บทที่ 65
ก่อนวิ่งออกมาจากห้อง อิ๋งจิ่งไม่ลืมที่จะเอาเสื้อคลุมตัวนอกมาคลุมให้ชูหนิง
เสียงตะโกนนี้ดังลั่นสะเทือนฟ้าดิน เหรินชิงหมิงไม่ได้กำลังพักผ่อนอยู่ เขาเตรียมตัวที่จะไปตรวจสอบห้องเครื่องยนต์ ครั้นได้ยินเสียงนี้ก็รีบลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว
อิ๋งจิ่งหนุนรองตรงท้ายทอยของชูหนิง ภายในใจก็คาดเดาไปต่างๆ นานา เหรินชิงหมิงมีประสบการณ์มาก แค่เพียงเห็นสภาพของเธอเป็นแบบนี้ก็ยืนยันทันที
“อาการแพ้ที่สูง! ไปส่งที่สถานพยาบาลเร็วเข้า”
ความจริงแล้วชูหนิงที่เพิ่งจะเป็นลมสลบไปนั้นตอนนี้อาการดีขึ้นเยอะแล้ว เธอได้สติกลับมา อยากจะพูดกับอิ๋งจิ่งว่า ‘ฉันไม่เป็นไร’
แต่เธอกำลังถูกเขาอุ้มโคลงไปเคลงมา แน่นหน้าอกและหายใจสั้นกระชั้น ก็เลยไม่สามารถที่จะเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
ไม่นานนักก็มาถึงสถานพยาบาล เมื่อเธอนอนลงบนเตียงคนไข้แล้วก็ถูกให้น้ำเกลือเพื่อเพิ่มเสริมน้ำแก่ร่างกาย หมอตรวจเช็กอย่างง่ายๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“สาวน้อยคนนี้มีอาการแพ้ที่สูงอย่างร้ายแรงมากทีเดียว เธอเหนื่อยเกินไปใช่ไหมครับ”
อิ๋งจิ่งตอบ “ใช่ครับ วันนี้เธอนั่งรถนานมาก”
“การเดินทางมาที่นี่เส้นทางยากลำบาก อาการแบบนั้นคงจะเพราะเหน็ดเหนื่อยน่ะครับ วางใจได้เลยครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใส่ใจดูแลพักผ่อนสักสองวันก็ดีขึ้น ผมจะจ่ายยาให้นิดหน่อย ส่วนคืนนี้ก็ให้เธออยู่ที่นี่เพื่อให้ออกซิเจนและสังเกตดูอาการก่อน” หมอถามอีกว่า “พวกคุณใครจะมาเป็นคนเซ็นชื่อครับ”
อิ๋งจิ่งรีบบอก “ผมครับ!”
เห็นเขาตะโกนพูดอย่างเต็มเสียง หมอก็ขบขัน “คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอครับ”
อิ๋งจิ่งสายตาจริงจังมองตรงอย่างแน่วแน่ พูดเสียงเรียบว่า “แฟนครับ”
ชูหนิงค่อยๆ หันหน้ามา ได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนปลอกหมอน หัวใจเต้นตึกตักๆ
สิบห้านาทีต่อมาก็จัดการเรื่องเสร็จ อิ๋งจิ่งกลับมาที่ห้องผู้ป่วย
พยาบาลกำลังเปลี่ยนขวดที่ห้อยแขวน ดวงตาดำขลับของชูหนิงกำลังจ้องมองอยู่ ครั้นเห็นอิ๋งจิ่งเข้ามา สายตาของเธอก็มองที่เขา
“ดีขึ้นบ้างไหม” เมื่อพยาบาลไปแล้ว อิ๋งจิ่งก็นั่งลงที่ข้างเตียง ลูบขึ้นลูบลงตามแขนของเธอเบาๆ
ชูหนิงยังครุ่นคิดเรื่องขวดที่ห้อยแขวนอยู่ “เอายาอะไรให้ฉันเหรอ”
อิ๋งจิ่งลุกขึ้นช่วยเธอดูและบอกว่า “ขวดนี้คือน้ำตาลกลูโคส”
ชูหนิงขานเสียงตอบและรู้สึกผ่อนคลายลง
อิ๋งจิ่งหัวเราะ “ยังจะกลัวคนวางยาพิษคุณด้วยเหรอ”
“ตอนที่ฉันเป็นเด็กมีครั้งหนึ่งไข้ขึ้นสูง แม่ฉันพาไปให้น้ำเกลือที่สถานพยาบาล วันนั้นคงจะเป็นพยาบาลที่มาใหม่และคนไข้ก็เยอะด้วย เธอเจาะให้ฉันสุ่มๆ แล้วก็ไปยุ่งจัดการงาน ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเป็นแบบขวดแก้วที่ห่อด้วยตาข่ายสีเขียว ฉันร้องว่าเจ็บอยู่ตลอด ส่วนแม่ฉันก็บ่นฉันว่าแค่เอาเข็มเจาะเท่านั้นเอง ทำไมฉันเป็นคนใจเสาะขี้แยขนาดนี้”
ชูหนิงจ้องมองสารเหลวที่อยู่ในสายสวนกำลังหยดติ๋งๆ พูดเรื่องในอดีตขึ้นมาก็ยังรู้สึกกลัวมาก
“แต่ว่าฉันเจ็บมากนะ อวัยวะภายในร้อนเหมือนกับไฟแผดเผา ฉันทนไม่ไหวจนอาเจียนออกมา แม่ของฉันกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยอยู่กับคนข้างๆ ยังเป็นเพื่อนผู้ป่วยคนอื่นเสียอีกที่สังเกตเห็นฉัน บอกว่า ‘โธ่เอ๊ย แม่หนูน้อยคนนี้ทำไมหน้าขาวซีดขนาดนี้ล่ะเนี่ย’ ภายหลังเมื่อมาดูขวดยาก็พบว่าให้ยาผิด เอายาลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของคนอื่นมาให้ฉัน” ชูหนิงถอนใจพลางพูดว่า “ฉันกลัวการฉีดยาจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าเจ็บนะ เพราะว่ามีความหลังฝังใจไง”
