X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 4 บทที่ 105-106

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 105

ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด หลีซูซูค่อยๆ ตระหนักถึงข้อดีของการล้างกระบี่

เคล็ดกระบี่เหิงหยางเด็ดขาดเฉียบคม เน้นความกล้าหาญ เคล็ดกระบี่ชิงหงกลับเน้นทำความเข้าใจเจตจำนงของกระบี่ กระบี่ในมือนางที่บางดุจปีกจักจั่นสั่นรัว ความรู้สึกลึกล้ำบางอย่างถูกถ่ายทอดเข้ามา

นี่คือเจตจำนงกระบี่หรือ

ว่ากันว่าเคล็ดกระบี่ชิงหงหากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด เจ้าของกระบี่จะสามารถสื่อสารกับกระบี่ได้ วันใดวันหนึ่งข้างหน้าไม่แน่อาจสามารถบ่มเพาะวิญญาณกระบี่ขึ้นมา

นางเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อตระหนักถึงเคล็ดลับบางอย่าง ก็ไม่ต่อต้านการล้างกระบี่อีก ไม่ต้องให้ชังจิ่วหมินคอยชี้แนะก็เป็นฝ่ายตั้งใจล้างกระบี่เอง

นางล้างกระบี่อยู่ริมสระ ชังจิ่วหมินนั่งขัดสมาธิมองนางอยู่ใต้ต้นไม้

เดิมทีหลีซูซูคิดว่าตนเองต้องถูกขังอยู่ในสระล้างกระบี่นานมาก คิดไม่ถึงว่าเพียงเดือนกว่าชังจิ่วหมินก็ปล่อยนางออกจากสระล้างกระบี่แล้ว

เมื่อออกไปจึงรู้ว่าไฉ่ซวงเนื่องจากไอเย็นในบ่อโยวปิงเข้าสู่ร่างกาย ถูกทรมานแทบตายทั้งเป็นไม่กี่วันก่อนถูกประมุขตงอี้พาตัวไปแล้ว เปรียบเทียบกัน หลีซูซูกลับยังกระโดดโลดเต้นได้ ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

ศิษย์สำนักเผิงไหลพบหลีซูซูแล้วยังคารวะนางด้วยความเกรงใจ หลีซูซูถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ตนถีบไฉ่ซวงกลับลงไปในบ่อโยวปิงอีกครั้งในวันนั้นมิได้แพร่ออกไป

พอพบเจอลูกศิษย์ที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นและโมโหนาง สีหน้าของพวกเขากลับฉายแววหลบเลี่ยง เห็นหลีซูซูก็ประสานมือคารวะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หืม? ศิษย์สำนักเผิงไหลเป็นมิตรถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

ผ่านไปไม่กี่วัน ตอนอยู่ในป่าซิ่งมีศิษย์ชายผู้หนึ่งหน้าแดงเอ่ยปากเชิญหลีซูซูไปชมการแลกเปลี่ยนวิชาของศิษย์สำนักเผิงไหล

หลีซูซูคิดในใจ หากกราบอาจารย์สำเร็จ คงย่อมต้องอาศัยอยู่ในแดนเผิงไหลอีกนาน การสานสัมพันธ์กับคนในสำนักไว้ก่อนเป็นเรื่องจำเป็น

นางจึงตอบรับคำเชิญของเขาด้วยความยินดี

ศิษย์ชายผู้นั้นอ่อนน้อมมีมารยาท ทั้งยังเขินอายเล็กน้อย ยิ้มแย้มพูดคุยกับหลีซูซูตลอดทาง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันออกจากป่าซิ่ง หักเลี้ยวแล้วจะพบกับชังจิ่วหมินที่ตีหน้าเย็นชาเสียก่อน

ศิษย์ชายเปลี่ยนท่าทีเป็นสำรวมทันใด รีบเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะอาจารย์อาจิ่วหมิน”

สายตาของชังจิ่วหมินกวาดผ่านหลีซูซูไปหยุดอยู่ที่ศิษย์ชายผู้นั้น

“เจ๋อตวน ศิษย์คนอื่นๆ ต่างฝึกกระบี่เตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบ แต่เจ้ากลับเห็นการทดสอบเป็นเรื่องเล่นๆ เช่นนี้หรือ”

เจ๋อตวนได้ยินน้ำเสียงเคร่งขรึมเย็นชาของเขาก็รู้ว่าอาจารย์อาจิ่วหมินโมโหแล้ว

การทดสอบในแดนเผิงไหลที่จัดขึ้นทุกสิบปี ลูกศิษย์ทุกคนล้วนต้องเข้าร่วม จากนั้นผู้ชนะจะต้องต่อสู้กับเจ้ากระบี่คนก่อน หากขายหน้าในการทดสอบ มิเพียงเป็นการทำให้อาจารย์เสียหน้า ยังต้องถูกลงโทษเพราะความเกียจคร้านอีกด้วย

เจ๋อตวนรีบอธิบาย “ขอเรียนอาจารย์อาจิ่วหมินว่าช่วงนี้ศิษย์ฝึกฝนกระบี่อยู่ตลอดเวลาขอรับ”

บนเกาะเผิงไหล ทุกคนต่างกลัวอาจารย์อาจิ่วหมินที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้ เจ๋อตวนก็ไม่เว้น

หลีซูซูเห็นดังนั้นจึงรีบพยักหน้า พูดแทนเจ๋อตวนว่า “เขาพูดมิผิด เขาไม่ได้ละเลยการฝึกฝน”

เดิมทีเจ๋อตวนเห็นว่าท่านเซียนหรงขุยยังไม่ออกจากการเก็บตัว เกรงว่าตนอยู่ในเผิงไหลจะรู้สึกเบื่อ จึงมาเชื้อเชิญด้วยความหวังดี ตอนนี้เขาหน้าซีดเผือด ดูแล้วน่าสงสารโดยแท้

พอนางเอ่ยปาก สีหน้าของชังจิ่วหมินก็บึ้งตึงกว่าเดิมหลายส่วน

นัยน์ตาดำเข้มเลื่อนจากเจ๋อตวนมายังหลีซูซู เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าอบรมศิษย์สำนักเผิงไหล เจ้ามีสิทธิ์สอดปากตั้งแต่เมื่อไร”

