X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 67

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 67

 ฉากรักหรรษานี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันคาดคิด ดำเนินล่วงไปอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งที่สุด

ครั้นความเร่าร้อนค่อยๆ จางหายไป ถึงเพิ่งจดจำได้ว่าที่นี่คือผืนป่าถิ่นทุรกันดาร จึงเกิดความรู้สึกกลัวตามมา

ชูหนิงข่มความรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวทั่วทั้งร่าง จัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย สุดท้ายก็นั่งด้วยท่าทีสับสนงุนงงอยู่บนพื้น

อิ๋งจิ่งกลัวเธอจะหนาว จึงเอาเสื้อคลุมตัวนอกของตนคลุมบนไหล่ของเธอ “เกิดอะไรขึ้น”

ชูหนิงหันหน้ากลับมามองเขาอย่างเหม่อๆ

อิ๋งจิ่งยิ้ม “จำกันไม่ได้แล้วเหรอ”

ชูหนิงส่ายหัว พูดในสิ่งที่คิดอยู่ลึกๆ มาตลอด “พวกผู้ชายอย่างนายร่างกายร้อนมากเลย”

“งั้นเหรอ คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่ผมออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก สมรรถภาพดีทีเดียวเชียวล่ะ” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วถามเพื่อขอคำยืนยันออกมาตรงๆ “ใช่หรือเปล่า”

ชูหนิงเบะปาก ลูบที่ท้องน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ได้รู้สึกสบายเท่าไหร่”

อิ๋งจิ่งมองท้องฟ้า “โอเค ไว้คราวหน้าผมจะพยายามอีก”

ชูหนิงอารมณ์ดี ใช้ข้อศอกดันเขาทีหนึ่ง “ทีกับเรื่องแบบนี้ทำไมพยายามนักนะ”

“ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่เคยเห็นหมูวิ่งตลอดไง อีกอย่างตอนนี้ผมเป็นคนที่เคยได้กินเนื้อหมูแล้ว”

ชูหนิงทุบเขาด้วยกำปั้น ดุด่าด้วยความโมโห “ใครเป็นเนื้อหมูยะ หา? ไหนพูดมาซิ!”

อิ๋งจิ่งเสแสร้งแกล้งทำเป็นหลบ ทั้งสองคนหัวเราะสนุกสนานเฮฮาด้วยกัน ครั้นมองสบตากันก็นิ่งเงียบ และกอดกันอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง

ชูหนิงฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น มองดูภูเขาแม่น้ำ พวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าประหลาด เธอหลับตาลง กอดเขาแน่นยิ่งขึ้น

อิ๋งจิ่งเอียงหน้ามา ประทับจูบลึกซึ้งตรงกลางระหว่างคิ้วเธอ

 

ชูหนิงไม่สามารถทำตัวสบายๆ อยู่ข้างนอกนานเกินไปได้ ขืนยังไม่กลับไปที่ปักกิ่งอีก เว่ยฉี่หลินจะต้องปลดเธอออกจากตำแหน่งแน่ ส่วนทางอิ๋งจิ่งยังต้องอยู่ที่นี่อีกสองวัน เขาอยากจะขอลาหยุด แต่ชูหนิงไม่ยอม

“โอกาสแบบนี้หาได้ยาก นายอยู่ที่นี่ตั้งใจเรียนให้ดีๆ ส่วนฉันไม่กลับไปไม่ได้แล้ว มีงานมากมายก่ายกองที่ปักกิ่งกำลังรอฉันอยู่”

ชูหนิงกำลังจัดเก็บสัมภาระ เมื่อก้มตัวลงก็เผยให้เห็นรอยบุ๋มช่วงเล็กๆ ตรงเอวที่ขาวผ่อง ด้านบนยังมีรอยแดงที่ถูกเขาบีบ

อิ๋งจิ่งเลิกยืนกรานในความคิดตัวเอง เมื่อเห็นเธอจัดแจงเก็บข้าวของเสร็จก็เดินเข้าไปหา “ให้ผมช่วยเถอะ”

หลังจากนั้นเขาก็ดึงกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วลากไปไว้ที่มุมห้อง

“ถ้านายกลับมาแล้ว ฉันจะไปรับนายที่สนามบินนะ” ชูหนิงพูดปลอบใจ

“ไม่ต้องหรอกครับ” อิ๋งจิ่งลุกขึ้นยืนตัวตรง ปัดฝุ่นที่เลอะบนมือ “ผมต้องกลับไปที่บ้าน”

“ซิ่งเฉิง?”

“อือ”

แล้วชูหนิงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าผมกลับไปทำไม”

ชูหนิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว “กลับไปดื่มนม?”

อิ๋งจิ่งหัวเราะ “มีคุณแล้ว ผมยังจะต้องดื่มนมอะไรอีก?”

บนใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ มีเจตนาชั่วร้ายอยู่ในสายตา ชูหนิงกัดริมฝีปาก ขยับฝีเท้าก้าวถอยหลังไป ทันทีที่กำลังจะหมดหนทางหนี เธอขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่าอิ๋งจิ่งตอบสนองเร็วกว่า เอามือกอดเอวเธอไว้ทันที ดิ้นไปดิ้นมานิดหน่อยก่อนจะล้มลงไปพร้อมกัน

ชูหนิงหัวเราะคิกคัก ยันมือของเขาที่กดลงมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หนักจัง”

ความอ่อนโยนนุ่มนวลของเด็กหนุ่มค่อยๆ เป็นไปอย่างละเมียดละไม ระแวดระวัง ทั้งคู่หอบหายใจฝืนทนไม่ไหวอีกแล้ว ชูหนิงโอบลำคอของเขา เอาหน้าผากชนกัน ไร้ซึ่งความประหม่าและเคอะเขินเหมือนตอนที่อยู่ตรงเทือกเขาแนวผืนป่าเมื่อช่วงบ่าย ในครั้งนี้เป็นไปอย่างช่ำชองและสนองไปตามความรู้สึก

อิ๋งจิ่งรู้ว่าเธอชอบแบบไหน รู้ว่าเรี่ยวแรงประมาณไหนที่เธอจะรู้สึกสุขสมได้มากที่สุด จากเด็กผู้ชายกลายเป็นชายหนุ่ม ทั้งความเป็นผู้ใหญ่และการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเสมอ ร่างกายของคนหนุ่มร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิง ครั้นสบนัยน์ตาชุ่มชื้นสดใสของหญิงสาวก็สลายกลายเป็นไอควันม้วนลอยขึ้นมา ชูหนิงข่มกลั้นเสียงอู้อี้ กางนิ้วมือทั้งสิบลูบไล้เข้าไปในเส้นผมของเขาอย่างยากที่จะต้านทานตนเองไหว

ในค่ำคืนนี้ทั้งคู่ต่างลืมเลือนเวลา กระทั่งลืมจำนวนครั้งที่ทำไป

รู้แค่ว่าหลังจากเที่ยงคืนก็สิ้นสุดแล้ว อิ๋งจิ่งลงไปซื้อของอีกครั้ง เมื่อกลับมาอีกรอบก็หิ้วถุงพลาสติกอยู่ในมือส่งเสียงดังกระวนกระวาย ชูหนิงหยิบออกมาดู เป็นแพ็กปริมาณสุดคุ้ม หนึ่งโหลแถมฟรีสองอัน

อิ๋งจิ่งวิ่งมาจนหอบหายใจไม่ทัน อธิบายแบบลวกๆ ว่า “ที่นี่ไม่มีแบบที่ดีกว่านี้แล้ว หลังจากกลับไป ไว้เราลองดูสักรอบดีไหม”

ดีบ้าอะไรยะ

ชูหนิงกดตรงกระดูกก้นกบที่นูนออกมาเล็กน้อยของเขา ก่นด่าเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง “ครั้งสุดท้ายแล้วนะ”

อิ๋งจิ่งเบะมุมปาก “คุณไม่ได้รู้สึกสบายหรอกเหรอ” ไม่รอให้เธอตอบ เขาก็ตอบเองว่า “ผมเห็นคุณตัวสั่นกระตุกตั้งหลายครั้ง”

ชูหนิงใบหน้าร้อนผ่าว ทำเสียงไม่พอใจ หยิกตรงแขนที่แข็งแรงของเขาอย่างรุนแรง “อายบ้างไหม!”

อิ๋งจิ่งจูบปิดปากของเธออย่างหน้าไม่อายและพูดอย่างอ่อนโยนที่สุด “ชูหนิง ผมดีใจมากจริงๆ นะ ที่ทำให้คุณมีความสุขได้”

เช้าวันรุ่งขึ้น ชูหนิงไม่ให้อิ๋งจิ่งขอลาหยุดอีก ไหว้วานให้พี่เหรินช่วยหารถตู้ของชาวทิเบตและรีบเดินทางไปคังติ้งตั้งแต่เช้าตอนตีห้า ได้ไฟลต์บินรอบเที่ยงกว่าๆ ชูหนิงส่งข้อความให้อิ๋งจิ่งก่อนจะขึ้นเครื่องบิน หลังจากนั้นเธอก็ปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นเครื่องบินไป

อีกสองชั่วโมงต่อมา ณ กรุงปักกิ่ง

ชูหนิงออกมาจากทางเดิน พลันตกตะลึงกับสภาพสนามบินที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม นี่เพิ่งจะจากไปไม่นานเอง ไม่นึกว่าจะเกิดความรู้สึกปลงในความแตกต่างของสองโลก เธอปรับตัวอยู่นานกว่าจะกลับมามีเรี่ยวแรงเช่นเดิม ขณะที่เตรียมตัวจะไปเรียกรถ เฝิงจื่อหยางก็โทรศัพท์มา

แวบแรกที่เห็นว่าคนคนนี้โทรมา ชูหนิงยังรู้สึกประหลาดใจมาก “โอ้ ท่านผู้เฒ่าไปท่องเที่ยวประเทศฝรั่งเศสมีความสุขไหมคะ”

เฝิงจื่อหยางยังคงอยู่ในสภาพที่จิตใจแฮปปี้ดี๊ด๊าเหมือนเคย “จะมีเพื่อนคนไหนเป็นแบบเธอบ้างไหม เยาะเย้ยฉันอยู่เรื่อย”

ชูหนิงยิ้ม “ว่าไง มีเรื่องอะไรล่ะ”

“ไม่มีอะไร แค่จะบอกเธอหน่อยว่าฉันกลับมาแล้วนะ เอาของขวัญจากปารีสมาฝากเธอด้วย น้ำหอมรุ่นลิมิเต็ด ฉันแกะออกมาลองดมแทนเธอแล้ว อันที่ขวดสีเขียวหอมที่สุด”

“ยังไม่ได้ให้ของเลย แต่นายแกะแทนฉันก่อนเฉยเลยนะ โอเค ขอบใจ” ชูหนิงพูด “จะเลี้ยงข้าวนายในช่วงสองวันนี้นะ ไว้ฉันจะบอกอีกที”

ขณะที่จะวางสาย เฝิงจื่อหยางก็เรียกเธอไว้ “เฮ้ หนิงเอ๋อร์ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

“หือ? ว่ามาสิ”

เหมือนปลายสายนั้นมีความลำบากใจมากทีเดียว เรียงร้อยถ้อยคำสักพัก ก่อนจะพูดพึมพำเบาๆ “ช่วงนี้เธอได้ติดต่อกับกวนอวี้บ้างไหม”

“กวนอวี้? ติดต่อสิ เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันนัดเธอทานข้าว เธอบอกไม่มีเวลา ทำไมเหรอ”

คราวนี้เขาเงียบไปค่อนข้างนานทีเดียว

เฝิงจื่อหยางพลันพูดว่า “ช่วงก่อนกวนอวี้ขอยืมเงินฉันน่ะ”

ชูหนิงขานเสียงตอบ ทว่าเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก “เธอจะซื้อถัวราคาหุ้นอีกแล้วเหรอ”

เฝิงจื่อหยางรู้สึกเอะใจอย่างรวดเร็ว “กวนอวี้เคยมาขอยืมเธอด้วยเหรอ”

“ไม่นานมาก เมื่อหนึ่งเดือนก่อนน่ะ ยืมไปหนึ่งแสน” ชูหนิงพลอยถามเขาด้วย “เธอขอยืมนายไปเท่าไหร่”

สักพักกว่าอีกฝ่ายจะตอบ “ห้าแสน”

ยอดเงินจำนวนนี้ทำเอาชูหนิงตกใจ

เงินห้าแสนสำหรับเฝิงจื่อหยางแล้วก็เป็นแค่เงินจำนวนหนึ่ง เขาเป็นคุณชายเฝิงที่เติบโตมาในกองเงินกองทองตั้งแต่เด็ก นิสัยการจ่ายเงินก็ไม่ได้น้อยหน้า พิถีพิถันในการเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมาตลอด อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เงินห้าแสนเป็นเงินจำนวนหกหลัก สำหรับคนธรรมดาแล้วถือว่าเป็นยอดเงินจำนวนมหาศาล กวนอวี้มีกินมีใช้ซื้อเสื้อผ้าได้อย่างไม่ต้องกังวล เป็นองค์หญิงตัวน้อยๆ ที่น่ารักมีเสน่ห์ เธอยังจะต้องการเงินนี้ไปทำไม

ชูหนิงเผลอพูดโดยไม่รู้ตัว “ถูกธุรกิจเครือข่ายแชร์ลูกโซ่โกงหรือเปล่า”

เฝิงจื่อหยางหัวเราะออกมา “เก่ง” จากนั้นเขาก็พูดให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้ง “ฉันไม่ได้มีเจตนาหมายถึงอย่างอื่น แค่เรื่องนี้มันไม่ได้สอดคล้องกับสไตล์การทำงานในแบบปกติของกวนอวี้ไง ฉันก็เลยถามเธอดู เงินน่ะเรื่องเล็ก คนสิเรื่องใหญ่ กลัวว่ากวนอวี้มีปัญหายุ่งยากอะไรแล้วเกรงใจไม่กล้าพูด เลือกเดินในทางที่ผิดไปสู่หนทางนอกรีตต่างหากล่ะที่เป็นเรื่องสำคัญน่าห่วง”

ชูหนิงพูดรับปาก “โอเค ฉันจะจำไว้ วันหลังฉันจะลองถามดู”

เฝิงจื่อหยางหัวเราะอารมณ์ดี “ถ้าเธอจัดการ ฉันก็วางใจหายห่วง”

ชูหนิงคอยจนได้รถแท็กซี่แล้ว เธอขึ้นไปนั่ง มือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ อีกมือปิดประตูรถ “นายกับฉินเหมี่ยวเป็นยังไงบ้าง”

ฉินเหมี่ยวก็คือแฟนเขาคนนั้นที่คบกันมาเจ็ดแปดปี เลิกและคืนดีกันมานับครั้งไม่ถ้วน รักกันจะเป็นจะตายเหมือนกับละครโทรทัศน์น้ำเน่าที่ฉายรอบค่ำ ภายหลังคุณแม่เฝิงไม่เห็นด้วยที่คบกัน ทั้งสองคนเปลี่ยนมาอยู่ในสถานะที่คบกันแบบลับๆ อีกครั้ง ซึ่งชูหนิงก็ยังเป็นเกราะกำบังในช่วงที่พวกเขาแอบคบกันด้วย

ทางฝั่งเฝิงจื่อหยางเงียบกริบ กระทั่งเสียงลมหายใจก็ยังห่อเหี่ยวลงทันที

ชูหนิงทำเสียงตกใจ รู้ตัวว่าพูดไม่เหมาะสม จึงเอ่ยขอโทษซ้ำๆ “ถือเสียว่าฉันไม่ได้ถามนะ”

จู่ๆ เฝิงจื่อหยางกลับพูดระบายความโมโหออกมา “แต่ละคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอะไรกันเลย เอาเรื่องความตายมาบังคับฉันทั้งนั้น! เสื้อผ้าของใช้อาหารที่เธอกิน ของแต่ละอย่างดีเลิศที่สุดแล้ว ถือว่าฉันเป็นตู้เอทีเอ็มไง ดูเธอสิ ไม่กี่ปีมานี้ขี้เกียจอยู่แต่ที่บ้าน สภาพกลายเป็นอะไรไปแล้ว ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ อยากจะเลิก ได้ เลิกเลย! เหอะ พอกลับมาอีกทีก็ร้องไห้คร่ำครวญพูดแหกปากว่าไม่เลิกแล้ว เห็นฉันเป็นอะไร ยังจะกล้าขู่เอาความตายมาบีบคั้นฉันอีก เวรเอ๊ย!”

เขาตะโกนเสียงดังเกินไปจนชูหนิงต้องเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหูและขมวดคิ้วนิ่วหน้า

เมื่อระบายอารมณ์เสร็จ เฝิงจื่อหยางก็วางสายไป

ชูหนิงเอามือปัดหน้าจอ มีความกระอักกระอ่วนมากมายภายในใจ ตอนนี้เองมีเสียงติ๊งดังจากโทรศัพท์มือถือ เป็นเสียงจากวีแชต

 

ผมเสร็จเรื่องยุ่งแล้ว! คุณถึงปักกิ่งหรือยัง

ผมจะกลับไปในวันพรุ่งนี้แล้วนะ ล่วงหน้าเลย! ได้เจอคุณก่อนกำหนดหนึ่งวัน!’

จริงสิ จะมีพัสดุส่งไปให้คุณในสองวันนี้นะ อย่าลืมเซ็นรับด้วย

ผมคิดถึงคุณโคตรๆ เลย! [จ๊วบๆ] [จ๊วบๆ] [น้ำลายหก] [น้ำลายหก]~’

 

ความกระตือรือร้นและพลังงานของคนคนนี้สามารถพุ่งทะลุหน้าจอโทรศัพท์มือถือมาปะทะใบหน้าได้เลย

ความกลัดกลุ้มเมื่อครู่นี้ถูกพัดสลายหายไปในชั่วพริบตา ชูหนิงถือโทรศัพท์มือถือพร้อมกับยิ้มแล้วตอบกลับไป

 

ส่งพัสดุเหรอ นายซื้ออะไรมา

 

อิ๋งจิ่งตอบเป็นอีโมจิสามอันกลับมา

 

‘[ทรงพลัง] [ทรงพลัง] [ทรงพลัง]~’

 

ชูหนิงขำ ถือโทรศัพท์มือถือด้วยรอยยิ้ม

แล้วอิ๋งจิ่งก็เดินทางกลับปักกิ่งในวันต่อมา เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยในทันที นั่งรถบัสจากสนามบินตรงไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อกลับไปที่ซิ่งเฉิง

เหมือนจะเปลี่ยนทหารเฝ้ายามตรงประตูทางเข้าลานกองทัพบกเป็นชุดใหม่ เมื่ออิ๋งจิ่งเดินเข้าไปยังถูกขวางไว้ ขอบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทราบชื่อแซ่อายุ ถามว่าเขามาติดต่อหาใคร

ทหารชั้นผู้น้อยพูดจาฉะฉาน อายุพอๆ กันกับเขา สายตาเที่ยงตรง มีความองอาจน่ายำเกรง

อิ๋งจิ่งเข้าใจในกฎเกณฑ์ ถามอะไรก็ตอบไปตามนั้น ล้วงบัตรประชาชนออกมายื่นให้อีกฝ่ายไป ผลสุดท้ายทันทีที่อ่านเจอว่าที่อยู่ของครอบครัวซึ่งเขียนไว้ด้านบนบัตรคือสถานที่แห่งนี้ ทหารชั้นผู้น้อยก็เข้าใจแล้วรู้สึกอายๆ นิดหน่อย ก่อนจะวางกระบอกปืนลง

“ขอโทษครับ ผมเพิ่งมาประจำการได้ไม่นาน แล้วก็ไม่เคยเจอคุณในวันธรรมดาก็เลยไม่ทราบครับ”

อิ๋งจิ่งรีบพูด “ไม่ต้องขอโทษครับ โทษผมเอง ผมไปเรียนข้างนอก น้อยครั้งที่จะกลับมา” เขาเป็นมิตรเสมอ ชอบทำความรู้จักหาเพื่อน เจอหน้ากันครั้งเดียว พูดจาสองคำก็สามารถแยกแยะได้แล้วว่าสามารถเข้ากันได้ไหม

ทั้งสองรู้สึกถูกใจกันมากทีเดียว อิ๋งจิ่งยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาวจั๊วะให้กับทหารชั้นผู้น้อย “อีกนานแค่ไหนนายถึงจะเปลี่ยนกะ”

อีกฝ่ายพลันตกใจ “เอ๋? อ๋อ ห้าโมงครับ”

“ห้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามบาสเกตบอล นัดนายเล่นแบบครึ่งสนามกัน” อิ๋งจิ่งชี้นิ้วไปทางขวา “อย่าไปหาผิดที่นะ สนามบาสเกตบอลทางฝั่งตะวันตก”

ทหารชั้นผู้น้อยหน้าตากระตือรือร้น ขาสองข้างชิดกันทำท่าตะเบ๊ะ “ครับผม!”

อิ๋งจิ่งเข็นกระเป๋าเดินทาง เดินฮัมเพลงชาติไปพลาง

 

เมื่อถึงบ้าน ชุยจิ้งซูยุ่งง่วนจนทำงานเสร็จตั้งแต่เช้า ที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่อิ๋งจิ่งชอบกิน ถ้วยชามมีทั้งแบบกลมแบบเหลี่ยมวางรวมกลุ่มอยู่บนโต๊ะอาหาร ดูช่างเป็นนายหญิงที่ใส่ใจพิถีพิถันในรายละเอียดของชีวิต

อิ๋งจิ่งเหมือนเป็นแรงงานต่างด้าวที่หวนกลับบ้านเกิด หอบกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ แถมยังตัวดำคล้ำแดด

เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ชุยจิ้งซูกำลังยกซุปปลาเดินออกมาจากในห้องครัว ครั้นเงยหน้าขึ้นมามองก็ตกใจ

“ว้าย! เจ้าหนู เธอมาหาใครเนี่ย”

อิ๋งจิ่งยิ้ม “ผมมาหาแม่ผมครับ ผมว่าคุณคล้ายๆ แม่ผมนิดหน่อยนะ” จากนั้นเขาก็รับซุปปลาจากในมือของอีกฝ่ายมา เข้าไปกะพริบตาใกล้ๆ “คุณช่วยเนียนๆ เป็นแม่ให้ผมหน่อยนะ”

ชุยจิ้งซูถูกหยอกจนขำ “เจ้าเด็กซน!”

“ไหนพ่อผมล่ะ” อิ๋งจิ่งวางซุปเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงที่โต๊ะเอามือคีบอาหาร ทำเสียงโฮกๆ กินอย่างเอร็ดอร่อย

มีเสียงฝีเท้าลงบันไดมา อิ๋งอี้จางพูดด้วยเสียงเข้มงวด “ทำตัวเหมาะสมไหม ห้ามใช้มือ!”

อิ๋งจิ่งรีบลุกขึ้น ยืนตัวตรงแหน็วและโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “รับบัญชา!”

อิ๋งอี้จางมีสีหน้าผ่อนคลายลง เจ้าลูกชายคนนี้ ไม่ทำให้ขายหน้า

กับข้าวห้าอย่าง น้ำซุปหนึ่งอย่าง นั่งกินอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว

อิ๋งจิ่งหิวจนหน้ามืด พุ้ยข้าวทั้งชามอย่างคล่องแคล่วว่องไว “เมื่อไหร่พี่สาวผมจะกลับมา”

“เธอท้องโตแล้ว แถมขี้เกียจ เลยขลุกตัวอยู่ที่บ้าน ตอนนี้พี่เขยลูกก็อยู่ในช่วงหยุดพักผ่อนพอดี คอยดูแลเธออยู่ที่บ้านด้วย”

ชุยจิ้งซูคีบหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ในชามของเขา และปัดตะเกียบของอิ๋งอี้จางที่ยื่นเข้ามา “ตาอิ๋ง คุณห้ามทานแล้วนะ สองวันนี้ความดันโลหิตไม่คงที่เลยนะ ระวังหน่อยสิ”

อิ๋งอี้จางทำตัวว่าง่าย จ้องเนื้อหมูในชามนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายก็พูดตักเตือนอิ๋งจิ่งว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรต่อไปลูกกลับมาบ้านให้น้อยๆ หน่อย”

อิ๋งจิ่ง “?”

“ทุกครั้งที่ลูกกลับมา แม่เค้าทำอาหารพวกเนื้อสารพัดอย่าง แต่พ่อทานไม่ได้ไง”

แหมนะ ยังจะมาโมโหใส่

ชุยจิ้งซูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “จ้าๆๆ คุณทานได้ มากสุดแค่สองชิ้นนะ”

“สามชิ้น” อิ๋งอี้จางยังต่อรอง

ไม่รอให้แม่พูดอะไร อิ๋งจิ่งก็คีบเนื้อหมูในชามของตัวเองชิ้นนั้นไปให้พ่ออย่างรวดเร็ว “ตกลง!”

เจ้าพ่อลูกสองคนนี้

ชุยจิ้งซูเขี่ยผักพลางส่ายหน้า “เกิดมาเพื่อสยบฉันสินะ”

บรรยากาศสนิทสนมเป็นกันเอง เป็นมื้ออาหารที่บรรยากาศครึกครื้นมาก

อิ๋งอี้จางถามเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายเดินทางไปเสฉวนและทิเบตในครั้งนี้ อิ๋งจิ่งเก่งในความคิดเชิงตรรกะเป็นอย่างมาก ใส่ใจในเรื่องที่เคยทำจดจำทั้งหมดได้ขึ้นใจ จัดลำดับแยกแยะเป็นหมวดหมู่ รู้ลำดับความสำคัญชัดเจน เมื่อเขาตอบก็ล้วนอัดแน่นเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ เป็นคนที่ศึกษาอย่างแข็งขัน ไม่ยอมปล่อยให้เสียโอกาสไป

อิ๋งอี้จางเองก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ ยกประเด็นขึ้นมาพูดอยู่เรื่อยๆ และถามอีกว่า “ถัดจากนี้ลูกมีวางแผนอะไรต่อไป”

“ผมอยากพัฒนาเทคโนโลยีการจำลองเสมือนจริงของเราในตอนนี้ให้เป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นและมุ่งมั่นเจาะจงให้มากขึ้น ผมอยากมุ่งเน้นศึกษาวิจัยในการสร้างแบบจำลองของเครื่องยนต์อากาศยาน เรื่องนี้เป็นทั้งอุปสรรคที่ยากลำบากสำหรับแวดวงอุตสาหกรรมนี้ และก็เป็นจุดพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วย”

อิ๋งอี้จางไม่ถามอะไรมากความ ตราบใดที่อิ๋งจิ่งยังมีทิศทางไปและมีความคิดของตัวเอง คนคนนี้ไม่มีทางพลาดได้แน่นอน

สำหรับเรื่องที่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ จะลำบากหรือไม่ จะยืนหยัดได้หรือเปล่า เรื่องนั้นต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

จะรีบร้อนไม่ได้

ครั้นพูดกันมาถึงตอนจบก็เงียบไปในช่วงสั้นๆ

หลังจากข้าวห้าชามตกถึงท้อง และอิ๋งจิ่งก็กินไปพอสมควรแล้ว เขาจึงวางชามกับตะเกียบลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พ่อ แม่ ผมมีเรื่องจะบอกพ่อกับแม่นะ”

ท่าทางแบบนี้ทำให้คนต้องสนใจฟัง

ชุยจิ้งซูมองเขาอย่างเป็นกังวลนิดหน่อย “เกิดอะไรขึ้น”

“ผมมีแฟนแล้วนะ”

แหม~ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

ชุยจิ้งซูกับอิ๋งอี้จางไม่ได้แปลกใจ ในวัยยี่สิบกว่าปีกำลังเป็นช่วงวัยรุ่นที่เปี่ยมด้วยพลัง ถ้าไม่มีแฟนนี่สิถึงจะแปลก

ชุยจิ้งซูคลายกังวล พูดคุยอย่างผ่อนคลาย “แฟนลูกเป็นเพื่อนร่วมชั้นเหรอ”

“ไม่ใช่” อิ๋งจิ่งพูด “พ่อกับแม่ก็เคยเจอนะ”

“เคยเจอ?” ชุยจิ้งซูใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก็ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร

“ชูหนิงไง”

สิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย…บรรยากาศพลันแน่นิ่ง

อิ๋งอี้จางสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้สะทกสะท้าน ทว่าก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร แต่ชุยจิ้งซูหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ประธานหนิงเหรอ เธอเป็นผู้ลงทุนในโครงการของลูกไม่ใช่เหรอ” เธอคิดลึกคิดมาก แสดงความกังวลออกมาทันที “เสี่ยวจิ่ง ลูกมีเรื่องปิดบังที่ลำบากใจจะพูดหรือเปล่า โครงการสำคัญก็จริงนะ แต่ก็อย่าสละทิ้งคุณธรรมประจำตนที่สำคัญยิ่งกว่าเพื่อสิ่งเหล่านี้สิ!”

เธอกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นคำพูดที่หนักแน่นด้วยเหตุผล ชุยจิ้งซูจริงจังเป็นอย่างมาก

คำพูดนี้ช่างร้ายกาจดุดันเกินไป อิ๋งจิ่งไม่ได้ทักท้วง ทว่าอิ๋งอี้จางกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พอใจก่อน เขากระแอมกระไอ

“ทำไมพูดจาแบบนั้น ในเรื่องของหลักการความถูกต้องแบบนี้ ผมเชื่อว่าเสี่ยวจิ่งสามารถยึดถือได้อย่างหนักแน่นเลยนะ”

อิ๋งจิ่งเองก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดเกินไป “แม่ แม่คงไม่ได้นึกว่าผมจะขายตัวเองเพื่อให้ได้เงินทุนมาหรอกนะ!”

ชุยจิ้งซูตบศีรษะตัวเองเบาๆ “ก็ที่พูดไปไม่ใช่ว่าแม่…ร้อนใจเหรอ”

“ผมกับชูหนิงเต็มใจกันทั้งสองฝ่าย เราสองคนชอบกันจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแน่นอน” อิ๋งจิ่งหลังตรง สายตาจริงใจ

“แต่ว่า…แต่ว่าเธอ…” ชุยจิ้งซูไม่อาจเข้าใจได้เลย ภายในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่คิดไว้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน ท้ายที่สุดก็พูดออกมาเสียงเบาๆ “…แต่ว่าเธออายุมากกว่าลูกนะ”

“อายุมากกว่าผมแล้วยังไงล่ะ เขาใช้ชีวิตมามากกว่ากี่ปีเอง ที่มาเป็นแฟนผม เอาจริงๆ แล้วเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ!” อิ๋งจิ่งโต้แย้ง

ชุยจิ้งซูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกกับเหตุผลบ๊องๆ นี้ “งั้นขอถามสักคำ ทำไมลูกอารมณ์ขึ้นขนาดนี้ล่ะ”

อิ๋งจิ่งหนักแน่นในจุดยืนอย่างยิ่ง “แม่ก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ทำไมถึงมีความคิดโบราณคร่ำครึแบบนี้ ไม่น่ารักเลยสักนิด อีกอย่างผมไม่ชอบเลยนะกับการที่เอาเรื่องอายุผู้หญิงมาพูดถกอยู่เรื่อย แค่พูดต่อหน้าผมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ต่อไปห้ามพูดต่อหน้าชูหนิงเป็นอันขาด!”

ดูจากการตอบสนองที่รุนแรงขนาดนี้ ทั้งสองคนต้องเคยทะเลาะกันเรื่องนี้มาก่อนแน่นอน

ชุยจิ้งซูไม่พูดอะไรอีก แต่ยังคงแสดงออกทางสีหน้าด้วยความหงุดหงิดไม่สบายใจ เธอสบตากับสามีเล็กน้อย แอบบอกเป็นนัยว่า ‘คนเป็นพ่ออย่างคุณพูดจาอะไรบ้างสิ!’

“ผมขอบอกพ่อกับแม่ไว้ก่อนเลยนะ อย่างแรกคือผมเคารพพ่อกับแม่ อย่างที่สอง ผ่านไปอีกสักพักผมจะพาชูหนิงมาที่บ้านอย่างเป็นทางการ พ่อกับแม่ห้ามแสดงปฏิกิริยาประหลาดใจ และห้ามทำให้เธอรู้สึกอึดอัดกระดากใจเด็ดขาด”

ในที่สุดอิ๋งอี้จางก็เอ่ยปาก “จะรีบร้อนอะไรกัน ที่ลูกพูดมาเป็นชุดนี่เป็นการท่องตำรารึไง แม่ลูกพูดออกมาเพราะความเป็นห่วง ถามนิดถามหน่อยจะเป็นไรไป เสี่ยวจิ่ง เอาใจเขามาใส่ใจเราสิ จะพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่ไม่ได้นะ”

อิ๋งจิ่งทำแก้มตุ่ยและพยักหน้า “ครับ”

เขายอมรับความผิดได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ไม่โกรธเคืองกับใครทั้งนั้น คราวนี้อิ๋งอี้จางจึงมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงและเอ่ยถาม

“แล้วลูกคิดยังไงล่ะ”

อิ๋งจิ่งตอบ “ผมคิดว่าจะแต่งงานหลังจากเรียนจบ”

ชุยจิ้งซูแทบอกอีแป้นจะแตกอยู่รอมร่อ “ละ…ลูก!”

อิ๋งอี้จางเองก็ตกตะลึง แต่ข่มอารมณ์สงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว จับตะเกียบหยิบเลือกผักใบเขียวขึ้นมา หยิบเลือกช้าๆ เหมือนกับรำไท้เก๊ก*

อิ๋งจิ่งมองความคิดของพวกเขาออก เอ่ยเสียงเรียบว่า “นี่เป็นความคิดของผมฝ่ายเดียว ยังไม่แน่ว่าเขาจะยอมแต่งกับผมนะ”

คู่สามีภรรยาเฒ่ามองตากันแล้วก็สงบนิ่งลง

อิ๋งอี้จางพยักหน้า แสดงความรับรู้ต่อเรื่องนี้ เอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความหมายลึกซึ้ง

“ลูกโตแล้ว เรื่องของตัวเองตัดสินใจด้วยความคิดของตนเองได้ พ่อต้องการเพียงแค่อย่างเดียว เป็นผู้ชายน่ะต้องมีใจยึดมั่นในความรับผิดชอบ ในเมื่อคบกันมาถึงขั้นนี้กับเธอแล้ว ก็ต้องปฏิบัติกับเธอให้ดีๆ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ในระหว่างนั้นต้องไม่ให้มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกละอายใจได้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

อิ๋งจิ่งเชิดคางขึ้น ท่าทางหนักแน่น “ขอรับ! ท่านหัวหน้า!”

“เจ้าเด็กบื้อ! ทำตัวหยิบหย่ง” อิ๋งอี้จางเป็นคนที่เที่ยงตรง มีหลักการมาก แต่มีโลกทัศน์ที่เปิดกว้าง แล้วก็เปิดใจกว้าง เขาเป็นผู้คุมหางเสือกำหนดทิศทางของครอบครัว เคยจัดการกับภาวะวิกฤตที่เกี่ยวกับมติมหาชนและการตัดสินใจทางการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน มีความอาจหาญและมีมุมมองที่ลึกซึ้งกว้างไกล

มีต้นตอบ่อเกิดดี ต้นกล้าก็ย่อมโดดเด่นดีงามตามไปด้วย

“ต่อไปถ้าลูกไปที่บ้านของชูหนิง ห้ามทำนิสัยมุทะลุแบบนี้ จะทำให้พ่อแม่เขาเห็นเป็นเรื่องตลก!” อิ๋งอี้จางพูดเตือน “ก่อนจะไป บอกกับพ่อหน่อยล่ะ จะได้เตรียมของขวัญที่สมน้ำสมเนื้อหน่อย”

ชุยจิ้งซูเหมือนอยากจะพูดทว่าก็เงียบเสียง แต่ด้วยความที่ยังนึกถึงใจลูกชายจึงเก็บอารมณ์ความอึดอัดเอาไว้และพยักหน้าเล็กน้อย

“โอเค ถ้าลูกรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีก็ดีแล้วล่ะ”

 

ปักกิ่งในเวลาเดียวกัน

ดวงอาทิตย์ตกในช่วงเย็นฉายแสงแดงฉานฉาบครึ่งฟ้า ชูหนิงจงใจจอดรถริมข้างทางระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน เลื่อนกระจกรถลงชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามเงียบๆ แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปส่งให้อิ๋งจิ่ง

คอยอยู่ไม่กี่นาที ฝั่งนั้นไม่ได้ตอบกลับมา เขากำลังเล่นบาสกับทหารชั้นผู้น้อยอยู่ที่สนามบาสเกตบอล

ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงกำยำ เป็นวัยหนุ่มที่กระตือรือร้นและตื่นตัว

ทางฝั่งนี้ชูหนิงขับรถมาจอดรถที่ลานจอดรถเรียบร้อย เธอไปเอาพัสดุที่ตู้ก่อน เป็นกล่องกระดาษทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แถมยังมีน้ำหนักนิดหน่อย ก็ไม่รู้ว่าอิ๋งจิ่งซื้อของอะไรมาให้ ชูหนิงเอากลับบ้าน หลังอาบน้ำเสร็จก็เพิ่งจะมาแกะกล่องพัสดุอย่างช้าๆ

ทันทีที่กรีดมีดเล่มเล็กแล้วเปิดกล่องออกมา เธอก็พลันตกตะลึง

…เป็นถุงยางอนามัยหนึ่งกล่อง!

ทั้งแบบเกลียว แบบตะปุ่มตะป่ำ ดิลโด้แบบหนาม มาในธีมความรักแบบก๋ากั่น ความรักซาบซ่าน ความรักแบบมิอาจต้านทานเอยอะไรเอย…

มีมากมายหลายแบบจนชูหนิงเวียนหัวตาลาย

เมื่อพลิกดูด้านล่างอีกครั้ง… โฮ่! นี่มันอะไรกันเนี่ย!

ชูหนิงหยิบออกมา มือซ้ายและมือขวาบีบไข่สีชมพูสองอัน…?

นุ่มนิ่ม เด้งดึ๋ง หนึบหนับ แล้วก็มีแบตเตอรี่

มือของชูหนิงแทบลุกเป็นไฟ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างหมดคำพูด ถ่ายรูปส่งวีแชตไปถามอิ๋งจิ่ง

 

ไอ้เกลอเสี่ยวอิ๋ง ขอโทษนะนี่มันของบ้าบออะไร?

 

อิ๋งจิ่งตอบกลับในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

‘[หื่น] [น้ำลายหก] [หื่น] [น้ำลายหก]…ของแถมจากร้านค้า มายก็อด ผมต้องคอมเมนต์พันตัวอักษรแบบดีๆ ให้เขาเลย!!’

 

ชูหนิง “…”

 

 

* รำไท้เก๊ก เปรียบเปรยว่าแสดงออกในเชิงบ่ายเบี่ยง ทำตัวอ้อมค้อม ไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจน หรือไม่พูดออกมาตรงๆ

 

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: