บทที่ 8
ชูหนิงชะงักฝีเท้าด้วยเสียงตะโกนลั่นแบบชายชาตรีของเขา เอ่ยถามแบบขำๆ ว่า “เปลี่ยนความคิดแล้วเหรอ”
อิ๋งจิ่งเกาติ่งหูแก้เก้อ “ไม่เหมือนเมื่อวานสักนิด”
ชูหนิงไม่เข้าใจ “หือ?”
“เมื่อวานคุณจริงจังมาก” อิ๋งจิ่งพูดเสียงแผ่ว
ชูหนิงเอามือทั้งสองข้างกอดอก เวลาที่เธอผ่อนคลาย หน้าตาจะดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ “เฮ้” เธอกระดิกนิ้วไปทางเขา พูดลากหางเสียงยาวๆ “นายกลัวฉันเหรอ”
“…” อิ๋งจิ่งเหมือนหัวขโมยที่ถูกจับไต๋ได้ พูดหน้าตาเฉย “ผมไม่ได้กลัวคุณนะ”
ชูหนิงยักคิ้วสองข้างนิดหนึ่ง แล้วโทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นขึ้นมา เสี่ยวลิ่วเป็นคนโทรมานั่นเอง เธอรับสายพลางหันหลังเดินกลับไปด้วย
“ออกมาแล้ว” ตรงนี้เสียงดังโหวกเหวกมาก คาดว่าปลายสายคงได้ยินไม่ชัด ชูหนิงจึงพูดขึ้นเสียง “มาแล้ว!”
อิ๋งจิ่งยืนอยู่ข้างหลังเธอ ในครั้งนี้เขาแปลงร่างกลายเป็นขนมหนิวผีถัง* ทำตัวติดหนึบอย่างไม่ลังเล
“ผมถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม” เขาเดินตามเธอไป
“ว่า?” ชูหนิงชอบพูดขู่ให้คนกลัวเสมอ “ฉันเก็บเงินค่าคำตอบนะ”
“ทำไมคุณถึงไม่เลือกผม”
“ทำไมฉันต้องเลือกนาย”
“สาขาเอกของพวกผมเจ๋งมากนะ เป็นสาขาวิชาที่สำคัญระดับประเทศ แถมยังมีการอนุมัติงบประมาณพิเศษเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยทุกปี และผมยังค้นคว้าหาข้อมูลแล้วด้วยว่าความต้องการในผลิตภัณฑ์ด้านการบินของประเทศเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี อัตราการเติบโตเป็นแบบในเชิงอุดมคติอย่างยิ่ง” อิ๋งจิ่งแกล้งทำเป็นเชี่ยวชาญ “คุณไม่อยากกินเนื้อติดมัน** ชิ้นนี้เหรอ”
ชูหนิงมองไปที่เขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่อยาก”
“เป็นเรื่องที่สามารถทำเงินให้กิจการบริษัทได้ทั้งนั้นเลยนะ แล้วทำไมถึงจะไม่ชอบโครงการของพวกผมล่ะ”
ชูหนิงไม่อยากจะพูดให้มากความ เพียงแต่เดินตรงไปข้างหน้า
“แล้วที่คุณหมายถึงในวันนั้น…อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญเลย ในกระบวนการทั้งหมดของการวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์ในทีมหลักสามารถสร้างเทคโนโลยีผลพลอยได้ออกมามากมาย ซึ่งค่อนข้างใช้งานได้ง่ายและใช้ได้โดยทั่วไป อย่างเช่น การถ่ายภาพทางอากาศ การทำแผนที่ภูมิศาสตร์ การสำรวจทางธรณีวิทยา ทั้งหมดล้วนต้องการการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมด้านการบินทั้งนั้นเลยครับ”
อิ๋งจิ่งพูดรัวพลางหอบหายใจแฮกๆ หยุดเพื่อผ่อนลมหายใจ แล้วจึงพูดฉอดๆ ต่อไปอีก “ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยและทำเงินไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ได้ทั้งชื่อเสียงทั้งเงินทอง คุณจะมั่งคั่งร่ำรวยแน่นอน คะ…คุณ ช้าลงหน่อยสิ เฮ้ ผมแนะนำตัวเองอีกครั้งแล้วกัน ถ้าหากคุณเปลี่ยนความคิดล่ะก็ มาหาผมได้ทุก…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเธอดึงแขนเอาไว้อีกครั้ง ชูหนิงลากเขามาด้านข้าง “ดูทาง”
บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งยกเหล้าเดินเฉียดไหล่อิ๋งจิ่งไป ถ้าช้าไปสักนิด ทั้งสองคนก็คงจะชนกันจนเกิดเหตุการณ์ฟาดเคราะห์แบบว่า ‘ถ้วยชามแตกกระจาย’
อิ๋งจิ่งตะลึงงัน ชูหนิงกำลังจะปล่อยมือเขา ทว่าขณะนี้เองเขาเกิดตอบสนองขึ้นมา อิ๋งจิ่งกลับเป็นฝ่ายคว้าเธอเอาไว้ ชูหนิงแขนบอบบางจึงถูกเขาบีบจนเจ็บ
ทั้งสองคนอยู่ชิดติดกันแนบแน่น
ความตื่นเต้นและความตื่นตัวค่อยๆ ลดลง อิ๋งจิ่งพูดอย่างน่าสงสาร “คุณพิจารณาผมหน่อยเถอะนะ”
“…”
ชูหนิงนิ่งเงียบด้วยความสงสารชั่วขณะ วันนี้เธอประสบเคราะห์ร้ายอะไรกันนะถึงได้เจอคนตามติดแน่นหนึบเหมือนกาวขนาดนี้
เมื่อเกิดความรู้สึกชนิดที่แทบจะจนปัญญาแบบนี้ขึ้นแล้วสักครั้ง ก็ทำให้ความคิดที่เดิมทีมีความแน่วแน่เกิดคลอนแคลนเข้าสู่จุดวิกฤต
ชูหนิงทอดถอนใจคิดอย่างปลงตก สุดท้ายก็ผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “นายตามฉันมา”
ชูหนิงพาอิ๋งจิ่งออกมาจากร้านเหล้า
เมื่อขยับลูกบิดประตู ลมจากข้างนอกก็พัดพุ่งปะทะใบหน้า เย็นนิดหน่อย ชูหนิงจับเสื้อคลุมตัวนอกให้แน่นกระชับ
อิ๋งจิ่งยังใส่เสื้อแขนสั้นตัวนั้นอยู่ กำลังกอดแขนตัวสั่นระริก “มะ…ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจผม ผมไม่กลัวหนาวตั้งแต่เด็กแล้ว”
ชูหนิงค่อยๆ เบนสายตากลับมา จิตใจของผู้ชายคนนี้มักจะคิดเองเออเองอยู่สักหน่อยแฮะ
วกกลับมาที่เรื่องเดิม
ชูหนิงถามคำถามหนึ่งซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญต่อจิตใจเธอนิดหน่อย “ที่นายอยากชนะขนาดนี้ ต้องการอะไร”
อิ๋งจิ่งเจอลมยามฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้าใส่จนเริ่มเกิดความคลางแคลงไม่แน่ใจ หนาวจนฟันสั่นกระทบกัน ถึงจะหนาวกายแต่ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจตอบ
“โครงการนี้อาจารย์ของผมเป็นคนแนะนำให้ผมเอง ผมไม่อยากให้เขาผิดหวัง ผมอยากทำ และจะทำให้ดีที่สุด”
เด็กหนุ่มยังคงหมายมั่นตั้งใจ คว้าเอาคำพูดที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นมาใช้อย่างน่าฟัง ความกระตือรือร้นทุ่มเทโดยปกติแล้วขึ้นอยู่กับมุมมองของการเอาตนเองเป็นที่ตั้ง มันทั้งยิ่งใหญ่ กว้างไกล และชวนฝัน เหมือนกับยื่นมือออกไปคว้าสัมผัสได้ ทว่าความเป็นจริงกลับอยู่ไกลสุดขอบฟ้า
ชูหนิงมองเขาอยู่เงียบๆ ไม่พูดขัดจังหวะ
อิ๋งจิ่งรวบรวมความกล้าของตัวเอง แสดงความเห็นต่อไป “และผมก็จริงจังมาก ผมกับคู่หูใช้เวลากันสี่วันสี่คืนในการสร้างแบบจำลอง อ้อ ก็แบบจำลองจิ๋วที่ฉายแสดงบนพาวเวอร์พ้อยต์ในคราวก่อนนั่นไง ผมเป็นคนทำเองเลยนะ!”
เห็นชูหนิงไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา อิ๋งจิ่งจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “คุณคงจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง ยังมีทีมโครงการอีกทีมในมหา’ลัยของพวกผม พวกเขาถูกรับเลือก หลังจากนั้นผมก็ทะเลาะกับเขา เขาสามารถเยาะเย้ยถากถางผมได้ แต่ว่าไม่สามารถดูถูกเรื่องที่ผมกำลังทำอยู่ได้ อย่างน้อยสำหรับผมแล้ว มันมีความหมายนะ”
อิ๋งจิ่งแทบจะควักหัวใจออกมาให้ทั้งโลกได้เข้าใจกระบวนการทางความคิดของเขา
หลังจากฟังอยู่นาน ชูหนิงจึงตัดสินด้วยคำพูดสามคำว่า “ไม่ยอมรับ”
“เอ๋?”
“นายแค่ไม่ยอมรับ”
“…”
มีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดี ชูหนิงยกขึ้นมารับสาย “ฉันกำลังสูดอากาศอยู่ด้านนอก ที่ประตูทางเข้า อือ ได้ ออกมาเถอะ”
เพิ่งจะเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู อิ๋งจิ่งก็ซักไซ้ไล่ถามต่อทันที “ผมไม่ยอมรับตรงไหน?!”
คำพูดเหล่านี้เหมือนเป็นคำอุตริที่อยู่นอกรีตนอกรอย เขาอยากจะพูดโต้แย้ง อยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ
มีลมพัดปอยผมขึ้นมาปิดบังคิ้วและดวงตาของชูหนิง
ไม่รู้ทำไมอิ๋งจิ่งแทบจะระเบิดลงทันที เขาเอื้อมมือไปทันควัน อยากจะปัดเส้นผมเหล่านั้นที่บดบังใบหน้าเธอออกไป เขาอยากสบตาเธอตรงๆ เกิดความร้อนรุ่มและความขุ่นเคืองอย่างไม่สามารถอธิบายได้
คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าผมแค่ไม่ยอมรับ!
ชูหนิงพูดด้วยความสงบอย่างยิ่งว่า “ก็เหมือนกับตอนนี้ที่นายหน้าแดงกับฉัน ก็คือไม่ยอมรับอยู่ไม่ใช่เหรอ”
อิ๋งจิ่งตกตะลึง อารมณ์ที่อัดอั้นภายในใจถูกเจาะทะลวงออกไป ความร้อนรุ่มนั้นจางหายไปอย่างน่าประหลาด
จู่ๆ เขาก็รู้สึกสลดอย่างมาก เกียจคร้านถึงขนาดหยุดกอดแขนให้ความอบอุ่นตัวเอง ก้มหน้าคอตกแบบหมดอาลัยตายอยากทันที
ชูหนิงอดไม่ได้ที่จะหยุดพูดโจมตี ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “…นายร้องไห้เหรอ”
อิ๋งจิ่งหันหน้าไปไม่มองเธอ
“ร้องไห้จริงๆ เหรอเนี่ย” ชูหนิงเดินไปด้านหน้าเขา เธอเดินเข้าไปหนึ่งก้าว อิ๋งจิ่งก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว จนกระทั่งหลังชนเสาหินอันใหญ่
ชูหนิงใช้มือข้างหนึ่งเท้าเอว อีกข้างหนึ่งยันใต้คางเบาๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นมองเขา “นายลองหนีอีกสิ”
อิ๋งจิ่งดื้อด้าน “ผมเป็นผู้ชาย ไม่มีทางร้องไห้หรอก มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่ร้อง”
ชูหนิงยิ้มจางๆ “ฉันเองก็ไม่เคยร้องไห้เหมือนกัน”
ทว่าความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเองของอิ๋งจิ่งดีใช้ได้ พอรู้ตัวว่าอารมณ์ขุ่นมัว เขาก็เปิดใจยอมรับ ยืนตัวตรงพร้อมกับพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร คุณเป็นผู้หญิง ร้องไห้เป็นบางครั้งก็ได้”
บรรยากาศมาถึงจุดเปลี่ยน อารมณ์ตื้นตันที่แสดงออกทางสีหน้าของชูหนิงเมื่อครู่นี้เหมือนเช่นสายลมในค่ำคืนนี้ที่พัดโชยมาอย่างเนิบช้า ทว่ามลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หนิง!” คนกลุ่มใหญ่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจเดินออกมาจากประตู เสี่ยวลิ่วส่งเสียงดังฟังชัดเพื่อให้ตนเองเป็นที่สนใจที่สุด สายตาเขาเป็นประกาย “โอ๊ะโอๆ”
อิ๋งจิ่งหันกลับมามองทางนี้ สายตานับสิบคู่ล้วนจับจ้องมาที่เขา
ชูหนิงก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว บังอิ๋งจิ่งเอาไว้โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เธอเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา เสียงหัวเราะต่อเนื่องดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว
อิ๋งจิ่งใช้ปลายรองเท้าถูไถกับพื้น สายตามองตามหลังชูหนิงไป เด็กรับรถขับรถออกมาตามลำดับ กลุ่มคนทยอยขึ้นรถอย่างต่อเนื่อง คันที่ชูหนิงนั่งคือรถอาวดี้สีขาวคันหนึ่ง อิ๋งจิ่งคุ้นเคยกับรถคันนี้เพราะอิ๋งเฉินพี่สาวของเขาก็ขับรถแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อรถชูหนิงขับผ่านข้างๆ อิ๋งจิ่ง หน้าต่างรถเลื่อนลงครึ่งหนึ่ง ใบหน้าที่นุ่มนวลขาวละมุนของเธออยู่ท่ามกลางประกายแสงไฟนีออน
สวยมากเลย
อิ๋งจิ่งแอบคิดในใจเงียบๆ “แต่ถ้าอ่อนโยนกว่านี้หน่อยก็คงดี”
หลังจากเธอไปแล้ว เขาเพิ่งได้สติกลับมา กอดแขนตัวสั่นงันงก งอตัวเหมือนปวดท้อง ฟันสั่นกระทบกันระรัว
“ทนไม่ไหวแล้ว ฉันต้องกลับไปใส่กางเกงลองจอน”
อิ๋งจิ่งปีนข้ามกำแพงกลับมหาวิทยาลัยก่อนเที่ยงคืน ทันทีที่เข้าห้องพักก็ได้ความอบอุ่นกลับคืนมา และเขาก็ลืมเรื่องใส่กางเกงลองจอนไปอีกแล้ว
ห้องพักอยู่กันสี่คน รูมเมตอีกสองคน คนหนึ่งกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ คนหนึ่งไปหาแฟนสาวที่ต่างเมือง พออิ๋งจิ่งกลับเข้ามาก็เปิดคอมพิวเตอร์ ขยับม้านั่งตัวเล็กแล้วนั่งตัวตรงหลังตั้งฉาก
“…นายทำอะไร” ฉีอวี้รู้สึกว่าช่วงนี้เขาเป็นบ้าอยู่หน่อยๆ
“ฉันอยากจะปรับแก้บางอย่างนิดหน่อย” อิ๋งจิ่งรื้อค้นด้านล่างสุดของกองหนังสือ พลิกเปิดหน้าปกหนังสือเล่มที่ฉีอวี้คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
ฉีอวี้ตะลึง “จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ นายยังจะอ่านโครงการนี้ทำไม”
อิ๋งจิ่งพลิกอ่านดูสารบัญ ใช้ดินสอทำเครื่องหมายตรงส่วนที่สำคัญแล้วก็พูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา
“ตอนนั้นเวลาเร่งรีบไปหน่อย เราไม่สามารถตรวจแก้ได้ อันที่จริงบริเวณไม่กี่แห่งที่เชื่อมต่อตรงใบพัดเทอร์ไบน์นั้นสามารถเติมให้เต็มวงและเพิ่มให้สมบูรณ์ได้อีกหน่อย”
จริง เป็นเรื่องจริง ที่อดหลับอดนอนกันหลายวันนั้น พวกเขาทำได้แค่การแยกสูตรกระบวนการขั้นตอนแบบคร่าวๆ เท่านั้น เพียงแต่ในตอนนี้…ฉีอวี้งุนงงไปหมด
“มหา’ลัยแนะนำให้พวกเราไปที่อื่นอีกเหรอ”
“ฝันไปเถอะ”
“แล้วทำไมนายถึงยังจะ…”
“ลองอีกสักครั้ง” อิ๋งจิ่งสั่นหัว ในดวงตาทอประกายแสงวิ้งๆๆ ออกมาเหมือนสายชนวนดอกไม้ไฟที่เพิ่งจุด เขาพูดเสียงหนักแน่น แต่ละคำพูดชัดเจน “ให้ฉันได้ลองดูอีกครั้ง”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในคืนวันศุกร์
ตอนบ่ายกวนอวี้โทรศัพท์มาหาชูหนิง “หนิงเอ๋อร์ ตอนค่ำเราไปกินซาชิมิกันดีไหม”
ชูหนิงมีประชุมตลอดช่วงบ่าย ปวดหลังเมื่อยเอว นวดกระดูกต้นคอพลางพูดไปด้วยว่า “วันนี้ไม่ได้จริงๆ เป็นวันเกิดของคุณป้าตระกูลจ้าว ฉันต้องกลับไปร่วมงานด้วย”
กวนอวี้ถาม “คุณป้าคนไหน”
“คนที่อยู่ฝั่งตะวันตกนั่นไง”
“อ้อ” กวนอวี้จำได้แล้ว “คนที่มีความสัมพันธ์ดีที่สุดกับพี่ใหญ่ของเธอคนนั้นสินะ”
ชูหนิงบอกว่าใช่
“งั้นเธอต้องระวังไว้หน่อย คุณป้ามีตำแหน่งสูงมากในตระกูลจ้าว เธอเลือกของขวัญได้แล้วหรือยัง เหมือนคุณป้าแกจะไม่ค่อยชอบเครื่องโลหะทองเท่าไหร่ เธออย่าซื้อเป็นอันขาดนะ”
“เธอนิสัยเหมือนแม่ของฉันเปี๊ยบ” ชูหนิงพูดตัดบท “ไว้นัดกันวันอื่นนะ”
กวนอวี้งงไปหมด ไม่เข้าใจที่ชูหนิงพูด “ฉันมีนิสัยยังไงล่ะ”
รอบคอบไปหมดทุกเรื่อง ทั้งระมัดระวังและเอาแต่ควบคุม
ในการวางตัวต่อตระกูลจ้าว แทบทุกคนสั่งสอนชูหนิงแบบนี้กันหมด
เธอรีบออกจากบริษัทตอนสี่โมงเย็น แล้วก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินเยวี่ยสายแล้วสายเล่า ถามเธอเพียงแค่ว่าของขวัญแพงไหม ต้องเลือกของขวัญที่แพงนะ อย่าให้น่าเกลียดเกินไป อีกเดี๋ยวก็พูดกำชับอีกว่าวันนี้ตระกูลจ้าวรวมตัวกันแน่นขนัด บรรดาพี่สาวน้องสาวพี่ชายน้องชายจะมากันครบถ้วน ถึงตอนนั้นเธอต้องทำตัวกระตือรือร้นอบอุ่นหน่อยล่ะ อย่ายิ้มแบบอมพะนำเกินไป
อ้อ จริงสิ และยังพูดอีกว่า “ช่วงก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ของแกเดินทางไปทำงานที่ฝรั่งเศส วันนี้พอลงจากเครื่องบินก็รีบมุ่งตรงมาที่โถงจัดงานเลี้ยงทันที ไม่มีแม้แต่อาการเจ็ตแล็ก นิสัยของเขาคนนี้แกก็รู้สินะ ถ้านอนหลับได้ไม่ดีจะอารมณ์เสียมากตอนตื่นนอน เพิ่งจะกลับประเทศ ต้องนอนไม่พอแน่นอน แกอย่าไปแหย่เขาเชียวล่ะ ถ้าเขาจะว่าแก แกก็ปล่อยให้เขาพูดไป อย่าได้ไปต่อปากต่อคำเด็ดขาด” ผ่านไปสักพักเฉินเยวี่ยก็งุนงงประหลาดใจ “ไม่มีสัญญาณเหรอ เอ๊ะ ไม่ได้วางสายนี่นา แล้วทำไมไม่ส่งเสียงพูด ฮัลโหลๆ?!”
“ได้ยินแล้ว” ชูหนิงตอบเสียงเรียบ
เฉินเยวี่ยยังพูดไม่จบ ทว่าชูหนิงกดตัดสายไปเรียบร้อยแล้ว
บังเอิญเจอไฟแดงพอดี เธอไม่ทันระวัง สมองว่างเปล่าขาวโพลนไปครึ่งวินาที เท้าจึงเหยียบคันเร่งพุ่งข้ามเลนไปเสียอย่างนั้น พอมารู้ตัวในภายหลังเธอก็เหยียบเบรกอย่างแรง ทำเอารถไปจอดแน่นิ่งอยู่บนทางเท้า
ชูหนิงตกใจจนเหงื่อท่วมเต็มหลัง
เธอสะบัดศีรษะอย่างแรง ก้มศีรษะลงแล้วหลับตาฟุบกับพวงมาลัย สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เธอปวดตรงขมับในฉับพลัน ปวดจนต้องใช้นิ้วมือบีบกดเอาเอง พอเอาออกก็มีรอยแดงเป็นทาง
มีเสียงติ๊งจากโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ที่นั่งข้างคนขับดังขึ้น ดึงสติสัมปชัญญะทั้งมวลของชูหนิงกลับมาได้นิดหน่อย
เป็นเบอร์หนึ่งที่ไม่รู้จัก ส่งข้อความที่ชัดเจนสั้นกระชับมาว่า
‘สวัสดีครับ ประธานหนิง ผมอิ๋งจิ่งนะครับ’
เหมือนกลัวว่าเธอจะจำไม่ได้ ทางนั้นจึงส่งเพิ่มเติมมาอีกข้อความ
‘คนที่คราวก่อนถูกคุณพูดจาตอกใส่จนอยากตายคนนั้นไง (อีโมจิกระอักเลือด x3)’
อีโมจิรูปมีดบังตอเสียบเลือดหยดติ๋งติดกันสามอันขจัดความหมองหม่นเมื่อครู่นี้ไปได้ทันที ทำให้เธอกลับมาอารมณ์ดีได้อย่างน่าประหลาด ชูหนิงเอนตัวพิงเบาะหลังรถเบาๆ แล้วยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก
* หนิวผีถัง หรือเหม่งทึ้ง คือขนมหวานท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของมณฑลเจียงซูเมืองหยางโจว จุดเด่นคือมีเนื้อเหนียวนุ่ม กลิ่นหอมงาและถั่ว มักใช้ในการนำมาเปรียบเทียบถึงพฤติกรรมของคนที่ชอบทำตัวติดหนึบ หรือชอบทำตัวติดแจแบบหน้าไม่อาย
** กินเนื้อติดมัน เปรียบถึงการได้รับของดี สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ หรือได้รับความมั่งคั่ง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.