อิ๋งจิ่งจับมือของเธอแน่น โน้มตัวลงมา ดวงตาที่เป็นประกายของเขาจับจ้องมองเธอ “…หนิงเอ๋อร์ คุณทนทุกข์ทรมานแล้วล่ะ”
ชูหนิงใช้มือขวาที่ไม่ได้เจาะเข็มลูบตรงแก้มของเขาเบาๆ ถอนหายใจเป่าลมออกจากปาก “เมื่อก่อนกวนอวี้แนะนำฉันเสมอว่าถ้าหาแฟนอย่าหาคนที่อายุน้อยกว่าเป็นอันขาด ทั้งเปลืองแรงและเหนื่อยใจ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดู ฉันรู้สึกว่าที่เธอพูดก็มีเหตุผล”
อิ๋งจิ่งทำเสียงค้าน และพูดอย่างไม่พอใจมาก “เหตุผลเพี้ยนๆ”
ชูหนิงก็ไม่ได้เห็นพ้องตามเขา ถามกลับไปว่า “ไม่จริงเหรอ”
อิ๋งจิ่งเบะมุมปากนิดหน่อย ก่อนก้มลงมามองและพูดเสียงเบาว่า “ผมมันแย่มากเลยใช่ไหม”
ชูหนิงทำท่าทางบอกให้เขาพูดต่อ
“ผมไม่ใช่ผู้ใหญ่ ผมไม่เข้าใจงานของคุณ ไม่สามารถแบ่งเบาแก้ปัญหาคลายความกังวลให้คุณได้ และยังทำให้คุณไม่พอใจอยู่บ่อยๆ” เสียงของอิ๋งจิ่งค่อยๆ เบาลง
ชูหนิงยิ้ม “ใช้ได้แล้วนะ รวมๆ คือนายดีมากแล้วล่ะ”
อิ๋งจิ่งก้มศีรษะลงอีกครั้ง ความรู้สึกผิดยิ่งอัดแน่นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
“หนิงเอ๋อร์” เขาเรียกชื่อของเธอ ภายในใจเจ็บปวดเศร้าโศกยากเกินที่จะพูดออกมา ทั้งทุกข์ทน พ่ายแพ้ หมดหวัง ไร้สิ้นเรี่ยวแรง “ผมรู้ว่าคำพูดนี้ออกจะไม่เอาไหน ไม่ค่อยสมกับเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อผมเผชิญหน้ากับคุณ ช่างไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเอาเสียเลย คุณทั้งสวย เก่ง แวดวงสังคมในชีวิตคุณก็สูงส่งยิ่งใหญ่ ส่วนผมน่ะเป็นแค่นักศึกษาที่ยากจนคนหนึ่ง อนาคตยังไม่มีความแน่นอนชัดเจน ในตอนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีสถานะปานกลาง ผมชอบคุณนะ ชอบมากๆ เวลาที่ไม่มีคุณอยู่ก็รู้สึกไม่ชอบใจ กว่าจะเจอคนที่รักได้ช่างยากเย็นขนาดไหน การจะรักใครสักคนหนึ่ง คงเป็นใครก็ได้ แต่คุณก็คือคนคนนั้นที่ผมรัก”
ขณะที่พูดๆ อยู่ เบ้าตาของอิ๋งจิ่งก็เริ่มแดงเรื่อ เขาจับมือของเธอมาวางไว้ที่ริมฝีปากแล้วประทับจูบอย่างแผ่วเบา
“แม้ว่าตอนนี้คุณจะเป็นแฟนผมแล้วก็ตาม มีบางครั้งที่ผมก็ฝัน ในความฝันคุณเป็นเหมือนผีเสื้อที่กระพือปีกโบยบินไปยังดวงตะวัน ผมร้องไห้ไล่ตามไป ตะโกนร้องแหกปาก แต่คุณก็ยังโบยบินไป แล้วก็ไม่หวนคืนกลับมาอีกเลย”
เขาสูดจมูก การแสดงความอ่อนแอเช่นนี้เป็นความจริงใจและความตรงไปตรงมาที่สุดของเขา
“เมื่อก่อนผมไม่เคยเป็นแบบนี้ หลังจากที่ผมเจอคุณแล้ว ผมหมดสิ้นความมั่นใจในตัวเอง ผมไม่คู่ควรกับคุณ ผมกลัวคุณไม่ต้องการผม ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งวุ่นวายใจเท่านั้น คะ…คุณ…คุณเข้าใจบ้างไหม”
เขาพูดจาละล่ำละลักเล็กน้อยพลางส่ายหัว
แต่ว่าชูหนิงเข้าใจที่เขาพูด
เธอจับมือตอบเขา ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนัก แต่อุณหภูมิของฝ่ามือปลอบประโลมเขาได้มากทีเดียว เงียบสงบ ไร้สุ้มเสียงใด ทว่าบรรยากาศกลับให้ความเป็นมิตรและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
ชูหนิงเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “นายดีมากแล้วนะ อายุน้อย เฉลียวฉลาด เรียนเก่ง มีอุดมการณ์ มีจิตใจโอบอ้อม มีความกระตือรือร้น และยังจิตใจดี นายใสซื่อบริสุทธิ์และเรียบง่าย อยู่ด้วยกันกับนาย ฉันไม่ได้ต้องการอะไรอีก ฉันมีความสุขมากนะ”