หลีซูซูอดพูดมิได้ “ไม่แน่วันหน้าข้าอาจจะเป็นศิษย์สำนักเผิงไหลก็ได้”

ชังจิ่วหมินหัวเราะเสียดสี “ปณิธานของหลีเซียนจื่อหาได้อยู่ที่กระบี่เซียนไม่ เผิงไหลของข้าก็มิอาจยอมรับบุคคลโง่เขลาเช่นเจ้า ล้างกระบี่พันเล่มเสร็จแล้ว ยังไม่เข้าใจเจตจำนงกระบี่ กลับก่อกวนจนศิษย์สำนักเผิงไหลของข้าไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้า มิสู้หลีเซียนจื่อกลับสำนักเหิงหยางไปเสียเถิด”

หลีซูซูเอียงคอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางมิได้โกรธมากนัก ชังจิ่วหมินเป็นคนโมโหง่าย อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สระล้างกระบี่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ได้เป็นคนช่างเสียดสีเหน็บแนมเช่นนี้ ตอนที่หลีซูซูบอกว่านางเพียงสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่เท่านั้น ยังมิอาจทำความเข้าใจ เขายังบอกว่าไม่เป็นไร

หลีซูซูคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนดีขึ้นแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้พบเขาโดยบังเอิญ ชังจิ่วหมินกลับมีท่าทีเย็นชาดังเดิม แม้กระทั่งแววตายังเจือหนามแหลมทิ่มแทงคน

ทั้งสองคนจ้องตากัน

เจ๋อตวนเห็นว่าเรื่องของตนทำให้หลีเซียนจื่อเดือดร้อน ย่อมรู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเอ่ยว่า “เป็นความผิดของเจ๋อตวน ศิษย์จะกลับไปเตรียมตัวสำหรับการทดสอบเดี๋ยวนี้ขอรับ” กล่าวจบเขาก็คารวะชังจิ่วหมิน ไม่กล้าหันกลับมามองหลีซูซูอีกและจากไปอย่างร้อนรน

หลีซูซูเดินตามชังจิ่วหมินไป “ท่านโมโหอะไรของท่าน”

เขามองต้นซิ่งเต็มป่า แววตาเฉยชา ยังคงเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจนาง

หลีซูซูเอามือไพล่หลัง เดินตามเขา เลียนแบบท่าทางของเขา เอ่ยวิจารณ์อย่างเย็นชาว่า “ศิษย์สำนักเผิงไหลช่างโชคร้ายจริงๆ มีศิษย์พี่ใหญ่ที่ดุถึงเพียงนี้ ขอแนะให้ไปเรียนรู้จากศิษย์พี่ใหญ่ของข้าว่าสิ่งใดที่เรียกว่าวิญญูชนเถรตรงสุภาพ ย่อมเป็นที่เคารพรักของปวงชน”

ชังจิ่วหมินหยุดเดิน แค่นหัวเราะพลางหันมามองนาง “เหตุใดข้าจึงโมโหน่ะหรือ”

เขาสืบเท้าออกมาก้าวหนึ่ง หลีซูซูมองสบดวงตาสีดำที่กำลังบ่มเพาะลมพายุแล้ว ถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อยโดยไม่มีสาเหตุ

ชังจิ่วหมินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ๋อตวนเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของเผิงไหลตลอดร้อยปีมานี้ หลีเซียนจื่อตนเองไม่ฝึกฝนวิชา ก็อย่าได้ไปก่อกวนเขาเลย”

“ข้าไม่ได้ก่อกวนเขา” นางแหงนหน้าพูด “ท่านอย่ามาใส่ร้ายข้า”

เขามองดวงหน้างดงามดั่งผลท้อผลหลี่ที่สุกงอมของนาง ไม่เอ่ยอะไรอีกก็หันหลังจากไป

นับจากวันนั้นเป็นต้นมานางก็ไม่เห็นชังจิ่วหมินอีก

หลีซูซูคิดในใจ สารเลวนิสัยเสีย เริ่มสอนเคล็ดกระบี่ชิงหงให้ข้าแล้วมิใช่หรือ ไฉนเพิ่งจะเริ่มต้นก็ไม่สนใจข้าเสียแล้ว

หากไม่เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สระล้างกระบี่ชังจิ่วหมินเคยพูดว่าจะรับมือกับไฉ่ซวงด้วยวิธีที่อาวุธมิต้องเปื้อนเลือด หลีซูซูยังคิดว่าเขาจงใจละเลยนางเพราะไฉ่ซวงน้องสาวบุญธรรมของเขา

 

หลายวันนี้ผลครามบนเกาะเซียนเผิงไหลสุกแล้ว ทุกวันตอนเช้าในที่พักของหลีซูซูจะมีผลครามสดใหม่ปรากฏอยู่หลายผล นางคิดว่าเป็นของที่เซียนจื่อน้อยในแดนเผิงไหลเตรียมไว้ให้นาง จึงมิได้ใส่ใจมากนัก

วันนี้การทดสอบของเผิงไหลจะตัดสินว่าใครเป็นผู้ชนะ นางใช้ปากคาบผลคราม วิ่งออกไปดูการประลองอย่างเบิกบาน

โลกบำเพ็ญเพียรยกย่องผู้มีความสามารถ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ

ได้ยินว่าเจ๋อตวนผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นมาโดยตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทดสอบ หลีซูซูจึงตัดสินใจไปดูสักหน่อย

พอนางปรากฏตัว เจ๋อตวนก็เห็นนางท่ามกลางกลุ่มคนทันที

ศิษย์สำนักเผิงไหลล้วนสวมชุดสีครามพลิ้วไหว เรือนผมสีดำครอบด้วยเกี้ยวหยก ศิษย์หญิงประดับผมด้วยปิ่นหยกแกะสลัก หลีซูซูมิใช่ศิษย์สำนักเผิงไหล นางสวมชุดสีแดง ประหนึ่งดอกท้อบนกิ่งที่ผลิบานในเดือนสาม เอวห้อยกระพรวนเงินงดงาม ต่างจากการแต่งกายของเผิงไหลโดยรวมอย่างสิ้นเชิง

