันพบว่าเธอดีกับเพศเดียวกันมากๆ แต่กลับใจดำกับเพศชายสุดๆ ไปเลย”
เสิ่นเสี่ยอี้เบะปาก “เหล่าอู๋ เดิมทีนายหารือเรื่องเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของชีวิตในสถานที่แบบนี้ก็น่าแปลกอยู่แล้ว”
เวลานี้ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โถงใหญ่ของร้านคาราโอเกะ โดยเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จากสำนักงานทนายความถังเฉียวกำลังร้องเพลงเสียงดังสนั่นกันอยู่ด้านใน
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็ออกมาจากห้องรวมทางซ้ายมือ ในมือถือโทรศัพท์ ท่าทางโซซัดโซเซ เห็นได้ชัดว่าเมาอยู่บ้าง
“ไม่! คุณอย่าทำแบบนี้สิ!” หญิงสาวอาศัยความมึนเมาตะโกนใส่โทรศัพท์
“คุณจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ อิงซง…” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ร่างกายค่อยๆ ครูดไปกับผนัง สุดท้ายเธอก็ย่อตัวลงกับพื้น
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน เธอจึงพิจารณาเงาด้านข้างของหญิงสาวคนนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น เป็นเธอนี่เอง!
เสิ่นเสี่ยอี้ลุกพรวดขึ้นยืน
“เธอรู้จักด้วยเหรอ” อู๋เหว่ยหมิงเอ่ยถาม
“เธอเป็นเลขาฯ ของลี่เจ๋อเหลียงน่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ประคองเสี่ยวหลินให้ลุกขึ้น “เสี่ยวหลิน นี่ฉันเอง เสิ่นเสี่ยอี้”
เสี่ยวหลินเงยหน้าขึ้น น้ำตานองหน้า เครื่องสำอางที่ประณีตงดงามเลือนหายไปแล้ว เธอพยักหน้าให้ แสดงให้เห็นว่าตัวเองยังคงมีสติดีอยู่
อู๋เหว่ยหมิงเตรียมจะผลักประตูเข้าไปแจ้งกับเพื่อนคนอื่นๆ ของเสี่ยวหลินในห้องรวม
“ไม่เอา” เสี่ยวหลินห้ามเขาไว้ “ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นฉันในสภาพนี้”
เมื่ออู๋เหว่ยหมิงเห็นสัญญาณจากเสิ่นเสี่ยอี้เขาก็จากไปเงียบๆ กลับเข้าห้องรวมที่เหล่าเพื่อนร่วมงานอยู่กันก่อนหน้านี้
เสิ่นเสี่ยอี้ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเสี่ยวหลินเพื่อให้เธอล้างหน้า จากนั้นจึงกลับมายังโซฟาของโถงใหญ่ ทั้งก่อนหน้านี้และในเวลาต่อมาเสี่ยวหลินล้วนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเช็ดคราบเครื่องสำอางบนใบหน้าออก เมื่อเข้าคู่กับดวงตาที่ชื้นแดง เสี่ยวหลินก็ดูขาดความคล่องแคล่วปราดเปรียวเฉกเช่นในเวลาปกติไปฉับพลัน
ผ่านไปเนิ่นนานอารมณ์ของเสี่ยวหลินก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา เธอเอ่ยปากว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่ล้มเหลว ทั้งๆ ที่เขาไม่รักฉัน แต่ฉันก็เอาแต่ดึงดัน”
ในลี่ซื่อกรุ๊ปเธอทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด เพียงครู่เดียวก็อธิบายความรักที่ไม่เป็นไปดังหวังของตัวเองได้อย่างสั้นกระชับ บรรยายเรื่องที่จี้ใจดำออกมา ทว่ากลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกว่าทั้งน่าโมโหและน่าขบขันในคราวเดียวกัน
“เขามีเจ้าของแล้วเหรอ”
เสี่ยวหลินส่ายหน้า
“อายุห่างกันมาก?”
เสี่ยวหลินส่ายหน้าต่อไป
“รสนิยมทางเพศมีปัญหา?”
“…”
“ถ้างั้นเขามีปัญหาอะไรล่ะ”
คราวนี้เสี่ยวหลินไม่ได้ตอบในทันที
เสิ่นเสี่ยอี้เข้าใจขึ้นมาทันที ระหว่างพวกเธอไม่ถือว่าสนิทสนมกัน เป็นเธอเองที่ถามมากเกินไป
“ฉันอยากกลับบ้าน” เสี่ยวหลินคลึงหน้าผากพลางเอ่ย
“เธอดื่มเหล้ามา ขับรถไม่ได้ ฉันจะไปส่งเอง” ได้ยินคำเตือนสติของเสิ่นเสี่ยอี้ เสี่ยวหลินก็ล้วงกุญแจรถในกระเป๋าถือส่งให้เธอ
“ฉัน…” เสิ่นเสี่ยอี้โบกมือในทันที “ฉันไม่ขับรถแล้ว พวกเราเรียกแท็กซี่ก็แล้วกันนะ”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงนั่งแท็กซี่ไปยังที่พักของเสี่ยวหลิน
“เจ็บคอหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่ แค่ปวดหัวน่ะ ค่อนข้างเวียนหัวด้วย” เสี่ยวหลินกล่าว
“ดูเหมือนจะเป็นไข้นิดหน่อยนะ” เสิ่นเสี่ยอี้ทาบอุณหภูมิที่หน้าผากของเธอ
“ในลิ้นชักมียาแก้หวัดอยู่”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเคล็ดลับส่วนตัว รับประกันว่าได้ยาปุ๊บหายปั๊บ” พูดพลางเสิ่นเสี่ยอี้ก็ไปหาไข่กับเหล้าขาวในห้องครัว สักครู่ก็ได้ยินเสียงน้ำในหม้อเดือดปุดๆ
และแล้วเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยื่นหน้าออกมาถาม “เสี่ยวหลิน เธอชอบน้ำผึ้งหรือว่าน้ำตาลทรายแดง”
“น้ำผึ้ง”
หลายนาทีผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ยกเหล้าไข่ไก่ที่ใช้รักษาหวัดโดยเฉพาะออกมา จากนั้นก็ยิ้มกริ่มพร้อมมองเสี่ยวหลินดื่มมันลงไป ต่อด้วยทิ้งช่องทางติดต่อของตัวเองเอาไว้ เธอถึงได้จากไปอย่างวางใจ
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะออกมาจากอาคารก็ได้รับสายจากอู๋เหว่ยหมิง เธอเพิ่งคิดได้ว่าตอนที่จากมาลืมบอกกล่าวกับพวกเขา
อู๋เหว่ยหมิงกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “เสี่ยอี้ เธอนี่มันชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องเหมือนมนุษย์ป้าคณะกรรมการหมู่บ้านไม่มีผิด!”
เสิ่นเสี่ยอี้กำลังจะโต้ตอบเขา ทว่าสายตาพลันเห็นชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ไกลๆ ชายคนนั้นแลดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ชั่วขณะนั้นเธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหน เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องเขม็งไปยังบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนอาคาร เสิ่นเสี่ยอี้มองตามสายตาของเขาไป มันเป็นทิศทางที่เสี่ยวหลินอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าคุ้นตา ทว่าจู่ๆ เธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน
เช้าวันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้ไปสูดอากาศบนดาดฟ้า เธอเห็นเสี่ยวหลินกับชายคนหนึ่งโต้เถียงกันในบริเวณที่เงียบสงบ เมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวหลินก็รู้ว่าอีกฝ่ายคืออิงซงที่เคยกล่าวถึง เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดที่จะอยู่ตรงนั้นต่อ ขณะหันหลังจากไปเธอก็เหลือบตามองชายคนนั้น เป็นคนเดียวกับที่เห็นตรงชั้นล่างอาคารที่พักของเสี่ยวหลินเมื่อคราวก่อนนี่เอง จู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็นึกถึงชายคนนี้ขึ้นมาได้ เขาคือคนที่ขับรถให้ลี่เจ๋อเหลียงอยู่ทุกวันนั่นเอง เมื่อคืนวานเขายืนอยู่ที่ชั้นล่างอย่างนั้น แสดงว่าก็คงเป็นห่วงเสี่ยวหลินอยู่
วันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้พบกับคนขับรถคนนั้นที่โรงอาหารอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาเดินอยู่ด้านหน้าพร้อมกับคนข้างๆ ที่มาด้วยกัน สองเท้าก้าวด้วยความรีบร้อน กระทั่งการ์ดตกลงบนพื้นแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว เสิ่นเสี่ยอี้หยิบการ์ดขึ้นมา พอเงยหน้าก็เห็นเขาค่อยๆ เดินห่างออกไป เธออยากเรียกเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรดี ระหว่างที่ร้อนรนเธอก็ตะโกนออกไปว่า “คุณคนขับรถคะ!”