อิ๋งจิ่งกะพริบตาแล้วเอ่ยถาม “จริงเหรอ”
“จริงสิ”
มุมมองทัศนคติของชูหนิงมีแต่ชุดหลักการของตัวเอง ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร สิ่งใดสามารถสู้ได้ เรื่องอะไรที่ไม่สามารถรับมือถูไถได้ เธอมองเห็นและรู้ชัดเจนแก่ใจดี
“บนโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ต่อให้แสดงออกอย่างสวยงามเลิศเลอไร้ที่ติแค่ไหนก็เป็นคนสามัญธรรมดาที่ต้องใช้ชีวิตแบบพื้นฐานทั่วไป บริโภคพืชพรรณธัญญาหารไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ คนแบบนายน่ะดีมากแล้วนะ มีข้อบกพร่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา นายดื้อรั้นได้เลย ฉันยินดีที่จะตามใจนาย”
ที่ชูหนิงต้องการก็แค่คนธรรมดาที่เรียบง่าย
เขาไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำเป็นวางมาด ไม่จำเป็นต้องคิดวางแผนปองร้ายใคร เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น ประสบการณ์ชีวิตของเธอเติบโตมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ พ่อผู้ให้กำเนิดจากไปก่อนวัยอันควร ขาดความรักจากพ่อ ส่วนผู้เป็นแม่ที่ขี้ขลาดพึ่งพาคนอื่นตลอดชีวิตนั้นได้แต่สั่งสอนสิ่งที่เป็นเงาของตนเองให้กับเธอ วิธีการใช้ชีวิตในสังคมก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่แปดเปื้อนทักษะเล่ห์กลเหล่านั้น ภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็ตรากตรำฝึกฝนทำงานในสังคม เริ่มต้นทำธุรกิจ รักษากิจการ ยุ่งจัดการงานตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืน กลายเป็นคนที่สับสนและเลื่อนลอยไปเลย
อิ๋งจิ่งก้มหน้าลงซุกดวงตาอยู่ในฝ่ามือของเธอ
ไม่นานนักชูหนิงก็รู้สึกถึงกระแสความร้อนที่ค่อยๆ หลั่งรินลงมา
เธอไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดจา เธอต้องการสัมผัสรับรู้ความรู้สึกในใจที่เผยออกมาอย่างเงียบเชียบให้เต็มที่
ทว่าผ่านไปไม่นานอิ๋งจิ่งก็เอียงศีรษะกลับมามองเธออีกครั้ง ยังคงมีร่องรอยเปียกชื้นตรงหางตา เขาพูดเสียงอู้อี้
“ผมเจอกับถังเย่ามาทั้งหมดสามครั้ง เขาเหมือนหนิวผีถังที่คอยทำตัวตามติดไม่ยอมปล่อย ทำให้ผมไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างเขาได้เลย”
ชูหนิงเข้าใจ จนถึงตอนนี้เธอกับอิ๋งจิ่งก็พูดจากันอย่างซื่อสัตย์จริงใจกันจริงๆ ได้เสียที
เธอยิ้ม “แน่นอนสิ อีกฝ่ายเป็นใครกันล่ะ ถ้าอยากจะทำอะไรแล้ว สามารถคิดเหตุผลได้นับหมื่น”
อิ๋งจิ่งไม่สนใจไยดี “ผมไม่ชอบคนแบบนี้ สร้างความกดดันให้คนอื่นเกินไป ทะนงตนอย่างกับอะไรดี ไม่ว่าอะไรก็มั่นหมายจะต้องเอามาให้ได้”
“เขามีข้อได้เปรียบ เทียบกันแล้วคนอย่างฉันไม่มีค่าที่จะต้องพูดถึงเลยสักนิด”
“เหลวไหล ผมว่าคุณเยี่ยมยอดที่สุดแล้วล่ะ” อิ๋งจิ่งพูดอย่างไม่มีปิดบัง “ประธานถังเสนอเงื่อนไขที่น่าดึงดูดจริงๆ แต่เขายืนกรานที่จะเป็นผู้ลงทุนแต่เพียงผู้เดียว ทั้งหมดนั้นผมไม่เคยตกปากรับคำมาตลอด ที่ผมไม่บอกคุณก็ไม่ใช่ว่าจงใจที่จะไม่บอก แต่ผมกลัวคุณคิดมาก เพื่อลดปัญหาที่ยุ่งยากลงไป ผมแค่อยากทำให้มันผ่านไปได้ด้วยตัวผมเอง”
สายตาของอิ๋งจิ่งจับจ้องเวียนวนอยู่ที่ใบหน้าของเธอ มองแล้วมองอีก “เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละ” เขาหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง “…คุณกลอกตาใส่ผมทำไมน่ะ”