เจ๋อตวนใบหน้าแดงเรื่อ พยักหน้าให้นางจากที่ไกลๆ

เดิมทีหลีซูซูไม่ได้มาดูเขาโดยเฉพาะ แต่พอเห็นเจ๋อตวนมีมารยาทเช่นนี้ นางจึงโบกมือตอบ ทำท่าให้กำลังใจเขา

สายตาเย็นเยียบเลื่อนมาที่นาง หลีซูซูเหลือบตามอง เห็นชังจิ่วหมินที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน

ไม่นานการประลองก็เริ่มต้นขึ้น เป็นเช่นที่ชังจิ่วหมินว่า เจ๋อตวนเป็นศิษย์ใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเผิงไหลในช่วงร้อยปีมานี้จริงๆ เขาเอาชนะผู้อาวุโสได้ไม่น้อย กระบี่เซียนทอประกายวับวาว

ผู้ชนะในตอนสุดท้ายก็คือเจ๋อตวน

ศิษย์สำนักเผิงไหลด้านข้างที่มีท่าทางตื่นเต้นพูดว่า “อย่างนี้ศิษย์พี่เจ๋อตวนมิใช่ต้องต่อสู้กับอาจารย์อาจิ่วหมินหรือ”

ผู้ชนะสามารถท้าทายเจ้ากระบี่คนก่อนได้ ชังจิ่วหมินเป็นเจ้ากระบี่มาร้อยปีแล้ว สิ่งที่ศิษย์สำนักเผิงไหลตั้งตารอมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ก็คือภาพนี้

อาจารย์อาที่ไม่ยิ้มแย้ม นิสัยแปลกประหลาด ปะทะกับเจ๋อตวน จะต้องน่าตื่นตามากแน่ๆ

ก่อนหน้านี้ท่านเซียนหรงขุยถึงขั้นบอกว่าผู้ใดชนะลูกศิษย์เขาชังจิ่วหมินได้ แม้ว่าเขาจะไม่รับศิษย์อีกแล้ว แต่ก็จะถ่ายทอดเคล็ดกระบี่ชิงหงให้คนผู้นั้นทั้งหมด ทุกคนต่างรู้ว่าหรงขุยทำเช่นนี้เพื่อฝึกฝนลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของตน ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ร้อยปีที่ผ่านมาใครๆ ต่างก็อยากเอาชนะชังจิ่วหมิน

เคล็ดกระบี่ชิงหงน่าดึงดูดใจเพียงใด มิต้องกราบเขาเป็นอาจารย์ ก็สามารถเรียนรู้เพลงกระบี่ขั้นสูงสุดของหกพิภพได้อย่างนั้นหรือ

หลีซูซูครุ่นคิดในใจ บนลานประลองชังจิ่วหมินกับเจ๋อตวนประมือกันแล้ว

เจ๋อตวนโค้งคารวะ ชังจิ่วหมินไม่แสดงท่าทีใดๆ คนข้างล่างชินกับท่าทีไม่เห็นใครในสายตาของเขาแล้ว จึงไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์อะไร

ทว่าเจ๋อตวนออกกระบวนท่ากระบี่ไปหลายสิบท่าแล้ว กระบี่ของชังจิ่วหมินกลับเพียงป้องกัน มิได้ป้อนกระบวนท่าให้เขาเลย

“อาจารย์อาจิ่วหมินยังคงรักษาธรรมเนียมเดิม ต่อให้เจ๋อตวนก่อน…เอ๋?” ทุกครั้งเมื่อมีการทดสอบ เขาจะต่อให้ลูกศิษย์ห้าสิบกระบวนท่า วันนี้กลับต่อให้เจ๋อตวนถึงแปดสิบกระบวนท่า

กระบี่ของชังจิ่วหมินเหมือนตัวเขา เย็นชาลึกล้ำรับมือยาก ทั้งยังเรียบง่ายรุนแรง ยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว

กระนั้นกระบวนท่ากระบี่ที่เขาใช้ในวันนี้กลับงดงามปราดเปรียว ตัวกระบี่คล้ายกำลังร่ายกลอน ปราณวิเศษสีขาวไหลวน แทบจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน

“อาจารย์อาจิ่วหมิน…” ศิษย์หญิงมองบุรุษบนลานประลอง อ้าปากเอ่ยวาจาตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงเรื่อ

ไฉนนางจึงไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าบุคคลที่น่ากลัวและไม่น่าคบหาอย่างชังจิ่วหมินรูปงามถึงเพียงนี้

หลีซูซูตกใจกับเจตจำนงกระบี่อันยิ่งใหญ่ชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน นางพอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งที่เคล็ดกระบี่ของสำนักเหิงหยางก็ไม่ด้อย แต่บิดากลับยืนกรานอยากให้นางมาเรียนรู้วิชาที่เผิงไหล

ไม่นานกระบี่ของชังจิ่วหมินก็ชี้ไปที่หน้าอกของเจ๋อตวน เจ๋อตวนรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ก่อนจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหดหู่

ชังจิ่วหมินเก็บกระบี่ มิได้มองหลีซูซูและลูกศิษย์คนอื่นๆ มุ่งหน้ากลับตำหนักเซียนของตน

หลีซูซูกลอกตารอบหนึ่ง พลันบังเกิดความคิด

เอาชนะชังจิ่วหมินได้ ก็จะได้เรียนรู้เคล็ดกระบี่ชิงหงทั้งหมดใช่หรือไม่

 

ชังจิ่วหมินเดินไปได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงลมเบาๆ ดังข้างหู ใบไม้ร่วงใต้ฝ่าเท้าถูกพัดออกไปหลายก้าว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มิได้หันกลับไป

เงาคนสายหนึ่งถือกระบี่แทงเข้ามากลางอากาศ

กระบี่เซียนของเขามิได้ออกจากฝัก เขาใช้ฝักกระบี่รับกระบี่ของผู้มา

หญิงสาวในชุดสีแดงถูกแรงปะทะจนถอยหลังไปหลายก้าว ปลายเท้าแตะสะกิดต้นซิ่ง ถือกระบี่ฟาดฟันใส่เขาอีกครั้ง

ตอนนั้นนางศึกษาอาคมมามากมาย แต่กลับมิได้ฝึกกระบี่ เพลงกระบี่ที่อาศัยเรียนรู้จากการดูผู้อื่นมาไร้ระเบียบแบบแผน มีแต่ความห้าวหาญขณะพุ่งออกไปอย่างสะเปะสะปะ

“หลีซูซู” ชังจิ่วหมินมุมปากกระตุก “เจ้าทำอะไรของเจ้า”

หญิงสาวดวงตาเปล่งประกาย “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าผู้ใดเอาชนะท่านได้ ท่านเซียนหรงขุยจะถ่ายทอดเคล็ดกระบี่ชิงหงให้คนผู้นั้นทั้งหมด ระวัง!”

เขาแค่นเสียงหยัน “หน้าอย่างเจ้าน่ะหรือ เช่นนั้นก็ลองดูสิ”

คำพูดนี้เป็นความจริง เขาอายุมากกว่าหลีซูซูมาก ในฐานะบุตรชายของประมุขตงอี้ที่มีพลังตบะแข็งแกร่งและลูกศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของหรงขุย พลังตบะของชังจิ่วหมินลึกล้ำยากคาดเดา

แต่คำพูดนี้กลับกระตุ้นความอยากเอาชนะของหลีซูซู นางมีนิสัยไม่ยอมอ่อนให้ใคร

เดิมทีตั้งใจจะประมือกับเขาเท่านั้น แม้เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ อย่างมากวันหลังก็ค่อยลองใหม่ ทว่าพอชังจิ่วหมินเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวงน้อยก็โมโหจนขนชี้

เขาดูถูกใครกัน!

นางตัดสินใจไม่ใช้กระบี่ แต่ใช้อาคมต่อสู้กับเขา

หลีซูซูมีแก่นวิญญาณฟ้าอยู่แล้ว อัคคีแท้สว่างโรจน์ในมือนาง ชั่วเวลานั้นเกาะเผิงไหลทั้งเกาะอุณหภูมิสูงขึ้นไม่น้อย อัคคีแท้ลุกลามไปจนถึงปลายเท้าของชังจิ่วหมิน

เขายกมือขึ้น สายลมพัดตามนิ้วมือเขา อัคคีแท้มอดดับทั้งหมด

หลีซูซูคิดในใจ หมดกัน วิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลหรือ

ฉับพลันนางเกิดไหวพริบจึงเอ่ยว่า “รับกระบวนท่า!”

หลีซูซูปาไข่มุกเม็ดหนึ่งออกไป

เขามีบทเรียนจากผงคันยุบยิบครั้งก่อนแล้ว จึงไม่ทำลายมันจนแตกละเอียดอีก แต่เบี่ยงตัวหลบ

หลีซูซูค้นหาในถุงฟ้าดินและปาของออกไปอย่างต่อเนื่อง…

ร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ถังหูลู่ ศิลาวิญญาณ

ชังจิ่วหมินหน้าถมึงทึง

จวบจนนางปายาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมา ยาลูกกลอนระเบิดออก หมอกขาวฟุ้งตลบไปทั่ว กลายเป็นกระต่ายฟันเหล็กนับไม่ถ้วนที่ดูน่ารักทว่าดุร้าย กระโจนเข้ามากัดเขา

ไม่รู้ว่าของเหล่านี้เป็นอาวุธเอาตัวรอดประเภทใดของหลีซูซู ชังจิ่วหมินอยู่ท่ามกลางหมอกฟุ้ง ชั่วขณะหนึ่งที่มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

เขารู้ว่าหลีซูซูเจ้าเล่ห์แสนกล จึงไม่กล้าบีบของจำแลงเหล่านี้ให้แหลกสลายจริงๆ ได้แต่ยืนอยู่กับที่อย่างเย็นชา เขามีร่างเซียน เศษสวะเหล่านี้กัดเขาไม่กี่ที ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกจั๊กจี้

เพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็มีคนแหวกฝ่าหมอก ยกมือขึ้นจู่โจมมาที่เขา แม้จะมองอะไรไม่เห็นชั่วขณะ แต่ประสาทหูของชังจิ่วหมินกลับไวมาก เขาอยากจะยุติการต่อสู้อันเหลวไหลครั้งนี้ จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ รอจนนางมาถึงตรงหน้าค่อยลงมือ

ชังจิ่วหมินสกัดข้อมือหลีซูซูไว้ นางจงใจก้าวพลาด ร่างกายโงนเงน ราวกับจะล้มลงบนพื้นในอึดใจต่อไป

มือขาวซีดเย็นเฉียบข้างหนึ่งคว้าตัวนางไว้กะทันหัน

นางอึ้งงันไป

อันที่จริงนี่เป็นเพียง…กระบวนท่าที่ทำให้คนประมาทศัตรูเท่านั้น แต่ในเมื่อชังจิ่วหมินหลงกลแล้ว มิสู้ดำเนินการไปตามแผน หลีซูซูกระโจนเข้าหาเขา จังหวะที่ออกแรงกดเขาลงบนพื้น ยันต์ตรึงร่างสีฟ้าในมือแปะลงบนหน้าผากเขา

“ท่านแพ้แล้ว!” นางกดไหล่เขาไว้ หยิบกระบี่ของเขาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ฝักกระบี่ชี้ไปที่ลำคอเขา “ศิษย์พี่จิ่วหมิน ท่านยอมแพ้หรือไม่!”

หมอกฟุ้งสลายไป กระต่ายฟันเหล็กรอบด้านกลายเป็นเงามายา

ทิวทัศน์แห้งแล้งตลอดหมื่นปีไม่เคยเปลี่ยนของเผิงไหลปรากฏเบื้องหน้าเขา หญิงสาวนั่งคร่อมอยู่บนเอว เร่งให้เขายอมแพ้ด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มใจ

ร่างกายเขาแข็งทื่อ “ลงไป”

หลีซูซูยิ้มร่า “ยอมแพ้เร็วเข้า! ท่านถูกยันต์ตรึงร่าง ถึงอย่างไรก็ขยับตัวไม่ได้ ถ้าวันนี้ไม่ยอมแพ้ เรื่องนี้ก็ไม่จบ”

ไม่รู้เป็นเพราะวิธี ‘ต่ำช้า’ ของนางทำให้เขาโมโหหรือไม่ หางตาของเขาเป็นสีแดงเรื่อ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

นางอดร้อนใจมิได้ ผลักเขาหนึ่งทีพลางเอ่ยว่า “นี่ ท่านเซียนหรงขุยไม่ได้บอกสักหน่อยว่าต้องเอาชนะท่านด้วยวิธีใด ตอนอยู่ที่สระล้างกระบี่ท่านเป็นคนบอกเองว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบาย”

คนเบื้องล่างที่ ‘ขยับไม่ได้’ ทำได้เพียงงอนิ้วมือเข้าด้วยกัน

ตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “อืม”

บทที่ 106

หลีซูซูรู้สึกว่าภาพตรงหน้าช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ภาพเหตุการณ์ที่ไม่ปะติดปะต่อวาบผ่านไปในสมอง ใต้แสงจันทร์ในโลกมนุษย์ ปีศาจจิ้งจอก ชายหนุ่มที่เจ้าเล่ห์ชั่วร้าย…

มารฝันสะดุ้งโหยง รีบร่ายอาคมอีกครั้ง มันมองลูกแก้วหลิวหลีที่รัศมีจางลงทุกที

แย่แล้ว ประคองไว้ได้อีกไม่นาน

ช่างประหลาดเหลือเกิน

มารฝันมองลูกแก้วหลิวหลี ในใจของหลีซูซูคล้ายมีบางสิ่งกำลังต่อต้านอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนี้อยู่

หลีซูซูขมวดคิ้วและสะบัดศีรษะ ภาพเหล่านั้นเลือนรางไป

นางคิดมากไปเองกระมัง นางยังไม่เคยไปแดนมนุษย์ จะมีความทรงจำในแดนมนุษย์ได้อย่างไร

 

การทดสอบของศิษย์สิ้นสุดลง ท่านเซียนหรงขุยไม่อยู่ ชังจิ่วหมินยอมรับอย่างเงียบๆ ว่านางชนะแล้ว หลายวันนี้จึงสอนวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานให้นาง

นางหารู้ไม่ว่าชังจิ่วหมินเข้าใจเคล็ดกระบี่ชิงหงอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ให้เขาเป็นคนสอนนางก็ยังได้

ไม่จำเป็นต้องให้ชังจิ่วหมินสั่ง ทุกวันตอนเช้านางจะไปล้างกระบี่ที่สระล้างกระบี่อย่างว่าง่าย จนกระทั่งถึงยามเย็นค่อยให้ชังจิ่วหมินถ่ายทอดเคล็ดกระบี่ให้นาง

เขาเข้มงวดกับตนเอง ตอนสอนหลีซูซูย่อมไม่ยกเว้นเช่นกัน หากกระบวนท่ากระบี่ของนางผิด เขาจะตีข้อมือนางอย่างไม่ปรานี

หลีซูซูกัดฟัน อดทนไว้ทุกครั้ง

กลับมีวันหนึ่งชังจิ่วหมินเห็นท่าทางทนเจ็บของนางโดยบังเอิญ เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย

ตกกลางคืนในห้องของหลีซูซูมีผลครามมากกว่าเดิม ผลไม้ชนิดนี้กรอบหวานรสชาติอร่อย กินลงไปแล้วจุดหลิงไถจะกระจ่างใส เป็นสิ่งที่สำนักเหิงหยางไม่มี

หลีซูซูอดดึงตัวเซียนจื่อน้อยมาถามมิได้ “ผลไม้นี้เด็ดมาจากที่ใดหรือ”

เซียนจื่อน้อยส่ายหน้า ตอบอย่างประหลาดใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

นางรู้ว่าแดนเผิงไหลมีผลครามล้ำค่า แต่ผลครามปลูกอยู่ที่ใด เซียนจื่อน้อยที่เกิดในแดนเผิงไหลยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

เซียนจื่อน้อยขอตัวจากไป ทิ้งให้หลีซูซูจ้องผลครามอยู่นาน ไม่รู้นางคิดอะไรอยู่

วันต่อมาหลีซูซูไปตำหนักเซียน กลับไม่พบชังจิ่วหมิน เซียนรับใช้ในตำหนักเขาบอกว่าประมุขตงอี้พาไฉ่ซวงกลับมาที่เผิงไหล ชังจิ่วหมินกำลังพูดคุยกับประมุขตงอี้

หลีซูซูหลุบตา กำผลไม้ในมือพลางรับคำ

เช่นนั้นก็รออีกสองสามวัน รอให้ชังจิ่วหมินมีเวลาก่อน

ทว่าการรอคอยครั้งนี้หลีซูซูกลับได้ข่าวอื่นมาแทน…

หมู่นี้ในแดนเผิงไหลต่างลือกันว่าชังจิ่วหมินกำลังจะแต่งงานเป็นคู่บำเพ็ญกับไฉ่ซวงแล้ว เรื่องที่ไฉ่ซวงถูกเว่ยสวินล่อลวงให้เสียพรหมจรรย์ก่อนหน้านี้ คนในแดนเผิงไหลกว่าครึ่งต่างก็รู้ เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรให้ความสำคัญกับการรักเดียวใจเดียว หาได้สนใจเรื่องความบริสุทธิ์ของสตรีไม่

แม้โลกบำเพ็ญเพียรไม่ใส่ใจ แต่ไฉ่ซวงที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนกลับใส่ใจยิ่ง

ได้ยินว่าหลังกลับแดนเซียนตงซู่แล้ว นางพยายามฆ่าตัวตายหลายหน เคราะห์ดีที่ประมุขตงอี้ขวางไว้ได้

ไฉ่ซวงพูดอึกๆ อักๆ ว่าเว่ยสวินบีบบังคับนาง ในใจนางมีเพียงพี่ชายเท่านั้น ประมุขตงอี้จึงเป็นคนตัดสินใจ ให้ชังจิ่วหมินแต่งนางเป็นคู่บำเพ็ญ

หลีซูซูไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดในใจจึงอัดอั้นหงุดหงิด

นางเดินออกไปข้างนอก บังเอิญเจอไฉ่ซวง

ไฉ่ซวงใบหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง ไม่ขาวกระจ่างอมเลือดฝาดเหมือนแต่ก่อน คิดว่าไอเย็นในบ่อโยวปิงยังคงส่งผลกระทบต่อนางมาก

ทั้งที่ไฉ่ซวงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว แต่กลับยังทำตัวเหมือนสตรีในโลกมนุษย์ ปักชุดวิวาห์ด้วยตนเองอย่างเขินอาย

หลีซูซูปรายตามองชุดวิวาห์สีแดงสดในมือนางพลางเม้มปาก

แน่นอนว่าไฉ่ซวงก็มองเห็นหลีซูซูเช่นกัน ไฉ่ซวงมีสีหน้าเบิกบานไร้เดียงสา ราวกับจำเรื่องบาดหมางก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว นางเข้ามาจับมือหลีซูซูและเอ่ยว่า “หลีเซียนจื่อ เจ้ามาหาพี่จิ่วหมินหรือ เขาไม่อยู่”

หลีซูซูดึงมือออก “ข้ารู้แล้ว”

นางไม่ชอบไฉ่ซวง จึงไม่อยากคุยกับอีกฝ่าย

ไฉ่ซวงเห็นนางจากไปโดยไม่พูดอะไรต่อก็รีบเอ่ยว่า “เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าพี่จิ่วหมินไปที่ใด”

หลีซูซูหันกลับมา ยิ้มมองนางพลางส่ายหน้า “ไม่ถาม เจ้าอย่าได้บอกเป็นอันขาด”

ไฉ่ซวงหน้าตึง ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนาง “เขาไปโลกมนุษย์ ไปเสาะหาน้ำตามนุษย์เงือก* ให้ข้า ในแดนมนุษย์หากแต่งงานล้วนมีธรรมเนียมการมอบสินสอด น้ำตามนุษย์เงือกเก้าสิบเก้าหยดสามารถทำให้คนอ่อนเยาว์ตลอดกาล ร่างกายแข็งแรงปลอดภัย”

หลีซูซูพูด “การคุยกับเจ้าช่างลำบากแท้ เอาอย่างนี้ เจ้ายังจะพูดอะไรอีก รีบพูดมาให้จบ”

ไฉ่ซวงทำท่าน่าสงสาร มองนางด้วยแววตาตำหนิ

หลีซูซูเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วพลันเอ่ยว่า “เจ้ากลัวข้า?”

ไฉ่ซวงสีหน้าแข็งทื่อ

หลีซูซูยิ้มอย่างเข้าใจ “เจ้าจะกลัวข้าด้วยเหตุใด กลัวว่าข้าจะถีบเจ้าตกบ่อโยวปิงเหมือนครั้งก่อน หรือกลัวว่า…พี่จิ่วหมินของเจ้าจะชอบข้า”

ไฉ่ซวงปากสั่นระริก “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล! หากเขาชอบเจ้าจริง ย่อมไม่รับปากประมุขตงอี้ว่าจะแต่งงานกับข้า”

“ที่แท้เดาไม่ผิด เป็นอย่างหลังนี่เอง” หลีซูซูลูบคาง เลียนแบบศิษย์พี่หญิงผู้หนึ่งในสำนักเหิงหยาง บิดเอวเดินนวยนาด ทำท่ายั่วยวนเหมือนสตรีที่ชั่วร้าย เดินเข้าไปใกล้ไฉ่ซวง

ไฉ่ซวงตกใจจนถอยหลังก้าวหนึ่ง “เจ้าจะทำอะไร”

หลีซูซูพูด “จะบอกเจ้าว่าหากไร้ความสามารถก็อย่ามาหาเรื่องผู้อื่น หาไม่แล้วเจ้าจะมีชะตากรรมเช่นนี้”

นางคลายมือ หินหยกชิ้นหนึ่งสลายเป็นผุยผงในฝ่ามือนาง

ไฉ่ซวงยังมิอาจดึงสติกลับมาจากความตื่นตกใจ หลีซูซูก็เดินจากไปไกลแล้ว

 

หลังเดินออกมาไกลแล้ว รอยยิ้มมุมปากของหลีซูซูหายไป นางเตะก้อนหินเล็กๆ บนทางปูหินจนกระเด็น

จุดหลิงไถอุ่นเล็กน้อย ในจุดที่นางมองไม่เห็น มรรคาไร้รักหมุนวนอย่างเงียบๆ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงไม่มีความสุข หรือว่าเป็นเพราะไฉ่ซวงจงใจหาเรื่องนาง เช่นนั้นไปแก้แค้นนางเสียก็จะหายใช่หรือไม่

ดอกซิ่งในแดนเผิงไหลไม่มีวันเหี่ยวเฉา ตกกลางคืนหลีซูซูเปิดกระบุงไม้ไผ่ คางคกฝูงหนึ่งเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ

“ไปขู่นางสักหน่อย”

คางคกแต่ละตัวหน้าตาดุดัน รับภารกิจแล้วกระโดดเข้าไปในตำหนักของไฉ่ซวง

ไม่นานเสียงกรีดร้องแหลมก็ดังมาจากข้างใน

มองผ่านหน้าต่าง หลีซูซูเห็นไฉ่ซวงตะโกนเสียงดังเหมือนคนบ้า ดูน่ากลัวกว่าคางคกบนพื้นมาก ไม่เหลือท่าทีอ่อนแอน่าสงสารเหมือนเมื่อตอนกลางวันสักนิด ในที่สุดหลีซูซูก็รู้สึกสบายใจขึ้น

นางปัดมือ เตรียมตัวจากไป

เงาคนสายหนึ่งมองนางอย่างเย็นชา

“ชังจิ่วหมิน?”

ผู้มายกมือขึ้น คางคกที่เสกขึ้นเหล่านั้นสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าก็มีสิทธิ์แตะต้องนางอย่างนั้นรึ”

หลีซูซูอึ้งงันไป ยามที่นางกำลังจะเอ่ยคำพูด เขากลับลงมือกะทันหัน หลีซูซูถูกธงสามผืนที่โบกสะบัดล้อมไว้ มันหมุนวนอย่างรวดเร็ว แสงสีฟ้าพันธนาการนาง วิญญาณเทพของหลีซูซูเจ็บปวดและล้มลงกับพื้น

ธงผืนที่ควบคุมวิญญาณชีวิตเริ่มดูดกลืนจิตวิญญาณนาง

หลีซูซูมองผ่านธงสามผืน เห็นแววตาเย็นชาเจือไอสังหารของชังจิ่วหมิน

ถึงอย่างไรนางก็ยังอ่อนเยาว์ หลีซูซูอยากหนีออกไป แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะโต้ตอบ จวบจนรัศมีสีขาวตรงหว่างคิ้ววาบขึ้น ธงสามผืนขาดกระจุย นางกระอักเลือดคำหนึ่งออกมาและหมดสติไป

ภาพสุดท้ายก่อนสลบไปนางเหมือนจะได้ยินเสียงของเหยากวง “หลีซูซู!”

