บทที่ 3
ปากพาซวยจนได้ อิ๋งจิ่งมารู้ซึ้งและเข้าใจในภายหลัง แย่แล้วๆ เหมือนทำผิดต่อเธอซะแล้ว
เลขาฯ โจวสำรวมในทันทีแล้วรีบตัดประเด็นนี้ทิ้งไป เขาเอ่ยถามอิ๋งจิ่งด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พวกคุณจะไปที่ไหนครับ”
อิ๋งจิ่งรีบพูด “ไม่ต้องไปส่งครับ ปล่อยพวกผมลงข้างหน้าเถอะ” พอพูดจบเขาก็แอบเหลือบมองชูหนิงอีกครั้ง
เบียดเสียดกันจนที่คับแคบ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้นั่งตัวตรง ทว่าแนบพิงอยู่กับประตูรถ เสื้อถักขนสัตว์สีขาวที่อยู่ภายในเสื้อสูทเป็นคอวี เผยส่วนโค้งเว้านุ่มนวลชวนฝันพอให้ได้คิดจินตนาการไปไกล รถขับเร็วดุจดั่งสายลม ไฟนีออนข้างนอกหน้าต่างที่สาดแสงงดงามพรมลงมาบนใบหน้าของเธอทอแสงวูบวาบ
เลขาฯ โจวเอ่ยอย่างสุภาพและมีมารยาทว่า “พวกคุณเรียนที่มหาวิทยาลัยไหนกันเหรอครับ”
“มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศครับ”
“เป็นทางผ่านพอดีเลยครับ”
อา ช่างเป็นคนดีจริงๆ
อิ๋งจิ่งนิ่งเงียบ ยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก
รถมาส่งถึงที่หมายภายในยี่สิบนาที ฉีอวี้กับกู้จินจินลงจากรถก่อน ส่วนอิ๋งจิ่งขยับก้นแล้วหันหน้ากลับไปพูดกับชูหนิง
“คืนนี้ขอบคุณพวกคุณมากนะครับ”
เลขาฯ โจวเพียงแต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร แล้วก็บอกลาอย่างมีมารยาทแบบคนที่ไม่คุ้นเคยกัน
อิ๋งจิ่งปิดประตูเรียบร้อย ตอนที่เดินไปก็ยังอาลัยอาวรณ์ ทุกย่างก้าวที่เดินจึงเหลียวกลับมามองหลายหน
ในยามค่ำคืนดึกดื่น เสื้อฮู้ดสีขาวของเขาสะดุดตาเป็นพิเศษ
ครั้นเร่งความเร็วรถ เงาสีขาวก็กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ แล้วหายไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาไม่กี่วินาที
ชูหนิงชำเลืองมองประตูและชื่อมหาวิทยาลัย
ตอนนี้เองเลขาฯ โจวก็เพิ่งจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ส่งคุณกลับไปที่สะพานซื่อฮุ่ย* ดีไหมครับ” ที่นั่นก็คือเขตชุมชนที่ชูหนิงอาศัยอยู่
“ไม่ค่ะ ไปที่อวี้ยวนถาน** เถอะ”
เฉินเยวี่ยโทรศัพท์มาหาเธอราวห้าหกสายตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย กำชับเป็นพันเป็นหมื่นหนว่าเธอต้องหาเวลากลับมาบ้านบ้าง
กำลังกลับรถอยู่ตรงทางแยก ครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงบ้านตระกูลจ้าวที่ริมฝั่งทางเหนือของอวี้ยวนถาน หลังจากเลขาฯ โจวกลับไปแล้ว ชูหนิงอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียวตามลำพังสักพักหนึ่ง จุดบุหรี่สูบให้เสร็จก่อนจะเข้าไปในบ้าน
คุณป้าแม่บ้านเป็นคนเปิดประตู “หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเหรอ อุ๊ย ช้าๆ หน่อยสิ”
พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เฉินเยวี่ยก็รีบเดินออกมาจากห้องรับแขกทันที
เธอดึงผ้าคลุมไหล่มุมหนึ่งที่ห้อยตกลงไปกับพื้นขึ้นมา ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ก็ขมวดคิ้วก่อนแล้ว “แกสูบบุหรี่เหรอ”
ชูหนิงปัดมือของคุณป้าที่ประคองเธออยู่ออกพร้อมกับขอบคุณเสียงเบา
เฉินเยวี่ยกล่าว “สูบเสร็จก็ไม่รู้จักกำจัดกลิ่นให้หายไปก่อนแล้วค่อยเข้ามาในบ้าน ถ้าพ่อแกอยู่บ้านแล้วได้กลิ่นต้องไม่พอใจอีกแน่ แล้วก็ทางฝ่ายครอบครัวที่แกจะแต่งงานนั่นด้วย แกอย่าได้สูบต่อหน้าพวกเขาเป็นอันขาด”
ชูหนิงเดินขาเดี้ยงไปนั่งบนโซฟา ไม่ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
เฉินเยวี่ยนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ กระชับผ้าคลุมไหล่แน่น ความเร็วในการพูดว่องไวเหมือนเทเมล็ดถั่ว***
“ไหนแกว่าไง ปกติใส่รองเท้าส้นสูง ไม่เห็นเป็นไร คราวนี้ดันมาล้มขาหักซะได้ ตระกูลเฝิงหมายมั่นตั้งใจกับเรื่องการจัดเลี้ยงงานหมั้นมากนะ ตอนนี้พอเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแบบนี้ก็ต้องเลื่อนงานออกไปอีก” ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจ เฉินเยวี่ยโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยด้วยความร้อนใจ “รีบหายดีไวๆ ล่ะ ได้ยินไหม”
ในที่สุดชูหนิงที่เข้ามาแล้วนิ่งเงียบอยู่ตลอดก็เงยขึ้นมามอง “แม่กลัวตระกูลเฝิงจะกลับคำ? กลัวเฝิงจื่อหยางจะไม่เอาหนูเหรอ”
เฉินเยวี่ยไม่พอใจ
“ถ้าเขาผิดคำพูด แต่งงานแล้วก็สามารถหย่าได้”
“ยายเด็กคนนี้!” เฉินเยวี่ยโกรธเป็นไฟ “ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
ทว่าชูหนิงหัวเราะขึ้นมาทันที เอนตัวไปข้างหลังอย่างผ่อนคลาย “หิวน้ำชะมัด อยากดื่มน้ำจัง”
เฉินเยวี่ยหงุดหงิดพลางบ่นออกมานิดหน่อย สีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยังลุกขึ้นไปเอาน้ำให้
“ต่อให้แกไม่เชื่อฟังฉัน ฉันก็เบื่อหน่ายกับแกสุดๆ อยู่แล้ว ยายเด็กเนรคุณไม่รู้คุณคน”
พร่ำบ่นไปเรื่อย ชูหนิงที่ถูกปรักปรำก็ตะโกนเถียงคอเป็นเอ็น “หนูไปขัดใจแม่ตรงไหนล่ะ”
เฉินเยวี่ยวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “มีคนบอกฉันว่าแกง่วนอยู่กับงานตลอดทั้งวัน กับจื่อหยางในหนึ่งเดือนไม่เจอหน้ากันเลยสักครั้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าแกคิดยังไง แล้วก็นะ ฉันเคยเตือนแกไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว เกรงใจพี่ใหญ่ของแกบ้าง”
ในครึ่งประโยคสุดท้ายแผดเผาความอดทนของชูหนิงจนหมดสิ้น เธอยืนขึ้นโดยค้ำกับไม้เท้า “อยากประจบเขาแม่ก็ไปประจบเอง ถ้าหนูอยู่ที่นี่ สำหรับจ้าวหมิงชวนแล้ว ไม่มีคำว่าเกรงใจให้เขาหรอก”
บรรยากาศเหมือนกับถูกแช่แข็งไปในชั่วพริบตา
เฉินเยวี่ยไม่ทันได้รักษาภาพลักษณ์ที่สง่างาม พูดจากระชากเสียงสูงขึ้นมาทันที “แกต้องเข้าใจไว้ให้ดี ถึงเราจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ แต่ตระกูลจ้าวเป็นครอบครัวใหญ่ มีกิจการใหญ่โต หลายปีมานี้ที่ฉันเห็นก็เป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ต่อให้แกเก่งกาจแค่ไหนก็เป็นแค่ผู้หญิง คนที่มีอำนาจดูแลจัดการครอบครัวตัวจริงเป็นใคร ก็เขาไงล่ะ จ้าวหมิงชวน!”
ประโยคนี้สะกิดโดนต่อมโกรธของชูหนิงเข้าอย่างจัง เธอโกรธจนควบคุมโทสะไม่ไหว “เป็นผู้หญิงแล้วไงล่ะ ครอบครัวนี้ไม่มีที่ให้ผู้หญิงเลยเหรอ”
“นี่แกกำลังดึงดันบิดเบือนความหมายของคำพูดฉัน”
ชูหนิงไม่มีความอดทนมากพอที่จะพูดจาซ้ำซากจริงๆ เธอขยับไม้เท้า
เฉินเยวี่ยร้อนรน น้ำเสียงอ่อนลงทันที “เอ๋? จะไปไหนน่ะ แกไม่ดื่มน้ำแล้วเหรอ”
ชูหนิงเดินกระย่องกระแย่ง “ไม่ดื่มแล้ว อิ่มแล้ว”
เธอปิดประตู เสียงบ่นจ้ำจี้จ้ำไชของเฉินเยวี่ยถูกขังไว้ในนั้น
บรรยากาศเงียบสนิท
ชูหนิงกดหมายเลขชั้น จ้องมองเลขชั้นที่ปรากฏบนจอด้านบน กลับบ้านตระกูลจ้าวทีไรช่างปวดประสาทจริงๆ ขณะที่ลิฟต์เปิดออก ข้างในมีผู้ชายกำลังยืนโงนเงนอยู่ ในเวลาเดียวกันเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง สายตาของคนทั้งสองเหมือนเกิดเหตุการณ์ดาวอังคารชนโลก*
ชูหนิงใจเต้นตึกตัก วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้จุดธูปไหว้พระสินะ มีแต่เจอเรื่องซวยๆ น่าหงุดหงิดใจอยู่เรื่อยเลย
จ้าวหมิงชวนสวมชุดสูทเป็นทางการแบบสามชิ้น ปลดคลายกระดุมตรงคอเสื้อออก บนตัวมีกลิ่นเหล้าจางๆ เขาพบปะกินอาหารกับคนของสำนักแผนงานเสร็จแล้ว แต่ดื่มเหล้ามากเกินไปหน่อย จึงมีสภาพอับเฉาคล้ายจุกแน่นแบบเมาแหล่มิเมาแหล่
ด้วยสัญชาตญาณ ชูหนิงสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปทางขวา หลบออกห่างเหมือนรังเกียจสุดๆ
จ้าวหมิงชวนเดือดขึ้นมาทันที “ทำสายตาอะไรของเธอ”
ชูหนิงตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันกำลังหลีกทางให้คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจ้าว”
จ้าวหมิงชวนหรี่ตาสองข้างลงมอง หางตาแคบยาวตวัดขึ้นข้างบน จับจ้องมองเธออยู่แบบนี้
ชูหนิงเองก็ไม่กลัวเช่นกัน สบตากลับไป
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจ้าวหมิงชวนพลันยิ้มที่มุมปาก ยิ้มกริ่มอย่างประหลาด “เก่งกล้าขึ้นมากแล้วสินะ” ขณะเดียวกันสายตาก็มองลงมาตรงขาที่ใส่เฝือกของเธอ
ชูหนิงระวังตัวแจ
จ้าวหมิงชวนกลับไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองคนเดินเฉียดไหล่กันไป เงาหลังสูงตระหง่านของชายหนุ่มเขียนอักษรตัวเบ้อเร่อไว้ว่า ‘บ้าคลั่ง’
ชูหนิงต้องมารองรับอารมณ์ของคนอื่นติดกันถึงสองยก สภาพจิตใจจึงไม่ต่างอะไรกับกาน้ำเต้าที่ไม่พ่นควัน* เธอรู้สึกคับข้องใจอย่างมาก
ระหว่างทางกลับไปยังที่พักก็รับสายของเฝิงจื่อหยาง
“หนิง เธออยู่ไหนน่ะ”
ทางฝั่งนั้นมีเสียงเพลง ประมาณว่าคงจะสนุกสนานรื่นเริงอยู่ที่ไหนสักแห่ง ชูหนิงบอกเขาว่า “มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“หูย เย็นชา”
“ฉันวางนะ”
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆ กลัวว่าเธอจะยุ่งจนลืมงาน อย่าลืมวันมะรืนล่ะ”
“ทำอะไร”
“ดูการแข่งขันไง!” เฝิงจื่อหยางแผดเสียง
ชูหนิงลืมไปแล้วจริงๆ
จะว่าไปอีตาเฝิงจื่อหยางคนนี้ก็เป็นคนประเภทผ่าเหล่าผ่ากอแตกต่างจากหมู่ทายาทรุ่นลูกตระกูลเศรษฐี ถ้าพูดแบบจริงจัง เขาไม่นับว่าเป็นนักธุรกิจประเภทที่มีความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำท่าทางสำรวยแบบพวกลูกคุณหนูคุณชายในเมืองกรุง แวดวงสังคมของชูหนิงมีการแบ่งชั้นกันชัดเจนมาก ถ้าไม่มีความคิดเห็นที่พ้องต้องกัน สามารถร่วมงานกันได้ ไม่อย่างนั้นก็ต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี สามารถที่จะคบกันแบบผิวเผินเพื่อแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันได้
แรกเริ่มที่รู้จักเฝิงจื่อหยาง เดิมทีก็นึกว่าเขาเป็นคนประเภทที่สอง ทว่าพอไปมาหาสู่กันนานวันเข้า เขาก็เป็นคนประเภทแรกควบคู่ไปด้วย ความอดทนที่ชูหนิงมีต่อเขาทั้งเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวล้วนมีให้มากกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย
เฝิงจื่อหยางยังคงบ่นพึมพำอยู่ในสายโทรศัพท์
ชูหนิงพูดตัดบท “ไปเป็นเพื่อนนายด้วยก็ได้”
ฝั่งนั้นเงียบเสียง
ชูหนิงพลันผุดความคิดขึ้นมา พูดแบบกึ่งล้อเล่นกึ่งฉุนเฉียว “ช่วยฉันฆ่าจ้าวหมิงชวนสิ”
เฝิงจื่อหยางส่งเสียงกระแอมสองครั้งทันที “ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันแล้ว ลาก่อน” จากนั้นก็วางสายไป
ชูหนิงหมดคำพูด เป็นคนพรรค์ไหนกันล่ะนี่
มะรืนนี้เป็นวันพฤหัสบดี ชูหนิงยังพอมีเวลาว่างช่วงบ่ายให้เฝิงจื่อหยาง เฝิงจื่อหยางเป็นแฟนคลับกองทัพแบบฉาบฉวย เธอเคยเห็นคอลเล็กชั่นของเขา เขามีโมเดลรถถังและเครื่องบินที่มีรูปร่างพิลึกกึกกือส่วนหนึ่ง สามารถวางเต็มสองห้องได้เชียวแหละ
ระหว่างทาง ชูหนิงถามเขาว่า “นายเองก็เรื่อยเปื่อยทำอะไรตามใจชอบเหลือเกินนะ สนใจการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการแบบนี้ด้วย?”
นิ้วมือของเฝิงจื่อหยางอยู่ที่พวงมาลัย “ทำไมต้องถามไถ่ภูมิหลังที่มาของวีรบุรุษ* แล้วอีกอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยมีความซ้ำซากจำเจในเชิงศิลปะ แถมมีแรงบันดาลใจมากกว่าด้วย”
ชูหนิงเอียงศีรษะถาม “นักศึกษา?”
เฝิงจื่อหยางยิ้มๆ แล้วเชิดคางไปข้างหน้า “ถึงแล้ว”
เมื่อถึงประตูมหาวิทยาลัยทรงจัตุรัส สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือคติพจน์ประจำโรงเรียนประโยคนั้น
‘บำเพ็ญตนด้วยความสงบเงียบ สร้างเสริมคุณธรรมด้วยความสมถะออมอด’
ครั้นชูหนิงเห็นชื่อมหาวิทยาลัย จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กหนุ่มเสื้อขาวในวันนั้นขึ้นมาทันที ความทรงจำผุดขึ้นมารางๆ เป็นระลอก แต่แล้วก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ยามฤดูใบไม้ร่วงในแต่ละปีมหาวิทยาลัยการบินฯ C จะจัดการแข่งขันประลองนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ขึ้นหนึ่งครั้งภายในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นของมหาวิทยาลัยไปแล้ว วิศวกรรมด้านการออกแบบอากาศยานและวิศวกรรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์คือสาขาเอกที่เป็นตัวเต็ง ช่วงไม่กี่ปีมานี้นับว่าเป็นคู่กัดที่แย่งชิงรางวัลแจ็กพ็อตกันมาตลอด
การแข่งขันจัดขึ้นตอนบ่ายสองโมง บริเวณที่รอมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
“นายดูอะไรอยู่น่ะ” ฉีอวี้กำลังสอบเทียบ* เครื่องรับสัญญาณระยะไกลเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตบไหล่ของอิ๋งจิ่ง “การตั้งค่าเส้นทางไม่มีปัญหา แต่นายระวังนะ เวลาเลี้ยวโค้งเล็กๆ ควบคุมความเร็วในการบินให้ดี”
อิ๋งจิ่งใส่ชุดยูนิฟอร์มการแข่งขันสีขาว คล้ายชุดนักเรียนสมัยมัธยมปลายนิดหน่อย นอกจากโครงสร้างทางร่างกายที่ค่อยๆ สูงขึ้นแล้ว หน้าตาก็ยังหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาไม่มีเปลี่ยน เขาถกแขนเสื้อขึ้นไปครึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้ตรงที่นั่งชม
“อธิการบดีของมหา’ลัยนั่งตรงนั้นเหรอ”
“ใช่”
“ทางนั้นล่ะ”
“ทางซ้ายเป็นที่นั่งของมหา’ลัยเรา ทางขวาเป็นที่นั่งของบุคลากรภายนอก” ฉีอวี้เข้ามาใกล้ ชี้โพรงให้กระรอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “จางไหวอวี้นั่งแถวสามด้านซ้าย ไปโปรยกลีบดอกไม้ใส่เธอตรงนั้นสิ”
ในหอประชุมโดยส่วนใหญ่ที่นั่งแทบจะเต็มหมดแล้ว เนืองแน่นไปด้วยศีรษะดำๆ ของผู้คน
เมื่อเฝิงจื่อหยางกับชูหนิงเข้ามากลับดูสะดุดตาเป็นพิเศษ สายตาอิ๋งจิ่งมองเห็นเธอทันที ตอนที่เห็นเธอ เขาก็ทำปากจู๋เป็นวงกลมโดยไม่รู้ตัว
“ว้าว”
ฉีอวี้พูดกระซิบเสียงเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแบบว่าฉันรู้นะ “ฉันติดตั้งเป็นกลีบดอกกุหลาบให้นายแหละ”
“ฉันไม่ไปโปรยทางนั้นหรอก” อิ๋งจิ่งกล่าวประโยคนี้จบก็หันหลังกลับไปพร้อมกับยิ้มตาหยี
ฉีอวี้ชะเง้อมองจนคอยาวหมดแล้ว “งั้นนายจะไปทางไหนล่ะ เอ๊ะ ฉันบอกกับนายไว้เลย อย่าเปลี่ยนเส้นทางโดยเด็ดขาด ระวังเครื่องบินตกนะเฮ้ย”
“นายยังคิดที่จะคว้าตำแหน่งจริงๆ เหรอ” อิ๋งจิ่งไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “เอาแบบสบายๆ หน่อย แค่เล่นๆ ก็พอแล้ว”
การแข่งขันของมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันพอสมควรในวงการอุตสาหกรรมว่าต้องการที่จะเผยแพร่ชื่อเสียง ทางมหาวิทยาลัยเองก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสาขาเอกที่มีอิทธิพลต่อวงการมากกว่า ทุกคนรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ยิ่งนานวันเข้าก็กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไปแล้ว
ฉีอวี้หมดคำจะพูด แต่ก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดี “ถ้าหากแค่จะเล่นจริงๆ ล่ะก็ ทำไมนายยังต้องอดหลับอดนอนหลายวันขนาดนั้นล่ะ”
อิ๋งจิ่งพูดทิ้งท้ายอย่างไม่แยแส “ก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำไง”
สาขาเอกที่พวกเขาเรียนคือเครื่องยนต์อากาศยาน จับสลากขึ้นเวทีได้คิวที่หก ห้าคิวก่อนหน้านี้ต้องขึ้นเวทีแสดงทีละคน ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาที่รับผิดชอบโครงการคอยกำกับสั่งการอยู่ข้างล่างเวที
เหมือนเป็นโลกจำลองอวกาศแห่งหนึ่ง
เฝิงจื่อหยางดูด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง “ห้องโดยสารจำลองนี่สร้างได้ดีเชียวล่ะ เธอดูสิ แม้แต่รายละเอียดของอุปทานด้านสภาพนิเวศทางน้ำแบบสมมติก็ทำออกมาด้วย สวยมากเลยใช่ไหม”
ชูหนิงไม่ได้สนใจเลย “เหมือนกรงนกพลาสติก” ไม่เห็นว่าจะมีอะไรสวยตรงไหนเลย
“โอ้โห!! บินได้ด้วย!”
เฝิงจื่อหยางอุทานด้วยความตกตะลึงไปพร้อมๆ กับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในที่นั้น
ชูหนิงหมดคำจะพูดจริงๆ แล้วคิดว่าเหลวไหลสิ้นดี ถ้าบินไม่ได้ แล้วยังจะเรียกว่าเครื่องบินไหม
“นี่เป็นสภาพแวดล้อมแบบจำลองอวกาศ สามารถทดสอบการบินได้สำเร็จในสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เลยล่ะ” เฝิงจื่อหยางชื่นชม “เจ๋งจริงๆ”
เจ๋งกับผี
ชูหนิงง่วงอยากนอน
เสียงของพิธีกรปลุกสติเธอให้ตื่นนิดหน่อย “กลุ่มที่หก สาขาเอกเครื่องยนต์อากาศยาน”
มีเสียงปรบมือดังนำขึ้นมาทันทีจากพื้นที่รับชมบางแห่ง ท่าทางคงจะเป็นกองหนุน ชูหนิงเงยหน้าขึ้น เหลือบตามองบนเวทีนิดหนึ่ง ผู้ชายชุดขาวเดินขึ้นมาก่อน เขาโค้งตัวให้อธิการบดีของมหาวิทยาลัยและคณะกรรมการตัดสินก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เดินไม่กี่ก้าวไปตรงกลางเวที โค้งคำนับให้แก่ผู้ชม
สายตาชูหนิงมองดูเขาอยู่สองรอบ อาการง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง
อุ๊ย เขาอีกแล้วเหรอ
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนเป็นความรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนในภาวะที่รู้สึกเบื่อหน่ายสุดๆ แล้วก็เหมือนเป็นโบนัสพิเศษที่แถมไว้ในตอนท้ายของภาพยนตร์ที่น่าเบื่อไม่น่าสนใจ ทำให้คนดูเซอร์ไพรส์
ชูหนิงหรี่ตาสองข้างลง เอามือสองข้างกอดอกไว้ นั่งตัวตรงขึ้นมาหน่อย
เสียงปรบมือในที่นี้ดังลั่น จากนั้นก็ค่อยๆ เบาเสียงลง แล้วจึงเงียบสงบ
อิ๋งจิ่งก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชูมือขวาขึ้นส่งสัญญาณบอก ฉีอวี้ที่อยู่ข้างล่างเวทีคอยช่วยเหลือ กดปุ่มแผงวงจรเริ่มงานตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ส่วนอิ๋งจิ่งเดินไปที่หน้าแท่นควบคุม ดึงด้ามจับคันโยกไปข้างหลังสุดแรง
เครื่องบินจำลองที่จอดอยู่ตรงกลางลานเกิดเสียงดังหึ่งๆ หลังจากลอยขึ้นไปถึงความสูงครึ่งเมตรแล้วก็ค่อยๆ หยุดพัก สุดท้ายก็บินขึ้นสู่อากาศเต็มกำลังในคราวเดียว
เฝิงจื่อหยางพูด “ทรงพลังใช้ได้”
ยากนักที่ชูหนิงจะเงียบไม่มีเสียงพูดแบบนี้
เครื่องบินบินเสร็จสิ้นครบตามเส้นทางที่กำหนด ทั้งยังพุ่งทะยานเป็นเส้นตรง เลี้ยวหักมุมแบบซัดโค้ง หมุนควงตัวยาน อิ๋งจิ่งมุ่งอยู่กับการออกคำสั่งบิน ปรับความเร็วรอบในการหมุนของเพลาใบพัด
ชูหนิงได้ยินเสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์เครื่องบินวนเวียนทั่วในพื้นที่
ห้านาที
มีเสียงถกเถียงพูดคุยกันในสนาม
เจ็ดนาที
แล้วค่อยๆ มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา
เฝิงจื่อหยางโน้มตัวไปข้างหน้า ลูบคางด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “อยู่ได้นานขนาดนี้เชียว” เครื่องบินบินต่อเนื่องเป็นเวลาสิบนาทีแล้ว
“มันยากมากเหรอ” ชูหนิงถาม
“เครื่องบินจำลองทั่วไป เมื่อบินขึ้นหนึ่งครั้งจะไม่มีทางบินได้เกินห้านาที มิหนำซ้ำยังมีโอกาสทำให้เกิดการเผาไหม้เครื่องยนต์ได้มากในโปรเจ็กต์ปฏิบัติการการบิน” เฝิงจื่อหยางพลิกเปิดดูแผ่นพับโบรชัวร์ “ผู้ชายคนนี้ชื่อว่าอะไรนะ”
“ว้าว” เสียงร้องตกใจดังขึ้น
เห็นเพียงเครื่องบินสีเขียวมันแผล็บลำนั้นกำลังหยุดลอยค้างกลางอากาศตรงพื้นที่ทางด้านซ้าย ตัวเครื่องปลดช่องด้านลำตัวเครื่องทั้งสองข้างออก ลดหางเครื่องบินให้ต่ำลง และชูหัวเครื่องให้เชิดขึ้น เหมือนกำลังพยักหน้าทักทายกับผู้ชมอยู่
ทันใดนั้นริบบิ้นสีแดงสองแถวก็พุ่งออกมา บนริบบิ้นยังเขียนตัวอักษรสองบรรทัดว่า
‘เฉลิมฉลองอย่างอบอุ่นในความสำเร็จที่ลุล่วงไปด้วยดีสำหรับการแข่งขันประลองนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเรา!!’
เครื่องบินบินขึ้นเป็นแนวตั้งอีกครั้ง เร่งความเร็วบินวนรอบสนาม ริบบิ้นสีแดงหลากสีปลิวว่อน บรรดาอธิการบดีมหาวิทยาลัยแต่ละคนต่างยิ้มแย้มยินดี
แล้วเครื่องบินก็บินไปทางขวาที่มีผู้หญิงนั่งอยู่เยอะ ริบบิ้นตกลงมา เครื่องบินสีเขียวลำน้อยไม่อยู่เฉย ขยับส่ายก้นของตัวเอง
เสียงดังปัง! ฝูงชนร้องอุทานตกใจ “ว้าย!”
กลีบดอกไม้ที่อยู่เต็มทั้งห้องเครื่องหล่นกระจายลงมา กลีบดอกไม้โปรยลงมาบนเส้นผม บนใบหน้า และบนขาของสาวๆ เสียงหัวเราะคิกคักเหมือนกระดิ่งลมดังกังวาน ไม่อาจบดบังความสุขในจิตใจของสาวน้อยได้
เฝิงจื่อหยางสนุกจนเกือบลืมหายใจ “น่าสนใจ!”
บรรยากาศในสนามเกิดช่วงเวลาสำคัญขึ้นเป็นครั้งแรก
นี่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่แอบลอกเลียนแบบนางฟ้าโปรยดอกไม้* สินะ จ่ายค่าลิขสิทธิ์แล้วหรือยัง ชูหนิงคิด ใบหน้าผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว
อิ๋งจิ่งที่อยู่บนเวทีแตกต่างจากเมื่อครู่นี้ ไม่ได้มีท่าทีจริงจังอีกต่อไปแล้ว ดวงตาถูกขับด้วยแสงไฟจนทอแสงเป็นประกาย เครื่องบินยังบินขึ้นๆ ลงๆ ต่อไป บินวนไปสองรอบ จากนั้นก็บินตรงมาจากตรงกลางแล้วหยุดห่างไปสามเมตร หัวเครื่องอยู่ตรงข้ามกับเฝิงจื่อหยางพอดี
ฝูงชนกลั้นหายใจ
ตูมๆๆ!
ฉันจะยิงใส่แก!
จากนั้นเครื่องบินก็บินรอบเฝิงจื่อหยาง พลางฉีดพ่นหมอกห้าสีออกมาจากหางเครื่อง วาดเป็นวงกลมอันใหญ่ ล้อมเฝิงจื่อหยางเอาไว้ด้านใน
เสียงหัวเราะครืนทั้งสนาม
เฝิงจื่อหยางกลับหัวเราะแทนที่จะโมโห แถมยังชูนิ้วโป้งให้อิ๋งจิ่งด้วยความประทับใจ
“…”
ชูหนิงรู้สึกปลง มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ชมแบบนี้ โคตรจูนิเบียว* เลย ทำอะไรแหวกแนวชาวบ้านจริงๆ
ยังไม่ทันสิ้นสุดอาการปลง เครื่องบินสีเขียวลำน้อยที่ผงกหัวขึ้นลงอย่างเนิบนาบสบายๆ อยู่ดีๆ ก็หักเลี้ยวกะทันหัน หัวเครื่องมุ่งหน้ามาที่ชูหนิง
?!?!
เจ้าหนูจูนิเบียว แกจะทำอะไรยะ
ชูหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นฝ่ายมองดูตัวการที่ก่อปัญหาบนเวทีก่อน เครื่องอยู่ห่างออกไปราวหกเจ็ดเมตร ข้ามผ่านศีรษะของฝูงชนมากมาย อิ๋งจิ่งมองตอบสายตาสงสัยที่ต้องการคำตอบของเธออย่างโต้งๆ แบบไม่มีหมกเม็ด
เพียงสายตาสบประสานกัน ชูหนิงก็แน่ใจทันที
เขาจำเธอได้ ไอ้เจ้าเด็กบ้ามันจงใจนี่นา
ชูหนิงสีหน้าสุขุม ทั้งยังไม่ได้มีท่าทีลนลาน เธอเบนสายตาที่ทอดไปไกลกลับมาที่เดิม จ้องมองไปยังเครื่องบินที่เล็งเป้ามาที่เธอ พลางกำหมัดขวาอย่างเงียบเชียบ ถ้าแกกล้าบินมาล่ะก็ ฉันจะตบแกให้ถึงที่ตายเลย!
ปีกหมุนลดระดับลงเล็กน้อย ลดหางเครื่องให้ต่ำลง ตัวเครื่องสั่นไหว เหมือนกับกำลังเตรียมพร้อม
ชูหนิงแอบรวบรวมสั่งสมพลังกำปั้นเงียบๆ
ตูม! ตูม! เสียงดังขึ้นไม่กี่หน ของที่ยิงออกมามีลักษณะเป็นเม็ดๆ พวกมันกระทบที่ไหล่ของชูหนิงแล้วก็หล่นลงมาตกอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเธอ สิ้นชีพอย่างอาจหาญแถมกระเด็นกลาดเกลื่อนไปทั่ว
เป็นลูกอมรสนมวั่งไจ่** หน้าตาแจ่มใสเบิกบานราวห้าหกเม็ด
อิ๋งจิ่งหน้าตาสงบนิ่ง เขายิ้มอย่างบริสุทธิ์อบอุ่นให้เธออยู่บนเวที ในครั้งนี้สายตาคนทั้งสองสบประสานกันอยู่พักหนึ่ง
ชูหนิงละสายตากลับมาเสียเฉยๆ
เหอะ ลวดลายเยอะชะมัด
* สะพานซื่อฮุ่ย คือสะพานยกระดับขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างมีเส้นทางซับซ้อน เชื่อมต่อกับเส้นทางหลายสายในกรุงปักกิ่ง เป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ซึ่งมีการจราจรที่ค่อนข้างแออัดอย่างมาก
** อวี้ยวนถาน หนึ่งในสวนสาธารณะที่สำคัญในกรุงปักกิ่ง จุดชมวิวที่ขึ้นชื่อคือการไปชมดอกไม้ โดยเฉพาะดอกซากุระที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
*** เทเมล็ดถั่ว หมายถึงพูดโพล่งออกมาตรงๆ อย่างไม่มีกั๊กไว้
* ดาวอังคารชนโลก เปรียบเปรยว่าเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด หรือสองฝ่ายที่กินกันไม่ลงมาเจอกันอย่างยากที่จะพบเจอได้
* กาน้ำเต้าไม่พ่นควัน อุปมาถึงสภาพจิตใจที่มีความอึดอัดกลัดกลุ้ม อัดอั้นตันใจ เพราะยังไม่ได้ระบายอารมณ์ที่ขุ่นข้องหมองใจออกไป เหมือนกาน้ำที่เดือดแล้วแต่ไม่พ่นควัน
* ทำไมต้องถามไถ่ภูมิหลังที่มาของวีรบุรุษ หมายถึงไม่จำเป็นต้องซักถามในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญ
* สอบเทียบเครื่องมือ หรือการคาลิเบรท คือการตรวจสอบวัดค่าความถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือให้ตรงตามค่ามาตรฐาน
* นางฟ้าโปรยดอกไม้ เป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ที่มีนางฟ้าโปรยดอกไม้จากฟ้าลงสู่ดิน เปรียบเป็นการโปรยพรมความสุขลงมา
* จูนิเบียว หรือโรคเด็ก ม.2 หมายถึงเด็กที่มีพฤติกรรมแสดงออกที่แหวกแนวแตกต่างจากคนทั่วไป มีหลายลักษณะ ทั้งอาการหลงผิดคิดเอาเอง หรือต้องการเป็นที่โดดเด่น มีความพิเศษกว่าคนปกติ หรือสร้างตัวตนตามอุดมคติให้ตัวเองเป็นที่จับตามอง
** ลูกอมรสนมวั่งไจ๋ คือชื่อยี่ห้อลูกอมรสนมของจีน ห่อสีแดง มีโลโก้เป็นรูปเด็กยิ้ม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.