ชูหนิงอดไม่ไหวที่จะยกมือขึ้นมา ดีดใส่ที่หน้าผากของเขาอย่างแรง “เหนื่อยหรือเปล่าเนี่ย”
อิ๋งจิ่งทำแก้มตุ่ย “ตอนนั้นกลัวว่าจะทะเลาะกับคุณไม่ใช่เหรอ ไม่คิดว่าจะเป็นการยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง*”
เนิ่นนานผ่านไปชูหนิงถอนหายใจออกมา
“ฉันไม่ได้ซื่อบื้อนะ ฉันเองก็รู้จักตัวเองดี ข้อได้เปรียบในธุรกิจของฉันแต่เดิมก็ไม่ได้คร่ำหวอดอยู่ในสายนี้ ศักยภาพที่มีไม่อาจเทียบเท่าความทะเยอทะยาน แต่นายน่ะ นายคู่ควรเหมาะสมกับเวทีที่กว้างใหญ่กว่านี้”
อิ๋งจิ่งสับสน ขยับปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะเอ่ยอะไรแต่กลับไม่ได้พูดออกมา
“ว่ากันตามตรงแล้ว บริษัทหมิงเย่าเคอช่วงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนายในตอนนี้จริงๆ ไม่สิ แม้กระทั่งในอนาคตด้วย” ชูหนิงเองก็พูดอย่างจริงใจเช่นกัน ประเด็นที่พูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นความหวังดีกับอิ๋งจิ่งอย่างแท้จริง
ร่างกายเธอยังอ่อนเพลีย ครั้นพูดจานานๆ ก็เกิดอาการหอบหายใจไม่ทันอีกครั้ง เธอลดเสียงเบาลงบ้าง “นับแต่ที่ฉันอายุยี่สิบหกปีมานี้ นายเป็นคนที่ฉันวางเดิมพันเอาเงินทุนที่สะสมมาอย่างยากลำบากลงทุนด้วยมากที่สุด ไม่สิ ไม่ใช่การวางเดิมพัน” เธอพูดแก้ให้ถูกต้อง เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เป็นความแน่นอน”
ในชั่วขณะนี้อิ๋งจิ่งฟังแล้วรู้สึกมีความสุขเต็มเปี่ยม
“ถ้าหากมีองค์กรธุรกิจที่เหมาะสมหยิบยื่นโอกาสให้นาย ฉันหวังว่านายจะพิจารณามันอย่างจริงจัง หนทางนี้มีความยากลำบากมาก ฉันหวังว่าจะมีคนที่คุ้มกันปกป้องนายได้มากกว่านี้”
ในค่ำคืนนี้ แม้จะอยู่ในสถานที่ที่ไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เท่าไหร่นัก ไม่มีคำพูดสาธยายร่ายยาว ไม่มีคำมั่นสัญญาที่องอาจห้าวหาญ แต่ทั้งสองคนซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน เป็นการก้าวไปข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
อิ๋งจิ่งไม่อาจทนเห็นเธอพูดจานานๆ ได้ น้อยครั้งที่จะฝืนบังคับสั่งให้เธอนอน
อาการแพ้ที่สูงเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดมาก ชูหนิงเองก็ไม่ได้ฝืนทน เธอหลับตาลงแล้วก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเธอหลับลึกแล้ว อิ๋งจิ่งจึงได้ไปหาพยาบาลเพื่อขอยืมเก้าอี้พับสำหรับเอนนอนตัวหนึ่งมาวางตั้งที่ข้างเตียงอย่างเบาไม้เบามือและเฝ้าเธออยู่ตลอดทั้งคืน
วันต่อมาชูหนิงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
หมอบอกว่าจะจ่ายยาให้นิดหน่อยเพื่อเป็นการเตรียมป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ทีหลัง อิ๋งจิ่งไปเอายากลับมาก็เห็นเธอนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง กำลังแชตคุยด้วยข้อความเสียงในโทรศัพท์มือถือ
“ที่นี่ทิวทัศน์สวยมากจริงๆ นะ ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นท้องฟ้าครามขนาดนี้เลย นั่นแหละ ปักกิ่งจะไปเทียบได้ไงล่ะ”
“เจอเขาแล้ว กำลังทำอะไรอยู่? ความลับ ฮ่าๆๆ”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นช่างผ่อนคลายสบายๆ เป็นความสุขที่ออกมาจากใจจริง
อิ๋งจิ่งนั่งลงตรงขอบเตียงติดกับเธอ ชะโงกคอเหลือบดู “นี่คุยกับใครเหรอ”
ชูหนิงจงใจเอาหน้าจอหลบ ทำตากะพริบด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “แฟนเก่าน่ะ”
“งั้นผมต้องดูหน่อยแล้วว่าหล่อเท่าผมหรือเปล่า!”
“ต๊ายตาย” ชูหนิงพูดแบบรังเกียจสุดๆ “เมื่อก่อนทำไมดูไม่ออกเลยนะว่านายจะหลงตัวเองได้ขนาดนี้”
“แบบผมนี่เรียกว่ามั่นใจในตัวเองต่างหากล่ะ เป็นรุ่นพี่ที่หล่อที่สุดที่เด็กปีหนึ่งเลือกโหวตให้ คะแนนโหวตของผมเป็นอันดับหนึ่งเลยนะ”
ชูหนิงอารมณ์ดี เธอวางโทรศัพท์มือถือลง เอามือสองข้างจับหน้าเขาดูซ้ายทีขวาที “ไม่ขนาดนั้นมั้ง ก็ไม่ได้จะดูดีมากนักหรอกนะ”
อิ๋งจิ่งพลิกมือโต้กลับกัดเข้าที่หลังมือของเธอ ทิ้งรอยฟันไว้ยาวเป็นแนวกำลังดี
ชูหนิงแผดเสียงดังลั่น “เจ้าหมาอิ๋ง!!”
อิ๋งจิ่งยักคิ้วอย่างรวดเร็วแล้วจูบที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง
ชูหนิงอายจนแก้มร้อนผ่าวนิดหน่อย “เจ้าหมา”
เขาจูบอีกครั้ง
“…หน้าไม่อาย”
อิ๋งจิ่งกดที่ท้ายทอยของเธอทันที คราวนี้ลงมือเอาจริง จูบแบบดุนลิ้นเข้าไป
ชูหนิงใจเต้นแรง ลมหายใจของทั้งคู่นัวเนียกันแทบร้อนระอุ
ต้องบอกเลยว่าสกิลการจูบของหมอนี่พัฒนารวดเร็วเกินไปแล้ว
ในเวลานี้เองมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองที
ชูหนิงผลักเขาออกทันทีแบบตกใจสุดขีด
พี่เหรินมาหาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ ยิ้มตาหยีพร้อมกับชะโงกศีรษะเข้ามาจากช่องประตู “เป็นยังไงบ้าง เพื่อนพ้องน้องพี่ ร่างกายสบายดีขึ้นบ้างหรือยังครับ”
ชูหนิงพยักหน้า ยิ้มให้อย่างสุภาพ “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ”
พี่เหรินมองอิ๋งจิ่ง ก่อนจะทักเขาว่า “เสี่ยวจิ่ง หน้าตานายดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นะ อึดอัดมวนท้องเหรอ งั้นเดี๋ยวให้หมอจ่ายยาระบายถ่ายท้องให้นายหน่อยแล้วกัน”
อิ๋งจิ่ง “…”
ชูหนิงส่งเสียงหัวเราะออกมา
เขาทักท้วงพูดงึมงำ “ผมไม่ได้ท้องผูกนะ”
แอบคิดเงียบๆ ในใจอีกว่า กำลังมีเรื่องราวดีๆ ดันถูกขัดจังหวะ เป็นคุณคุณจะดีใจไหมล่ะ
เสร็จจากเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว อิ๋งจิ่งก็ขอลาหยุดกับทีม หลังจากนั้นก็พาชูหนิงไปเที่ยวเล่นบริเวณรอบๆ ส่วนพี่เหรินเองก็ช่างใส่ใจมาก คิดถึงว่าเด็กสองคนจะขอติดรถคนอื่นไปคงไม่สะดวก เลยจัดการเหมารถตู้ให้พวกเขาเป็นการเฉพาะ
“ขับแก้ขัดไปนะ อยากไปที่ไหนจะได้สะดวกหน่อย”
รถหน้าอ้วนคันสีขาว ปักธงชาติดาวแดงไว้ด้านบน
อิ๋งจิ่งสะบัดกุญแจรถก่อนจะพูดว่า “ผมขับนะ”
ชูหนิงไม่วางใจ ถึงยังไงเขาก็เพิ่งจะได้ใบขับขี่มาไม่นาน “ถนนหนทางที่นี่ขับยากนะ ให้ฉันขับเถอะ”
อิ๋งจิ่งเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง พูดอย่างมั่นใจในตนเองมาก “ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ทักษะการขับรถของผมพัฒนาขึ้นมากแล้วล่ะ เวลาที่พี่เหรินว่างๆ ก็พาผมขึ้นไปบนเขา ปล่อยให้ผมขับไปเรื่อยเปื่อย”
เรื่องของเทคนิคก็เป็นแบบนี้แหละนะ ต้องขับขี่ให้มาก ฝึกฝนให้มาก ฝึกฝนความกล้าให้มากเข้าไว้ก็จะสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง
ตอนแรกชูหนิงยังคงเป็นกังวล แต่พอเห็นเขาผ่านโค้งหักศอกหลายรอบติดกันได้อย่างเรียบร้อยดี เธอก็ค่อยๆ คลายใจลงได้
เธอถาม “เราจะไปไหนกัน”
“หุบเขาสาวงาม* เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่ ห่างจากตรงนี้ราวสองชั่วโมงกว่าๆ จะพาคุณไปเดินเล่นนะ”
“หุบเขาสาวงามเหรอ แล้วไม่มีหมู่บ้านหนุ่มหล่อบ้างเหรอ”
อิ๋งจิ่งพูดพลางขำ “จะไปมีได้ไงล่ะ”
ชูหนิงยิ้มจนตาหยี เปล่งประกายเหมือนมีแสงตะวันส่องจ้าอยู่ภายใน
ท้องฟ้าคราม ทิวทัศน์สวยงาม กำลังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ปรากฏภาพงดงามหลากสีสันที่เสฉวนและทิเบต
จู่ๆ อิ๋งจิ่งก็จอดรถที่ริมข้างทาง
ชูหนิงไม่เข้าใจ “ทำอะไรเหรอ”
เขาหันหน้ากลับมา กดท้ายทอยของเธอโดยที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เกิดอาการร้อนรนทนไม่ไหวจูบเธอทันที
“อือ…” คนคนนี้ทำไมชอบเอาแต่จะกินลิ้นคนอื่นเขาเรื่อยเลยนะ
จูบในตอนนี้แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งและรุนแรงจนเธอไม่อาจทัดทานได้
อิ๋งจิ่งทนไม่ไหวอีกแล้ว สัมผัสเข้าไปในชายเสื้อของเธออย่างร้อนรน ผิวที่ละเอียดอ่อนตรงเอวช่างให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างชัดเจน เขายังคงจดจำได้ว่าตำแหน่งที่เหนือขึ้นไปสามนิ้วเมื่อคืนนั้นมันช่างเย้ายวนทำให้คนไม่อาจหักห้ามใจได้ขนาดไหน
ชูหนิงหอบหายใจ หน้าตากล้ำกลืนฝืนทน
อิ๋งจิ่งยังคิดพะวงเรื่องอาการแพ้ที่สูงของเธอ ครั้นรู้ถึงความร้ายแรง เขาก็พลันถอยออกไปและคลายมือออกทันที ก่อนจะลูบหลังของเธอ
“หนิงเอ๋อร์ ยังทนไหวใช่ไหม”
ชูหนิงเม้มริมฝีปาก มองเขาด้วยสายตาหงุดหงิดโมโห “นายอย่าทำอะไรซี้ซั้วอีก”
อิ๋งจิ่งยกมือทำท่ายอมแพ้ “ครับๆๆ จะทำตัวว่าง่ายทั้งวันเลย โอเคไหม”
รถตู้ขับมุ่งหน้าต่อไป
อิ๋งจิ่งแอบมองชูหนิงอยู่เรื่อยๆ
ชิ แฟนเรานี่มันสวยมากจริงๆ!
ใกล้เที่ยง ทั้งสองคนก็มาถึงที่หุบเขาสาวงาม สภาพพื้นที่แห่งนี้เป็นถิ่นทุรกันดารซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่กี่ปีมานี้ได้รับการสนับสนุนและพัฒนา หมู่บ้านชาวทิเบตนับไม่ถ้วนเป็นจุดเด่นของที่นี่ ภูเขาหิมะที่มีหมอกขาว แสงอาทิตย์ที่ผ่องแผ้ว หินมรกตในบ่อน้ำใสเหมือนหลับใหลอย่างสงบ
สิ่งที่เป็นความงดงามมิใช่มนุษย์ ทว่าเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่โลกได้มอบให้ไว้
แม้ว่าอุณหภูมิที่นี่จะไม่ได้สูงมากนัก แต่รังสีอัลตราไวโอเลตช่างรุนแรง อิ๋งจิ่งซื้อผ้าคลุมไหล่จากชาวทิเบตที่อยู่ริมทางให้ชูหนิง เอาผ้าพันห่อเธออย่างแน่นหนามิดชิด ทั้งยังสวมแว่นกันแดดให้อีกอัน
“อย่าโดนแดดเผาเอานะ”
สายตาเขาคอยจดจ่อ เคลื่อนไหวอย่างบรรจง จับจ้องมองเขม็งอยู่ที่หน้าอกของเธอ
ชูหนิงจงใจขยับไปข้างหน้าเข้าไปถูไถอยู่ใกล้ๆ อิ๋งจิ่งสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาดำขลับจ้องมองเธอ ชูหนิงเลิกคิ้วแล้วหันไปดูทิวทัศน์อีกด้านหนึ่ง ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
…เป็นผู้หญิงที่ร้ายจริงๆ
สำหรับที่เสฉวนและทิเบตไม่จำเป็นต้องเจาะจงไปยังจุดชมวิวสำหรับการท่องเที่ยวอะไรเลย เพียงแค่เดินออกไปข้างนอก ทุกแห่งหนล้วนเป็นแดนสวรรค์
ทีแรกชูหนิงอยากจะพกเอากล้องมาถ่ายรูปด้วย โชคดีที่ไม่ได้เอามา กล้องนั้นหนักเทอะทะ ถ่ายโดยใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ละรูปที่ได้ก็เป็นภาพไฟล์ขนาดใหญ่แล้ว
ทั้งสองคนเดินๆ ดูๆ กันไปจนถึงในหมู่บ้านทิเบตแห่งหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่อาศัยที่นี่ค่อนข้างรวมกลุ่มกัน มีกลิ่นอายแห่งชีวิตค่อนข้างเข้มข้น และยังมีการตากข้าวบาร์เลย์ไว้บนพื้นด้วย
ชูหนิงชี้ไปตรงที่ที่หนึ่งแล้วถามว่า “นี่คืออะไร”
อิ๋งจิ่งนั่งยองๆ หยิบขึ้นมาบี้ดูนิดหน่อยก่อนจะตอบ “ผลมะเดื่อตากแห้ง”
“ทานได้ไหม”
“แน่นอน ถึงที่นี่จะเป็นเขตพื้นที่ราบสูง แต่ก็สามารถผลิตพวกแอปเปิ้ล เชอรี่ป่า อะไรทำนองนั้นได้ ปราศจากสารพิษปนเปื้อน น้ำหวานฉ่ำ คุณดูผลมะเดื่อนี่สิ ให้รสชาติฝาดหอมมากเลย”
อิ๋งจิ่งเหลือเศษเล็กๆ อยู่ในมือและลองลิ้มชิมรส “ใช้ได้เลยจริงๆ”
ชูหนิงคิดขึ้นได้ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งเครียด “หยุดทานเดี๋ยวนี้นะ!”
“ทำไมเหรอ”
“นายไม่เห็นแผ่นหินจารึกตรงทางเข้าหมู่บ้านเหรอ บนนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าอย่าทานซี้ซั้ว ถ้าทานของบ้านใครเข้าไปก็จะต้องเป็นลูกเขยของบ้านเขานะ!”
อิ๋งจิ่งหน้าตางุนงง “…มีเขียนด้วยเหรอ”
“มี!”
“แต่เมื่อกี้ผมไม่เห็นแผ่นหินจารึกอะไรเลยนะ”
“นายซื่อบื้อเหรอ” ชูหนิงพูดด้วยเหตุผลฉะฉาน “ฉันบอกว่ามีก็มีไง นายดูคนบ้านนี้สิ” เธอยังเชิดคางไปทางราวตรงหน้าต่างของบ้านหนึ่งอย่างสมจริงสมจัง “เห็นหรือเปล่า พ่อตากำลังยิ้มกับนายอยู่ตรงนั้นนะ”
สายตาอิ๋งจิ่งมองสูงขึ้นไปตามที่เธอพูด ที่ชั้นสองของบ้านหลังนี้มีคุณปู่ชาวทิเบตคนหนึ่งยิ้มให้พวกเขาอยู่จริงๆ
ครั้นสบสายตากัน ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมา เพียงแต่ว่าเป็นภาษาทิเบต พูดยาวพรืดเป็นชุด ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
ชูหนิงสงบนิ่งมาก เข้าไปพูดใกล้ๆ ข้างหูอิ๋งจิ่งว่า “ฉันจะแปลให้นายฟังนะ เขาพูดว่าไม่เลวเลย เจ้าหนูคนนี้หน้าตาดูดี มือยาวขายาว เป็นเด็กหนุ่มที่สามารถทำงานเพาะปลูกได้ดี เอาเธอนี่แหละ! จัดงานมงคลสมรสคืนนี้เลย!”
อิ๋งจิ่งทนไม่ไหวกลอกตาใส่ ก่อนจะหัวเราะ “โอ้ คุณเข้าใจภาษาทิเบตด้วยเหรอเนี่ย”
ชูหนิงพยักหน้าระรัว “เรียนด้านนี้เองแบบที่ไม่มีอาจารย์สอนน่ะ ถ้าอย่างอื่นก็ไม่ได้แล้วล่ะ”
พอเลย พูดจาเหลวไหลไร้สาระด้วยท่าทีขึงขังจริงจังเชียว
ในสายตาของอิ๋งจิ่งเต็มไปด้วยความรักความเอาใจ เขาลูบเส้นผมของเธอเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดก็มีเสียงดังมาจากข้างหน้า ทั้งสองคนหันกลับไปพร้อมกัน ทันทีที่เห็น…
โห! มีหญิงสาวราวห้าหกคนกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม
อิ๋งจิ่งขมวดคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “มีธรรมเนียมแบบนี้จริงเหรอเนี่ย ครอบครัวเขามีพี่สาวน้องสาวห้าคนงั้นเหรอ คนไหนถูกใจฉันกันนะ”
ชูหนิงที่เมื่อครู่นี้ยังทำท่าทีตื่นตกใจคึกคักสุดๆ ตอนนี้กลับนิ่งเงียบสนิทเสียแล้ว
เธอจ้องมองหญิงสาวกลุ่มนั้น สีหน้าท่าทางบอกไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์ไหน แต่น่าจะเป็นความกังวล เอานิ้วแกะเกาอยู่ในอุ้งมือของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ทว่าอิ๋งจิ่งกลับมีความสนใจขึ้นมา “ใช้ได้เลยนะ หน้าตาสวยจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ชูหนิงพลันคว้ามือของเขา หันหลังวิ่งออกไปทันทีโดยไม่มีคำพูดจาใดๆ
เธอเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจนอิ๋งจิ่งโซเซแทบจะหกล้ม “เฮ้! เฮ้! ช้าๆ หน่อย!”
วิ่งเหมือนกับว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ด้านหลัง ชูหนิงกลั้นหายใจ พาเขาวิ่งออกห่างจากหมู่บ้านที่มีรั้วรอบแห่งนี้ ครั้นวิ่งมาหยุดอยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง คราวนี้ชูหนิงถึงได้ปล่อยเขา เอามือสองข้างวางบนหัวเข่าพร้อมหอบหายใจเฮือกใหญ่
อิ๋งจิ่งขำแทบบ้า “ทำไมเนี่ย คุณวิ่งหนีอะไรของคุณน่ะ”
ชูหนิงขึงตาใส่เขา “นายยังจะกล้ามาพูดอีกนะ!”
อิ๋งจิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ปรักปรำกันแล้วนะคุณผู้หญิง! คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเขาถูกใจผมน่ะ จะพาผมกลับไปเป็นลูกเขยในหมู่บ้านไม่ใช่เหรอ”
“แหวะ ใครเขาถูกใจนายกันล่ะ”
พอที กลับลำพูดแย้งได้หน้าตาเฉย พูดแบบไม่มีเหตุผล เถียงข้างๆ คูๆ ได้หมด
อิ๋งจิ่งสัมผัสใบหน้าของเธอที่กำลังโมโห “คุณถูกใจผมไง”
ชูหนิงเบือนหน้าไป ไม่ได้พูดตอบ แต่หันหลังให้เขา อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
ห่างออกไปไม่ไกล ธงมงคลของทิเบตที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีโบกไสวพลิ้วไปกับสายลม ธงสีน้ำเงินอยู่ข้างบน ธงสีเหลืองอยู่ข้างล่าง สำหรับผู้ที่มีความเชื่อแล้ว ทุกคราวที่ธงพลิ้วปลิวไสวล้วนเป็นการสวดมนต์อธิษฐานขอพรสำเร็จหนึ่งหน
อิ๋งจิ่งจูงมือชูหนิง พาเธอเดินไปข้างๆ
ที่ตรงนี้อยู่ใกล้กับยอดเขา มีลมภูเขาลอดผ่านทั่วทุกสารทิศ ฟ้าและดิน จิตและวิญญาณ ความรักและความเกลียด คล้ายกับว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพียงอยู่เบื้องหน้าคลื่นกระแสธารแห่งขุนเขาและธาราอันกว้างใหญ่ไพศาล มนุษย์จึงจะสามารถรู้สึกได้ว่าเรื่องราวบนโลกล้วนมิได้ควรค่าให้ต้องกล่าวถึง แค่ปล่อยไปตามหัวใจ ตามความต้องการ มีอิสรเสรีก็ดีแล้ว
อิ๋งจิ่งพนมมือสิบนิ้ว หลับตาตั้งจิตศรัทธา ขอพรกับธงมงคลของทิเบต
ชูหนิงไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ ทว่าก็ไม่ได้รบกวนเขา เดินไปอีกด้านหนึ่งแล้วยืนเอียงตัวพิงกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจุดสูบ
ลมแรงมาก ควันบุหรี่ถูกลมพัดสลายไป
เธอใส่แว่นกันแดด ทอดมองภูเขาและแม่น้ำไกลๆ ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
ไม่นานนักอิ๋งจิ่งก็เดินเข้ามาหา หยิบบุหรี่ในมือของเธอไปแล้วพูดอย่างไม่พอใจนัก “สูบบุหรี่ให้น้อยหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ดับมันแล้วเอาก้นบุหรี่ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง
ชูหนิงมองเขาอยู่และเอ่ยถามว่า “เมื่อกี้นายขอพรอะไรเหรอ”
น้อยนักที่อิ๋งจิ่งจะเงียบไม่พูดจา หลังผ่านไปสักพักก็พูดขึ้นว่า “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”
ไม่ถามเสียก็คงดี เขาเริ่มพูดขึ้นต้นมาแบบนี้กลับเรียกความสนใจของชูหนิงเข้าจนได้
เธอถอดแว่นกันแดดออก ยิ้มหรี่ตามองแล้วสบตากับเขา
สายตาของอิ๋งจิ่งไร้ซึ่งอารมณ์สะทกสะท้าน มองเธอพร้อมกับพูดว่า “ไม่ได้ขอพรหรอก…ก็แค่ถามพระผู้เป็นเจ้านิดหน่อยว่าเมื่อไหร่ผมกับคุณจะได้ร่วม…”
รักกัน
หน้าตาชูหนิงสะดุ้งเล็กน้อย หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ค่อยๆ หันหน้ากลับไป ใส่แว่นกันแดดอีกครั้งด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ
…ช่างกดดันมาก
* ยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง เปรียบเปรยว่าเดิมทีคิดจะทำร้ายคนอื่น แต่ผลนั้นกลับย้อนมาทำร้ายตัวเอง หรือทำในสิ่งที่เป็นการทำร้ายตัวเอง
* หุบเขาสาวงาม หรือเหม่ยเหรินกู่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อในตันปา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.