โรงอาหารของบริษัทค่อนข้างโล่งกว้าง ดังนั้นเสียงเรียกของเธอจึงฟังดูค่อนข้างดังกังวาน
คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา มองเสิ่นเสี่ยอี้ด้วยความสงสัย
“คุณเสิ่น มีเรื่องอะไรเหรอครับ” เป็นธรรมดาที่เขาจะจำเสิ่นเสี่ยอี้ได้
“คุณคนขับรถคะ ของของคุณตกน่ะค่ะ”
ตอนนั้นเองชายเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ เขาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา “คุณครับ นี่คือจี้อิงซงจากฝ่ายบุคคล ผู้จัดการจี้ไม่ใช่ ‘คุณคนขับรถ’ ครับ”
“…”
ใครบอกว่า ‘ขับรถ’ แล้วจะต้องเป็น ‘คนขับรถ’ กันล่ะ…
เสิ่นเสี่ยอี้ขายหน้าในที่สาธารณะอีกครั้งแล้ว
(5)
คืนวันศุกร์ประจวบเหมาะเป็นงานฉลองสำนักงานทนายความถังเฉียวครบรอบห้าปี ซึ่งจะจัดงานเลี้ยงค็อกเทลกันที่โรงแรม เสิ่นเสี่ยอี้เองก็ต้องไปด้วย
“คุณเสิ่น” คนที่เรียกเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้ก็คือคุณหนูใหญ่ของธนาคารเจิ้งหยวน หวงเจียฮุ่ย ก่อนหน้านี้ไม่นานแม้เธอเพิ่งตบเสิ่นเสี่ยอี้ไปฉาดหนึ่ง ทว่าตัวเธอก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด พบหน้ากันก็เอ่ยทักทายได้ทันที
“คุณหวง”
หวงเจียฮุ่ยถือว่าเป็นสาวสวยที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจในเมือง A ครอบครัวของเธอเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่เสิ่นเสี่ยอี้ทำงานอยู่ เป็นธรรมดาที่ไม่อาจขาดเธอในโอกาสแบบนี้
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ได้ยินว่าคุณเปลี่ยนงานแล้วเหรอ”
“ฉันแค่ถูกส่งไปลี่ซื่อกรุ๊ประยะหนึ่งเท่านั้นค่ะ”
“อ๋อ ฉันพอมีพวกผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงๆ ที่สนิทสนมกันอยู่ ใช้โอกาสนี้ขอให้ดูแลเธอได้นะ” เวลานี้สีหน้าเย่อหยิ่งของหวงเจียฮุ่ยฉายให้เห็นอย่างแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าให้ต้องลำบากคุณหวงเลยค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้แม้ปากกล่าวขอบคุณแต่สีหน้าเรียบเฉย
หวงเจียฮุ่ยพูดกับเสิ่นเสี่ยอี้อย่างซังกะตายอีกครั้งหนึ่งก็รับค็อกเทลมาจากพนักงานเสิร์ฟ ก่อนเดินมุ่งตรงไปหาลี่เจ๋อเหลียง
เดิมทีเท้าและขาของลี่เจ๋อเหลียงเดินไม่ค่อยสะดวก ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบการเดินเหินเท่าไรนัก ภายในงานเลี้ยงยามนี้ลี่เจ๋อเหลียงจึงยืนอยู่กับที่และพูดคุยสัพเพเหระกับนักธุรกิจสองสามคน โดยที่สายตาของจี้อิงซง ‘คนขับรถ’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปไม่ได้ละไปจากเขาเลย ในตอนนี้จึงดูเหมือนว่า ‘ผู้จัดการจี้’ ได้เปลี่ยนจาก ‘คนขับรถ’ ไปเป็น ‘บอดี้การ์ด’ เสียแล้ว
“สุภาพบุรุษรูปงามทุกท่านคะ ให้ฉันร่วมวงสนทนาด้วยจะได้หรือเปล่า” หวงเจียฮุ่ยกล่าวตัดบท
หวงเจียฮุ่ยเข้าร่วมการสนทนาระหว่างชายสองสามคนได้อย่างรวดเร็ว ชุดกระโปรงยาวเข้ารูปสีเงินของเธอเป็นประกายดึงดูดสายตาบรรดาชายหนุ่มในกลุ่มชุดสูท เธอเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่เล็ก เป็นธรรมดาที่เธอจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากลี่เจ๋อเหลียงแล้ว ชายหนุ่มคนอื่นๆ ต่างเริ่มย้ายหัวข้อสนทนาไปที่หวงเจียฮุ่ย ทั้งยังสนใจมากเสียด้วย
เป็นธรรมดาที่ในงานเลี้ยงเช่นนี้จะมีคนอยากคว้าโอกาสจากลี่เจ๋อเหลียงเพื่อคบหาคนที่มีฐานะสูงกว่า ดังนั้นผู้คนมากมายจึงเข้ามาชนแก้วดื่มเหล้ากับเขาไม่หยุดหย่อน โดยปกติแล้วลี่เจ๋อเหลียงจะไม่บ่ายเบี่ยง ระหว่างที่ต้อนรับขับสู้ก็แลดูมีความสุขยิ่งกว่าใครๆ ทั้งดูเหมือนเขาจะรักการดื่มเป็นอย่างมาก ซึ่งความจริงแล้วเขาเพียงทำตัวกลมกลืนเข้ากับสังคมเท่านั้น อย่างไรเสียนิสัยใจคอของเขาในสายตาผู้อื่นก็ยากจะหยั่งถึง คนที่เคยไปมาหาสู่กับเขาต่างก็รู้สึกว่าลี่เจ๋อเหลียงโหดเหี้ยมยากคาดเดา ทั้งเขายังมีรอยยิ้มบางอย่างที่สามารถกันผู้คนให้อยู่ห่างออกไปได้
เสิ่นเสี่ยอี้อยู่ในงานสักครู่หนึ่งก็รู้สึกตาล้าจากแสงไฟคริสตัลในโถงใหญ่และเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาดตาของสาวงามเหล่านั้น เธอรู้สึกอึดอัดมาก จึงเดินไปยังทางเดินด้านนอกเพื่อสูดอากาศ ทว่ากลับพบกับลี่เจ๋อเหลียงที่กำลังสูบบุหรี่อยู่
ลี่เจ๋อเหลียงในตอนนั้นเก็บรอยยิ้มที่เห็นได้เป็นปกติเอาไว้ เขาขมวดคิ้ว พิงตัวกับผนังอยู่เงียบๆ ทว่าสีหน้าแบบนั้นกลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกไม่คุ้นชินนัก บางครั้งเขาก็จะยกมือขึ้นสูบบุหรี่ เพียงไม่นานควันจางๆ ก็ลอดออกทางจมูกอย่างเนิบช้า ประกายลูกไฟที่อยู่ระหว่างนิ้วมือสะท้อนให้ดวงตาของเขากึ่งสว่างกึ่งมืดมน
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อยากรบกวนเขาจึงเตรียมหาสถานที่อื่นเพื่อเดินเล่น
“คุณ…เสิ่น” ลี่เจ๋อเหลียงพลันสังเกตเห็นและเรียกเธอไว้
“คะ?” เธอหมุนร่างพลางเบือนหน้าไปมองเขา
ลี่เจ๋อเหลียงยืดตัวตรงเผชิญหน้ากับเธอ มือทั้งสองลู่ลง ทว่าบุหรี่กลับยังไม่ดับ ควันบุหรี่บางๆ จึงวนเวียนอยู่ระหว่างนิ้วมือของเขาก่อนจะลอยหายไป
เขาจ้องมองเธอแน่นิ่ง สายตาลึกล้ำเป็นพิเศษ คล้ายอยากกล่าวอะไรสักอย่าง ขณะที่เตรียมเอ่ยปากช้าๆ ทันใดนั้นเองประตูโถงใหญ่ก็ถูกเปิดออกกะทันหัน พาให้เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจจากด้านในดังลอยออกมา ทางเดินเองก็พลันสว่างไสว แสงไฟสาดลงบนใบหน้าของลี่เจ๋อเหลียง เขาอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้
ใบหน้าของเขาไม่ได้แดงซ่านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ กลับกันยิ่งดื่มเขากลับยิ่งดูขาวซีดเสียด้วยซ้ำ
“คุณลี่มีอะไรจะกำชับหรือเปล่าคะ” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยถาม
“อาการเคล็ดบนคอของคุณหายดีแล้วเหรอ” คำพูดของเขาคล้ายจะดูห่วงใย แต่เสิ่นเสี่ยอี้กลับรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันในทันที
“หายแล้วค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้ทำทีเป็นไม่เข้าใจ “ฉันแข็งแรงก็เลยฟื้นฟูได้ไว ขอบคุณคุณลี่ที่เป็นห่วงค่ะ”
ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะ เขากลับเข้าไปหากลุ่มผู้คนในโถงใหญ่โดยไม่ได้กล่าวอะไร
เพียงคืนเดียวคนของสำนักงานทนายความถังเฉียวก็พบหน้าลูกค้าไปไม่น้อย ทุกคนต่างทักทายกันและกัน ขณะที่เสิ่นเสี่ยอี้กับอู๋เหว่ยหมิงกำลังพูดคุยเป็นเพื่อนลูกค้าก็ได้ยินคนลากเสียงเรียก
“ทะ…นาย…เสิ่น”
เธอได้ฟังก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นว่าคนที่มาคือจูอันไหวจากธนาคารฮุยฮู่นั่นเอง
ว่าแล้วเชียว ศัตรูพบกันบนทางแคบ*
อู๋เหว่ยหมิงขมวดคิ้วพลางกระซิบกระซาบ “ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้”
“ใครให้เขาเป็นลูกชายเถ้าแก่ฮุยฮู่ล่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน จูอันไหวก็คว้าเหล้ามาแก้วหนึ่งก่อนก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“ทนายเสิ่น ดื่มเป็นเกียรติหน่อยไหมล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณจูนะคะ แต่ฉันไม่ดื่มเหล้าค่ะ”
“งั้นเหรอ นี่เป็นวิธีรับแขกของพวกคุณถังเฉียวงั้นสิ?”
“ในเมื่อเสี่ยอี้ไม่ดื่มเหล้า เดี๋ยวผมชนแก้วกับคุณจูแทนเธอเองครับ” อู๋เหว่ยหมิงขวางอยู่ข้างหน้า คิดจะชนแก้วกับจูอันไหว แต่กลับถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยง
“ผู้ชายคนนี้เรียกชื่อทนายเสิ่นของพวกเราอย่างสนิทสนมถึงขนาดนี้เชียว? ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ไม่ทราบว่าถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศหรือเปล่า” ก่อนหน้านี้จูอันไหวได้รับโทษอยู่หลายเดือนเพราะเสิ่นเสี่ยอี้ แน่นอนว่าเขายังผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้อยู่
คำพูดของจูอันไหวดึงดูดความสนใจจากบางคนที่อยู่รอบๆ ในขณะนี้ ลี่เจ๋อเหลียงเองก็กำลังยืนรินเหล้าอยู่ข้างโต๊ะอาหารพอดี ส่วนเสี่ยวหลินยืนอยู่ข้างๆ คอยตามเขาอยู่ ตำแหน่งของเขาอยู่ถัดออกไปทางด้านหลังของเสิ่นเสี่ยอี้ราวสามคน ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้เขาจะได้ยินหรือเปล่า
“อ๊ะ ประธานลี่!” จูอันไหวเห็นเขาเข้าจนได้
ลี่เจ๋อเหลียงหันมา ยกแก้วขึ้นเป็นการตอบรับ เสี่ยวหลินคิดว่าเขาจะแก้สถานการณ์ให้เสิ่นเสี่ยอี้เสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าลี่เจ๋อเหลียงจะไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ
“เกียรติแค่นี้ยังให้กันไม่ได้ ถ้างั้นจะเชิญพวกเราฮุยฮู่มาทำไมล่ะ” จูอันไหวเซ้าซี้ก่อกวนต่อไป
เสี่ยวหลินถูกการกระทำของเจ้านายขัดขวางเอาไว้ เธออยู่ข้างๆ นี้เอง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก
หากเป็นวันธรรมดาทั่วไปเสิ่นเสี่ยอี้จะต้องโต้ตอบกลับไปในทันทีแน่ แต่ด้วยวันนี้เป็นวันดีของสำนักงานทนายความ เธอจะทำลายชื่อเสียงของที่ทำงานตัวเองไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งจูอันไหวเดิมทีก็มีความคิดจะมาหาเรื่องอยู่แล้วด้วย
“ไม่คิดว่าคุณจูไปรับโทษตั้งหลายเดือน ความขี้เหล้าจะไม่ลดน้อยลงเลยนะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้รับแก้วเหล้าที่จูอันไหวยื่นให้พลางยิ้มแล้วดื่มอึกหนึ่ง
ตอนที่จูอันไหวจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะมองตาขวางใส่เสิ่นเสี่ยอี้อย่างอำมหิต
กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้เกิดอาการมึนเมา เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกวิงเวียน เธอก็พบว่าเฉียวหานหมิ่นจากสำนักงานทนายความถังเฉียวกำลังส่งแขก ผู้คนทยอยบอกลากันไป เสิ่นเสี่ยอี้เองก็ช่วยส่งแขกด้วย ส่วนหญิงสาวหลายคนที่รายล้อมพยายามตีสนิทลี่เจ๋อเหลียงพอเห็นว่าคนในงานแทบจะไปกันหมดแล้วถึงได้เลิกราไปด้วยความกระดากอาย
สุดท้ายเฉียวหานหมิ่นก็โยนคำพูดใส่เสิ่นเสี่ยอี้เสียอย่างนั้น “เสี่ยอี้ ไปส่งคุณลี่สิ”
เสิ่นเสี่ยอี้มองเฉียวหานหมิ่นแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ แต่ก็จำใจต้องฟังคำสั่งของอีกฝ่าย
ดังนั้นเธอจึงเข้าไปนั่งในรถของลี่เจ๋อเหลียง โดยมีจี้อิงซงเป็นคนขับรถ บนที่นั่งข้างคนขับก็คือเสี่ยวหลิน
ลี่เจ๋อเหลียงกับเธอนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เธอรู้ว่าเขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ จำเป็นต้องให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ทว่าลี่เจ๋อเหลียงคนนี้ข้างหน้าก็มีคนขับรถ อีกข้างก็มีเลขาฯ ยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องให้เธอไปส่งเขาด้วยเล่า
แต่นี่ก็ถือเป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย ยังดีที่เฉียวหานหมิ่นไม่ได้เรียกเธอให้ไปส่งจูอันไหว
รถแล่นมาถึงถนนเอ้าถี่ตง ไม่รู้ว่าคอนเสิร์ตของดาราคนไหนกำลังเลิกพอดี รถราวิ่งขวักไขว่ แน่นขนัดเสียจนถนนใหญ่แออัดผ่านเข้าไปไม่ได้ รถของพวกเขาแล่นๆ หยุดๆ เสียเวลาอยู่เนิ่นนาน
การจราจรติดขัดอยู่ยี่สิบกว่านาที โชคดีที่แอร์ในรถเย็นสบายมาก ทั้งยังกั้นเสียงได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นจึงทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถรู้สึกสบายใจขึ้นได้
เสี่ยวหลินเห็นว่าอีกไม่นานรถก็จะแล่นไปถึงทางแยกแล้วจึงหันกลับมาถาม “คุณลี่คะ พวกเราจะไปที่…” คำว่า ‘ไหน’ ที่เหลือยังไม่ทันได้ออกจากปากเธอก็หยุดไว้เสียก่อน
เธอเห็นศีรษะของเสิ่นเสี่ยอี้เอนพิงกระจกหน้าต่างโดยที่เจ้าตัวผล็อยหลับไปเสียแล้ว ส่วนเจ้านายของเธอก็ดูเหมือนจะเห็นแล้วเช่นกัน เพียงนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่อีกฟากหนึ่ง
“คุณลี่คะ” เสี่ยวหลินเรียกเขาเบาๆ
“หืม?”
“พวกเรา…” เธอทิ้งช่วงกลางคัน สื่อถึงประโยคที่ต้องการจะถามว่า ‘ควรทำอย่างไรดี’
ลี่เจ๋อเหลียงลืมตาขึ้น มองไปยังใบหน้าที่หลับใหลของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วเม้มปากครุ่นคิด
“ไปส่งเธอที่บ้านคุณ”
เรื่องนี้…เสี่ยวหลินคิดว่าก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว เพราะเธอพบว่าเสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้หลับ แต่ว่าเมาเหล้าต่างหาก
รถมาถึงชั้นล่างของอาคาร เสี่ยวหลินเปิดประตูรถออกแล้วเข้าไปหมายจะประคองเสิ่นเสี่ยอี้ ทว่าเสิ่นเสี่ยอี้หลับสนิทโดยสมบูรณ์ อาศัยเพียงเรี่ยวแรงของหญิงสาวคนเดียวนั้นไม่มีทางยกเธอได้เลย เสี่ยวหลินขอความช่วยเหลือจากจี้อิงซง แต่จี้อิงซงกลับไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย ยังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนรอให้ลี่เจ๋อเหลียงปริปาก
“นายส่งเลขาฯ หลินกลับไปก่อน ฉันจะประคองคุณเสิ่นขึ้นไปเอง” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวกำชับกับจี้อิงซงง่ายๆ
ประโยคนี้กล่าวได้กะทันหันเสียเหลือเกิน อีกนิดก็เกือบทำให้เสี่ยวหลินตกใจอ้าปากค้างแล้ว ส่วนจี้อิงซงยังคงอยู่ในท่าทางที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนเหมือนอย่างเคย เขาดูไม่ตื่นตะลึงเลยสักนิด เพียงบอกเสี่ยวหลินให้ส่งกุญแจมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ดึงตัวเธอจากไป
“นี่ คุณลี่เขา…” นี่มันส่งแพะเข้าปากเสือชัดๆ เลยนี่นา ดีร้ายอย่างไรเธอก็นับว่าเป็นเพื่อนกับเสิ่นเสี่ยอี้ จะทนเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร
“อิงซง…” คำพูดของเสี่ยวหลินเพิ่งออกจากปาก แต่เมื่อเห็นสายตาของจี้อิงซงเหลือบมองมาเธอก็รีบหุบปากฉับทันที
เจ้านายของเธอลี่เจ๋อเหลียงเก่งกาจตรงที่เขารู้ว่าควรใช้คนแบบไหนจัดการเรื่องอะไร อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าหากคนตรงหน้าเธอไม่ใช่จี้อิงซง แต่เป็นจางซาน จี้ซื่อ หวังอู่ ไม่แน่เสี่ยวหลินอาจจะทุ่มเทเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเพื่อนโดยไม่เกรงกลัวอำนาจ ทว่าเวลานี้เธอเองก็เป็นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ* อยู่เหมือนกัน
“งั้นคุณจะส่งฉันกลับไปที่ไหนล่ะ” เสี่ยวหลินอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เมื่อครู่นี้เป็นชั้นล่างของอาคารบ้านเธอแท้ๆ
เวลานี้คำถามที่เรียบง่ายกลับเหนี่ยวรั้งจี้อิงซงเอาไว้ได้ เขาหยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “ไปที่บ้านผมก่อนก็แล้วกัน”
เสี่ยวหลินรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลว ดังนั้นทั้งสองคนจึงพากันเดินออกไปนอกบริเวณที่พักอาศัยแล้วเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง
ลี่เจ๋อเหลียงนั่งอยู่ในรถ นิ้วมือคีบบุหรี่มวนหนึ่ง ทว่านานแล้วก็ยังไม่จุดไฟ
ชั่วขณะนั้นใกล้ดึกเต็มที ภายในที่พักอาศัยเงียบสงัด ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน บางครั้งพงหญ้าข้างทางก็มีเสียงเคลื่อนไหวของจิ้งหรีดดังขึ้น ทว่าเขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเสิ่นเสี่ยอี้ได้อย่างชัดเจน เวลานอนหลับเธอเหมือนกับเด็กน้อย ปากเผยอออกเล็กน้อย ฟันขาวราวกับเปลือกหอยโผล่ออกมาด้านนอก ก่อนหน้านี้เคยมีคนถามเธอว่า ‘เธอนอนหลับแบบนี้ ฟันยื่นออกมาตลอด ตอนกลางคืนไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือไง’ ผลลัพธ์ซึ่งแลกกลับมาเป็นการกัดเข้าที่คาง
ลี่เจ๋อเหลียงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เขาลงจากรถช้าๆ จากนั้นก็อ้อมไปฝั่งของเสิ่นเสี่ยอี้เพื่อเปิดประตูรถ
“เสี่ยอี้” เขาเรียกเธอเป็นการหยั่งเชิง
ไม่มีการตอบสนอง
เขาลูบศีรษะของเธอเบาๆ แล้วเรียกอีกครั้ง “เสี่ยอี้”
ยังคงไร้การตอบสนอง
ดังนั้นเขาจึงโน้มตัวลงไป ขณะที่โอบเธอเข้าสู่อ้อมแขนและเตรียมจะลุกขึ้นยืนอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก ขมวดคิ้ว ก่อนวางเธอกลับลงไปอย่างระมัดระวัง
เขาใช้มือประคองขาขวาของตัวเอง มืออีกข้างหนึ่งยันกับหลังคารถ กำมือแน่น ศีรษะซบไปกับแขน งอตัวจนเกือบถึงเอว หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
ผ่านไปสักครู่ก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กำลังลาดตระเวนคนหนึ่งผ่านมาถามไถ่ “คุณครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
ลี่เจ๋อเหลียงเงยหน้าขึ้น เขากล่าวเรียบๆ “ไม่ต้องครับ ขอบคุณครับ”
รอจนกระทั่งยามเดินไปไกลแล้ว ลี่เจ๋อเหลียงจึงนั่งลงบนเบาะคนขับ เปิดช่องบนหลังคาออก แล้วจุดบุหรี่มวนหนึ่ง สูบเข้าไปไม่กี่ครั้งก็ดับมัน หญิงสาวที่กลับบ้านดึกผ่านมา เธอหันมามองลี่เจ๋อเหลียงที่อยู่ในรถบ่อยๆ ด้วยความแปลกใจ เขาก็เลยถือโอกาสปิดไฟในรถให้รู้แล้วรู้รอดไป
ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็กลับไปอยู่ตรงหน้าเสิ่นเสี่ยอี้อีกครั้ง คราวนี้เขาเปลี่ยนให้ขาอีกข้างหนึ่งรับแรงไว้ จากนั้นก็กัดฟันอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนเดินเข้าไปในตัวอาคารภายในอึดใจเดียว ขึ้นลิฟต์ เปิดประตูเข้าไปในห้อง แล้ววางเธอลงบนที่ห้องนอน เสิ่นเสี่ยอี้ที่นอนหลับสนิทพอสัมผัสกับผ้าห่มนุ่มสบายแม้แต่ในฝันก็ยังฉีกยิ้มไปด้วย เธอผลักตัวออกจากอ้อมกอดของลี่เจ๋อเหลียง หนุนหมอนแล้วพลิกตัว
ชั่วขณะที่เขาลุกขึ้นยืน ความรู้สึกเจ็บปวดที่ขาขวาก็ทำให้เขาวิงเวียน เขาจึงทำได้เพียงประคองตัวไว้กับขอบเตียงแล้วล้มตัวลงนั่งบนพื้น
เสี่ยวหลินเพิ่งมาถึงที่พักของจี้อิงซงก็เห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าจะจากไป
“อิงซง คุณจะไปไหนน่ะ”
“ผมส่งคุณถึงที่แล้ว คุณก็พักผ่อนให้ดีล่ะ”
“คุณจะไปไหน” เสี่ยวหลินไต่ถามต่อไป
“ผมไม่ค่อยวางใจเรื่องคุณลี่เท่าไหร่ จะกลับไปดูสักหน่อย”
ฟังถึงตรงนี้เสี่ยวหลินก็ทอดถอนใจ เสิ่นเสี่ยอี้เมาจนกลายเป็นแบบนั้น คิดดูแล้วก็ไม่มีทางทำอะไร
ลี่เจ๋อเหลียงได้หรอก อีกอย่างระหว่างพวกเขาสองคนใครกันแน่ที่ไว้ใจไม่ได้
“งั้นฉันไปเป็นเพื่อนนะ” เสี่ยวหลินทำได้เพียงกล่าวออกมาเช่นนี้
ทั้งสองคนเรียกแท็กซี่กลับมายังที่เดิม รถยังจอดอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ลี่เจ๋อเหลียงลืมล็อกประตูรถ หรือจะบอกว่าไม่ได้ลืมแต่ขยับมือออกมาล็อกรถไม่ได้ต่างหาก คิดถึงตรงนี้เสี่ยวหลินถึงได้เข้าใจความเป็นห่วงของ
จี้อิงซง
เขาอุ้มเสิ่นเสี่ยอี้ไหวได้ยังไงนะ
“พวกเราขึ้นไปกัน” เสี่ยวหลินรีบร้อนเดินอ้อมรถเตรียมขึ้นไปข้างบน แต่กลับถูกจี้อิงซงรั้งเอาไว้
“รออยู่ตรงนี้”
“แต่ว่า…”
“คุณไม่เข้าใจ” จี้อิงซงกล่าว
“ฉันไม่เข้าใจคุณ หรือว่าไม่เข้าใจเขาล่ะ” เสี่ยวหลินโกรธขึ้นมานิดหน่อย
จี้อิงซงไม่ตอบคำถาม เขาปล่อยมือเธอ
“ที่ผ่านมาคุณก็ไม่เคยพูดอะไรเลย ฉันจะเข้าใจได้ยังไง”
“พวกเราไม่เหมาะสมกัน”
“คุณไม่ลองเลยด้วยซ้ำจะรู้ได้ยังไงว่าไม่เหมาะสม” เสี่ยวหลินยิ้มเจื่อน
จี้อิงซงมองเธอแวบหนึ่ง อยากกล่าวอะไรแต่ก็เงียบไว้
“คุณไม่ต้องเอาคำพูดมีมารยาทพวกนั้นมาสั่งสอนฉันเลย โลกนี้มีคนดื้อรั้นตั้งเยอะแยะ ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวสักหน่อย” เสี่ยวหลินกล่าว “ไม่แน่คนที่อยู่บนอาคารนั่นก็เหมือนกันกับฉัน”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของจี้อิงซงก็ดังขึ้น เมื่อเขารับสายลี่เจ๋อเหลียงก็กล่าวเพียงประโยคเดียวแล้ววางสายไป จี้อิงซงรีบขึ้นไปบนอาคารพร้อมกับเสี่ยวหลินทันที แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องจี้อิงซงกลับให้เธอรออยู่ข้างนอก
“อีกเดี๋ยวผมค่อยเรียกคุณ”
จี้อิงซงเปิดไฟในห้องรับแขก เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครจึงเดินเข้าไปในห้องนอน
เสิ่นเสี่ยอี้ห่มผ้าห่มฤดูร้อนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ส่วนลี่เจ๋อเหลียงกลับอิงตัวอยู่กับขอบเตียงนั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นเย็น
“คุณลี่”
ลี่เจ๋อเหลียงเห็นว่าคนที่มาเป็นเขาก็ส่ายหน้าด้วยความจนใจ “อิงซง ฉันลุกไม่ขึ้น ดึงฉันทีสิ”
วันต่อมาเสิ่นเสี่ยอี้กับเสี่ยวหลินก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปทำงานด้วยกัน
“พอฉันดื่มเหล้าก็หลับเป็นตายเลย เมื่อวานต้องลำบากเธอแน่ๆ” เสิ่นเสี่ยอี้นวดศีรษะที่ยังคงปวดหนึบอยู่
“ไม่ ไม่ลำบากเลย” เสี่ยวหลินไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี
เมื่อคืนชั่วขณะที่เธอเห็นจี้อิงซงประคองเจ้านายออกมาถึงได้เข้าใจความหมายของประโยคที่เขาพูดกับเธอว่า ‘คุณไม่เข้าใจ’ ลี่เจ๋อเหลียงเป็นคนชอบเอาชนะมาตลอด ทั้งไม่เคยพูดเรื่องความบกพร่องของเขาต่อหน้าคนอื่นๆ ซึ่งเขาเองก็เหมือนกับคนปกติไปทุกส่วน โดยมากแล้วคนรอบข้างจึงต่างก็ลืมกันไปว่าขาของเขามีปัญหาบางอย่าง ทุกคนมองเหมือนว่าเขาเป็นคนแข็งแรงดี
กล่าวคือเขาไม่ยินดีที่จะให้ใครก็ตามได้เห็นท่าทางของเขาที่ไร้กำลังจะทำอะไรได้เนื่องจากความบกพร่องของร่างกาย รวมไปถึงจี้อิงซงด้วย
ในเวลานั้นลี่เจ๋อเหลียงเจ็บจนใบหน้าขาวซีด แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมากล่าวกับเธอว่า ‘เลขาฯ หลิน รบกวนคุณดูแลเสี่ยอี้ให้ดี ขอบคุณครับ’
เสี่ยวหลินอยู่ข้างกายเขามาหลายปีขนาดนี้ รู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เขาช่ำชองที่สุดก็คือรอยยิ้มซ่อนใบมีด แต่คำ ‘ขอบคุณ’ สองพยางค์ในเวลานั้นกลับออกมาจากใจจริงของเขา
“เสี่ยอี้” เสี่ยวหลินเอ่ย
“หืม” เสิ่นเสี่ยอี้ดูโทรศัพท์มือถือพร้อมขานรับ
“เธอกับคุณลี่รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ฉันหมายความว่าก่อนที่จะมาที่ลี่ซื่อกรุ๊ปน่ะ”
“ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่ถังเฉียวน่ะ”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ”
“ไม่รู้จักนะ” พูดจบเสิ่นเสี่ยอี้ก็เบนความสนใจไปที่โทรศัพท์มือถือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.