X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 79-80

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 79

หลังจากเฉิงอวี๋จิ่นฟังจบแล้ว นางนิ่งเงียบไปนานมาก

นางรู้ว่าตนเองไร้เดียงสามากเกินไป นางคิดว่าได้ปฏิเสธตี๋เหยียนหลินแล้ว ตี๋เหยียนหลินจะรู้ถึงความยากลำบากแล้วถอยไปเอง แต่หากตี๋เหยียนหลินไม่เป็นเช่นนั้นเล่า ตี๋เหยียนหลินมีอำนาจบารมีมากกว่าจวนอี๋ชุนโหว น้ำหนักคำพูดในจวนย่อมเหนือกว่าเฉิงอวี๋จิ่นที่เป็นเพียงคุณหนูใหญ่คนนี้ เขาไม่ไว้หน้า จะแต่งเฉิงอวี๋จิ่นกลับไปทำงานหนักให้ได้ ต่อให้เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยินดีแล้วจะทำอะไรได้

ความแข็งแกร่งอ่อนแอที่แตกต่างทำให้คนรู้สึกจนปัญญาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางทำเช่นนี้อาจจะได้ผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่คาดไว้ก็ได้ นางปฏิเสธเขาอย่างไม่ไว้หน้า เป็นไปได้มากที่ทำให้ตี๋เหยียนหลินอับอายจนกลายเป็นโกรธ จงใจแต่งงานกับนางเพื่อแก้แค้น หลังแต่งงาน บุรุษผู้หนึ่งอยากให้สตรีมีชีวิตที่ลำบากก็มีวิธีการมากมายหลายอย่างที่จะทำได้

ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินข่าวนี้จากปากท่านหญิงชิ่งฝูก็รู้รางๆ แล้วว่าผิดไปจากแผนที่วางไว้ ตอนนี้ได้ฟังเฉิงหยวนจิ่งพูดจบ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไร้เดียงสาจนน่าขัน นางคิดว่าสามารถอาศัยตนเองไปพูดเกลี้ยกล่อมไช่กั๋วกงได้ ยามอยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งและอ่อนแอสุดขั้วเช่นนี้ จะมีความยุติธรรมและเหตุผลอะไรให้พูดกันได้เล่า

เห็นเฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดอะไร เฉิงหยวนจิ่งพอมองออกถึงความสิ้นหวังของนางได้บ้าง เขาถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วจัดปิ่นปักผมข้างหนึ่งบนผมของนางให้ตรง “เจ้าไม่ต้องโทษตนเอง เจ้ายังเด็ก ยังไม่เข้าใจความเลวร้ายของบุรุษ นี่เป็นเรื่องปกติมาก”

เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้า พูดว่า “พูดถึงที่สุดแล้วเป็นข้าที่อ่อนแอเกินไป ข้าไม่รู้อะไรเลย ต่อให้สืบข่าวได้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

เฉิงหยวนจิ่งนิ่งเงียบ ก่อนจะพูดว่า “อันที่จริงเจ้าสามารถบอกข้าได้”

เฉิงอวี๋จิ่นยังคงส่ายหน้า หน้าตาท่าทางไม่ค่อยใส่ใจนัก ตอบกลับโดยไม่คิดอะไรว่า “ท่านอาเก้ามีฐานะสูงส่งเพียงใด ข้าจะรบกวนท่านไปทุกเรื่องได้อย่างไรกัน สรุปแล้วเป็นข้าที่คิดพลาดไปเอง”

รอยยิ้มของเฉิงหยวนจิ่งจางลง เขามองนางอย่างเคร่งเครียด แล้วพูดขึ้นทันใดว่า “เหตุใดจะไม่ได้”

เฉิงอวี๋จิ่นตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเฉิงหยวนจิ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เขาจึงโกรธ

เฉิงหยวนจิ่งจ้องตาของเฉิงอวี๋จิ่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดอย่างจนใจว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้าจะจัดการเอง”

เฉิงอวี๋จิ่นขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อนัก “จริงหรือ”

“ให้เจ้าคิดหาวิธีการต่อไป ไม่แน่อาจจะเกิดความผิดพลาดอะไรอีก” เฉิงหยวนจิ่งพูดจบ จงใจจิ้มหว่างคิ้วของเฉิงอวี๋จิ่น “อย่าคิดอะไรส่งเดชอีก อยู่เฉยๆ ข้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างนี้เอง”

องค์รัชทายาทลงมือเองทั้งที ย่อมมีพลังมากกว่าเฉิงอวี๋จิ่นอย่างเห็นได้ชัด เฉิงอวี๋จิ่นตอบรับด้วยความยินดี เวลานี้ห่างจากที่เฉิงอวี๋จิ่นลอบออกมาจากหอโซ่วอันนานมากแล้ว ลองคำนวณเวลาดูน่าจะถึงเวลาตั้งอาหารพอดี หลังจากเฉิงอวี๋จิ่นเอ่ยเตือนเฉิงหยวนจิ่งก่อนทั้งสองจะลุกขึ้นพร้อมกัน ตอนที่เฉิงหยวนจิ่งเดินออกประตูก็พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “เจ้าให้ความสำคัญเรื่องที่บุรุษอายุมากกว่าเจ้านักหรือ”

เฉิงอวี๋จิ่นคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งหมายถึงตี๋เหยียนหลิน จึงพยักหน้ารับคำทันที “แน่นอน ทั้งที่เป็นบุรุษอายุมากกลับยังจะแต่งกับหญิงสาวอายุสิบห้าสิบหก อายุของเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีปัญหาเลย ยังจะฉวยโอกาสที่หญิงสาวไม่รู้เรื่อง หลอกให้หญิงสาวแต่งงานกับเขา ถึงขั้นที่บางครั้งไม่ได้หลอก แต่เลือกใช้การบีบบังคับ ข้าล่ะรังเกียจคนเช่นนี้เป็นที่สุด”

เฉิงอวี๋จิ่นคิดว่านางแบ่งจุดยืนของตนเองกับตี๋เหยียนหลินชัดมาก เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งจะวางใจ ทว่าพอเงยหน้าขึ้น นางกลับเห็นเฉิงหยวนจิ่งมีสีหน้าเรียบนิ่ง ท่าทางไม่ค่อยพอใจ

เกิดอะไรขึ้น ข้าพูดไม่ถูกหรือ เฉิงอวี๋จิ่นไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

เฉิงหยวนจิ่งเดิมทีเอ่ยปากพูดหยั่งเชิงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะหยั่งเชิงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา เขาอายุมากกว่าเฉิงอวี๋จิ่นห้าปี ถึงแม้ดูจากตัวเลขแล้วต่างกันไม่มากนัก แต่เฉิงหยวนจิ่งมีประสบการณ์หลากหลาย กอปรกับสาเหตุจากตัวท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง ทำให้มีระดับอาวุโสมากกว่าเฉิงอวี๋จิ่นหนึ่งรุ่นจริงๆ

คำพูดของเฉิงอวี๋จิ่นเมื่อครู่แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนปักเข้าตรงกลางเป้า ตรงกับสภาพการณ์ของเฉิงหยวนจิ่งทุกอย่าง เฉิงหยวนจิ่งได้รู้ว่าที่แท้เฉิงอวี๋จิ่นมีความคิดเช่นนี้ สภาพจิตใจซับซ้อนยากจะอธิบายได้ พลังที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างลดฮวบลงทุกที

เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้เรื่องราว ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอาเก้า ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

“ไม่เป็นไร” เฉิงหยวนจิ่งน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปกินอาหารกันก่อนเถอะ”

“อืม” เฉิงอวี๋จิ่นรับคำเสียงเบา ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงทำให้เฉิงหยวนจิ่งโกรธอีกแล้ว ตอนเฉิงหยวนจิ่งอยู่ต่อหน้านาง ความอดทนดูเหมือนจะแย่เป็นพิเศษ มักจะโกรธได้ง่าย จริงดังคาด ไม่มีผู้ใดชอบถูกรบกวน เอาแต่ขอให้องค์รัชทายาทช่วยนาง เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่ายได้ง่ายมาก

ถึงแม้องค์รัชทายาทจะบอกเฉิงอวี๋จิ่นว่ามีเรื่องอะไรให้ไปหาเขา แต่ว่านางควรพยายามรักษาระยะห่างกับองค์รัชทายาทเอาไว้ อย่าไปรบกวนคนเขาดีกว่า

พวกเขาเดินไปโดยไม่พูดอะไรกัน ทั้งสองคนเดินผ่านประตูโค้งหลายชั้น ระเบียงทางเดินหลายช่วง ตอนเดินมาถึงทางเดินปูหิน ลมวูบหนึ่งก็พัดปะทะเข้ามา ตรงทางเดินแคบเป็นแบบปิด ลมที่พัดผ่านแรงมาก พัดจนเสื้อคลุมกันลมของเฉิงอวี๋จิ่นปลิวพะเยิบขึ้นมา เฉิงอวี๋จิ่นรีบกดหมวกไว้ เอียงศีรษะหลบลม เฉิงหยวนจิ่งเห็นแล้วก็รีบขยับตัวไปขวางทางลมเอาไว้

เฉิงอวี๋จิ่นจัดคอเสื้อดีแล้ว จึงพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณท่านอาเก้า”

เฉิงหยวนจิ่งรอนางจัดเสื้อเสร็จแล้ว จึงเดินขึ้นหน้าไป ทั้งสองคนเดินไปไม่กี่ก้าว เฉิงหยวนจิ่งก็ถามว่า “วันที่ยี่สิบเดือนสิบสองเป็นวันเกิดเจ้าหรือ”

เฉิงอวี๋จิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง จึงพูดอย่างตกใจว่า “ใช่เจ้าค่ะ”

เฉิงหยวนจิ่งถามเสียงเข้มว่า “เหตุใดจึงไม่บอกข้า”

เฉิงอวี๋จิ่นเหมือนคิดไม่ถึงว่าเฉิงหยวนจิ่งจะถามเช่นนี้ นางตะลึงงันไป แล้วหัวเราะออกมา “เรื่องเล็กแค่นี้จะควรค่าให้พูดได้อย่างไร ท่านอาเก้า ท่านไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด”

เฉิงหยวนจิ่งรู้ว่านางไม่อยากได้ยินชื่อของฮั่วฉางยวน จึงเลี่ยงไม่พูดถึง พูดเพียงว่า “เมื่อครู่ได้ยินคนพูดถึง ในจวนจัดงานฉลองให้เจ้าหรือไม่”

“ไม่มี” เฉิงอวี๋จิ่นส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “แค่วันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เทศกาลพิเศษอะไรเสียหน่อย เพียงแค่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนวุ่นวาย ตอนนี้ข้ายังไว้ทุกข์อยู่ เทียบกับการฉลองวันเกิดแล้ว ชื่อเสียงความกตัญญูในวันหน้าสำคัญยิ่งกว่า”

เฉิงอวี๋จิ่นไม่ชอบฉลองวันเกิด เพราะตั้งแต่นางจำความได้ วันเกิดแต่ละปีจะฉลองร่วมกับเฉิงอวี๋โม่ ฐานะของนางเดิมทีก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอยู่แล้ว และเทียบกับเฉิงอวี๋โม่ที่มีบิดามารดาผู้ให้กำเนิดและน้องชายอีกสองคนคอยเกื้อหนุนไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองคนฉลองวันเกิดร่วมกัน เฉิงอวี๋จิ่นมักจะเป็นฝ่ายที่ถูกเปรียบเทียบ เวลานานเข้าเฉิงอวี๋จิ่นจึงมีความสนใจต่อวันเกิดน้อยลง นางไม่ชอบถูกคนเหยียบย่ำ และไม่ชอบทำอะไรแล้วมีอีกคนหนึ่งเลียนแบบตาม เมื่อเทียบกันแล้วสู้เป็นเหมือนอย่างเช่นปีนี้ไม่ได้ มันสงบเงียบ ไม่ตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงสุรา รับของขวัญวันเกิดแล้วก็กลับได้

“จะไม่สำคัญได้อย่างไร” เฉิงหยวนจิ่งเหมือนจะถอนใจเฮือกหนึ่ง “นี่เป็นวันคล้ายวันที่เจ้าเกิด เป็นวันเดียวในหนึ่งปีที่เป็นของเจ้า จะไม่สำคัญได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ พลาดวันเกิดของเจ้าไป เจ้าอยากได้ของขวัญอะไร ข้าจะชดเชยให้เจ้า”

ก่อนหน้านี้เฉิงหยวนจิ่งไม่รู้ว่าวันเกิดของนางคือวันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง มิเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบกลับมาให้ได้ ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว ทำได้เพียงชดเชยให้นางด้วยของขวัญ

เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่ได้รับ “ไม่จำเป็นกระมัง”

“ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ”

เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงวันเกิดของเฉิงหยวนจิ่ง เขาเกิดในวันที่ห้าเดือนห้าเป็นวันและเดือนแห่งความชั่วร้าย ในสายตาของคนทั้งใต้หล้าเป็นวันที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าเพราะวันเกิดนี้ เขาจึงถูกหยางไทเฮาพูดตัดสินว่าจะมีชีวิตได้ไม่ยืนยาว ยังทำให้จงฮองเฮามารดาของเขาเดือดร้อนไปด้วย

เฉิงอวี๋จิ่นในใจมีความรู้สึกที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนอย่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา เฉิงหยวนจิ่งระหกระเหินอยู่ภายนอกตั้งแต่ห้าหกขวบ เกรงว่าคงไม่มีใครจดจำว่าต้องฉลองวันเกิดให้เขา ทุกปีตอนเทศกาลตวนอู่ทุกบ้านทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย เขาจัดการตนเองอย่างไร

เฉิงหยวนจิ่งไม่เคยฉลองวันเกิดของตนเองเลย ดังนั้นจึงคิดจะชดเชยให้นางกระมัง

เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงตรงนี้ก็พูดอะไรไม่ออก

เฉิงหยวนจิ่งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางได้นานแล้ว เขากวาดมองผ่านๆ ก็เดาได้ว่าเฉิงอวี๋จิ่นคิดอะไรอยู่ เฉิงหยวนจิ่งไม่สนใจคำพูดในอดีตของหยางไทเฮานานแล้ว พวกเขาต่างพูดว่าเขาจะมีชีวิตไม่ยืนยาว น่าเสียดายเขายังคงมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ไม่ใช่หรือ

เฉิงหยวนจิ่งคิดว่าเฉิงอวี๋จิ่นคงคิดมากไป เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่ และไม่ต้องสนใจหน้าตาของข้า เจ้าอยากได้อะไรก็พูดมา ความปรารถนาในวันเกิดของเจ้า ข้ายังไม่ถึงขั้นทำไม่ได้”

เฉิงอวี๋จิ่นไม่ค่อยเชื่อคำพูดนี้นัก นางจงใจเล่นลูกไม้ เงยหน้าขึ้นมองเฉิงหยวนจิ่งอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านอาเก้า ข้าอยากได้อะไรท่านจะทำให้เป็นจริงได้หมดหรือ”

เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะเบาๆ คำพูดนี้หากผู้อื่นรับปากคงต้องทำผิดคำพูด เพราะถ้าเฉิงอวี๋จิ่นบอกว่าต้องการราชบัลลังก์ เช่นนั้นคงเป็นการก่อการกบฏ แต่ถ้าเป็นเฉิงหยวนจิ่งกลับสามารถทำได้จริง

ตำแหน่งขุนนาง ความร่ำรวย หรืออำนาจเกียรติยศในใต้หล้านี้ แม้แต่ราชบัลลังก์ เขาก็สามารถให้ได้

เฉิงหยวนจิ่งปล่อยให้นางโอหังตามใจเช่นกัน “เจ้าพูดมาได้เลย”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ข้าอยากให้วันหน้าทุกเรื่องราบรื่น มีลูกหลานเต็มบ้าน ทำอะไรไม่มีสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีใครกล้าขัดความต้องการของข้า”

เฉิงอวี๋จิ่นตั้งใจขอสัญญาที่ไม่อาจเป็นจริงได้ คำพูดเหล่านี้เหมือนบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี* ไม่มีแม้แต่ที่จับต้องได้อย่างแท้จริง แล้วจะทำได้อย่างไร แต่ในเมื่อคนหนึ่งกล้าพูด อีกคนก็กล้ารับปาก เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะ แล้วใช้แววตาแฝงความคิดลึกซึ้งนั้นมองนาง “เรื่องนี้จะมีอะไรยาก”

เอาอีกแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นมักจะรู้สึกว่าแววตาของเขาแปลกๆ แต่กลับคิดไม่ออกว่ามันแปลกที่ใด โชคดีที่ในเวลานี้มาถึงหอโซ่วอันแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นโล่งใจ จะเดินเข้าไปข้างใน

ตอนที่ก้าวขึ้นบันได เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคนข้างกายพูดว่า “วันหน้าห้ามเรียกว่า ‘พี่หลิน’ อีก”

เฉิงอวี๋จิ่นชะงักฝีเท้า หยุดยืนตรงบันได ในช่วงเวลานี้เฉิงหยวนจิ่งได้เดินผ่านนางมายืนบนบันไดหินเรียบร้อย ความสูงของทั้งสองคนเดิมทีก็ต่างกันมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีความต่างของขั้นบันไดอีก ยิ่งทำให้ต่างกันมากขึ้น เฉิงหยวนจิ่งพบว่าระดับความสูงนี้ลูบหัวของเฉิงอวี๋จิ่นได้สะดวกเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่เกรงใจ ยื่นมือไปลูบหัวที่มีผมนุ่มๆ ของนาง

เฉิงอวี๋จิ่นพอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงมือของเขาอย่างไม่ยินยอมเท่าไรนัก เฉิงหยวนจิ่งรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่รู้ว่าคนสกุลเฉิงอยู่ไม่ไกลออกไป ทำลายหน้าตาของเฉิงอวี๋จิ่นนางคงจะร้อนใจมาก ดังนั้นเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่ได้ฝืนใจ ดึงมือกลับมาตามน้ำ แล้วพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่าท่านอา แต่เรียกเขาว่าพี่ชาย วันหน้าห้ามทำ”

เฉิงอวี๋จิ่นไม่ยินดีนัก เฉิงหยวนจิ่งไม่ใช่ท่านอาจริงๆ ของนางเสียหน่อย หลินชิงหย่วนกับเขาอยู่ในรุ่นเดียวกัน แล้วต้องเรียกว่า ‘ท่านอาหลิน’ มันไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ ตั้งใจจะแกล้งกันแท้ๆ หากเฉิงอวี๋จิ่นคิดจะแต่งงานกับหลินชิงหย่วนก็ต้องเปลี่ยนแปลงสถานะที่หลินชิงหย่วนมีต่อนางอย่างเงียบๆ จากหลานสาวของสหายสนิท เปลี่ยนเป็นสตรีอายุน้อยที่งดงาม

บนโลกนี้ยังมีคำเรียกหาที่ปิดบังได้เหมาะสมยิ่งกว่าพี่ชายน้องสาวอีกหรือ เฉิงอวี๋จิ่นตัดสินใจดีแล้วว่าจะเรียก ‘พี่หลิน’ ก่อน จากนั้นเป็น ‘พี่ชิงหย่วน’ สุดท้ายค่อยเปลี่ยนไปเรียก ‘ชิงหย่วน’ โดยไม่ให้รู้ตัว มองการณ์ไกลเพื่อเป้าหมายในอุดมคติเช่นนี้ ไม่ทราบว่าไปขัดตาเฉิงหยวนจิ่งตรงที่ใดกันแน่

เฉิงอวี๋จิ่นพูดอย่างไม่ยอมรับว่า “แต่ว่า…ข้ากับอาลักษณ์หลิน อายุไล่เลี่ยกัน…”

คำพูดนี้เฉิงหยวนจิ่งไม่ชอบฟัง เขากับเฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่ได้อายุห่างกันมากนัก เฉิงอวี๋จิ่นกลับมีใจยกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ เขาไม่เคยถูกเฉิงอวี๋จิ่นเรียกว่าพี่ชายมาก่อน จะให้หลินชิงหย่วนได้รับมันได้อย่างไร

“ไม่ได้” เฉิงหยวนจิ่งเอ่ยปากตัดหนทางถอยหนีของเฉิงอวี๋จิ่นทันที “ในตระกูลใหญ่การนับรุ่นสำคัญที่สุด ข้าเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น เข้าใจหรือไม่”

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า รับปากอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าเข้าใจแล้ว”

เฉิงหยวนจิ่งหลุบตาลงมองนาง ในใจรู้ว่านางไม่เข้าใจอะไรเลย

ศีรษะที่เต็มไปด้วยผมนุ่มๆ นี่คงไม่ได้ทำด้วยไม้หรอกกระมัง

เฉิงหยวนจิ่งคิดพลางยื่นมือออกไป เขกหัวของเฉิงอวี๋จิ่น

เฉิงอวี๋จิ่นกุมหัว จ้องเขาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “ท่านทำอะไร!”

“ฟังเสียงดัง”

บทที่ 80

เฉิงอวี๋โม่กับเฉิงหมิ่นต่างกลับมาบ้านเดิม บังเอิญว่าวันนี้เฉิงหยวนจิ่งกลับมาเช่นกัน สกุลเฉิงยากนักจะมีคนมารวมตัวกันพร้อมหน้าเช่นนี้ ครึกครื้นกว่าคืนวันสิ้นปีเสียอีก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นมีคนเต็มห้องก็ดีใจมาก ทุกคนกินอาหารพร้อมหน้าครอบครัวอย่างครึกครื้น

สุราอาหารเต็มอิ่ม ความร้อนและความง่วงทำให้คนดูเกียจคร้าน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเข้าไปนอนในห้องส่วนใน สวีเนี่ยนชุนก็ถูกเฉิงหมิ่นไล่ไปนอนเช่นกัน เฉิงหมิ่นจัดให้สวีเนี่ยนชุนอยู่ในห้องกั้นฉาก ปิดประตูให้บุตรสาวด้วยตนเอง แล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างเบามือเบาเท้า

ในห้องหลักมีคนจำนวนหนึ่งนั่งกระจายกันอยู่ เวลานี้ไม่มีญาติผู้ใหญ่และเด็กๆ คอยรบกวน พวกเขาจึงมีท่าทีผ่อนคลาย พูดคุยกันได้สบายใจยิ่งขึ้น นายท่านรองสวี เฉิงหยวนฮั่น และฮั่วฉางยวนนั่งพูดคุยเรื่องในราชสำนักอยู่ที่โถงหลัก เฉิงอวี๋โม่ถูกหร่วนซื่อดึงมานั่งบนเตียงในห้องด้านข้าง พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้

เฉิงหมิ่นเดินวนไปรอบทั้งห้าส่วนของโถงหลัก พบว่ามีคนน้อยลงมาก เฉิงอวี๋โม่เห็นเฉิงหมิ่นเดินวนไปมาเหมือนกำลังหาใครอยู่ จึงถามว่า “ท่านอาหญิง ท่านตามหาพี่รองสวีอยู่หรือ”

เฉิงหมิ่นส่ายหน้า แล้วเอียงตัวนั่งลงบนเตียงเช่นกัน พูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว เขาโตถึงเพียงนั้นแล้ว มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน อากำลังหาพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอยู่ นางเพิ่งกลับมาตอนกินอาหาร อาไปปูที่นอนให้เนี่ยนชุนที่ห้องกั้นฉาก ไม่ทันสังเกตแค่เพียงชั่วครู่นางก็หายตัวไปแล้ว”

เฉิงอวี๋โม่รอยยิ้มจางลง พูดว่า “ที่แท้ท่านอาหญิงตามหาพี่หญิงใหญ่อยู่นี่เอง เมื่อครู่ท่านอาเก้ากลับมาแล้ว ตอนนี้พี่หญิงใหญ่คงจะอยู่ที่เรือนของท่านอาเก้าแน่นอน”

“อ้อ อย่างนั้นหรือ” เฉิงหมิ่นลังเลใจ “จิ่นเจี่ยเอ๋อร์สนิทสนมกับจิ่วหลางเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”

สาวใช้ที่ติดตามพูดต่อขึ้นว่า “นายหญิงหมิ่นคงจะไม่รู้ ปีนี้คุณหนูใหญ่กับนายท่านเก้าถูกชะตากันมาก ตอนที่ท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ได้ให้คุณหนูใหญ่ปักอักษรของนายท่านเก้าชิ้นหนึ่ง ท่านคงจะรู้เรื่องนี้ เป็นชิ้นที่ส่งเข้าไปในวังชิ้นนั้น”

เฉิงหมิ่นพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”

“ก็ด้วยเหตุนี้เพื่อผลงานปักชิ้นนี้ คุณหนูใหญ่เรียนเขียนอักษรจากนายท่านเก้าอยู่หนึ่งถึงสองเดือน หลังจากปักฉากบังตาเสร็จแล้ว คุณหนูใหญ่ก็ไปยืมตำราถามเรื่องอักษรที่เรือนพักของนายท่านเก้าบ่อยครั้ง ตอนนี้คิดว่าคงจะอยู่ที่นั่นเช่นกันเจ้าค่ะ”

เฉิงหมิ่นตกใจ ปีหนึ่งนางกลับบ้านเดิมไม่กี่ครั้ง ไม่รู้สภาพการณ์ระยะนี้ของจวนอี๋ชุนโหว ในความทรงจำก่อนหน้านี้เฉิงอวี๋จิ่นมักจะตามติดอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ครั้งนี้ไม่เห็น จึงได้รู้ว่าที่แท้เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งสนิทกันแล้ว

เฉิงอวี๋โม่ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร ยกมือใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปาก แล้วพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ไม่เพียงเท่านี้ วันนี้ตอนพวกเรากำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็หาตัวพี่หญิงใหญ่ไม่เจอ เป็นท่านอาเก้าที่ออกไปตามหาอีกด้วย ตั้งแต่ท่านอาเก้ากลับมา พี่หญิงใหญ่จะอยู่กับคนอื่นน้อยมาก ปกติจะติดตามแต่ท่านอาเก้า พวกเขามักจะเข้าพร้อมกันออกพร้อมกัน ข้านานทีจะกลับบ้านเดิม กลับไม่ได้พูดคุยกับพี่หญิงใหญ่เสียที อาจเป็นเพราะท่านอาเก้าความรู้สูงส่ง พี่หญิงใหญ่จึงคร้านจะสนใจพวกเรากระมัง”

หร่วนซื่อพูดสอดรับอยู่ด้านข้าง “ถูกต้อง แม้แต่ทุกคนพูดคุยกันอยู่ พวกเขาสองคนก็นั่งอยู่ตามลำพังข้างนอก ไม่มาอยู่รวมกับทุกคน คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าพวกเขาสองคนจึงจะเป็นร่างเดียวกัน”

เฉิงหมิ่นมองเฉิงอวี๋โม่แวบหนึ่ง เฉิงอวี๋โม่หลุบตาลง บนใบหน้าขาวสะอาดอ่อนแอมองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าไม่ออก เฉิงหมิ่นสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโตแล้ว ต้องมีความคิดเป็นของตนเอง อีกอย่างคุณหนูใหญ่รู้ความตั้งแต่เด็ก เนี่ยนชุนยังซนเป็นลิงอยู่เลย นางกลับรู้จักช่วยพี่สะใภ้ใหญ่ดูแลบ้านแล้ว ให้นางนั่งอยู่กับเนี่ยนชุน เกรงว่าคงไม่มีหัวข้อสนทนาอะไรร่วมกัน เรื่องที่พวกเราพูดถกกันก็ไม่เหมาะให้นางซึ่งเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนจะฟัง ถ้าไม่มีจิ่วหลางอยู่ เกรงว่านางคงไม่มีคนพูดคุยด้วยได้สักคน โชคดีจิ่วหลางกลับมาแล้ว จิ่วหลางกับนางอายุใกล้กัน แต่กลับมีประสบการณ์มากกว่านาง เกรงว่าคงต้องเป็นสองคนนี้จึงจะมีอะไรให้พูดกันได้ อาอายุมากแล้ว ตามความชอบของคนอายุน้อยไม่ทัน เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปพูดคุยกันเองเถิด”

เฉิงอวี๋โม่สีหน้าเรียบเฉย กระตุกมุมปากเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มแข็งเกร็งว่า “ท่านอาหญิงพูดถูก เป็นข้าเองที่ไม่ได้ตระหนักถึงสภาพการณ์ของพี่หญิงใหญ่”

เฉิงหมิ่นยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วพูดอะไรอีกมากมายเลี่ยงไปจากหัวข้อสนทนานี้ เฉิงอวี๋โม่เล่าเรื่องสกุลฮั่วให้หร่วนซื่อฟัง เฉิงหมิ่นมองดูหลานสาวคนรองที่เคยไร้เดียงสาอ่อนโยนพูดอย่างไรก็ไม่พ้นเรื่องสกุลฮั่ว ก็ลอบทอดถอนใจเฮือกใหญ่อยู่ภายใน

พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว เฉิงอวี๋โม่ที่เคยหลบอยู่หลังผู้ใหญ่อย่างหวาดหวั่นก็พูดจาให้ร้ายพี่สาวอย่างอ้อมค้อมเป็นแล้ว เฉิงหมิ่นถอนหายใจอย่างหนัก นางใช่จะพูดว่าการกระทำของเฉิงอวี๋โม่ไม่ถูก เพียงแต่ว่าความเศร้าใจนั้นเป็นเรื่องจริง

พวกนางสองคนเป็นฝาแฝดกัน คนหนึ่งถูกอุ้มไปเลี้ยง อีกคนให้อยู่ข้างกายหร่วนซื่อ ด้วยสาเหตุมากมายทำให้เวลาที่ทุกคนพูดถึงพวกนาง มักจะเอามาเปรียบเทียบกัน สิบห้าปีมานี้เฉิงอวี๋จิ่นอาศัยความโดดเด่นช่วงชิงสายตาของทุกคน เฉิงหมิ่นสงสารที่เฉิงอวี๋จิ่นถูกอุ้มมาเลี้ยง มักจะทนไม่ไหวลำเอียงไปทางนางมากสักนิด และเฉิงอวี๋จิ่นเองก็ทำได้ดีจริงๆ

เฉิงหมิ่นเดิมทีคิดว่าพี่น้องคู่นี้เติบโตมาได้อย่างดีมาก พี่สาวสุขุมสง่างาม น้องสาวไร้เดียงสาน่ารัก ทั้งคู่ก็รักใคร่ซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับบ้านอื่นที่ต่อสู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ

แต่ความจริงสร้างความเจ็บปวดให้เฉิงหมิ่น การดูแลซึ่งกันและกันระหว่างพี่น้องที่นางคิดไว้ล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝันของนางเอง ชะตาชีวิตของพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ต่างกันครั้งใหญ่ตอนอายุสิบสี่ปี ผลสุดท้ายเรียกได้ว่าพลิกผันอย่างคาดไม่ถึง เฉิงอวี๋โม่แต่งเข้าตระกูลใหญ่ เป็นเฉิงอวี๋จิ่นที่ทุกคนฝากความหวังไว้ถูกถอนหมั้น ตอนนี้ยังหาบ้านสามีที่ดีไม่ได้ เฉิงอวี๋โม่แต่งเข้าจวนสกุลฮั่วเพียงสี่เดือนก็ลอบตำหนิพี่สาว หาความรู้สึกเหนือกว่าจากตัวพี่สาว แย่งชิงการให้ความสำคัญต่อพี่สาวจากคนในครอบครัว

เด็กแย่งชิงทรัพย์สมบัติและความสนใจจากตระกูลเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านตนเอง เฉิงหมิ่นเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาบ้าง นี่เป็นเวลาเพียงสี่เดือน รอวันหน้าเฉิงอวี๋โม่มีฐานะมั่นคงในจวนสกุลฮั่วแล้ว คลอดบุตรชายคนโต ส่วนเฉิงอวี๋จิ่นเพราะถูกถอนหมั้นทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับคนดีได้ หรืออาจถึงขั้นไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใด ความแตกต่างของสองพี่น้องจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น นี่ไม่ยิ่งแย่ไปใหญ่หรือ

เฉิงหมิ่นเหนื่อยใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางทนไม่ได้ที่จะให้เฉิงอวี๋จิ่นเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ แต่พอคิดถึงปีศาจจอมก่อกวนโลกที่บ้านตนเองผู้นั้นแล้วยังคงไม่ได้พูดอะไร

สวีจือเซี่ยนก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป ช่วงก่อนท่าทางเหม่อลอย เฉิงหมิ่นในฐานะมารดาพอจะมองความคิดของบุตรชายออกอย่างคร่าวๆ นางเดิมทีคิดว่าการแต่งงานที่พักไว้ก่อนหน้านี้มีโอกาสพลิกผัน ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน สวีจือเซี่ยนออกนอกจวนไปครั้งหนึ่ง พอกลับมาจวนก็มีสีหน้าเศร้าสลด เฉิงหมิ่นพูดถึงเฉิงอวี๋จิ่นอีกครั้ง สวีจือเซี่ยนแค่เพียงส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไรเลย

เฉิงหมิ่นมองออกว่าครั้งนี้สวีจือเซี่ยนปฏิเสธจริงๆ แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร สวีจือเซี่ยนก็ไม่ยอมบอกสาเหตุ เฉิงหมิ่นนอกจะถอนหายใจยาวแล้ว ไม่มีวิธีจะพูดเกลี้ยกล่อมอีก

พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว

เฉิงหมิ่นรู้สึกกลัดกลุ้มใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเฉิงอวี๋โม่เรียกนาง เฉิงหมิ่นดึงสติคืนมา เห็นเฉิงอวี๋โม่ในชุดงามหรูหราเหมือนกับนายหญิงน้อยที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองหลวง ยิ้มอย่างภาคภูมิและอ่อนโยนงดงาม “ท่านอาหญิง ท่านคิดอะไรอยู่ คิดจนเพลินเช่นนี้ ข้าเรียกท่านหลายครั้งก็ไม่มีการตอบสนอง”

เฉิงหมิ่นเห็นท่าทางของเฉิงอวี๋โม่แล้ว ความหดหู่อันไร้สาเหตุในใจนั้นก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นนายหญิงรองของจวนกั๋วกง จึงปรับสีหน้าได้ในเวลาไม่นาน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อากำลังคิดถึงพี่รองสวีของเจ้า ปีศาจจอมก่อกวนโลกคนนั้น ไม่ได้สังเกตเรื่องข้างนอก โม่เอ๋อร์เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรหรือ”

เฉิงอวี๋โม่เม้มริมฝีปาก ข้างแก้มปรากฏลักยิ้มเล็กที่น่ารักอันหนึ่งขึ้นมา “ข้ากับท่านแม่กำลังพูดเรื่องงานโคมไฟในเทศกาลซั่งหยวน* เทศกาลซั่งหยวนในเมืองหลวงไม่จำกัดการออกนอกจวนยามวิกาลสามวัน ท่านโหวนานทีจะมีวันหยุด บอกว่าจะพาข้าไปเดินเล่นตามท้องถนน แต่จวนจิ้งหย่งโหวมีลูกหลานน้อย แม่สามีคร้านจะออกจากจวน มีข้าไปดูโคมไฟเพียงคนเดียว คนน้อยไปไม่สนุก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าไปกับท่านอาหญิงด้วยดีหรือไม่ เหล่าคุณชายคุณหนูจวนชางกั๋วกงมีมาก หลังจากที่ข้าแต่งเข้าไปในสกุลฮั่วจึงได้รู้ว่าการมีเด็กรุ่นหลังมากเป็นเรื่องที่ครึกครื้นมากเรื่องหนึ่ง ท่านโหวชอบที่จวนชางกั๋วกงมีลูกหลานมากเช่นกัน ดังนั้นพวกเราสองบ้านไปด้วยกัน ท่านอาเห็นว่าเป็นอย่างไร”

เฉิงหมิ่นเริ่มแรกตกใจ จากนั้นก็รู้สึกยินดีมาก ฮั่วฉางยวนตอนนี้มีอำนาจบารมีมาก จวนชางกั๋วกงหลายปีมานี้อยู่ในสภาวะอึดอัด เรื่องทุกอย่างอาศัยพระชายาที่อยู่ในวังหลวงคอยหนุนหลังเอาไว้ จวนชางกั๋วกงก็เคยคิดจะสร้างความสัมพันธ์กับจวนจิ้งหย่งโหวเช่นกัน แต่จนใจที่หาโอกาสเหมาะสมไม่ได้มาตลอด สามารถมีโอกาสนี้ได้ เป็นเรื่องที่ทุกคนในสกุลสวีคาดหวังอยู่แล้ว

เฉิงหมิ่นย่อมต้องรับปากทันที เฉิงอวี๋โม่เป็นหลานสาวของนาง ทางเส้นนี้ได้เฉิงหมิ่นนำไปตรงหน้าสวีเหล่าไท่จวิน ทำให้เฉิงหมิ่นได้หน้ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

เฉิงหมิ่นสัมผัสได้ว่าเฉิงอวี๋โม่จงใจทำ อย่างไรเสียเฉิงหมิ่นก็ชอบเฉิงอวี๋จิ่นที่งามสง่ารู้ความมากกว่ามาตลอด เรื่องนี้ปกปิดกันไม่ได้ เฉิงอวี๋โม่พูดเช่นนี้ในตอนนี้มีจุดประสงค์จะชิงความเหนือกว่าเฉิงอวี๋จิ่น บอกเฉิงหมิ่นว่าหลายปีมานี้มองคนผิดไปแล้ว

เฉิงหมิ่นหวังอย่างยิ่งว่าเป็นนางที่คิดผิดไปเอง ใช้จิตใจที่คับแคบของคนร้ายไปวัดความคิดของคนดีจนเข้าใจเฉิงอวี๋โม่ผิด แต่ใครให้ความจริงมีอำนาจเหนือกว่าคนเล่า เฉิงอวี๋โม่ตอนนี้เป็นช่วงที่ถูกผลักดันขึ้นสู่ที่สูง ภรรยาอาศัยสามีเพื่อรุ่งเรือง เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้

เฉิงหมิ่นจำต้องก้มหัวให้กับหลานสาวคนรอง นางเหลือบมองหร่วนซื่อ แล้วถามว่า “สามารถไปชมโคมไฟกับจวนโหวได้ พวกเราย่อมยินดีอย่างยิ่ง แต่โม่เอ๋อร์นานทีจะได้พบหน้าพี่สะใภ้รองสักครั้ง ไม่ไปพร้อมกับพี่สะใภ้รองหรือ”

หร่วนซื่อถอนใจ พูดตอบว่า “เดิมทีข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่ก่อนหน้านี้ท่านแม่พูดไว้แล้วว่าเทศกาลซั่งหยวนนางมีกำหนดการไว้แล้ว ให้ข้าอย่ารับปากผู้ใดส่งเดช โม่เอ๋อร์ตอนนี้อย่างไรเสียก็เป็นคนของสกุลฮั่ว ข้าไม่สะดวกจะขัดความประสงค์ของท่านแม่ ทำได้เพียงไหว้วานน้องหญิงช่วยดูแลโม่เอ๋อร์ด้วย”

เฉิงหมิ่นย่อมรับปากทันที พอพูดถึงเทศกาลซั่งหยวน ความสนใจของพวกสตรีก็เกิดขึ้นทันที เริ่มพูดกันเจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ ไม่เพียงแค่เฉิงหมิ่นกับเฉิงอวี๋โม่ที่เป็นฮูหยินนายหญิงเหล่านี้เท่านั้น สตรีทุกคนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือไม่ จะเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์หรือชาวบ้านทั่วไป ต่างก็เฝ้ารอเทศกาลซั่งหยวนนี้

เทศกาลซั่งหยวนไม่จำกัดการออกนอกจวนยามวิกาลสามวัน ฮ่องเต้กับราษฎรฉลองร่วมกัน ทุกคนออกมาชมโคมไฟตามท้องถนน กฎระเบียบที่เคร่งครัดเป็นพิเศษตามปกติของชายหญิงเวลานี้ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ไม่มีผ้าคลุมหน้าและไม่มีฉากกั้นทาง บรรดาชายหญิงจับกลุ่มสามคนห้าคน รวมกลุ่มจัดขบวน ระหว่างทางพบหน้ากัน บนใบหน้าต่างมีรอยยิ้ม

ในอีกทางหนึ่ง เทศกาลซั่งหยวนก็คือวันแห่งความรักดีๆ นี่เอง

 

ตอนวันที่สิบสามสาวใช้ในเรือนก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว รอจนถึงวันที่สิบห้า บรรดาสาวใช้เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ ท่าทางมีความสุขครึกครื้นอย่างมาก ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวพยายามแต่งตัวเฉิงอวี๋จิ่นให้เหมือนเทพธิดาอย่างเต็มที่ วันนี้เป็นเวลาที่ปราศจากข้อห้ามอย่างที่หาได้ยากในหนึ่งปี คุณหนูใหญ่ของพวกนางต้องงดงามตะลึงไปทั่ว ได้รับความรักจากท่านเขยในอนาคต จะให้ดีคือต้นฤดูใบไม้ผลิก็หมั้นหมายทันที

เฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าใด หลายวันนี้นางลอบรำคาญใจเรื่องจวนไช่กั๋วกงมาตลอด เฉิงหยวนจิ่งบอกว่าเรื่องนี้มอบให้เขาจัดการ จากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก เฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่สบายใจอย่างยิ่ง นางอยากรู้มากว่าการจัดการที่เฉิงหยวนจิ่งพูดถึงมันเป็นวิธีการจัดการอย่างไรกันแน่

ท่ามกลางความครึกครื้น ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง จวนอี๋ชุนโหววันนี้กินอาหารเย็นเร็วขึ้น จากนั้นท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อก็นำสาวใช้และเด็กๆ นั่งรถออกไปชมโคมไฟข้างนอก

บอกว่าเป็นเด็กๆ แท้จริงแล้วเป็นหญิงสาวในจวนสกุลเฉิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน เหลือเฉิงอวี๋จิ่นเพียงคนเดียวแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นพอคิดว่าอีกครู่ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อต้องใช้สองตาจับจ้องนางคนเดียวก็รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่รู้สึกสนุกแม้แต่น้อย

ทว่าไม่เพียงเท่านี้ พอนางลงรถเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นท่านหญิงชิ่งฝูหันมองไปมา จากนั้นก็โบกมือไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยความตื่นเต้นยินดี

เมื่อเฉิงอวี๋จิ่นเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าของอีกฝ่ายแล้ว สีหน้าก็เย็นชาขึ้นทันที

จวนไช่กั๋วกงอีกแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก นี่ต้องเป็นฝีมือของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงอย่างแน่นอน

นายหญิงรองตี๋แท้จริงแล้วเห็นรถม้าของจวนอี๋ชุนโหวนานแล้ว แต่นางหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ตอนนี้ท่านหญิงชิ่งฝูโบกมือให้นาง นายหญิงรองตี๋จะเลี่ยงต่อไปก็ไม่ได้ จำต้องเดินเข้าไปหา

“นายหญิงใหญ่เฉิง นายหญิงรองเฉิง บังเอิญจริง ได้เจอกันที่นี่ เมื่อครู่คนเยอะ ข้ามองไม่เห็นเลย”

คำพูดของนายหญิงรองตี๋นี้ท่านหญิงชิ่งฝูไม่ได้คิดอะไรมาก เดินเข้าไปพูดคุยอย่างกระตือรือร้น หร่วนซื่อเห็นคนของจวนไช่กั๋วกง ดวงตาก็เปล่งประกาย ตามเข้าไปพูดทักทายทันทีเช่นกัน

มีเพียงเฉิงอวี๋จิ่นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม มองกลุ่มคนข้างหน้าอย่างเย็นชา

นายหญิงรองตี๋ปากพูดอย่างยินดี แต่ในใจกลับทอดถอนใจอยู่ตลอด นางช้อนตาขึ้นมองไป เห็นเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่ไม่ไกลพอดี อยู่ภายใต้แสงไฟทั่วเมือง จ้องมองนางอย่างเงียบๆ

นายหญิงรองตี๋หัวใจเต้นกระตุก จากนั้นนางก็นึกถึงคำกำชับของแม่สามีก่อนออกจากจวนขึ้นมา จึงกลัดกลุ้มยิ่งขึ้น

ตอนที่นางรู้ว่าแม่สามีหมายตาคุณหนูใหญ่ของจวนอี๋ชุนโหว อยากแต่งกลับมาเป็นภรรยาเอกคนใหม่ให้แก่พี่ชายสามี นายหญิงรองตี๋ในใจมีความไม่ดียินดีนับหมื่น ทว่าจวนไช่กั๋วกงอย่างไรก็มีแม่สามีและพี่ชายสามีเป็นเจ้าบ้าน นายหญิงรองตี๋เป็นเพียงสะใภ้รอง ภรรยาของน้องชายไช่กั๋วกงเท่านั้น จะมีสิทธิ์คัดค้านอะไรได้ ทำได้เพียงหน้าเสีย ฟังแม่สามีกับพี่ชายสามีปรึกษากันเรื่องการแต่งภรรยา

ก็แค่แต่งภรรยาเอกคนใหม่ แต่ฟังการเตรียมการของพวกเขาแล้วยังดูยิ่งใหญ่กว่าการแต่งภรรยาเอกคนแรกเสียอีก นายหญิงรองตี๋โกรธไม่เบา เมื่อคิดถึงว่าพอฮูหยินกั๋วกงคนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว นางต้องมอบอำนาจในการดูแลจวนกลับคืนไปก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง นายหญิงรองตี๋สืบเรื่องคำวิจารณ์ของคุณหนูใหญ่เฉิงเป็นการส่วนตัว ฮูหยินจำนวนมากพอพูดถึงนางต่างชื่นชมกันหมด คำวิจารณ์จะเป็นสง่ากิริยาเหมาะสม ออกหน้าออกตาได้ ฉลาดมีความสามารถทำได้ทุกอย่าง

นายหญิงรองตี๋ฟังแล้วกลัดกลุ้มใจยิ่งขึ้น

นายหญิงรองตี๋เดิมทีคิดว่าให้หญิงสาวคนหนึ่งมาขี่อยู่บนหัว เรื่องนี้ก็แย่มากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้

มีวันหนึ่งพี่ชายสามีกลับมาจากข้างนอก จู่ๆ สีหน้าก็เคร่งเครียดน่ากลัว บรรดาสตรีในจวนต่างพากันตกใจ แม่สามีรีบสอบถามเรื่องราว ตี๋เหยียนหลินก็เพียงแค่ส่ายหน้าไม่ยอมพูดจา ตี๋เหยียนหลินเป็นเหมือนฟ้าของจวนไช่กั๋วกง เขามีสีหน้าผิดปกติ บรรดาสตรีทั้งจวนก็พากันหวาดหวั่นตามไปด้วย

เรื่องราวหลังจากนั้นนายหญิงรองตี๋ก็ไม่รู้กระจ่างนัก รู้เพียงว่าตี๋เหยียนหลินกับแม่สามีคุยกันเป็นการส่วนตัวครู่หนึ่ง หลังจากออกมาแม่สามีก็มีสีหน้าซับซ้อนมาก และหลังจากนั้นแม่สามีก็ให้นายหญิงรองตี๋ออกนอกจวน ฉวยโอกาสในเทศกาลซั่งหยวนที่มีคนมากไม่เป็นที่สะดุดตา ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานกับสกุลเฉิงอย่างมีมารยาท

การออกนอกจวนในเทศกาลซั่งหยวนไม่ใช่ปัญหา จวนไช่กั๋วกงเดิมทีก็นัดแนะกับสกุลเฉิงไว้แล้ว แต่ว่าการถอนหมั้นนั้นเข้าใจได้ แต่ ‘อย่างมีมารยาท’ นั้นหมายความว่าอะไร

นายหญิงรองตี๋อมทุกข์ไว้เต็มกลืนจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะถูกท่านหญิงชิ่งฝูดึงตัวไว้อย่างกระตือรือร้น พูดคำสนิทสนมต่างๆ ของคนที่จะกำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกันเต็มปาก นางก็ยิ่งปวดหัว

นายหญิงรองตี๋ตามท่านหญิงชิ่งฝูไปดูแผงขายโคมไฟห้าหกแผง ในใจท่านหญิงชิ่งฝูมีความรู้สึกตื่นเต้นที่บุตรสาวในนามจะไต่เต้าขึ้นถึงจวนไช่กั๋วกง เวลานี้ยินดีอย่างยิ่ง นายหญิงรองตี๋ในใจคิดเรื่องราวอยู่ จะมีแก่ใจชมโคมไฟได้อย่างไร นายหญิงรองตี๋ใจลอย นางวุ่นวายใจครู่หนึ่งก็ตัดสินใจทันที พูดขึ้นว่า “นายหญิงใหญ่เฉิง ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

ท่านหญิงชิ่งฝูมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า “นายหญิงรองตี๋ เหตุใดจึงได้ทำท่าเกรงใจเช่นนี้ ท่านมีอะไรก็พูดมาตามตรงได้เลย”

นายหญิงรองตี๋ถอนใจเบาๆ นางกวาดตามองเฉิงอวี๋จิ่นที่เดิมตามข้างหลังแวบหนึ่ง แม้จะไม่ได้พูดชัด ท่านหญิงชิ่งฝูก็เข้าใจแล้ว ท่านหญิงชิ่งฝูกระแอมกลั้วคอ พูดกับเฉิงอวี๋จิ่นว่า “คุณหนูใหญ่ ข้ากับนายหญิงรองตี๋มีเรื่องจะพูดกัน เจ้าไปดูโคมไฟที่แผงข้างๆ ก่อนเถอะ”

เฉิงอวี๋จิ่นกวาดสายตาสงบนิ่งมองท่านหญิงชิ่งฝูกับนายหญิงรองตี๋ พอถูกสายตาเช่นนั้นมอง นายหญิงรองตี๋ก็กลั้นหายใจอย่างไร้สาเหตุ โชคดีที่เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ถามอะไรมากความ พยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วหมุนตัวเดินจากไป

นายหญิงรองตี๋ในตอนนี้จึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก อย่างไรเสียเลือกทางใดก็คงมิได้ผลลัพธ์ที่ดี นายหญิงรองตี๋จึงตัดสินใจแน่วแน่ พูดคำของแม่สามีให้ท่านหญิงชิ่งฝูฟัง

ในเวลานี้เฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่หน้าแผงขายโคมไฟอีกแผงฟากตรงข้ามถนน ถึงแม้ดวงตาจะมองโคมไฟ แต่สีหน้าไม่มีความสนุกสนานแม้แต่น้อย

เจ้าของแผงถูกเฉิงอวี๋จิ่นมองจนกลัว เขายิ้มประจบเดินเข้ามาหา แล้วถามว่า “คุณหนูท่านนี้ ท่านหมายตาโคมไฟดวงใดหรือ ข้าน้อยหยิบลงมาให้ท่านดีหรือไม่”

เฉิงอวี๋จิ่นจะชมโคมโฟอยู่ได้อย่างไร นางเข้าใจความหมายของเจ้าของแผง และไม่ยินดีจะยืนอยู่ตรงนี้ขวางการค้าของคนเขา นางนำตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวเดินไปไม่กี่ก้าวก็มีเสียงทักอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งดังมาจากด้านข้างในทันใด “คุณหนูใหญ่เฉิง?”

เฉิงอวี๋จิ่นหยุดชะงัก เอี้ยวตัวหันหน้ามา อีกฝ่ายเห็นท่าทีของเฉิงอวี๋จิ่นก็เบียดเปิดทางกลุ่มคนเดินมาหาอย่างตื่นเต้นยินดี “เป็นเจ้าจริงๆ ข้ายังคิดว่าข้ามองผิดไป”

เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงอยู่นาน พูดได้ไม่ชัดเจนว่านี่เป็นลิขิตสวรรค์หรือการกระทำของคน

“อาลักษณ์…หลิน?”

 

* บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี อุปมาถึงสิ่งที่เป็นภาพมายา ไม่เที่ยงแท้

* เทศกาลซั่งหยวน เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งตามจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า กินขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อว่าเทศกาลโคมไฟ โดยมากชื่อเทศกาลซั่งหยวนมักใช้ในบริบทของพิธีทางการ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: