บทที่ 1 เจ้านายพันธุ์ภูเขาไฟ
โอเรียนทอลพลาซ่า ถนนฉางอัน กรุงปักกิ่ง
บริษัทจี้หมิงแคปปิตอลอยู่บนชั้นยี่สิบเอ็ดในอาคารหนึ่ง
ที่นี่คือบริษัทคนรุ่นใหม่ ทั้งประธานเจ้าของบริษัท ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานต่างก็เป็นคนรุ่นใหม่ ในบริษัทเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่คึกคักมีชีวิตชีวาทุกวัน และเงินหยวนที่หมุนสะพัดอยู่ในตลาดทุนก็เป็นแรงขับเคลื่อนอย่างดีให้กับพวกเขา
ในตอนนี้ห้องทำงานของท่านประธานก็มีเสียงตะคอกดังลอยออกมา
สิบห้านาทีก่อนหน้านี้ท่านประธานลู่จี้หมิงเรียกผู้บริหารระดับสูงเข้าไปในห้องแล้วก็เปิดโหมดหม่าจิ่งเทา* บรรยากาศในห้องทำงานจึงกดดันและตึงเครียดขึ้นมา
ตอนที่หลิวอี้เทียนผู้อำนวยการฝ่ายธุรการวิ่งมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของท่านประธานก็พูดออกมาด้วยความเหนื่อยหอบ
“ผมแค่ไปห้องน้ำเดี๋ยวเดียว ทำไมสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ นี่เซียนองค์ไหนกล้าไปท้าทายกับคุณชายของเราเข้าอีกล่ะนี่” เขากระซิบถามหยางเสี่ยวหยางซึ่งเป็นผู้ช่วยเลขาฯ สาวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
สีหน้าของหยางเสี่ยวหยางเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดกลัว “ก็แผนกโปรเจ็กต์ของทีมหนึ่งที่ ผอ. เหรินรับผิดชอบนั่นไง ต้องให้เราวางหลักประกันเพิ่มเติม…คุณรีบเข้าไปเถอะ ท่านประธานลู่กำลังบ่นอยู่ว่าทำไมคนไม่ครบ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังลอยออกมาจากห้องทำงาน น้ำเสียงนั้นหนักแน่นเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลิวอี้เทียนและหยางเสี่ยวหยางถึงกับสะดุ้งตัวสั่นขึ้นมา
“แม่เจ้า! กระเทือนจนต่อมทอนซิลปวดเลย” หลิวอี้เทียนรีบถามหยางเสี่ยวหยาง “หัวหน้าคุณล่ะ หนิงเหมิงอยู่ไหน เธอไปไหนแล้ว”
หนิงเหมิงคือหัวหน้าเลขานุการของท่านประธาน ส่วนหยางเสี่ยวหยางคือผู้ช่วยของเธอ
หยางเสี่ยวหยางกลืนน้ำลาย “ไปทำธุระที่กรมพัฒนาธุรกิจตั้งแต่เช้าแล้ว”
หลิวอี้เทียนตบหน้าผาก “รีบโทรเรียกกลับมาเร็ว! ข้างในมีเสือจะกินคนอยู่แล้วไม่เห็นหรือไง! ผอ. เหรินสั่งไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะก็ มีแต่หนิงเหมิงเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตเขาได้”
หยางเสี่ยวหยางอึกๆ อักๆ “อ้อๆ” แล้วก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทร
เสียงตะคอกในห้องยังดังทะลุผ่านประตูไม้ที่ปิดสนิทออกมา
“หลิวอี้เทียน**! คุณกระซิบกระซาบอะไรอยู่หน้าประตูไม่ทราบ ถ้ายังไม่ไสหัวเข้ามา ผมจะให้คุณมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่วันเดียวเหมือนชื่อของคุณ!”
หลิวอี้เทียนโดนตะคอกเข้าก็ยกมือกุมหัวอย่างหวาดหวั่น เขารวบรวมความกล้ายื่นมือไปที่ลูกบิดประตู แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปกำชับหยางเสี่ยวหยาง
“เร็วเข้า รีบไปเรียกหนิงเหมิงกลับมา”
แล้วเขาก็เปิดประตูเข้าไปก่อนจะถูกกลืนไปกับเสียงตะคอกของลู่จี้หมิง
ในที่สุดหยางเสี่ยวหยางก็โทรศัพท์ติด เธอยกมือขึ้นป้องปากพลางเดินหลบไปด้านหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นจนเกือบจะเป็นสะอื้น
“อาเหมิง ภูเขาไฟระเบิดอีกแล้ว คุณรีบกลับมาช่วยชีวิตทุกคนด้วยเถอะ!”
ไม่นานนักหนิงเหมิงก็กลับมา
เมื่อเข้ามาถึงบริษัทเธอวางกระเป๋าลงแล้วก็เอ่ยถามหยางเสี่ยวหยาง “เกิดอะไรขึ้น”
เธอรีบมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หน้าผากยังมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มไปหมด
หญิงสาวยกมือขึ้นตลบผมอยู่สองสามทีก็ขมวดหางม้าขึ้นเป็นมวยผม แบบนี้สิถึงจะเย็นขึ้นหน่อย
หยางเสี่ยวหยางรีบบอกเล่าที่มาที่ไปด้วยความร้อนรน
“ก็ ผอ. เหรินที่รับผิดชอบโปรเจ็กต์ทีมหนึ่งคนนั้นไง มีโปรเจ็กต์แปลงหนี้ไม่ใช่เหรอ เราปรับลดค่าแล้วทางทรัสต์ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่ำทะลุระดับการขาดทุนที่ตั้งไว้ ทางทรัสต์ก็เรียกร้องให้เราวางหลักประกันเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเอาพันธบัตรและสินทรัพย์ทุกอย่างไปเปลี่ยนเป็นเงินสด พอท่านประธานลู่ได้ยินเข้าก็ระเบิดลงน่ะสิ! บอกว่าเราจะเป็นคนวางหลักประกันเพิ่มเติมได้ยังไง มันจะต้องเป็นผู้ลงทุนชุดหลังเป็นคนวางหลักประกันเพิ่มเติมสิ ทางทรัสต์ก็เลยเอาสัญญาออกมาดู เขียนไว้อย่างชัดเจนเลยว่าคนที่จะต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมคือพวกเราแน่นอน หลบไม่ได้…แล้วท่านประธานลู่ก็กลายร่างเป็นมังกรพ่นไฟ…” หยางเสี่ยวหยางพูดถึงตรงนี้ก็ถึงกับกลั้นหายใจ
หนิงเหมิงดันแว่นขึ้น เสยหน้าม้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ความรู้สึกร้อนรนเป็นกังวลของหยางเสี่ยวหยางไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเธอเลยแม้แต่น้อย
“ค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบ” หนิงเหมิงตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
หยางเสี่ยวหยางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “สรุปคือเสือร้ายโมโหก็เพราะโปรเจ็กต์ของ ผอ. เหริน แล้วก่อนที่ ผอ. หลิวจะถูกเรียกตัวเข้าไปเพียงเสี้ยววินาทีก็บอกฉันว่า ผอ. เหรินเคยบอกไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นให้เรียกคุณมา เพราะมีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตเขาได้!”
หยางเสี่ยวหยางพูดรวดเดียวจบ สีหน้าของหนิงเหมิงสงบนิ่งแม้ในใจจะรู้สึกเซ็งๆ คิดว่าอยากหาโอกาสส่งคนพวกนี้ไปที่คณะเต๋ออวิ๋น* จริงๆ
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว” หนิงเหมิงดันแว่นตาอีกครั้ง แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานท่านประธาน
ชุดทำงานกระโปรงแคบที่ห่อหุ้มร่างเพรียวบางของเธอเอาไว้ทำให้เธอดูบอบบาง ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายออร่าของคนที่มีความสามารถทำให้คนสงบนิ่งออกมา
หนิงเหมิงเป็นคนที่ช่วยชีวิต ผอ. เหริน จริงๆ
เหรินเฉิงกงเป็นผู้อำนวยการแผนกโปรเจ็กต์หนึ่ง ในมือมีโปรเจ็กต์แปลงหนี้ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำร่วมกับบริษัททรัสต์ ตอนที่ออกแบบโครงสร้างของโปรเจ็กต์ เดิมก็ตกลงกันไว้ว่ามีอีกบริษัทหนึ่งเข้าไปวางหลักประกันเพิ่มเติม แต่ขณะที่กำลังดำเนินการก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ตอนบ่ายวันนั้นไม่รู้ว่าลู่จี้หมิงไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหนแล้วดื่มมากไปหน่อย เมื่อกลับมาถึงบริษัทก็นั่งอยู่บนเก้าอี้บอสแล้วเงยหน้าดื่มน้ำเปล่าอึกๆ
ในตอนนั้นเอง ผอ. เหรินของทีมหนึ่งก็เคาะประตูเข้าไป กัดฟันรายงานตัวเลขที่เปลี่ยนแปลง
ที่แท้บริษัทที่จะต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมตามที่ตกลงกันไว้มีเงินทุนไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องรีบเปลี่ยนฝ่ายที่เข้ามาวางหลักประกันเพิ่มเติม โปรเจ็กต์นี้เร่งด่วนมาก จะเปลี่ยนให้บริษัทไหนมาวางหลักประกันเพิ่มเติมนั้นเรื่องนี้ต้องให้ลู่จี้หมิงเป็นคนตัดสินใจ ทางบริษัททรัสต์ฟีดแบ็กกลับมาว่าจี้หมิงแคปปิตอลจะเป็นฝ่ายวางหลักประกันเพิ่มเติมเองก็ได้
ดังนั้น ผอ. เหรินจึงมาหาลู่จี้หมิงเพื่อถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้จี้หมิงแคปปิตอลเป็นฝ่ายวางหลักประกันเพิ่มเติม
เมื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผอ. เหรินจึงถามลู่จี้หมิงซึ่งตอนนี้ดวงตาเลื่อนลอยด้วยความเมา
‘ท่านประธานลู่ คุณว่าเป็นแบบนี้พวกเราเป็นฝ่ายวางหลักประกันเพิ่มเติมได้ไหม’
หนิงเหมิงจำได้ว่าตอนนั้นลู่จี้หมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่านประธานตัวใหญ่ ตอนที่ฟังรายงานก็โยกเยกไปมา เธอรู้ว่าเขากำลังจะนั่งไม่อยู่แล้ว
จนกระทั่ง ผอ. เหรินพูดจบ ลู่จี้หมิงก็สะบัดมือตบโต๊ะเสียงดังเพียะราวกับตบไปที่หน้าของใครสักคน ทั้งชัดเจนและน่ากลัว
‘จะได้หรือไม่ได้ ผอ. เหรินคุณก็ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่เหรอ คุณว่าได้ก็ได้!’
ลู่จี้หมิงพูดฉะฉานเสียงดังฟังชัด ถ้าฟังเฉพาะน้ำเสียงที่เด็ดขาดและไม่สนใจสายตาลอยๆ ของเขา คงไม่มีใครกล้าพูดความจริงว่าเขาใกล้จะภาพตัดแล้ว
หนิงเหมิงที่กำลังเทน้ำให้เขาอยู่อีกด้านอดที่จะกลอกตามองบนไปสองรอบไม่ได้
เธอกล้าเอาอนาคตที่สดใสอีกห้าสิบปีของตัวเองเป็นประกัน ลู่จี้หมิงไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อครู่ใครพูดอะไร และก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรด้วย
ผอ. เหรินปาดหน้าผากเดินออกจากห้องทำงานไป ขณะที่เท้าของเขากำลังจะก้าวพ้นประตู ลู่จี้หมิงก็เงยหน้าขึ้นทันทีเข้าสู่ภาวะกรนครอกๆ
หนิงเหมิงเดินออกจากห้องทำงานเบาๆ
เธอเรียก ผอ. เหริน ‘เพื่อความปลอดภัย ฉันว่าคุณควรจะรอให้ประธานลู่สร่างเมาแล้วค่อยไปถามอีกทีจะดีกว่านะ!’
หนิงเหมิงเป็นเลขาฯ คนสนิทของลู่จี้หมิงมาสามปี เธอรู้จักเจ้านายหลายบุคลิกคนนี้ดีมาก ตอนที่ยังไม่ดื่มเหล้าก็เป็นแบบหนึ่ง นิสัยเสียจนรับไม่ได้ ชอบงัดข้อกับคนอื่น จุดเดือดต่ำกว่าทะเลลึกอีกแสนแปดพันลี้* อยากจะโกรธก็โกรธทันที อยากจะพ่นไฟก็พ่น ถ้าคนเรามีชาติที่แล้วจริงๆ หนิงเหมิงสงสัยว่าลู่จี้หมิงคงจะเป็นภูเขาไฟแน่ๆ หลังจากดื่มเหล้าเขาก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย แอลกอฮอล์เป็นเหมือนกุญแจเปิดประตูให้บุคลิกอีกด้านของเขาเผยโฉมออกมา เมื่อลู่จี้หมิงดื่มเข้าไปมากก็จะอารมณ์ดีมากๆ ใครถือโอกาสขออะไรกับเขาตอนนี้ เขาก็จะตอบรับหมด สิ่งที่หนิงเหมิงกลัวที่สุดก็คือตอนลู่จี้หมิงออกไปคุยธุรกิจและดื่มเหล้าตามลำพัง ถ้าไม่มีคนของบริษัทคอยเฝ้าเอาไว้ ถือโอกาสตอนที่ดื่มเยอะ เขาก็สามารถขายตัวเองออกไปแบบถูกๆ ได้เลย
หนิงเหมิงพูดกับ ผอ. เหริน ‘ฉันกลัวว่าประธานลู่สร่างเมาแล้วจะจำเรื่องนี้ไม่ได้’
ใบหน้า ผอ. เหรินเต็มไปด้วยความสับสน
‘แต่โปรเจ็กต์นี้มันรอไม่ได้ ถ้าวันนี้ไม่มีบทสรุปออกมา ทางทรัสต์ก็จะเปิดบัญชีให้ไม่ได้ เลิกโปรเจ็กต์ได้เลย เหนื่อยกันฟรีเลยนะ!’ เมื่อคิดทบทวนดู ผอ. เหรินก็เอ่ยขอร้องหนิงเหมิงว่า ‘เลขาฯ หนิง เอาอย่างนี้นะ ถ้าประธานลู่จำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นเอาผิดผมขึ้นมา คุณช่วยเป็นพยานว่าเขาได้มอบอำนาจให้ผมแล้ว ได้ไหม ผมรู้ว่าความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ แต่ประธานลู่อาละวาดขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด ผมไม่ควรจะติดชนวนระเบิดไว้ที่คุณ แต่ตอนนี้ก็ได้แต่รบกวนคุณแล้วล่ะ!’
ทันทีที่พูดจบหนิงเหมิงก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ‘ได้ค่ะ ฉันเป็นพยานให้คุณเท่านั้นเอง คุณไม่ได้มายืมเงินกันสักหน่อย เรื่องนี้ฉันทำให้ได้ วางใจได้!’
หนิงเหมิงเดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของท่านประธาน เธอเคาะประตูและไม่รอให้ใครตอบก็เปิดประตูเดินเข้าไป
ในห้องที่โล่งกว้างมีผู้บริหารระดับสูงยืนกันเต็มไปหมด ตำแหน่งของทุกคนก็เป็นผู้อำนวยการด้วยกันทั้งนั้น พวกเขายืนกันอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ฟังบอสใหญ่ที่ยืนเท้าเอวพ่นไฟอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
หนิงเหมิงมองไปที่ลู่จี้หมิง
นี่คือลูกคุณหนูที่คาบช้อนทองมาเกิดในเมืองหลวง นิสัยเสียอย่างร้ายกาจ เรียกว่าเป็นระเบิดเดินได้ ต้องงัดข้อกับคนอื่นไปซะทุกเรื่อง อาการบอสซินโดรมก็หนักถึงขั้นโคม่า เรื่องที่ตัวเองทำได้ก็จะต้องสั่งให้เลขาฯ ไปทำ ถ้าไม่แสดงบทบาทการเป็นเจ้านายก็จะขาดใจตาย
แต่เขาก็ดันมีคุณสมบัติที่จะทำแบบนี้เสียด้วย
เขาสูง หล่อ เท่ ร่ำรวย หลังจากเรียนจบจากต่างประเทศก็ได้เงินทุนก้อนแรกจากครอบครัว ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็สามารถนั่งอยู่ในบริษัทวาณิชธนกิจ* ขนาดหมื่นล้านได้แล้ว และถ้าจะบอกอายุเขาอย่างละเอียด ตอนนี้เขาก็อายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีครึ่งเท่านั้น
พูดกันตรงๆ ทุกคนในบริษัทก็ต้องอาศัยเขา ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจที่จะพูดแล้วก็พูดอีกเพื่อสั่งสอนคนแบบนี้
สายตาของหนิงเหมิงกวาดมองลู่จี้หมิงและมองรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
ชุดสูทสั่งตัดราคาแพงจากเมืองนอกถูกโยนลงบนโต๊ะ ส่วนเนกไทของเขาก็นอนเอียงกระเท่เร่อยู่บนพรม ดูท่าทางน่าจะถูกเหวี่ยงลงพื้น เสื้อเชิ้ตขาวถูกปลดกระดุมจนเห็นแผ่นอก เนื่องจากออกกำลังกายเป็นประจำ กล้ามเนื้อแน่นจึงดูร้อนแรงเหมือนอารมณ์ของเขา มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างก็ชี้โบกไปมา เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อแผ่นอกที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตเหมือนกำลังพุ่งทะยานออกมา
หนิงเหมิงเลิกคิ้วขึ้นเพียงแวบเดียวจนแทบจะมองไม่เห็นแล้วก็เบนสายตาไปทันที
หญิงสาวยืนอยู่หน้าประตู เมื่อผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายหันมาเห็นเธอ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาราวกับพวกเขาเป็นหญิงสาวที่กำลังจะถูกจับไปขายและในที่สุดก็มีคุณชายมาช่วยไถ่ตัวไว้ได้ทัน
ลู่จี้หมิงจดจ่อกับการสั่งสอน ยังไม่ทันจะเบนสายตามา ดังนั้นน้ำเสียงแสดงอำนาจจึงดังขึ้นก่อนสายตาจะมาถึง
“ใคร! ฉันเรียกให้เข้ามาแล้วหรือไง ออกไปเลยนะ!” ทันทีที่เสียงจบลง เขาก็เบนสายตามาเห็นว่าคนที่เข้ามาที่แท้ก็เป็นหนิงเหมิง
หนิงเหมิงก็ว่าง่าย เธอหันหลังกลับเตรียมจะเดินออกไป
เหล่าผู้บริหารพากันสูดหายใจเข้าลึก ตัวช่วยกำลังจะจากไปแล้ว!
“เดี๋ยวก่อน หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” ลู่จี้หมิงตะโกนออกมา
หนิงเหมิงหยุดยืนแล้วหันหลังกลับมาอย่างว่าง่าย
เหล่าผู้บริหารพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ผอ. เหรินมองมาที่หนิงเหมิง ในดวงตาจะบีบน้ำตาให้ไหลออกมาอยู่แล้ว
“พอดีเลย ฉันกำลังคอแห้ง รีบไปหาอะไรมาให้ฉันดื่มเร็ว!” ลู่จี้หมิงสั่งเลขาฯ สาวอย่างแสดงอำนาจ
หนิงเหมิงเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์ตรงมุมห้อง ถามออกไปอย่างชัดเจน “ประธานลู่ คุณจะรับชาหรือกาแฟคะ”
“ชา!”
หนิงเหมิงหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา
“เติมน้ำตาลหรือว่าครีมเทียมคะ”
ลู่จี้หมิงยังสัมผัสถึงความผิดปกติไม่ได้ “ครีมเทียม”
หนิงเหมิงหยิบกระปุกน้ำตาลก้อนออกมา
“ร้อนหรือเย็นคะ”
“เย็นสิ!”
หนิงเหมิงยกกาน้ำร้อนขึ้นมา
จากนั้นเธอก็ยกแก้วมาให้ท่านประธาน
ลู่จี้หมิงรับแก้วมาแล้วเริ่มพ่นไฟต่อไปอย่างอดไม่ได้ “บอกแล้วไงว่ากาแฟ ชงน้ำชามาทำไม!” พ่นไฟเสร็จก็ก้มหน้าลงแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง
หนิงเหมิงยกสิ่งที่เขาต้องการมาให้…กาแฟร้อนๆ เติมน้ำตาล
หนิงเหมิงยังคงสงบนิ่ง
ลู่จี้หมิงคนนี้มีลักษณะพิเศษก็คือชอบหาเรื่อง เธอเดาได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าถ้ายกน้ำชาไปให้เขา เขาจะต้องต่อว่าว่าเขาสั่งกาแฟชัดๆ เธอจะยกชามาให้ทำไม ดูสิ เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเลย
เธอคาดไว้อยู่แล้วว่าคุณชายดื้อดึงคนนี้จะต้องสั่งเพื่อหาเรื่องเธอ ดังนั้นถ้าเธอทำตรงกันข้ามก็จะถูกต้อง นี่คือข้อสรุปจากประสบการณ์อันมีค่าของหนิงเหมิงในการเป็นเลขาฯ ให้กับลู่จี้หมิงมาสามปี
ลู่จี้หมิงก้มหน้ามองแก้วกาแฟในมือแล้วร้องเหอะออกมา เขายกแก้วขึ้นเป่าเบาๆ แล้วดื่มลงไป
ขณะที่กาแฟกำลังจะหมดแก้ว อารมณ์ของเขาก็ดูเย็นลงไปไม่น้อย
พวกผู้บริหารแอบถอนใจเบาๆ มองหนิงเหมิงด้วยความนับถือและขอบคุณ ในบริษัทนี้มีแค่สาวน้อยคนนี้เท่านั้นที่จับทางของบอสใหญ่ได้ถูก
หนิงเหมิงถือโอกาสที่ลู่จี้หมิงกำลังดื่มกาแฟหันไปถามพวกผู้บริหาร “ทุกท่านต้องการดื่มอะไรไหมคะ”
ลู่จี้หมิงเงยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมตะคอกออกไป “พวกเขาไม่ดื่ม ปล่อยให้หิวไป!”
ผู้บริหารทุกท่านก็รับตอบว่า “ไม่ดื่มครับไม่ดื่ม…”
ผอ. เหรินที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้บริหารพยายามส่งสายตาให้หนิงเหมิงอย่างสุดกำลัง หนิงเหมิงดันแว่นตาแล้วพยักหน้าแบบแทบจะมองไม่เห็น
เธอเดินมาข้างๆ ลู่จี้หมิงแล้วพูดด้วยเสียงเล็กๆ เบาๆ ว่า “ประธานลู่คะ อีกสักครู่คุณยังมีการประชุมที่ห้องประชุมนะคะ เป็นการประชุมที่นัดกับธนาคารที่นัดกันไว้ล่วงหน้า อีกสักพักพวกเขาคงจะมาถึง หรือจะให้ฉันไปบอกให้พวกเขารอก่อน รอคุณจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้วค่อยตามไป?”
ทันทีที่ลู่จี้หมิงวางแก้วกาแฟลงไปบนจานรอง เขาก็ใช้ดวงตาดำที่มันวับราวกับขัดมาถลึงตามอง หนิงเหมิงถลึงตากลับ
ที่เธอรับมือไม่ได้มากที่สุดก็คือดวงตาคู่นั้น นี่เป็นดวงตาที่กระชากวิญญาณสุดๆ ขนตาทั้งหนาและยาว หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย มีความรู้สึกหยอกเย้าและไร้เยื่อใย
หนิงเหมิงรีบหลบสายตา
ลู่จี้หมิงถลึงตามองเธออย่างโกรธๆ “เก่งแล้วใช่ไหม มาตัดสินใจแทนผมได้ด้วย ใครบอกว่าผมจะจัดการตรงนี้ก่อน! รีบเก็บเนกไทขึ้นมา เตรียมตัวไปประชุมกับผม!” ตะคอกใส่เลขาฯ แล้วก็หันหน้ากลับมาตวาดใส่พวกผู้บริหาร “ทุกคนกลับไปเขียนรายงานเรื่องของวันนี้สรุปมาให้ผม วางไว้ที่โต๊ะผมก่อนเลิกงาน!”
ตวาดเสร็จเขาก็หยิบเสื้อสูทที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินออกไป
หนิงเหมิงยกมือให้สัญญาณพร้อมพูดเสียงเบา “ผอ. ทุกท่านรีบแยกย้ายเถอะค่ะ!” จากนั้นก็รีบเก็บเนกไทแล้วตามลู่จี้หมิงออกไปด้วยความรวดเร็ว
เหล่าผู้บริหารก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก มองตามหนิงเหมิงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
หลิวอี้เทียนเดินเข้ามาตรงหน้า ผอ. เหรินพลางส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
“ผมล่ะนับถือจริงๆ เมื่อก่อนเลขาฯ คนไหนๆ ก็อยู่กับท่านประธานลู่ได้ไม่เกินสามเดือนสักคน มีแต่หนิงเหมิง! แม้เธอจะไม่สะดุดตาอะไรแต่เป็นคนที่ฉลาดมาก ไม่มีใครจะจับทางบอสได้ถูกเท่าเธออีกแล้ว คุณว่าไหม ทำไมเธอถึงรู้ว่าบอสนิสัยปากไม่ตรงกับใจ แล้วก็จัดการได้พอเหมาะพอเจาะไม่มากไม่น้อยเกินไป สุดยอดจริงๆ เฮ้อ ถ้าสวยอีกสักหน่อยก็คงจะดี ดีไม่ดีอาจจะเป็นเถ้าแก่เนี้ยก็ได้!”
บทที่ 2 บอสพันธุ์ดื้อดึง
ลู่จี้หมิงขายาวและเดินเร็วมาก ตอนที่หนิงเหมิงเดินตามก็ต้องวิ่งเหยาะๆ ไปด้วย ซ้ำเธอยังสวมชุดทำงานกระโปรงแคบๆ ขาก็ก้าวได้ไม่กว้างนัก จึงได้แต่ดึงกระโปรงทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย
ขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานของหยางเสี่ยวหยาง ผู้ช่วยเลขาฯ ก็รีบแสดงอาการประจบหนิงเหมิงด้วยการยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้เธอ
หนิงเหมิงคิดในใจ อยากจะบีบคอยายบ๊องให้ตายจริงๆ
เมื่อวิ่งตามลู่จี้หมิงทันแล้ว หนิงเหมิงก็ปรับการหายใจให้เป็นปกติ หาโทนเสียงที่ถูกต้อง ปรับท่าทางให้เหมือนกับคนที่ฟ้องแบบไม่ตั้งใจ
“บอสคะ ไล่ ผอ. เหรินออกเลยดีกว่าค่ะ”
ลู่จี้หมิงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูห้องประชุม เขาหันไปมองหนิงเหมิง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขนตาอันดกดำคู่นั้นของเขาก็เริ่มจะออกมาท้าทายความรู้สึกอีกแล้ว
“ทำไมต้องไล่เขาออกด้วย”
หนิงเหมิงละสายตาจากเขาอย่างเนียนๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายจับสายตายุยงได้ “เขาตัดสินใจโดยพลการนี่คะ”
ลู่จี้หมิงหรี่ตามองหญิงสาว บนใบหน้ายังมีความโกรธหลงเหลืออยู่บางๆ “ใครบอกว่าเขาตัดสินใจโดยพลการ ผมเป็นคนสั่งให้เขาทำแบบนี้ต่างหาก!”
หนิงเหมิงแสดงสีหน้าตกใจออกมา “คุณสั่งงั้นเหรอ งั้นคุณตำหนิพวกเขา…”
ลู่จี้หมิงยิ้มเย็นชาอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา “เก็บท่าทางเสแสร้งของคุณซะ! อย่าทำเป็นว่าผมไม่รู้อะไร! ผมต้องเดือดร้อนมาถัวหุ้นแล้ว เงินทองต้องควักออกมาจ่าย จะว่าคนระบายอารมณ์บ้างไม่ได้เลยหรือไง!?”
“…”
มีเจ้านายที่มีอาการบอสซินโดรมกำเริบอย่างหนัก ดูท่าอาการบอสคงจะหนักมากแล้ว
ถือโอกาสที่ยืนนิ่ง ลู่จี้หมิงใส่สูทแล้วก็ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย หนิงเหมิงส่งเนกไทให้เขา
“คุณผูกเนกไทได้ไหม” ลู่จี้หมิงเหล่ตามองเธอ
“ก็…ไม่ค่อยได้…”
ชายหนุ่มขยำเนกไทเป็นก้อนแล้วยัดใส่มือเธออย่างแรงทันที
“แล้วคุณเอามาให้ผมทำไม ให้ผมผูกเองหรือไง มือสองข้างของผมนี่เอาไว้ทำอะไรฮะ!?” ลู่จี้หมิงยกมือที่มีนิ้วเรียวสวยขึ้นมา ดูก็รู้ว่ามือของเขาไม่เคยต้องทำงานหนัก เขาก่นเสียงต่ำออกมาอย่างเสียดายและสงสารตัวเอง
“…” ทำไมไม่มีใครมาตัดมือเขาไปนะ!
ก่อนจะเข้าห้องประชุม อยู่ๆ ลู่จี้หมิงก็ยืนนิ่งแล้วหันมาพูดกับหนิงเหมิงอย่างดุดัน
“รีบผูกให้เป็นซะ! ไม่อย่างนั้นผมจะไล่คุณออก!”
หนิงเหมิงก้มหน้าลงดันแว่นตาขึ้น ดวงตาแวววาวเป็นประกายวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แน่จริงก็ไล่ออกสิ ไล่ออกเซ่! แม่รอไม่ไหวอยู่แล้ว!
ตั้งแต่หนิงเหมิงจบปริญญาตรีก็เข้าทำงานที่จี้หมิงแคปปิตอล จนถึงตอนนี้เธอทำงานที่นี่มาสามปีแล้ว
ตั้งแต่อายุยี่สิบสองจนกระทั่งอายุยี่สิบห้าเธออุทิศชีวิตที่งดงามในช่วงวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านให้กับลู่จี้หมิงประธานภูเขาไฟจอมพิลึกคนนี้
ที่จริงเธอเรียนปริญญาตรีสาขาการเงิน ไม่ใช่สาขาเลขานุการ ตอนที่เรียนจบออกมาหางานก็มุ่งมาทางทำโปรเจ็กต์ลงทุน แต่วันที่มาสมัครงานบังเอิญมาเจอตอนลู่จี้หมิงอาละวาดเรื่องไม่มีเลขาฯ ที่จะช่วยเขาทำงานได้
ตอนนั้นหลิวอี้เทียนผู้อำนวยการฝ่ายธุรการถูกตำหนิจนไม่มีดี เขาโซซัดโซเซมาที่ห้องประชุมที่ใช้สัมภาษณ์ ชี้ไปยังหนิงเหมิงซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์แล้วบอก
‘เอาเรซูเม่ของเธอมาให้ฉันดูเร็วเข้า!’
หลิวอี้เทียนพลิกดูเรซูเม่อย่างรวดเร็ว แล้วก็หลอกหนิงเหมิงให้ไปทำตำแหน่งเลขาฯ ของลู่จี้หมิง
จนกระทั่งถึงวันนี้
ตอนนั้นหลิวอี้เทียนพูดอย่างเปิดใจกับหนิงเหมิงว่า ‘เสี่ยวหนิง นี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยากมาก คุณเคยเห็นบริษัทไหนที่จะให้พนักงานใหม่เข้าทำงานครั้งแรกก็ได้ทำงานกับบิ๊กบอสของบริษัทบ้าง ดังนั้นเสี่ยวหนิง ตั้งใจทำงานนะ!’
ในตอนนั้นหนิงเหมิงรู้สึกเหมือนเห็นหมาป่าปลอมตัวเป็นคุณยายแวบๆ แต่เธอก็คิดว่าช่างปะไร ไม่ว่าจะเป็นเลขาฯ หรือจะทำโปรเจ็กต์ มีงานทำก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อไปมีโอกาสก็ค่อยเปลี่ยนตำแหน่งก็ได้
ผลคือเธอกลับถูกบีบคอกดให้อยู่ในหลุมลึกที่ชื่อว่าเลขานุการ คิดจะปีนออกมาก็ไม่ได้ เหตุผลสำคัญก็คือมีหลายคนพยายามกลบดินเข้าไป หวังว่าจะฝังเธออยู่ในหลุมนี้ให้ได้
อย่างเช่นหลิวอี้เทียน
เขาบอกเธอว่า ‘คุณห้ามคิดจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนตำแหน่งเป็นอันขาด ถ้าไม่มีคุณคอยสยบปีศาจร้ายอยู่ล่ะก็ คนทั้งบริษัทคงถูกประธานลู่ทรมานตายกันเป็นเบือ!’
ต่อมาหนิงเหมิงถึงได้รู้ว่าที่เธอสามารถยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวของท่านประธานได้ ถือเป็นเรื่องที่สะเทือนฟ้าดินของบริษัทนี้เลย
เพราะก่อนที่เธอจะมาทำงานที่นี่ ด้วยความขี้โมโหของลู่จี้หมิง แล้วก็เป็นบอสซินโดรมกำเริบอย่างหนัก เลขาฯ ที่จะต้องอยู่ติดกับเขา สถิติที่นานที่สุดก็คืออีกสองวันถึงจะครบสามเดือน
อีกสองวันก็จะได้รับโบนัสประจำไตรมาสแล้ว แต่เลขาฯ คนนั้นบอกว่าอย่างไรก็ไม่มีทางอดทนต่อไปได้…
แล้วหลิวอี้เทียนก็ส่งหนิงเหมิงไปสังเวยให้ลู่จี้หมิงโดยให้เธอเป็นเลขาฯ ท่านประธาน จริงๆ แล้วเขาก็ไม่คิดว่าหนิงเหมิงจะยืนหยัดได้นานสักเท่าไหร่ คนอื่นๆ ก็คิดอย่างนี้เช่นกัน แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีสิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้น
หนิงเหมิงอยู่ในตำแหน่ง ‘เลขานุการของลู่จี้หมิง’ อันน่าเศร้านี้และสร้างตำนานขึ้นมามากมาย
เธอใช้เวลาเพียงสามวันก็ทำให้ลู่จี้หมิงจำชื่อของเธอได้
หนึ่งสัปดาห์เธอทำให้ลู่จี้หมิงชี้หน้าสั่งสอนเธอเสียงดังแต่ก็ไม่ไล่เธอออก
ตอนหนึ่งเดือนเธอก็ยังอยู่
หนึ่งปีผ่านไปเธอก็ยังคงอยู่ดี หนำซ้ำลู่จี้หมิงยังขึ้นเงินเดือนให้เธอเป็นเท่าตัว
ตอนนี้ผ่านไปสามปีแล้วเธอไม่เพียงยังอยู่ดี แต่ถือว่าเป็นตัวนำโชคของบริษัทอีกด้วย เธอรู้วิธีจัดการกับลู่จี้หมิงทุกกระบวนท่า
บางครั้งหนิงเหมิงก็คิดอย่างถากถางตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งตัวให้ดูเชยๆ และหน้าตาไม่สวย ทุกคนคงคิดว่าเธอใช้ร่างกายสยบลู่จี้หมิงเป็นแน่
แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ได้อยากจะเป็นตัวนำโชค ความตั้งใจของเธอยังคงเหมือนเดิม เธอต้องการจะทำโปรเจ็กต์ลงทุน อนาคตจะเป็นนักลงทุนมือทองที่มีชื่อเสียง
สามปีแล้วกับเวลาที่ผ่านเลยไป ความคิดนี้ที่อยู่ในใจเธอนับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
เลิกงานตอนเย็น หนิงเหมิงกลับถึงบ้าน
คำนวณเวลาเรียบร้อยว่าอีกซีกหนึ่งของโลกตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว หนิงเหมิงจึงเปิดคอมพิวเตอร์แล้วต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อวิดีโอคอลล์
ไม่นานปลายทางก็รับสาย โหยวฉีเพื่อนรักที่อยู่ตรงหน้ากล้องติดกิ๊บหูกระต่ายกำลังทาครีมบนใบหน้า
หนิงเหมิงถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
อย่างไรที่เรียกว่าสาวสวย ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นสาวสวย สาวสวยสามร้อยหกสิบองศาไม่มีจุดบอดเมื่อมาอยู่ตรงหน้าโหยวฉีก็ยังถือว่าธรรมดา ต้องเป็นแบบโหยวฉีที่มองดูสามมิติไม่มีจุดบอดถึงจะเรียกว่าสวยจริงๆ
โหยวฉีแต่งหน้าไปพร้อมกับถามหนิงเหมิง “เหมิงเหมิง โทรหาฉันตั้งแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า”
หนิงเหมิงแกะผมออก ถอดแว่นตาลงแล้วยืดแขนบิดขี้เกียจ
“แกบอกว่าจะกลับประเทศเร็วๆ นี้ไม่ใช่เหรอ เมื่อไหร่กันแน่ล่ะ”
โหยวฉีคึกคักขึ้นมาทันที “คราวนี้ใกล้แล้วจริงๆ เหล่าเหอทำโปรเจ็กต์สุดท้ายเสร็จ ส่งต่องานให้เรียบร้อยก็จะพาฉันกลับไปแล้ว! ฉันรู้ว่าแกคิดถึงฉัน ฉันก็คิดถึงแกนะ จุ๊บๆ!”
หนิงเหมิงกลอกตาตามด้วยเสียงเฮอะๆ “ฉันฟังคำพูดนี้มาสามปีเข้าไปแล้วนะ!”
โหยวฉีก็เฮอะๆ บ้าง “แล้วแกบอกว่าจะย้ายตำแหน่ง แกจะทำโปรเจ็กต์ลงทุน คำพูดนี้ฉันก็ฟังมาสามปีแล้ว แกก็ยังเป็นเลขาฯ อยู่ไม่ใช่เรอะ!”
หนิงเหมิงชะงักไป “ฉันทำให้แกรู้สึกเป็นแบบนี้เหรอ” ทำเหมือนกับเธออาลัยอาวรณ์ตำแหน่งเลขาฯ นี้เหลือเกิน
โหยวฉีทำเป็นพยักพเยิด “ฉันว่าไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวหรอก แกทำให้ทุกคนบนโลกนี้รู้สึกแบบนี้แหละ ใครจะไปรู้ แกอาจจะตัดใจจากบอสภูเขาไฟของแกคนนั้นไม่ได้ก็เป็นได้”
หนิงเหมิงขนลุกขึ้นมา
“หาเรื่องนะแก ฉันไม่ได้ชอบทรมานตัวเองสักหน่อย!”
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันไปสักพัก หนิงเหมิงจึงได้วางสายวิดีโอคอลล์
จากนั้นเธอก็เปิดไฟล์งานขึ้นมา พิมพ์คำว่า ‘คำขอย้ายตำแหน่งงาน’ ลงไป
ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจแล้ว ถ้ายังโลเลอีกเธอก็จะกลายเป็นคนหน้าหนาในสายตาของโหยวฉีแล้วล่ะ
พรุ่งนี้! ถ้าพรุ่งนี้ลู่จี้หมิงอารมณ์ดี เธอจะต้องหาโอกาสพูดกับเขาให้รู้เรื่อง
ผลก็คือวันรุ่งขึ้นทั้งวันลู่จี้หมิงอารมณ์ไม่ดีมาก ไม่ดีมากๆ เสียด้วย
สาเหตุก็เพราะกิจการเครื่องแต่งกายที่เขาลงทุนไปก่อนหน้านี้ขาดสภาพคล่องในระยะนี้ กำไรก็ตกลงอย่างมาก ว่าตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้ ในตอนนี้กิจการจะต้องเข้าสู่การระดมทุนรอบที่สองแล้ว และพวกเขาก็จะใช้โอกาสในการระดมทุนครั้งนี้ขายโอนหุ้นออกไป
“แต่ถ้าว่าตามสถานการณ์ของกิจการในปัจจุบัน ตอนนี้คิดจะระดมทุนรอบสองเกรงว่าจะเป็นไปได้ยาก…”
ชิวจวิ้นหลินผู้รับผิดชอบแผนกโปรเจ็กต์สองคนใหม่รายงานกับลู่จี้หมิงอย่างตื่นกลัว
ลู่จี้หมิงตบโต๊ะถามอย่างคาดคั้น “คุณกำลังจะบอกผมว่าเงินที่ผมลงทุนไปเอาคืนมาไม่ได้ อย่างนั้นใช่ไหม! หา?!”
ชิวจวิ้นหลินสะดุ้ง พยายามจะฝืนตอบไปว่า “ในตอนนี้ ใช่ ใช่ครับ…”
ลู่จี้หมิงพูดเสียงเรียบ “พวกคุณทำบ้าอะไร! ตอนแรกพูดกับผมไว้ว่ายังไง เป็นโปรเจ็กต์ที่ดี เป็นโปรเจ็กต์ที่ทำเงินแน่นอน แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ล่ะ!”
ชิวจวิ้นหลินเหลือบตามองหนิงเหมิง หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ เขาได้ยินว่าในเวลาวิกฤตถ้าส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปหาหนิงเหมิง ไม่แน่ว่าอาจจะรอดก็ได้ แต่เลขาฯ สาวกลับหลบสายตา ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึก
ใช่ว่าหนิงเหมิงจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่เธอเป็นเพียงแค่เลขานุการ ถ้าสอดมือเข้าไปยุ่งทุกเรื่องก็จะให้ค่าตัวเองมากเกินไป
ชิวจวิ้นหลินเห็นว่าการขอร้องไร้ผลจึงเก็บสายตากลับมา ทำใจให้สงบแล้วก็พยายามอธิบายท่ามกลางคำตำหนิติเตียน
“ประธานลู่ครับ ตอนที่ผมรับโปรเจ็กต์นี้มาได้ยินพวกเขาบอกว่าตอนนั้นคุณเองก็ยอมรับคุณสมบัติของบริษัท…”
หนังตาหนิงเหมิงกระตุกเบาๆ จบกัน เลือกจะแทงจุดอ่อนของบอส
แล้ววินาทีถัดมาลู่จี้หมิงก็หยิบรายงานทางการเงินเขวี้ยงไปที่ตัวของชิวจวิ้นหลินทันที
“ผมยอมรับยังไง! ผมปั๊มลายนิ้วมือหรือว่าเขียนในสัญญาว่าเห็นชอบด้วย? หา!?”
ชิวจวิ้นหลินรีบหุบปากก้มตัวลงเก็บเอกสาร
จนกระทั่งเขาลุกขึ้นมา ลู่จี้หมิงก็เอ่ยถาม “ทำไมกิจการถึงได้ขาดสภาพคล่อง กำไรลดลงอย่างหนัก ตรวจสอบหาสาเหตุที่ชัดเจนแล้วหรือยัง”
ชิวจวิ้นหลินเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานกรรมการของบริษัทเกิดปัญหา ทั้งครอบครัวนั่งรถคันเดียวกันออกไปแล้วประสบอุบัติเหตุ เขากับภรรยายังโชคดี อยู่ไอซียูแค่อาทิตย์เดียวก็ออกมาได้แล้ว แต่ตอนนี้ลูกชายยังนอนอยู่ในไอซียู…สถานการณ์ทางบ้านเขาหนักหนามาก ประธานลู่ พวกเราควรจะผ่อนผัน…หรือเปล่า”
หนิงเหมิงหนังตากระตุก นี่คิดจะสอนลู่จี้หมิงตัดสินใจ รอให้เขาพ่นไฟให้ตายเลยเถอะ
ผลก็คือลู่จี้หมิงขัดจังหวะขึ้นอย่างโมโห “เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ผมทำการลงทุน ไม่ได้ทำมูลนิธิการกุศล! นายทำเป็นคนดี บ้านเขาเกิดเรื่อง คนอื่นในบริษัทเขาเป็นไม้ประดับหรือไง ไม่มีใครขึ้นมาแทนได้เลยเหรอ ระบบการบริหารของบริษัททำไมถึงไม่รอบด้าน แล้วจะระดมทุนอะไร จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์อะไรกัน!”
ชิวจวิ้นหลินขยับปากคิดจะพูดแก้ตัวอะไรสักหน่อย แต่หนิงเหมิงทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ ได้โอกาสจึงพูดขึ้นมา
“ประธานลู่ พบคุณหลิวอี้เทียนก่อนดีไหมคะ เขารออยู่ด้านนอกมานานแล้ว”
ลู่จี้หมิงหันมาตวาดใส่เธออย่างหงุดหงิด “ผมจะต้องเจอใครก่อนต้องให้คุณคอยสั่งการ?” ก่อนจะสูดหายใจเปลี่ยนน้ำเสียงที่พูด “ยืนบื้ออยู่ทำไม เรียกเขาเข้ามาสิ!”
หนิงเหมิงพยายามจะไม่กลอกตา เธอโดนลูกหลงเลือดอาบไปทั้งตัวโดยไม่เกี่ยวข้องเลยสักนิด…
ลู่จี้หมิงมองไปที่ชิวจวิ้นหลินแล้วโบกมือไล่อย่างหงุดหงิด ชิวจวิ้นหลินอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วถอยออกจากห้องไป
หนิงเหมิงเชิญให้หลิวอี้เทียนเข้ามา จากนั้นตัวเองก็เดินออกไป
ชิวจวิ้นหลินมองเธอขณะที่เดินออกมา เขาขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“หนิงเหมิง ผมเพิ่งมาทำงานไม่นาน ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า ได้ยินว่าคนอื่นบอกให้คุณช่วยคุณก็ช่วย แต่พอถึงผมคุณกลับไม่สนใจ?”
หนิงเหมิงอธิบายอย่างอดทน “คุณชิว อะไรที่ช่วยทุกคนได้ฉันก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่ แต่พูดกันจริงๆ นะคะ ฉันก็เป็นแค่เลขาฯ เท่านั้น จะว่าไปคุณก็เห็นแล้วนี่ ฉันเพิ่งโดนตะคอกว่ายุ่ง ตอนนี้คุณก็ออกมาได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
ชิวจวิ้นหลินหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะเย็นชาอย่างประหลาด จากนั้นก็เก็บรอยยิ้ม ทำหน้าบึ้งแล้วหันหลังเดินกลับไป
หยางเสี่ยวหยางเดินเข้ามา รู้สึกไม่พอใจแทนหนิงเหมิง “นี่มันอะไรกัน ถ้าช่วยก็ถือว่ามีน้ำใจ ไม่ช่วยก็ถือว่าทำตามหน้าที่ นี่ทำกันซะเหมือนกับคุณไปติดค้างบุญคุณเขาอย่างนั้นแหละ! อาเหมิง คุณว่าเขาสติไม่ดีหรือเปล่า คนทั้งบริษัทคนที่ไม่ควรจะหาเรื่องก็คือคุณนี่แหละ! จะว่าไปเขาก็ทำงานที่นี่มาตั้งหลายเดือนแล้ว ทำไมแม้กระทั่งสถานการณ์ทั่วไปของบริษัทก็ยังไม่รู้จักทำความเข้าใจให้ดีซะก่อน”
หนิงเหมิงเกือบจะสะดุดล้มด้วยคำพูดนี้ อีกฝ่ายทำเหมือนกับเธอเป็นขันทีใหญ่ที่พูดแล้วฮ่องเต้โหดจะยอมฟัง
ผ่านไปสักพักหลิวอี้เทียนก็เดินออกมาจากห้องทำงาน ก่อนจะจากไปก็พูดกับหนิงเหมิง
“ประธานลู่เรียกคุณเข้าไปน่ะ!”
หนิงเหมิงกระซิบถามเสียงเบา “อันตรายหรือเปล่า”
หลิวอี้เทียนตอบกลับไปว่า “สำหรับคนอื่นทุกที่เต็มไปด้วยระเบิด แต่สำหรับคุณ ไม่เป็นไร คุณเป็นตัวต้านขีปนาวุธ”
หนิงเหมิงมีสีหน้าเซ็งๆ เธอไม่ใช่หมอกควัน จะไปต้านขีปนาวุธได้อย่างไร…
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานท่านประธาน
ลู่จี้หมิงสั่งเธอทันที “ได้ยินว่าครอบครัวของคุณถังเข้าโรงพยาบาลกันทั้งบ้านใช่ไหม คุณหาเวลาไปโรงพยาบาลเสียเหอ ดูคุณถังแล้วก็ลูกเมียเขาหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”
คุณถังก็คือประธานกรรมการบริษัทเครื่องแต่งกายที่เกิดอุบัติเหตุทั้งครอบครัวนั่น
หลังจากหนิงเหมิงรับคำสั่ง เธอก็แกล้งพูดออกไป “เข้าใจแล้วค่ะ ขอเพียงพวกเขายังมีลมหายใจอยู่ ฉันก็จะไล่บี้ให้คุณถังรีบใช้หนี้ให้ได้”
ลู่จี้หมิงเคาะโต๊ะ “จะทำอะไร! ผมให้คุณไปทวงหนี้หรือไง ผมให้คุณไปดูว่าลูกชายของคุณถังบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง มีชีวิตรอดหรือเปล่า ครอบครัวเขาติดขัดเรื่องอะไร เรื่องสภาพคล่องในบริษัทต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า!” พูดถึงตรงนี้ก็มองไปที่หนิงเหมิงซึ่งกำลังเลิกคิ้วอย่างท้าทาย เขาเริ่มจะยัดเยียดอธิบายต่อว่า “ผมไม่ได้คิดจะทำการกุศล ผมก็แค่กลัวว่าเงินที่ลงทุนไปจะสูญเปล่า!”
หนิงเหมิงก็ได้แต่แอบค้อนอยู่ในใจ
จอมพ่นไฟลู่จี้หมิง คุณก็ดื้อดึงให้เต็มที่นะ พรุ่งนี้ก็ดื้อดึงให้ตายไปเลย ต่อให้ขอร้องฉันก็ไม่ไปเก็บศพให้หรอก ถือว่าฉันไม่มีคุณธรรมก็แล้วกัน
เชิงอรรถ
* หม่าจิ่งเทา เป็นนักแสดงชาวไต้หวัน คนทั่วไปรู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่แอ็กติ้งเกินความจริงไปมาก โดยเฉพาะบทโมโห
** หลิวอี้เทียน มีความหมายว่าหนึ่งวัน
* คณะเต๋ออวิ๋น เป็นคณะเซี่ยงเซิงที่มีชื่อเสียงของปักกิ่ง เซี่ยงเซิงคือศิลปะการแสดงเล่าเรื่องตลกหรือร้องเพลงเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้ชม ผู้แสดงเซี่ยงเซิงจะเป็นผู้ชายใส่ชุดฉางซันคือเสื้อตัวยาวแขนยาว กระดุมจีนผ่าข้าง โดยเซี่ยงเซิงสามารถมีผู้แสดงหนึ่งคนขึ้นไปจนถึงเป็นกลุ่มคณะ
* ลี้ (หลี่) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* วาณิชธนกิจ (Investment banking) คือ สถาบันทางการเงินซึ่งทำหน้าที่ระดมเงินทุน, ซื้อขายหลักทรัพย์, บริหารการควบรวมและซื้อกิจการ รวมถึงให้คำปรึกษาในธุรกรรมข้างต้นและธุรกรรมทางการเงินประเภทอื่น เช่น การปรับโครงสร้างหนี้, การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ, ทำรายงานวิจัย, ออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เป็นต้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.