บทที่ 68
การแสดงออกจากข้อความของอิ๋งจิ่งดูโอเวอร์เกินไป ชูหนิงเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างนิดหน่อย หน้าตาแหยงสุดๆ
ขณะที่กำลังจะตอบกลับ เสียงออดที่ประตูก็ดังขึ้น
ชูหนิงตกใจ รีบจัดเก็บกล่องข้าวของที่วางสะเปะสะปะอยู่บนโต๊ะ แล้วก็โยนเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว เธอใส่รองเท้าสลิปเปอร์ เปิดตาแมวที่ประตูมองดู เห็นแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายในทันที
“ฉันก็ยังนึกว่าใครนะ” ชูหนิงเปิดประตู
กวนอวี้หอบถุงขนมปังอันใหญ่เดินเข้ามาในห้อง “เธอนึกว่าใครล่ะ”
อีกฝ่ายถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไปในห้องรับแขก โยนถุงขนมปังไว้บนโต๊ะแล้วก็ไปดื่มน้ำในห้องครัว
ชูหนิงหารองเท้าสลิปเปอร์คู่ใหม่แล้วยื่นให้ “ทำไมช่วงนี้เธอทำตัวแวบไปแวบมา”
กวนอวี้ทำเสียงไม่พอใจมาก “ตัวเองเป็นคนเที่ยวสนุกไปทั่วแท้ๆ แล้วยังจะมาโทษว่าฉันอีกนะ เป็นไงบ้างล่ะ ที่ตันปาสนุกไหม”
ตอนนั้นชูหนิงส่งรูปถ่ายทิวทัศน์สวยๆ ไปให้เธอเยอะมาก แค่ดูก็รู้ว่าอยู่กับใคร
กวนอวี้ชี้ขนมปังที่อยู่บนโต๊ะ “เจ้าที่เธอทานประจำไง ทำสดใหม่เลยนะ”
กลิ่นนมจางๆ หอมฟุ้งทั่วห้อง ชูหนิงคุ้ยดูขนมปังอย่างอารมณ์ดี “สนุกนะ สวยมาก ไว้มีโอกาสเธอก็ไปที่นั่นดูสิ”
“ฉันไม่มีโอกาสหรอก ฉันไม่มีแฟนอยู่ที่นั่น”
ชูหนิงเหลือบมองอีกฝ่าย ยังมีรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปาก
กวนอวี้เข้ามาดมกลิ่นใกล้ๆ “ชิ กลิ่นคลั่งรัก”
“ฉันเป็นเซียนนักเหงาต่างหากล่ะ” ชูหนิงด่าว่าเพื่อนพูดจาเกินจริง
กวนอวี้หัวเราะคิกคัก เว้นระยะห่างออกไป มองดูเธอตั้งแต่บนจรดล่าง ก่อนจะลากหางเสียงยาวๆ ส่อเจตนาชั่วร้าย
“โอ้โห นูนขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ”
ชูหนิงพูดโพล่งตำหนิทำเสียงถุยใส่ “ยายสาวกุ๊ย!”
กวนอวี้ไม่ทำให้เสียชื่อเสียง และยังแกล้งทำเป็นเอามือยื่นออกไป “ขอฉันจับหน่อย”
ชูหนิงเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว “ไม่ใหญ่เท่าเธอหรอก”
ทั้งสองคนหัวเราะเสียงดัง หลังจากคุยเรื่องนี้แล้วกวนอวี้ก็รู้สึกร้อน ปรับอุณหภูมิในห้องให้ลดลงเล็กน้อย แล้วก็นั่งขัดสมาธิดื่มน้ำเย็นใส่น้ำแข็งอยู่บนโซฟา ไม่มีเรื่องจะพูดก็หาเรื่องมาพูดแก้เก้อ ซึ่งก็ดูไม่ได้แปลกอะไร
ชูหนิงเลือกขนมปังแล้วมานั่งกินอยู่ตรงหน้ากวนอวี้ เอ่ยถามขึ้นเฉยๆ ว่า “นี่ ช่วงนี้เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่ได้เป็นไรนะ”
“ฉันพูดอะไรหน่อย เธออย่าถือสากันนะ ถ้ามีเรื่องอะไรอย่าแบกรับเอาไว้เอง พูดออกมายังจะมีคนหลายๆ คนช่วยกันคิดได้”
กวนอวี้หัวเราะ “เธอพูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย”
ชูหนิงมองเพื่อนแวบหนึ่ง มีอะไรก็พูดเปิดอกคุยกันมาตลอด เธอก็เลยพูดตรงๆ ว่า “เธอยืมเงินของเฝิงจื่อหยางใช่หรือเปล่า”
ถึงยังไงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเป็นคนอื่น ถามแบบนี้ก็คงไม่เหมาะจริงๆ แต่เธอกับกวนอวี้สนิทกันกว่าคนทั่วไป ชูหนิงเป็นคนที่อารมณ์เย็นชา เป็นคนที่ยากจะเปิดเผยความในใจกับคนอื่น ไม่ว่าจะกับเรื่องความรักหรือว่ามิตรภาพ
สำหรับกวนอวี้แล้ว บุคลิกนิสัยความเย็นชาที่ปรากฏออกมาจากภายในสู่ภายนอกคือการปฏิเสธไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ แต่ถ้ายอมรับเป็นคนกันเองแล้วจริงๆ ย่อมปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจอย่างแน่นอน
กวนอวี้เลิกคิ้ว “เฝิงจื่อหยางยังลำเอียงเข้าข้างเธอจริงๆ ด้วย บอกเธอหมดทุกเรื่องเลยนะ”
“อย่าพูดจากลับกลอกบิดพลิ้วไปเรื่อยสิ เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วก็ไม่ได้ขี้เหนียวนะ ที่เล่าให้ฟังคือความเป็นห่วงแท้ๆ เลย” ชูหนิงกัดขนมปังครึ่งหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆ หลังจากกลืนลงไปแล้วก็พูดต่อ “ทำไมจู่ๆ เธอต้องการใช้เงินมากมายขนาดนั้นล่ะ จะถัวโปะราคาหุ้นอีกเหรอ”
กวนอวี้ยิ้มอย่างสงบก่อนจะพูดว่า “ไม่ได้จะถัวแล้ว ก็ฉันลงทุนในร้านค้าทีมอลล์* ไม่ใช่เหรอ ช่วงก่อนหน้านี้ดำเนินกิจการได้ดีทีเดียว แต่ว่าในตอนเริ่มต้นจำเป็นต้องขาดทุน ดังนั้นก็เลยหมุนเวียนเงินทุนสักหน่อย แต่ว่าไม่เป็นไรแล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไป”
ชูหนิงเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว กวนอวี้ไม่เหมือนเธอที่ค่อนข้างมุ่งมั่นจดจ่อทำธุรกิจมาตลอดชีวิต คนคนนี้อยู่ว่างไม่ได้ ต้องหาเรื่องทำงานตั้งแต่เกิด ไม่ว่าเรื่องไหนชอบเข้าไปมีเอี่ยว ทำงานยืดหยุ่นคล่องแคล่ว สามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็ว ดูท่าทางหุนหันพลันแล่นไม่น่าเชื่อถือ แต่ทำนั่นนิดนี่หน่อยก็ยังสามารถเก็บสะสมเงินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
ถึงจะเทียบไม่ได้กับนายทุนใหญ่ แต่ผู้หญิงตัวคนเดียวใช้จ่ายเองก็นับว่ามีเหลือเฟือ
เห็นอีกฝ่ายพูดจาเปิดเผยใจกว้างแบบนี้แล้ว ชูหนิงเองก็วางใจ “ถ้าเข้าใจในต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าถ้าเธอจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ มาบอกฉันก่อน”
“รับทราบค่า! คุณเศรษฐีนี!” กวนอวี้เลิกคิ้ว “แต่ตอนนี้เธอเลี้ยงแฟนเด็กวัยละอ่อนอยู่นี่ จะไม่กดดันเรื่องเงินมากไปเหรอ”
“ไปให้พ้นเลย เขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันเลี้ยงหรอก” ในสายตาชูหนิงมีความภูมิใจอย่างยากที่จะปกปิดได้ “เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน เข้าร่วมการแข่งขันสารพัดแบบเงียบๆ ไม่ให้คนรู้ เงินออมส่วนตัวมีเป็นกะตั้ก”
กวนอวี้หัวเราะ แสดงออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “งั้นเหรอ”
“ใช่สิ” ยากที่ชูหนิงจะแสดงความรู้สึกแท้จริงออกมา “เสี่ยวจิ่งเอ๋อร์ของเราเป็นเด็กดีมากจริงๆ นะ”
กวนอวี้จับลูบแขนตัวเองทันที “รับไม่ได้!”
กวนอวี้อยู่ที่บ้านชูหนิงได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เตรียมที่จะไปแล้ว ชูหนิงเรียกอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวก่อน”
จากนั้นชูหนิงก็กลับเข้าไปที่ห้องนอน เมื่อเดินออกมาก็ยื่นกระเป๋าผ้ากระสอบใบหนึ่งให้กวนอวี้ ข้างในเป็นจี้ห้อยแบบถักสาน
“ฉันซื้อมาจากตันปาน่ะ คุณยายอายุแปดสิบกว่าดวงตาแทบจะมืดบอดแล้ว ไม่ง่ายนะที่จะทำงานฝีมือเลี้ยงชีพจุนเจือครอบครัว ว่ากันว่าปกป้องให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ ฉันให้เธอนะ”
กวนอวี้ชอบมาก ลูบๆ ที่ด้านหน้าและพลิกจับๆ ที่ด้านหลัง สุดท้ายเธอก็เก็บกำไว้ในอุ้งมือแล้วทำท่าส่งจุ๊บลอยข้ามอากาศมา
“หนิงเอ๋อร์ขอบคุณจ้า!”
ชูหนิงเชิดคางขึ้น “รีบไปเถอะ”
สองวันต่อมา อิ๋งจิ่งเดินทางจากซิ่งเฉิงกลับมาที่ปักกิ่ง
ชูหนิงตั้งใจเลิกงานก่อนเวลาเพื่อที่จะไปรับเขา เธอเติมเครื่องสำอางอีกครั้งก่อนลงจากรถ เจตนาทาริมฝีปากสีแดงสดใส เม้มปากพะเยิบๆ สองที ช่างงดงามปานดอกไม้ วันนี้เธอแต่งตัวสบายๆ กระทั่งรองเท้าส้นสูงก็ไม่ได้ใส่ ใส่กางเกงยีนรองเท้าผ้าใบสีขาว บวกกับเสื้อกันลมแบบบางสไตล์บอยๆ ผูกมัดผมดูวัยรุ่นสุดๆ
และตรงสถานีขาเข้าในเวลาเดียวกันนั้น ทันทีที่ประตูรถไฟเปิดออกเสียงดังติ๊งก็มีคนพุ่งตัวออกมาเป็นคนแรก รวดเร็วเหมือนกับธนูไฟพุ่งฉิว วิ่งออกมาข้างนอกอย่างสุดแรงเกิด
อิ๋งจิ่งเป็นคนที่โดดเด่นและสะดุดตาท่ามกลางฝูงชน
เมื่อครู่ชูหนิงเพิ่งจะนับจังหวะก้าวเดินอยู่เลย เมื่อเงยขึ้นมามองอีกครั้งก็เห็นอิ๋งจิ่งอยู่ห่างในระยะห้าเมตรเสียแล้ว
เขายิ้มแฉ่ง ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
…สามเมตร
ดวงตาชูหนิงสดใสทอเป็นประกาย เธออ้ามือสองข้างออกอย่างไม่มีลังเล
…หนึ่งเมตร
สายตาของทั้งคู่เหมือนมีแสงไฟแลบแปลบๆ
“ว้าย!” ชูหนิงส่งเสียงตกใจ เธอถูกเขากอดแน่นเต็มอก
อิ๋งจิ่งกอดเธอเต็มแรง โอบเอวของเธอหมุนวนอยู่รอบๆ ตรงที่เดิม ชูหนิงลอยอยู่ในอากาศ ชายเสื้อของเสื้อกันลมบานออกเหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง
ทั้งคู่เอาหน้าผากชนกัน แล้วก็จูบกันอย่างแนบชิดสนิทสนม
อิ๋งจิ่งเหมือนหมาป่าหิวโหยที่ออกมาจากถ้ำ ดุนดันลิ้นอย่างป่าเถื่อน ชูหนิงถูกกระทำจนร่างกายอ่อนระทวย เพียงไม่กี่วินาทีก็เพลิดเพลินหลงเข้าไปตามห้วงจังหวะของเขา
“คิดถึงผมไหม” อิ๋งจิ่งถามเสียงแหบแห้ง
ชูหนิงจุ๊บที่แก้มของเขาหนึ่งที “นายว่าไงล่ะ”
อิ๋งจิ่งโอบเอวของเธอ ทั้งคู่มองสบตากัน แล้วคนบาปทั้งสองคนก็เดินไปที่รถอย่างรู้เจตนากันโดยไม่ต้องพูดออกมา
ณ อพาร์ตเมนต์ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา
ประตูห้องนอนแง้มปิดอยู่ครึ่งเดียว มีทั้งเสื้อคลุมตัวนอก เสื้อกันหนาว ชุดชั้นในสีดำก็เหลือแค่ผ้าโปร่งบางๆ ชั้นเดียว รองเท้าสลิปเปอร์พลิกกลับด้านอยู่บนพื้น กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ภายในช่องประตูเป็นฉากวาบหวามชวนลุ่มหลง
ในกระจกวางพื้นแบบครึ่งตัวสะท้อนเพียงภาพแผ่นหลังที่แข็งแรงของชายหนุ่ม และเท้าสองข้างที่กำลังส่ายไปส่ายมาโผล่ออกมาจากข้างเอวของเขา
ชูหนิงทนไม่ไหวแล้ว ผมเผ้ารุงรัง สายตาพร่าเลือน ยังไม่ลืมที่จะเอื้อมมือออกไปจับหมอนที่อยู่ข้างหัวเตียง อยากจะยื้อยุดอะไรบางอย่างไว้เพื่อให้รู้สึกสงบใจได้เนืองๆ แต่พอขยับไปได้ไม่กี่เซนติเมตร เธอก็ถูกอิ๋งจิ่งคว้าจับเอวแล้วออกแรงดึงกลับลงไป
ชูหนิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอาเท้าเตะใส่เขา “นายเป็นวัวหรือไง!”
แรงดีไม่มีตกเหมือนไม่มีทางหมดแรง
อิ๋งจิ่งตอบอย่างหน้าไม่อาย “ผมเป็นงูไง จะซุกไซ้ทั้งหมดเข้าไปในตัวคุณ”
ชูหนิงทั้งโกรธและอาย “นายหุบปาก”
อิ๋งจิ่งกระซิบเบาๆ ข้างหูเธอ เอ่ยเสียงทุ้มว่า “หนิงเอ๋อร์ คุณส่งเสียงร้องอีกสักสองทีสิ มันเพราะมากเลย”
ชูหนิงถูกเขาพลิกตัวไปมาจนเหมือนกับปลาเค็มตากแห้ง คนคนนี้ยังจะมีเรี่ยวแรงคึกสุดๆ ช่างน่าโมโหจริงๆ ดังนั้นเธอจึงพูดใส่อย่างอารมณ์เสีย
“สองที อือ ฉันร้องเสร็จแล้ว”
อิ๋งจิ่งได้ยินแล้วก็ขำ กดตัวลงมา พูดด้วยเจตนาชั่วร้าย “ไม่ใช่ร้องแบบนี้ มานี่ เดี๋ยวผมจะเตือนให้คุณจำได้”
แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
ชูหนิงหลับตาลงอยากจะร้องไห้ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลย ไม่รู้ว่าของในกล่องใบนั้นจะได้ใช้จริงเมื่อไหร่ ตอนนี้อยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ เศร้าใจจัง!
หลังเสร็จกิจ ชูหนิงนอนหมอบอยู่บนหน้าอกอิ๋งจิ่ง พูดอย่างหมดเรี่ยวแรง “ครั้งต่อไปนายไม่ต้องกลับมาแล้วนะ อยู่ที่ซิ่งเฉิงไปตลอดเลย”
อิ๋งจิ่งรู้สึกว่าคนคนนี้ปากอย่างใจอย่าง ก็เลยพูดออกมาตรงๆ “คุณโกหก…เมื่อกี้คุณยังถึงจุดสุด…อุ๊บ!”
ยังไม่ทันจะเอ่ยคำพูดนั้นออกมาครบทั้งคำก็ถูกชูหนิงอุดปากไว้
อิ๋งจิ่งพูดให้จบด้วยเสียงอู้อี้ “…สี่ครั้ง”
ชูหนิงอยากจะลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ แต่ทันทีที่ขยับเอวก็รู้สึกเจ็บ เธอแอบสาบานในใจเงียบๆ ตั้งแต่วันนี้ไปต้องล้างสมองแฟน สอนให้เขารู้จักว่าการยับยั้งชั่งใจคืออะไร และความเหมาะสมเป็นยังไง!
“ที่ผมกลับบ้านไปคราวนี้ ผมสารภาพกับพ่อแม่แล้วนะ” อิ๋งจิ่งพลันพูดขึ้นมา
ชูหนิงแทบจะกัดลิ้น ขมวดคิ้วถามว่า “สารภาพอะไร”
“เรื่องของเราสองคนไง ผมบอกไปว่าผมมีแฟนแล้ว ชื่อว่าชูหนิง คุณเดาสิแม่ผมตอบสนองในแวบแรกยังไง” อิ๋งจิ่งนึกแล้วยังรู้สึกขำ “เธอตกใจมากนะ ยังคิดว่าผมขายเรือนร่างเพื่อให้ได้เงินทุนมาด้วยล่ะ!”
ชูหนิงส่งเสียงหัวเราะออกมา ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเขินอาย เธอเลิกคิ้วถาม “ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ”
อิ๋งจิ่งยกแขนขึ้นมา กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ นูนขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างกระตือรือร้นมาก “ประธานหนิงครับ คุณยินดีจะลงทุนกับผมเท่าไหร่หรือครับ”
ชูหนิงอยู่ในอ้อมแขนเขาด้วยท่าทางกึ่งพิง ดึงมุมผ้าห่มมาปิดหน้าอกไว้ ดูเป็นฉากรักที่ชื่นมื่น สีผิวเธอออกแดงเรื่อจางๆ เธอยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันเอาสินเดิมทั้งหมดมาลงทุนกับนายแล้ว”
คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง
อิ๋งจิ่งตะลึง รู้สึกกลัดกลุ้มใจไปหมด เขากางต้นขาออกแล้วหนีบเธอเอาไว้ข้างล่างเหมือนปลาหมึกที่เกาะติดแน่นไม่ยอมปล่อย
ชูหนิงเองก็นิ่งไม่ขยับ แอบถอนใจปรับอารมณ์เงียบๆ ลูบจับเส้นผมที่อ่อนนุ่มของเขาแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ฉันไม่เคยเสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง เสี่ยวจิ่ง นายเก่งมากนะ นายคู่ควรกับมันมาก”
อิ๋งจิ่งไม่พูดจา กอดเธอไว้และพูดเสียงอู้อี้ “ชูหนิง”
“หือ?”
“คุณพาผมไปพบพ่อแม่คุณเถอะนะ”
ความคิดนี้ของอิ๋งจิ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วฉับพลัน
ครอบครัวตระกูลอิ๋งที่เก่าแก่เป็นครอบครัวรับราชการที่เคร่งครัดจริงจัง ด้วยเทือกเถาเหล่ากอนั้น พูดถึงความในใจที่ครอบครัวอบรมบ่มสอนมาก็ยังคงเป็นในแบบที่ยึดขนบธรรมเนียมและความรับผิดชอบอย่างยิ่ง
อย่างเช่นในเรื่องงานสำคัญๆ บางอย่าง ที่ยังคงเคารพกฎเกณฑ์ซึ่งบรรพบุรุษได้มอบเอาไว้ คำพูดที่ตกลงไว้ของพ่อสื่อแม่ชัก การหามเกี้ยวแปดคนเพื่อสู่ขอ เรื่องความมีชื่อเสียงมีหน้ามีตาอะไรทำนองนั้น
ชูหนิงไตร่ตรองจนได้ข้อสรุปออกมาว่านี่อิ๋งจิ่งกำลังขอสถานะจากเธออยู่นี่นา!
ภายในใจเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกทันที
ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถต้านทานกับความอ่อนโยนของคนรักเช่นนี้ได้ ความอ่อนโยนแบบนี้มีความดื้อรั้น ทุ่มเต็มที่ และมีพลัง สามารถทำให้คนมองเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจน
“ได้” ชูหนิงรับปากอย่างจริงจัง แต่ว่า… “นายให้เวลาฉันได้จัดเตรียมสักหน่อย โอเคไหม”
อิ๋งจิ่งแสดงออกอย่างเข้าใจ ลูบถู ‘รอยแดง’ ที่เขาทำไว้บนหน้าอกของเธอ อือ ครั้งนี้ยัง ‘ทำ’ ได้ไม่บวมพอ คราวหน้าจะพยายามอีก
ชูหนิงหลับตา ตอนแรกร่างกายอ่อนเพลีย ทว่าตอนนี้กลับนอนไม่หลับเสียแล้ว
เธอครุ่นคิดว่าควรจะใช้วิธีการยังไงที่ทำให้เฉินเยวี่ยยอมรับอิ๋งจิ่งได้
ยังไม่ทันที่จะเรียบเรียงความคิดได้ชัดเจน โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะก็สั่นเสียงดัง ‘ครืด’ เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้เหมือนฟ้าร้องสั่นสะเทือนในค่ำคืนเงียบสงัด
ชูหนิงมองดูหน้าจอก่อนจะขมวดคิ้ว
และเธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการพบหน้ากันครั้งแรกของอิ๋งจิ่งกับตระกูลจ้าวจะเปิดฉากเริ่มต้นด้วยรูปแบบที่แปลกประหลาดเช่นนี้…จนได้
* ร้านค้าทีมอลล์ (Tmall) คือร้านค้าทางการที่ขายของออนไลน์ในเถาเป่า เป็นร้านค้าแบบที่จดทะเบียนบริษัทแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.