บทที่ 63
ไกลจากปักกิ่งหรือเปล่า
ทำไมจู่ๆ เขาถึงไปที่นั่นล่ะ
แล้วไปศึกษาอะไรอีกล่ะเนี่ย
ในหัวสมองของชูหนิงเกิดคำถามผุดขึ้นมาต่อเนื่องเป็นชุด หลังจากนั้นก็ถามในสิ่งที่เธอเป็นห่วงที่สุดกับฉีอวี้
“อิ๋งจิ่งจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ยังไม่มีคำยืนยันเป็นที่แน่นอนเลยครับพี่หนิง กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินอยู่ใต้สังกัดของสถาบันวิจัยส่วนกลาง ข้อมูลในส่วนที่ลงรายละเอียด ทางหน่วยงานข้างบนก็ไม่ได้บอกให้พวกผมรู้หรอกครับ”
ชูหนิงเข้าใจแล้ว
สถาบันวิจัยส่วนกลางนั้นเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับคณะมนตรีรัฐกิจ พูดให้เข้าใจง่ายคือวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดของประเทศจะรวมอยู่ที่นั่นทั้งหมด มีโครงการที่เป็นความลับมากมาย มีทั้งแบบที่ทำหลายปี ทำหลายสิบปี กระทั่งว่าทำจากรุ่นสู่รุ่น แถมยังมีเกียรติมาก มีชื่อเสียงก้องระบือไปไกล แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้คนยอมน้อมกายยินดีเป็นผู้อุทิศตนทำงานให้
ภายในใจชูหนิงเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ทันที
ฉีอวี้กระแอมเสียงพูดนิดหน่อย “พี่หนิง พี่อย่าใส่ใจเลยนะ ข่าวเรื่องนี้แจ้งมาอย่างกะทันหันมากครับ บอกว่าจะให้ไปก็ต้องไปเลย อิ๋งจิ่งยังทำของตกหล่นไว้ตั้งเยอะ ผมยังต้องช่วยเอาไปให้เขา พี่อย่าโทษเขาเลยนะครับ กฎระเบียบที่นั่นเข้มงวดมาก ใช้โทรศัพท์มือถือได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ”
“นายก็ต้องไปด้วยเหรอ”
“ใช่ครับ วันมะรืนนี้ พวกผมแบ่งกลุ่มกันไปครับ”
ชูหนิงตั้งสติคิดใคร่ครวญ ก่อนจะถามว่า “จองตั๋วเครื่องบินหรือยัง”
“จองแล้วครับ”
“งั้นนายส่งข้อมูลมาให้ฉันหน่อย” ชูหนิงพูดอ้ำอึ้ง ทว่าอยู่ภายในรถเสียงจึงฟังชัดเจนเป็นพิเศษ “ฉันจะไปกับนายด้วย ฉันจะอยู่ข้างนอก ถือเสียว่าเป็นการไปเที่ยวด้วย จะไม่รบกวนพวกนายแน่นอน ได้ไหม”
การตัดสินใจเช่นนี้ของชูหนิง ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ขาดการยั้งคิด
ที่ทั้งสองคนคบกัน ถึงตอนนี้ดูแล้วไม่ค่อยจะเบาใจได้เท่าไหร่นัก แต่เธอก็สามารถเผชิญหน้ากับตัวเขาได้อย่างจริงใจ ชอบก็คือชอบ โมโหนะ แต่ว่าไม่มีทางขุ่นเคืองแน่นอน เธอไม่อาจแน่ใจได้ว่าอิ๋งจิ่งเองก็มีมุมมองความรู้สึกแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ต้องทำตัวเองให้ดีก่อน
ขุนเขาอยู่สูงชัน แม่น้ำอยู่ห่างไกล เป็นความไกลห่างด้านระยะทาง
แต่ไม่ใช่กับเรื่องของจิตใจและความรู้สึกที่มีต่อกันอย่างแน่นอน
ทว่าการตัดสินใจที่กะทันหันแบบนี้ก็ยังไปชนกับเรื่องราวอีกมากมาย ช่วงนี้ที่บริษัทกำลังยุ่ง โดยทั่วไปแล้วทำงานล่วงเวลากันทุกวัน ชูหนิงทนแบกรับความไม่พอใจของเว่ยฉี่หลิน มอบงานในความดูแลให้รองประธานอย่างเท่าๆ กัน เพื่อตัวเองจะได้มีช่วงเวลาหยุดพัก
กับเรื่องงานยังพอจะโอเคอยู่ ที่น่าปวดหัวคือเฉินเยวี่ยผู้เป็นมารดา
งานฉลองวันเกิดอายุครบหกสิบปีของคุณลุงคนหนึ่งในบ้านตระกูลจ้าวซึ่งเป็นบุคคลที่น่ายำเกรงอย่างยิ่ง งานเลี้ยงจัดในวันที่เธอออกเดินทางนั่นแหละ เฉินเยวี่ยกำชับเป็นพันเป็นหมื่นหน บอกให้ชูหนิงต้องมาอวยพรวันเกิดในงานตรงตามเวลา ผลคือเมื่อชูหนิงบอกว่าไปไม่ได้ เฉินเยวี่ยก็แสดงท่าทีร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อให้เรื่องใหญ่สำคัญแค่ไหนแกก็ทิ้งเอาไว้ก่อนเถอะ! แกต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณลุง”
ชูหนิงพยายามพูดโน้มน้าวทุกวิถีทาง ฝืนบอกปัดอ้างไปว่าต้องออกเดินทางไปทำงานนอกสถานที่
เฉินเยวี่ยโมโหมาก เอานิ้วชี้กลางหน้าผากของเธอ “ฉันเลี้ยงลูกสาวแบบแกทำไมกันนะ ไม่ได้เป็นลูกสาวที่เห็นอกเห็นใจใส่ใจอะไรพ่อแม่เลย ทำตัวแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องจริงๆ!”
ชูหนิงยิ้มเข้าสู้ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจาตำหนิไป
พูดไปพูดมาก็มีแค่ไม่กี่คำเดิมๆ แบบนั้น เธอแทบจะรู้บทพูดของแม่ชัดเจนหมดแล้ว
เมื่อเฉินเยวี่ยด่าจนพอก็หยุดพักหายใจสักพัก “จริงสิ” ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “แกรู้ไหมว่าจื่อหยางไปประเทศฝรั่งเศส”
ชูหนิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “เอ๋? เรื่องเกิดขึ้นตอนไหนน่ะ หนูไม่รู้เรื่องเลยนะ”
“ไปเป็นอาทิตย์แล้ว ว่ากันว่าทะเลาะกันรุนแรงกับแฟนใหม่ของเขา เลยหลบไปอยู่เงียบๆ” กล่าวถึงตรงนี้เฉินเยวี่ยก็ทำหน้าตาผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวด้วยอารมณ์ที่อยากจะลองพูดดูสักหน่อย “ผู้หญิงคนนั้นก็ราวีไม่เลิก เหมือนว่ายังจะไปตามดักตัวเขาที่บริษัทด้วยนะ ดูจะเกินไปแล้ว นี่ แกน่ะ ใส่ใจไว้หน่อยเถอะ อย่าทำเป็นเฉยไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย”
ชูหนิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ “หนูไปยั่วอารมณ์แม่ตรงไหนอีกล่ะ”
เฉินเยวี่ยผิดหวังที่พูดไปแล้วไม่เป็นดั่งใจ ชี้ที่ลูกสาวพร้อมกับเอ่ยอย่างร้อนรน “มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกแกสองคนจะกลับมาคบกัน อารมณ์สนุกแค่ชั่วคราวของผู้ชายน่ะเป็นแค่การอยากลิ้มลองในสิ่งแปลกใหม่เท่านั้นแหละ ถ้าจะแต่งงานกันจริงๆ ก็ยังจะต้องหาคนที่สามารถสนับสนุนครอบครัววงศ์ตระกูลได้”
“หยุดเลยๆ” ชูหนิงแทบอยากจะกลอกตามองบนใส่ “อาชาดีไม่หวนกลับไปกินหญ้าเดิม* แม่เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย! เขาไม่ได้ต้องการหนูแล้ว ยังจะตามตอแยไม่เลิกราไปทำไมล่ะ ไปให้คนเขาย่ำยี แม่ หนูพูดแค่นี้เลยนะ หนูไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก!”
“ยายเด็กคนนี้ ทำไมให้ตายยังไงก็พูดไม่รู้ฟังนะ!” เฉินเยวี่ยนั่งลงบนโซฟา ซ้อนขานั่งไขว่ห้าง เชิดคางขึ้นสูงเหมือนรูปปั้นสตรีผู้สูงศักดิ์ ดูท่าทางโกรธจริงๆ
ในครั้งนี้ชูหนิงไม่คิดจะยอมทำตามสตรีสูงศักดิ์คนนี้อีกแล้ว เธอเลิกคิ้ว ไม่มีทีท่ายอมถอยแม้แต่น้อย
“หนูเองก็ไม่มีทางที่จะไม่มีแฟนคนใหม่ไปตลอดหรอก”
เฉินเยวี่ยชะงัก หันมามองเธอ
“จะอ้วนจะผอม จะแก่หรือจะเด็ก จะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าหนู ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพอใจของหนู ถ้าแม่ดูแล้วขัดตาก็หาผ้ามาปิดตาเอาไว้ไม่ต้องดู ถึงตอนนั้นหนูไม่อยากจะได้ยินคำพูดจาเพ้อเจ้อไร้เหตุผลจากแม่อีก”
พูดจบชูหนิงก็หยิบกระเป๋าออกไป
แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนกันไว้ก่อนหนึ่งเข็ม เฮ้อ! โล่งใจละ
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็รอออกเดินทาง
ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงคือเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากทางฝั่งฉีอวี้
ขณะที่ได้รับโทรศัพท์ของเขา ชูหนิงกำลังจัดเตรียมสัมภาระอยู่ที่อพาร์ตเมนต์
ฉีอวี้พูดอย่างรู้สึกอึดอัดมาก “พี่หนิงครับ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ ทางนั้นแจ้งมากะทันหันว่าผมต้องออกเดินทางขึ้นเครื่องบินในอีกสองชั่วโมง”
ข่าวนี้ทำเอาชูหนิงเป็นงง “นายจะไปวันนี้เลยเหรอ”
ฉีอวี้อธิบายอย่างรวดเร็ว ฟังออกว่ารู้สึกผิดจริงๆ สุดท้ายเขาก็พูดว่า “พี่หนิง หรือว่าคุณจะยกเลิกการเดินทางไหมครับ ถ้ามีเพื่อนร่วมเดินทางยังพอว่า ตอนนี้เหลือคุณแค่คนเดียวแล้ว ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เลยครับ”
ชูหนิงหายใจเข้าออกลึกๆ กดกระเป๋าเดินทางด้วยมือข้างเดียวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้”
ฉีอวี้ยังพูดโน้มน้าวอีกหน่อย “ที่นั่นไกลมากนะครับ ลงจากเครื่องบินแล้วยังต้องต่อรถอีก อยู่บนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต อีกทั้งระดับความสูงเหนือน้ำทะเลยังสูงมากด้วย ร่างกายคุณทนรับไม่ไหวหรอกนะครับ”
เธอยังคงพูดคำเดิม “ไม่เป็นไร” ชูหนิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ขอบคุณที่เตือนนะ ฉันจะระวังไว้”
ถึงขนาดนี้แล้ว พูดเกลี้ยกล่อมอีกก็ไม่มีประโยชน์
ฉีอวี้ครุ่นคิดอย่างละเอียด เปี่ยมไปด้วยความกังวลและไม่ไว้วางใจ “งั้นก็เอาเถอะครับ พี่หนิง ถ้าคุณมีปัญหาอะไรระหว่างการเดินทาง โทรศัพท์หาผมนะครับ ผมจะได้เจอกับอิ๋งจิ่งในคืนนี้ ผมจะบอกให้เขารู้แน่นอนครับ จะให้เขามารับคุณที่คังติ้ง”
ชูหนิงเป็นตัวของตัวเองเสียจนชิน เธอพูดโดยไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญอะไรขนาดนั้น “เขายุ่งนี่นา ฉันไปคนเดียวได้ อย่าสร้างปัญหายุ่งยากให้เขาเลย”
ครั้นวางสายโทรศัพท์ ฉีอวี้ก็ส่งข้อความมาอย่างรวดเร็ว เป็นรายละเอียดที่อยู่ เส้นทางการต่อรถ กระทั่งสายด่วนขอความช่วยเหลือของรัฐบาลท้องถิ่น เขาใส่ใจรายละเอียดในทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่
ชูหนิงเซฟพวกมันไว้ทีละอันก่อนจะตอบว่า ‘ขอบคุณค่ะ’
วันต่อมาชูหนิงบินจากปักกิ่งไปยังคังติ้ง และจากคังติ้งไปยังตันปาต้องอาศัยรถยนต์ส่วนตัวของคนอื่นไปเอง
ตอนที่ชูหนิงลงจากเครื่องบินเป็นช่วงกลางวันตอนเที่ยงครึ่ง
ทางตะวันตกของเสฉวนอุณหภูมิต่ำกว่าสถานที่ทั่วไป อยู่ที่ปักกิ่งยังสามารถใส่เสื้อแขนสั้นได้ ทว่าพอมาถึงที่นี่ ขนาดสวมเสื้อโค้ตหนึ่งตัวแล้วยังเอาไม่ค่อยอยู่ ชูหนิงโทรศัพท์หาอิ๋งจิ่งก่อน แต่ก็พบว่าปิดเครื่องเหมือนเดิม เธอโทรศัพท์หาฉีอวี้อีกที…แปลกแฮะ ก็ปิดเครื่องเหมือนกัน
ช่างเถอะ ไปปักหลักที่ใกล้ๆ กับจุดหมายปลายทางก่อนแล้วกัน
จากคังติ้งไปตันปายังต้องใช้ระยะเวลาราวสี่ถึงห้าชั่วโมง ทว่ามีรถยนต์ส่วนตัวที่คอยรับคนเยอะมาก ทั้งหมดล้วนเป็นรถครอบครัวที่ออพชั่นต่ำราคาราวห้าหกหมื่น ผู้ชายในท้องถิ่นสีผิวดำคล้ำเรียกแขกด้วยคำพูดที่ติดสำเนียงพื้นถิ่น เดินชนกันไปมา ใจร้อนเร่งรีบ พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์เล็กน้อย
ชูหนิงที่มาแค่คนเดียวย่อมกลายเป็นเป้าหมายที่ถูก ‘แย่งชิง’
เธอเป็นคนสวยที่บุคลิกเย็นชา ทั้งยังท่าทางขึงขังไม่พูดไม่จา ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ขู่จนเจ้าของรถพากันถอยหนีไปไม่น้อย สุดท้ายเธอสังเกตดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วก็เลือกคนขับรถที่ดูท่าทางค่อนข้างซื่อสัตย์
ที่สำคัญคือรถของเขาเป็นรถออฟโรดขนาดเล็ก แข็งแรงกว่าคันอื่นมาก
ชูหนิงบอกที่อยู่ให้เขารู้ และเสนอราคาที่หนึ่งพันสอง เป็นอันตกลงกันได้
คนขับรถหนวดเคราเฟิ้มทั้งใบหน้า ท่าทางทึ่มๆ ซื่อๆ ไม่คิดเลยว่าจะพูดมากตลอดทาง แต่ภาษาจีนกลางของเขาไม่ตรงตามเกณฑ์ พูดผสมปนกันกับสำเนียงท้องถิ่น เสียงพูดบลาๆ ดังอื้ออึงไปหมด
ตอนแรกชูหนิงยังตั้งใจฟังได้ ทว่าฟังไปได้ครึ่งชั่วโมงเธอก็รู้สึกเพลีย เอามือก่ายหน้าผากและหันไปมองดูทิวทัศน์ด้านนอก
เส้นทางไปตันปาช่างยากลำบาก มีทั้งหลุมบ่อ พื้นที่ภูเขา และโค้งหักศอก
หลังผ่านช่วงถนนจย่าเหมิ่งมา โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ในที่ราบสูงและเทือกเขา ท้องฟ้ามืดลงก่อนเวลา เพิ่งจะผ่านห้าโมงเย็น สีท้องฟ้าก็เข้มขึ้นทันตาเห็น
จู่ๆ คนขับรถหนวดเฟิ้มก็หยุดพูด
ฟากฟ้าที่โล่งกว้าง ทุ่งที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนผ้าม่านผืนมหึมาที่ปกคลุมกดดันจิตใจทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นใจ ชูหนิงเครียดกังวลเล็กน้อย โดยเฉพาะยามที่รถกำลังกระเด้งโคลงเคลงแล้วจู่ๆ ก็ชะลอความเร็วลงทันที เธอนึกว่าคนขับรถจะจอดรถ
“…”
พอผ่านไปสองนาทีรถก็หยุดจริงๆ
ชูหนิงระวังตัวขึ้นมาทันที ขยับไปข้างประตูด้วยสัญชาตญาณ
รถคันนี้รับลูกค้ามายาวนานเป็นปีๆ มีกลิ่นตุๆ ข้าวของพะรุงพะรังวางอยู่ด้านหลังเก้าอี้ แถมยังมีกระดูกแกะสองชิ้นด้วย แล้วคนขับรถหนวดเฟิ้มก็หันหน้ากลับมาจ้องมองชูหนิง
ชูหนิงรู้สึกอึดอัด จับกระเป๋าไว้แน่น
คนขับรถพลันยิ้มทันที ปรากฏริ้วรอยบนใบหน้าที่ยับย่นสองเส้นออกมาให้เห็น
ชูหนิงคิดในใจ จบเห่แล้วงานนี้
รอบบริเวณเป็นภูเขาทั้งนั้น จะหนีก็ไม่มีที่ให้หนีไปไหนได้เลย
“ลงจากรถซะ” คนขับรถพูด
สายตาชูหนิงคมกริบเหมือนคมมีด จ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เหี้ยมโหด
คนขับรถหนวดเฟิ้มไม่พอใจเป็นอย่างมาก พูดซ้ำอีกครั้งว่า “ลงจากรถเซ่!!”
ชูหนิงรู้สึกกลัวจริงๆ จะชิงทรัพย์หรือจะฆ่าแกง หรือว่ามีเจตนาชั่วร้ายอย่างอื่นนะ? เธอมองดูโทรศัพท์มือถือ…ไร้ซึ่งสัญญาณ สุดท้ายพลันตัดสินใจว่าจะเอาสายโซ่ที่อยู่บนกระเป๋าใช้เป็นอาวุธไปก่อน ถ้าเขากล้ามาแตะเธอก็จะอาศัยจังหวะรั้งคอเอาไว้ทำให้เขาคอหักตายก่อนเลยคอยดู!
คนขับรถหนวดเฟิ้มหมดความอดทน แล้วก็ระเบิดอารมณ์แผดเสียงคำราม “ยางรถระเบิดแล้ว!! ลงมาเข็นรถสิ!!”
ชูหนิงเป็นงง “เอ๋?”
คนขับรถหนวดเฟิ้มกลอกตาใส่อย่างเอือมระอาสุดๆ คล้ายกับกำลังพูดว่า ‘เธอเป็นอิหยังหว่า’
มีหินปลายแหลมเสียบอยู่ที่ล้อหลังด้านซ้าย คนขับรถขับผ่านเส้นทางนี้มาตลอดทั้งปี เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการขับขี่ ตอนที่ขับอยู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และแน่นอนว่ายางรถรั่วอย่างที่คาดไว้จริงๆ
คนขับรถหนวดเฟิ้มตรวจสอบดูรอบหนึ่ง ก่อนจะบอกกับชูหนิงด้วยสำเนียงภาษาจีนกลางที่แปร่งๆ ว่า “ติดอยู่ในหลุม เปลี่ยนยางสำรองไม่ได้ ต้องเข็นมันไปที่พื้นราบก่อน”
เขาชี้นิ้วไปตรงที่ที่ห่างออกไปอีกห้าสิบเมตร
แล้วจะทำไงได้…เข็นไงล่ะ!
วันนี้เธอคิดว่าจะได้เจออิ๋งจิ่ง ก็เลยค่อนข้างแต่งตัวมาอย่างพิถีพิถัน อากาศไม่ได้ร้อนจึงใส่กระโปรงยาว รองเท้าก็เป็นแบบส้นสูงนิดหน่อย
ที่นี่สภาพพื้นที่เป็นแบบตะปุ่มตะป่ำ เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ฮ่า สุดๆ ไปเลย!
ว่าแล้วก็ลองเข็นท้ายรถกับตาคนขับรถหนวดเฟิ้มดูก่อน อา ตายๆ ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าไม่ได้ล้างรถคันนี้มากี่ร้อยปีแล้ว เสื้อผ้าเธอถูไถจนเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่น
ชูหนิงไม่มีทางเลือก จำต้องถอดรองเท้าส้นสูง พับแขนเสื้อขึ้น ทั้งไม่ชอบที่กระโปรงยาวเกะกะก็เลยผูกมัดเป็นปมไว้ระดับน่องทันที
เธอเหยียบย่างลงไปในดินโคลน เท้าจมลงไปลึกมาก ในใจชูหนิงคือสติหลุดไปแล้ว คนขับรถหนวดเฟิ้มพูดปลุกขวัญเสียงดังสนั่น
“หนึ่ง สอง สาม สุดแรงเลย!!”
ชูหนิงออกแรงเต็มที่แล้ว แต่รถก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
ทำซ้ำอยู่สี่ห้าครั้ง ขณะที่เธอหมดแรงแล้วจริงๆ และตัดสินใจที่จะแอบอู้นั้น…
รถก็ขยับแล้ว!
ตาคนขับรถหนวดเฟิ้มเป็นคนถึก ส่งเสียงฮึ่ยๆ พยายามเข็นต่อไปให้เสร็จในรวดเดียว
ชูหนิงไม่ทันจะรู้ตัวก็ล้มไปข้างหน้าพร้อมกับรถที่เคลื่อนไป หล่นลงไปกองกับพื้นทั้งตัว
ดินโคลนที่เปรอะเปื้อนเหมือนกับก้อนอึทำให้สภาพเธอกลายเป็นช็อกโกแลต
ตายแล้ว!!
ในละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านทิเบต
ณ ที่ราบสูงแห่งหนึ่งมีการคุ้มกันที่แน่นหนา ทางซ้ายเป็นพื้นที่ทดลอง ทางขวาเป็นห้องปฏิบัติการ กำแพงขาวเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสร้างด้วยก้อนอิฐ บนหลังคามีเสาธงตั้งตรงหนึ่งเสา
ธงชาติจีนโบกพลิ้วปลิวไสว
สองทุ่มสิบนาที เสียงเชียร์และเสียงปรบมือดังแว่วมาจากห้องทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชั้นสาม เป็นงานฉลองความพึงพอใจที่มีต่อผลลัพธ์ของความขยันบากบั่นศึกษาค้นคว้าอย่างหนักในหลายวันนี้ จนสามารถพิชิตจุดเชื่อมต่อบางจุดของการศึกษาวิจัยอิสระด้วยตนเองได้สำเร็จ ทุกคนดีใจกันหมด
อิ๋งจิ่งวิ่งตะบึงออกมาจากห้องปฏิบัติการ เป็นคนแรกที่ขึ้นไปฝ่ายธุรการเพื่อเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับมา
ผู้รับผิดชอบของฝ่ายธุรการแซ่เหริน อายุสามสิบกว่าปี เป็นคนที่ทำงานคล่องแคล่วขยันขันแข็งในฐานวิจัย เห็นใครก็ยิ้มตาหยีให้ทุกคน
“โอ้ เสี่ยวจิ่ง คนแรกเลยนะ นี่ มือถืออยู่ตรงนี้”
อิ๋งจิ่งเหมือนกับได้ถือทองคำ “ขอบคุณครับๆ!”
พี่เหรินพูดหยอก “ติดต่อแฟนเหรอ”
อิ๋งจิ่งพยักหน้าราวกับเป็นไก่จิกข้าวสาร และเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างว่องไว
ระหว่างที่รอก็ได้ยินพี่เหรินหัวเราะพูดจาปลงๆ “เฮ้อ มาที่ฐานวิจัยก็แบบนี้แหละนะ ในองค์กรมีกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยเคร่งครัดชัดเจน แล้วสิ่งที่พวกเธอทำก็ยังเป็นเรื่องที่พิเศษมากด้วย พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละระดับล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นกฎระเบียบเหล่านี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลย เป็นคนผู้น้อยก็รับภาระมากหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ที่ผมได้มาศึกษาก็เป็นเกียรติมากแล้วครับ” อิ๋งจิ่งเอ่ยคำพูดอย่างสุภาพ และทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ โทรศัพท์มือถือเปิดเครื่องช้า เขาจิ้มที่หน้าจอตลอดเวลา
“ทางกรมสนใจการแข่งขันของพวกนายมากเลย นายเจ๋งมากนะ เจ้าหนูเสี่ยวจิ่ง อนาคตสดใสรุ่งโรจน์แน่นอน”
“คุณชมกันเกินไปแล้วล่ะครับ พวกคุณต่างหากที่เป็นบุคคลเสาหลัก”
โทรศัพท์มือถือเปิดเครื่องแล้ว เครื่องสั่นจนมือชาอยู่ชั่วขณะ ข้อความแจ้งเตือนเข้ามาสารพัด ทั้งข้อความที่ไม่ได้อ่าน โทรศัพท์ที่ไม่ได้รับสาย ของชูหนิงสี่สาย ฉีอวี้สามสาย อิ๋งจิ่งรีบโทรกลับไปที่เบอร์ของชูหนิง
“ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เขาโทรหาฉีอวี้อีกครั้งอย่างไม่มีลังเล
ฉีอวี้แทบจะรับสายในไม่กี่วินาที “เสี่ยวจิ่ง! นายเจอกับพี่หนิงหรือยัง!”
อิ๋งจิ่งงุนงง “นายพูดอะไรน่ะ”
“เวร!” น้อยนักที่จะเห็นฉีอวี้แสดงอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ร้อนรนยิ่งกว่ามดบนกระทะร้อน* “เดิมทีฉันนัดกับพี่หนิงไว้ก่อนหน้าที่จะมาแล้วนะ ตอนหลังเลื่อนกำหนดการเดินทางของฉันมาล่วงหน้าก่อน เพื่อให้ฉันมาฟังการอบรมที่เฉิงตู บ้าเอ๊ย ฉันไม่ได้รับสายพี่หนิง พอโทรไปอีกก็โทรไม่ติด!”
อิ๋งจิ่งพลันหนักใจทันที ความกลัวแผ่ซ่าน “นายรู้ไหมว่าเที่ยวบินของเธอรอบกี่โมง”
“ฉันค้นหารอบเที่ยวบินแล้ว ไม่มีตอนค่ำนะ น่าจะถึงตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว”
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง
อิ๋งจิ่งเงียบไปเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำพูดจา
หลังจากผ่านไปสามวินาที เขาพลันหันหลังกลับ วิ่งออกไปข้างนอกทันที
เด็กหนุ่มออกแรงวิ่งเต็มเหนี่ยวแบบไม่คิดชีวิต ทำเอาพี่เหรินที่อยู่ข้างหลังตกใจ เห็นสภาพเขาผิดปกติก็คิดในใจ แย่ละ คงจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่
“เสี่ยวจิ่ง! เสี่ยวจิ่ง!” พี่เหรินตามเขาไป “ถ้ามีปัญหาบอกกับฉันสิ”
เสียงที่สุขุมนี้เรียกสติอิ๋งจิ่งกลับมาได้นิดหน่อย
ในเขตพื้นที่ราบสูง ตอนกลางคืนยังจะต้องใส่เสื้อคลุมตัวนอกที่หนาๆ แต่ในตอนนี้เขาเหงื่อออกท่วมเต็มหลัง จับมือของพี่เหรินเอาไว้และพูดจาติดขัดเสียงสั่นเครือ
“เพื่อนผมคนหนึ่งมาจากปักกิ่งเพื่อมาหาผม ถึงที่คังติ้งเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้ผมยังติดต่อเธอไม่ได้เลยครับ”
พี่เหรินเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ครั้นคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดก็แอบรู้สึกว่าคงแย่แล้วล่ะ
ระยะทางห่างไกล ทั้งสถานที่ก็สูงชัน จะไม่เป็นการทรมาทรกรรมเธอเหรอ
เขากดไหล่ของอิ๋งจิ่งและพูดปลอบใจ “นายอย่าลุกลี้ลุกลน อย่าตื่นตระหนก ฉันจะส่งรถขับย้อนสวนทางกลับไปหาเดี๋ยวนี้เลย ไม่แน่ว่ารถอาจจะเสียอยู่ระหว่างทางนะ แล้วก็บางทีเพื่อนของนายอาจจะยังไม่ได้มา อาจพักผ่อนอยู่ที่ตัวอำเภอก็ได้”
ขณะเตรียมจะดำเนินการ โทรศัพท์ของพี่เหรินก็ดังขึ้น เขาฟังเพียงไม่กี่คำตาก็พลันเป็นประกาย มองมาทางอิ๋งจิ่ง
“มีคนมาหานายที่ประตูทางเข้า”
ยังไม่ทันจะพูดจบ อิ๋งจิ่งก็วิ่งทะยานออกไปแล้ว
พี่เหรินตะลึงตาค้างพูดไม่ออก “โอ้โห! เจ้าหนูคนนี้เคยฝึกวิชาฝีเท้าย่องจรดคลื่น** สินะ”
* อาชาดีไม่หวนกลับไปกินหญ้าเดิม เปรียบเปรยถึงคนที่ได้ตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่มีทางหวนกลับไปจมอยู่ในสิ่งเดิม หรือหนทางเดิมๆ ที่เคยประสบ
* มดบนกระทะร้อน เปรียบเปรยถึงภาวะอารมณ์ที่ร้อนรนใจมาก กระสับกระส่ายจนอยู่ไม่ติดที่
** ฝีเท้าย่องจรดคลื่น ท่าวิชากังฟูที่เคลื่อนไหวขยับฝีเท้าว่องไวปานใช้ปลายเท้าจรดลงเบาๆ บนคลื่นผิวน้ำ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.