คนที่หน้าตาเหมือน ‘ชังจิ่วหมิน’ เดินจากไปไกล โฉมหน้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลง กลายเป็นประมุขตงอี้!

ประมุขตงอี้สีหน้าย่ำแย่ “ถึงขั้นทิ้งของไว้ปกป้องนาง”

 

มารฝันมองลูกแก้วหลิวหลีตรงหน้าที่เกิดรอยร้าว ทำหน้าประหนึ่งบิดามารดาเสียก็มิปาน “ไข่มุกแปลงโฉมหมดพลังแล้ว ความฝันอันงดงามมิอาจประคองไว้ได้อีกต่อไป นับจากนี้ไปห้วงฝันจะปรุงแต่งด้วยตัวของมันเอง เขามีชะตาโดดเดี่ยวเดียวดาย ราชันมารฟื้นขึ้นมาแล้วคงไม่ฆ่าข้ากระมัง”

อีกทางหนึ่ง ชังจิ่วหมินร่างกายเต็มไปด้วยแผลนับไม่ถ้วน โลกมนุษย์มีสายฝนตกลงมาอย่างหนัก

เขาหลับตา ข้างกายมีน้ำตามนุษย์เงือกเก้าสิบเก้าหยด ดุจดังไข่มุกเม็ดแล้วเม็ดเล่า

ระหว่างทางกลับแดนเผิงไหล ดวงตาเขาเจือรอยยิ้มน้อยๆ

ทว่าตามหาจนทั่วรอบหนึ่ง เซียนจื่อน้อยกลับบอกเขาว่า “หลายวันก่อนหลีเซียนจื่อออกไปข้างนอกและไม่ได้กลับมาอีกเลย”

รอยยิ้มในดวงตาเขาจางไป ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจ

ประมุขตงอี้มองน้ำตามนุษย์เงือกกล่องใหญ่ที่เปล่งประกายเจิดจรัส หยิบเม็ดหนึ่งขึ้นมา “เจ้าหามาได้จริงๆ น่าเสียดาย ยายหนูผู้นั้นออกจากแดนเผิงไหลไปแล้ว”

ชังจิ่วหมินหน้าบึ้งตึง “ท่านมิใช่รับปากข้าว่า…”

“ใช่ ข้ารับปากเจ้า หากเจ้าเสาะหาน้ำตามนุษย์เงือกจากเผ่าเงือกที่สูญพันธุ์ไปแล้วได้ครบเก้าสิบเก้าเม็ด ข้าจะส่งไฉ่ซวงกลับโลกมนุษย์ ให้นางเป็นมนุษย์ธรรมดาและไม่สนใจนางอีก”

เขาโยนน้ำตามนุษย์เงือกกลับลงในกล่อง “จากนั้นไปสำนักเหิงหยาง สู่ขอบุตรีของฉวีเสวียนจื่อให้กับเจ้า น่าเสียดาย หมินเอ๋อร์ นางไม่เชื่อใจเจ้า คิดว่าเจ้าจะแต่งไฉ่ซวง จึงกลับสำนักเหิงหยางไปพร้อมกับเหยากวงแล้ว”

ชังจิ่วหมินแค่นยิ้มหยัน รอยแผลเล็กๆ บนใบหน้าทำให้เขาดูขาวซีดเย็นชากว่าเดิม

“คำพูดของท่านข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว นางไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ข้าจะไปพูดเอง!” กล่าวจบเขาก็บังคับกระบี่เหาะไปสำนักเหิงหยาง

“หยุดนะ!” ประมุขตงอี้ที่อยู่ข้างหลังเอ่ยปากอย่างเดือดดาล “เจ้าคนอกตัญญู เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนเจ้าอายุร้อยปีคนในเผ่าทำนายดวงชะตาเจ้าไว้อย่างไร! หากไม่ผ่านด่านเคราะห์ ร่างจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลี บิดาส่งเจ้ามาแดนเผิงไหลก็หวังให้เจ้าผ่านด่านเคราะห์นี้ไปให้ได้ แล้วดูซิว่าเจ้าทำอะไร!”

ประมุขตงอี้เขวี้ยงหยกชิ้นหนึ่งออกมา

“กิเลสก่อให้เกิดมารในใจ เจ้าในตอนนี้แม้แต่ไอมารยังมิอาจขจัดได้ นางจะทำให้เจ้าตาย!”

เมื่อชังจิ่วหมินเห็นหยกชิ้นนั้น ก็รู้ว่าประมุขตงอี้รู้ทุกอย่างแล้ว

เขาหยิบหยกที่มีไอมารแฝงอยู่ขึ้นมา ดวงตาดำสนิทมองไปยังประมุขตงอี้ “มีชีวิตอยู่แล้วอย่างไร สลายกลายเป็นเถ้าธุลีแล้วอย่างไร นับแต่นี้ไปท่านถือว่าข้าตายไปแล้วเถอะ” กล่าวจบ ชังจิ่วหมินซัดพลังเซียนออกไป พลังขุมนั้นตกลงบนตัวของคนที่แอบฟังอยู่นอกตำหนัก

ไฉ่ซวงกระอักเลือดคำหนึ่ง พลังที่ประมุขตงอี้ถ่ายให้นางถูกทำลายสิ้นด้วยฝ่ามือนี้ รูปโฉมของนางเริ่มแก่ชรา ไฉ่ซวงรู้สึกว่าพลังชีวิตกำลังไหลออกไป “ท่านพ่อบุญธรรมช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”

ประมุขตงอี้ที่ในอดีตรักและเอ็นดูนางมีสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง

“ไฉ่ซวง เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้” อวดเก่งคิดว่าตนฉลาด พัวพันกับเว่ยสวินไม่เลิก ทั้งยังชั่วร้ายมากขึ้นทุกที ให้เจ้าบ่มเพาะความรู้สึกกับจิ่วหมินตั้งแต่เล็ก เจ้ากลับมิอาจครอบครองพื้นที่ในใจเขาได้ก่อนที่เขาจะเกิดมารในใจ ก่อนที่เขาจะพบด่านเคราะห์แห่งความรัก

หากมีวิธีแม้เพียงเล็กน้อยที่จะช่วยชังจิ่วหมินได้ เขาคงไม่ถึงขั้นต้องลงมือสร้างกรรมด้วยตนเอง ไปสังหารบุตรสาวของเจ้าสำนักเหิงหยางผู้นั้น

ประมุขตงอี้ถอนหายใจ โบกมือรักษาชีวิตของไฉ่ซวงไว้และส่งนางกลับแดนมนุษย์ สถานที่ที่นางควรอยู่

ข้าหวังเพียงเจ้าจะสามารถยอมรับความแตกต่างนี้ได้ จากเซียนจื่อกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แก่ชราใกล้ตาย

 

เหยากวงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “หลีซูซูเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉวีเสวียนจื่อส่ายหน้า สีหน้าหนักอึ้ง

เหยากวงใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มที “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ไม่ได้ดูแลศิษย์น้องหญิงให้ดี”

ฉวีเสวียนจื่อตบไหล่นาง “มิใช่ความผิดเจ้า คนที่ทำร้ายหลีซูซูมิอาจดูแคลนได้”

แม้เป็นฉวีเสวียนจื่อก็ไม่กล้ารับรองว่าพลังตบะของตนจะสูงกว่าอีกฝ่าย คนผู้นั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเอาชีวิตของหลีซูซู หลีซูซูรอดมาได้นับว่าโชคดีมาก

สำนักเหิงหยางใช้อาคมหวนคืน ย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลีซูซูอีกครั้ง

เหยากวงเดือดดาล “ชังจิ่วหมิน! เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้!”

“ธงสามวิญญาณ มิใช่ชังจิ่วหมิน” ฉวีเสวียนจื่อเห็นภาพนี้แล้ว ในใจรู้ว่าเป็นใคร แม้มิใช่ชังจิ่วหมิน แต่ก็เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งของแดนตงซู่

“เจ้าสำนัก” มีคนเข้ามารายงาน “ศิษย์สำนักเผิงไหลชังจิ่วหมินมาขอพบอวี้หลิงเซียนจื่อขอรับ”

คนบนเตียงขนตาไหวระริก ฉวีเสวียนจื่อลอบทอดถอนใจ ประคองหลีซูซูขึ้นมา “เอาอย่างไร เจ้าอยากพบเขาหรือไม่”

หลีซูซูลืมตา ริมฝีปากขาวซีด นางส่ายหน้าเอ่ย “บอกให้เขากลับไปเถอะ ตอนนี้ข้าไม่อยากพบใครทั้งนั้น”

ฉวีเสวียนจื่อตอบ “ได้”

 

หิมะบนบรรพตฉางเจ๋อโปรยปราย

หลีซูซูบางครั้งหลับลึก บางครั้งได้สติ เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมา วิหคศักดิ์สิทธิ์กระโดดอยู่ตรงหน้าต่าง เหยากวงมาเยี่ยมนาง

เหยากวงมีสีหน้าละล้าละลัง เหมือนจะพูดอะไรแต่ไม่พูดเสียที

“มีอะไรหรือ” หลีซูซูเอ่ยถาม

เหยากวงตอบนาง “ไม่มีอะไร”

“ศิษย์พี่หญิง ท่านเก็บไม่อยู่ก็พูดออกมาเถอะ”

เหยากวงยิ้มเก้อ พูดอย่างอึกอักว่า “วิญญาณชีวิตของเจ้าได้รับความเสียหาย หากไม่ซ่อมแซมวิญญาณชีวิต อายุขัยจะได้รับผลกระทบ พลังตบะก็ยากจะพัฒนาต่อไปได้”

หลีซูซูไม่แปลกใจ นางรับคำเบาๆ ว่า “อืม” มิได้เศร้าโศกและมิได้ตกใจ

เหยากวงมองนาง “แต่มีวิธีหนึ่งสามารถช่วยเจ้าได้”

“วิธีใดหรือ”

“ก็คือ…โอ๊ย ก็เรื่องนั้นอย่างไรเล่า!” เหยากวงหน้าแดงเรื่อ “โลกนี้แบ่งเป็นหยินหยาง สอดประสานร่วมบำเพ็ญคู่ เรื่องทำนองนี้น่ะ” นางพูดอย่างคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าเรื่องเช่นนี้ยังบ้าระห่ำกว่าการบำเพ็ญคู่เสียอีก

หลีซูซูคาดเดาได้รางๆ

สมัยก่อนผู้บำเพ็ญวิชานอกรีตของสำนักเหอฮวนมีการเอาหยินไปเสริมหยาง ใช้สตรีเป็นกระถางยาเพื่อบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังตบะของตนเอง แต่วิธีที่เหยากวงพูดถึง เห็นได้ชัดว่า…คือการทำตรงกันข้าม หากระถางยามาให้หลีซูซู

เหยากวงพูดเสียงค่อย “ช่วงนี้ฝูหยาดูแลเจ้าอยู่ตลอด เจ้าสำนักคิดว่าทำให้เจ้าหายดีโดยเร็วเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”

นางยังไม่ทันจะพูดต่อ หลีซูซูก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นด้วย”

เหยากวงอ้าปากพลางถอนหายใจ

หิมะนอกหน้าต่างทำให้วิหคศักดิ์สิทธิ์ตกใจบินหนีไป ยังมีอีกเรื่องที่เหยากวงไม่ได้บอกหลีซูซู นอกสำนักเซียน ศิษย์สำนักเผิงไหลผู้นั้นยังมิได้จากไปเลย

ทุกคนในสำนักเหิงหยางต่างรู้ว่าพวกเขาแดนตงซู่ทำร้ายหลีซูซู จึงหาสารพัดวิธีไปกลั่นแกล้งเขาทุกวัน ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่ตอบโต้และไม่จากไปไหน

ดูไปก็น่าสงสารมากทีเดียว

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: